เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ มี.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมๆ นะ ธรรมนี้เหนือโลก เหนือโลกธาตุไง เหนือตั้งแต่พรหมลงมา เหนือมนุษย์ เหนือสัตว์นรก ธรรมนี้เหนือหมด ถ้าธรรมไม่เหนือหมด ไม่ทำให้จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

เพราะเราทำสิ่งใดก็แล้วแต่เราหวังบุญหวังกุศล หวังคุณงามความดี โลกนี้มีทั้งดีและชั่ว สิ่งที่ทำคุณงามความดีมันก็ให้ผลเป็นคุณงามความดี สิ่งที่ชั่วมันก็ให้ผลเป็นความชั่ว

แต่สิ่งที่สัจธรรม สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยสัจ สัจจะความจริง งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ สมาธิชอบ ปัญญาชอบ

ปัญญาชอบกับปัญญาที่หากินอยู่ในโลกนี้เป็นปัญญาเดียวกันหรือไม่

ปัญญาที่เขาหากินกันอยู่ในโลกนี้ ปัญญาอย่างนี้เป็นวิชาชีพ เป็นอาชีพ แล้วอาชีพนี้ถ้าคนที่สุจริต คนที่มีคุณธรรม อาชีพนั้นจะสร้างผลประโยชน์กับเขาด้วย สร้างผลประโยชน์กับโลกด้วย แล้วสร้างผลประโยชน์กับเขาด้วย เพราะเขาทำด้วยธรรมาภิบาล เขาทำด้วยคุณงามความดีของเขา เขาจะมีบารมีของเขา สังคมได้พึ่งพาอาศัยเขา

ถ้าความคิดของเขาชั่ว เขาหาแต่ผลประโยชน์ของเขา เขาเบียดเบียนคนอื่น เขาทำร้ายแต่คนอื่นเพื่อประโยชน์ของเขา เขาทำแล้วเขาได้ผลประสบความสำเร็จในอาชีพของเขา แต่เขาได้บาป ได้การเบียดเบียน ได้บาปอันนั้นตกนรกอเวจีในใจของเขา นี่ปัญญาทางโลกไง

แต่ถ้าปัญญาทางธรรมๆ ล่ะ ปัญญาทางธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร

คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ ความรู้สึกนึกคิด ร่างกายก็ธาตุ ๔ ไง หัวใจ หัวใจเป็นขันธ์ ๕ ไง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไง แต่ถ้าปัญญาในพระพุทธศาสนาคือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ความคิดดี คิดชั่ว คิดร้าย คิดต่างๆ ปัญญาในพระพุทธศาสนาคือมันรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิดของตน ถ้ารอบรู้ในความคิดของตนมันก็แค่ทำสัมมาสมาธิเท่านั้นน่ะ เพราะอะไร

เพราะปัญญามันเกิดโดยธรรมชาติของมัน เกิดดับๆ ใช่ไหม แต่มันยังไม่เกิดสัจจะความจริง ไม่เกิดอริยสัจใช่ไหม ถ้ามันเกิดอริยสัจ พระพุทธศาสนา ศาสนาสอนที่นี่ไง

ฉะนั้น เราเกิดเป็นมนุษย์นะ เราเกิดเป็นมนุษย์นะ คนเราจะผู้ชายจะหล่อเหลาขนาดไหนก็แล้วแต่ ผู้หญิงเกิดมาจะสวยงามขนาดไหนก็แล้วแต่ อันนี้เกิดมาโดยอริยทรัพย์ เกิดมาโดยอริยทรัพย์ๆ

แต่ถ้าสวยหล่อขนาดไหนก็แล้วแต่ สวยงามขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่หัวใจเขาบกพร่องล่ะ

