ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ไร้เดียงสา

๗ ก.ค. ๒๕๖๑

ไร้เดียงสา

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ กรกฎาคม ๒๕๖๑

วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง .โพธาราม .ราชบุรี


ถาม : เรื่องศีล

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ 

หลวงพ่อเมตตาตอบข้อสงสัยของลูกด้วยค่ะ การที่ตั้งใจรักษาศีล แต่มักจะฟังเพลงประวัติพระอาจารย์มั่น หรือประวัติหลวงตา ในบางครั้งที่อยากปรับอารมณ์ และมักจะเน้นฟังเนื้อหาซึ่งบางทีก็มีข้อธรรมในนั้น เช่น พละ ทำให้ลูกจำได้ และพอได้ศึกษาบางทีก็เกิดความคึกคัก มีกำลังใจขึ้นมาในเนื้อหาที่ว่า ท่านผ่านความยากลำบากเป็นมาอย่างมากมาก่อน แต่ลูกก็กังวลว่าจะขัดต่อศีลหรือไม่ และมีผู้เตือนว่าถ้าฟังมากจะกลายเป็นสัญญาที่ผุดขึ้นมาในขณะที่ทำความเพียร จริงหรือไม่เจ้าคะ การฟังเทศน์มากเกินไปจะทำให้เกิดทิฏฐิมานะ ว่าตัวเองรู้มาก หรือเปล่า และจะฟังอย่างไรจะทำให้ไม่เกิดทิฏฐิมานะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

ตอบ : มีผู้เตือนว่า มีผู้เตือนว่าไง ไอ้ผู้เตือนว่าเขาทำมากน้อยแค่ไหน ไอ้นี่มันอยู่ที่เรานะ อยู่ที่เราเริ่มต้น เริ่มต้นที่ว่า เรามีศรัทธามีความเชื่อมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีศรัทธาความเชื่อของเรา เห็นไหม ถ้าเราประคองชีวิตของเราให้อยู่กับศีลกับธรรม นี่ก็เป็นผู้ที่ดีแล้ว นักปราชญ์ๆ ไง 

แต่ถ้าผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราก็หาเวลาของเรา นี่เขาบอกว่าเขาจะถือศีล ศีล ศีล หรือศีล คำว่าศีลคำว่าศีลเห็นไหม เวลาถือแล้ว มันถือแล้วมันเกร็งไปหมดล่ะ เวลาคนที่ไม่เป็น เริ่มต้นเป็นอย่างนี้หมด ไม่ใช่เฉพาะว่าเรานะ เอาหลวงปู่มั่นเลย 

หลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่น เห็นไหม ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ขนาดทำความสงบของใจได้นะ ทำความสงบของใจได้แล้วเวลาคลายออกมา มันไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย มันอารมณ์เดิมๆ นั้นน่ะ ท่านก็หาความบกพร่องของท่าน หาความผิดพลาดของท่าน แล้วท่านเอง ท่านก็วินิจฉัยของท่านได้เองว่า ท่านปรารถนาพระโพธิสัตว์ๆ ท่านต้องไปลาพระโพธิสัตว์ก่อน 

เวลาลาพระโพธิสัตว์แล้ว ทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบแล้ว ตั้งกายขึ้นมา พอใจสงบแล้วบางคนก็เห็นกาย บางคนก็ไม่เห็นกายนะ ถ้าบางคนก็ไม่เห็นกายขึ้นมา ด้วยอำนาจวาสนา ให้รำพึงขึ้นมา รำพึงนึกขึ้นมา เห็นไหม ตั้งขึ้นมา ตั้งขึ้นมาถ้าในการประพฤติปฏิบัติการตั้งขึ้นมาหรือการรำพึงขึ้นมาเขาเรียกสัญญา หลวงพ่อก็บอก ครูบาอาจารย์ก็บอก สัญญาใช้ไม่ได้ สัญญาทำให้เราติด แต่ถ้าเราไม่มีอุบายเริ่มต้นในการประพฤติปฏิบัติ เริ่มต้นจากการก้าวเดิน ถ้าไม่มีอุบายเริ่มต้นเลย เราจะกล้าเดินไปไหน ถ้ามันสงบแล้วมันพิจารณากาย มันเห็นกายไม่ได้ เห็นกายไม่ได้เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมก็ได้ 

แต่ถ้าไม่เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย ทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบแล้วรำพึง รำพึงคือคิดในสมาธิ บางคนบอกสมาธิคิดไม่ได้ สมาธิคิดไม่ได้สมาธิโดยเนื้อหาสาระเขาไม่ให้คิดเพราะต้องการทำสมาธิ แต่พอทำสมาธิแล้วในสมาธิคิดได้ ถ้าในสมาธิคิดไม่ได้มันจะเกิดสมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม เวลารำพึงขึ้นมา ถ้ามันไม่เห็นรำพึงขึ้นมา พอรำพึงขึ้นมาพยายามฝึกฝน ฝึกฝนว่าให้มันก้าวเดินไป ก้าวเดินไปพอมันใช้ปัญญาไปแล้ว สมาธิมันเบาบางลง เห็นไหม เราก็กลับมาทำสมาธิ กลับมาทำให้มันแข็งแรงขึ้น แล้วถ้าเริ่มต้นเรารำพึง รำพึงขึ้นมา แต่ถ้าจิตมันสงบแล้ว กำลังมีมากขึ้น มันเห็นตามข้อเท็จจริง 

นี่พูดถึง ถ้ามันบอกว่ามันเป็นสัญญาๆมันเป็นสัญญา มันเป็นสัญญาไม่ได้ ถ้ามันไม่เริ่มต้นจากสัญญาก่อน มันก็เริ่มต้นไม่ได้ เวลาการประพฤติปฏิบัติมันเป็นจังหวะจะโคน มันจะว่า สิ่งใดเริ่มต้นก่อน พยายามจะฝึกหัดให้เราตั้งไข่ให้ได้ก่อน ถ้าตั้งไข่ได้ไปแล้ว เราจะเดินไปข้างหน้า เห็นไหม เราก็มาพิจารณาของเราตรงนี้ไง 

