ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ไม่เลื่อนลอย

๒๔ มิ.ย. ๒๕๖๑

ไม่เลื่อนลอย

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๑

วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง .โพธาราม .ราชบุรี


ถาม : เรื่องพุทโธคือความจริง

จากผลการปฏิบัติครับ 

ขณะที่ปฏิบัติพยายามอยู่กับพุทโธในทางเดินจงกรมและทุกๆ อิริยาบถ รู้สึกว่าในวันแรกๆ ความคิดที่ผุดขึ้นมามันไม่ใช่ความจริง แล้วส่วนใหญ่จะพาเราไปในทางที่ต่ำ หรือพอเราอยู่ กับพุทโธได้มากขึ้น มันก็พยายามเอาเรื่องที่เราพอใจผุดขึ้นมาแทน มองเห็นภาพของความจำพยายามหลอกล่อเราให้เข้าไป คิด โดยใช้ความจำบางทีก็หลายๆ ชุดต่อเนื่องกัน เพื่อให้เกิดความหมาย ให้เราตีความและเกิดอารมณ์ความรู้สึก บางทีพอภาพจำ จำพวกนี้ไม่ค่อยมีผลต่อเรา มันก็มีความรู้สึกที่พยายามขับออกมาจากกลางอก มองไม่เห็นว่ามันคืออะไร บางทีก็รู้สึกเป็นคลื่น บางทีก็เป็นก้อนๆ วนๆ แต่มันส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกยาก และบางทีมันก็ไปขับเคลื่อนภาพจำให้ทำงานประสานกัน เพื่อหลอกล่อเราอีก

ส่วนในท่านั่งสมาธิ ขณะพยายามอยู่กับคำบริกรรม ผมอยู่ได้ไม่กี่ที ตัวเราก็เข้าไปอยู่ในความคิด เป็นตัวตนในความคิดนั้น พอเสร็จจากการนั่งสมาธิก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า มันมาตอนไหน ทำไมเราไม่เห็น แล้วทำไมเราเชื่อ แล้วเข้าไปอยู่โดยที่ไม่รู้ ตัว รู้ตัวอีกทีก็ดำเนินเรื่องไปสักระยะหนึ่งแล้วเป็นแบบนี้ตลอด แต่พอทำซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ พยายามตั้งสติจนสิ้นเวลา และในช่วงวัน ปฏิบัติครึ่งหลังนี้ รู้สึกภาวนาแล้วไม่มีความสงบและทรมาน พุทโธที่มันบริกรรมมันลอยๆ 

แต่ก็นึกคำพูดหลวงตาว่า (ความหมายสื่อประมาณว่า เหตุและผลเป็นของคู่ ถ้ามีเหตุอย่างไรต้องเกิดผล ก็กลับมานึกถึงตัวเราเองว่า เราคงพุทโธแล้วยังไม่มีสติดีพอ และบอกตัวเองว่าปัจจุบันจะเป็นอย่างไรก็ยอมรับมันไป ทำไปตามความจริง อยู่กับ ความจริง ต้องได้ความจริง และไม่เชื่ออะไรที่ผุดขึ้นมา เชื่อแต่ พุทโธที่ตัวเองบริกรรม และคราวนี้ได้มองตัวเองกลับไปว่าที่เคยบริกรรมพุทโธมามันมีแต่ความอยากได้สมาธิ ไม่สะอาด)

คำถาม

. ความรู้สึกที่พยายามขับออกมาคืออะไรครับ

. จิตกับขันธ์มันเชื่อมต่อกันใช่ไหมครับ แล้วสังขารมี ทั้งที่อยู่กับจิตและอยู่กับขันธ์ใช่หรือเปล่าครับ 

. เวลาที่เราบริกรรมแล้วมันไม่ดูดดื่มกับคำบริกรรม จิตมันเป็นอย่างไรครับ

ตอบ : นี่พูดถึงว่าคำถามเนาะ คำถามตอบมาตั้งแต่ต้นเวลาอารัมภบทมา เห็นไหมพุทโธคือความจริง พุทโธคือความจริง” 

พุทโธมันเป็นความจริงของมันอยู่แล้ว พุทโธเป็นความจริงตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้นะ มีองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าล่วงหน้ามาแล้ว พระองค์ องค์สมเด็จพระ- สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ที่ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัม- พุทธเจ้าพระศรีอาริยเมตไตรยก็จะมาตรัสองค์ที่ แล้วยังมีอนาคตวงศ์อีก ๑๐ องค์ แล้วยังมีอนาคตไปอีก นี่เป็น คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธมันมีสัจจะมีความจริงมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต 

เพียงแต่คนที่เกิดมาในปัจจุบันนี้มันเหลวไหล คนที่ เกิดมาในปัจจุบันนี้มันทำไม่ได้ดั่งสัจจะนั้น ถ้าสัจจะนั้นมันมี ประเด็น ประเด็น . ในชาติปัจจุบันนี้เรามีความเพียร มีความ วิริยอุตสาหะมากน้อยแค่ไหน อีกประเด็น . ที่เราย้ำของเราตลอด คือว่ามันต้องมีอำนาจวาสนาบารมีมาเหมือนกัน 

ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาบารมีมา เมื่อก่อนเราไม่เชื่อ เมื่อก่อน เราเชื่อเลยว่ามันอยู่ที่ความเพียรของเรา มันอยู่ที่ปัจจุบันนี้ เราเข้มแข็งแค่ไหน แต่พอเราอยู่วงในปฏิบัติเราได้เห็นมามากมายไง เวลาคนที่ทุ่มเทมากๆ บางคนทุ่มเทมาก แต่ทุ่มเทแบบเขา มันทุ่มเทแบบไฟไหม้ฟาง ทุ่มเทแบบเป็นครั้งเป็นคราว เป็นวรรคเป็นตอน มันไม่ต่อเนื่องๆ ไง แล้วสุดท้ายแล้วมันก็แบบว่ากรรมฐานม้วนเสื่อคือเลิกไปๆ เราเห็นพระกรรมฐาน หรือเห็น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติยกเลิกล้มเลิกไปมหาศาล แล้วที่อยู่ ที่อยู่นี่ ถ้าบางคนปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลนะก็สวมรอย ไอ้พวกสวมรอยๆ อ้างธรรมะของพระพุทธเจ้า อ้างธรรมะของครูบาอาจารย์ แต่ความจริงมันไม่มีอยู่จริง มันสวมรอยเอา 

คำว่าสวมรอยหมายความว่าอย่างไร คำว่าสวม รอยก็เหมือนเมื่อวานที่ว่านั่นน่ะ เมื่อวานที่ว่า เห็นไหม เวลาบอกพระธาตุๆ เราเชื่อในเรื่องพระธาตุ แต่เราไม่เชื่อในเรื่องพลาสติก พลาสติกไม่เชื่อ นี่ก็เหมือนกัน การสวมรอยๆ เห็นไหม สวมรอยมันพูดเหมือนกันแต่มันไม่เหมือนกันเพราะมันไม่มีความรู้ไง หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง เด็กมันก็รู้ เด็กประถมมันก็รู้ หนึ่ง บวกหนึ่งต้องเป็นสอง ใครมันก็พูดได้ แต่เอ็งมีเนื้อหาสาระใน การบวกนั้นไหม เอ็งมีข้อเท็จจริงในการบวกนั้นไหม เอ็งมีข้อ เท็จจริงในผลที่จะรับนั้นหรือไม่ มันไม่มีข้อเท็จจริงอันนั้นไง 

