เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ก.พ. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ฟังธรรมะๆ ทุกคนเราเป็นชาวพุทธ ทุกคนแสวงหา ทุกคนต้องการทั้งนั้นน่ะ แต่วิธีการของคนมันแตกต่างกันไป ถ้าวิธีการของคนมันแตกต่างกันไป มันอยู่ที่บุญวาสนา

ถ้าบุญวาสนาของเขาๆ ทุคตะเข็ญใจในสมัยพุทธกาลอยากบวชมาก อยากจะประพฤติปฏิบัติมาก แต่เป็นคนทุกข์คนจน ไม่มีน่ะ ไม่มี เวลาไปอ้อนวอนขอให้ใครบวชก็ไม่มีใครบวชให้ จนไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประชุมสงฆ์เลย

“ทุคตะเข็ญใจคนนี้มีบุญคุณกับใครบ้าง”

พระสารีบุตรยกมือขึ้นเลย “เคยมีบุญคุณกับเกล้ากระผมพระเจ้าค่ะ”

“มีบุญคุณอะไรกับเธอ”

“เคยตักบาตรให้ข้าพเจ้าหนึ่งทัพพีพระเจ้าค่ะ”

“อย่างนั้นเธอให้เขาบวช”

พอบวชแล้วพระสารีบุตรพยายามเคี่ยวเข็ญจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาจนได้ เห็นไหม นี่คนถ้ามีวาสนานะ ข้าวทัพพีนั้นน่ะ ข้าวทัพพีหนึ่งสามารถสร้างบุญกุศล สามารถทำให้เป็นสายสัมพันธ์ให้คนคนหนึ่งได้ประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ข้าวทัพพีเดียวนะ มันถึงค่าของน้ำใจๆ

คนถ้ามีอำนาจวาสนาเขาทำสิ่งใดเขาเพื่อบุญกุศลของเขา ถ้าบุญกุศลของเขาทำแล้วทำทิ้งเหวไง ตักบาตรจะทำบุญกุศล ทำทิ้งเหวๆ อย่าไปปรารถนาต้องการให้คนเชิดชูบูชา เพราะต้องการปรารถนาให้คนเชิดชูบูชานี่แหละมันถึงมีของปลอม มันถึงมีการเล่ห์เหลี่ยม มันมีแต่การหลอกลวง มีแต่การสร้างภาพ

การสร้างภาพ สร้างภาพก็เพราะเหตุนั้นไง คนที่บุญกุศล ครูบาอาจารย์ที่มีบุญกุศล ลาภเลิศที่สุด พระสีวลี พระสีวลีนั่นน่ะมีลาภเลิศที่สุด

แต่พวกเราก็ทำเลียนแบบกัน เวลาทำสิ่งใดก็ขึ้นป้ายโฆษณา ช่องนั้นกี่พัน ช่องนั้นคนนี้คนนั้นน่ะ มันเป็นเรื่อง ภาษาเรา นั่นน่ะหมายจับ โจรมันปล้น เวลาจับแล้วต้องให้ตำรวจไปจับมัน

นี่เวลาคนคิดไง เวลาคนมันคิดทางโลกก็คิดเพื่อจะให้เขามาทำๆ นะ

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อย่างนั้น โบสถ์ โบสถ์ก็แค่หิน ๔ ก้อน เป็นเครื่องหมาย วิสุงคามสีมา หิน ๔ ก้อนวางไว้ อยู่ในพระไตรปิฎก

เริ่มต้นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียบง่ายมาก แล้วต้องการไม่ให้เบียดเบียนกัน เวลาโบสถ์นะ เครื่องหมายคืออะไร วิสุงคามสีมาเริ่มต้นจากหิน ๔ ก้อน

