ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ผู้ฝึกหัด

๑๗ มิ.ย. ๒๕๖๑

ผู้ฝึกหัด

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๑

วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง .โพธาราม .ราชบุรี


ถาม : เรื่องถามการปฏิบัติขั้นต้นค่ะ

กราบเท้าหลวงพ่อ 

โยมได้รับคำตอบจากหลวงพ่อในหลายกัณฑ์เทศน์เมื่อเร็วๆ นี้ จากนั้นมาจึงตั้งใจภาวนา พุทโธในชีวิตประจำวัน โดยกำหนดไว้ที่กลางอก มีความรู้สึกว่าสบายดี เหมือนจะเย็นสบาย เบาใจ ซ่าๆ เย็นๆ ดีอยู่ค่ะ บางครั้งก็มีนิมิต มีแสงสียุบยิบลอยมา โยมก็พยายามไม่ใส่ใจ กลับไปเน้นที่พุทโธต่อค่ะ 

โยมขอกราบเท้าเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งค่ะ โยมจะตั้งใจ ปฏิบัติภาวนาให้ได้มีความก้าวหน้าในทุกวัน โยมจะขอยึดหลวงพ่อ เป็นครูบาอาจารย์ผู้พาพ้นทุกข์ค่ะ ไม่หาพระองค์อื่นอีกแล้ว (เสียศรัทธากำลังใจมาเยอะแล้วค่ะ ไม่ไหวแล้วค่ะ) โยมได้อ่านและฟังเทศน์หลวงพ่อ หลวงพ่อตั้งใจตอบมากๆ และคำตอบเป็นที่กระจ่างมีเหตุผล มีเหตุและผลและส่วนขยายให้เข้าใจ แม้เราเป็นบุคคลที่ เราก็เข้าใจได้ดีมากค่ะ 

(ที่หอสมุดแห่งชาติมีหนังสือจากมูลนิธิหลวงพ่อหลายเล่ม นะคะ ๑๑ - ๑๕ มิถุนายนนี้ โยมจะไปอยู่ในสวน มีทำทาง จงกรมไว้เดิน ร่มเย็นตลอดทั้งวันค่ะ) ทางเดินกว้างเมตรครึ่ง ยาว ๑๙ เมตร เดินได้ ๓๒ ก้าว ตั้งใจว่าจะภาวนาพุทโธให้ได้ ต่อเนื่องเต็มที่ที่สุด ตั้งใจว่าจะอยู่ที่สวน ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีไฟฟ้าใช้ค่ะ ทดสอบใจตัวเองดูค่ะ (ขอยกเว้นตอนนอนและตอนฝนตก ขอเข้าบ้านนะคะ

โยมขอกราบถามว่า ในชั้นนี้โยมควรประคองพุทโธไว้ให้ได้แล้วต้องนั่งนานๆ ด้วยไหมคะ หรือหากหลวงพ่ออ่านแล้วมี จุดใดจะชี้แนะ โปรดชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ 

ตอบ : นี่พูดถึงว่าคำถามเนาะ คำถามนี่ไอ้คำนี้มันสะเทือนใจนะ เสียศรัทธา เสียกำลังใจมาเยอะแล้วค่ะ ไม่ไหวแล้วค่ะเราฟังโยมมาพูดอย่างนี้เยอะมาก ว่าเสียศรัทธามามาก มันก็ย้อนกลับนะ เราย้อนกลับ สิ่งที่โยมประสบ เราย้อนกลับถึงตัวเราเอง

ตัวเราเองตอนบวชครั้งแรก บวชครั้งแรก ตอนบวช ตอนศรัทธา เพราะศรัทธาตอนนั้นมันเป็นวัยรุ่น พอวัยรุ่นขึ้นมาแล้วมันก็คิดแบบวัยรุ่นนะ แล้วแบบว่าวัยรุ่นพลังงานเหลือใช้ อารมณ์รุนแรงมาก ก็คิดว่าผู้ที่บวชเป็นพระต้องขาวสะอาด พระต้องสะอาดบริสุทธิ์ เชื่อเขาไปหมดเลย แล้วไฟแรงมาก ใครแนะนำอย่างไรเอาทุกอย่าง สุดท้ายแล้วไม่ได้เรื่อง ล้มลุกคลุกคลาน ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ 

พอไปเจอหลวงปู่จวน อวิชชาอย่างหยาบของท่านสงบตัวลง อวิชชาอย่างกลางในหัวใจท่านอีกล้นเหลือ อวิชชาอย่างละเอียดในหัวใจอีกเต็มหัวใจเลย เออ! มันต้องพูดอย่างนี้ไง แต่บางคนเข้าไปมันดีอย่างนู้น มันดีอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้แต่ไม่พูดถึงอวิชชาอย่างหยาบสงบตัวลง ความฟุ้งซ่าน ความคับแค้นข้องใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา เราฝึกหัดปฏิบัติแล้วมันสงบตัวลงมันก็อวิชชาอย่างหยาบๆ ก็คือความขัดข้องหมองใจเรามันแค่สงบตัวลง

แต่พูดด้วยความเข้าใจของเราเอง ด้วยการอ่านหนังสือของครูบาอาจารย์หลายๆ องค์ เห็นไหมอวิชชาดับเป็นพระอรหันต์ ฆ่าอวิชชาตายแล้วเอ็งเป็นพระอรหันต์มันก็ฝังใจ ฝังใจว่าถ้ามันดับหมด อวิชชามันไม่มี อวิชชามันดับ แต่ทำไมไม่เป็นพระอรหันต์วะ มันก็อยากได้อยากดี มันก็สำมะเลเทเมาไป พอไปเจอของจริงเข้า ไปเจอหลวงปู่จวน ผัวะ! เพราะตอนนั้น พรรษา พรรษา มันเต็มที่แล้วเพราะว่าเนสัชชิกไม่นอนเลย ไม่นอน ไม่อะไรทั้งสิ้น ปฏิบัติแบบว่าเอาตายเข้าแลกทั้งนั้นน่ะ โอ้! แล้วพอไปถามใคร ไปไหนมาสามวาสองศอก

พอไปเจอของจริง พอท่านเทศน์จบบนชั้น อวิชชาอย่างหยาบๆ ของท่านสงบตัวลง อวิชชาอย่างกลางๆ ในหัวใจ ท่านอีกมหาศาลเลย อวิชชาอย่างละเอียดในหัวใจท่านทั้งดวงเลย มันก็เข้าใจได้ว่าที่เราละเราวางมา ที่บอกว่าอวิชชาดับแล้วจะเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ขี้หมา อวิชชาหยาบๆ ของมึง แค่สงบตัวลง คนที่เป็นพูดคำเดียว ตั้งแต่นั้นปั๊บ เออ! ไม่บ้าบอ คอแตกอีกแล้ว ไม่เชื่อใครอีกแล้ว ไม่ไปไหนอีกแล้ว แล้วก็พยายามเอาจริงเอาจังขึ้นมา

พอเอาจริงเอาจังขึ้นมา เห็นไหม พอท่านเครื่องบินตก มันรู้เลยว่าเราจะไปคุยกับใครได้อีกล่ะ ไปคุยกับใครก็สามวาสองศอก อย่างที่เขียนมาเนี่ยเสียศรัทธา เสียกำลังใจมาเยอะมาก ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว เราเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน ไม่ไหวแล้ว พอเครื่องบินตกเราไม่ฟังใครแล้ว หลวงตาองค์เดียว หลวงตา องค์เดียวเลย ไม่ฟังใครทั้งสิ้น แล้วอย่างที่ว่าเวลาท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น เถียงด้วยความเคารพ เพราะมันปฏิบัติไปมันเจออุปสรรค ปฏิบัติไปมันจะเจอทุกอย่าง

เราเจอเอง ของเราอมอยู่ในปาก แล้วคนมีบอกว่าในปาก เราไม่ใช่ๆ ก็ของอมอยู่ในปาก จิตมันสัมผัส จิตมันรับรู้ อย่างที่ว่า มันเห็นแสงสีระยิบระยับ เราเห็น เรารู้ เหมือนอมอาหารอยู่ในปาก แต่อาหารมันถูกผิดยังไม่รู้นะ แต่อมอยู่ในปาก ก็อยากจะอวดว่าในปากกูมีอาหาร ก็อยากจะโชว์ เถียงโดยความเคารพ โดยธรรมชาติมันต้องมีการโต้แย้งเป็นเรื่องธรรมดา

ถ้ามีเรื่องโต้แย้งเป็นธรรมดานะ แล้วถ้าครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมนะ โอ้โฮ! อย่างเช่น เวลาหลวงปู่มั่นท่านแหย่ หลวงตาอย่างนี้ เวลาหลวงตาท่านแหย่พระเรา เราเห็นประจำ เวลาอยู่ที่บ้านตาดนะ ท่านเห็นพระองค์หนึ่งนะโอ๋ย! ท่านนี่สำเร็จบ่อยเหลือเกิน ท่านนี่ไม่สำเร็จอีกหรือเวลาท่านลงมาเทศน์ เทศน์ที่ศาลา ท่านแหย่พระองค์นั้นไงท่านไม่สำเร็จอีกหรือ สำเร็จอีกไหม ท่านสำเร็จบ่อยมาก สำเร็จบ่อยมากท่านจะแหย่เรื่อย คำว่าแหย่เรื่อยหมายความว่าพระขึ้นไปถามปัญหาท่าน แล้วท่านเอ็นดู ถ้าครูบาอาจารย์ท่านแหย่เล่นนี่นะ ท่านเอ็นดู เหมือนเรา เราเห็นเด็กๆ มันไร้เดียงสา แล้วเด็ก ที่มันพูดอะไร มันทำกิริยาให้เราเห็น มันน่ารักนะ 

นี่ก็เหมือนกัน พระที่บวชใหม่ๆ ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันจะมีอุปสรรค เวลามีอุปสรรคขึ้นมา เราไปเจออะไรเข้า มันก็เหมือนเด็กไร้เดียงสา มันก็เล่นของมัน มันก็พยายามของมัน นั่นแหละ เด็กไร้เดียงสามันพยายามทำงานของมันอวดพ่อ อวดแม่มันนะ แต่มันทำไม่ได้หรอก แต่มันพยายามของมัน อู๋ย! ขวนขวาย ขยันหมั่นเพียร ก็เด็กมันทำอะไรได้ แต่มันก็ยังขวนขวายของมัน เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านตอบปัญหามันจะมีความรู้สึกอย่างนี้

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านก็เอ็นดูหลวงตานะ ท่านก็แหย่เล่น เวลาหลวงตาท่านพูดว่า หลวงปู่มั่นท่านจะทีเล่นทีจริง แต่เราจริงตลอด แล้วหลวงตาท่านก็มาดูแลลูกศิษย์ท่าน เราอยู่กับท่าน เราเห็น เวลานั่งอยู่ด้วยกัน นั่งอยู่ด้วยกันหมายความว่าเวลาท่านเทศน์ตอนกลางคืน นั่งอยู่ด้วยกัน ท่านแหย่พระนะท่านไม่สำเร็จแล้วหรือ สำเร็จบ่อยมากเลยคงรำคาญ เดี๋ยวๆ ก็ไปสำเร็จ เดี๋ยวๆ ก็ไปสำเร็จ ท่านถามต่อหน้า เทศน์ท่ามกลางสงฆ์ ท่านแหย่เล่นไง ท่านไม่สำเร็จอีกแล้วหรือ สำเร็จอีกไหม วันหนึ่งสำเร็จ หน หน เดี๋ยวๆ ก็ไปรายงานผลว่าสำเร็จ เดี๋ยวๆ ก็ไปรายงานผลว่าสำเร็จ

ไอ้กรณีอย่างนี้ ไอ้พวกเราเด็กทารกมันก็ไร้เดียงสา ครูบา-อาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมนะ ก็ไร้เดียงสามันจะเป็นธรรมได้อย่างไร แต่คนที่ไร้เดียงสาเขายังขวนขวาย พยายามทำความเพียร วิริยะ มีการกระทำ ผู้ใหญ่เขาเห็นแล้วมันน่าเอ็นดูนะ แต่เป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้หรอก แต่ท่านเอ็นดู ท่านก็พยายามคุยด้วยไง

นี่พูดถึงว่าถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง เวลาถ้าเราผิดพลาด ท่านสั่งสอนเรา ท่านเอ็นดูนะ แต่! แต่ของของเรา เถียงด้วยความเคารพ เราก็มีของเราอย่างนั้นนะ ถ้าเรามี อย่างนั้นปั๊บ ถ้าเราเป็นสุภาพบุรุษ เหมือนว่าเรามีอำนาจวาสนา เวลาเราเถียงด้วยความเคารพ แล้วเวลาท่านพูดด้วยเหตุด้วยผล เห็นไหม หลวงตาท่านจะบอกเลยนะ หัวแตกทุกทีเลย สู้ท่านไม่ได้หรอก เวลาเอาจริงเอาจังกันสู้ท่านไม่ได้หรอก สู้เหตุ และผล กิเลสมันสู้ธรรมได้อย่างไร กิเลสมันสู้ธรรมไปไม่ได้หรอก เวลาถ้าอธิบายด้วยเหตุด้วยผลกิเลสแพ้ราบคาบ

แต่การแพ้ราบคาบ เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะอธิบาย ท่านจะให้เราแพ้ราบคาบแบบว่าถอยร่นจนไม่เป็นขบวนหรือ ท่านให้แพ้ราบคาบแต่ท่านก็ให้กำลังใจนะ เออ! ให้ขยันให้หมั่นเพียร ให้สู้นะ ให้มีการกระทำ กิเลสมันจะเอาอะไรไปสู้ธรรมะ เป็นไปไม่ได้หรอก เพียงแต่เวลาท่านแก้ไข ท่านให้กำลังใจ ท่าน ให้กำลังใจ ท่านยุ เวลาหลวงตาท่านบอก หลวงปู่มั่นเออ! มหาภาวนาดีอย่างนู้น ดีอย่างนี้นะ ท่านบอกเลย เหมือนยุหมาเลย ไอ้หมาก็คึกใหญ่เลยนี่ท่านพูดของท่าน เวลาครูบาอาจารย์ท่านยุ ท่านให้กำลังใจ ท่านพยายามส่งเสริม ท่านพยายามกระตุ้น ไอ้เราก็หมา อู้ฮู! เห่าใหญ่ อู้ฮู! เก่งใหญ่เลยนะ ก็หมา แต่ก็พยายามสร้างสม พยายามกระทำของเรา 

นี่พูดถึงว่าคำนี้มันสะเทือนใจไง เสียศรัทธา เสียกำลังใจมาเยอะมาก เราก็เหมือนกัน เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถ้าเราไม่มีหลักมีเกณฑ์ของเรา เรารู้ในตัวเราเองไม่ได้ เรารู้ตัวเองไม่ได้ พอเราไปเจอข้างนอกเราถึงเข้าใจไง เวลาเขามาพูดถึงพระองค์นั้นก็ดี พระองค์นี้ก็ดี โอ้โฮ! ญาติโยมเขาศรัทธามีความเชื่อมากเลยมันเป็นปรัชญา นิยายธรรมะ ถ้าเป็นนิยายธรรมะพวกเราอ่านนิยายธรรมะชอบ ผู้ชนะสิบทิศอ่านแล้วแหม! ซาบซึ้ง นิยายธรรมะคือเราเข้าใจเนื้อธรรมนั้นได้ 

แต่ถ้าเป็นธรรมของครูบาอาจารย์เรานะ ดูสิ เวลาหนังสือธรรมะของหลวงตา เทศน์ของหลวงปู่มั่น เวลาคนศึกษาแล้วไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ เวลาเข้าใจ เข้าใจได้ยากมาก เพราะมันเหนือโลกไง มันไม่ใช่ปรัชญา มันเป็นความจริง แล้วเราตีความไม่ออก เราตีความอันนั้นไม่ได้ แล้วเราทำความเข้าใจอย่างนั้นไม่ได้ แต่ถ้าเราปฏิบัติมีพื้นฐาน พอปฏิบัติมี พื้นฐานขึ้นมา เห็นไหม เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะบอกเลย เออ! พวกนี้ฟังธรรมะเป็นแล้ว

คำว่าฟังธรรมเป็นนี่ก็เรื่องหนึ่งเลยนะ หลวงตาท่านบอกว่าท่านเป็นมหานะ คือท่านศึกษาบาลีมา แล้วเวลาท่านบอกท่านอยู่ในกรุงเทพฯ ท่านเป็นเลขาของสมเด็จฯ ท่านฟังเทศน์ เจ้าฟ้าเจ้าคุณมาเยอะแยะเข้าใจหมดล่ะ ไปฟังเทศน์หลวงปู่มั่นครั้งแรกไม่เข้าใจ แต่ด้วยวาสนาของท่านนะ ท่านบอกว่าเราผิดเอง เราผิดเอง นี่เทศน์พระป่า เทศน์จากความจริงเป็นแบบนี้ จิตใจของเรามันต้องปีนบันไดฟัง แล้วมันยังปีนบันไดไม่ได้ มันก็ไม่เข้าใจ เห็นไหม 

ท่านบอกว่าสาธุ เดชะนะ เป็นบุญของท่าน คือไม่ติเตียนว่า โอ้โฮ! เทศน์ป่าเถื่อน เทศน์ไม่ได้ความ แล้วไม่เอาอีกเลยไง มีคนเยอะมากเข้าไปหาหลวงปู่มั่น แล้วฟังไม่เข้าใจ แล้วดูถูกดูแคลนหนีไปเลย พอหนีไปเลย แล้วสุดท้ายไม่เป็นความจริงไง แต่ท่านบอกว่า สาธุ เป็นเดชะ โทษตัวเองว่าเห็นไหมฟังเทศน์เจ้าฟ้าเจ้าคุณมาก็เยอะ เข้าใจทั้งนั้นเลย คราวนี้มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นไม่เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ เห็นไหม เราพยายามฝึกฝนของเราพอท่านภาวนาเริ่มมีพื้นฐานนะ โอ้โฮ! บอกเหมือนทารกได้กินนมแม่ ถ้าวันไหนได้ดื่มนมแม่วันนั้นมีความสุข วันไหน ได้ฟังเทศน์ โอ้โฮ! มันฝังใจ นี่ฟังธรรมเป็น

เหมือนกัน หนังสือโดยทั่วๆ ไป หนังสือโดยทั่วไป อู้ฮู! สุดยอด สุดยอด สุดยอด นิยายธรรมะ อิงประวัติศาสตร์ พออิงประวัติศาสตร์ เราอ่านไปแล้วเราก็เข้าใจ เรื่องโลกๆ นี่ปรัชญา แต่ถ้าเป็นธรรมจริงๆ ฟังธรรมเป็นๆ ไง ถ้าเริ่มฟังธรรมเป็นมันต้องมีพื้นฐาน พอมีพื้นฐานฟังเข้าใจแล้ว เพราะฟังเข้าใจแล้ว เห็นไหม มันก็เริ่มจะเก็บหอมรอมริบแล้ว เก็บหอมรอมริบเราจะทำตัวเราเข้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นได้เราก็มีหนทางไป 

ไอ้นี่มันเหมือนกันไง เพราะว่าเขาวงเล็บไว้ว่าเสียศรัทธา เสียกำลังใจมาเยอะฉะนั้น เวลาจะเริ่มประพฤติปฏิบัติ ถ้าเริ่มประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเขาบอกกำหนดพุทโธ ใจมันซ่าๆ เย็นๆ ดี แล้วมันเริ่มมีแสงสียุบยิบๆ มาไอ้แสงสีสิ่งต่างๆ เราไม่เอา โดยธรรมชาติ เห็นไหม เวลาพวกอภิธรรมเขาจะบอกเลยไอ้พุทโธๆ ไอ้พวกสมถะ เวลาทำไปแล้วคือติดนิมิตๆสิ่งใดที่ มันจะเกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้น มันเป็นสัจจะเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นข้อเท็จจริง

เช่น เราทานอาหารมันต้องมีรสชาติ จิตถ้ามันสงบแล้ว มันจะมีความสุขของมัน ถ้าจิตสงบแล้วมันจะเห็นสี เห็นแสง เห็นต่างๆ เรากินอาหารกัน เห็นไหม เราทานอาหาร เราทานอาหารเพื่อความอิ่มหนำสำราญ เราทานอาหารเพื่อความดำรงชีวิต เราไม่ได้ทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย ถ้าทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อยแล้วติดในรสในชาติ มันก็จะต้องไปแสวงหาอาหารอย่างนั้นตลอดไป ต้องขี่รถไปกินอาหารที่นั่นๆ มันวุ่นวาย

นี่ก็เหมือนกัน เราพุทโธๆ ไว้ เราเพื่อความสงบของใจ ถ้ามันมีรสมีชาติ เวลามันเห็นสีเห็นแสง เราไม่ตามกับสีแสงนั้น เราอยู่กับพุทโธของเราไป อยู่กับพุทโธของเราไป เรารักษาอาหาร ของเราไว้ รักษา เราพุทโธๆๆ ของเราไว้ เราไม่ตามใครไป ทั้งสิ้น ถ้าเราไม่มีอาหารกินมันก็หิวมันก็โหย มันก็จะเป็นจะตาย คนเราเวลาขาดอาหาร ทุกข์ยากเพราะหาปัจจัยเครื่องอาศัย ขาดปัจจัยเครื่องอาศัยถึงกับเสียชีวิตได้ แต่ถ้ามีอาหารมาแล้ว มันก็เพลิดเพลินของมันไป