นี่พูดถึงว่า ถ้ามันแบบว่ากรรมฐานม้วนเสื่อๆ มันเป็นแบบนี้ ที่เมื่อก่อนไม่เชื่อนะ เมื่อก่อนเชื่อสัจจะเชื่อความจริง แต่พอปฏิบัติไปเพราะเห็นมันมากขึ้นๆ เพราะเมื่อก่อน เห็นไหม มันก็เป็นวงแคบ วงแคบก็ภาษาเรานะ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ก็เอาตัวตน เอาตัวเราเองเป็นตัวตั้ง ทุกคนเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง เพราะทุกคนเอาประสบการณ์ของตนเป็นที่ทดสอบใช่ไหม แล้ว ทดสอบถ้ามันทำแล้วมันล้มลุกคลุกคลาน ทุกคนก็รู้ว่าล้มลุก คลุกคลาน เวลาถ้ามันทำได้ๆ มันต้องล้มลุกคลุกคลาน เหมือน เรา เราทำงานทำสิ่งใดแล้วทำงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มันก็รู้อยู่ว่าสูญเปล่าไม่ได้อะไรเลย ถ้ามันจะได้ก็ได้ประสบการณ์ในการทำงานนั้น แต่เวลาทำงานๆ แล้วประสบความสำเร็จ มันมีผลตอบแทน มันรู้ของมัน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติที่มันล้มเหลวๆ เพราะมันไม่มีผลตอบแทน มันไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วถ้ามันมีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง มันเก็บ เก็บผลประโยชน์ นี่ประสบการณ์ของจิต ประสบการณ์ของจิต เวลามันดีขึ้นๆ มัน ต้องดีขึ้น ถ้ามันไม่ดีขึ้นมันจะมีตทังคปหานได้อย่างไร เวลาประหาร ประหารชั่วคราวๆ แล้วสมุจเฉทปหานประหารจริง แล้วสมุจเฉทปหานมันมีหนเดียว 

หลวงตาท่านพูดไง หลวงตาท่านพูด เวลาที่เรื่องถ้ำสาริกา เวลาขึ้นไปรายงานหลวงปู่มั่นเอ้อ! เหมือนเราที่ถ้ำสาริกาเลยท่านก็ปฏิบัติต่อ ปฏิบัติต่อจะเอาอย่างนี้อีกไง พอขึ้นไปรายงานท่าน มันไม่ได้อารมณ์เดิม มันไม่ได้อย่างเดิมเอ้า! เวลาสมุจเฉท-ปหานมันก็ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ คนมันตายได้หนเดียว กิเลส มันก็ตายได้หนเดียว กิเลสมันไม่มีตายซ้ำซากหรอก ตทังคปหานมันไม่ตายมันชั่วคราว แต่เวลามันสมุจเฉทปหานมันตาย พอมันตายแล้วมันก็ตายครั้งเดียว มันจะมีตาย ครั้ง ครั้งที่ไหน มันไม่มีหรอก คนเรามันตายได้หนเดียว กิเลสมันก็ตายได้หนเดียวก็เลยคิดว่ากิเลสมันตายไปแล้ว ก็เลยภาวนาอยู่สุขสบายนิพพานเป็นเช่นนี้เอง นิพพานเป็นเช่นนี้เองอยู่ ปี

เวลาท่านจะแก้ เห็นไหมมหาจิตเป็นอย่างไร มหาจิตเป็นอย่างไร” “อูย! สบายดี สบายดี สบายตลอดสบายเพราะเข้าใจว่าคือนิพพาน ก็กิเลสมันตายหนเดียวไง แต่ความจริงมันไม่ใช่ ความจริงกิเลสมันตายหนเดียว แต่กิเลสตัวนั้นมันตายไปแล้ว มันมีพ่อกิเลส มีปู่กิเลสรออยู่ข้างหน้า เราคิดว่ากิเลสมันมีตัวเดียวไง เวลาโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล นั่นก็หลานกิเลสมันตายไป เวลาสกิทาคามิมรรค เห็นไหม สกิทาคามิผล นั่นน่ะ ลูกกิเลสมันตายไป เวลาอนาคามิมรรค นั่นน่ะพ่อแม่มันตาย กามราคะ ปฏิฆะ คือตัวพ่อตัวแม่ 

เวลาท่านจบแล้ว หลวงตาท่านมาเทศน์ประจำ เห็นไหม แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพใหญ่คือความโลภ ความโกรธ ความหลง แม่ทัพใหญ่ก็คือตัวพ่อมัน แม่ทัพใหญ่ผู้ที่บริหารจัดการ ในกองทัพก็คือแม่ทัพใหญ่ แล้วเจ้าวัฏจักรล่ะ นั่นน่ะจอมทัพ แม่ทัพกับจอมทัพคนละคนด้วย นี่ไง เวลาคนประพฤติปฏิบัติ มันจะเห็นอย่างนี้ไง ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริง ถ้ามันรู้มันเห็นตามเป็นจริง มันจะเห็นจริงๆ อย่างนี้ 

เวลาล้มลุกคลุกคลานมาก็ล้มลุกคลุกคลาน ใครประพฤติปฏิบัติก็เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง ถ้าตัวเองมีประสบการณ์แค่ไหนก็แค่ได้เห็นวูบๆ วาบๆ โอ้ย! นิพพานเป็นเช่นนี้เอง มันก็อยู่แค่นั้นไง แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมามันจะมีช่องทางที่ไปอีก มหาศาลเลย ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน เห็นไหม ปุถุชน กัลยาณชน ปุถุชนคือคนหนา คนทำสมาธิไม่ได้ กัลยาณชนคือคนที่ทำสมาธิได้สะดวกสบายขึ้นมา จากปุถุชนเป็นกัลยาณชน กัลยาณชนเพราะอะไร กัลยาณชนเพราะละ รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร รูป รส กลิ่น เสียงเป็นเครื่องล่อทำให้เราเป็นสมาธิไม่ได้ เวลาเราละรูป รส กลิ่น เสียงแล้ว เราวางได้ เห็นไหม

พอจิตเราสงบระงับเข้ามา เห็นไหม นั่นน่ะกัลยาณชน กัลยาณชนเวลามันเห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง คนที่ ไม่มีสัมมาสมาธิ สติปัฏฐาน นึกเอา สติปัฏฐาน อุปโลกน์ ขึ้นมาเอง โดยที่ว่าเราทำสมาธิแล้ว แล้วทำสมาธิแล้วไม่เห็นกาย เขาก็ให้นึก ให้นึกเอา ให้นึกขึ้นเป็นตัวเชื้อเป็นตัวยกขึ้น เห็นไหม การนึกเอามันก็เป็นเรื่องหนึ่ง เห็นไหม นั่นน่ะ ถ้ามันไม่เห็น สติปัฏฐาน ตามความเป็นจริงก็ให้นึกเอา แต่ถ้าจิตสงบระงับเข้ามาแล้ว ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ตามเป็นจริง นี่ไงปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน แต่การจะปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน จิตมันต้องมีกำลัง จิตมันต้องมีวาสนาของมัน มันถึงจะเป็น สติปัฏฐาน ตามความเป็นจริงได้