เราสร้างเนื้อสร้างตัวมา เราอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมา เราเก็บไว้สร้างบ้านสร้างเรือนมา ไปอยู่บ้านเรือนใกล้ใครนะ ให้มันจุดไฟเผาหมดเลย มันจุดไฟเผาบ้านมันนะ มันก็ลามมาบ้านเราด้วย

เห็นไหม เราอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบนะ เราหาของเรามาสะสมไว้นะ กว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติของเรานะ ไปอยู่ข้างบ้านข้างเรือนที่ว่าหัวใจที่มันเห็นแก่ตัว หัวใจที่มันทำร้ายตัวมันเอง มันทำร้ายตัวมันเองแล้วมันยังลุกลามมาถึงบ้านเรือนของเราด้วย เราได้ผลกระทบด้วย นี่คือปัญหาสังคม

สังคมคือสภาคกรรมๆ สภาคกรรมคือสังคมที่มันเกิดร่วมกันมา ความเกิดร่วมกันมา ที่เราเกิดร่วม เห็นไหม

ฉะนั้น เวลาเราเกิดร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเกิดร่วมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สหชาติๆ ใครเกิดร่วมได้บุญมหาศาล ใครเกิดร่วมนี่มีโอกาส

เหมือนเรา เราเจ็บไข้ได้ป่วยถ้ามียารักษา เราก็มีโอกาสได้รักษาหาย ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วยไม่มียารักษา ไม่มียารักษา ต้องรักษาตามอาการนั้น แล้วก็รอวันเป็นหรือตายเท่านั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดร่วมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มีตัวอย่างแบบอย่างประพฤติปฏิบัติไง

แล้วในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพูดนะ เป็นคติสอนใจเรามาตลอด “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอโดนโลกธรรม ๘ เบียดเบียน เธออย่าน้อยใจไปเลย เธอให้ดูเราเป็นแบบอย่าง”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนโลกธรรม ๘ รุนแรงมาก ลัทธิพวกพราหมณ์พวกเดียรถีย์นิครนถ์ต่างรวมหัวกันโจมตีกลั่นแกล้งทำร้ายทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะศาสนาเขาด้อยค่าไง เพราะศาสนาเขาไม่มีคุณภาพพอไง เพราะความรู้ของเขาสู้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ไง

แล้วคิดดูสิ ธุรกิจของเขา เวลาธุรกิจแข่งขันกัน เขาต้องทำลายธุรกิจฝั่งตรงข้ามใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเผยแผ่ธรรมๆ ทั้งๆ ที่ท่านมีฤทธิ์มีเดชนะ ถ้าแบบทางโลกนะ อนาคตังสญาณ หยั่งรู้ในหัวใจของเขา คิดอย่างไรรู้หมดน่ะ แล้วมีอภิญญา เวลาแสดงยมกปาฏิหาริย์ ให้ไฟออกทางหู ให้ไฟออกจมูกข้างหนึ่ง ให้น้ำออกข้างหนึ่ง

ถ้าให้ไฟออกข้างหนึ่ง ให้ไฟเผาพวกเขาได้ไหม ให้ไฟทำลายไอ้พวกเดียรถีย์นิครนถ์ตายหมดทั้งโลกเลยได้ไหม ได้ ทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ท่านไม่ทำ ปล่อยให้มันจาบจ้วง ปล่อยให้มันทำลาย ปล่อยให้มันโจมตี ปล่อยทั้งนั้นน่ะ เพราะมันเป็นกรรมของสัตว์

นี่ไง เวลาเราเกิดมาจะสวยหล่อขนาดไหนก็แล้วแต่ นี่เป็นเรื่องของร่างกายนะ ถ้าเรื่องของจิตใจๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเข้ามาที่นี่ไง สอนเข้ามาในหัวใจของเรา ถ้าสอนเข้ามาในหัวใจของเรา หัวใจของมันอยู่ที่ไหน

นี่ก็เหมือนกัน ทำบุญกุศลขึ้นมาเกือบเป็นเกือบตายกระเสือกกระสนกันมาไง ความกระเสือกกระสนกันมาก็ต่อสู้กับกิเลสไง