เดี๋ยวนี้ก็เป็นรูปพัทธสีมา แล้วก็ทำวิจิตรพิสดาร แต่เป็นเรื่องทางโลกนะ ถ้าเรื่องทางโลก ทางโลกตอนนี้ศิลปวัฒนธรรมของเราเป็นแหล่งท่องเที่ยวอับดับหนึ่งของโลก กรุงเทพฯ ใครๆ ก็มาเที่ยววัดโพธิ์ เห็นไหม มันก็เป็นเรื่องศิลปวัฒนธรรม เป็นเรื่องของโลก ไอ้นี่เราก็เห็นด้วย

ถ้าเห็นด้วยนะ ที่ไหนควรก็คือควร แล้วก็มีกฎกติกาขึ้นมา ถ้ามีกฎกติกาขึ้นมา พูดถึงกฎกติกาขึ้นมามันรักษาไว้ไม่ได้หรอก รักษาไว้อย่างไร ถ้ารักษา ยิ่งที่ไหนมีกฎกติกา “มึงรู้ไหม พ่อกูชื่ออะไร” ที่ไหนมีกฎกติกา ที่นั่นทุกคนจะลบล้าง ยิ่งใครลบล้างอยู่เหนือกฏไง ใครๆ ก็อยากเหนือกฏไง

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น เวลาพระบวชใหม่ เวลาพระบวชใหม่ทนคำสอนได้ยากๆ เวลาคำสอน เวลาบวชมาแล้ว นิสัยของฆราวาส นิสัยของฆราวาส ดูพระ พระยืนดื่มน้ำก็ไม่ได้ เป็นอาบัติทุกกฏทันทีเลย ต้องนั่งลง ต้องทำอย่างไร นี่ไง สมณสารูป

สมณสารูปมันเริ่มความละเอียดอ่อนเข้ามา ละเอียดอ่อนเข้ามาถึงหัวใจของเรา ถ้าถึงหัวใจของเรา เห็นไหม

พระบิณฑบาตที่ถ้ำสาริกา หลวงปู่มั่นไปอยู่ที่นั่นน่ะ เขาบอก “อย่าไปนะ ไปอยู่ที่นั่นมีพระมาตายตั้งหลายองค์แล้วแหละ”

หลวงปู่มั่นท่านก็เป็นผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนนะ “ไม่เป็นไรหรอก ขอให้ไปดูหน่อยหนึ่งก็แล้วกัน” เวลาไปดูเสร็จแล้วบอกให้ชาวบ้านกลับไปเถอะ จะอยู่ที่นี่ แล้วหลวงปู่มั่นท่านก็ภาวนาของท่านน่ะ

ทำไมพระถึงมาตายที่นี่ เหตุที่พระตายนะ เพราะบิณฑบาตมันไกล สมัยนั้นหมู่บ้านมันอยู่ไกลมาก เดินไปบิณฑบาตนะ กลับมาแล้ว ฉันมื้อวันนั้นแล้วเก็บไว้ฉันวันรุ่งขึ้น

พระสะสมไม่ได้ พระบิณฑบาตต่อวัน ฉันต่อวัน เพราะอะไร เพราะไม่ให้พระขี้เกียจ ไม่ให้พระสะสม

พระสะสมไม่ได้นะ พระเก็บไว้แรมคืนไม่ได้ ของที่บิณฑบาตมา ของที่ได้รับประเคนแล้วมีอายุแค่ชั่วคราว แค่ชั่วเพล พอชั่วเพลแล้วนะ พระฉันอีกรุ่งขึ้น ของนั้นเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุเป็นปาจิตตีย์ นี่ไง ฉันไม่ได้

แล้วพระที่โดนหักคอตายที่ถ้ำสาริกาสององค์นั้น เหตุที่ตายเพราะเหตุนี้ เหตุเพราะเอามาสะสมไว้ แล้วก็เจ็บไข้ได้ป่วยจนตายไป ตายเพราะอะไร นี่ไง เพราะการผิดเล็กน้อย

ถ้าพูดถึงว่า ถ้ามันเป็นผู้ที่ต้องการธรรมและวินัยที่เป็นสัจจะเป็นความจริง ผู้ที่มีศีลมีธรรมในหัวใจเขามีความละอาย เขามีความละอาย เขาไม่กระทำอย่างนั้น พอเขาไม่กระทำอย่างนั้นเพราะเขารักษาหัวใจของเขา

รักษาหัวใจของเขาเพราะปรารถนามาเพื่อจะพ้นจากทุกข์ นี่ผู้บวช ผู้บวชในพระพุทธศาสนามีเป้าหมายที่จะพ้นจากทุกข์ๆ แล้วพ้นจากทุกข์ เวลาเขาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งของแบบนี้เข้าไปเผชิญหน้ากับมันไม่ได้ สู้ทนไม่ได้ ค้นหาไม่ได้ แล้วจะหากิเลสอย่างไร ไอ้ที่ต้องการที่ปรารถนามันก็กิเลสทั้งนั้นน่ะ

รูปอันวิจิตร รูป รส กลิ่น เสียงอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส รูป รส กลิ่น เสียงอันวิจิตร ของที่วิจิตรมหาศาลไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากของคนต่างหากเป็นกิเลส ตัณหาความทะยานอยากในใจของคนที่ไขว่คว้าที่อยากได้อยากดีนั่นน่ะ

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นแบบนั้น เวลาใฝ่ดีๆ อธิษฐานบารมี บารมี ๑๐ ทัศ ผู้ที่จะพ้นจากทุกข์ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี สิ่งต่างๆ สะสมมา สะสมมาเพื่อให้หัวใจมันสงบระงับเข้ามา ถ้าหัวใจมันสงบระงับเข้ามา หัวใจที่มีคุณธรรมขึ้นมา มันมองสิ่งนี้เป็นเรื่องด้อยๆ ไง

นี่ที่บอกคนนั้นก็มีคุณธรรมๆ

ถ้ามันมีคุณธรรมนะ มันเหนือโลก แม้แต่เป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันนะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบไม่คลำในศีลนะ พระโสดาบันไม่ลูบไม่คลำในศีลนะ ศีลนี้เป็นศีลจริงๆ เป็นข้อห้ามจริงๆ เป็นกติกาจริงๆ เป็นคุณธรรมในใจจริงๆ

เวลาบอกว่า นี่เป็นพระโสดาบัน

แต่ยังกะล่อนอยู่นั่นน่ะ ยังพูดจาโกหกมดเท็จปลิ้นปล้อนอยู่ มันเป็นพระโสดาบันได้อย่างไร นี่มันขัดแย้งกันไง

ถ้าเราอยากว่าเราเป็นพระโสดาบันเราต้องพูดตรงไปตรงมา มันไม่สงสัยในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ถือมงคลตื่นข่าวใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเป็นพระโสดาบันนะ ซื่อตรง ตรงต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เด็ดขาด

ถ้าเป็นพระโสดาบันเราไว้ใจได้ ถ้าเป็นพระโสดาบันพาดกระแส ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วไม่กะล่อนปลิ้นปล้อน ไม่หลอกลวง ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไม่มีซับไม่มีซ้อน ไม่มี ไม่มีหรอก

ไม่ต้องไปบอกว่า อู๋ย! เขามีคุณธรรมแค่ไหน

แค่ดูพฤติกรรม ดูพฤติกรรมในชีวิตของเขาก็จบแล้ว ว่ามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ถ้าเป็นจริงของเขา เขานุ่มนวลของเขา เขามีคุณธรรมในหัวใจของเขา ถ้าเป็นสัจจะความจริงของเขา