ถ้ามันจอมปลอม มันโกหก มันโป้ปด มันมดเท็จ มันก็ เอาสติปัฏฐาน ตามความจำ ตามความจำตามการอุปโลกน์ ความอุปโลกน์ขึ้นมาไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริงได้ไง มันก็เลยเป็นสติปัฏฐาน จอมปลอม ถ้าเป็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริงมันต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้ว มันมีผลของมันขึ้นมา ถ้ามันยกขึ้นเห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริงนั้นคือโสดาปัตติมรรค จิตเห็นอาการของจิต คำว่าจิตเห็นอาการของจิตคือเห็นอาการเห็นความคิด 

ความคิดคืออะไร ความคิดที่มีสัมมาสมาธิคือกาย เวทนา จิต ธรรม ธรรมารมณ์ๆ เพราะจิตมันสงบแล้วมันถึงเห็นอารมณ์เห็นความรู้สึก นี่จิตเห็นๆ มันถึงเป็นสติปัฏฐาน แต่ตอนนี้อารมณ์ท่วมหัวเลย อารมณ์บี้หัวใจเราแบนแต๊ดแต๋เลย ไม่เห็น ไม่เห็นหรอก เห็นแต่ขี้มันขี้รดหัวใจไง เห็นแต่ขี้ แต่ไม่เห็น สติปัฏฐาน ตามเป็นจริง 

ถ้าจิตสงบแล้วจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม โอ้โฮ! มหัศจรรย์มาก นี่ไง ถ้าคนภาวนาเป็น 

คนภาวนาเป็น มันเคยล้มลุกคลุกคลานมาก่อน เคยทรงตัวได้ด้วยสัมมาสมาธิ แล้วสัมมาสมาธิมันไม่เห็นสติปัฏฐาน มันก็ล้มลุกคลุกคลานก็ว่ากันไป แต่ถ้าวันไหนมันเห็นสติ- ปัฏฐาน ตามความเป็นจริง นี่ตามเป็นจริงถ้าจิตเห็นอาการ ของจิต มหัศจรรย์ๆ นี่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เขามีแนวทางอย่างนี้ พอมีแนวทางอย่างนี้ปั๊บ นี่ไง บอกว่า เวลาประสบการณ์ของจิต เห็นไหม 

เวลาหลวงตาขึ้นไปรายงานเรื่องถ้ำสาริกา แล้วท่านรายงานเสร็จแล้วท่านขึ้นคุยต่อเนื่องไป บางวันขึ้นไปก็บอกอยากได้อย่างนั้นอีกเวลาหลวงปู่มั่นท่านแก้มันก็หนเดียว กิเลสตายแล้ว กิเลสตายได้หนเดียวคำว่าหนเดียวมันตายแล้วก็จบไง ธรรมดาของคนมันคิดมันก็คิดได้เท่าที่ความคิดของตน แต่ความจริงมันไม่ใช่ ความจริงหลวงปู่มั่นความหมายของท่านคือว่าลูกหลานมันตายแล้วล่ะ พยายามขวนขวายขึ้นไปหา พ่อ หาจอมทัพ หาความโลภ ความโกรธ ความหลง หาอสุภะ แต่ความจริงคิดว่าตายแล้วก็คือจบไง ความเข้าใจ สุดท้ายแล้ว ไอ้คนพูดก็ต้องมาแก้ 

เพราะเราฟังหลวงตาท่านเล่าข้างเดียวไม่ได้ฟังหลวงปู่มั่น แต่เวลาฟังแล้วเราเคยปฏิบัติมา แล้วเรามาทบทวนนะ อื้อฮือ! อื้อฮือเลย มันอยู่ช่องทางไหน อยู่ระหว่างไหน เหมือน เหมือน เราขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพฯ รถไฟ เห็นไหม มันออกจากโพธารามไป มันก็ผ่านบ้านโป่ง มันก็เข้านครปฐม ไปถึงนครปฐมแล้วนึกว่านี่ กรุงเทพฯ ลงเลย มันก็อยู่นครปฐมนั่นน่ะ ไปเที่ยวองค์พระแล้วบอกอ๋อ! องค์พระ กรุงเทพฯ เป็นเช่นนี้เองไอ้คนที่เขาอยู่กรุงเทพฯ เขารู้เฮ้ย! มึงยังไม่เข้ามาบางแคเลยนะ มึงยังไม่ เข้าบางกอกน้อยเลย แล้วมึงจะเข้ากรุงเทพฯ ได้อย่างไร” 

นี่ไงคนเป็นกับคนไม่เป็นมันต่างกัน ได้ขึ้นรถไฟเหมือนกัน ได้ผ่านหลายสถานีเหมือนกัน แต่ได้ไปลงนครปฐมเห็นองค์พระ นึกคิดว่าอ๋อ! นี่เป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯไม่ใช่ นี่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรดั้งเดิม 

นี่พูดถึงความคิดของคนมันร้อยแปด นี่พูดถึงว่าเวลาเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง แล้วเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง แล้วเราจะบอกว่าพุทโธ มันเป็นสัจจะความจริงมาแต่ไหนแต่ไร แต่พอเป็นสัจจะความจริงมาแต่ไหนแต่ไร แต่เวลาเรากระทำ เราทำแล้ว เห็นไหม มันไม่ได้ผล ไม่ได้ผล เขาบอก ทั้งๆ ที่เขาเชื่อพุทโธเป็นความจริง แต่อารัมภบทมานี่ อารัมภบทมาเวลาเราพุทโธอยู่กับพุทโธ เวลาเราบอก เราเดินจงกรมอยู่เราใช้ความคิด ความคิดมันก็ลากเราไปๆ 

ถ้าเราเดินจงกรมถ้าไม่ใช้ความคิด เราอยู่กับพุทโธดีกว่า เพราะความคิดมันหลายชุดนัก ความคิดเขาบอกความคิดมันผุดขึ้นมาหลายชุด แล้วทำให้เรารู้สึกถ้าความคิดเวลาจะใช้ความคิดเราต้องปัดพุทโธแล้วสู้กับมันไง ตัวต่อตัว อย่าให้เราจับปลาสองมือ ทั้งพุทโธทั้งใช้ความคิด ความคิดเวลาเราใช้ เราใช้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้แบบตัวต่อตัว จับให้มั่นคั้นให้ตาย เอากันจริงๆ จังๆ แล้วปฏิบัติตามความจริงๆ จังๆ ขึ้นมา มันจะได้ผลขึ้นมาเป็นความจริงๆ จังๆ ขึ้นมา 

