เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ก.พ. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานะ เวลาพระพุทธศาสนา โดยทางวิชาการเขาพิสูจน์กันแล้ว เป็นศาสนาแห่งสันติภาพ เป็นศาสนาที่ทุกคนแสวงหา

แต่เวลาคนเขาเกิดมาเขาเกิดมาในชุมชนใด เขาเกิดมาในประเทศใดไง เกิดในประเทศอันสมควร เขาเกิดในประเทศอันสมควร เกิดมามีลัทธิความเชื่ออย่างนั้น เขาก็เชื่อของเขาอย่างนั้น พอความเชื่อเขาอย่างนั้น เวลาจะเปลี่ยนแปลงไง ถ้าคนจะเปลี่ยนแปลงได้ คนเปลี่ยนแปลงได้เพราะเขามีอำนาจวาสนาของเขา ถ้าเขามีอำนาจวาสนาของเขานะ เขาแสวงของเขา เขาทำเพื่อประโยชน์ของเขานะ

ดูสิ สมัยโบราณเวลาเกิดโรคระบาดๆ ตายทีหนึ่งค่อนโลก ค่อนโลกนะ ครึ่งโลกค่อนโลกเลย เวลาเกิดโรคระบาดขึ้นมาเขาต้องอพยพย้ายถิ่น ย้ายถิ่นเพราะหนีโรคระบาด

เวลาโรคระบาดมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เวลาคนตายขึ้นมา เวลาวิทยาศาสตร์มันเจริญขึ้นมา ทางการแพทย์เขาพิสูจน์ของเขาเขาค้นคว้าของเขา เขามีวัคซีนป้องกันของเขา ถ้าเขามีวัคซีนป้องกันของเขา เขารักษาของเขา เวลาคนที่ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยมันก็ฉีดไปเจ็บเฉยๆ

นี่ก็เหมือนกัน พระพุทธศาสนา ศาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลารื้อหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นน่ะโรคกิเลส

เวลาโรคระบาดๆ เราเห็นนะ เห็นถึงโรคระบาด เห็นถึงความรุนแรงของแล้วแต่โรค เวลารุนแรงขึ้นมามันเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหน นี่มันถึงกับเสียชีวิต เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา เวลามันเกิดในใจของเรามันบีบคั้นในหัวใจของเราไง

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราไปวัดไปวาขึ้นมา เราจะไปฟังธรรมๆ ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดแสดงก็แล้วแต่ ในสมัยพุทธกาลนี้ นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการนะ “ไม่มีกำมือในเรา ไม่มีกำมือในเรา แบตลอดเลย” แบให้พวกเราค้นคว้าแสวงหาให้เราได้สัจจะความจริงขึ้นมาในใจของเรา

เวลาแบตลอดแล้วเรามีความสามารถหรือไม่ เราสามารถแสวงหาค้นคว้าสิ่งนั้นมาเป็นสมบัติของเราหรือไม่ ถ้าเราแสวงหาค้นคว้าสิ่งนั้นมาเป็นสมบัติของเราไม่ได้ เราก็ยังมีความทุกข์ความยากในหัวใจ แล้วก็เกิดความสงสัย “มันหมดมรรคหมดผลแล้วแหละ กึ่งพุทธกาลแล้วมรรคผลมันไม่มี”

แต่ทุกข์มีไหม เวลาทุกข์มันมีในหัวใจ ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ นั่นน่ะเชื้อโรคอ่อนๆ เท่านั้นน่ะ เวลามันเจ็บช้ำน้ำใจขึ้นมามันถึงกับทำลายชีวิตของมันได้เลยล่ะ ถ้ามันทำลายชีวิตของมันได้ เห็นไหม คนเราโง่ขนาดนั้น โง่ขนาดนั้นเพราะอะไร

เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก พอเกิดมาแล้ว พอเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องเรามีน้ำใจต่อกันๆ ไง ถ้าเราปากกัดตีนถีบนะ เราไม่ต้องแสวงหาสิ่งใดก็ต้องมาทุ่มเทๆ หรอก