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราพุทโธๆ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมันก็จะเห็นนู่นเห็นนี่ เห็นนู่นเห็นนี่เราต้องตั้งใจเอาไว้เลย ปักหมุดในใจไว้เลยไม่เอาอะไรทั้งสิ้น นิมิตต่างๆ ยังไม่เอา เราต้องรักษาหัวใจให้เข้มแข็งก่อน ต้องรักษาหัวใจเราให้มั่นคงก่อน เราพุทโธของเราไปเรื่อยๆ จำไว้นะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ไม่ต้องไปยุ่งกับสิ่งใดเลย อยู่กับพุทโธๆๆ ไป ถ้าจิตมันสงบไป ถ้าจิตสงบ มันจะเห็นแสงยิบๆ ยับๆ พอจิตมันเริ่มดีขึ้นมันจะเห็นแสงยิบๆ ยับๆ 

เหมือนเราเลย ถ้าเราไม่มีเงินมีทอง คนไหนเขาก็ไม่คบมาเป็นเพื่อน วันไหนมีเงินมีทอง โอ๋ย! เพื่อนเยอะ มีเงินนับว่าน้อง มีทองนับว่าพี่ ถ้าไม่มีเงินไม่มีทองไม่มีใครเข้ามาหาหรอก แต่ถ้าเวลามีเงินมีทองนะ อู้ฮู! เพื่อนเยอะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมัน ไม่สงบ จิตมันไม่ดีขึ้น จะไม่มีแสงมีสีมีอะไรเห็นหรอก พอจิตมันเริ่มดีขึ้นมานี่นะ มันก็เริ่มจะมาหลอกแล้ว เพื่อนเยอะ เพื่อน เยอะมันก็ชวนจะไปเล่นการพนันทั้งนั้น มันไม่ชวน ชวนให้ทำดีหรอก

นี่ก็เหมือนกัน จะเห็นอะไร ปักไว้เลย ไม่เอา เพื่อนก็คือเพื่อน แต่ตอนนี้กำลังจะสร้างตัวให้ดีก่อน ไม่เอา นิมิตไม่เอา อะไรไม่เอา ไม่เอาทั้งสิ้น ปักหมุดไว้เลยว่าไม่เอา ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นจริงของมันเอง นี่พูดถึงว่าเอาจริงๆ อย่างนี้ 

เวลาภาวนา เราภาวนาอย่างนี้เหมือนกัน เพราะด้วยวาสนานะ เราบวชแล้ว ตอนกำลังปฏิบัติ เราจะค้นคว้าประวัติครูบาอาจารย์มาก แล้วไปอ่านหนังสือประวัติหลวงปู่เทสก์ติดสมาธิอยู่ ๑๗ ปี อัตตโนประวัติของหลวงปู่เทสก์ติดสมาธิอยู่ ๑๗ ปี ของหลวงปู่หลุยติดสมาธิอยู่ ๑๑ ปี สององค์นี้ องค์หนึ่ง ๑๑ ปี องค์หนึ่ง ๑๗ ปี แล้วเราเพิ่งบวช ยังไม่ได้ สักปีเลย แล้วเขาติดตั้ง ๑๗ ปี เราต้องเสียเวลาถึง ๑๗ ปีหรือ ถึงตั้งแต่บัดนั้นมากลัวมาก กลัวเรื่องการติด แต่ก็ติด คนกิเลสหนามันต้องติด แต่มันก็ยังมีพื้นฐานว่ากลัวนะ เป็นคนที่กลัวเรื่องการเสียเวลา เรื่องการไปติดกิเลส ติดนิมิต ติดอะไร ปฏิเสธมาตลอด ภาวนาปฏิเสธ ปฏิเสธ ปฏิเสธ ปฏิเสธก่อนภาวนา เวลาภาวนาเกิดนิมิตปฏิเสธ อยู่กับพุทโธไปเรื่อยๆ 

แล้วพอมันไปเห็นสติปัฏฐาน อันนั้นไม่ใช่นิมิต เพราะ เพราะมันสะเทือนหัวใจ แล้วจับต้องได้อ๋อ! จิตว่าเป็นนามธรรม นามธรรม ทำไมมันจับต้องได้เป็นรูปธรรมขนาดนี้ล่ะ ถ้ามันจับต้องรูปธรรมได้ขนาดนี้ แสดงว่าจิตมันมีอยู่จริง ถ้าจิตมันมีอยู่จริง จิตเห็นอาการของจิต พอจิตมีอยู่จริง รักษาจนจิตมันมั่นคง จิตเห็นอาการของจิต คือจิตเห็นความคิด พอจิตเห็นความคิด นี่ไง สติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง มันจะเห็นอีกอย่างหนึ่ง มันไม่เห็นแบบนิยายธรรมะ

ไอ้ที่อ่านแล้วเข้าใจนิยายธรรมะ พออ่านนิยายธรรมะมา ก็สร้างการปฏิบัติแบบนิยาย มีโครงการโอ๋ย! เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง พิจารณาเป็นขั้น เป็นตอนขึ้นไป จบสิ้นเป็นพระอรหันต์เลยหันลงกิเลส กิเลส มันบอกอู้ฮู! กูมีความสามารถมาก กูสามารถหลอกไอ้นักปฏิบัติหน้าโง่นี่อยู่ในอำนาจของกูได้ กูหลอกให้มันเดินไปจนครบรอบเลย แล้วกลับมาอยู่ที่เก่า เพราะมาอยู่ในอำนาจของกูไง

กิเลสมันบอกเลยว่า โอ้โฮ! กูสามารถหลอกไอ้นักปฏิบัติหน้าโง่ให้อยู่ในอำนาจของกูได้อีกรอบหนึ่ง มันโดนหลอกอย่างนี้ แล้วมันรู้กันอยู่กับใคร รู้กันอยู่กับคนที่ปฏิบัติกับกิเลสไง คนอื่นไม่รับรู้ด้วยไง แล้วมันก็เที่ยวไปพูดว่าอู๋ย! สำเร็จแล้ว สำเร็จ แล้วไงมันก็สำเร็จอยู่ในใต้อำนาจของกิเลสไง ไอ้กิเลสมันบอก ไอ้นักปฏิบัติหน้าโง่ไง อยู่ในอำนาจของกูไง เวลาปฏิบัติไปมัน เป็นแบบนั้น

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าให้พุทโธไว้ชัดๆ แล้วสิ่งที่ต่อไป คำว่าต่อไปเขาจะปฏิบัติในสวนต่างๆให้ตั้งใจ เขาเรียกสัตย์ ตั้งสัตย์ ตั้งสัจจะ พอตั้งสัจจะแล้วเราปฏิบัติตามนั้น แล้วให้ได้ตามนั้น แล้วอย่างที่ว่าเขาถามว่าจะให้ปฏิบัติที่พุทโธต้องนั่งนานขึ้น หรือไม่ จะต้องอะไรหรือไม่อันนี้อยู่ที่เรา การปฏิบัติมันมี บางวันก็ดี บางวันก็ไม่ดี และอยู่ที่เราตั้งใจได้มากได้น้อยแค่ไหนนะ นี่พูดถึงว่าการตั้งใจ เราให้กำลังใจ จบ แต่ก็เป็นคำถามอีก

ถาม : เรื่องถามการปฏิบัติเริ่มต้น ขอเพิ่มคำถามค่ะ

ขอเพิ่มคำถาม ช่วงนี้โยมมีนิมิตเกิดขึ้นบ่อยๆ เป็นแสงก้อนสีวิ่งผ่านไปมา โยมจะพยายามนึกพุทโธ แต่แสงสีก็ยังอยู่ โยมกลัวว่าจะติดนิมิตค่ะ จึงเลิกทำสมาธิเป็นครั้งนั้นๆ ไป กราบเรียนถามหลวงพ่อวิธีแก้ไข หลายวันมานี้โยมตื่นมาเองตอนตี แล้วจะนอนฟังเทศน์ของหลวงตา และพุทโธที่ใจไปจนเช้าค่ะ ระหว่างวันก็จะระลึกพุทโธก็จะซ่าเย็นในอก 

กราบขอกำลังใจ และคำแนะนำค่ะ ว่าจะเพิ่มเติมอะไร ลดอะไรบ้างค่ะ

ตอบ : นึกพุทโธ แล้วตั้งใจพุทโธไปเรื่อยๆ ไอ้ติดนิมิต ติดนิมิต นี่ก็พูดเมื่อกี้นี้ไง ติดนิมิต ติดนิมิต พยายามอยู่กับพุทโธไว้ วิธี แก้นิมิตหนึ่ง ตั้งสติไว้ อยู่กับพุทโธชัดๆ ถ้าจิตอยู่กับพุทโธจะ เห็นนิมิตไม่ได้ เพราะมันอยู่ที่พุทโธชัดๆ 

แต่เราพุทโธๆ พุทโธไปเรื่อยๆ พอจิตมันมีกำลังปั๊บมันก็จะเห็นนิมิต คำว่าเห็นนิมิตจิตส่งออก จิตไปเห็น ถ้าจิตไปเห็น แสดงว่าพุทโธเรา เราปล่อยวางพุทโธมาแล้ว มันถึงไปเห็นนิมิตได้ ขณะที่เราเห็นนิมิตแสดงว่าคำบริกรรมพุทโธเราไม่มีแล้ว แล้วถ้าเราได้สติปั๊บ เราจะนึกพุทโธชัดๆ พอนึกพุทโธชัดๆ มันจะดึงความเห็นนิมิตกลับมาที่พุทโธนั้น นิมิตนั้นจะหายไปทันที จิตนี้เวลามันรับรู้ มันรู้ได้สิ่งเดียว เห็นไหม เวลาถ้ามันเห็นนิมิตแสดงว่าเราเผลอแล้ว ขณะที่เราเห็นนิมิต เราเผลอแล้ว จิตมัน ส่งออกไปเห็นนิมิตแล้ว นั่นน่ะตอนนั้นพุทโธไม่มีแน่นอน

แล้วถ้าเราจะแก้ไขนะ เราก็บอกขณะนี้เราเผลอแล้ว เราเผลอแล้ว เราตั้งสติขึ้น แล้วกำหนดพุทโธขึ้นชัดๆ ถ้ากำหนด พุทโธชัดๆ มันจะดึงกลับมาที่พุทโธทันที แล้วนิมิตนั้นจะหายไป แล้วถ้าเกิดจิตสงบแล้วเห็นนิมิต ถ้าเห็นนิมิต ถ้ามันแบบจะดึงกลับพุทโธแล้ว เราดึงกลับมาพุทโธแล้วมันก็หายไป แต่บางทีมันก็จะเห็นนิมิตอีก

แล้วถ้าจิตของเรามีกำลังพอ จิตของเรามีกำลังพอ คือว่าถ้าจิตมีกำลังพอเห็นนิมิตแล้ว ถ้ามันจะเห็นซ้ำมันก็เห็นนิมิตอีก ถ้าจิตไม่มีกำลังพอ เวลาเห็นนิมิตปั๊บ เวลาดึงกลับมาพุทโธแล้วนิมิตจะหายไป ให้นึกอย่างไรก็ไม่มี เพราะกำลังของจิตมันไม่มี ถ้ากำลังของจิตมันพอ มันเห็นนิมิตแล้ว ดึงกลับมา นิมิตแล้ว ถ้ามันส่งกลับไปเห็นนิมิตอีก เราสงสัยว่านั่นคือสิ่งใดให้ถามว่านิมิตนั้นคืออะไร ภาพนั้นคืออะไรถ้าด้วยปัญญาขึ้นมา ได้พิจารณาแล้ว นิมิตจะหายทันที

นิมิตคือนิมิตไง แต่ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม นั้นเห็นโดยสติปัฏฐาน นั้นอีกเรื่องหนึ่ง การแก้นิมิตไง ถามเลย ถามเลย การว่าถามเลยมันต้องมีสติมีปัญญาคือว่ามันมีกำลังพอไง เหมือนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เราจะเจรจากับใคร เราต้องมีสติปัญญา เราจะเจรจากับเขาเรื่องอะไร แต่ถ้ามันเป็นเด็กน้อย แม่ให้ถามว่าอย่างนี้ อย่างนี้ไม่ต้องไปเจรจากับมัน เพราะกำลังมันไม่พอ ถ้าแม่ให้ถามว่า โอ้โฮ! ฉะนั้น เราไม่มีปัญญาอะไรเลยหรือ แม่ให้ถามว่า ก็เป็นเด็กน้อยเกินไปไง 

แต่พอถ้าเราถามว่าเอ็งมาทำไม ธุระอะไร เอ็งเข้าบ้านมาทำไมเราเป็นผู้ที่บรรลุนิติภาวะ เป็นผู้ที่รับผิดชอบ เราจะ ถามได้ ถ้าเราถามได้แสดงว่าจิตของเรามั่นคง จิตเรามีกำลัง จิตมีกำลังมันจะมีสติมีปัญญาใคร่ครวญ หรือทำสิ่งใดก็ได้ ถ้าจิตไม่มีกำลัง มันนึกได้นิยายธรรมะไง ฟังธรรมะมาเยอะ ฟัง วิธีการมาเยอะ คิดได้หมดล่ะ แต่ทำไม่ได้ คิดได้ก็มันเป็นวิชาการ มันเป็นคนอื่นทำไว้ไง 

แล้วเราบอก เราคิดว่าเราทำอย่างนั้น พอคิดว่าทำอย่างนั้น จิตมันไวมาก เห็นไหม ดูฝันสิ ฝันปั๊บๆๆ ไอ้นี่พอคิดอีกแล้ว มันรอบหนึ่งแล้ว คิดว่าอย่างนั้น มันก็คิดเลยว่าเราทำแล้ว แล้วก็จะบอกว่าเออ! ก็ทำแล้ว แก้ไม่ได้ แก้ไม่หายมันไม่ได้ทำ มันเป็นความคิด มันเป็นความคิด ถ้าจิตมันไม่ตั้งมั่นนะ ถ้าจิต ตั้งมั่น นี่พูดถึงแก้นิมิต

ฉะนั้น บอกว่าพุทโธธรรมชาติมันจะเห็นนิมิตมันโดยข้อเท็จจริง จริตนิสัยของคน จิตอย่างใด ถ้ามันมีอำนาจวาสนาอย่างนั้นมันต้องเห็นอย่างนั้น แล้วมันต้องแก้ไขไปตามนั้น ถ้าจิตบางคนหลายๆ คนมากที่เวลาภาวนาแล้ว จิตสงบแล้ว ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอะไรเลย นั่นแสดงว่าเขาก็ไม่เคยเห็นอะไรเลย ไม่เห็นอะไรเลย มันทำให้ใจสงบก็พอ เราทำได้อย่างนั้น ตั้งมั่นอย่างนั้น

นี่พูดถึงแก้นิมิต แล้วถ้าจิตสงบแล้ว ถ้าเห็นกายนะ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม อันนั้นเราจับไว้ ถ้ามันไม่ได้เรากลับมาพุทโธให้มันเข้มแข็ง พอเข้มแข็งขึ้นไปแล้วมันเหมือนนิมิต คือว่าถ้าจิตเข้มแข็งแล้วนะ มันเห็นกายแล้วพิจารณากาย ได้อีก ถ้าจิตไม่เข้มแข็งเห็นกายมันเป็นโชค เป็นอำนาจวาสนา มันผ่านมา แต่จับไม่ได้ พอจิตกลับไปรู้ไปเห็น หาไม่เจอ จับไม่ได้ คนที่จับไม่ได้เพราะอะไร เพราะกำลัง เพราะพุทโธอ่อนแอ เพราะสมาธิอ่อนแอ

การประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่เป็นพื้นฐานคือสัมมาสมาธิ ถ้าขาดสัมมาสมาธิ การประพฤติปฏิบัติจะเหลวไหล การประพฤติปฏิบัติพอเหลวไหลไปแล้ว กิเลสมันก็ครอบงำ ครอบงำว่าเราภาวนาแล้ว เรารู้แล้ว เราได้ผ่านขั้นตอนแล้ว เรากำลังพัฒนา ขึ้นมาเป็นชั้นนั้นแล้วนักปฏิบัติหน้าโง่ กิเลสมันหลอกทั้งนั้น น่ะ ถ้าเป็นความจริงเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกนะ ชัวร์ ตรวจสอบชัวร์ ยถาภูตัง ญาณทัสสนัง ผู้ที่ใฝ่ดี ผู้ที่ปฏิบัติดี 

นี่พูดถึงว่าการแก้นิมิตกลัวว่าติดนิมิตค่ะ แต่เสียดายจึงเลิกทำสมาธิเป็นครั้งๆ ไป เพราะกลัวติดนิมิตเราไม่ต้องไปกลัวมัน นิมิตอย่างที่เห็นมันเป็นจริตนิสัยของเรา เราก็ต้องแก้ไข ตามจริตนิสัยของเราให้มันดีขึ้น ดีขึ้นไง นิมิตมา บอกไม่เอา ไม่ดี แล้วพุทโธไปเรื่อยๆ ถ้ามันเห็นอีกนะ 

เราตั้งใจตั้งแต่ไม่ปฏิบัติ เราแก้มาอย่างนี้นะ อย่างที่ว่า เริ่มต้นมาจากอ่านอัตตโนประวัติติดสมาธิ ๑๗ ปี กับหลวงปู่ หลุยติดสมาธิ ๑๑ ปี ตอนบวชพรรษาแรกเลย อ่านเจอแล้วกลัวมาก กลัวว่าตัวเองจะเสียเวลา ฉะนั้น พอกลัวมากปั๊บ ด้วยปฏิภาณของตน ตั้งใจไว้เลยว่า นิมิตไม่เอา พอนั่งสมาธิไป ถ้าไม่มีก็ไม่มีไป ถ้ามีก็บอกไม่เอา ไม่เอาก่อนที่จะเห็น แล้วขณะเห็นก็ไม่เอา แล้วที่มันผ่านแล้วก็ไม่เอา เอาแต่ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างอื่นอะไรก็ไม่เอา 

สุดท้ายแล้วพอปฏิบัติไปสูงๆ พอไปรู้ไปเห็นนะเห็นหมด ไปรู้ไปเห็นโดยสติสัมปชัญญะ รู้เห็นชัดๆ เห็นทั้งนั้น ไม่อย่างนั้น จะยืนยันได้หรือว่ากามภพ รูปภพ อรูปภพ วัฏฏะ ผลของวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ยืนยันอยู่ทุกวัน ยืนยันทุกวัน แต่มันเห็นตามความเป็นจริง เห็นโดยความมั่นคง ถ้าเห็นโดยความมั่นคง เห็นแล้วมันสลดสังเวช ธรรมสังเวช นี่ไง จิตที่ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันภพชาติใด สัญชาติใด มันเป็นอย่างไร มันทุกข์มันยากขนาดไหน ชัดๆ แต่เป็น ปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน 

นี่ไง แล้วฟังเขาเสียดสีไงไอ้พุทโธจะติดนิมิต ติดนิมิตก็ไอ้พวกปฏิบัติหน้าโง่ไง มันก็ติดไง หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ กูไม่เห็นติดเลย นิมิตเป็นเครื่องใช้ไม้สอย ของที่เขาเอามาเป็นประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติ เป็นการสื่อ เป็นการค้นคว้าหาข้อเท็จจริง มันจะเสียหายไปตรงไหนถ้าคนใช้เป็น ไอ้ปฏิบัติหน้าโง่ ต่างหากมันถึงเสียหาย ถ้านักปฏิบัติดีไม่มีเสียหาย นั่นแหละ คือเครื่องมือ นั่นแหละคือวิธีการที่จะเข้าไปสู่วัฏฏะ การรู้การเห็น ถ้าเป็นจริงนะ มันเป็นจริงมันมี แต่! แต่ต้องเป็นครูบาอาจารย์ ของเราที่เป็นจริง ส่วนใหญ่แล้วมีแต่ก๊อบปี้ มีแต่มาทำเทียม เลียนแบบ แล้วก็เอาไปหาชื่อเสียง ไอ้พวกนักปฏิบัติหน้าโง่ จบ

ถาม : เรื่องควรดูจิตหรือไม่

กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพ 

โยมภาวนามาเป็นเวลาหลายปีแต่ไม่จริงจัง เพิ่งมาตั้งใจ มากๆ เมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา และเคยไปภาวนาที่วัดป่าเขาแดงใหญ่ ซึ่งหลวงพ่อให้โยมเอาจิตแนบพุทโธ ซึ่งการภาวนาของโยมตอนนี้ เน้นเอาสติอยู่กับพุทโธ เมื่อจิตออกนอกคิดปรุงก็จะดึงกลับมา บางครั้งก็กระชาก บางครั้งก็เอาพุทโธกดทับไม่ให้จิตคิดปรุงแต่ง บางวันก็ปวดขมับที่ศีรษะเพราะมีการเกร็ง ระยะนี้สติไวขึ้น บางครั้งสามารถรับรู้ถึงความกระเพื่อมของจิต และออกดูเมื่อจิตส่งออกนอก เมื่อสติดูการส่งออกของจิต โยมรู้สึกสติตั้งมั่นขึ้น คำถามที่อยากจะถามหลวงพ่อคือ

. ถ้าโยมภาวนาเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิได้สักระยะหนึ่งแล้ว ( - ชั่วโมง) ถ้าจิตโยมไม่อยู่กับพุทโธ โยมดู ขันธ์ ที่เกิดขึ้นหรือการส่งออกของจิต หลังจากนั้นโยม พิจารณาว่าขันธ์ ไม่ใช่เรา และพิจารณาลงไตรลักษณ์ การพิจารณาดังกล่าวถูกหรือไม่

. พระสายวัดป่าเคยแนะนำโยมให้เอาจิตอยู่กับพุทโธ มากกว่าดูจิต ท่านว่าเหมือนเราระวังต้นเหตุมากกว่าดูจิต ซึ่งมีการส่งออกไปแล้ว โยมควรพยายามทำตามคำแนะนำของท่าน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรือไม่ 

กราบขอบพระคุณมากค่ะ

ตอบ : นี่คำถามเนาะ ไอ้คำถามข้อที่ . สายวัดป่าเคยแนะนำว่าอย่าไปดูจิต ท่านว่าเหมือนการระวังที่ต้นเหตุมากกว่าการดูจิต การส่งออก ส่งออก ไอ้ที่ว่าดูจิตๆ นั่นน่ะมันส่งออกไปหมดแล้ว มันไม่มีสมาธิ มันไม่มีหลักไง ถ้ามันมีหลักขึ้นมา มันจะเป็นจริงของมันขึ้นมา ถ้ามันมีหลักนะ 

นี่คำถาม คำถามอารัมภบทปฏิบัติมาหลายปี แล้วปฏิบัติมาหลายปีเอาจิตกดทับไว้ เอาพุทโธกดทับไว้ บางวันปวดศีรษะ มีอาการเกร็งเรากดทับไว้ด้วยความจริงใจของเรา เรา กดทับด้วยสติ เห็นไหม สติเป็นนามธรรม จิตเป็นนามธรรม พุทโธเป็นนามธรรม สาเหตุเป็นนามธรรม เรากดทับไว้ กดทับหัวใจไว้ ถ้ากดทับหัวใจไว้ถ้าด้วยสติด้วยปัญญานะ มันจะไม่มา ปวดขมับ ไม่มาปวดศีรษะ ไม่มีอาการเกร็ง ถ้าอาการเกร็งมัน ต้องมีความไม่ถูกต้องแน่นอน

ถ้ามีความถูกต้องแล้ว การปฏิบัติไปแล้วมันจะปลอดโปร่งไปทั้งนั้น ถ้าปลอดโปร่งไปทั้งนั้น เราต้องตั้งให้ได้ตามความเป็นจริง เพราะเวลาปฏิบัติ เห็นไหม ปฏิบัติการค้นคว้าหาจิตใจของตน ถ้าการค้นคว้าหาจิตใจของตน เห็นไหม สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมเวลาถ้ามีสติมีปัญญามันจะปลอดโปร่ง มันจะว่าง มันจะมีความสุข ตัวเบา

คนที่ทำสมาธิได้นะ เวลาเดินไปเดินมาเหมือนจะเหาะนะ แต่ไม่ถึงกับเหาะ เดินไปเหมือนลอยๆ คือเท้าไม่ติดดินว่า อย่างนั้นเลย ถ้าสมาธิดีๆ เดินไปเดินมา แหม! มันสุดยอด แล้วติดดีมาก แล้วรำคาญมากถ้าใครมาคุยด้วย รำคาญมากใครมาทัก มาทาย อย่าทักกูนะ กูเดินเฉยๆ ถ้าจิตมันดีๆ แต่ถ้าจิตมันไม่ดี โอ้โฮ! มันทุกข์มันยากมาก พูดถึงว่าถ้าจิตมันดีแล้วมันจะไปปวด ไปเกร็งอะไรล่ะ ถ้าไปปวดไปเกร็งต้องปรับตรงนี้หน่อยหนึ่ง คือวางไว้สบายๆ ไม่ต้องไปกดทับอะไรทั้งสิ้น แต่สติพร้อมอยู่ตลอด แล้วพุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธจนมันเป็นความจริง

ฉะนั้น เข้ามาคำถามถ้าโยมภาวนาเดินจงกรม นั่งสมาธิในระยะหนึ่งแล้วถ้าจิตโยมไม่อยู่กับพุทโธ โยมดูขันธ์ ที่เกิดขึ้นจากการจิตสงบได้หรือไม่ไม่สมควรทั้งสิ้น ถ้าเราใช้ปัญญา ใช้ปัญญาของเรา ถ้าเราใช้ปัญญา คือ ปัญญาอบรมสมาธิ การใช้ปัญญาใช้ปัญญาได้ทุกสถานที่ แต่มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าสมาธิยังไม่เกิดขึ้น เพราะเขาบอกเขาพุทโธๆ - ชั่วโมงแล้วแต่มันไม่อยู่กับพุทโธ มันบอกชัดๆ อยู่แล้วสมาธิมันไม่มีพื้นฐาน สมาธิไม่มีพื้นฐาน

ถ้าสมาธิไม่มีพื้นฐาน ความคิดเป็นเรา ถ้าไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐานนะ ความคิดเป็นเราคือกิเลสเป็นเรา ความเห็นเป็นเรา ความอยากได้ธรรมะเป็นเรา ความเป็นเราเป็นเราทั้งหมด ถ้าเราเป็นเราทั้งหมด เราพิจารณาไปก็ต้องได้ผลประโยชน์ทั้งหมด เพราะปฏิบัติเป็นเรา ปฏิบัติเพื่อเรา ทำเพื่อเรา เราต้องปฏิบัติได้ เราต้องทำได้ มันก็เลยกลายเป็นโกหกตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ถ้า เป็นสมาธิ สมาธิๆ ถ้าเป็นสมาธิมันไม่ใช่เรา สมาธิเป็นสมาธิ เราเป็นเรา 

ถ้าสมาธิเป็นสัมมาสมาธิ จิตเห็นอาการของจิต คือจิต เห็นกาย เวทนา จิต ธรรมตามความเป็นจริง นั่นคือเห็นสติปัฏ-ฐาน ตามความเป็นจริง ถ้าจิตไม่เห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริงโยมขอดูขันธ์ โดยที่ไม่มีสมาธิถ้ามีสมาธิถ้าเราทำพุทโธๆ เราพยายามทำสมาธิแต่ทำไม่ได้ ทำสมาธิไปแล้วมัน ตึงเครียด ทำสมาธิไปแล้วไม่มีความสุข ไม่มีความชอบใจเลย เราวาง เราวางพุทโธ แล้วมาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ คือมาใช้ ปัญญาอบรมสมาธิ ก็เหมือนเราคิดธรรมดานี่ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ผลของมัน เห็นไหม 