เวลาบอกว่าเวลาเขาเดินจงกรม เขาใช้ความคิดของเขา เห็นความล่อความหลอกของกิเลส เห็นไหม มันสร้างเรื่องขึ้นมาประจำ มาหลอกล่อเราๆทั้งๆ ที่รู้นะ ทุกคนก็รู้หมดล่ะ แต่เวลามันล่อได้เนียนๆ ก็เอ้อ! น่าจะใช่ ตามมันไปพักหนึ่ง พอมันเห็น โอ้โฮ! ถูกหลอกอีกแล้ว เดี๋ยวก็กลับมาใหม่ นี่ไง มันหลอก เนียนๆ เวลามันหลอกเนียนๆ ก็เชื่อมันพักหนึ่ง แต่ถ้าเราพุทโธชัดๆ นะ มาหลอกเราไม่ได้ ถ้าสติปัญญาเราดี สติปัญญาเราดีนะ 

นี่ระหว่างกิเลสกับธรรมต่อสู้กัน เวลาประพฤติปฏิบัตินะ อย่าน้อยใจ อย่าเสียใจ เราเองเราก็ทุกข์ยากมามาก แต่เวลามันทุกข์มันยากทีไรนะ มันมีวาสนานะ จะระลึกถึงพระพุทธเจ้า กับหลวงปู่มั่นทุกที เพราะ ปีของพระพุทธเจ้าไม่ธรรมดาหรอก เวลาหลวงตาท่านสอนนะ ท่านเคยปฏิบัติถึงสลบไหม พระพุทธเจ้าสลบถึง หนนะ พวกเราไม่เคยนั่งถึงกับช็อกสลบไปนะ พวกเรานี่ไม่เคย พระพุทธเจ้าสลบไปเลยน่ะถึง ครั้ง 

ฉะนั้น เวลาเราเทียบถึงความลำบากของพระพุทธเจ้า ความลำบากของหลวงปู่มั่นนะ ความลำบากของเราจิ๊บๆ มันก็ค่อยยังชั่วหน่อย มันก็ทำได้ เราใช้คตินี้บังคับตัวเองมาตลอด ความเพียรของเอ็ง ความทุกข์ของเอ็งนะ ไม่ได้ขี้เล็บของครูบาอาจารย์หรอก ไม่ได้ขี้เล็บ ฉะนั้น ไม่ได้ขี้เล็บ มันก็พยายามของมัน พยายามของมัน ทำของมันมา แล้วพอมันได้ผล พอได้ผลมันจะไปเข้าใจคำเทศน์ของหลวงปูมั่น ไปเข้าใจคำเทศน์ของหลวงตา เพราะมันเหมือนกันๆ ไง

เวลาเราประพฤติปฏิบัติเริ่มต้น เวลาท่านเทศน์นะ สิ่งที่เราทำแล้วเราเข้าใจ เพราะสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจอื้ม! มันคืออะไร บอกเอ๊! เอ๊! เอ๊อยู่นะ เวลาท่านเทศน์ขึ้นมามันเอ๊ะ! เอ๊ะ! แต่พอถ้าเราทำแล้วมันผ่านแล้ว ใช่ ฉะนั้น เวลาเราพูดนะ เราเอามาพูดบ่อย เราอยู่ที่บ้านตาดนั่นแหละ เวลาหลวงตาท่านเทศน์จบแล้ว เราก็นั่งบนศาลาที่ท่านเทศน์นั่นน่ะ แล้วท่านพูดกับหลวงปู่ลี เพราะหลวงปู่ลีก็นั่งฟังเทศน์อยู่ด้วย ลีเนาะ ลีเนาะ เรานั่งฟังอยู่นะมันคิดเองไง แหม! พระอรหันต์คุยกับพระอรหันต์เว้ย พระอรหันต์รับรองกับพระอรหันต์ 

เราก็นั่งฟังอยู่นะ แต่ตัวเองไม่รู้เรื่องหรอก แต่ด้วยปฏิภาณไง ด้วยปฏิภาณของเรา เรารู้ เรารู้ว่าหลวงตาท่านเทศน์จบ พอท่านเทศน์จบกัณฑ์หนึ่ง หลวงปู่ลีท่านนั่งฟังอยู่ด้วย ท่านก็หันไปทางหลวงปู่ลี ลีเนาะ ลีเนาะ ลีเนาะก็หมายความว่าที่เทศน์ธรรมะมามันรู้กันสองคน พระอรหันต์กับพระอรหันต์ท่านรู้กัน ไอ้เราก็รู้ พระอรหันต์กับพระอรหันต์ท่านรู้กัน แต่เราไม่รู้เรื่อง แต่คิดได้แค่นี้ คิดได้อย่างนี้เนาะ โอ้โฮ! เราฟัง นี่ไง ถ้ามันเป็นความจริงแล้วมันจะเป็นอย่างนั้น มันรู้เท่าทันกัน มันเหมือนกัน ถ้ามันเหมือนกันแล้วมันเหมือนกัน ถ้าเหมือนกันอย่างนั้นมันจะเป็นความจริง

นี่พูดถึงว่า เขาใช้คำว่าพุทโธมันเป็นความจริงไง พอพุทโธมันเป็นความจริง แหม! มันขึ้น มันจริงอยู่แล้ว แต่ พวกเรามันไม่จริง ถ้าไม่จริง เห็นไหม เราอย่าปฏิบัติด้วยความเลื่อนลอย หลวงตาท่านสอนนะ ถ้าการประพฤติปฏิบัติมันต้องการสติ ถ้าขาดสติคือสักแต่ว่า สักแต่ว่าการปฏิบัติเราไม่สมบูรณ์ ถ้ามันจะสมบูรณ์ได้มันต้องมีสติ ถ้ามีสติแล้ว เห็นไหม เราพยายามมีสติ แล้วถ้ามันแบบว่ามันเจือจาง เจือจางไป มัน เบาบางไป เราไม่มีสติ เราไม่มีความรู้สึก เราก็ตั้งขึ้นมาใหม่ๆ สู้อยู่อย่างนั้น เดินเถอะ สู้อย่างนั้น

เปรียบเทียบ เปรียบเทียบถึงชาวไร่ชาวนา เปรียบเทียบถึงคนทุกข์คนยาก เปรียบเทียบถึงคนที่ไปเครื่องบินตกอย่างนี้ อยู่ท่ามกลางหิมะอย่างนี้ เขาทุกข์ยากกว่าเราเยอะ เวลาเราทุกข์ เราคิดถึงคนอื่นทุกข์มากกว่าเรา ลำบากมากกว่าเรา แล้วภาษาเรานะ เขาไม่มีโอกาสด้วย เรามีโอกาสนะ 

นี่คติของเรา วิธีการปฏิบัติของเรา เราใช้อย่างนี้มาตลอด แล้วเวลาใครมาถามปัญหาก็เอาประสบการณ์ของตนบอก ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ แล้วเอ็งทำได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่! แต่ของเราทำ เราทำของเราอย่างนี้ 

ฉะนั้น เขาบอกว่าพอปฏิบัติมา พอทำไปแล้วพุทโธบางทีมันเลื่อนลอยเพราะเราขาดสติ เราไม่จริงๆ เราไม่เลื่อนลอย เราเอาจริงเอาจังของเรา ถ้าเอาจริงเอาจังจะได้ผลตอบแทนที่ ถูกต้อง 