นี่พูดถึงว่า ถ้าเวลามันจิตสงบแล้ว เวลาฝึกหัดใช้ปัญญานี่วิปัสสนา ปัญญารู้แจ้งในจิตของตน ปัญญารู้แจ้งในจิตของตน ถ้าปัญญารู้แจ้งในจิตของตน เวลาหลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติ เริ่มต้นทำแล้วมันจืดๆ ชืดๆ ทั้งนั้น สุดท้ายแล้วก็มาค้นมาคว้าของตัวเอง เวลาพระโพธิสัตว์นี่พูดถึงหลวงปู่มั่นนะ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติเริ่มต้น ล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาชาวพุทธๆ เวลาจะขอศีล เวลาขอศีลๆ เวลาหลวงตาท่านบอกขอศีล ได้ศูนย์ ขอศีล ได้ศูนย์ ขอศีล ๑๐ ได้ศูนย์ ได้ศูนย์ ได้ศูนย์ มันไม่ได้ศีลหรอก เราไปคิด ศีลมันคืออะไร พอบอกขอถือศีล อย่างเช่น วันพระ วันพระ เห็นไหม ถือศีลอุโบสถ เกร็งไปหมดเลย แต่! แต่ถ้าคนที่อยู่ศีลนะ ไปอยู่วัดอยู่วาอยู่ศีลของท่านเป็นประจำนะ แล้วทำจนเคยชิน มันไม่เก๊กไม่เกร็ง เราทำสิ่งใดไป เวลามันผิดพลาด มันสิ่งใดไป เห็นไหม ก็ต่อศีล เวลาพระเราเวลาผิดพลาดไปก็ปลงอาบัติ ไม่ต้องไปเกร็ง ใช้ชีวิตประจำวันเรานี่แหละ แต่! แต่มีศีล ศีล เป็นเครื่องกางกั้นไม่ให้เราออกนอกลู่นอกทาง 

ศีล เวลาถือศีล ศีล เวลาถือศีล ศีล นะ เราถือศีล ศีล เราก็ทำตามนั้นเพราะศีล ศีล มันกฎหมาย คนเรานะเราไม่ทำผิดกฎหมายมันจะผิดตรงไหน เราไม่ได้ทำผิดกฎหมาย นี้พอมันถือศีล โอ้โฮย! เกร็งไปหมดเลย บางคนถือแล้วไอ้นี่มันอยู่ที่วุฒิภาวะ อยู่ที่วาสนาของคนนะ วาสนาของคนบางคนเขาถือศีล ศีล เราไม่รู้เลยว่าเขาถือศีลนะ เวลาเขาถือศีล เวลาเขาไปทานอาหารกัน เขาต้องไปในงาน เขาก็ไปนั่งนะ ไปนั่ง ไปดูเขา คนยิ่งไปนั่งไปดูเขา เพราะเราไม่ทานอาหารตอนเย็น นี่ศีล พอเที่ยงแล้วเราไม่ทานอาหาร นี้เวลาไปในงาน ก็ไปนั่งจิบน้ำ จิบนู่นจิบนี่ ถ้าคนเป็น โอ๋ย! ถ้าคนไม่เป็นนะ เวลาจะเข้าไปในงาน ไปเห็นเขาขึ้นป้ายไว้ที่หน้าผากเลย ฉันถือศีล นะ อวดเขาไปเลย 

เพราะตอนสมัยเรายังไม่บวช กรณีอย่างนี้ เวลาไปไหน เพราะเราไม่ดื่มสุรามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เวลาพรรคพวกดื่มสุราเนี่ย เขาดื่มสุรากันนะ ตามประสาวัยรุ่น การเที่ยวเตร่มันมี เรื่องธรรมดา เวลาไปไหนของเราเขาจะสั่งน้ำส้มให้เลย เพื่อนๆ จะรู้หมด รู้เพราะอะไร รู้เพราะว่าเราทำได้จริงไง ถ้าทำได้จริงมันไม่แอค มันทำเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องธรรมดาแล้วอย่างคนอื่นเขายอมรับ พูดถึงเราเห็นเรื่องการถือศีล แล้วพอการถือศีลนู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ได้หรือไม่ได้มันเป็นที่วาสนาของคนนะ มันอยู่ที่วาสนาของคน ดูจริตนิสัยของคนสิ ถ้าจริตนิสัยของคนแล้วนะ มันเข้มข้นไปทางไหน ถ้าเข้มข้นไปทางไหนมันก็ไปทางนั้น 

นี่ก็เหมือนกัน เราถือศีล เวลาอาราธนาศีล เห็นไหม เราขอศีล ศีลถือได้ อย่าง . อาราธนาศีล วิรัติศีล อธิศีล ศีลมันเกิดขึ้นโดยสัจจะ โดยความจริง อย่างกรรมฐานเรานี่ส่วนใหญ่แล้วเขาให้วิรัติเอา ตั้งใจเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อนั้น ตั้งใจเลย ไม่ต้องขอ 

ขอเป็นพิธีเกินไป เวลาขอมันขอมันก็ทำเป็นพิธีกรรม เป็นการยืนยัน วิสุง วิสุง รักขณัตถายะ เวลาขอศีลๆ ไง ไอ้พระก็แค่ให้ศีลเป็นแค่พยาน ศีลมันเกิดขึ้นหรือยัง ยังไม่เกิดขึ้นเลย แต่ถ้าเราอยู่โดยปกติ ศีลคือความปกติของใจ กรรมฐานเรานะ เรื่องนี้พิธีกรรมเป็นเรื่องที่ทำให้คนประมาทเลินเล่อ ทำให้คนมีช่องทางที่ทำให้ตัวเองเหลวไหล ว่าอย่างนั้นเลย แต่! แต่ในพระพุทธศาสนา ศาสนพิธี ถ้าพิธีกรรมแล้วมันต้องมีพิธีอย่างนั้น มีพิธีขึ้นมาเพื่อให้ เห็นไหม ดอกไม้ถ้าร้อยทำพวงมาลัยแล้วมันก็จะดูสวยงาม สังคม สังคมก็มีความร่มเย็นเป็นสุข สังคมก็ทำตามกัน นี่พูดถึงเรื่องศีล แล้วมันถือศีลแล้วก็ไม่ต้องมาเกร็ง 

นี่เขาคำถามไงถ้าเขาถือศีล แล้วเวลา แต่มักฟังเพลงประวัติหลวงปู่มั่น หลวงตาการฟังเพลงๆ นี่นะ โดยข้อเท็จจริงในปัจจุบันนี้นะ การถือศีล ศีล ไม่ฟังการละเล่นฟ้อนรำ ไม่ร้องรำทำเพลง ไอ้เรื่องนี้มันทำโดยข้อเท็จจริง แล้วมันทำให้ไม่ประมาทเลินเล่อ มันทำให้คนไม่ประมาทเลินเล่อ แล้วเวลาฟังไปแล้ว เห็นไหม มันแบบว่าสิ่งใดถ้ามันสะเทือนอารมณ์ เราไม่ดูการละเล่นฟ้อนรำ นี่โดยข้อเท็จจริงเลย

พระก็เหมือนกัน พระห้ามฟังเพลง พระต่างๆ แต่! แต่อยู่ในสังคม สังคม เห็นไหม ดูสิ เวลาเขามีงานประเพณีกัน เขาเปิดเพลงกัน เราศีลขาดไหม ก็เกิดเป็นประเพณีชาวบ้านเขาทำ ใช่ไหม เราไม่ครบองค์ เราไม่ได้จัดเอง ไม่ได้หาเอง ไม่ได้เปิดเอง ไม่ได้ฟังเอง มันเป็นเรื่องวัฒนธรรมของเขา เราอยู่กับเขา เราฟังแล้วเรามีสติอยู่นี่ศีลไม่ขาด เวลาถือศีล เห็นไหม เวลาถ้าเราผิดปกติ เห็นไหม ศีลเศร้าหมอง ศีลด่างพร้อย ศีลทะลุ ศีลขาด เวลาศีลมันครบองค์ประกอบหรือการตั้งใจหรือไม่ ถ้ามันไม่มีเจตนา ไม่ได้ตั้งใจทำอย่างนั้น มันก็ไม่มีผล ไม่มีผลให้ศีลขาด แต่ถ้ามันเศร้าหมองไหม มันก็เศร้าหมอง เพราะมันเศร้าหมอง เห็นไหม

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาพระกรรมฐานถึงเข้าป่าเข้าเขาไง เข้าป่าเข้าเขาไปโดยที่ว่าไม่ต้องไปยุ่งกับใคร มีแต่เสียงสัตว์ เสียงธรรมชาติ เสียงสัตว์ เสียงธรรมชาติแล้วเราก็ไปวิเวก พอไปวิเวกขึ้นมามันก็ไปเหงา อยากมีคนคุ้มครอง อยากมีคนดูแลก็อยากเข้ามาในเมือง พอเข้ามาในเมืองแล้ว เห็นไหม ถ้าจิตใจของคนที่เข้มแข็ง กรณีอย่างนี้มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่จิตใจของเราอ่อนแอ พอจิตใจของเราอ่อนแอนี่นะ มันไม่มีจุดยืน ทำสิ่งใดล้มลุกคลุกคลานไปหมดล่ะ ฉะนั้น ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง เวลาประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงกาลามสูตร อย่าเชื่อใครทั้งสิ้น 

ฉะนั้น เขาบอกว่าเขาคิดว่า เขาถือศีล แต่เวลาฟังประวัติหลวงปู่มั่น ฟังประวัติของหลวงตา ฟังแล้วมันคึกคักมันฮึกเหิมถ้ามันคึกคักมันฮึกเหิม กรณีนี้เราฟังเป็นธรรมก็ได้ กรณีฟังเทศน์วิทยุหลวงตา หรือดูทีวีหลวงตา โดยทางเทคนิค เห็นไหม เวลาเขาต่อ ต่อเทป ต่ออะไรนี่ มันก็มีเพลงมาคั่น นี่มันเป็นทางเทคนิค แต่ถ้าพูดถึงในทางธรรมไม่ได้ มหรสพสมโภชมันเรื่องการประโลมโลก สิ่งใดที่เป็นนิยายประโลมโลก สิ่งนั้นมันจะเป็นการพอกพูนกิเลส ถ้าโดยสัจธรรมแล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เศร้าหมอง ว่าเลยสิ่งที่ไม่ดีงาม 

แต่ถ้าในทางเทคนิคมันต้องทำนะ มันเรื่องของเขา แล้วเรื่องของเขา เราไม่มีเจตนา เราไม่ได้ตั้งใจ แต่ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์นะ เขาบอกมันฟังแล้วมันคึกคัก ฟังแล้วมันเป็นปัญญาได้ถ้าเป็นปัญญาได้ เราเอามาเป็นปัญญา เราเป็นเรื่องกาลามสูตร กาลามสูตรประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วมันดีขึ้น ถ้าเราเชื่อในผลการปฏิบัติของเรา ถ้าเราเชื่อในผลของการปฏิบัติของเรา ถูกต้อง แต่! แต่ก็พูดอีกล่ะมีคนคอยมาเตือนว่ามันจะเป็นสัญญา เวลามันเป็นสัญญาขึ้นมาจริงๆ มันฟังเทศน์มากเกินไป รู้มากเกินไป” 

ฟังเทศน์นี่หลวงตาท่านสอนเลย พระกรรมฐาน การอบรมอันดับหนึ่ง คือ การฟังเทศน์ อันดับสองนั่งตลอดรุ่ง การฟังๆ การฟังจากครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง เห็นไหม เวลาพระเขาวิเวกไป เขาธุดงค์ไป เวลาไปเจอครูบาอาจารย์ให้ดูนิสัยกัน วัน ถ้า วันแล้วให้ขอนิสัย ไม่ขอนิสัยให้เก็บของไป นี่ไง มันเข้ากันได้ หรือเข้ากันไม่ได้ไง 

เวลาถ้ามันเป็นจริงหรือไม่จริง ถ้ามันจริงเราด้วยเหตุด้วยผล เราก็ประพฤติปฏิบัติมา ถ้าฟังเทศน์ๆ มันเข้ากันได้ เราขอนิสัย อยู่กับท่านเอาสิ่งนั้นเอาเป็นหลัก เอาเป็นที่ประพฤติปฏิบัติ แต่มันเข้ากันไม่ได้ๆ เวลามันไปฟังแล้ว ไอ้นี่มันเป็นการจำมา ไอ้นี่มันเป็นสิ่งที่ว่าเราเคยปฏิบัติมา เราเคยติดข้องมาอย่างนี้ แล้วท่านพูดอย่างนี้มันไม่เป็นจริง เราเก็บของไป เพราะอะไร เพราะมันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน ว่ามันได้มากได้น้อยแค่ไหน 

แต่ถ้ามันได้มากตามความจริงนี่นะ การฟังเทศน์นี่เป็นอันดับหนึ่ง เขาบอกการฟังเทศน์มากเกินไปจะเกิดเป็นทิฏฐิมานะ ฟังเทศน์มากเกินไป ฟังเทศน์มากๆ มันมีต้นทุน มันมีต้นทุนคือมันรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เวลาอะไรถูกอะไรผิด เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วมันก็จะคัดแยก คัดแยกว่าอะไรถูก อะไรผิด แต่ที่ว่าฟังเทศน์แล้วมันจะเกิดทิฏฐิมานะ เรารู้แล้วมันเป็นการหลอกลวง มันก็มีที่ว่าเวลาหลวงตาท่านศึกษามาจนเป็นมหา แล้วท่านอยากจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ท่านตั้งเป้าว่าจะไปหาหลวงปู่มั่น เวลาไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านก็ได้ญาณของท่านว่า 

อนาคตมันจะมีพระแบบท่านเจี๊ยะ แต่ไม่ใช่ท่านเจี๊ยะ จะมาหาเรา พระองค์นี้มันจะแบบดีทั้งนอกดีทั้งใน จะเป็นหลักของหมู่คณะไปข้างหน้า

หลวงปู่มั่นเอง ท่านก็รู้ของท่านอยู่แล้ว ในสังฆมณฑลในเรื่องของศาสนามันจะมีคนที่สร้างบุญกุศลต่อเนื่อง ต่อเนื่องกันมา ท่านเองท่านก็เป็นผู้บุกเบิกขึ้นมา แล้วเวลาท่านบุกเบิกขึ้นมา แล้วท่านวางข้อวัตรไว้ เห็นไหม บอก มหา มหาพรรษาเยอะแล้วไม่ต้องขึ้นมานะ ให้พระที่มันพรรษาน้อยๆ ขึ้นมา มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวใจมันไป มันมีข้อวัตรคือว่ามันเคยได้อุปัฏฐาก มันเคยได้กระทำ มันมีตัวอย่าง เวลามันไปอยู่ที่ไหน มันจะเป็นตัวอย่างที่มันจะไปฝึกต่อเนื่องมันไป นี่ไง ท่านเองท่านก็รู้ของท่านใช่ไหม ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่นครั้งแรก 

มหา มหาเรียนมาจนถึงเป็นมหานะ สิ่งที่มหาเรียนถึงเป็นมหานี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สุดยอดมาก สุดยอดมาก ฉะนั้น เวลาจะประพฤติปฏิบัติให้เก็บใส่ในลิ้นชักสมองไว้ก่อน แล้วให้ประพฤติปฏิบัติไป ถ้าเราไม่เก็บใส่ลิ้นชักในสมองก่อน เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันจะเตะมันจะถีบนี่คำพูดของหลวงปู่มั่น คือมันจะขัดมันจะแย้ง มันจะสร้างภาพ มันจะเป็นอุปาทาน มันจะหลอก แต่ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติไปถึงที่สุดแล้ว ถ้าธรรมะความจริงกับการศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกันเลย มันจะเป็นอันเดียวกันเลย 

แต่! แต่มันสำคัญตอนที่จะประพฤติปฏิบัติไป ก่อนที่มันจะเป็นความจริง กิเลสของเรามันจะบิดเบือน กิเลสของเรา ท่านเคยปฏิบัติของท่านมาก่อน ท่านเห็นโทษอันนั้น ท่านถึงพยายามบอกว่าให้ทำอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ ขณะบอกให้ทำอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ หลวงตาท่านก็ยังไปติดสมาธิกับหลวงปู่มั่นตั้ง ปี หลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ ท่านไปติด เวลาภาวนาแล้วไปติดขัด นี่ติดสมาธิอยู่ ปีนะ บอกอย่างนี้ว่าไม่ควรทำ มันก็จะไปทำอีกอย่างหนึ่ง บอกอย่างนี้มันก็ไปทำตรงข้ามอีกอย่างหนึ่ง กิเลสนี่คือว่ายางเหนียว มันทำอะไรก็ติด บอกอย่างนี้มันก็ไปติดอย่างนั้น บอกอย่างนั้นมันก็ไปติดอย่างนี้ มันติดของมันอยู่แล้ว เพราะมันเป็นกิเลส มันจะต้องแก้ไขไป

นี่ก็เหมือนกัน บอกว่าฟังเทศน์มันจะเกิดทิฏฐิมานะถ้ามันเป็นความจริงที่ดีงาม เห็นไหม มันเป็นความจริง มันเป็นสัจจะ ถ้าฟังเทศน์จากครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง มันมีความจริง ความจริงอันนี้เอาไว้ตรวจสอบ เอาไว้ตรวจสอบในการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าตรวจสอบในการประพฤติปฏิบัติของเรา กาลามสูตรไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น กาลามสูตรไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น แล้วเชื่อผลของการปฏิบัติ แต่กิเลสมันก็ติดอีกล่ะ ขนาดที่ว่าว่างๆ ว่างๆ ธรรมะสอนให้ปล่อยวาง วางหมดเลย วาง เป็นขี้ลอยน้ำเลย ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย 

แต่! แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีความปกติของใจ ถ้าใจปกติแล้วมันมีศีลโดยปกติของมัน เวลาพิจารณาไปแล้วมันจะเป็นสมาธิ เวลาสมาธิยกขึ้นวิปัสสนามันจะเกิดปัญญา แล้วปัญญานี้เป็นภาวนามยปัญญามันจะเป็นความจริง เห็นไหม ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาอันนั้นจะเป็นความจริงของเขา เป็นความจริงของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าจิตใจมันไม่อ่อนแอ ไม่อ่อนแอไม่อ่อนไหวมันอย่างหนึ่งนะ . ไม่อ่อนแอ ไม่อ่อนแอคือมีจุดยืน แต่ถ้ามีทิฏฐิมานะที่มันเกินกว่าเหตุมันก็ไม่ใช่ ฉะนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วเขาจะทดสอบ ทดสอบในตัวเขาเอง ถ้าทดสอบในตัวเขาเอง เห็นไหม โดยทั่วๆ ไป ทดสอบตัวเองว่ามันเป็นจริงหรือไม่

เวลาเราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกเลย พระฝรั่งมีเสียอยู่อย่างหนึ่ง พระฝรั่งส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยเชื่อสิ่งใด ถ้าเป็นสมาธิแล้วก็จะปล่อยให้สมาธิเสื่อมไป มันทดสอบๆ ฝรั่งส่วนใหญ่เขาจะทดสอบของเขา เขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อในความเห็นของเขา แล้วเขาก็จะปล่อยให้เสื่อม นี้พอเสื่อมแล้วมันจะฟื้นมันแสนยาก เขาจะทดสอบๆ ตลอดเวลา หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดประจำเรื่อง พระฝรั่งนี่ ท่านบอกว่าพวกนี้พวกฝรั่ง เขาจะ . โดยวัฒนธรรมของเขา โดยความเห็นของเขา 

การปฏิบัติมันแสนยาก คำว่าแสนยากนะอย่างของเรานี่สัทธาจริต สัทธาจริตเรามีความมั่นคงมีความเชื่อ มีความมั่นคงมีความเชื่อเวลาทำไปแล้ว มีความมั่นคงมีความเชื่อก็ไม่ใช่ว่าความมั่นคงความเชื่อ มีศรัทธาความเชื่อ มันจะเป็นคุณประโยชน์ตลอดไปไง เชื่อก็ส่วนเชื่อ กิเลสก็ส่วนกิเลส ธรรมะส่วนธรรมะ ความจริงเป็นส่วนความจริง ถ้าเป็นความจริง เราต้องมีจุดยืนของเรา มันเหมือนกับคนทั่วไป เวลาผงเข้าตาตัวเองแก้ยาก เวลาถ้าผงเข้าตาคนอื่นมาให้เราเขี่ยให้นะ เราเขี่ยให้ได้ แต่ผงเข้าตาตัวเราเนี่ยเขี่ยยากมากเลย 

อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาจะถือศีลก็ผงเข้าตาตัว ไอ้นู่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด ผิดไปทุกเรื่องเลย แต่ถ้านั่งคุยกันนะ โอ้โฮย! เป็นนักปราชญ์นะ ลองได้นั่งถกธรรมะกันโอ้โฮย! นู่นๆๆๆ พูดได้หมดเลย แต่เวลาจะเอาจริงๆ ขึ้นมา สงสัยไปหมดเลย ผงเข้าตา เวลาผงเข้าตาตัวมันแก้ยาก แต่ถ้าของคนอื่นเวลาผงเข้าตาเขาเสนอไปหมดล่ะ เสนอทุกๆ อย่างเลย 

ฉะนั้น กรณีนี้กรณีถ้าผงเข้าตา เราก็ถ้ามีสติปัญญานะ เรามีขันน้ำ เรามีน้ำมา เราลืมตาในน้ำ ลืมตาในน้ำ นี่ไง กาลาม-สูตร ทดสอบตรวจสอบของเรา ทดสอบตรวจสอบของเรา ถ้าตรวจสอบของเรามันดีขึ้น มันก็จะดีขึ้น นี่การถือศีลไง

เราจะบอกว่าไอ้การถือศีล ศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแต่ละขั้นตอนให้เราปฏิบัติ แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นมามันด้วยกิเลสของเราทั้งนั้น มันด้วยกิเลสของเรา พอมันด้วยกิเลสของบุคคลคนนั้นเพราะอะไร เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า เห็นไหม สอนเข้าไปในใจของสัตว์โลก สอนเข้ามาในหัวใจของเรานี่แหละ ถ้าในหัวใจของเรา เวลามีสติมีปัญญาทางโลกนี้เรื่องหนึ่งนะ ทีนี้พอมีสติปัญญาทางโลกแล้ว เขาต้องเป็นคนดีด้วย ถ้าพูดถึงคนมีสติปัญญาแล้วเป็นคนมีคุณธรรมนะ โอย! สุดยอด โลกต้องการมาก 

แต่ถ้าคนมีสติปัญญา สติปัญญาเป็นสติปัญญาทางโลกไง แต่ถ้าเป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนที่คอยทำลายคนอื่น เห็นไหม ก็ปัญญาของเขาเป็นปัญญาเครื่องทำลาย ทำลายทั้งนั้นเพราะเขามีปัญญา แต่ถ้าเขามีสติมีปัญญาแล้วมีคุณธรรมด้วยมีศีลธรรมด้วยมันประเสริฐมากเลย นี้ประเสริฐมากมันเข้ามาที่ศีลนี่แหละ ถ้าเข้ามาที่ศีลของเรา เรามีศีลมีธรรมของเรา เราจะถือศีล ถ้าเราถือศีลแล้ว เราจะบอกว่า ถือตามแต่ที่ตัวเองเห็นเป็นคุณประโยชน์พอ แล้วถ้าจะมีการโต้แย้งมีการขัดแย้งต่างๆ นะ มันเป็นมุมมอง มันเป็นความเห็นของเขา 

เพราะศีล สมาธิไม่เคยฆ่าใคร ศีล สมาธิมีแต่ส่งเสริมให้คนทำคุณงามความดี แล้วถ้าศีล สมาธิ ปัญญา มันสร้างสมสร้างให้บุคคล เห็นไหม จากปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติ-มรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิ-มรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล คู่ มรรค ผล นิพพาน ถ้านิพพานหนึ่งมันมีแต่คุณประโยชน์ทั้งนั้นเลยๆ แล้วถ้าคุณประโยชน์อันนั้นมันให้เป็นจริงในใจของเรา เราก็ประพฤติปฏิบัติตามความจริงของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ ความจริงของเรานะ ในสังคมมีการเชื่อถือ ในการเชื่อถือ ในมุมมอง ในทิฏฐิของคน ภาษาเราอยู่ในสังคมมันก็ต้องฟัง คนคุยกันไม่ฟังเลย เหมือนเขาคุยกัน เราไม่รับรู้เลย เราก็เหมือนไม่ได้อยู่สังคมนั้น แต่ฟังเเล้ววางไว้ อย่าไปเชื่อ เพราะอะไร 

เพราะการศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้า ธรรมวินัยเหลือเฟือแล้ว แล้วเราทำตามนั้น ทำตามนั้น ทำให้มันเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา แล้วถ้ามันเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา มันก็ถึงว่าถูกต้องดีงาม ถ้าไม่เป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา เห็นไหม ดูพระเรา เวลาพระเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะอดนอนผ่อนอาหารมหาศาลเลย เวลามันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้ไง จิตมันไม่เป็นสมาธิ คนทำสมาธิไม่เป็นนะ ทำสมาธิไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้

ในวงกรรมฐานเราเห็นอยู่ เวลาคนที่ทำได้นะ คนที่มีศรัทธาความเชื่อ เวลาคนทำได้เขาก็ทำของเขาได้ แล้วพอคนเขาทำของเขาได้ เขาไม่มีวาสนา มีพระใหม่ๆ ที่บวชใหม่ๆ นะ แล้ว จิตดีมาก ดีมากนะ แล้วสึกไปหมดเลย เห็นนิมิตตามนิมิตไป สึกหมดเลย มีพระมาหาเรา โอ้โฮย! พอจิตสงบแล้วเห็นจิตออกไปข้างนอกมองเข้ามาที่ตัวเขา เราบอกไม่ได้หรอก ถ้าส่งออกอย่างนั้นเดี๋ยวก็เสียตอนนี้สึกหมดแล้ว เวลาพระบวชใหม่ๆ ทำได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ทำต่อเนื่องไม่ได้ เวลาทำต่อเนื่องไม่ได้ เห็นไหม พระที่บวชแล้วทำสมาธิถ้าทำไม่ได้ทำอย่างไร 

ศีลก็ส่วนศีล แล้ว เห็นไหม เขาก็มีการอดนอนผ่อนอาหาร เขาก็มีความเพียรเพิ่มขึ้น เขาก็มีครูบาอาจารย์เป็นหลักชัย คำว่า มีครูบาอาจารย์เป็นหลักชัย เห็นไหม ทำไมครูบาอาจารย์ท่านทำได้ มีครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่างไง แล้วเอาตัวอย่างที่ครูบาอาจารย์ เวลาตัวอย่างเอาครูบาอาจารย์นะ สิ่งที่ร่ำลือมาในวงกรรมฐาน หลวงปู่ชอบ จังหวัดเลยนี่ เวลาหน้าหนาวเมื่อก่อนนะ น้ำจะเป็นน้ำแข็งเลย หนาวนัก ถ้ามันขี้เกียจนู่น นั่งในโอ่งน้ำ หลวงปู่ชอบ ประวัติหลวงปู่ชอบ 

ประวัติหลวงปู่ขาว ประวัติของครูบาอาจารย์ของเรา เวลาท่านเร่งความเพียร เร่งความเพียรของท่าน ท่านจะเอาความจริง ความจริงของท่าน คำว่าความจริงของท่านนะเวลาเป็นสมาธิ เราจะทำให้สมาธิอยู่กับเราต่อเนื่องๆ เราจะรักษาอย่างไร เห็นไหม ดูสิ ไฟฟ้า ไฟฟ้าส่งไปตามสายส่ง เวลาฝนตกลมแรงมีอะไรพาดไฟฟ้า พอเสาล้ม ไฟฟ้าดับ ไฟฟ้า แล้วจิตล่ะ ความคิดที่เร็วกว่าแสงๆ มันยิ่งกว่าไฟฟ้า แล้วเอ็งต่อเนื่องอย่างไร ทำความสงบของใจแล้วรักษาอย่างไร ถ้ารักษาได้มันเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม 

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมันต้องมีอย่างนี้ต่อเนื่องๆ การปฏิบัติของเราที่ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลคือการขาดการปฏิบัติต่อเนื่อง การปฏิบัติต่อเนื่อง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้ามีสติกำหนดหายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ มีคำบริกรรม ถ้าทำต่อเนื่องๆ มันมีเหตุ ถ้ามีเหตุ เห็นไหม มันก็มีผล ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เรารักษาที่เหตุนั้นๆ นี่พูดถึงเหตุนะ

แต่ไอ้นี่คำถามเขาพูดเรื่องศีล บอกว่าเวลาเรื่องศีลมันแบบว่า เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วถ้าได้ถือศีล แล้วถ้าได้ฟังเพลงประวัติหลวงปู่มั่นฟังเพลงนี้มันก็มาจากวิทยุหลวงตานั่นแหละแล้วพอฟังเพลงมันมีข้อธรรม มันก็คึกคักขึ้นมา มันทำของมันได้ไอ้นี่ภาษาเรานะมันแบบว่า น้ำมัน รถมันต้องมีน้ำมันของมันไป ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเรา เราถือว่าถูกต้อง เราไม่ถือว่าผิด เราถือว่าดีงาม เพราะเป็นการส่งเสริมกัน ทีนี้พอส่งเสริมกันไปแล้ว ถ้ามันถูกต้องไปแล้วมันก็จบ เป็นเรื่องของเราไง

ทีนี้บอกว่าแต่เวลาทำไปแล้วกังวลเพราะมีคนเตือนมีคนไอ้บ่างช่างยุ เห็นยุซ้าย ยุขวาให้แตกแยก ยุให้การกระทำนั้นเสียหาย แต่ถ้าเป็นปัญญาชนเขาเสนอด้วยความดีงาม เราฟังไว้ เรารับฟัง คำว่ารับฟังใช่ไหม เพราะอะไร ถ้าเราไม่รับฟัง วันหลังเราก็คุยกับเขาไม่ได้ เรารับฟังแล้วก็วางไว้ ถ้ามันคึกคักนะ แต่คำว่าคึกคักภาษาเรานะ อาหารจะมีรสเลิศขนาดไหน กินทุกวันๆ แล้วจืดชืด อาหารเขาก็เปลี่ยนแปลงของเขาไปตลอด

นี่ก็เหมือนกัน การฟังเพลงหลวงปู่มั่น การฟังถ้ามันคึกคัก มันคึกคักเพราะฟังแล้วมันมีแบบว่าเนื้อหาสาระ มันมีองค์หลวงปู่มั่น มันมีประวัติมีหลวงตาที่เราเห็นด้วยตา มันแบบว่ามันดูดดื่ม คือเราจะบอกว่ามันเป็นประโยชน์มันทำได้ เวลาเราประพฤติปฏิบัติจะเป็นจะตายนะ แต่ถ้ามันมีสิ่งใดมาเป็นประโยชน์กับเรา มันทำให้เรารักษาชีวิตได้ ทำให้เรารอดพ้นจากกิเลสได้ เราทำ เรายังภาวนาได้ เราถือว่านี่เป็นอุบาย เป็นของส่งเสริมทั้งนั้น 

ฉะนั้น เวลาบอกถ้ามีคนเตือนๆคนเตือนก็สาธุ ขอบคุณเขา แต่เป็นประโยชน์กับเรา เราก็ฟัง แต่ต่อไปถ้ามันไม่เป็นประโยชน์หรือฟังแล้วไอ้นั่นเราก็ข้ามไป เพราะมันไม่ฟังก็จบ ง่ายๆ เพียงแต่เขาบอก เขาเตือนแล้ว มาทำให้เราเป็นวิตกกังวลแล้วมาฟังเทศน์มากเกินไปก็เกิดทิฏฐิมานะฟังเทศน์ไม่เสียหาย ภาษาเราเลยนะ ไม่ได้ฟังเทศน์ปฏิบัติเอง ป่านนี้เลิกไปนานแล้ว นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ โอย! ทุกข์ยากมากเลย เลิกดีกว่า ถ้าไม่ได้ฟังเทศน์นะ 

ไอ้นี่มีฟังเทศน์เป็นเครื่องอยู่ ยังมีเทศน์ ๑๐๓.๒๕ ยังมีเทศน์ของหลวงตา ถ้ามีเทศน์ของหลวงตาเราก็ยังใกล้ชิดกับธรรมะอยู่ เราก็ยังมีครูบาอาจารย์อยู่เป็นที่พึ่ง สิ่งที่เป็นประโยชน์เรามองไม่เห็น แล้วบอกนู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ จะให้ทำด้วยตัวเองทำให้ตัวเองมันก็ขี้ลอยน้ำ ทำด้วยตัวเองเดี๋ยวก็เหลวไหล พอเหลวไหลไปแล้วมารู้ตัวทีหลังก็อ้า! เสียไปแล้ว แต่นี่ถ้ามันยังดีของมันอยู่นะ ฟังได้ ฟังเทศน์ ฟังเทศน์นี่เป็นอันดับหนึ่งเลย 

สมัยโบราณนี่ฟังเทศน์ เห็นไหม สิ่งที่ฟังธรรมมีคุณประโยชน์มาก การฟังธรรมนี้แสนยากๆ เพราะไม่มีวิทยุ ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังก็ตอกย้ำๆ ให้มันมั่นคง แล้วสิ่งใดเวลาเราใช้สติปัญญาของเราไตร่ตรองไปด้วย เห็นไหม เวลามันเข้าใจแล้วมันปล่อยวางหมด ความกระจ่างแจ้ง จิตผ่องใส ผลของมันคือจิตผ่องใส 

การฟังเทศน์มันก็เหมือนกำหนดพุทโธ เวลาเราไม่มีสิ่งใดเลย เรากำหนดพุทโธๆ ว่าเราไม่ปล่อยให้จิตมันคิดไปโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ให้มันคิดถึงพุทโธ ให้ระลึกถึงพุทโธด้วยสติสัมปชัญญะ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ อยู่กับพุทโธตลอดไป เวลาฟังเทศน์ๆ เราไม่ต้องพุทโธ เราตั้งสติไว้เฉยๆ เทศน์จะเข้ามาเอง อาศัยการเทศน์ของครูบาอาจารย์นั้นเป็นตัวแทนพุทโธ แล้วไม่ต้องไปรับรู้ว่าเราจะต้องรู้เรื่องไปทุกอย่าง เพราะเราอาศัยเสียงนั้นเป็นที่เกาะ ให้จิตเกาะกับเสียงนั้นไว้ แล้วถ้าเราฟังไปๆ แล้วถ้าจิตเราดีขึ้นมันจะมีเนื้อหาสาระ บางคำสะเทือนใจมาก ขนลุกๆ เลย ขนลุกมันกินใจไง นั่นน่ะ เวลาฟังเทศน์ๆ มันได้ประโยชน์อย่างนี้ การฟังเทศน์อันดับหนึ่ง 

เขาบอกฟังมากๆยิ่งมากยิ่งดี ฟังให้มาก ยิ่งฟังให้มาก เรายิ่งมีจุดยืน ไม่เหลวไหล แต่ถ้าคิดเองนี่สิ เวลา เห็นไหม สัญญาๆ คือความจำ จำของท่านมาคำหนึ่ง แล้วก็บอกว่าหลวงปู่มั่นว่าอย่างนั้น แล้วก็เอาความเห็นของตัวใส่เข้าไป ขยายความไปจบเลย แล้วก็หลวงปู่มั่นว่าอย่างนั้นความจริงไม่ใช่ หลวงปู่มั่นท่านตีความหมายไปอย่างหนึ่ง แต่ความเข้าใจของเราไปอย่างหนึ่ง

แต่ถ้าพูดถึงเป็นความเห็นของเรา ไม่มีใครเขาฟังไง ก็ต้องอ้างว่าหลวงปู่มั่นว่าอย่างนั้น อย่างนั้น จริงเหรอ หลวงปู่มั่นว่าอย่างนั้น เอ็งยังไม่เข้าใจความหมายของหลวงปู่มั่นเลย ถ้าเอ็งเข้าใจความหมายของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านให้เอาชนะตนเอง อย่าโกหกมดเท็จ อย่าโป้ปด อย่าฉ้อฉล นี่ไง ธรรมะมันต้องซื่อสัตย์ มีสัตย์มีสัจจะมีความจริง ถ้ามีความจริงขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็เป็นความจริง ถ้าจิตเราเป็นความจริงขึ้นมา มันก็เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันก็เป็นประโยชน์กับเรา 

นี่พูดถึงว่าถือศีล พอถือศีล เราจะบอกว่าถือศีล การถือศีลไม่ต้องศีล หรอก ประชาชนทั่วไปเขาถือศีล โอ้โฮ! มีปัญหามาก แล้วเวลาลัทธิศาสนาอื่นเขาก็มีพิธีกรรมของเขา แล้วเขาอยู่ในพิธีกรรมของเขา ชาวพุทธๆ เป็นอิสระมาก พอมีอิสระมากยังไม่รู้จักว่าศีล มันคืออะไรเลย ศีล คือข้อห้าม ข้อ ถ้าข้อห้าม ข้อ วันวันหนึ่งเอ็งจะทำผิดข้อห้าม ข้อตลอดเวลาเลยหรือ ไม่มี เอ็งทำอะไรผิด คนทำงานๆ จะไปฆ่าใคร จะไปลักของใคร จะไปผิดลูกเมียใคร จะไปโป้ปดมดเท็จหลอกใคร จะไปดื่มสุราทั้งวันเลยเหรอ มันยังทำงานอยู่ไม่มีหรอก แต่มันก็วิตกกังวลไปทั้งนั้น กลัวไปหมด ถ้าคำว่าศีลเราต้องดีขึ้น กลัวไปหมด แต่เวลามันจะเหลวไหลสบายมาก นี่ไง มันผงเข้าตาไง

แต่ถ้ามันไม่ผงเข้าตาคือไม่มีกิเลสนะ คือกิเลสมันไม่กดหัวมากจนเกินไป ศีลก็คือศีล เราเป็นชาวพุทธ เราก็มีศีล มีกรอบ กรอบของชีวิต มีศีล ก็เป็นกรอบของชีวิต ก็เท่านั้น ถ้ามันผิดพลาด ผิดพลาดก็ต่อศีล ผิดพลาดเราก็ขออภัยก็จบ ไม่มีปัญหา ศีลไม่ฆ่าใคร ศีลไม่ทำลายใคร ศีลมีแต่ส่งเสริมให้คนเป็นคนดี ศีลธรรมส่งเสริมให้คนเป็นคนดี เป็นกรอบเป็นข้อดำรงชีวิต ข้อดำเนินชีวิตไม่ให้เราเหลวไหล เป็นความดีทั้งนั้น แต่ด้วยกิเลสไง มันจะเปิดให้ทางมันกว้างขวางไง ให้ทำอะไรก็ได้ไง ติดขัดไปหมด ติดขัดไปหมดเลย ผงเข้าตา

แต่ถ้าเรื่องไม่ผงเข้าตานะ เราวางไว้ แล้วเราดำรงชีวิตของเราโดยปกติ ชีวิตปกติธรรมดาเรานี่แหละ ชีวิตปกติธรรมดา แล้วเรามีสติสัมปชัญญะดำรงชีวิตของเรา โดยปกติธรรมดา ทำหน้าที่การงานของเราให้ดีที่สุด นั่นน่ะคือชีวิตของมนุษย์ แล้วถ้าสติปัญญาเราดีขึ้นมันมีจุดยืนมากขึ้น มันเห็นหมดล่ะ มันมองแล้วมันเข้าใจชีวิต มองแล้วเข้าใจชีวิตนะ เห็นคนที่แข่งขันกัน คนที่หกล้มลุกคลุกคลานอยู่ข้างหน้า 

เราก็ดำเนินชีวิตของเราไปปกติธรรมดา แล้วมีเวลาเราก็ฝึกหัดภาวนาของเรา ถ้าภาวนาของเราดีได้ เห็นไหม เราจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ไม่ใช่ชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน เอวัง