ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ขับรถภาวนา

๓ ก.พ. ๒๕๖๑

ขับรถภาวนา

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่)ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม : เรื่อง “ขับรถสามารถภาวนาได้หรือไม่”

กราบนมัสการหลวงพ่อครับ ผมเริ่มฟังเทศน์ของหลวงพ่อเมื่อต้นปี ๒๕๖๑ ครับ มีพี่ที่เคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดหลวงพ่อแกเอาซีดีมาให้ฟัง แล้วผมก็เข้าเว็บไซต์ของหลวงพ่อและฟังการตอบปัญหาธรรม ผมจะชอบฟังเวลาขับรถครับ (ผมทำงานขับรถบรรทุกครับ) ขับทั้งกะกลางวันบ้าง กะกลางคืนบ้าง อาการเป็นดังนี้ครับ

เวลาผมขับรถ ผมฟังเทศน์ผมจะใช้หูฟังฟังเทศน์ ร่างกายขับรถ ตาจับจ้องมองทาง แล้วก็บริกรรมพุทโธๆ เข้าออกตามลมหายใจ ผมบริกรรมพุทโธช้าๆ รู้สึกว่ายังไม่ค่อยนิ่งครับ ผมก็หายใจเข้าออกแบบหายใจสุดปอด เข้าสุดออกสุดครับ แล้วพุทโธยาวๆ ตามลมหายใจ มันมีอาการเหมือนจะวูบๆ ครับ ภาพมันมัวเล็กน้อย (ตอนนั้นผมไม่มีอาการง่วงนอนเลยนะครับ) พอมันเหมือนจะวูบ ผมจึงหยุดบริกรรมครับ เพราะกลัวเกิดอุบัติเหตุ แล้วพออีกวันผมก็ทำเหมือนเดิม ก็มีอาการดังที่กล่าวมา ผมก็หยุดอีก

ผมจึงสงสัยว่ามันคืออาการของจิตหรืออาการของร่างกายครับ

ขอนอกเรื่องสักเล็กน้อยครับ ผมเคยบวชที่วัดป่าที่บ้านเกิดจังหวัดอุดรธานี ตอนนั้นคิดแค่ว่าบวชให้แม่ตามประเพณีครับ (พอปี ๒๕๕๕ บวช ๓ เดือนครับ) หลังจากสึกออกมาก็ยังคิดถึงเพศของพระครับ แต่ก็มาใช้ชีวิตแบบโลกๆ สำมะเลเทเมามาก กล่าวคือเหล้ายาเล่นหมดครับ เวลามีสติก็บริกรรมพุทโธบ้าง ก่อนนอนบ้าง (เวลาเมาผมไม่เอาคำบริกรรมพุทโธครับ เพราะคิดว่าเป็นของสูง ไม่อยากดึงลงมาให้ต่ำกับตัวเองครับ)

โดยจริตส่วนตัวที่คิดว่าชอบมากคือกัญชาครับ ซึ่งทางบ้านก็รู้ แต่ตัวเองดื้อเงียบ แม่ก็เคยบอกให้เลิก พี่ก็ใช้ไม้แข็ง แฟนก็ใช้ลูกขู่ แต่ตัวเองก็ไม่สนใจเพราะความดื้อและโง่เขลา แต่ใจจริงๆ ก็คิดได้นะครับว่ามันไม่ดี พยายามเลิกกัญชาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ผลสักที

และอีกใจก็คิดอยากจะบวชหลายครั้งแล้วเพราะเบื่อชีวิตทางโลก ที่ทำงานมาก็หามาเพื่อสนองความอยากของตนและคนอื่น เคยคุยกับแม่หลายครั้งแล้ว แม่ก็ว่าชีวิตทางโลกก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไปบวช ถ้าอยู่ไม่ได้ สึกออกมาตอนแก่จะทำอะไร (ตอนนี้ผมอายุ ๒๘ ครับ)

และเมื่อผมได้ฟังหลวงพ่อตอบปัญหาธรรมะแก่พี่ๆ ญาติธรรม ผมจึงมีกำลังใจที่อยากจะปฏิบัติอย่างจริงจังขึ้น และบวกกับที่หลวงพ่อเทศน์บ่อยๆ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

ผมเคยฟังมาบ้างว่า ถ้าเราศีลบกพร่อง การปฏิบัติก็จะไม่ก้าวหน้า ผมจึงตัดสินใจเลิกสิ่งเสพติดของมึนเมาครับ และถือศีล ๕ มาตั้งแต่เริ่มฟังเทศน์หลวงพ่อ (บอกแม่ แม่ก็ดีใจมาก) บวกกับเตือนตัวเองว่าเราจะไปถือศีลก็ต่อเมื่อเราบวช หรือถ้าตอนนี้เราถือศีลแค่ศีล ๕ ก็ไม่ได้ เราก็ไม่สมควรที่จะบวช

ผมจึงกราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่ผมได้ฟังเทศน์ของหลวงพ่อครับ หากเรื่องที่กล่าวมาไม่ก่อประโยชน์และเป็นเรื่องชวนรำคาญ กราบขอขมาด้วยครับ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อ

ตอบ : นี่เขากราบขอบพระคุณเนาะ นี่เราจะพูดถึงชีวิตของคน ชีวิตสิ่งที่มีค่า ถ้าชีวิตสิ่งที่มีค่า เราอยู่กับตัวเราเอง เราอยู่กับความคุ้นชินของเรา เราก็ปล่อยชีวิตเราไปตามวัฏฏะ

ผลของวัฏฏะๆ ธรรมะในพระไตรปิฎก ผลของวัฏฏะๆ ชีวิตเราก็เหมือนสวะ เหมือนเศษสวะไหลไปตามน้ำ สิ่งที่ไหลไปตามน้ำ เราปล่อยมันไปตามธรรมชาติไง เราปล่อยมันไปๆ ไง แล้วเวลาปล่อยมันไปมันก็เป็นแบบนั้นน่ะ