คำถามที่ . นะ. ความรู้สึกที่มันพยายามขับออกมานั่นมันคืออะไรนั่นคือกิเลสมันจะขับออกมา เวลามันขับออกมา เพราะอะไร ขับออกมาเพราะเรากำหนดพุทโธ แล้วใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราพยายามควบคุมไง เหมือนกับนักกีฬา นักมวยเวลามันเข้าต่อสู้กัน เห็นไหม อีกคนเข้าไปจนมุม เห็นไหม เขาพยายามจะออกจากมุม

นี่ก็เหมือนกัน เราดูแลเรารักษาขึ้นมา บางทีมันจะขับมันจะดันออกมาจากหัวใจแล้วมันจะขับมันจะดันอะไรขับดันล่ะกิเลสเป็นนามธรรมมันจะขับดัน แต่พอมันขับดันมันก็ต้องมีเล่ห์มีเหลี่ยม มันมีของมันจริงๆ แต่เอ็งไม่ทันมัน พอเอ็งทันมัน มันก็พลิกไง เขาบอกว่าเวลาเขาปฏิบัติไป ความรู้สึกที่มันเหมือนกับมีอะไรจะดันออกมาจากใจ นั่นมันคืออะไรนั่นแหละภวาสวะ นั่นคือภพ นั่นน่ะคือตัวต้นเหตุ ถ้าตัวต้นเหตุ แต่! แต่เรายังจับ มันไม่ได้ แต่รู้ รู้ว่ามันมีอะไรดันออกมา ดันออกมา แต่เราไม่รู้ ถ้าเข้าไปนะหน้าหงายเลย แพ้มันตลอด ถอยกลับมาที่พุทโธไว้ๆ 

หลวงตาท่านสอนประจำ พุทโธอยู่ที่ปลายจมูก เหมือนเฝ้าอยู่ที่ปากประตูบ้าน ใครจะเข้าใครจะออกก็เห็นตลอด แหม! พุทโธเข้า พุทโธเข้าไปที่กลางสะดือ พุทโธออกมาปลายจมูก ท่านบอกว่าเวลาใครมาก็ตามมันเข้าไปในบ้าน ปากประตูบ้านเราปล่อยทิ้งร้างไว้ คนจะเข้าจะออกได้เยอะแยะเลย แต่ถ้าเราอยู่ที่ปลายจมูกอุ่นๆ อย่างนี้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ แล้ว เฝ้าที่ปากประตูไว้ ใครจะเข้าใครจะออกเราก็เห็น ใครจะมา ขโมยของในบ้านก็จะเห็น ใครที่เราเผลอเข้าไปในบ้านมันจะ ขโมยของออก เราก็เห็น เราอยู่ที่ปลายจมูกนั้น หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ

นี่ก็เหมือนกัน ที่มันขับดันอยู่ๆ ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน กลับมาที่ปลายจมูก หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ เพราะกำลัง เราไม่พอ ถ้ากำลังมันพอสิ่งนั้นมันอาจจะเบาบางลง สิ่งนั้นมันจะ หายไป มันหายไปไม่ใช่หายไปแบบไม่มีนะ หายไปแบบมันฉลาดกว่าเรา หายไปโดยพลิกแพลงไง หายไปว่าเดี๋ยวกูเล่นเกมใหม่ เกมนี้เอ็งรู้ทันแล้ว เดี๋ยวมาเกมใหม่ ถ้าเอ็งจะรู้เท่าทันกิเลสนะ กิเลสมันสงบตัวลง แล้วคิดว่ามันจะแพ้นะ ไม่ใช่หรอก มันกำลัง จะไปเปลี่ยนหน้าเหมือนศิลปะของจีนเปลี่ยนหน้ากาก มันจะไปเปลี่ยนหน้ากากออกมา งงเลย ตัวนี้ตัวใหม่ ไม่ใช่หรอกเขาไปเปลี่ยนหน้ากาก 

นี่ที่บอกว่ามันขับดันมันคืออะไร มันคืออะไรกิเลส ต้นเหตุของมัน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา แล้วมันพลิกแพลง มันเปลี่ยนแปลงไปตลอด มีลูกมีหลานมีเหลนเที่ยวหลอกเที่ยวหลอนเอ็งทั้งปีทั้งชาติ ธรรมะเท่านั้นที่จะไปฆ่ามัน กิเลสกลัวธรรมๆ กิเลสไม่เคยกลัวอะไรเลย กลัวสติ กลัวสมาธิ กลัวปัญญา แล้วเราฝึกหัดของเรา ฝึกหัดของเรา นี่เขาถามว่าความรู้สึกที่ พยายามขับดันนั่นคืออะไรคือกิเลส แล้วกิเลสมีปู่ มีพ่อ มีแม่ มีลูก มีหลาน จะบอกกิเลส กิเลสมันชื่ออะไร มันเป็นอย่างไร โอ้โฮ! ต้องไปเปิดห้องแล็บ แล้วต้องเอากิเลสมาพิจารณา กิเลสใครกิเลสมัน จบ

. จิตกับขันธ์มันเชื่อมต่อกันใช่ไหมครับ และขันธ์ มันมีทั้งที่อยู่กับจิต และที่อยู่กับขันธ์ใช่หรือไม่” 

จิตกับขันธ์มันเชื่อมต่อกันๆ ขันธ์มันมีขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด เวลาจิต เห็นไหม จิตแท้ๆ แล้วจิตนี่เวลาขันธ์มันขาด เห็นไหม เวลาขันธ์มันขาดไปจากจิต ขันธ์มันขาดไปจากจิต ขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณแล้วมันเชื่อมกับจิตอย่างไรมันเชื่อมกับจิตเวลา อารมณ์ เห็นไหม เวลาสัมพันธ์กันด้วยเจตสิก จิต เห็นไหม อนุสัยมันสืบทอด มันเกิดดับ เกิดดับ จิตมันไม่เคยดับแต่ขันธ์ มันดับได้ ขันธ์ มันดับได้คือว่าความรู้สึกนึกคิดมันดับได้ แต่พลังงานไม่เคยดับ ไม่เคยตาย จิตไม่เคยตาย แต่ความคิดเดี๋ยวก็คิด เดี๋ยวก็ไม่คิด 

แล้วจิตกับขันธ์มันเชื่อมต่อกันอย่างไรเชื่อมต่อก็เพราะ ก็มึงเผลอไง พอมันเผลอมันก็ไหลเลย พอสติเราทัน เห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิรู้เท่าทันขันธ์ รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันต่างๆ ความคิดดับหมดเลย ดับแล้วเหลืออะไร เหลือที่ยืนมองอยู่นี่ เหลือจิตล้วนๆ นี่ไงจิตกับขันธ์เชื่อมต่อกันอย่างไรจิตกับขันธ์เชื่อมต่อกันวิถีแห่งจิต มันเชื่อมต่อเป็นอภิธรรมเลย วิถีแห่งจิต มันกระทำอย่างนั้นเลย 

แต่วิถีแห่งจิต เห็นไหม การกระทำของจิต กิริยาของจิตมันก็เป็นกิริยาของจิต แต่กิริยาของจิตคนที่มีกิเลสคือปุถุชนของเรา 