กิเลสบอกว่า “อู้ฮู! เวลาไม่มี อู้ฮู! บ้านเรามีความจำเป็น อู้ฮู! ในบ้านเรามีของที่รับผิดชอบเยอะแยะไปหมดเลย จะเอาเวลาที่ไหนไปทำข้างนอก” นี่มันบีบคั้นมา เห็นไหม

ขนาดเรามาทำบุญกุศลมันยังต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก หาเวล่ำเวลาของเรามา แล้วเวลาทำแล้วนะ “ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ” ทำบุญแล้วก็อยากได้สมความปรารถนา

ความสมปรารถนานั้นมันเป็นบารมีสิบทัศนะ บารมีสิบทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรารถนาไง อธิษฐานบารมี อธิษฐานบารมี ทานบารมี ศีลบารมี บารมีสิบทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สร้างสมบุญญาบารมีสิบทัศนี้ให้เต็ม ถ้าเต็มขึ้นมาแล้ว เวลาเต็มแล้วจะมารอตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไอ้พวกเราพวกขี้กลาก ขี้กลากมันขึ้นหมดนะ ที่ไหนจะเกาะ ไอ้พวกขี้กลาก ไอ้พวกเรามันพวกขี้กลาก คุณงามความดีของเราก็ไม่มี ทำสิ่งใดเราก็ได้มาน้อย

เราได้มีบุญกุศลมาเหมือนกันเราถึงได้สร้างบุญกุศลมาได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ ความสิ้นสุดแห่งทุกข์ วิมุตติสุขๆ

ความสุขของเรา เราก็มีความสุขจากสิ่งใดที่เราได้ประสบได้พบเห็นเป็นความสุขของเรา เราก็ปรารถนา สิ่งนั้นคือความสุขของเรา คือบุญกุศลของเรา เราก็ปรารถนาสิ่งนั้นๆ ไง ทำบุญๆ แล้วก็ปรารถนาในใจของตนไง

ถ้าใจของตนนะ ไอ้นั่นมันของหยาบๆ ไอ้ของหยาบๆ แก้วแหวนเงินทองขึ้นมาทุกคนก็ปรารถนา เวลาคนที่ปรารถนาได้แก้วแหวนเงินทองขึ้นมามากน้อยขนาดไหนเขาก็ไม่มีความสุขจริง

เขาปรารถนาความสุขไง ปรารถนาความสุขไง เห็นแก้วแหวนเงินทองก็มีความสุขไง ก็แสวงหามาเต็มบ้านเต็มเมืองล้นบ้านเลยนะ มันก็ยังนอนทุกข์อยู่บนกองเงินกองทองอยู่นั่นไง มันก็ไม่มีความสุขจริงขึ้นมาตามที่มันปรารถนา

แต่เราก็ปรารถนาอย่างนั้น เพราะเราบอก “ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ” ไง

แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนาขึ้นมา ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญา ความสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

แล้วจิตของเราที่มันดิ้นรนขึ้นมาก็แสวงหาเพื่อเป็นความสุขๆ ไง ถ้าหาความสุขขึ้นมาก็ตะครุบเงา ไม่มีสิ่งใดสมความปรารถนาไง

ถ้ามันมีศีลขึ้นมาเป็นความปกติของใจไง พอใจมันปล่อยวางของมัน ใจเป็นอิสระขึ้นมาไง แก้วแหวนเงินทองที่หามาจะว่าเป็นความสุขๆ มันก็กองอยู่นั่นไง เวลาความสุขๆ อ๋อ! ความสุขมันเกิดจากจิตของเรานี้เอง ความสุขของเราเองที่เราแสวงหา เรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม ถ้ามีสติปัญญาของเรา อ๋อ! ความสุขไม่ใช่ส่งออกไปอยู่ที่เงินที่ทอง

จิตนี้ส่งออกนะ โอ้โฮ! แล้วเป็นทุกข์มาก มันแบกหามไง มันจะเพิ่มขึ้นเท่าไร มันจะลดลงเท่าไรนะ อู๋ย! มันแม่งคอยคำนวณเลยนะ เงินมันไม่เดือดร้อนน่ะ แต่ใจมันเดือดร้อนมากเลย

แต่พอเวลามันมีสติปัญญาเท่าทันใจของตนนะ เออ! เงินทองมันก็กองอยู่นั่นน่ะ เออ! มันก็อยู่ของมึงนะ กูก็อยู่ของกู เออ! กูไม่ไปแบกรับมึง ความสุขเกิดหรือยัง นี่ถ้าเราไปทำบุญกุศลไง

“ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ”

เราทำบุญ ได้บุญอะไรล่ะ บุญที่มันฟุ้งซ่าน บุญที่มันเป็นธาตุ บุญที่มันไปแบกรับไว้นะ แล้วต้องการให้สมความปรารถนาอย่างนั้นใช่หรือไม่ มันใช่อย่างนั้นมันเป็นบุญหยาบๆ มันหยาบๆ ตรงไหน

หยาบๆ ตรงที่ว่า เราก็ยังทำได้ คนอื่นเขาไม่เคยทำนะ คนที่ไม่เคยทำเขาก็ไม่เคยได้ใกล้ชิด เขาไม่เคยเสียสละเขาก็ไม่มีสิ่งใดเลย คนที่เสียสละแล้วเขามีทานของเขา ทานนั้นเป็นทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติเพราะอะไร

ทิพย์สมบัติ ถ้าเขาจะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ เขาตายไป สิ่งที่เขาทำนั้นก็เป็นบุญกุศลของเขา มันจะติดหัวใจนี้ไป พอติดหัวใจนี้ไป บุญกุศลนี้มันไปคัดเลือก พันธุกรรมของจิตๆ จิตที่มันได้ตัดแต่งพันธุกรรมของมันมามันก็จะมีอำนาจวาสนาของมัน ถ้ามีอำนาจวาสนาของมัน ดูการกระทำที่เราทำกันอยู่นี่ไง

แต่ในปัจจุบันนี้เราตัดแต่งด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ถ้าสติเราเท่าทันขึ้นมา มันจะสวยมันจะหล่อขนาดไหนมันเรื่องของมัน

แต่ถ้าหัวใจมันสงบเข้ามา นี่ไง สัมมาสมาธิไม่มีหญิงไม่มีชาย ไม่มีเราไม่มีเขา ไม่เป็นของผู้ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นขึ้นมาได้ด้วยสติด้วยปัญญาของตน ด้วยสติ ด้วยการควบคุมหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันเป็นสากล

มันเป็นลัทธิศาสนาทุกลัทธิสอนทำสมาธิๆ แต่การสอนทำสมาธิของเขาด้วยมิจฉาทิฏฐิ ด้วยความเห็นผิด สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี พอจิตมันสงบเข้ามามันก็ว่านั่นคือเป้าหมาย คือผลของเขา ผลของเขา เห็นไหม สมาธิคือสากล คือสากลคือจิตเดิมแท้ คือหัวใจของคน กายกับใจๆ ไง สิ่งที่เป็นวัตถุธาตุและสิ่งที่เป็นนามธรรม

สิ่งที่เป็นนามธรรมคือธาตุรู้ ธาตุจิตวิญญาณที่วิทยาศาสตร์พยายามพิสูจน์แล้วโต้แย้งกันมาตลอดระหว่างศาสนากับวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มันต้องเป็นวัตถุที่คำนวณได้ ที่คาดหมายได้ แต่หัวใจของเรามันปลิ้นมันปล้อน กิเลสนี้ร้ายกาจนัก กิเลสนี้มันจินตนาการได้ร้อยแปดพันเก้า ของไม่มีมันก็คิดให้มี ทุกข์ไม่มีมันก็เอามายึดไว้ถือไว้ ไม่มีสิ่งใดเลยมันก็สร้างขึ้นมาจนมันมีขึ้นมาได้...วิทยาศาสตร์งง วิทยาศาสตร์สู้ไม่ได้