แต่ถ้าเราฝืน นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสๆ ไง ปลาเป็นว่ายทวนน้ำๆ แล้วเราจะเป็นปลาเป็นว่ายทวนน้ำนี่เหนื่อยเนาะ ถ้าปล่อยไหลไปตามน้ำมันสะดวกสบาย แต่มันเป็นสวะ แต่ถ้ามันมีสติปัญญา เราจะว่ายทวนน้ำ

โดยธรรมชาติของโลกนะ เขาบอกชีวิตนี้ก็ทุกข์พอสมควรแล้วแหละ ชีวิตเราทุกข์ยากทั้งนั้นน่ะ ยังต้องมาปฏิบัติธรรมอีก อู๋ย! ยุ่งตายห่าเลย โอ้โฮ! เกิดมาก็ทุกข์แสนทุกข์อยู่แล้ว ยังจะต้องมาปฏิบัติธรรม ยังต้องไปวัด โอ๋ย! มันจะเอาความทุกข์มาเพิ่มทำไม นั่นน่ะ นี่เวลากิเลสมันคิด มันคิดอย่างนั้นน่ะ

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ นะ ถ้าเป็นความจริง ทุกคนแสวงหาความดีทั้งนั้นน่ะ แล้วความดีอย่างนั้นมันความดีแบบโลกๆ ไง ความดีแบบโลกๆ นะ ถ้าความดีของเรา ความดีในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์นั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ แล้วเวลาตรัสรู้ก็ตรัสรู้ในใจของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ มันตรัสรู้ในใจ มันเป็นความเห็นภายในใจ

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องมีสติมีปัญญา ตนจะแก้ไขปัญหาชีวิตของตน ตนมีมรรคญาณ ตนมีกำลัง มีมรรคในหัวใจ มรรคนั้นเวลามันหมุน มันทำลายกิเลสในใจของตน เห็นไหม

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วพอตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้วมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะในใจของตน เป็นสันทิฏฐิโก เลอเลิศในใจของตน

จะโฆษณาธรรมะว่า ธรรมะนี้สุดยอดๆ

แล้วเราเกิดมาเราบอกว่า โอ๋ย! ชีวิตนี้ก็แสนทุกข์แสนยากอยู่แล้ว ยังต้องไปวัดไปวาอีก

ชีวิตนี้ผลของวัฏฏะไง คือเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติของความดีและความชั่ว ความดีและความชั่วในใจของคนขับไสให้เรามาเกิดเป็นคนอย่างนี้ นี่มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเกิดจากกรรมไง กรรมคือการกระทำไง เราทำของเรามาอย่างไรมันก็เกิดมาอย่างนั้นน่ะ

เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน รูปร่างหน้าตานี้เป็นมนุษย์เหมือนกันนะ แต่นิสัยใจคอไม่เหมือนกัน อำนาจวาสนาไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนหรอก เป็นคนเหมือนกันแต่ความคิดไม่เหมือนกัน เป็นคนเหมือนกัน อำนาจวาสนาบารมีคนไม่เหมือนกัน ไม่เหมือน

ถ้าเหมือนกันมันก็เท่ากับว่าทำแล้วอัพยากฤต คือเสมอกันไง เสมอกัน เสมอตรงไหน ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ ลูกแฝดออกมาจากพ่อแม่เดียวกัน เวลาตกฟากห่างกันไม่เกินห้านาที นิสัยมันไม่เหมือนกัน ต่างกันฟ้ากับดิน

ไม่มี นี่มันไม่มีเพราะอะไรล่ะ เพราะกรรมไง เพราะการกระทำของใจไง ใจมันสะสมมาอย่างนั้นไง มันเป็นพันธุกรรมของมันไง ถ้าเป็นพันธุกรรมของมันก็เป็นแบบนั้นน่ะ

นี่พูดถึงว่าปล่อยชีวิตของเราให้เป็นสวะไง ไหลไปตามเวรตามกรรมไง แต่ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมาจะเป็นปลาเป็น ไม่เป็นปลาตาย ปลาตายมันนอนเฉย มันไม่มีจิตวิญญาณเพราะมันตายแล้ว มันไหลตามแม่น้ำนั้นไป

เราเป็นปลาเป็นเหนื่อยน่าดู ดูมันจะไปวางไข่สิ มันต้องขึ้นบันไดปลานะ มันโดดแล้วโดดอีกกว่ามันจะผ่านไปได้แต่ละชั้นแต่ละตอน เหนื่อย แต่มันรักษาเผ่าพันธุ์ของมันน่ะ มันขึ้นไปต้นน้ำ มันไปวางไข่ มันไปฟักไข่ นั่นปลาเป็น มันรักษาสายพันธุ์ สายพันธุ์ปลาที่ยังเหลือมา นั่นปลาเป็น ปลาตาย นู่น อยู่ในหม้อ ปลาเผา นั่นปลาตาย

นี่พูดถึงชีวิต ถ้าชีวิต สัจจะความจริงเป็นแบบนั้น ถ้าศึกษาธรรมแล้วมันชื่นใจ มันเห็นคุณค่าของชีวิต เห็นคุณค่ามาก หลวงตาท่านไปไหน ท่านบอกไปเอาหัวใจคน เอาหัวใจคน หัวใจคนมีค่า หัวใจคนไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม หัวใจคนนี่แหละไปเกิดนรกอเวจี หัวใจคนทั้งนั่นน่ะ แล้วถ้าธรรมะๆ ธรรมะเพื่อออมชอมอันนั้นไง

ฉะนั้น ถ้าศึกษาธรรมะแล้วนี่นะ จะประพฤติปฏิบัติ นี่พูดถึงเวลาเราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เราเอาสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริง ในการประพฤติปฏิบัติโดยทั่วไป หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านค้นคว้าของท่านจนถึงที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ ท่านถึงมาแสวงหาสัทธิวิหาริก ผู้สืบต่อๆ

เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดกับหลวงตา หลวงตามาพูดประจำ “เราทำความดีไว้มากมาย ใครระลึกถึงบ้างๆ”

หลวงตาบอกระลึกอยู่เต็มหัวอกเลย แต่ในปัจจุบันนี้หน้าที่ของตนยังไม่จบ ก็อยากจะทำหน้าที่ของตนให้จบก่อน แล้วจะสืบต่อ สืบต่อสัทธิวิหาริกผู้ที่จะสืบต่อศาสนาไป

ท่านถามถึงว่าท่านทำประโยชน์ไว้มาก ใครเห็นประโยชน์อันนั้นบ้าง

นี่พูดถึงท่านทำเพื่อประโยชน์ๆ ไง เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติของท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ไง ในการปฏิบัติจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านทุกข์ยากมาขนาดไหน ท่านค้นคว้าท่านแสวงหามาขนาดไหน ท่านทำไปแล้วเวลามันเกิดความสงสัย ทำไปแล้วเวลากิเลสมันโป้ปดมดเท็จ ทำไปแล้ว เวลาธรรมะมันพาให้เตลิดเปิดเปิง ท่านเอาใครเป็นที่พึ่ง ท่านเอาใครเป็นคนที่แก้ไข

นี่ท่านจะปรึกษาธรรม ปรึกษาธรรมของท่าน เพราะไม่มีครูบาอาจารย์องค์ใดที่มีความสามารถที่จะรู้ได้จริงไง ท่านทำของท่านมาแล้วท่านถึงได้วางข้อวัตรปฏิบัติของท่านไว้

การประพฤติปฏิบัติในสายของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นตามความเป็นจริงนะ ท่านเวลาปฏิบัติ ปฏิบัติถึงมรรคถึงผลตามความเป็นจริงไง

ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อปฏิบัติไง ปฏิบัติเพื่อปฏิบัติ ปฏิบัติพอเป็นพิธีไง ปฏิบัติพอเป็นพิธี คนที่ไม่ปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ไง มันไม่เห็นผลของสติ ไม่เห็นผลของสมาธิ ไม่เห็นผลของปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีความสำคัญๆ สำคัญเวลามันพัฒนาของมันเป็นชั้นเป็นตอนไง ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เวลามันเป็นขึ้นไปมันเป็นขึ้นไปอย่างไร เวลาเป็นขึ้นไป ความมหัศจรรย์ๆ มหัศจรรย์มากๆ ถ้าเวลาปฏิบัติจริงๆ มันต้องลงทุนลงแรงขนาดนั้น

แต่ทีนี้พอปฏิบัติเป็นพิธีกัน เห็นว่าปฏิบัติแล้วมันจะดีงามๆ เราก็ปฏิบัติกัน พอปฏิบัติแล้ว เวลาปฏิบัติ เราฟังแล้วบางทีมันคันหูนะ “ปฏิบัติธรรมะในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน”

เราเอาโลกเป็นใหญ่หรือ เรากลัวว่าชีวิตเราจะไม่ยิ่งใหญ่ไง เรากลัวว่ากิเลสมันจะไม่พองโตไง ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ธรรมะมันไร้ค่า งานการในชีวิตประจำวันเรายิ่งใหญ่ ทำเสร็จแล้วมันได้ผลประโยชน์ไง คนมันอยู่ที่การงานไง นี่พูดถึงว่าปฏิบัติธรรมเป็นงาน เขาว่าอย่างนั้นนะ

อันนี้พูดถึงแนวทางปฏิบัติร้อยแปดไง ทีนี้พอถึงเวลาปฏิบัติอย่างนั้นมันก็ปฏิบัติพอเป็นพิธี พอเป็นพิธี รสชาติมันไม่มี

แต่ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริงตามที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นพูด เราเริ่มต้นตั้งสัจจะตั้งแต่ตอนนี้เลย ตั้งแต่ข้อวัตรปฏิบัติ ตั้งแต่ความเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา แล้วเวลามันจะเป็น เวลามันจะเป็นขึ้นมา จากปุถุชนเป็นกัลยาณชน กัลยาณชนคือทำสมาธิได้ง่ายขึ้น

พอทำสมาธิได้ง่ายขึ้น ทำสมาธิได้เพราะอะไร เพราะการฝึกฝน การกระทำของเรามันจริงจังขึ้นมา พอมันจริงจังขึ้นมา การรักษา พอรักษาให้มันมีพื้นฐานเป็นบาทเป็นฐาน สมถกรรมฐาน พอยกขึ้นสู่วิปัสสนาเป็นปัญญาไป มันก็จะก้าวเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

ต้องมีครูบาอาจารย์คอยส่ง คอยเชิดชู มันถึงอาจจะเป็นไป ถึงอาจจะเป็นไปนะ มันไม่เป็นไปเพราะวาสนาด้วยหนึ่ง เพราะความละเอียดรอบคอบในใจมันไม่มี นี่พูดถึงว่าปฏิบัติเริ่มต้น

ฉะนั้น เวลาเขาบอกว่า “เวลาขับรถภาวนาได้หรือไม่”

ตามภาษาเราเลย ได้ ต้องได้สิ ไม่ได้อย่างไร ต้องได้ แต่เวลาเราขับรถแล้วเราจะปฏิบัติ งานหลักของเราคือการขับรถใช่ไหม งานหลักของเราไม่ใช่การภาวนานี่ งานหลักของเราคืองานขับรถ

ทีนี้การขับรถมันต้องมีสติมีปัญญามีความรอบคอบทั้งนั้นน่ะ เดี๋ยวมันจะเกิดอุบัติเหตุ งานหลักของเราคืองานขับรถ แต่เวลาคนขับรถ คนขับรถแล้ว ขับรถแล้วมันก็มีแต่ความฟุ้งซ่าน ขับรถแล้วนะ มีแต่ความวิตกกังวล ขับรถแล้วก็คิดถึงครอบครัว คิดถึงบ้านคิดถึงเรือน มันมีแต่ความทุกข์ไปทั้งนั้นน่ะ

แต่เวลาเราขับรถแล้ว หน้าที่หลักของเราคือการขับรถไง แต่ขับรถเราก็ภาวนาไปด้วย เราภาวนาไปด้วย หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราหายใจของเราไปด้วย

คนขับรถแล้วเขาก็ฟังเพลงฟังอะไรของเขา ไอ้เราขับรถ เขาบอกเขาฟังเทศน์หลวงพ่อ เอาหูฟังเสียบหูไว้เลย ฟังเทศน์หลวงพ่อ แล้วก็ฟังเทศน์ของเราไป

แต่งานหลักของเราคือการขับรถ ถ้างานหลักของเราคือการขับรถ โดยสติสัมปชัญญะมันต้องรู้พร้อม แต่การขับรถ การภาวนาไปด้วย คือไม่ให้กิเลสมันครอบงำ ไม่ให้กิเลสมันมีอำนาจเหนือกว่า ขับรถไปด้วยความทุกข์ความยาก ขับรถไปด้วยความวิตกกังวล กับขับรถไปด้วยกับการภาวนา มันแตกต่างกันไหม

ถ้าเราขับรถไปด้วยแล้วเราภาวนาไปด้วย เราไม่ให้กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่ให้ความทุกข์ความยากมันครอบงำเวลาเราทำงานไง เวลาเราทำงาน งานหลักเราคือการขับรถ

ทีนี้งานหลักคือการขับรถ ถ้าการภาวนานั้นคือการภาวนาเพื่อไม่ให้กิเลสมันเข้ามาครอบงำ หรือเอาความทุกข์ความยากเข้ามาครอบงำในเวลาขับรถ มันก็ขับรถไปด้วยความสุขไง

การขับรถมันก็เป็นหน้าที่การงานใช่ไหม การภาวนาก็ภาวนาเพื่อเป็นกรอบ เป็นกรอบกั้นไม่ให้กิเลสมันเข้ามาครอบงำในใจเราไง มันก็ไม่ต้องไปทุกข์ไปยากจนขนาดนั้นไง

นี่เขาบอกว่าเวลาเขาขับรถ เวลาขับรถกำหนดพุทโธไปด้วย พุทโธไปด้วยมันไม่ค่อยนิ่ง เขาก็เลยหายใจสุดปอด หายใจแรงๆ หายใจสุดปอดเลย พุทโธยาวๆ พุทโธยาวๆ พอพุทโธยาวๆ ไป มันเกิดอาการวูบ อาการวูบ อาการวูบนะ

เราจะบอกว่า ในการภาวนา ภาวนาที่เอาจริงเอาจัง ถ้าภาวนาเอาจริงเอาจังแบบหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติ เอาจริงเอาจังตั้งแต่พื้นฐาน เอาจริงเอาจังตั้งแต่คนจะมาบวช

คนมาบวชต้องมาฝึกหัดข้อวัตรก่อน ฝึกหัดข้อวัตรเสร็จแล้วให้ตัดเย็บเสื้อผ้า ให้ตัดเย็บจีวรได้ ให้ท่องปาฏิโมกข์ได้นะ หลวงปู่มั่นท่านถึงจะให้บวช พอบวชเสร็จแล้วไม่ต้องวิตกกังวลกับเรื่องอะไรอีกแล้ว บวชไปแล้วก็ตั้งใจภาวนาๆ เห็นไหม เขาวางพื้นฐานมาอย่างนั้น ความตั้งใจของเขา ความตั้งใจ ตั้งใจเพื่อให้มันเป็นจริงเป็นจัง

เพราะศาสนานี้มีมรรคมีผล ศาสนานี้มีข้อเท็จจริง ถ้าทำจริงมันจะได้ของจริงไง ไม่ใช่ทำพอเป็นพิธี ทำเล่น ทำแข่งขันกัน ทำเพื่อว่าได้ทำแล้วๆ ไอ้นั่นน่ะปฏิบัติในชีวิตประจำวัน มันยิ่งใหญ่ ชีวิตเรามันยิ่งใหญ่ งานมันยิ่งใหญ่ ก็เลยธรรมะเป็นของเล็กน้อย แล้วทำไปก็ทำเป็นเครื่องอยู่ แต่ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เราเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราตั้งใจ

อย่างเช่นคำถาม คำถามบอกว่า เวลาขับรถแล้วเราก็ภาวนาไปด้วย แล้วมันก็กึ่งๆ ไม่ได้ถึงที่สุด เราก็ตั้งใจเลย หายใจสุดๆ เลย

พอหายใจสุดๆ เข้า จิตมันจะอยู่ตรงนั้นแล้ว สิ่งที่อายตนะที่รับรู้ หน้าที่การขับรถของเรา เราต้องดูถนน เราต้องดูความปลอดภัย นี่มันหดเข้ามา พอหดเข้ามา มันวูบ ถ้ามันวูบ มันวูบอย่างนั้น

แล้ววงเล็บด้วย ผมไม่ได้ง่วงนอนนะ ผมสดชื่นตลอดเวลา แล้วก็ลองใหม่ มันก็วูบอีก พอบริกรรมชัดๆ มันก็วูบอีก เขาเลยกลัวอุบัติเหตุ แล้วเขาถามว่า สงสัยว่าเป็นอาการของจิตหรือเป็นเรื่องของร่างกาย

เป็นอาการของจิตอยู่แล้ว เป็นอาการความรับรู้ ความรับรู้มันเกิดจากจิตทั้งหมด

เขาบอกว่าเขาไม่ได้ง่วงนอน ร่างกายได้พักผ่อนพอสมควรแล้ว ดีแล้ว

ร่างกายมันเป็นที่อยู่ของใจ เป็นที่อยู่ของใจ ถ้าใจเข้มแข็ง การทำงานทุกๆ ชนิด หัวใจต้องมาก่อน ถ้าหัวใจคนที่จริงจัง หัวใจที่มุ่งมั่นทำแล้วจะประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเราทำด้วยความโลเล เราทำด้วยความไม่มั่นใจ เราก็ทำงานได้ ถ้าถึงประสบความสำเร็จ เพราะเคยทำงานมามันก็ประสบความสำเร็จพอเป็นพิธี เพราะมันเสร็จตามหน้างานนั้น

แต่ถ้าหัวใจมันยิ่งใหญ่ๆ นี่เราตั้งใจของเรา หัวใจมันยิ่งใหญ่ ถ้ามันชัดๆ ขึ้นมา อาการวูบอย่างนั้นมันมี อาการวูบมันมี ถ้ามันมีแล้ว

เราจะบอกว่า งานหลักของเราคือการขับรถ ถ้างานหลักของเราคือการขับรถ เราไม่ต้องการให้มันลงสมาธิ ไม่ต้องการให้มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอก

เวลาขับรถ ขับรถภาวนาได้ไหม

ได้สิ ได้ ไม่ได้อย่างไรล่ะ ได้เพราะอะไร ได้เพราะว่า ไอ้สติ ไอ้สมาธิมันเป็นเครื่องป้องกันทุกข์ยาก มันเป็นเครื่องป้องกันกิเลส มันเป็นเครื่องป้องกันความผิดพลาด แล้วขับรถถ้ามีสติปัญญา มันดีทั้งนั้นน่ะ

ถ้าเรามีงานหลักของเราอยู่แล้ว การภาวนามันก็ภาวนาต่อเนื่องไป รักษาหัวใจเราไป แต่ถ้ามันจะเป็นสมาธิ มันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เราพ้นจากการขับรถแล้วเรามาพิสูจน์กัน ไอ้วูบๆ นั่นน่ะ

ไอ้วูบๆ ถ้าพอเรานั่งสมาธินะ ถึงเวลา เรามีเวลา เวลาขับรถไปทางไกล เวลาไปปั๊มมันก็มีที่พัก จอดเลย แล้วตอนนี้พุทโธยาวๆ หายใจสุดปอด มันวูบแล้วให้มันลงเลย ถ้ามันจริงตอนนั้นน่ะ

เวลาเอาจริงๆ มันก็ไม่ลง มันไม่ลง แต่เวลาทำงานอยู่นี่มันก็จะมาล่อให้ลงๆ กิเลสของคนมันร้ายนัก

ฉะนั้น อาการที่เป็นอย่างนั้นเป็นอาการทางจิตใช่ไหม

ใช่ อาการทางจิต ร่างกายไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ร่างกายมันง่วงเหงาหาวนอน มันเพลีย เราทำงานมามันเพลีย มันก็เป็นไปได้

เวลาหลวงตาท่านพูดอย่างนี้นะ เวลาอดอาหาร อดอาหารเพื่อจะภาวนา เวลาอดอาหารเพื่อจะภาวนา พออดอาหารแล้วมันภาวนาดี แต่สิ่งมีชีวิตมันต้องมีอาหาร ร่างกายนี้มันก็ต้องมีอาหารใช่ไหม เวลาถึงที่สุดแล้วต้องหาอาหารมาเพื่อดำรงชีพนี้ไว้เพื่อไม่ให้ร่างกายมันชำรุดเกินไป

พอไปบิณฑบาต พอมาฉัน บิณฑบาต สิ่งที่อ่อนเพลีย สิ่งที่โหยหา มันกลับมาเร็วมาก ท่านบอกร่างกายมันฟื้นได้เร็วมาก แต่จิตใจฟื้นได้ช้า

จิตใจ เวลาภาวนา อดอาหารภาวนาสะดวกสบาย แต่ไม่ฉันอาหารก็ไม่ได้ เพราะชีวิตนี้มันต้องการอาหาร ก็ไปบิณฑบาตมาฉัน พอท่านบอกฉันขึ้นมาแล้วมันสดชื่น แหม! มันคล่องแคล่วเลยน่ะ ร่างกายมันเดินเหิน อู้ฮู! คล่องตัว แต่หัวใจมันอืดอาด

คนภาวนาเขาจะเปรียบเทียบนะ เราเป็นคนที่ภาวนาเอง เราจะทำสิ่งใดเอง เราต้องมาเปรียบเทียบกับผลการภาวนาเราได้ประโยชน์มากหรือประโยชน์น้อย แต่ชีวิตมันก็ต้องการอาหารเป็นเรื่องธรรมดา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราทำหน้าที่การงานของเรา เราก็มีหน้าที่การงานของเราเป็นเรื่องธรรมดา แต่เรื่องการภาวนามันเป็นเรื่องที่เราจะพิสูจน์นะ เราต้องการความจริงในใจของเรานะ เราต้องการความจริงกับชีวิตนี้ ชีวิตนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทำหน้าที่การงานสำเร็จแล้วก็คือความสำเร็จ ก็เท่านี้

แต่ถ้าหัวใจเวลาถ้ามันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา เราจะเห็นมรรคเห็นผลนะ เราจะเห็นความมหัศจรรย์ของจิต เราจะเห็นความมหัศจรรย์ของศาสนา เราจะเห็นความมหัศจรรย์ของมรรคของผลที่มันเป็นจริงในใจขึ้นมา อันนั้นมันเป็นความจริง ถ้าความจริงอันนั้นมันจะประเสริฐกว่าไง

ฉะนั้นจะบอกว่า เวลาเขาบอกว่าขับรถภาวนาได้ไหม

เราว่าได้ ได้แน่นอน แต่การขับรถ เราขับรถเพื่อรักษาหัวใจไม่ให้ทุกข์ไม่ให้ยาก รักษาหัวใจ รักษาให้เราทำดีของเราไปตลอด

แต่ถ้าเวลามันวูบ ลงสมาธิ เพราะมีคนเขาบอกว่า “ขับรถภาวนาไม่ได้ ถ้าเดี๋ยวมันวูบแล้วมันเกิดอุบัติเหตุ มันจะเกิดอุบัติเหตุ”

แล้วเวลามันทุกข์มันยากในใจ มันตรอมใจ กิเลสมันกัดหัวใจนี่ได้ไหม เวลากิเลสมันกัดนี่มันได้ เพราะเราภาวนาเพื่อแค่นี้เองไง แค่ไม่ให้กิเลสมันกัดหัวใจ แค่เพื่อไม่ให้มันตรอมใจ เพื่อให้มีความสุข

ถ้าเวลาภาวนาจริงๆ อาการวูบๆ เวลาคนที่ภาวนาแล้วเวลาจิตมันจะลงนะ เวลาจิตมันจะลงมันเกิดอาการวูบ

เวลาที่มันฟุ้งซ่าน เวลามันฟุ้งซ่าน เวลาคนมันฟุ้งซ่านมันฟุ้งซ่านนะ คิดไปร้อยแปด ยิ่งถ้าปกตินะ โดยธรรมดาโดยปกติเราชีวิตประจำวัน โอ้โฮ! คนอย่างเราเป็นผู้วิเศษ จะภาวนาเมื่อไหร่ก็ได้ ธรรมะ นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอกก็ศึกษาแล้ว โอ้โฮ! นั่งสมาธิก็เป็นสมาธิเลย ถ้านั่งปัญญา เดี๋ยวปัญญาจะเกิดเลย เวลามันคิดนะ

แล้วเสร็จแล้วมันก็ตัดสินใจ อย่างนี้ลองภาวนาดู พอไปนั่งภาวนา โอ้โฮ! โลกแทบระเบิดเลย หัวใจนี้มันคิดไปร้อยแปดเลย เอาไม่อยู่หรอก

เวลาจะภาวนานะ เวลาจะบังคับมันนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาษาบาลีเราจำไม่ได้ ท่านบอก จิตของคนเปรียบเหมือนช้างสารที่ตกมัน

เวลาช้างตกมัน มึงเอามันอยู่ไหม หัวใจของคนนี่นะ เวลามันคิดโดยที่สติไม่รอบคอบ เหมือนช้างสารที่ตกมัน หัวใจมันดีดมันดิ้น มันกระทืบเอาแบนแต๊ดแต๋เลย

เวลาคิด อู้ฮู! ภาวนาฉันก็รู้ นักธรรมโท นักธรรมตรี นักธรรมเอกเรียนมาแล้ว โอ๋ย! ธรรมะก็เรียนมาแล้ว ศึกษาธรรมะก็ศึกษามาแล้ว ปฏิบัติของง่ายๆ ทำเมื่อไหร่ก็ได้...ตายนั่นน่ะ

แต่ถ้าเวลาเราเอาจริงเอาจังของเรา มันก็ดีขึ้น จากพุทโธไม่ได้ ก็พุทโธคล่องแคล่วขึ้น แล้วพอมันเกิดอาการวูบๆ อาการอย่างนี้ ถ้าอาการมันวูบ ถ้าคนมันจะวูบนะ อาการวูบ ถ้าวูบถ้าคนไม่มีวาสนา เวลาวูบไปสติมันไม่เท่าทัน พอไม่เท่าทันนะ มันจะวูบแล้วหายไปเลย อันนี้คือตกภวังค์

พอตกภวังค์ไปด้วยความเข้าใจผิดนะ “โอ้โฮ! นั่งสมาธิมันสุดยอด มันสุดยอดเลยนะ แหม! ตื่นขึ้นมาแล้วออกจากสมาธิมา” ไม่รู้ว่านั่นตกภวังค์ไปนะน่ะ

แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธินะ เวลาพุทโธๆ มันจะวูบ เราก็รู้สึกตัวตลอด ถ้าวูบ เราก็มีสติคอยบำรุงรักษา ถ้ามันจะไปไหนนะ สติมันจะตามทันเราไปตลอด มันจะไปไหนก็ไปเถอะ มันจะลงสุดยอดขนาดไหนเราก็มีสติสัมปชัญญะไปพร้อม พอมีสติสัมปชัญญะไปพร้อมนะ ไปพร้อม ถึงที่สุดนะ ถ้ามันวูบๆๆ ปุ๊บ! กึ๊ก! เลยนะ ถึงฐานของจิต

แล้วอาการนะ ภาษาเรา คนตกจากที่สูงด้วยความเร็ว เราจะเกิดผลกระทบ แรงดึงดูด แรงโน้มถ่วงมันมีไปหมดน่ะ จิตมันจะรู้ไปหมด โอ๋ย! มันชัดเจนไปทั่ว อย่างนี้เขาเรียกว่าลงสมาธิ ถ้าลงสมาธิ ถ้ามันลงที่อัปปนาสมาธิ สักแต่ว่า มันดับหมด

ดับหมดถึงผิวหนัง ดับหมดถึงความรู้สึก ความรู้สึกอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กายนี่ดับหมดเลย แต่จิตไม่ดับ จิตชัดเจน สักแต่ว่ารู้ จิตเป็นตัวมันเองเลย นี่สัมมาสมาธิ

ถ้ามันเป็นอย่างนั้น เวลาถ้ามันจะเป็น เราจอดรถ เราจอดรถก่อนแล้วเราพิสูจน์ เวลาพิสูจน์ มันไม่วูบ มันไม่ได้ ถ้าไม่ได้ ขับรถต่อไป

นี่พูดถึงว่า ทีนี้เวลาคนภาวนาๆ ที่มีคนมาอุทธรณ์บอกว่า ภาวนาไม่ได้ ขับรถภาวนาไปแล้วเดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ

คนภาวนามันต้องมีสติสัมปชัญญะพร้อมนะ สติสัมปชัญญะพร้อม ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นเราก็ควบคุมได้ การภาวนานี้เรารักษาหัวใจของเรา รักษาหัวใจไว้ให้พร้อม แล้วถ้ามีเวลาเราไปนั่งสมาธิจริงๆ ปฏิบัติจริงๆ ตอนนั้นน่ะ ตอนนั้นน่ะมันจะลงลึกขนาดไหน มันจะดีขนาดไหน ตอนนั้นน่ะ ตอนนั้นน่ะให้มันชัดเจนเลย พอมันชัดเจน ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เห็นไหม

คนภาวนาคือคนทำงาน คนทำงานเป็นต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา คนภาวนาเป็นต้องรักษาจิตใจของคนถูกต้อง

คนภาวนาเป็นมีแต่ตำรา มีแต่ความรู้ในตำรา แล้วเวลาทำอะไร ทำไปๆ ทำไม่ได้จริงไง มันเป็นสุตมยปัญญา ปัญญาคือการศึกษาทั้งนั้น มันไม่ใช่ปัญญาในการปฏิบัติ

ปัญญาในการปฏิบัติมันเกิดขึ้นจากการกระทำ แล้วเกิดขึ้นจากการกระทำ เกิดขึ้นจากความรู้ความเห็นของตน ถ้าเกิดขึ้นจากความรู้ความเห็นของตน นั่นน่ะมันชัดเจนอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันชัดเจนอย่างนั้น นี่ผลของการปฏิบัติ

นี่ไง สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา การภาวนา จิตมันภาวนา จิตมันเป็น พอจิตมันเป็น เราภาวนาเป็น เราเป็นคนทำเสียเอง มันเป็นอย่างไรเราดูแลรักษาไปตลอดนี่ไง มันต้องมีอย่างนี้มันถึงว่าคนภาวนาเป็น

คนภาวนาไม่เป็น นั่งหลับ ตกภวังค์ไปหมด นั่งหลับ แล้วเข้าใจว่าภาวนาเป็นนะน่ะ เพราะถือว่าได้นั่ง แล้วนั่งนานเสียด้วยนะ นั่งนี่นิ่งเชียว

ออกมา ถ้าเป็นการปฏิบัตินะ พูดให้มีคุณค่า เขาบอกนั้นเป็นมิจฉาสมาธิ ภวังค์ก็เป็นสมาธิชนิดหนึ่งแต่เป็นมิจฉา มิจฉาเพราะขาดสติ

ถ้ามีสติมันจะไม่หลับ เพราะขาดสติมันถึงหลับ การหลับนั้นเพราะขาดสติ การขาดสติมันจะเป็นสัมมาไปได้อย่างไร ถ้ามีสติอยู่มันไม่หลับ

แต่นี้พอถ้ามีสติพร้อมมันจะละเอียดไปเรื่อยๆ ละเอียดไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามันขาดสติ แว็บ! แล้วพอเวลาจะมานะ โอ้โฮ! รู้สึกตัว สะดุ้งเหมือนรู้สึกตัว นั่นน่ะภวังค์ล้านเปอร์เซ็นต์ ล้านเปอร์เซ็นต์

แต่ถ้ามันไม่ถึงนะ มันก็แค่วูบๆ แต่ยังรู้สึกตัวอยู่ ไม่หาย อย่างนี้กึ่งๆ จะว่าไม่รู้ก็รู้ จะว่ารู้ก็ไม่รู้ ถ้าจะว่ารู้ รู้ได้อย่างไร เพราะมันวูบไป มันกึ่งๆ ภวังค์มันก็มีหลายระดับของมันใช่ไหม นี่พูดถึงว่าถ้าเป็นอาการของจิต

เราจะบอกว่า การขับรถภาวนาได้หรือไม่

ได้ แต่ถ้าการขับรถแล้วมันจะเกิดอุบัติเหตุ ก็บอกแล้วว่างานหลักคืองานขับรถ งานขับรถเราภาวนา ภาวนาเพื่อให้สติสัมปชัญญะมันสมบูรณ์ ไม่ใช่ว่าขับรถไปด้วย ขับรถก็ขับรถไป แล้วสมาธิก็เป็นอีกตัวหนึ่ง ก็เลยจิตแยกเป็นสองดวงหรือ ดวงหนึ่งขับรถ ดวงหนึ่งจะเป็นสมาธิ มันไม่มี จิตมีดวงเดียว ฉะนั้น ทำหน้าที่แตกต่างหลากหลาย

นี่พูดถึงว่า มันเป็นอาการของจิตหรือเป็นร่างกายครับ

อันนี้พูดถึงการภาวนานะ เราจะบอกว่า ขับรถไป แล้วฝึกหัดภาวนาไป เพราะการภาวนานั้นทำให้คนถามได้ประโยชน์ขึ้นมา จากสิ่งที่ว่าเคยบวชมา เห็นคุณงามความดีมา แต่เวลาบวชออกมาแล้วเราก็มาใช้ชีวิตด้วยสิ่งเสพติดทุกชนิด เพราะอะไร

เพราะมันเป็นเรื่องของโลกไง ทั้งๆ ที่ว่าเราก็รู้ว่ามันไม่ดี แต่พอมาฟังธรรมะ เวลาฝึกหัด สิ่งนี้เขาบอกว่าเขาหยุดได้หมดเลย เขาเลิกได้เลย จนพ่อแม่ยังดีใจ

นี่ปัญญาชน ปัญญาชน เรามีปัญญาของเรา รักษาหัวใจของเราไง

แล้วทีนี้เขาบอกว่าเขาอยากจะบวช เคยคุยกับแม่หลายครั้งแล้ว แม่บอกว่า แม้แต่ชีวิตทางโลกยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าบวชไปแล้ว เวลาสึกออกมาตอนเมื่ออายุแก่แล้วจะมาทำอะไรกินกัน

ส่วนใหญ่โลกคิดกันแบบนี้ ถ้าโลกคิดแบบนี้ ทีนี้เรามีความรับผิดชอบใช่ไหม เรามีความรับผิดชอบเพราะเรามีครอบครัว ถ้ามีครอบครัว เราก็ต้องดูแลครอบครัวของเราไป

ถ้าเรายังบวชตัวเองไม่ได้ เราก็บวชหัวใจเราไปก่อน บวชหัวใจ ถ้าบวชหัวใจไปแล้ว หนึ่ง แม่ก็ภูมิใจ ครอบครัวก็ดีใจ พี่น้องดีไปหมดเลย พี่น้องดีใจไปทุกคนเลย เพราะเราเลิกสิ่งเสพติดทั้งหมดได้ เราไม่มีสิ่งเสพติด ชีวิตเราก็กลับมาเป็นปัญญาชน เป็นปัญญาชน ชีวิตเรากลับมามีคุณค่า ชีวิตกลับมามีคุณค่า นี่ธรรมะมันให้ผลเป็นชั้นๆ ขึ้นมา

ธรรมะนี้ให้ผลประโยชน์มหาศาลเลย แต่เรายังไม่เห็นเลยว่าชีวิตเราที่เปลี่ยนไปมันได้คุณประโยชน์มามากขนาดนี้ แล้วถ้าภาวนาต่อเนื่องไป ถ้าภาวนาไปนะ มันมีความรู้ความเห็นภายในใจ อันนั้นมันก็ประเสริฐของมันขึ้นไปเป็นอีกชั้นหนึ่งไง ถ้ามันอีกชั้นหนึ่งมันก็อยู่ที่วาสนา

ถ้าพูดถึงว่าอยากจะบวช ใจคิดว่าเขาอยากจะบวช ตั้งใจว่าจะบวช แต่ทีนี้ว่าปรึกษาแม่หลายครั้งแล้ว แม่ก็บอกว่ามันยังเป็นอย่างนั้น

นี่พูดถึงความตั้งใจนะ ความตั้งใจ จากที่ว่าเราอยู่ของเราคนเดียวไง มนุษย์เกิดมา มนุษย์เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสมบูรณ์ไปด้วยรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เวลาเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก เรามีศาสดา มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง เรามีพระธรรม พระธรรมคือสัจธรรม เรามีพระสงฆ์ พระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์ของเราที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

ถ้าเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง หัวใจเรามันไม่ว้าเหว่ หัวใจของชาวพุทธเรานี่ เรามีสติมีปัญญารักษาหัวใจของเรา รักษาตัวเรา มันเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมาไง เป็นชาวพุทธแท้ เป็นชาวพุทธที่มีคุณค่า

แต่ถ้าเราบอกว่าเราเป็นชาวพุทธ เราเคยบวชมาแล้ว แล้วก่อนหน้านั้นเราก็ปล่อยชีวิตเราไปเป็นผลของวัฏฏะไง ปล่อยชีวิตเราไปตามแต่กระแส แล้วตามกระแสนั้นก็กระแสโลก แล้วก็ไปกับโลก แต่ถ้ากลับมาเป็นธรรมๆ นะ กลับมาของเรา เราจะฝึกหัด เราจะปฏิบัติ

ฉะนั้นบอกว่า เวลาปฏิบัติไปแล้วมันวูบ

วูบนั้นเราตั้งสติไว้ แล้วไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้น เรามีหน้าที่การงาน เราก็ต้องรักษาหน้าที่การงานของเรา เราต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานของเรา หน้าที่ของเราขับรถเพื่อไปส่งสินค้า เราก็ต้องทำสิ่งนั้นให้สมบูรณ์ แล้วการภาวนามันเป็นต้นทุนชีวิตของเราเอง ถ้าต้นทุนชีวิตของเราเอง เราก็รักษาของเราเพื่อประโยชน์กับเรา

แล้วถ้าอนาคตถ้ามันจะได้เป็นไปนะ คนถ้ามันมีบุญ ถึงเวลาแล้วธรรมะจัดสรรให้ได้สมบูรณ์ตามความต้องการน่ะ ถ้าถึงตอนนั้นมันก็เป็นวาสนาของเรา

ถ้าถึงตอนนั้น เราไม่ต้องไปประชดชีวิตนะ คนที่จะเสียหายก็เพราะประชดประชันกันน่ะ การประชดประชันกันไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น

ดูสิ สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ขอเธอจงเป็นสุขๆ เถิด เป็นสุขๆ เถิด แล้วเราก็พยายามทำตัวของเรา ทำความดีของเราเพื่อชีวิตของเรา เพื่อความสุขของเรา

คนอื่นเขาจะชี้หน้า ใครจะบอกว่าเราเลวหรือเราเป็นคนดีดีเลิศขนาดไหน นั้นเป็นมารยาสาไถย เป็นคำพูดของคน ไม่จริง จริง จริงอยู่ที่การกระทำ จริงมันจริงที่เรา

เรา ใครจะติว่าเลวขนาดไหนนั้นก็เป็นนินทากาเล โลกธรรม ๘ เราไม่เป็นอย่างนั้น เราไม่ต้องไปกังวล ไม่มีสิทธิ์เลย เห็นไหม สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด แต่เราก็ต้องทำของเรา เราก็จะเป็นสุขๆ ของเรา

หลวงตาท่านสอน ใครจะดี ใครจะเลว เรื่องของเขาว่ะ เราจะทำความดี เราจะทำความดี

แล้วความดีคืออะไรล่ะ ฉะนั้น ทำความดีแล้ว หน้าที่การงานของเรา เราก็ทำ ผลประโยชน์ชีวิตความเป็นจริงของเรา เราได้ประสบ เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ สูดลมหายใจเต็มปอดเลย อันนี้เพราะว่างานหลักมันก็อีกเรื่องหนึ่ง ไอ้นี่มันงานรอง เราจะทำจิตของเราให้เป็นดังความปรารถนา

แล้วปล่อยรถวิ่งไปอย่างไรล่ะ

ฉะนั้น เวลาขับรถมันก็มีหน้าที่ เราก็ต้องดูแลรักษา ไอ้งานของเรา งานหัวใจของเรา เราดูแลรักษาอย่างนี้ ธรรมโอสถ ไม่ให้พญามาร ไม่ให้ครอบครัวของมารเข้ามารุมกัดรุมฉีกหัวใจของเรา นี้ก็เป็นเอกสิทธิ์ของเรา เป็นการกระทำของเรา

ฉะนั้น ทำได้ ขับรถก็ภาวนาได้ แต่ขณะนั้นเราภาวนาเพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสมันครอบงำใจ

แต่ถ้าจะภาวนาจริงๆ เราควรจะงานเอก งานภาวนาเป็นงานหลัก งานหลักก็คือนั่งสมาธิ เดินจงกรม แล้วมีเวลาที่ไหนต้องทำอย่างนั้นมาพิสูจน์ พิสูจน์กับเวลาปฏิบัติวูบๆ

แล้วเวลามันเป็นจริงขึ้นมานะ ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน สันทิฏฐิโก รู้แจ้ง รู้แจ้งในใจของตน นั้นคือการปฏิบัติที่สมบูรณ์ เอวัง