กิริยาของจิตของพระอรหันต์ กิริยาของจิต เห็นไหม ขันธ์ ขันธ์ที่เป็นภาระไง ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา มันเป็นภาระอย่างยิ่ง แต่ถ้าคนที่มีกิเลส เห็นไหม ขันธ์ก็เป็นกิเลสด้วย เพราะอวิชชามันปฏิสนธิจิตมันมีอวิชชา อวิชชา จิตเกิดจากอวิชชา เกิดจากจิต เห็นไหม มันก็มีกิเลสไปด้วยก็เลยเป็น ขันธมารเวลาขันธ์กับจิตเชื่อมต่อกันอย่างไรขันธ์กับจิตเชื่อมต่อกันโดยวิถีแห่งจิต ถ้ามันไม่มีกิเลสแล้วมันก็เป็นกิริยา เป็นกิริยา เห็นไหม 

เหมือนกับลมพัดมันก็มีของมัน แต่ถ้าลมพัดแล้วบ้านพัง ลมพัดคนเจ็บไข้ได้ป่วยมันโกรธนะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีกิเลสๆ มันก็เวลาลมพัดแล้วมันรู้ร้อนรู้หนาว มันพอใจ ไม่พอใจ อู้ย! อู้ย! แต่ถ้าเป็นลมจริงๆ ลมแท้ๆ ลมมันไม่มีชีวิต ลมมันไม่รู้สึก มันก็พัดของมันไป ความคิดขันธ์มันก็เหมือนกับลมพัดไป เออ! ลมมีไหม มี แล้วมันพัดมาจากไหน พัดก็ลม มันเปลี่ยนแปลงมันถึงพัดไป วิถีแห่งจิตก็เป็นแบบนั้น นี่พูดถึงขันธ์กับจิตมันเกิดขึ้นได้อย่างไร” 

คำถามเนาะแล้วสังขารที่มันมีอยู่กับจิตและที่อยู่กับขันธ์สังขารมันก็สังขาร มันก็เป็นขันธ์ อยู่แล้ว ถ้ามันอยู่กับจิตๆ ถ้ามันหยาบ ละเอียด มันก็มีผลกระทบได้ แต่ถึงที่สุดแล้ว เห็นไหม อนาคามิมรรค กามราคะ ปฏิฆะสิ่งต่างๆ ที่มันชำระล้างไปแล้ว ทีนี้มันก็เป็นสังโยชน์ละเอียด อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา พูดถึงว่าจิตล้วนๆ เพราะมันเป็นนามธรรม มันไม่ใช่ขันธ์ นี่ไง ที่หลวงตาท่านพูดถึง อนัตฯละขันธ์ แล้วเป็นพระอรหันต์ท่านบอกว่า อืม! อันนี้มันแปลกๆ แต่ถ้าเป็นอาทิตฯ เห็นไหม มโนนิพพินทะติมันละขันธ์ มาแล้วมันต้องไปละมโนด้วย ละใจด้วย ละใจอย่างไร นี่พูดถึง ขันธ์กับจิตอันนี้พิจารณาไป พูดมากไปมันจะไปใหญ่ไง 

ฉะนั้น ถึงพูดว่าจิตกับขันธ์มันเชื่อมต่อกันอย่างไรมันเชื่อมต่อกันด้วยสิ่งที่มีชีวิต ถ้ามีชีวิตมันรับรู้สึกได้ว่าอย่างนั้นเลยแล้วขันธ์ที่อยู่กับจิต และอยู่กับขันธ์ใช่หรือเปล่านี่ขันธ์ก็เป็นขันธ์ จิตก็เป็นจิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่จิต จบ

การที่เราบริกรรมแล้วมันไม่ดูดดื่มกับคำบริกรรม จิตมันเป็นอะไรมันไม่ดูดดื่มเพราะกิเลสมันหลอกไง แต่ถ้าเป็นธรรมมันชอบ ถ้าเป็นธรรม เห็นไหม มันดูดดื่ม มันซาบซึ้ง แต่ถ้าเป็นกิเลสมันจะทำให้เราเสียหาย เราก็พยายามตั้งสติของเรา ไม่ดูดดื่ม แล้วเวลาดูดดื่มไม่ถามบ้างล่ะ เวลามันดูดดื่มไม่ถามเลย หลวงพ่อพุทโธดี๊ดี ไม่ถามเลย ถามสิเวลามันดูดดื่มๆ อย่างไร เวลาไม่ดูดดื่ม น่ะถาม แหม! เวลากินข้าวอร่อยไม่เคยนึกถึงเลย เวลาไม่มีข้าว จะกิน หาหลวงพ่อ เวลาไม่ดูดดื่มกิเลสมันปัดแข้งปัดขา แต่ถ้ามันดูดดื่มๆ ก็ธรรมะเราดี สติเราดี การปฏิบัติเราดี นี่ เห็นไหม เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก จบ

ถาม : เรื่องความรู้สึก

กราบนมัสการพระอาจารย์ด้วยความเคารพ

กระผมเคยกราบเรียนขอความเมตตาจากอาจารย์ ในเรื่องความสงสัยจากการปฏิบัติครับ ติดค้างมาเป็นปี พยายามถามพระมาหลายท่านก็ไม่ได้คำตอบที่ลงใจ เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อปี ที่แล้ว ในช่วงเมษาฯ ได้มีโอกาสบวชเพื่อตั้งใจปฏิบัติเป็นเวลา กว่าเดือน จำวัดที่พักสงฆ์สงบๆ แห่งหนึ่ง ตั้งใจเดินจงกรม อดนอน อดอาหาร ตามจริตที่ชอบของตนเอง เนื่องด้วยกุฏิเป็นกุฏิคู่ มีโถงทางเดินหน้าห้องร่วมกัน แต่มีกระผมจำวัดกุฏิเดียว ก็จะเดินจงกรมที่โถงทางเดินหน้าห้องทุกวัน วันละหลายชั่วโมง เมื่อสงบก็จะมานั่งที่ม้านั่งหน้าห้อง จิตก็สงบต่อยาวๆ ทุกๆ วัน 

มีวันหนึ่งขณะที่ทำข้อวัตร กวาดโถงหน้า ในใจหงุดหงิด คิดว่าโถงที่พักมันกว้าง ต้องเป็นภาระมากมายของเรา ต้องทำความสะอาด นี่มันกว้างขวางเกินไป และต้องไปทำความสะอาดกุฏิห้องข้างๆ อีกด้วย แต่ก็ใช้ปัญญาไล่เหมือนกันครับ ว่าเรามีเวลามากมายก็ค่อยๆ ทำไปสิ แล้วก็พยายามฝึกฝืนทำให้ช้าๆ ประณีตๆ อยู่ๆ ขณะที่ลากไม้กวาด แป๊บหนึ่งแค่แวบ ขณะที่ลากไม้กวาดจริงๆ ครับ โอ้! มันคืออะไร ความรู้สึก อะไรกัน ทำไมมันบอกไม่ถูก ไม่เคยเป็นมาก่อน จะบอกว่าสว่างมันก็ไม่สว่าง จะบอกว่ามันเป็นอย่างไรก็บอกเล่าไม่ถูกครับ 