นี่เรามีเป้าหมายของเราอย่างนั้น ถ้าเรามีเป้าหมายของเราอย่างนั้น วันนี้วันพระ วันนี้วันพระผู้ประเสริฐ ประเสริฐที่ไหน ประเสริฐในหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจเราประเสริฐนะ ทีนี้ประเสริฐ ถ้าหัวใจของคนมันมีกิเลสนะ กิเลสประเสริฐ กิเลสมันควบคุมมันครอบงำแล้วมันชักนำของมันไปไง อยากได้อยากดีไปกับโลกเขา

อยากได้อยากดีไปกับโลกเขา กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไม่เป็นความจริง ถ้าเรามาบวชเป็นพระหรือเป็นนักปฏิบัติขึ้นมา เราอยากได้มรรคอยากได้ผลอยากนิพพาน มันเป็นกิเลสหรือไม่

ถ้าเป็นกิเลส เรามีเป้าหมายในการทำคุณงามความดีของเรา ถ้ามันอย่างนี้ เห็นไหม เราอยากมีมรรคมีผลของเรา มรรคผลของเรา เราก็ต้องแสวงหา งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ การงานชอบ ความชอบธรรมหรือไม่

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราลงทุนลงแรงของเราไปแล้ว อาบเหงื่อต่างน้ำ มีเหงื่อไหลไคลย้อย ทำไมจิตมันไม่สงบล่ะ

ไม่สงบเพราะตัณหาซ้อนตัณหา เพราะความอยากอันนั้นไง แต่ถ้ามันอยากได้อยากดี แล้วเราอยากแล้วเรามีเป้าหมายแล้วเราก็วางไว้ แล้วก็เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทาคือความสมดุลพอดีของมัน ถ้ามันมีการสมดุลพอดีของมัน มันก็จะเข้าสู่สัมมาสมาธิ มันจะเข้าสู่ความสงบ

ความสงบนั้นมันเกิดขึ้นจากความสมดุลพอดีกับผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น เพราะผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นมีจริตนิสัยที่แตกต่างกันไป

พอมีจริตนิสัยที่แตกต่างกันไป เวลากรรมฐาน ๔๐ ห้องถึงมีวิธีที่แตกต่างกันไป แตกต่างกันไปในหัวใจดวงนั้น ในหัวใจดวงเดียวกันนั้นประพฤติปฏิบัติแต่ละครั้งแต่ละคราว บางคราวมันสงบได้ง่าย บางคราวมันอยากภาวนา บางคราวมันไม่ยอมภาวนา ข่มขี่ขนาดไหนมันก็ไม่ยอมทำ

แม้แต่จิตของเราดวงเดียว อารมณ์แต่ละครั้งแต่ละคราวมันก็ไม่เหมือนกัน การกระทำขึ้นมาที่จะสงบระงับเข้ามาได้แต่ละเที่ยวแต่ละคราว นี่ไง ถึงบอกธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกให้เป็นปัจจุบันๆ

ปัจจุบันขณะที่มันทุกข์มันยากมันก็ต้องเข้มแข็ง ต้องเข้มงวดกับมัน ปัจจุบันที่มันนุ่มนวล มันควรแก่การงาน เราก็ไม่ต้องไปเข้มงวดกับมันจนเกินไป ปัจจุบันที่มันนุ่มนวล ปัจจุบันที่มันเข้าสัมมาสมาธิ เราก็ไม่ต้องไปลังเลสงสัยมัน

มันนิ่มนวล มันจะเข้าสู่มัมมาสมาธิ มันจะร้อยเข็ม จะประสบความสำเร็จ เราก็ยังไปสงสัย เข็มอยู่ไหน ด้ายอยู่ไหน ยังวิ่งไปอยู่ข้างนอก...ไม่ใช่ มันเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่นี่ มันกำลังจะเป็นอยู่นี่ แต่คนก็ไม่เป็น เห็นไหม

สิ่งที่มันเป็น ถ้ามันเป็นความจริงของมัน มันเป็นความจริงของมันอย่างนี้ นี่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง ฉะนั้น ผู้ประพฤติปฏิบัติมันแตกต่างหลากหลายในสัตว์โลก กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ถ้ามันจะมีคุณธรรม มันจะมีคุณธรรมในหัวใจอย่างนี้ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันจะมีประสบการณ์ตามความเป็นจริงไง ประสบการณ์ของจิตๆ

เวลาศึกษามา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกเป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาศึกษานะ ศึกษาประวัติของครูบาอาจารย์ของเรา ประวัติครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ นั่นคือประสบการณ์ของท่าน วิทยานิพนธ์เลยล่ะ นี่แหละข้อวัตรปฏิบัติ นี่แหละหนทาง

ศึกษา อ่านแล้วเรามาคิดพิจารณาของเราไง เราควรจะทำอย่างไร นี่มันเป็นแนวทางที่จะให้เราประพฤติปฏิบัติได้ มันเป็นสารตั้งต้นให้เราพยายามของเราไง

ถ้าเราอ่าน เราศึกษาธรรมะของครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นสัจจะความจริงนะ แล้วเราพยายามขวนขวายของเรา กระทำของเราให้เป็นความจริงในใจของเรา

นี้เราเกิดมาแล้ว เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนามาสองพันปี เราก็ต้องเห็นคุณค่าของปู่ย่าตายายของเราที่ได้ช่วยกันรักษาดูแลมาจนถึงปัจจุบันนี้

แล้วเวลาของเรา เราในปัจจุบันนี้เรามีความต้องการมีความปรารถนา เราจะทำของเราๆ ระดับทาน ศีล ภาวนา เราก็ฝึกหัดของเรา ทำของเราต่อเนื่องไป

เวลาเช้าขึ้นมาอากาศดีมากนะ บ่ายๆ เที่ยงบ่ายขึ้นมานี่ร้อนมาก พอตกเย็นขึ้นมามันก็อากาศ เช้า สาย บ่าย เย็นไม่เหมือนกัน

ชีวิตเราก็เหมือนกัน ตั้งแต่เด็กๆ ขึ้นมา เช้าขึ้นมา เด็กน้อยพ่อแม่คุ้มครองดูแล มีความสุขความสะดวกตลอดไป เวลากลางวัน บ่ายๆ กำลังทำงาน ชีวิตช่วงกำลังทำงาน ช่วงของเรา แล้วเราก็จะต้องบ่ายคล้อยต่อไป

นี่เหมือนกัน เราจะบอกว่า ชีวิตมีคุณค่า เวล่ำเวลามีคุณค่า อย่าปล่อยให้มันล่วงเลยไปวันแล้ววันเล่า ผัดวันประกันพรุ่ง เสียเวลาไปวันๆ หนึ่งไง มีโอกาสมีเวลาที่ไหนเราก็ขวนขวายของเรา มีการกระทำของเราไง

ชีวิตนี้มีคุณค่านะ ดูสิ ใบไม้ร่วง พรรคพวกเพื่อนฝูงเราก็ได้ตายจากไปมหาศาล เด็กเกิดใหม่ก็ไล่หลังมา แล้วเราก็ต้องเป็นอย่างนั้นไป

แต่มันยังไม่เป็นอย่างนั้น มันยังหายใจได้ ยังเข้มแข็งแข็งแรงอยู่ อย่าประมาทกับชีวิต เราพยายามขวนขวายของเรา มีการกระทำของเรา

เราต้องพลัดพรากจากไปแน่นอน เวลาหายใจไม่ได้ เป็นหวัดเป็นไอ ดูสิ เวลาเป็นไข้ขึ้นมาหายใจไม่ได้ ออกซิเจนสวมเข้าไปเลย เวลาถ้ามันหายใจไม่ได้ เห็นไหม

แล้วการหายใจในอากาศ สิ่งต่างๆ ที่มันเป็นประโยชน์กับร่างกายนี้ แล้วถึงเวลาแล้วถ้ามันหมดชีวิตไปแล้ว อากาศก็เป็นอากาศอยู่อย่างนี้ มึงไม่ได้มาหายใจอยู่หรอก มึงตายไปแล้ว

เวลาในปัจจุบันนี้มันหายใจได้ มันยังกำหนดได้ มันยังพิจารณาได้ มันมีการกระทำได้ นี่เป็นผลงานของเรา

เวลาคนตายไปแล้วไปยมบาลนะ ยมบาลถาม “รู้จักธรรมะไหม” ไม่รู้จัก อะไรก็ไม่รู้จัก ยมบาลถามว่า “เห็นคนเกิด คนตายไหม” เห็น

นั่นน่ะคือสัจธรรม คือความประมาทไง

เคยเห็นธรรมะไหมๆ ไหม เกิดมาในโลกนี้ได้เห็นได้รู้จักมันไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศานนา วันนี้วันพระด้วย เราได้รู้จักสัจธรรมนั้นหรือไม่ ถ้าเราไม่ได้รู้จักสัจธรรมนั้น

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอริยสัจสัจจะความจริง ในธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้กับบริษัท ๔ ไง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้ทั้งนั้นน่ะ พินัยกรรมๆ

เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เรานับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีคุณค่าแค่ไหนกับชีวิตของเราไง ถ้าเราพยายามกระทำอยู่

คนที่ไม่สนใจเลยก็เป็นพุทธที่ทะเบียนบ้านก็เรื่องของเขา ไอ้เราเป็นชาวพุทธ เราถึงคราวนักขัตฤกษ์ ปีใหม่ วันเกิดต่างๆ เราได้ทำบุญบ้างมันก็ยังมีโอกาส แล้วถ้าไปวัดไปวาขึ้นมา นี่ไปวัดไปวา

คนที่ไม่เคยไปวัดเลยนะ ไปวัดบ้านก็ “เออ! วัดอย่างนี้พอสมควร อย่างนี้ดีงาม” พอไปวัดป่า “อู๋ย! อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้มันเข้มข้นเกินไป” นี่ถ้าคนไม่เคยไป

แต่ถ้าคนเคยไปแล้ว ถ้าไปวัดบ้าน วัดบ้านผู้ที่เขาศึกษาเล่าเรียน ถ้าจะไปวัดป่า วัดป่าเพื่อประพฤติปฏิบัติ

แล้วการปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่ออะไร ปฏิบัติจริงได้หรือไม่ แล้วคนเกิดมามีกายกับใจๆ มันเป็นอย่างไร แต่ถ้ามันสนใจขึ้นมา เราค้นคว้าของเรา

แต่ด้วยวาสนาของคน ทุกคนบอกว่า อู้ฮู! ภาวนาไม่ได้ ทำไม่ได้ ทุกอย่างทำไม่ได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลามันทุกข์ มันทุกข์ได้นะ นี่ไง มันอยู่ทางโลก เวลาเราทำหน้าที่การงานขึ้นมาเราทำได้ทั้งนั้นน่ะ เวลาทำหน้าที่การงานแล้วได้ผลตอบแทนคือเงินเดือนไง

นี่ก็เหมือนกัน เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ผลที่ตอบแทนขึ้นมาคือสติ คือสมาธิ คือปัญญาของเราไง ถ้ามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา นี่เป็นทรัพย์สมบัติของเราไง

สิ่งที่เวลาครูบาอาจารย์เทศนาว่าการเราก็ได้ฟัง เราก็จินตนาการของเรา แต่เวลามันเป็นจริงในใจของเราน่ะ มันเป็นจริง ถ้ามีสติมันยับยั้งได้หมดไง ความทุกข์ความยาก สิ่งที่มันฟุ้งซ่าน สิ่งที่มันควบคุมไม่ได้ ถ้ามีสติปั๊บ หยุดหมดเลย หยุดได้เลย

พอหยุดได้ ความคิดมันก็หยุดได้ ความคิดเกิดดับๆ แต่ถ้าไม่มีใครดูแลมัน ใครไม่เคยเห็นมัน แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เวลาเราเป็นมนุษย์ใช่ไหม เช้าก็ตื่นนอน ทำหน้าที่การงาน กลางคืนเราก็นอน เวลาหิวเราก็กินใช่ไหม เราควบคุมร่างกายของเราได้ไง แต่เวลาความคิดเราควบคุมมันไม่ได้ไง

แต่เวลาเราฝึกหัดภาวนาของเรา เรามีสติมีปัญญาขึ้นมาเราควบคุมมันได้ เราดูแลมันได้ ถ้าดูแลหัวใจเราได้ ถ้าใครฝึกหัดได้ มันมีคุณค่าที่นี่

สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นสมมุติ ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณต่างๆ สมมุติทั้งนั้น สติ สมาธิ ปัญญาของเราของจริง สติ สติมันก็เป็นชื่อ เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การกระทำใดๆ ถ้าขาดสติ สิ่งนั้นไม่ใช่ความเพียร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยันไว้เลย

แล้ว เออ! สติเป็นอย่างนี้ เออ! สมาธิมันมีความสงบร่มเย็นเป็นอย่างนี้ เวลาศึกษาปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาเป็นอย่างนี้

นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากไว้ พินัยกรรมฝากไว้ แล้วเราพยายามฝึกหัดรื้อค้นแล้วมันได้จริงขึ้นมา ได้จริงเป็นความจริงของเราขึ้นมา เป็นสมบัติของเรา

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขวนขวายมาขนาดนี้ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พยายามค้นคว้ามาจนสำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านลงทุนลงแรงมาขนาดไหนรื้อค้นสิ่งนั้นขึ้นมา แล้วเป็นมรดกตกทอดมาให้เราเป็นธรรมและวินัย

สาวกสาวกะ ผู้ได้ยินได้ฟังขึ้นมา เวลาปฏิบัติขึ้นมาถ้ามันได้จริงได้จังขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะภูมิใจไง พระพุทธศาสนา จะปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ เราก็เป็นสัตตะผู้ข้อง สัตตะในหัวใจของเรามันข้องมันเกี่ยวไปหมด มันทุกข์มันยากไปหมด ถ้าเรามีอำนาจวาสนาของเรา เราขวนขวายของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา

ในพระพุทธศาสนามันมีเปลือก มีกระพี้ มีแก่น ถ้าเราเป็นแก่น เป็นแก่นเราก็ภูมิใจ เราเป็นชาวพุทธ เรามีสติมีปัญญา มีความรู้ แต่เราก็ยังไม่มีสมบัติอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ถ้าเรามีสมบัติเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา สิ่งนี้ฝังไว้กับใจเราไป ฝังไว้กับใจเราไป

เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้ามันมีอำนาจวาสนาของมัน มันก็พยายามจะขวนขวายของมันจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ อย่างเช่นว่าพระโสดาบันๆ พระโสดาบันพาดกระแสแล้ว แน่ใจได้ วางใจได้ พระโสดาบันพาดกระแสแล้ว เขาต้องถึงที่สุดแห่งทุกข์ไปข้างหน้าแน่นอน

แต่ของเรา เราก็พยายามขวนขวายของเราๆ ถ้ามันยังไม่พาดกระแสคือยังไม่เข้ากระแสของอริยสัจสัจจะความจริงอันนั้น เราก็ขวนขวายของเรา พยายามกระทำของเรา พยายามกระทำของเรานะ ถ้ามันได้มากได้น้อยแค่ไหน อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เดินจงกรมที่ไหนก็ทำได้ นั่งสมาธิภาวนาที่ไหนก็ทำได้

เวลาไปเที่ยวที่ไหนมีความสนุกครึกครื้น อู้ฮู! สนุกไปกับเขา เวลานั่งที่ไหน เวลาจิตมันสงบ โอ้โฮ! อยู่คนเดียวมันก็สุขได้ อยู่ที่ไหนมันก็มีคุณค่า อยู่โคนไม้ อยู่บ้านเรา เขาสนุกคึกคักครื้นเครงกัน โอ้โฮ! เต็มที่นะ

เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเศร้าใจเลยล่ะ ที่ไหนมีการระเล่นฟ้อนรำ ไปที่นั่น ที่ไหนมีการเลี้ยง ไปที่นั่น นี่ในนวโกวาทเขายังสอนเลย นักเลงเที่ยวกลางคืน กลางคืนไม่ได้ กลางคืนไปแล้วเป็นค้างคาวเลย กลางวันนอน กลางคืนไปแล้ว นักเลงทั้งนั้นน่ะ นักเลงอย่างนี้เขาเป็นกัน

แล้วเราล่ะ เราอยู่ที่ไหนก็ได้ เราทำของเราได้ เห็นไหม อยู่ที่ไหนก็มีความสุข แล้วความสุขอย่างนี้เป็นปัตจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ไม่ต้องเรียกร้อง ไม่ต้องเชิดชูบูชา เพราะการทำบุญกุศลแล้วหวังเชิดชูบูชาถึงได้ทุกข์ได้ยาก ถึงได้กระเสือกกระสนกัน

การทำบุญทิ้งเหวๆ ทำบุญแล้ว บุญก็คือเราทำ แล้วบุญที่เราทำ เราทำใหม่ๆ ยังได้บุญไม่ได้บุญ นี่มันไม่สะอาด ทำแล้วเราก็ยังวอกแวกวอแว

แต่เราทำบุญทิ้งเหว ตูมจบเลย บุญคือบุญ บุญก็คือบุญ ได้แล้ว บุญของเรา บุญของเราคืออะไร คือเราได้ทำแล้ว ไม่ให้กิเลสมันมาชัก ไม่ให้กิเลสมันมาแย่งมาชิง ไม่ให้กิเลสมาครอบคลุมหัวใจ ไม่ให้กิเลสมันชี้นำให้ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา นี่ไง บุญเกิดอย่างนี้ไง

มันทำบุญแล้วมันมีสติมีปัญญา มันก็คัดมันก็เลือกแยกในความที่ดีงาม มันก็ไม่ให้กิเลสมันมาแย่งมาชิง บุญมันเกิดเพราะมีบุญมีสติมีปัญญาควบคุมชีวิตนี้ได้

แล้วถ้าทำคุณงามความดีของเรา จิตสงบระงับเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

ไม่อย่างนั้นนะ วัดหนองผือ วัดหลวงปู่มั่น วัดที่ครูบาอาจารย์ ไปดูสิ สงบสงัด ต้นไม้ใหญ่โต ร่มครึ้มไปหมดเลย นี่ไง สัปปายะไง สถานที่วิเวก ผู้อยู่อาศัยวิเวก จิตวิเวก วิเวกจากภายในไง

ไม่ใช่ อู้ฮู! นี่วัดป่านะ อู๋ย! มีแต่เครื่องเสียงประโคมฟ้อนรำ มันป่าอะไรนั่นน่ะ ไอ้นั่นมันตลาด นั่นมันตลาด มันไม่เป็นความจริงหรอก

ฉะนั้น ถ้ามันเป็นความจริงนะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

เราขวนขวาย จิตเรามี ทุกอย่างเรามี แต่มันยังไม่สงบ มันยังไม่ละไม่วาง มันถึงไม่ได้รสชาติอย่างนั้น เราค้นคว้าหาจากหัวใจนี้ หาจากปลายจมูกนี้ ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เวลามันก็ละเอียดเข้าไปสู่หัวใจของตน นั้นคือสมบัติของเรา เอวัง