สิ่งที่ทุ่มเทก็เป็นการฝึกหัด มันเป็นบทฝึกหัดเท่านั้นน่ะ ฝึกหัดให้เรารู้จักเสียสละ ให้เรารู้จักความจิตใจเป็นจิตอาสาเพื่อมีน้ำใจต่อกัน นี่การฝึกหัด การฝึกหัดมันเป็นการแสดงออก ฝึกหัดเพื่ออะไร ฝึกหัดเพื่อหัวใจอันนั้นไง

ถ้าเราปากกัดตีนถีบ เราไม่ต้องแสวงหาขนาดนั้น แต่เวลาแสวงหาขนาดนั้นนะ แล้วเราทำของเรา เราเข้าวัดเข้าวา เข้าวัดเข้าวาเข้าไปในสถานที่นั้นเป็นสัปปายะ สัปปายะ ดูสิ เวลาเข้าไปสถานที่ของผู้ที่ทรงศีลนะ เข้าไปแล้วหนาวเลยนะ มันสงบมันสงัดน่ะ มันต่างจากโลก

เวลาไปวัดไปวาขึ้นมาน่ะ โอ้โฮ! เครื่องเสียงเปิดอึกทึกครึกโครม

“เฮ้ย! ที่นี่มันวัดหรือวะ เฮ้ย! บ้านกูก็มีว่ะ”

แต่ไปวัดไปวาวัดที่เขาสงบสงัดขึ้นมา เราเข้าไปเราเสียวสันหลังเลยล่ะ ผู้ที่ทรงศีลๆ นั่นน่ะสิ่งที่เราไปวัดไปวา ถ้าเราไปวัดไปวาก็ไปวัดถึงน้ำใจของเรา ถ้าไปวัดน้ำใจของเรา เห็นไหม เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมขึ้นมาก็ในชีวิตของเรานี่แหละ

การเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีคุณค่ามาก คนเราเกิดมา เกิดมาอยากได้สมบัติที่มีคุณค่า สมบัติที่ดีงาม นี่ไง ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗

ทอง ๕ บาท ทอง ๑๐ บาท ทอง ๒๒๗ บาท เอาอันไหน มันก็อยากได้ ๒๗๗ บาททั้งนั้นน่ะ ไม่มีใครอยากได้ทอง ๕ บาท

แต่เวลาถือศีล ถือศีลมันบอกเอาศีล ๔ ก็พอ สุราเอาไว้ก่อน มันไม่เอา เพราะอะไร เพราะมันไม่เห็นคุณค่าไง มันไม่เห็นคุณค่า มันทำความจริงของมันไม่ได้ไง ถ้ามันทำความจริงของมันไม่ได้ มันก็ไม่เห็นคุณค่า มันก็ปฏิเสธไง

นี่ไง แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา มันตะครุบนะ ศีลคือความปกติของใจ ถ้ามันใจปกติแล้ว อธิศีล อธิศีลไม่มีเจตนาทำความชั่วทำร้ายใครๆ ทั้งสิ้น มันจะเอาความผิดพลาดมาจากไหน

ความผิดพลาด ผิดพลาดเพราะเราอาฆาตมาดร้าย เราจงใจ เรามีการกระทำ นั่นชัดเจนมาก แต่ถ้ามันผิดด้วยความผิดพลาด ผิดด้วยความพลั้งเผลอ ไอ้นั่นมันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ ถ้าสัญชาตญาณของมนุษย์ นั่นเป็นเรื่องของมนุษย์

แต่ถ้าศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันเป็นปกติ ใจเป็นปกตินะ เหตุใดก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา เราเข้าใจได้เลย อ๋อ! มันผิดเพราะแบบนั้นๆๆ ถ้าจิตมันเป็นปกตินะ มันจะเห็นความขาดตกบกพร่องของเรา ทำไมเรามีความทุกข์อย่างนี้ล่ะ เรามีความทุกข์อย่างนี้เพราะเรามันดื้อด้านไง เราก็ฝืนไปอย่างนั้นไง

เวลาสัจจะความจริงมันเป็นวิทยาศาสตร์นะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

แต่ของเรา เราคิดว่าดีไง เราคิดว่าดี เห็นชั่วเป็นดี เห็นดีเป็นชั่ว พอเห็นชั่วเป็นดีเราก็ฝืนทำๆ ความฝืนทำมีการกระทำตอกย้ำทำไปนั่นน่ะ แล้วก็บอกว่าสังคมรังแกเราๆ...มันไม่ได้หันกลับไปมองตัวมันเลย

แต่ถ้ามันเป็นปกติของใจ ใจมันปกติ มันเห็นหมดล่ะ ความดีความชั่ว คนเรานะ ถ้ามันมีคุณสมบัตินะ รู้จักผิดชอบชั่วดี เราคบได้แล้วล่ะ เพื่อนฝูงของเรารู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักผิดเป็นผิด รู้จักถูกเป็นถูกนะ มันไม่พาลพาโลนะ นั่นล่ะคนมีพื้นฐานของมัน พื้นฐานของคนรู้จักผิดชอบชั่วดี เราพูดกันได้ เราคุยกันได้ เราปรึกษาหารือกันได้

แต่ถ้าคนมันหน้าด้านมันไม่ฟังหรอก มันดื้อด้านของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่ไง ไม่ปกติของใจ ใจไม่ปกติแล้ว ใจมันโดนกิเลสครอบงำ ใจมันโดนกิเลสลากไปแล้ว ลากไปเลยนะ อู๋ย! ลากไปแล้วว่า “ใครๆ ก็ต่อต้านเรา ใครๆ ก็ว่าเรา”

เออ! แล้วว่าเราเรื่องอะไรล่ะ แล้วว่าเอ็งเรื่องอะไร ทำไมถึงต้องว่าเอ็งด้วยล่ะ เอ็งวิเศษมาจากไหน นี่ไง มันฝังใจของมัน ถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันไม่ปกติ ถ้าไม่ปกติมันก็ผิด นั่นน่ะมโนกรรมๆ มันเกิดขึ้นมาแล้วแหละ

แต่ถ้ามันปกติของใจ ทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา นั่นน่ะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ สอนที่นี่นะ

วัดวาทั้งหมดเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ ต้นโพธิ์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่เริ่มต้นจากศาสนามา

สิ่งปลูกสร้างวัดวาอารามมันเป็นวัฒนธรรม มันเป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธ พุทธในประเทศใด ดูสิ พุทธในประเทศหนึ่งเขาก็มีวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง วัดวาอารามก็แตกต่างกันไปอย่างหนึ่ง

แต่เวลาเอาสัจจะความจริงๆ ขึ้นมา นั่นวัฒนธรรม แต่เอาจริงขึ้นมา เอาจริงในหัวใจของตนขึ้นมาไง การประพฤติปฏิบัติขึ้นมา การประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่เป็นความสัตย์จริงๆ จิตตภาวนา จิตตภาวนาเขาเข้าไปสู่หาจิตของเขา

ถ้าเข้าไปหาจิตของเขานะ เวลาจิตของเขา ถ้าเขาทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับได้ไง ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ พอใจปกติแล้วพยายามทำให้เป็นสมาธิขึ้นมา สมาธิคือความตั้งมั่น จิตมันตั้งมั่น จิตมันมีกำลังของมัน จิตมันมีหลักเกณฑ์ของมัน ถ้าจิตมีหลักเกณฑ์ของมัน มันจะทวนกระแสกลับเข้ามาไง ถ้าเราไม่เข้าไปสู่ฐานแล้วเราจะทวนกลับไปที่ไหนล่ะ

ดูสิ เวลามันพาลขึ้นมา มันจะถือศีลก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ทำสิ่งใดไม่ได้ทั้งสิ้นเลย ถ้ามันเป็นความปกติของมัน มันก็เห็นเลย ความผิดชอบชั่วดี เห็นความดีงาม เห็นสิ่งใดที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ไง

แต่พอทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบระงับเข้ามา ใจสงบระงับเข้ามา ถ้ามันมีกำลังของมันขึ้นมา มันจะเข้าสู่อริยสัจไง จะเข้าสู่อริยสัจคืออะไร จะเข้าสู่อริยสัจ

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะโดยวัฒนธรรม เราเกิดในชาติตระกูลใดเราก็มีเชื้อชาติในตระกูลนั้น เรามีสมบัติสิ่งใดก็เป็นสมบัติของเราอย่างนั้น นี่ประเพณีวัฒนธรรม นี่ทางโลก

แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเวลาจะเข้าไปสู่จิต จิตตภาวนาๆ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เรามาแต่ชาตินี้ใช่ไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติไปตั้งแต่เป็นพระเวสสันดรไป ที่มานั่งอยู่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะมันมาจากไหน ทำไมถึงมานั่งอยู่โคนต้นโพธิ์นี้ โคนต้นโพธิ์นี้มันมีสิ่งใดสนับสนุนมา มีสิ่งใดที่เกื้อกูลมา ถ้าเกื้อกูลมา เกื้อกูลมาจนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะกำลังนั่งอยู่ที่โคนต้นโพธิ์นี้ นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ นี่เวลาย้อนอดีตไปไง

เวลาคนเราก็สงสัยทั้งนั้นน่ะ เรามาจากไหน เราเป็นอย่างไร เห็นไหม เวลาถ้าจิตมันสงบ จิตมีกำลังแล้วมันย้อนกลับแล้ว มันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะจิตนี้เร็วมาก ดูสิ เวลาเราฝัน เวลาเราคิด เวลาคิดนี้คิดได้หลายรอบมาก ความเร็วของจิต นี้ความเร็วของกระแส

แต่เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณมันจะเห็น ป๊าบๆๆ...ไม่ใช่ ดึงกลับ นั่งไปถึงมัชฌิมยาม จุตูปปาตญาณ ถ้าจิตของคนถ้ามันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ามันกระทำไม่ได้ ทำไม่ได้มันต้องเกิดของมันตลอดไป เพราะพลังงานมันมีอยู่ พลังงานมันไม่มีที่สิ้นสุด ธาตุรู้ๆ นี่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง

เวลาพระพุทธศาสนา มัชฌิมาปฏิปทาเวลาดึงกลับมา อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความที่มันมีที่มาที่ไป นี่ความสำคัญของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีความสำคัญอย่างนี้ไง จิตตภาวนาๆ

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง เราก็เห็นได้ เกิดมาจากไหน ก็พ่อกับแม่ไง เกิดจากพ่อจากแม่ เวลาเกิดจากพ่อจากแม่เกิดโดยสมมุติ เกิดโดยเวรโดยกรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาบรรลุธรรมนี่เกิดในธรรม เวลาเกิดในธรรม เวลาปรินิพพาน วันวิสาขบูชานั่นน่ะ

เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ปรินิพพานไป

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนาเพราะอะไร มีอำนาจวาสนาเพราะเราสนใจ เราศึกษา เราค้นคว้า เราจะบรรเทาทุกข์

ทางโลกนี่นักปฏิบัติสมัครเล่น นักปฏิบัติสมัครเล่นมันก็ได้แค่บรรเทาทุกข์ เวลาทุกข์มาแล้วมันปล่อยมันวาง เออ! สุดยอดๆ ไอ้นั่นไอ้พวกสมัครเล่น นักกีฬาสมัครเล่น

ถ้าเป็นนักกีฬาอาชีพ นักกีฬาอาชีพ อาชีพมันก็อยู่ที่เราคัดเลือก อยู่ที่เราเลือก เราเป็นเด็ก เด็กน้อยตอนนี้เขาอยากเป็นนักกีฬาอาชีพ เพราะนักกีฬาอาชีพมีชื่อเสียงมีเงินมีทอง เขามีความชอบ นี่นักกีฬาอาชีพ

นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่กับโลก เราอยู่กับโลกเราจะปลีกเวลาเรามาประพฤติปฏิบัติหรือไม่ ถ้าเป็นพระๆ เราเสียสละ เสียสละการเป็นฆราวาส เรามาบวชเป็นพระเลย นี่นักรบ นี่นักกีฬาอาชีพ พระอาชีพ ไม่ใช่อาชีพพระ

พระอาชีพเลย เอาจริงเอาจังเลย ถ้าอาชีพพระมันไม่มีทางไปมันก็มาบวชเป็นพระ นั่นอาชีพพระ แล้วมันก็ว่าไปตามหน้าที่

แต่ถ้าพระอาชีพ เราเอาจริงเอาจังของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรา เราค้นคว้าของเรา ถ้าเราเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราจะเข้าสู่จิตของเรา ถ้าเข้าสู่จิตของเรา จิตของเรามีอำนาจวาสนาแล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา

คำว่า ยกขึ้นสู่วิปัสสนา” นะ เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คนเรานะ อยู่โดยปกติอากาศร้อน เข้าในที่ร่มก็รู้ว่าเข้าในที่ร่ม เข้าไปขั้วโลกติดลบสามสิบสี่สิบมันก็รู้ว่าภูมิอากาศเป็นอย่างไร คนไปที่ไหนมันต้องรู้

นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก จิตสงบ จิตมีกำลังมันต้องรู้ มันมีความมหัศจรรย์ของมัน

นี่ไง ไอ้นี่ว่างๆ ว่างๆ อยู่ที่นี่ ไม่เคยไปทั้งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ติดลบๆ คุยโม้นัก แต่มันไม่เคยรู้จัก มันไม่เคยเห็น มันไม่รู้จักหรอก

แต่ถ้าคนเขาไปขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ โอ้โฮ! ไม่ระมัดระวังตัวเองนะ หิมะกัดนี่เน่าหมด ร่างกายนี้เป็นบาดแผลเหวอะหวะ หิมะมันกัดได้อย่างไร ความเย็นมันกัดได้อย่างไร

อู้ฮู! เขาไปอยู่ในสถานที่นะ เขาระวังตัวเขาเต็มที่ นี่คนถ้าเข้าไปอยู่ในสถานที่นั้นเขามีประสบการณ์ของเขา เขารู้ถึงอันตรายของมัน เขารู้ถึงคุณประโยชน์ของมัน เขารู้ถึงสภาวะที่ควรเป็นไม่ควรเป็นอย่างใด

ไม่ใช่ว่างๆ ว่างๆ...มันว่างอะไรของมัน

นี่ไง ถ้าจิตตภาวนา จิตตภาวนามันจะรู้เข้ามาที่นี่ คำว่า รู้เข้ามาที่นี่” มันต้องมีสติสัมปชัญญะ คำว่า มีสติสัมปชัญญะ” ปุถุชน กัลยาณชน จากปุถุชนเป็นกัลยาณชน เพราะกัลยาณชนเข้าใจในรูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร

เวลาเราประพฤติปฏิบัติกันนะ นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ใช่ นี่ก็เหม็น นี่ก็ไม่ชอบทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาเข้าไปถึงกัลยาณชนไง รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร แต่ไม่ใช่มาร

รูปที่ดี เสียงที่วิจิตร ทุกอย่างที่ดีงามไม่ใช่กิเลสหรอก มันเป็นกิเลสเพราะเราโง่ เพราะเราโง่ต่างหาก อยากได้อยากดีอยากเป็นแล้วแย่งชิง นั่นน่ะกิเลส ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากต่างหากที่อยากได้อยากดี อยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของ นั่นน่ะกิเลส

แต่รูป รส กลิ่น เสียงมันมีของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ ของสวยมันก็สวยอยู่อย่างนั้นน่ะ ของสวยจะไปทุบทำลายให้มันไม่สวย มันไม่สวยก็คู่ตรงข้ามกับสวยไง มันก็แค่นั้นไง

ก็เอ็งไม่พอใจเอ็งก็ไปทุบทำลายมันไง ขนาดว่าสวยก็ยังไปยึดมัน พอจะไปทุบ มันไม่สวย ก็ยังไปทุบทำลายมัน นี่มันเป็นทิฏฐิมานะไปทั้งสองฝั่งเลย

แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันรู้ของมันตามความเป็นจริง มันพิจารณาของมันไป มันสำรอกมันคายนะ คายตัณหาความทะยานอยากไง

เขาบอกว่า กิเลส กิเลสเป็นนามธรรมนะ กิเลสจะไม่เห็นมัน

ไม่เห็นมันแล้วมึงคายมันได้อย่างไร ไม่เห็นมันแล้วมึงฆ่ามันได้อย่างไร ไม่เห็นมัน รู้ได้อย่างไรว่ามันมีหรือไม่มี ถ้ารู้ว่ากิเลส นั่นคือกิเลส

แล้วเวลาคายชั่วคราวก็รู้ว่าคายชั่วคราว เวลาฆ่ามันก็รู้ว่าฆ่ามัน ไม่รู้ว่าฆ่ามัน มันจะตายได้อย่างไร นี่ถ้าไม่รู้ว่าฆ่ามัน ฆ่ามันแล้วมันก็เก้อๆ เขินๆ อย่างนั้น

หลวงตาท่านบอก มันเหมือนกับหางจิ้งเหลน หางจิ้งเหลนหางจิ้งจกมันขาดไปแล้วมันก็ยังดีดดิ้นของมัน ขันธ์มันก็ดิ้นของมันธรรมชาติของมันน่ะ มันไม่ได้ต่อเข้ามาถึงตัวจิ้งเหลน เข้ามาต่อตัวจิ้งจก

จิ้งจกจิ้งเหลนมันมีหางนะ มันเปลี่ยนสีไปเรื่อย ตุ๊กแกเปลี่ยนสี จิ้งจกเปลี่ยนสีไปตลอด เดี๋ยวดี เดี๋ยวงาม เดี๋ยวชั่วตลอด เวลามันขาดไปแล้วจบ ดิ้นดิ๊กๆๆ อยู่นั่นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดก็เป็นอย่างนั้นน่ะ ถ้าคนเป็น

นี่ไง เวลาทางโลกเขาเจ็บไข้ได้ป่วย มันถึงกับเสียชีวิตนะ ถึงกับตาย เวลาทางวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์เขาเจริญเขาค้นคว้าหายาหาวัคซีนป้องกันรักษาโรคนั้นได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ โรคกิเลส โรคของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ท่านแสวงหาของท่าน ท่านมีการกระทำของท่าน ท่านได้ธรรมโอสถไง อริยสัจ สัจจะความจริงขึ้นมาในใจนั้นไง ทำลายล้างฆ่ากิเลส ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอีก นี่มันเป็นสัจจะเป็นความจริง

แล้วเวลาเทศนาว่าการ ไม่มีกำมือในเรา ไม่มีความลับ ธรรมะนี้เรียบง่าย

เราไปทำเรื่องง่ายๆ ให้มันยาก ยิ่งถ้าปีนบันไดยิ่งชอบ

มันเรื่องเรียบง่าย แต่เรียบง่ายโดยมีสัจจะ เรียบง่ายโดยมีหลักการ แต่เพราะว่ากิเลสมันดื้อด้านไง มันถึงต้องมีข้อวัตรปฏิบัติไง มีเครื่องอยู่ของใจไง รักษามันควบคุมมันดูแลมันไง

อุณหภูมิของน้ำ เราต้องการน้ำร้อน เราก็ต้องพยายามรักษาไฟนั้น ต้มน้ำให้น้ำมันเดือดขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเราโดยธรรมชาติของมัน มันดื้อด้าน มันดิบ โดยสันดานของมัน เราก็พยายามทำความของสงบใจเข้ามาให้มันพ้นจากสันดานนั้น การชนะตัวเอง การชนะความรู้สึกนึกคิด นั่นน่ะคือสัมมาสมาธิ

ที่มันยังดื้อด้าน มันยังชนะตัวเองไม่ได้ มันก็เป็นขี้ข้าเป็นทาสให้กิเลสมันลากไป แต่ถ้าวันไหนเราทำความสงบของใจเข้ามานะ กิเลสมันยืนอยู่นู่น ใจเรายืนอยู่นี่ เอ็งอยู่นั่นน่ะ ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าอยู่สุขสบายของข้า

นี่ไง ถ้ามันชนะตัวมันเองไง เอ็งก็ยืนอยู่รอบๆ ข้านี่แหละ เอ็งเข้ามายุ่งกับข้าไม่ได้

ถ้ามีสติมีปัญญานะ ถ้าเราหายใจเข้านึก พุทหายใจออกนึกโธ ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา มันมีกำลังของมัน

แล้วเวลาพิจารณาไป พิจารณานี่ธรรมโอสถ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขารื้อค้นค้นคว้ามา ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล

จิตใจของใครทำอริยสัจสัจจะความจริงขึ้นมาไม่ได้ เขาจะไม่มีคุณธรรมในใจของเขา ไม่มีหรอก นี่ฟังเขาเล่าว่า เขาว่าอย่างนั้นน่ะ

ดูสิ ดูครูบาอาจารย์ที่ศึกษามา เวลาเทศนาว่าการ ถ้ามีคนที่ประพฤติปฏิบัติไปมันมีแง่มุม แง่มุมคือจิตมันมีประสบการณ์ เราถามสิ ทำไมเป็นอย่างนั้นน่ะ

“อ้าว! ก็พระไตรปิฎกว่าไว้อย่างนั้น” นี่เขาเล่าว่า เขาเล่าว่า “ก็มันเป็นอย่างนั้นน่ะ ก็มันเป็นอย่างนั้นน่ะ”

แล้วแก้อย่างไร

“ก็มันเป็นอย่างนั้นน่ะ”

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ อ๋อ! ใช่ เพราะสติเราอ่อน เพราะบางทีเราพลั้งเผลอ บางทีเราไม่รอบคอบ นี่มันรู้ เพราะอย่างนี้มันถึงผิดพลาด

ของที่มันจับอยู่ มันกำอยู่ มันไม่ไปไหนหรอก แต่ถ้าเราคุยโม้อยู่ เดี๋ยวพอมันคลายมือออก มันไปแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ดูแลรักษาจิตของเรา เราไม่มีสติสัมปชัญญะดูแลรักษา เดี๋ยวมันก็เสื่อม เดี๋ยวมันรักษาไว้ไม่ได้ ถ้าจะรักษาไว้ได้ๆ ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติอย่างนี้

นี่พูดถึงว่า เราไปวัดไปวาก็เพื่อเหตุนี้ไง

ทำบุญกุศลมันเป็นการฝึกหัดใจของเรา ไอ้ผลอามิสที่มันได้มามันได้อยู่แล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำคุณงามความดีของเรามันจะได้ความชั่วได้อย่างไร มันเป็นความดีทั้งนั้นน่ะ แต่ความดีของชั่วคราวๆ ไง ของชั่วคราวก็ของชั่วคราว เป็นอนิจจังไง

แต่ถ้าเอาจริงๆ ของเราขึ้นมา เราทำศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นคุณธรรมในใจไง เป็นอริยทรัพย์ไง มันเป็นทรัพย์ของใจนี้ไง แล้วไม่ต้องมีใครฝากใครฝัง มันไปของมันเองไง มันรู้ของมันเอง มันเห็นชัดของมันเอง มันเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง นี่สมบัติของเรา สมบัติมีค่า เราแสวงหาสิ่งนี้ เราทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์กับเรา

ที่เราขวนขวายอยู่นี้ เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เราต้องมีหน้าที่การงาน เราก็ต้องขยันหมั่นเพียรทำงานของเรา คนที่มีความขยันหมั่นเพียรนั่นน่ะ เวลาเป็นจริตนิสัย ถ้ามาประพฤติปฏิบัติเขาก็จะปฏิบัติได้ผล ไอ้คนเกียจคร้าน คนไม่เอาไหน เวลามาปฏิบัติแล้วก็ดื้อๆ ด้านๆ นั่นน่ะ

มันเป็นจริตนิสัย มันเป็นพันธุกรรมของจิต มันฝังมาจากพฤติกรรมที่ทำมา แล้วถ้าเราศึกษาแล้วเราก็มาฝืน ฝืนกระแส ฝืนความต้องการในใจ แล้วพยายามบ่มเพาะ เราก็มาตัดแต่งพันธุกรรมของเรา เราก็มาตัดแต่งนิสัยสันดานของเราให้มันเข้าสู่สัจธรรม ไม่ใช่เข้าสู่เราหรอก

เข้าสู่สัจธรรม เข้าสู่ความจริงอันนั้น แล้วเดี๋ยวมันเบาบางลง มันจะมีหูมีตา มีความเข้าใจในสัจธรรมอันนั้น แล้วเรารู้แจ้งเห็นจริงนั้น เป็นปัตจัตตัง สันทิฏฐิโกท่ามกลางหัวใจนั้น เอวัง