จะเล่าให้พระอาจารย์ที่พักสงฆ์ก็ยังไม่สามารถบอกเล่าความรู้สึกแบบนี้ได้เลยครับ เพราะมันไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย เคยแต่แค่สงบร่มเย็นเบาสบายโล่งใจเท่านั้นเอง ครับ แต่อาการแบบนี้เป็นแวบเดียวเท่านั้นจริงๆ รู้และจำได้ติดใจ แต่บอกอะไรไม่ถูกครับแต่ติดใจค้างใจ สงสัยถามพระก็ไม่มี คำตอบไม่ลงใจ มันคือสมาธิ คือจิต หรือมันคือปัญญา หรือมันคือส้มหล่นแน่ๆ แน่ใจก็คิดเหมือนกัน ในใจคิดเหมือนกันว่ามันรู้จริงๆ ครับ แต่ที่แน่ๆ มันคือความรู้สึกที่ดีมากๆ มันคิดมันติดอาการนี้ครับ มันหวนคิดถึงอาการแบบนี้ตลอดครับ 

กราบเรียนท่านอาจารย์ครับกระผมควรต้องปฏิบัติแก้ไขอย่างไรครับ” 

อีกคำถามหนึ่ง อีกคืนใกล้ๆ วันลาสิกขา ขณะนั่งปฏิบัติเดินจงกรมพอสงบแล้ว จึงเดินมานั่งที่ม้านั่งประจำที่หน้าห้อง สักพักได้ยินเสียงคน คนเถียงกัน คุยกันเสียงดังมาก จนสงสัยว่าใครมาทะเลาะกันแถวๆ หน้าลานจอดรถ ความรู้สึกเหมือน พ่อแม่ลูกเถียงกัน เลยลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าประตู ก็ไม่ปรากฏใคร เสียงก็ยังคงอยู่ตลอดไป แต่จับไม่ได้ว่าคุยอะไรกัน เวลานั้นประมาณเที่ยงคืน จนกระผมกลัวบ้าง สงสัยบ้าง เข้าใจไปเองบ้าง อย่างนั้น อย่างนี้ จึงตัดสินใจเข้าห้อง 

กราบนมัสการครับถ้ากรณีอย่างนี้ เราได้ยินเสียงแบบนี้ สมควรปฏิบัติอย่างไรดีครับ” 

หลวงพ่อ : กราบเรียนถามเนาะ

ตอบ : เอาคำแรกก่อน คำถามแรกคือแวบ! ถ้าแวบเนี่ยภาษาเรานะ ภาษาเราถ้าเราพุทโธ หรือเราภาวนาอยู่นี่ มัน เห็นไหม เราเหมือนกับว่า เราได้มีคำบริกรรมอยู่ ถ้ามีคำบริกรรมอยู่ มันจะ ได้ มันจะไม่ได้ มันจะได้จะไม่ได้ ถ้ามีสิ่งใดมาแวบมานี่ ไอ้นี่มันเป็นอาการของใจทั้งนั้น มันเป็นอาการของใจ แต่อาการอย่างนี้มันฝังใจ ฝังใจมากๆ ฝังใจมากแล้วอาการฝังใจ เห็นไหม 

เวลาหลวงตาท่านพูดธรรมเกิดๆ คือ กิเลสเกิดกิเลสเกิดก็เป็นอย่างนี้มันฝังใจ แล้วมันคาใจเที่ยวไปถามเขาหมดเลย อาการแบบนี้ก็ถามเขาไปทั่วเลยผมเป็นอย่างไรครับ ผมเป็นอย่างไรครับแล้วจะเป็นอะไรเพราะผ่านไปแล้ว พอเกิดอะไรขึ้น มันก็เกิดอาการหนึ่งนะ แล้วเราก็จะเอาการอย่างนี้เที่ยวถามเขาไปทั่วเลย มันเสียเวลาไง มันเหมือนว่าถ้าเราไม่มีอะไรเลย เราก็ไม่มีอะไรเลย พอเรามีอะไรเลยแหม! ฉันรวยๆ ฉันมี เที่ยวอวด เขาเรื่อย มันจะมีสิ่งใดมันก็แล้วไปแล้ว 

อดีต อนาคตมันแก้กิเลสไม่ได้ อดีต อนาคตมันทำให้ เราเสียหาย มันทำให้เราเสียเวลา สิ่งที่มันคาใจมันฝังใจ มัน คาใจมันฝังใจนั่นก็วางไว้ วางไว้แล้วเรากลับมาพุทโธ กลับมา ภาวนาของเรานะ แล้วเกิดถ้ามันดีขึ้นมันจะผ่านอารมณ์อย่างนี้ เข้าไป วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ องค์ของสมาธิ มันต้องมีวิตก วิจาร เห็นไหม เราระลึกขึ้นพุท วิจารคือพุทโธๆ วิตก วิจาร วิตก วิจารไปเรื่อยๆ มันเกิดปีติ โอ้โฮ! ตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวอะไร นี่เกิดปีติ พอมันเกิดปีติแล้วพอพุทโธต่อเนื่องไป ปีติก็วางหมดเลย แหม! ว่างเลย ถ้ามันต่อเนื่องไป เห็นไหม จากสุขมันก็เป็นเอกัคคตารมณ์ตั้งมั่น มันผ่านไปนะ นี่องค์ของสมาธิ แต่ลักษณะใดเด่นล่ะ ลักษณะของจิตของใครอะไรมันเด่น มันเด่นตรงไหน แล้วเวลาเป็นสมาธิแต่ละทีมันก็เด่นไม่เหมือนกัน

คราวนี้ไปทำสมาธิอยู่บนยอดเขา โอ้! บรรยากาศมันดี มากเลย เห็นไหม เวลาสงบก็สงบไปอย่างหนึ่ง ไปทำสมาธิใน ถ้ำ มันอับมันทึบเวลาเป็นสมาธิมันมีเป็นอีกแบบหนึ่ง จิต ดวงเดียวนั่นน่ะ นี่วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ เอกัค- คตารมณ์ความตั้งมั่น แล้วมันตั้งมั่นมันแวบมาก็แวบไปแล้ว เราจะบอกว่าอาการของจิต แล้วถ้าเขาบอกว่ามันเป็นอะไร เป็นสมาธิ เป็นจิต เป็นปัญญา หรือส้มหล่นแน่ๆ เลยใช่ ส้มหล่นส้มหล่นแน่ๆ เลยส้มหล่น 