เขาบอกว่าโยมจะดูขันธ์ ที่เกิดขึ้นจากจิตส่งออกจิตส่งออกมันก็เป็นความคิดเรา มันก็ส่งออกไปอยู่แล้วหลังจาก นั้นก็พิจารณาขันธ์ ว่าไม่ใช่เรา แล้วพิจารณาไตรลักษณ์ไตรลักษณ์อะไร ลงไตรลักษณ์ด้วยความเข้าใจของตนไง นักปฏิบัติหน้าโง่โดนกิเลสหลอก แล้วมันก็เชื่อ แต่ความจริงไม่ใช่ ความจริงไม่ใช่เพราะอะไร เพราะถ้าจิตมันส่งออกไม่มีสมาธิ แล้วพิจารณาให้ลงไตรลักษณ์ลงไหม ลงแน่นอน เพราะกูคิดให้มันเป็นไตรลักษณ์ก็เป็นไง กูคิดให้มันเป็นไตรลักษณ์ กูจะคิดให้เป็น ไตรลักษณ์เป็นแน่นอน เพราะมันรู้อยู่แล้ว นักปฏิบัติหน้าโง่ สร้างภาพ พยายามทำให้ทุกคนเป็นอย่างนั้น แล้วมันจะเป็น จริงไหม มันเป็นจริงโดยกิเลสหลอกไง 

ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นจริงเพราะอะไร ไตรลักษณ์ สิ่งที่สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง โลกนี้เป็นอนิจจังเป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์สิ่งที่มันมีอยู่แล้วมันไม่มีอะไรคงที่ มันเป็นอนิจจังๆ แต่ถ้าเป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์มันต้องมีเกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วดับไป อะไรเกิดขึ้น สติปัฏฐาน ตามความเป็นจริงเกิดขึ้น เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงเกิดขึ้น 

การเกิดขึ้นไม่มี ถ้าการเกิดขึ้นมี ตั้งอยู่ ดับไป การเกิดขึ้น การเกิดขึ้นแบบจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง จิตจะเห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง จิตมี กำลังไหม จิตสามารถเห็นได้ไหม จิตไม่มีความสามารถเห็น ความเกิดขึ้นอยู่ตรงไหน ถ้าความเกิดขึ้นก็ตัวตนไงเขาบอกสมาธิเป็นตัวตนนะ สมาธิเป็นตัวตนก็เป็นตัวตนน่ะสิ ก็กำลังจะทำลาย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ทำลายตัวตน ตัวตนที่เป็น ตัวกิเลส ตัวตนที่เป็นภวาสวะ ตัวตนที่เป็นจุดกำเนิด แล้วตัวตนมันไม่มี มันมาจากไหน

นี่พูดถึงว่าเขาจะพิจารณาของเขาการพิจารณามันพิจารณาได้ทั้งนั้นแหละ แต่อย่างที่ว่า เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่นไง เถียงโดยความเคารพ ก็รู้แค่นี้ก็เถียงแค่นี้ไง นี่ก็รู้แค่นี้ก็เถียงไง ว่าถ้าพิจารณาไปแล้วมันจะเป็นไตรลักษณ์ไง มันเป็นไตรลักษณ์โดยความเข้าใจของผู้ที่มีวุฒิภาวะแค่นั้น แต่ถ้าเป็นหลวงปู่มั่นนะ หลวงตาบอกว่าหัวแตกทุกทีเลยเพราะเริ่มต้นมันมาจากที่ผิด เริ่มต้นมันมาจากกระบวนการที่ไม่ถูกต้อง มันจะไปถูกได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ ต้นคด ปลายไม่มีทาง ตรง ต้นคด คดลงทะเลไปเลย ไม่มีทาง 

แต่ถ้ามันเป็นจริง ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องมีสมาธิ ถ้าสมาธิตั้งมั่นให้พุทโธนี่ไง เราจะบอกว่าให้กลับไปที่พุทโธๆๆ จิตสงบแล้ว จิตสงบแล้วยังพิจารณาไม่ได้หรอก มันไม่เห็นตาม ความเป็นจริงหรอก เห็นด้วยความจอมปลอมทั้งนั้น 

ถ้าจะเอาความจริงๆ คนที่มีวาสนา คนที่ไม่มีวาสนาต้องรำพึงขึ้น นึกขึ้นมา ถ้ารำพึงขึ้นนั่นคือวิธีการที่จะแก้ ถ้ารำพึง ขึ้นได้ คนมีกำลังจะรำพึงขึ้นได้ ถ้าคนไม่มีกำลังรำพึงอย่างไรก็ไม่มี คนไม่เคยฝากธนาคารไว้แล้วบอกไปเบิก นั่งอยู่นี่แล้ว บอกว่า เอาสมุดบัญชีคนละเล่มแล้วไปเบิกธนาคาร ธนาคารมัน ไล่ออกหมดล่ะ แต่ถ้าเราไปเบิกได้เพราะเงินของกู กูฝากไว้เอง แต่พวกเอ็งไปเบิกไม่ได้หรอก ไม่มีสิทธิ์ เหมือนกัน ถ้ามัน เหมือนกัน แต่ถ้าตัวเองก็คิดๆ ไปไง

กลับมาที่พุทโธ กลับมาที่พวกเราทำให้มันได้จริง เขาบอกว่าเขาจะพิจารณาขันธ์ เป็นไตรลักษณ์ได้หรือไม่คะพิจารณาได้ ทำอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ แต่มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงต้องพุทโธ พุทโธจนจิตสงบก่อน แล้วถ้ามันจะใช้ปัญญาก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิคือขั้นของอนิจจังไง ไม่ใช่ขั้นของอนัตตา ถ้าอนิจจังมันเป็นจริงมันเป็นจริง ถ้ามันเป็นจริง นี่พูดถึงข้อที่ .

ข้อที่ . โยมสายวัดป่าเขาบอกว่าให้พิจารณาอย่าไปดูจิต แสดงว่าเคยดูจิตมา แล้วชอบดูจิต ถ้าดูจิตมาจนเป็น นิสัยแล้ว มันก็เป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นดูจิตไปดูนิสัยมาคือว่า นักปฏิบัติหน้าโง่ ให้กิเลสหลอกมาจนเคย แล้วกิเลสมันหลอกมาจนเคย ยังไปบูชากิเลส ว่ากิเลสเป็นศาสดา แล้วเชื่อฟังกิเลส แล้วให้กิเลสมันชักนำไป เนี่ยนักปฏิบัติหน้าโง่

ถ้านักปฏิบัติโดยลูกศิษย์ตถาคต เคารพองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พุทธา- นุสติ มีสติระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เอาองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครอบงำกิเลสของเรา แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติถึงท่าน ระลึกถึงท่านด้วยคำบริกรรม จิตสงบแล้ว พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตของเราเป็นพุทธะเสียเอง พุทธะที่ใสสว่าง พุทธะที่มีกำลัง พุทธะที่มีกำลังพยายามน้อมไปเห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง นั้นคือเริ่มต้นอริยสัจ

การเริ่มต้นสู่อริยสัจ เริ่มต้นเห็นตามความเป็นจริง นั้นคือการเกิดขึ้น การเกิดขึ้นของการภาคปฏิบัติถึงจะเป็นไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ในการประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนี้ไม่มีการเกิดขึ้น ไม่มีการเห็นความเป็นจริงในใจ ของตน แล้วโม้แล้วโม้อีก โม้จนฟังแล้วจะอาเจียน ไอ้พวก นักปฏิบัติหน้าโง่ เอวัง