แล้วถ้ามันสงบเข้ามาๆ สงบที่ไหนล่ะ มันสงบในหัวใจของมันใช่ไหม ถ้ามีความรู้สึกนึกคิด ถ้าใจมันสงบเข้ามา ที่ว่ามันละเอียดขึ้น ที่ว่า เราปรารถนาว่าทำบุญแล้วต้องได้บุญ ทำบุญแล้วได้มากมายมหาศาล ทำบุญแล้วต้องได้สมความปรารถนา

สมความปรารถนาเพราะเอ็งปรารถนาไม่เป็น เอ็งปรารถนาผิด เอ็งปรารถนาสิ่งที่เป็นวัตถุธาตุ เอ็งปรารถนาสิ่งที่เป็นวัตถุภายนอก เอ็งปรารถนาสิ่งที่มันเป็นอนิจจัง เอ็งปรารถนาสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่เป็นไปได้ล่ะ

จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดเอง เราทุกข์เอง เราลำบากเอง เรามีปู่ย่าตายาย เรามีพ่อมีแม่มีลูกมีหลาน นี่เราเห็นมาด้วยกัน พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตที่เกี่ยวเนื่องกันมา ถ้ามันจะสุขมันจะทุกข์ มันจะสุขทุกข์ที่นี่ไง ศาสนาสอนมาที่นี่ไง

นี่ไง มันจะหล่อมันจะสวยขนาดไหนเรื่องของมัน หัวใจมันสูงหรือต่ำ หัวใจของมันดีงามหรือไม่ดีงาม ถ้าหัวใจมันดีงามนะ นี่ไง สังคมจะร่มเย็นเป็นสุข สังคมร่มเย็นเป็นสุขนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์เดียวอยู่โคนต้นโพธิ์นั้น สอนสามแดนโลกธาตุตั้งแต่พรหมลงมาเลย นี่ถ้าหัวใจที่มันประเสริฐ หัวใจดวงเดียวเท่านั้นมีค่ามหาศาล มีค่าเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของศากยบุตรพุทธชิโนรส นี่มันมีคุณค่าอย่างนั้น

เราเกิดมา เราเกิดมา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเกิดมามีรัตนตรัย พระรัตนตรัยเป็นพินัยกรรมๆ ไง เป็นพินัยกรรมให้ชาวพุทธไว้ทุกๆ คนไง แล้วชาวพุทธก็แบกทุกข์ไว้ไง แล้วพินัยกรรมนี้ก็ไม่รู้ ไม่ค้น ไม่แสวงหาไง

ถ้าพินัยกรรม อริยสัจ สัจจะความจริงของตนไง ได้มรดกตกทอดมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง “ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ จะเป็นศาสดาของเธอ”

ศึกษากันก็เป็นมดแดงเฝ้าพวงมะม่วง ของกูๆ ของกูด้วยนะ พอศึกษามาแล้วนะ เวลา ๙ ประโยคผิดหมด นู่นก็ผิด นี่ก็ผิด ของกูไง ห้ามแปลออกนอกเรื่อง ห้ามมีความรู้มากกว่านี้

นี่ไอ้มดแดง เฝ้ามะม่วงแล้ว ไม่ได้กินมะม่วงแล้ว ยังของกูๆ ห้ามคนอื่นแยกแยะคิดนอกกรอบ คิดให้มันเป็นความจริง คิดสัจธรรมนะ ของกูๆ ศึกษามาของกูๆ ไม่มีเลย