ส้มหล่นคือว่ามันมาโดยไม่มีเหตุมีผล ถ้าเราทำพุทโธ เราใช้อานาปานสติ เราใช้ปัญญา สงบเราก็รู้ว่าสงบ ไม่ใช่ส้มหล่น ไม่ใช่ส้มหล่นหมายความว่าเราปฏิบัติโดยชัดเจน โดยสติ โดย ความเพียรควบคุมดูแลมันก็เห็นมา เหมือนทอดไข่ ทอดไข่ ทอดไข่ ทอดไข่ ทอดไข่ มันสุกต่อหน้าเราก็รู้เราทอดไข่ ตีไข่ ลงไปไข่สุกเลย เฮ้ย! ใครทอดไข่ ใครทอดไข่ งงแล้วนะ ใครทอด ไข่ ใครทอดไข่ ถ้าเราทอดไข่เราก็ทอดไข่ พลิก เออ! ไข่สุก เห็นไหม ตั้งใจทำโดยสติสัมปชัญญะ มันก็ไม่สงสัย เอ๊ะ! ตอกไข่พั้บไข่สุกเลย ใครทอดไข่ เท่านั้นแหละเป็นเรื่องเลย ใครทอดไข่ ใครทอดไข่ ไปทั่วเลย 

มันแวบ! อาการของจิต ไม่มีปัญหาหรอก ไม่มีปัญหาหมายความว่าเรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สิ่งที่เกิดขึ้น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น โอ้โฮ! นักปฏิบัตินะ เดี๋ยวมันจะเกิดอีกแยะแยะเลย เล่ห์เหลี่ยม พลิกแพลงร้อยแปด นี่ขนาดแค่ลมพัดลมเพเลยนะ มันยังติดขนาดนี้ แล้วถ้าไปเห็นกาย ไปเห็นกายเห็นขาใคร หย่อนลงมาอย่างนี้ เห็นแขนใครโผล่มาอย่างนี้ ไปเห็นลูกกะตาของใครอย่างนี้ ตกใจ จะต้องไปถามพระอินทร์ ให้พระอินทร์ตอบ เวลามันเจอ โอ้โฮ! มันยังอีกเยอะ 

เวลาภาวนาไปถ้าเป็นความจริงนะ เป็นความจริงหมายความว่าจิตเราได้ประสบ ได้พบ ได้เห็น ได้พัฒนาการ การปฏิบัติคือการฝึกจิต จิตตภาวนา ถ้าภาวนาไปมันจะเป็น แบบนั้น ไม่ใช่ภาวนาที่อารมณ์ความคิด เอาความคิดมาโต้มาแย้งกัน ไปฟังใครเล่าว่าแล้วก็มาเถียงกัน ไม่มีประโยชน์เลย แต่ถ้าปฏิบัติไป แวบ! ยังฝังใจขนาดนี้ เดี๋ยวเห็นขาใครห้อยมาตกใจเลยนะ นั่นไม่ใช่อะไร นั่นเขามาลองของ แล้วพัฒนาไป

แล้วคำถามที่. มันมีอยู่คืนหนึ่งนั่งอยู่ที่ม้านั่ง มีคน เถียงกัน คนคนเขาจะเถียงกัน สิ่งใดก็แล้วแต่แล้วแต่เขา เวลาคนเราภาวนานะ บางทีถ้าจิตมันสงบแล้วได้เสียงกันประโคมดนตรี ดนตรีไทย เสียงประโคมดนตรีเสียงต่างๆ นะ แล้วบางคน ก็มีไป แต่บางคนที่ภาวนาที่ไหน พอดีที่นั่นเขามีงานบวช เขา เปิดเครื่องขยายเสียง โอ้โฮ! เสียงเพลงมานี่โอ้โฮ! วันนี้เทวดามาเล่นมหรสพให้ฟัง ไม่ใช่ เขาเปิดเครื่องเสียงมันมีงานบวช เสียง มันมีมา เรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์หรือไม่ 

เสียงนี้มันต้องเป็นหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ขาว ท่านอยู่ในป่าของท่าน พวกสิ่งที่สร้างบุญสร้างกรรมกันมา สายบุญสายกรรมที่มาอนุโมทนา สายบุญสายกรรมที่มาร่วมเชิดชู มันมีของมัน มันอยู่ที่วาสนาของคน แต่ของเราถ้ามันเถียงกันเพราะอะไร เพราะมันอยู่ในเมือง เขาเถียงกันก็แล้วแต่นะ เพราะอะไร ใน สามแยกสี่แยกสัมภเวสี ในสามแยกสี่แยกมีอุบัติเหตุ มีคนตาย จิตอยู่ที่นั่น เพราะอะไรนะ ในทางโค้งต่างๆ ในที่นะเวลา วันพระเขาได้ยินเสียงทัวร์นะ ฉิ่งฉับๆ ฉิ่งฉับๆ รถทัวร์มาคว่ำ ตายเยอะแยะไปหมด 

เพื่อนเรานะไปปฏิบัติอยู่แถวเมืองจันท์ ตอนเมื่อก่อนเข้าเมืองจันท์ มันจะมีโค้งหักศอก ตรงนั้นน่ะ บอกตรงนั้นตายเยอะมาก แล้วพอวันพระนะใครไปภาวนา ไม่ต้องภาวนาผ่านไปก็ ได้ยินเสียงฉิ่งฉับๆ ฉิ่งฉับๆ มันยังเพลินอยู่นะ มันยังตีฉิ่งฉับๆ ของมันอยู่นะ มันตายแล้วมันยังตีฉิ่งฉับอยู่ เนี่ยสัมภเวสี อายุขัยเขายังไม่ถึง เขาเกิดอุบัติเหตุตายเสียก่อน นี่มันมีของมันไง นี่ขนาดทางโค้ง ทางร่วม ทางแยก มันยังมีของมัน มันมีของท่าน แบบว่าเขาเสียชีวิตไป 

เพราะว่าชีวิต เห็นไหม สิ่งที่อายุขัยเวลาของจิตวิญญาณกับของมนุษย์มันแตกต่างกัน มันร้อยแปด เราไม่ต้องไปตื่นเต้นหรอก นี่เป็นวิทยาศาสตร์เลย เรารับผิดชอบภพของมนุษย์นี่แหละ เรารับผิดชอบชีวิตของเรานี่แหละ เราไม่ต้องรับผิดชอบ ไปรับรู้เรื่องสิ่งใดในมิติอื่น ในความเห็นอื่น แต่! แต่ในวัฏฏะ มันมีอยู่จริง ของจริงๆ มันมีอยู่จริงๆ แต่เราไม่มีความสามารถ จะรู้ได้ ถ้ามันมีอุบัติเหตุมาได้ยินเสียงเขาเถียงกัน แล้วก็วางซะ เถียงกันที่นั่นก็จบที่นั่น ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง เรื่องของเรากลับมา พุทโธของเรา มาดูแลหัวใจของเรา 

เขาบอกนั่นคืออะไร นั่นคืออะไร สิ่งที่ควรทำอย่างไรควรทำอย่างไร ตั้งสติ ปัจจุบันนี้เราเป็นมนุษย์ เรามีชีวิต เรา มีโอกาสพัฒนาใจเรา เรายังมีโอกาสทำให้เราเป็นคนดีงาม ขึ้นมาได้ เราควรทำตรงนี้ ทำตรงนี้ให้มันดีงาม ดีงามทางโลก และทางธรรม ทางโลกคือเราอยู่ด้วยศีล ด้วยธรรม ทางธรรมเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา ให้หัวใจของเรามีการพัฒนาการที่ดีขึ้น หัวใจของเราให้มีพัฒนาการที่เป็นคุณธรรม จะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง