เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ก.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ฟังธรรมะนะ ฟังธรรมๆ ฟังธรรมมันเป็นสัจจะ สัจจะที่ทุกคนต้องแสวงหา ความแสวงหา เห็นไหม ผลของวัฏฏะๆ การเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดา นี่ผลของวัฏฏะ

การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา แต่สัจธรรมๆ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วหัวใจที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายมันก็อยู่กับเรานี่ แต่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันไว้ไง

เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำไว้ไม่ใช่ครอบงำเรื่องธรรมดานะ มันครอบงำเป็นครอบครัวของมารไง มารมันมีพญามาร ลูกหลานของมาร

เวลาลูกหลานของมาร เวลาเราอยู่ทางโลก ไอ้นั่นมันแค่เด็กๆ แค่ลูกหลานของมัน แค่มาขัดแข้งขัดขาในชีวิตประจำวันของเรา เราก็ทุกข์เราก็ยากของเราอยู่แล้ว เวลาเราทุกข์เรายากของเราอยู่แล้ว เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นสัจจะเป็นความจริงๆ

เวลาความจริงมันใคร่ครวญแล้ว มันวิเคราะห์วิจัยของมันแล้ว มันก็ได้รับผล รับผลของการวิเคราะห์วิจัยในสัจธรรมอันนั้น เรื่องของลูกของหลานมัน พอเรื่องของลูกของหลานมัน เราเท่าทันมัน มันก็สบายใจ มันปล่อยวางๆ ไง ความปล่อยวาง ปล่อยวางแบบโลกๆ ไง โลกๆ เพราะอะไร เพราะเรายังมีตัวตนของเราอยู่ไง เพราะเรายังอยู่กับโลกเขา เรายังแข่งขันชิงดีชิงเด่นกับเขา เรายังมีโอกาสไง

แต่เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลาไปวัดไปวาขึ้นมา เราไปปฏิบัติ เราตัดขาดจากโลก ตัดขาดจากโลกไปสู้กับตนเอง เวลาไปสู้กับตนเอง เห็นไหม

เวลาวันพระ วันพระ วันโกนขึ้นมา โดยปกติของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ เขาเอาเข้มข้นขึ้นไป ปกติมันก็ภาวนาอยู่แล้ว ภาวนาอยู่แล้วเพราะอะไร

เวลาทำหน้าที่การงานขึ้นมาเราก็แสวงหาผลประโยชน์ของเราใช่ไหม เราต้องการผลประโยชน์ เราต้องการโอกาส เราต้องการกระทำของเราเพื่อประสบความสำเร็จของเรา

เวลาเราไปประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพื่อหัวใจของเรา แต่เพื่อหัวใจของเราไง

เวลาทางโลกเราได้แข่งขันกับเขา นั่นเป็นผลประโยชน์ของเรา เป็นอำนาจวาสนาของเรา ถ้าประสบความสำเร็จ

ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันจะเป็นผลของเราๆ

ทางของฆราวาสเป็นทางคับแคบ อยู่กับโลก เราแข่งขันกับเรื่องทางโลก แล้วเวลาเราอยากจะประพฤติปฏิบัติ ลูกหลานของมาร ลูกหลานของมารบอกว่า เราเป็นคนดี สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน เราทำบุญกุศลของเราทุกวันๆ

นี่ไง สิ่งที่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับพระอานนท์ “อานนท์ เธอบอกเขานะ ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด”

การปฏิบัติบูชาขึ้นมามันวิเคราะห์วิจัยเข้าไปถึงหัวใจของตน ถ้าหัวใจของตน แม้แต่ถ้าเรามีศีลมีธรรมในใจของตน เราอยู่กับโลกขึ้นมา เรามีขวัญและมีกำลังใจที่ดี ถ้าเรามีขวัญและกำลังใจที่ดี เราทำสิ่งใดมันอ่านวิเคราะห์ทางโลกขาดหมด