แต่ของเรา เราศึกษาขึ้นมา เราค้นคว้าของเรามา เราปฏิบัติขึ้นมา มะม่วงก็ได้กินมะม่วง มะม่วง สอยมาเลย

นี่ว่าของกูๆ ห้ามสอยห้ามแตะ นี่เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธพจน์ๆ ห้ามขยายความ ห้ามทั้งสิ้น

เราก็ไม่ได้ขยายความ แต่เราทำความเข้าใจในใจของเรา ถ้าเราทำความเข้าใจของเรา รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสของธรรมๆ พอรสของธรรมมันเท่าทันกิเลสของตนไง เวลากิเลสมันก็คาดก็หมายไปหมดน่ะ โอ๋ย! รู้แจ้งเห็นจริงไปหมด

รู้แจ้งเห็นจริงตามแนวที่พระพุทธเจ้าสอน รู้แจ้งเห็นจริง ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติใครๆ ก็รู้จักทั้งนั้นน่ะ แต่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันไม่รู้จักของมัน เวลาธรรมชาติการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีสิ่งใดขับดัน มันมีอะไรเป็นต้นเหตุ สิ่งใดเป็นต้นเหตุแล้วอะไรไปเกิด แล้วเกิดมาแล้วเป็นใคร

หลวงตาท่านสอนว่า ตายแล้วสูญๆ ตายแล้วสูญ นั่งอยู่นี่คือใคร ไอ้คอคอดๆ นี่

ตายแล้วสูญ ถ้ามันสูญคือมันไม่มี มันไม่มีแล้วใครมาเกิด แล้วเกิดมาอย่างไร เกิดมาแล้วแบกทุกข์แบกยากอยู่นี่ไง พอเกิดมาแล้วเรามีบุญวาสนาแค่ไหน

ถ้ามีบุญวาสนามากขึ้นมา เราไปวัดไปวา วัดหัวใจของเราไง ถ้าวัดหัวใจของเราพิจารณาที่นี่ ทำหัวใจของเราให้มันดีงามขึ้นมา ถ้ามันดีงามขึ้นมา ดีงามขึ้นมามันวางหมดน่ะ รูปอันวิจิตร กลิ่นอันวิจิตร ธาตุอันวิจิตร สิ่งวิจิตรมหาศาลในโลกนี้ไม่ใช่กิเลส ของดีงามสูงส่งขนาดไหนในโลกนี้ไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากของคนต่างหาก

ไอ้หัวใจที่คันๆ ไอ้ที่อยากได้อยากดีอยากเด่นนั่นน่ะคือกิเลส แล้วตัวมันเองมันก็ไม่มีความดีพอที่มันจะยึดถือมันได้ มันถึงได้มองไปข้างนอก ยศถาบรรดาศักดิ์ มันดูแต่แก้วแหวนเงินทองว่าเป็นของมันๆ ไง ตัวมันเองมันไม่เห็น ตัวมันเองมันไม่รู้จัก

รูป รส กลิ่น เสียงอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากในใจของคนต่างหากคือกิเลส

ถ้ามันเป็นกิเลสขึ้นมา แล้วเอ็งเห็นไหม เห็นแต่กิเลสคนอื่นนะ ความชั่วคนอื่นเห็นทุกคน แต่ความชั่วของเราไม่มีใครเห็น แล้วไม่สนใจจะเห็น แล้วไม่สนใจจะค้นคว้า ไม่สนใจที่จะแสวงหา แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์

เวลาพระองคุลิมาล เห็นไหม “สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”

นั่นน่ะจะไปเอาองคุลิมาล องคุลิมาลยังไล่ตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”

นี่คือการเคลื่อนไหวของร่างกาย การเคลื่อนไหวของโลก เราหยุดแล้ว เธอต่างหากไม่หยุด

วิ่งอยู่นี่ หยุดแล้ว เอ็งวิ่งไล่ตามไม่ทัน เอ็งไม่หยุด เฮ้ย! หยุดอะไร วิ่งไม่ทันอยู่นี่

เราหยุดทำความชั่ว เราหยุดเห็นแก่ตัว เราหยุดการหลงใหลในความคิดของตน

องคุลิมาลวางดาบเลยล่ะ นี่เวลาคนมีสติไง

นี่ไง ความชั่วคนอื่นเห็นหมด ความหยาบความผิดพลาดของคนอื่นเห็นทุกคนน่ะ แต่ในใจมันไม่รู้จัก ในใจมันไม่เห็น ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาว่าของกูๆ ของกูเพราะอะไร

เพราะกูได้ใบประกาศมา ถ้ากูพูดผิด เดี๋ยวใบประกาศกูไม่มีค่า

ของกูๆ ของกูไม่ได้อะไรเลย ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย รู้ รู้ในใจอันนั้น ความจริงในใจอันนั้น แล้วสัจจะในใจอันนั้น สัจจะความจริงอันนี้ไง

ฟังธรรมๆ ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนา จะบอกว่า “ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ”

บุญอะไร บุญต้องรู้จักตัวเองสิ ทำบุญร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง มีศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง ทำสมาธิได้ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง

ทำบุญร้อยหนพันหนนะ กับที่ความสงบระงับของเรา ศีลที่เราบริสุทธิ์มีคุณค่ามากกว่า แล้วศีลที่บริสุทธิ์ ที่เราเป็นคนดีมาก เราเป็นคนยอดเยี่ยม เป็นคนต่างๆ ร้อยหนพันหนก็ไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง เพราะมันรู้จักสุขจริง มันรู้จากใจของมัน

แล้วถ้าใจของมัน ใจของมันถ้าปัญญามันเกิดที่นั่น เพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วปัญญาเกิดบนจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันสำรอกมันคายจิตดวงนั้นน่ะ

นี่มีสมาธิร้อยหนพันหน มีสมาธิร้อยหนพันหนมันก็ภาวนาไม่เป็นน่ะ มีสมาธิร้อยหนพันหนก็ใช้ปัญญาไม่ได้ มีสมาธิร้อยหนพันหน มันเหมือนฉีดยา มันไม่ได้ฉีดยาเข้าร่างกาย มันไม่ได้ฉีดยาที่กล้ามเนื้อ มันฉีดยาไปที่ไหนล่ะ แล้วมันจะให้ผลกับจิตดวงนั้นได้อย่างไรล่ะ

แต่ถ้ามีสมาธิร้อยหนพันหน ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง ผู้นั้นเป็นผู้ฉลาด ฉลาดในอะไร ฉลาดในการเอาตนพ้นจากทุกข์ ฉลาดในการเอาตนพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ฉลาดมากๆ ฉลาดสุดๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์รื้อตรงนี้ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือรื้อสัตว์พ้นออกจากวัฏฏะเป็นวิวัฏฏะ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เห็นไหม

นี่พระพุทธศาสนาไง พระพุทธศาสนาที่มีคุณค่า มีคุณค่าอย่างนี้ แล้วเราเป็นชาวพุทธไง เราเป็นชาวพุทธ เรานับถือพระพุทธศาสนา แล้วพระพุทธศาสนานี้มีคุณค่ามาก แต่พวกเรามองกันไม่เห็นไง ไปมองเห็นแต่พระหัวโล้นๆ องค์นั้นก็ไม่ดี องค์นี้ก็ไม่ดี ยิ่งไอ้หงบนี่ยิ่งด่าเขาทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่มีใครดีสักคน นี่ไง คนอื่น

แต่เอ็งยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ เอ็งยังโดนกิเลสลากไปนะ เอ็งตั้งแต่เกิดมาไม่มีการกระทำ ไม่มีการประพฤติปฏิบัติ ไม่มีการค้นคว้าในใจของตน เอ็งจะเสียชาติเกิด เอวัง