แต่ถ้าขวัญและกำลังใจเราไม่ดี ขวัญและกำลังใจของเราโลเล ขวัญและกำลังใจโลเล สังคมครอบงำ เราเป็นขี้ข้า เราแบกรับ เราแบกโลก

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราก็อยู่กับโลกนั่นแหละ เราต้องอยู่กับโลกเพราะเราเกิดมาจากโลก เรามีพ่อมีแม่มีชาติมีตระกูลทั้งสิ้น เราทำหน้าที่การงานของเราก็เพื่อหัวใจของเรา

แต่เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมาในหัวใจของเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรเทาทุกข์ๆ ไง

แล้วเวลาเราแสวงหาๆ เราน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราอยู่ทางโลกเราไม่มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยากจะเป็นพระอรหันต์ อยากจะสิ้นจากทุกข์ อยากจะวิมุตติสุข เวลามันสุข มันสุขแท้ๆ ไง เวลามันสุข มันสุขความเป็นจริง เห็นไหม

แต่เวลาสุขแท้ๆ ขึ้นมา เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารสจืด รสชาติจืดมีคุณค่าในตัวของมันเอง แต่รสทางโลก รสทางโลกมันมีความทุกข์ความระทม มันมีความโศกมีความเศร้า มันมีความหงอยความเหงาน่ะ รสอย่างนั้นมันชอบ ถ้ารสอย่างนั้นมันชอบ เห็นไหม

ทางของฆราวาสเป็นทางคับแคบ คับแคบก็ไปอยู่กับความโศกความเศร้าความหมักหมมในหัวใจอันนั้น เวลาเราอยากจะประพฤติปฏิบัติ ทางของสมณะเป็นทางที่กว้างขวาง ฉันอาหารแล้ว ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเราทานอาหารแล้ว เวลาเข้าไปถึงเรา เพราะว่าอะไร เพราะวัดปฏิบัติ วัดปฏิบัติเขาข้อวัตรปฏิบัติ วัตรปฏิบัติ วัดไม่ร้างๆ

คนเรามันมีข้อวัตรปฏิบัติของเขา เรามีกติกาของเขา ๒๔ ชั่วโมงของเรา ในการทำงานของเราก็งานเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา คิดว่าเป็นหน้าที่การงานเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ผลประโยชน์อะไร ผลประโยชน์ของหัวใจไง

ถ้ามันหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธน่ะ มีสติปัญญาเท่าทันใจของตน ถ้าใจของตนมันสงบระงับเข้ามามันจะมีคุณค่าในใจของมัน

แต่เวลาอยู่ทางโลกมันมองไม่เห็น เพราะอะไร เพราะเงาของใจๆ อาการความรู้สึกนึกคิดมันเกิดจากจิตไง ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์เกิดจากจิตทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่จิต

ถ้ามันเป็นจิตนะ เวลาอารมณ์ที่มันทุกข์มันยากขึ้นมา เวลามันหายไปแล้ว มันหายไปไหน ถ้ามันเป็นจิต ถ้ามันคิดสิ่งใดแล้ว เวลามันหายไปแล้ว หัวใจต้องหายไปด้วย ถ้ามันคิดถึงสิ่งนั้นแล้วถ้ามันเป็นจิต มันต้องตายไปพร้อมกับความคิดนั้น ถ้าความคิดนั้นมันตายไปแล้ว แต่ทำไมเรายังมีชีวิตอยู่ล่ะ แสดงว่ามันไม่ใช่อันเดียวกัน มันไม่ใช่อันเดียวกันเพราะอะไร เพราะว่ามันหายไปแล้วเรายังอยู่ไง

แต่เวลามันมา มันครอบงำขึ้นมา มันบีบคั้นขึ้นมา มันบีบคั้นหัวใจเราหนักเราหนานั่นไง เพราะเราไม่เห็นใจของเราไง เราเห็นแต่อารมณ์ไง เห็นแต่สิ่งที่มันป้อนให้ไง เห็นสิ่งที่มันชักนำมันไปไง

นี่เวลาจะประพฤติปฏิบัติเขาปฏิบัติอย่างนี้ แต่เวลาปฏิบัติอย่างนี้ เวลาทางโลก ทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ เขาเรียกลาภ ลาภที่ควรได้ ลาภที่ควรได้มันเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องดีงาม ลาภที่ควรได้ ลาภที่ไม่ควรได้ โดยทุจริตสิ่งใดเราไม่เอา เราพยายามหลีกเร้นไง เพราะอะไร

เพราะกุศล อกุศลไง เราต้องการความเป็นกุศล เราต้องการเป็นมงคลชีวิต เราต้องการขวัญและกำลังใจที่ถูกต้องดีงาม ถ้ามันเป็นลาภที่ควรได้ ลาภที่มันเป็นธรรมาภิบาล ลาภที่มันถูกต้องดีงามขึ้นมา ยิ่งมีมากเท่าไรมันยิ่งส่งเสริมคนนั้นให้เป็นคนดีงามขึ้นมา

แต่ถ้าลาภที่ไม่ควรได้ ไปได้สิ่งใดมา สิ่งที่ได้ลาภนั้นมา แต่ความติฉินนินทา การนินทาต่างๆ มันจะตามมาด้วย สิ่งที่ไม่ควรได้เราไม่เอา เราจะเอาแต่สัมมาทิฏฐิ เอาแต่ถูกต้องดีงามของเราเท่านั้น นี่พูดถึงทางโลกที่เราทำของเราไง

ถ้าเรามีสติมีปัญญาอย่างนี้มันมีขวัญและกำลังใจ แล้วทำด้วยความชื่นบาน ใครมีมากมีน้อยไม่สำคัญ สำคัญที่หัวใจมันมีความสุขของมัน สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องของอำนาจวาสนาของคน

เวลามาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันสงบระงับเข้ามาหรือไม่ ถ้ามันสงบระงับเข้ามามันมีแต่ความฟุ้งซ่าน มันมีแต่ความกังวล มันมีแต่ความกดดันทั้งสิ้น กดดันเพราะอะไร เพราะอยากได้

เราพยายามหนีครอบครัวของมาร ลูกหลานของมารที่มันยั่วมันเย้าเรา เราก็ล้มลุกคลุกคลานไปแล้ว แล้วเราจะมาหาหัวใจของเราให้เจอไง ถ้าหาหัวใจของเราให้เจอขึ้นมา เวลาจิตมันสงบเข้ามามันเป็นความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ มหัศจรรย์ ของที่มันอยู่กับเราน่ะ หัวใจมันมีคุณค่ามาก หัวใจนี้มหัศจรรย์มาก หัวใจนี้เป็นสิ่งที่มีชีวิตไง

ทางการแพทย์ ร่างกายของเรามันมีพลังงาน มันมีไฟฟ้า มันมีทุกอย่างเลย แล้วเวลาหัวใจที่มันสงบระงับเข้ามาเป็นตัวของมัน มันจะมีคุณค่ามากกว่าทางการแพทย์ที่เขามีการค้นคว้าขนาดไหน

ทางการแพทย์ เวลาคนตายไป คนเกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ไง ดิน น้ำ ลม ไฟ พลังงานที่มันเผาผลาญอยู่นั่นน่ะ ดูสิ คลื่นสมอง เวลาพลังไฟฟ้าที่ควบคุมร่างกายนี้ไง เวลาความคิดไง นี่มันเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ ถ้าจิตสงบมามันไม่เกี่ยวเลย มันเป็นเรื่องของนามธรรม เรื่องของจิต จิตที่มันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะที่มันเป็นเราอยู่นี่ ที่ว่ามีคุณค่า มีศักดิ์ศรี มีสิ่งที่คนยกย่องสรรเสริญ แต่มันทุกข์มันยากทั้งนั้นน่ะ

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ชนะตนคนเดียวประเสริฐที่สุด

ชนะเรานี่ ชนะเรา ชนะครอบครัวของมารทั้งหมดเลย เวลาจิตสงบๆ ขึ้นมา จิตสงบขึ้นมากิเลสมันสงบยุบยอบไปชั่วคราว พอจิตสงบเข้ามามันเป็นเอกเทศ มันเป็นศักดิ์ศรี มันเป็นธาตุรู้ เป็นจิตของเราที่เด่นขึ้นมาเป็นอิสระ

พอเป็นอิสระขึ้นมามันพ้นจากครอบครัวของมารชั่วคราวๆ เพราะชั่วคราวแค่นี้ไง ทำต่อเนื่องของเราๆ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ ผู้ที่ปฏิบัติปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอเป็นสมาธิ จิตมันตั้งมั่นเป็นอิสรภาพ มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ “โอ้! นิพพานเป็นเช่นนี้เอง นิพพานเป็นเช่นนี้เอง”

นิพพานอะไรของเอ็ง นั่นน่ะตอของจิต นั่นน่ะตัวมันแท้ๆ เลย แต่ตัวมันแท้ๆ มันต้องเอามาวิเคราะห์วิจัยแยกแยะของมัน เห็นถูกเห็นผิดขึ้นมาแล้วมันจะปลดเปลื้องมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา ส้ม เปลือกส้ม เปลือกส้มต้องปอกทิ้ง เนื้อส้ม เนื้อส้มถ้าเขาคั้นนะ เขาเอาแต่น้ำ แม้แต่กากเขาก็ทิ้ง

นี่ก็เหมือนกัน วิเคราะห์วิจัยขึ้นมา สิ่งที่วิเคราะห์วิจัยขึ้นมา สิ่งที่มันหมักหมมมาในหัวใจไง ดูสิ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา”

เปลือกไข่ อวิชชาที่มันครอบงำหัวใจนี้ แล้วมันเป็นธรรมชาติ เป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นสัจจะข้อเท็จจริง ไม่มีใครไปตบแต่งไปสร้างขึ้นมา เพราะมันเป็นธรรมชาติที่มันมีอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านตรัสรู้ท่านเจาะเปลือกไข่

เปลือกไข่ๆ เห็นไหม ถือพรหมจรรย์ทางโลก ถ้าถือพรหมจรรย์ ไข่ไม่มีเชื้อ ถ้าเป็นของเราไข่มีเชื้อ เรามีครอบครัวของเรามันมีเชื้อมีไขขึ้นมา มันสร้างภพสร้างชาติของมันไป

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันไปพบไปเห็นของมัน มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์อย่างนั้นน่ะ แล้วถ้ามหัศจรรย์ของมันนะ มหัศจรรย์ นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะตน รู้ในหัวใจของคนนั้น

ผู้ที่เป็นชาวพุทธ ถ้าวัดบ้าน วัดบ้านไปวัดไปวาก็เป็นพิธีกรรม เป็นวัฒนธรรมประเพณี คำว่า “วัฒนธรรมประเพณี” มันก็เป็นกระพี้เป็นเปลือกให้ต้นไม้นี้เข้มแข็ง แล้วเปลือกต้นไม้มันมีมากกว่า เพราะมันอยู่รอบนอก

นี่ก็เหมือนกัน ประเพณีวัฒนธรรมรักษาพระพุทธศาสนาไว้ ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานมา สงฆ์ไม่ขาดจากโลกนี้เลย ถ้าสงฆ์ขาดจากโลกนี้ บวชมาไม่ได้ ดูสมัยโบราณ สมัยอาณานิคม เวลาลังกาเขาไม่มีพระ เขาก็มาขอจากสยาม เวลาสยามขึ้นมา ยุบยอบขึ้นมา ก็ไปขอจากลังกา นี่มันต่อเนื่องกันมาๆ

นี่พูดถึงว่าปัญหาทางโลก โลกเป็นประเพณีวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาๆ เวลาสืบต่อกันมา ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าใครมีศีลแล้วมันเป็นสัมมาทิฏฐิความถูกต้องดีงามขึ้นมา มันทำสิ่งใดแล้วไม่เกิดหวาดเกิดระแวง เวลาเราพิจารณาของเรา เรามีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา มันตกใจ มันหวาดมันระแวง มันวิตกกังวลไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าศีลเราบริสุทธิ์ เราทำถูกต้องดีงาม ถูกต้องดีงามโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถ้าเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในสังคมนั้นมันบิดเบี้ยวไป เราก็แสวงหาของเรา เวลามีครูบาอาจารย์ ท่านทัฬหีกรรมๆ มาบวชซ้ำๆ บวชซ้ำเพื่อหาความบริสุทธิ์สะอาดของตน หาความแน่นอนของตน เพราะความแน่นอนของตน แน่นอนจากเปลือก แน่นอนจากประเพณีวัฒนธรรม แล้วถ้ามาฝึกหัดปฏิบัติธรรม

วัดป่า วัดบ้าน วัดบ้านก็ศึกษาเป็นประเพณีวัฒนธรรมขึ้นมา ขนาดเป็นประเพณีวัฒนธรรมนะ เป็นที่แหล่งศึกษานะ ศึกษานี้เป็นปริยัติ ศึกษามาให้เราเข้าใจว่าพุทธะเป็นอย่างไร พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร นี่ไง ไปทำบุญๆ ก็ทำบุญกับพระใช่ไหม พระเป็นเนื้อนาบุญของโลก

พระที่เป็นครูบาอาจารย์ของเราที่อยู่ในป่าในเขาท่านไม่สนใจเรื่องอย่างนี้เลย ท่านหลบท่านหลีกของท่านด้วย ท่านไม่ต้องการสิ่งนั้นให้มาทับถม ถ้าทับถมขึ้นไปมันติดมันข้อง เวลามันติดมันข้อง มันแสวงหาขึ้นมานะ กิเลส ลองไปเขี่ยมันสิ ไปส่งเสริมมันสิ โอ๋ย! มันฟู ฟู ฟูเลยล่ะ ท่านตัดทิ้ง ตัดทิ้ง ตัดทิ้ง เพราะอะไร

เพราะเราต้องการสิ่งที่ดีกว่านั้น เราต้องการชนะหัวใจของเราเอง ธุดงควัตรๆ อยากสิ่งใด ไม่เอาอย่างนั้น

หลวงปู่หล้า หลวงปู่หล้าอยู่หนองผือ ธุดงค์ด้วย แล้วสิ่งใด เขาใส่บาตรสิ่งใดมา ถ้าเป็นอาหารถูกต้องดีงามท่านจับโยนทิ้ง โยนทิ้ง โยนทิ้งเลย ถ้ามันอยากกิน ไม่ให้กิน

ความอยากเกิดจากเรา นี่กิเลสเวลามันเกิด นี่ไง อาการของจิต ความคิดไม่ใช่จิต เวลาความรู้สึกอารมณ์มันเกิดขึ้น ไม่เอา ไม่เอา โยนทิ้ง โยนทิ้ง

เราทำได้หรือเปล่า นั่นน่ะเขาทำเพราะอะไร ประชดประชันหรือ...ไม่ใช่

ปฏิคาหกนะ อยู่ในป่าในเขา สิ่งที่เขาแสวงหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาทั้งชีวิต แล้วเขาทำของเขาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ใส่บาตรมา ตกบาตรมา แล้วเอาของเขาไปปาทิ้งทำไม

เราเอาของเขาปาทิ้งเพื่อควบคุมกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันชอบ สิ่งนั้นมันเกิดขึ้น

นี่ไง เวลาฉลองศรัทธาๆ

นี่ฉลองธรรม สัจธรรมที่มันเกิดขึ้นไง สิ่งใดที่ปรารถนา สิ่งใดที่ต้องการ โยนทิ้ง โยนทิ้ง นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านจะมาฝึกหัดตัวท่านมาให้มันเข้มแข็งสิ่งนั้นขึ้นมา

พอมันโยนทิ้งแล้ว ถ้ามันชนะ มันเห็นโทษของมัน เห็นโทษอะไร เพราะไปบำรุงปอบ กิเลสตัณหาความทะยานอยากคือความอยากนั้น แล้วไปบำรุงบำเรอมัน ครั้งต่อไป “แหม! ฉันเป็นพระที่มีชื่อเสียง เขาต้องให้เป็น ๒ เท่า ๓ เท่า” ปอบตัวนั้นมันจะใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น

เวลาท่านโยนทิ้งๆ ท่านไม่ให้ปอบมันกิน พอไม่ให้ปอบมันกินแล้ว พอเข้าทางจงกรมมันเสียดาย ตอนเช้าเห็นแล้วโยนทิ้งไปก็ยังคิดแล้วรอบหนึ่งนะ พอฉันเสร็จแล้วไปทางจงกรมมันยังเสียดาย “แหม! ถ้าตอนนั้นถ้าได้เอามาเปิดดูมันคืออะไร แล้วฉันแล้วมันจะอร่อยแค่ไหน” มันยังตามไปหลอกในทางจงกรมอีกน่ะ นี่มันต้องพิจารณาของมัน เห็นไหม นี่กว่าจะชนะด้วยเหตุด้วยผลไง

ถ้าชนะด้วยเหตุผลนะ เวลามันปล่อยวางหมดเลย

ถ้าฉันไปแล้ว ตอนนี้มันก็อยู่ในกระเพาะ กระเพาะมันก็ย่อยไปหมดแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว เอ็งจะไปคิดอะไรของเอ็งอีกน่ะ ถ้าปัญญามันทันๆ เห็นไหม นี่เวลาเขาจะฝึกหัดฝึกฝนของเขาเพื่อประโยชน์กับเขา

ธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลา เป็นเครื่องจะให้เราจับกิเลสได้ เป็นเครื่องให้เรารู้เราเห็นเท่าทันมัน ถ้าไม่เท่าทันมันก็หลอกอยู่อย่างนี้

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราอีกไม่ได้เลย”

ความคิด แล้วดำริ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา” เราดำริ จะคิดอะไรมารมันก็เกิดมาเบื้องหลัง แล้วเราจะทันมันไหม

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสกลับ ทวนกระแสกลับให้ไปเห็นมันไง

นี่ไม่รู้จักกิเลส ไม่เห็นกิเลส จะฆ่ากิเลสได้อย่างไร

“อู้ฮู! เป็นพระอรหันต์ชำระล้างกิเลส นอนตื่นขึ้นมา”

อย่างนั้นเวลาคนผ่าตัดเขาวางยา พอมันฟื้นจากสลบมันก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน

ไม่มีหรอก ที่ไหนไม่มีเหตุ ที่นั่นไม่มีผล ไม่มีการกระทำ ไม่รู้เท่าทันมัน จะเอาผลมาจากไหน

ถ้ามันรู้เท่าทันกิเลสแล้วจับกิเลสขึ้นมามันพลิกมันแพลงไง ยถาภูตัง ฆ่ากิเลสมันตายไป เวลามันเกิดญาณทัสสนะเห็นว่ากิเลสตาย

แต่เขาบอกไม่มี ไม่รู้จัก นี่ไง ปฏิบัติธรรม รู้ธรรม มีคุณธรรม

ภาคปริยัติ การศึกษามา ศึกษามาเกิดจินตนาการต่างๆ มันเรื่องของเขา อันนี้มันก็อยู่ที่วาสนานะ วาสนาของคนที่มีอำนาจวาสนาเขาจะตรวจสอบๆ ตลอด อย่างเช่น หลวงตาท่านไปอยู่บ้านผือ เวลามันพิจารณาไป เดินจงกรมอยู่มันปล่อยวาง ปล่อยอารมณ์หมดเลย แล้วก็เสวย คือว่ามันก็คิดแล้วมันก็ปล่อย “อย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ”

ท่านบอกว่าไม่เอา คำว่า “อย่างนี้” คือสงสัย คำว่า “สงสัย” นะ นี่เขาตรวจสอบ

แม้แต่ว่ามันผุดขึ้นมาในกลางหัวใจเลยนะ “อย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ เราเป็นพระอรหันต์แล้วนะ เราจบกิเลสแล้วนะ”

ถ้าเป็นคนที่มีวาสนาเขาจะตรวจสอบ ไม่เชื่อ มันไม่มีเหตุผลน่ะ ถ้ามันจะเป็น เป็นอย่างไร มันจะเป็น เป็นเพราะอะไร มันได้จับต้องอะไร แล้วมันได้ทำลายอะไร แล้วมันวางอะไร มันได้สมุจเฉทฆ่าอะไร อะไรที่มันขาดไป สิ่งที่มันขาดไปๆ กิเลสมันขาดไปมันขาดอย่างไร

ยถาภูตังมันขาด เกิดญาณทัสสนะ เกิดญาณหยั่งรู้ในตัวของมันเอง นี่ถ้ามันเป็นจริง

พลังงานไง ดูสิ เวลาเขาเจาะน้ำมันดิบ เวลาถ้ามันเจอที่ไหนมันพุ่งขึ้นมาเลย ถ้าหาไม่เจอ เจาะไม่ได้ ไปเจาะเถอะ แม้แต่น้ำจืดยังหาได้ยากเลย อย่าว่าแต่น้ำมันดิบ

นี่ก็เหมือนกัน เกิดยถาภูตัง เกิดญาณทัสสนะ นี่ไง เพราะเจาะโดนที่ไง เพราะสัจธรรมมันถึงที่ของมัน มันเข้าไปสู่สัจธรรมอันนั้น เห็นไหม ถ้าเข้าสู่สัจธรรมอันนั้น มันเกิดจากใจอันนั้น

แล้วมันเกิดมาจากไหนล่ะ

ตำรานะ ก็เป็นพระไตรปิฎก เป็นหนังสือ หลวงตาท่านบอกเลยนะ ปลวกมันยังกินเลย มันกินตำราไปหมดเลย มันยังไม่รู้อะไรเลย

เราศึกษามาก็ศึกษามาแค่ตำรา เวลามันเจาะมากลางที่หัวใจนี้ไง เราขวนขวายมาวัดมาวาเพื่ออะไร เพื่อบุญกุศลของเราใช่ไหม นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกฝังไว้ในดิน ฝังไว้ในดิน บุญกุศลที่เราได้สร้างนี้ฝังลงไปในใจนั้น

เจตนาที่มันขวนขวายกันมา สิ่งที่เราแสวงหากันมาแล้วเรามาเสียสละออกไป สิ่งที่เสียสละออกไปคือวัตถุ สิ่งที่ได้มาคือบุญกุศลของเรา แล้วฝังลงไปที่ใจนั้น นี่พูดถึงทาน

ศีล คือความปกติของใจ เวลาภาวนาขึ้นมาเกิดคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ นั่นน่ะใจมันเป็นเองเลย นี่ไง ถ้าใจมันเป็นเอง

จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดในชาติปัจจุบันนี้เราก็เกิดเป็นเรา เกิดเป็นเราเพราะมีบุญกุศลที่ได้ทำมา บุญกุศลที่เกิดในสถานะความเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์นี้มีคุณค่ามาก

แต่ทางโลก การเกิดเป็นมนุษย์แล้วต้องปากกัดตีนถีบ ต้องแสวงหา มันทุกข์ๆๆ ทั้งนั้นเลย แต่ผลของการเกิดมันต้องเกิดอยู่แล้ว เพราะอะไร เพราะมันมีหัวใจ มันมีธาตุรู้ มันมีพลังงาน พลังงานตัวนี้มันต้องไปตามธรรมชาติของมัน

แต่ในปัจจุบันนี้เราก็มาศึกษา ศึกษาแล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสกลับก็กลับเข้าไปสู่พลังงานตัวนั้น เข้าไปสู่พุทธะอันนั้น ถ้าเข้าไปสู่พุทธะอันนั้น แก้ไขที่พุทธะอันนั้นได้ นั้นจะเป็นสมบัติของเรา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นพระไตรปิฎก เป็นตำรับตำราที่เราศึกษาจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก กลางหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น เอวัง