เทศน์พระ

ซากศพ

๑๓ ต.ค. ๒๕๖๒

ซากศพ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


เทศน์พระ วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


เราฟังธรรมะนะ เรายังต้องฟังธรรมๆ กันตลอดไป มันเหมือนอากาศ คนเรามันต้องการอากาศหายใจไง ถ้าไม่มีอากาศหายใจ ๕ นาที สมองตาย คนสูดอากาศที่เป็นพิษก็ตาย นี่พูดถึงเรื่องอากาศนะ ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเป็นสัจธรรม

เวลาหลวงปู่มั่นท่านแสดงธรรม สมเด็จมหาวีรวงศ์ท่านบอกเลย เทศน์มุตโตทัยๆ เทศน์มุตโตทัยก็เรื่องของหัวใจเรานี่แหละ เรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรานี่แหละ แต่เรามองข้ามไปไง เรามองข้ามเป็นของเล็กของน้อย ถ้าสิ่งใดถ้ามันเป็นปืนเป็นหน้าผาต่างๆ มันถึงน่ากลัว สิ่งที่เป็นอนุสัยที่มันนอนมากับใจมันไม่น่ากลัว มันอยู่ในหัวใจของเราไง

ฟังธรรมๆ ฟังธรรมก็ไปมองธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเกิดพายุไง ดูเกิดพายุสิ เวลาเกิดพายุเข้าในญี่ปุ่น พายุเข้า เขาสงบนะ เพราะอะไร เพราะเขามีสติมีปัญญา เขามีวินัย เพราะเขามีวินัย แม้แต่พายุเข้าขนาดไหนนะ เขาก็ป้องกันตัวของเขา

แต่เขาป้องกันตัวของเขา เขาไม่ได้ป้องกันตัวแบบคนตื่นไฟ เจ๊กตื่นไฟๆ ไง เพราะอะไร เพราะเขามีประสบการณ์ของเขา เขามีประสบการณ์ของเขา เขาได้ฝึกฝนของเขา เขามีทักษะของเขา พายุเข้าก็รู้ว่าพายุเข้า แต่เขาไม่ตื่นกลัวนะ เขาเงียบเขาสงบ เขาพร้อมที่จะเผชิญหน้า เขาพร้อมที่จะรับ นี่พูดถึงว่าถ้าการได้ฝึกฝนมาแล้ว

จิตใจที่ได้ฝึกฝนมาแล้วมันจะเป็นจิตใจที่ว่าดีงาม จิตใจที่ดีงามไง ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพราะเหตุนี้ ถ้าฟังธรรมเพราะเหตุนี้นะ เราบวชมา บวชมาในพระพุทธศาสนา บวชมาแล้วด้วยความภูมิใจของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นโรงงานใหญ่ที่ผลิตพระอรหันต์ๆ ไง เรามาบวชเป็นลูกเป็นหลาน เป็นศิษย์ เป็นทายาท เราก็พยายามจะฝึกฝนของเรา พยายามจะฝึกฝนของเรานะ มันเป็นจริตเป็นนิสัย

คำว่า “จริตนิสัยนะ” ความชอบความไม่ชอบต่างๆ ความชอบและความไม่ชอบมันไม่เป็นอาบัติหรอก อาบัติของจิตไม่มี อาบัติคือการกระทำๆ วาจากล่าวเสียดสี พูดจาส่อเสียด พูดจาโกหก สิ่งนี้มันเป็นอาบัติ

แต่อาบัติ ความรู้สึกนึกคิดของเรา เราเป็นปุถุชน คนปุถุชนคนหนามันมีความรู้สึกนึกคิดทั้งนั้นน่ะ ถ้าความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้มันคิดสิ่งใดมา เราก็ตบไว้ๆๆ นี่ไง แต่ถ้ามันตบไม่ได้ มันรุนแรงมา มันก็เป็นวจีกรรม มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม กรรมมันเกิดขึ้นไง แล้วมันมีวจีกรรมกับกายกรรมที่ว่าเป็นอาบัติๆ เพราะมันแสดงออก มันกระทบกระเทือนกับหมู่คณะ

เวลากระทบกระเทือนหมู่คณะ เวลาเราบวชมาแล้วเราก็มีข้อวัตรปฏิบัติของเรา เราก็มีการฝึกหัดของเรา ถ้าฝึกหัดของเรา เห็นไหม ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอด มันจะพัดซากศพเข้าไปฝั่ง

ในทะเลนี้ไม่เก็บสิ่งสกปรกโสโครกไว้ แม้แต่แหแม้แต่อวนที่ชาวประมงเขาไปลืมทิ้งไว้มันยังซัดเข้าฝั่งเลย เวลามันซัดเข้าฝั่ง มันไปพันสัตว์น้ำตายมหาศาลเลย

นี่ซากศพ ซากศพมันเป็นซากศพ มันเป็นซาก มันไม่มีคุณงามความดีอะไรทั้งสิ้น ถ้าไม่มีคุณงามความดีอะไรทั้งสิ้น เห็นไหม

เราบวชมาเป็นพระ บวชเป็นพระขึ้นมาแล้วเป็นพระกรรมฐาน ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น สายบ้านตาดๆ เอาแต่วาจาไปข่มขี่เขา แล้วพฤติกรรมของตนมันมีอะไรไปดีกว่าเขา มันไม่มีอะไรดีไปกว่าเขาหรอก ถ้ามันไม่มีอะไรดีกว่าเขา เอาอะไรไปอวดเขา

นี่ไง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันเป็นพฤติกรรมในใจของเรา ทุกคนรู้หมดน่ะ ความลับไม่มีในโลก คนทำรู้ เอ็งทำอะไรบ้างรู้ทั้งนั้น รู้ทั้งสิ้น แต่ถ้ามันทนไม่ไหวทนไม่ได้ไง มันทนไม่ไหวทนไม่ได้ ทำไปแล้วเป็นอาบัติก็ปลง ถ้าอาบัติหนัก เราอยู่กรรม ถ้ามันตาลยอดด้วนมันก็จบกันไป นั่นมันเป็นเรื่องพฤติกรรมในหัวใจ เห็นไหม

แต่เราบวชมาเป็นพระ บวชเป็นพระ เรามีเจตนา เรามีความตั้งมั่น เรามีความขวนขวายที่จะกระทำของเรา จะได้มากได้น้อยขึ้นมา เห็นไหม ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด แล้วถ้ามันจะไม่เป็นจริงขึ้นมา เราก็มีความมุ่งมั่น มีหัวใจที่จะเผชิญกับความจริง เผชิญกับความจริงได้มากได้น้อยก็ช่างหัวมัน

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูด เดินจงกรมนั่ง สมาธิภาวนาจนน้ำตาไหล “มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ”

“มึงเอากูขนาดนี้” แสดงว่าท่านรู้จักกิเลสไง ท่านรู้จักพฤติกรรมในหัวใจของเรา “มึงเอากูขนาดนี้” ไม่มีใครทำ อยู่ในป่าองค์เดียวใครจะมากลั่นแกล้งเรา ต้นไม้หรือภูเขาเลากามันกลั่นแกล้งเราหรือ ไม่มีใครกลั่นแกล้งเราเลย กิเลสในใจของเราทั้งนั้นน่ะมันบีบคั้นเรา

แล้วเวลามันเห็นพฤติกรรมของมัน “มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ” นี่ถ้าเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่น ถ้าเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์เขาต้องเห็นอย่างนี้ ถ้ามันอยาก หัวใจมันอยาก มันอยากกิน อยากอยู่ อยากใหญ่ อยากโต อยากทั้งนั้นน่ะ “มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ”

แล้วท่านสัญญากับตัวเองไว้ว่า ถ้าวันไหนกูขึ้นคร่อมหลังมึงได้ วันไหนกูทำได้นะ ตอนนั้นจะกระหน่ำให้เต็มที่เลย แล้วท่านก็มุมานะ มุมานะความเพียรของท่าน อดนอน ผ่อนอาหาร มันเป็นเรื่องทุกข์ทั้งนั้นน่ะ

ท่านก็พูดบนศาลาน่ะ อดข้าวมันไม่ทุกข์หรือ เดินจงกรมนั่ง สมาธิภาวนามันไม่ใช่ทุกข์หรือ มันทุกข์ทั้งนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่เรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันบีบคั้นหัวใจ มันทุกข์มากกว่านั้นไง

เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจที่มันบีบคั้น มันเจ็บไหม เจ็บปวดแสบร้อนนะ ถ้าไม่เจ็บปวดแสบร้อนเขาถึงทำลายฆ่าตัวตายกันน่ะ ฆ่าตัวตาย อารมณ์ชั่ววูบ ชักปืนยิงคนอื่นตายแล้วก็ไปติดคุก แค่อารมณ์น่ะ ติดคุก ๒๐ ปี ทำลงไปทำไม เพื่อศักดิ์ศรีไง

นี่ไง แต่ถ้าคนถ้ารู้ทัน อย่างเช่นหลวงตาท่านพูดไง “มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ” ถ้าใครคิดว่า ‘มึงเอากูขนาดนี้’ ได้นะ คนนั้นน่ะเป็นคนแล้ว เพราะอะไร เพราะเราปรารถนาความดีไง แล้วเราพยายามฝืนทน พยายามต่อสู้กับมันไง

แล้วเวลามันเหยียบย่ำหัวใจเรา เราสู้มันไม่ได้ เราสู้มันไม่ได้หรอก คนที่ประพฤติปฏิบัติมานะ เอามือเปล่าๆ ไปสู้กับเสือ เราจะเอาอะไรไปสู้กับมัน เวลามันถีบ มันเหยียบ มันขย้ำหัวใจ เราสู้มันไม่ได้หรอก แต่จะสู้ นี่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ลูกศิษย์หลวงตาพระมหาบัว สู้มันไม่ได้หรอกแต่จะสู้ แล้วพอแต่จะสู้ มันก็ฝืนไง

เราไม่ผิดศีลผิดธรรม ถ้ามันกะล่อนมันปลิ้นปล้อนสิบแปดมงกุฎไง สิบแปดมงกุฎเวลาปากว่าไปอย่างหนึ่ง แล้วมาเข้าหมู่ หมู่เขารังเกียจ แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกัน ถ้าเป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้นมาก็เป็นนานาสังวาส

นี่ก็เหมือนกัน สงฆ์ทั้งคณะ แล้วจะมาให้ซากศพมันมาเย้ยหยันนั่งลอยหน้าลอยตา กูคนพิเศษๆ

คณะสงฆ์ สงฆ์ นี่เป็นฆราวาสมาบวชมา สงฆ์ยกเข้าหมู่ ยกเข้าหมู่ ญัตติจตุตถกรรมสมบูรณ์แบบ พอสมบูรณ์แบบนี่เป็นสมมุติสงฆ์ พอสมมุติสงฆ์ขึ้นมาแล้ว บวชมาแล้วจะเรียนหนังสือก็ได้ จะออกประพฤติปฏิบัติก็ได้ เวลาจะออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะแสวงหาครูบาอาจารย์

ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นสิ่งที่ดีงาม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เขาขวนขวาย เขาก็พยายามจะขวนขวายเข้าไปหาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นกัน ไปหาทำไม ไปหาให้ชี้ในหัวใจของเราไง ไปหาให้บอกแนวทางไง ไปหาให้ชี้ทางบอกประพฤติปฏิบัติไง เขาไม่ได้ชี้ทางเข้าไปสู่ไอ้พวกอามิสสินจ้าง ไปสู่อบายมุข

อบายมุขไม่ต้องไปยุ่งกับมัน อบายมุข อบายภูมิ ห่มผ้ากาสาวพัสตร์แต่ไปวุ่นวายอยู่กับอบายมุข แล้วยังมาลอยหน้าลอยตา ซากศพ มันเป็นซากศพ ธรรมและวินัยเป็นคลื่นในทะเลซัดเข้าฝั่ง ซัดมันออกไป ถ้าซัดมันออกไปนะ ถ้ามันชื่นชมอย่างนั้นไง

มันไม่เหมือนครูบาอาจารย์ของเรา อย่างเช่นหลวงตาท่านว่า ‘หืม! มึงเอากูขนาดนี้เชียวหรือ’ ถ้า ‘หืม!’ คือว่ามันจะฝืนทนแล้ว มันจะตั้งหัวใจ มันจะตั้งสติระลึกรู้แล้วสู้กับมัน มันทุกข์มันยาก อ๋อ! มันทุกข์ยากอย่างนี้ ทุกข์ยากอย่างนี้กำลังมันรุนแรง รุนแรงก็อดนอน ผ่อนอาหาร พยายามเข้าทางจงกรม พยายามข่มมันไว้ก่อน สู้ไม่ได้ก็ข่มมันไว้ สัมมาสมาธินี่แหละ

เขาบอกสัมมาสมาธิเป็นตัวตนๆ นะ

เออ! ก็ตัวตนให้มันหยุดไว้ก่อน ให้มันหยุดให้ได้ มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ แล้วมึงหยุดได้ มึงอย่าเพิ่งทำลายกู แล้วกูพยายามฝืนทนขึ้นมา มีคำบริกรรมพุทโธๆ สู้กับมัน สร้างสมบุญญาธิการของเราไป ถ้าสร้างสมบุญญาธิการของเราไป พอมันว่างลงได้ มันสงบลงได้ โอ้! เริ่มเสมอกันแล้ว แล้วถ้าจับมันได้ วิปัสสนาขึ้นมาจะเริ่มปะทะกัน ‘ถ้าวันไหนกูมีกำลังบ้างนะ กูจะสู้กับมึงๆ’

เห็นไหม สู้กับมึงๆ...ใครล่ะ

เวลาเขาเขียนนวนิยาย เขาเขียนเป็นธรรมะ อู้ฮู! เป็นเรื่องมหัศจรรย์รอบโลก แต่ความจริงมันเรื่องอยู่ในใจนะ เวลาเราเห็นตัวมัน เห็นใคร อยู่คนเดียวนี่เห็นใคร บ้าบอคอแตกใช่ไหม เสียสติไปแล้วหรือ เห็นข้าศึกจากข้างนอก ไม่ใช่ไอ้พวกเพี้ยนไง เห็นเป็นภาพหลอนอยู่นั่นไง เวลาเสพยาบ้าเข้าไปเอามีดเข้าไปจะไล่แทงเขาน่ะ เห็นภาพหลอนมีคนจะทำร้ายน่ะ นั่นมันเสพยาจนมันขาดสติ

ไอ้นี่ของเราเป็นปุถุชน ปุถุชนคนหนาแต่เราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธามีความเชื่อมาบวชในพระพุทธศาสนา พอบวชขึ้นมาแล้วเราแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ดี เวลาครูบาอาจารย์ที่ดีท่านก็จะอบรมบ่มเพาะ ข้อวัตรปฏิบัติทำไว้เพื่อดำรงชีพ สมณสารูป มีปัจจัย ๔ เครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ เครื่องอาศัยขึ้นมาได้ก็ต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ เวลามีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เราทำข้อวัตรปฏิบัติเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาออกบิณฑบาตเป็นวัตร เราหาสิ่งนี้มาเลี้ยงชีพของเรา เลี้ยงชีพ ปัจจัยเครื่องอาศัยๆ

สิ่งที่เราทำอยู่นี่เราทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นธรรมและเป็นวินัย มันเป็นข้อวัตรปฏิบัติของเรา เราปฏิบัติ ปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ของใจ แล้วเราก็พยายามเดินจงกรมนั่ง สมาธิภาวนาเพื่อจะแสวงหาๆ แสวงหาอะไร แสวงหาหัวใจของตนไง

ถ้าแสวงหาหัวใจของตน ถ้ามันเจอใจของตน เห็นไหม ที่ว่าพอมันหยุดของมันได้ พอมันหยุดของมันได้ เราจะมีคุณค่าขึ้นมา พอเราจะมีคุณค่าขึ้นมา ความสุขที่ทางโลกเขาแสวงหากันอยู่นั้นน่ะมันเป็นเรื่องไร้สาระแล้ว ไร้สาระมาก

อบายมุข คำว่า “อบายมุข” อบายมุขการพนันขันต่อ สุราเมรัยต่างๆ มันเป็นอบายมุข มันเข้ากับศีลธรรมไม่ได้ แต่ซากศพมันไปแช่อยู่ในอบายมุขนั่นแหละ มันแสวงหาอบายมุขแล้วมันก็จะไปแช่อยู่ในอบายมุข แล้วยังลอยหน้าลอยตานะ พระกรรมฐานทำข้อวัตรปฏิบัติ ฉันยาดอง พระกรรมฐาน

อบายมุขคืออบายภูมินั่นน่ะ อบายภูมิมันก็ดองหัวใจอยู่นั่นน่ะ

แต่ของเรา เรามีข้อวัตรปฏิบัติของเรา เราจะห่างไกลกับอบายมุขอบายภูมิ จากอบายมุขอบายภูมิ ปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนหนาเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้าเวลาเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ถ้ามันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากก็มันทุกข์มันยากธรรมดา ไม้ดิบๆ

หลวงตาท่านเน้นย้ำเลย แล้วมันน่าเห็นใจมาก การปฏิบัตินี้ยากอยู่สองคราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น คราวเริ่มต้นพรรษาแรกท่านไปอยู่จำพรรษาที่จักราช เป็นสมาธิได้แล้วเสื่อมหมดเลย พรรษาแรก

ตอนปฏิบัติใหม่ๆ ยากอยู่สองคราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น คราวเริ่มต้นถ้าเริ่มต้นได้แล้วเข้าสู่อริยสัจได้ มันเข้าสู่ปากซอยได้ จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ เข้าปากซอยได้จะเข้าไปสู่พุทธะ เข้าไปสู่สัจจะความจริง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต แล้วจะเข้าสู่ปากซอย ปากซอยคือเข้าสู่สัจธรรม เข้าสู่หัวใจของตน

แล้วมันไปพัวพันอยู่กับอบายมุขมันจะเข้ามาได้อย่างไร ยังลอยหน้าลอยตา นี่ซากศพ ซากศพมันทำความเสียหายกับตัวมันเอง ทุศีล ทุศีลถ้าทำให้บาปกรรมอยู่ในหัวใจนั่นน่ะ ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องซากศพ แล้วพอซากศพขึ้นมาเป็นซากศพด้วยความชัดเจน ถ้าซากศพด้วยความชัดเจนขึ้นมาแล้ว เห็นไหม

ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีลธรรมมันเป็นเหมือนดั่งมหาสมุทร มหาทะเล พัดซากศพเข้าฝั่ง พัดซากศพออกไปจากคณะสงฆ์ พัดซากศพออกไป เข้ากันไม่ได้ มันเข้ากันไม่ได้ด้วยอบายมุข ด้วยอบายภูมิ

ดูสิ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ผลของวัฏฏะ เราพยายามออกจากวัฏฏะ ไอ้นี่มันจมดิ่งเข้าไปอบายภูมินู่นน่ะ มันจะออกจากวัฏฏะไปไหน ถ้ามันจมดิ่งอบายภูมิมันก็เป็นเรื่องกรรมของสัตว์ไง

แต่จะมาลอยหน้าลอยตาในคณะสงฆ์ไม่ได้ จะมาลอยหน้าลอยตาว่าฉันคนพิเศษ แล้วก็เรียกร้องข้อพิเศษ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้

ศีลธรรม ทะเลเอาซากศพไว้ไม่ได้ โดยธรรมชาติของมัน คลื่นลมมันเกิดขึ้นมันก็พัดไปเอง โทษใคร จะไปโทษทะเลหรือ โทษฤดูกาลหรือ โทษธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไว้ตั้งแต่สองพันกว่าปีมาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ พระกัสสปะเป็นพระอรหันต์ ความเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์เป็นเพราะอะไร

เป็นอรหันต์เพราะศีลเพราะธรรม เป็นพระอรหันต์เพราะมรรคเพราะผล ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วศีล สมาธิ มันเป็นหนทาง มันเป็นเครื่องเข้าไปสู่สัจจะความจริง แล้วทำตัวกีดขวางมันเอง แล้วทำตัวให้เป็นซากศพเอง มันก็เลยพัดออกไปจากคณะสงฆ์ไง มันก็พัดออกไป พอพัดออกไปแล้วมันก็ไปสู่อบายภูมิ อบายมุขอบายภูมิมันเรื่องของข้อเท็จจริง

แล้วข้อเท็จจริง มันจะลอยหน้าลอยตาขนาดไหนก็แล้วแต่ กรรมคือกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แต่กรรมอันนี้มันกรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมเก่าที่มันสะสมมาจนเป็นจริตนิสัยอย่างนั้นแล้วมันก็เป็นกรรมของสัตว์

ถ้ากรรมของสัตว์แล้ว เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราได้มาบวชเป็นพระไง แล้วบวชเป็นพระมีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติเป็นตัวอย่าง ท่านทำของท่าน มันก็เหมือนกันน่ะ

เวลาไปอยู่กับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ จะหัวแถวท้ายแถวศีล ๒๒๗ เหมือนกัน เวลาดำรงชีพเป็นภิกษุสงฆ์เหมือนกัน แต่สติปัญญาในคุณธรรมในหัวใจมันแตกต่างกัน

แตกต่างกันที่ว่าของท่านสว่างไสว ของท่านได้ฝืนได้ทนของท่านมา ท่านได้ประพฤติปฏิบัติของท่านมา ท่านได้กระเสือกกระสนขึ้นมาจนมันเป็นความจริงขึ้นมาในใจ พอเป็นจริงขึ้นมาในใจ เกิดสัจจะความจริงขึ้นมาแล้วเป็นอกุปปธรรมๆ อกุปปธรรมคือไม่มีอะไร ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีสิ่งใดจะทำให้เปลี่ยนแปลงได้ ท่านถึงอยู่สุขสบายของท่านไง ท่านอยู่ของท่านด้วยความสุขสบายของท่านแล้วท่านเป็นแบบอย่างของเรา ท่านเป็นแบบอย่างแก่เรา ท่านพยายามสร้างสมให้พวกเราพยายามขวนขวายขึ้นมา

แล้วขณะที่เราขวนขวายขึ้นมา เราทำไมขี้เกียจขี้คร้านน่ะ อยากดัง อยากใหญ่ อยากลอยหน้าลอยตา อยากให้เขาชื่นชม

เฮ้ย! ก็เราละกิเลสน่ะ ไอ้นั่นมันวิบาก เป็นผลของกิเลสไง กิริยาที่แสดงออกมามันออกมาจากใจ ถ้าใจมันไม่คิดมันแสดงออกมาอย่างนั้นอย่างไร สิ่งที่มันแสดงออกมาที่พฤติกรรมอย่างนั้นน่ะมันออกมาจากกิเลสอันนั้น มันมาจากซากศพในใจน่ะ ซากศพในจิตใต้สำนึกนั่นน่ะ มันเป็นซากศพในจิตใต้สำนึกที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์

แต่อย่างว่า คณะสงฆ์ๆ โดยจริตนิสัย จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาพวกเดียรถีย์จะมาบวช ให้อยู่กรรม ๖ เดือน ๘ เดือน แล้วแต่อยู่กรรม เพื่ออะไร

เพื่อเปลี่ยนไอ้ซากศพในใจนั้นไง เปลี่ยนซากศพในใต้จิตสำนึกนั้นน่ะ เปลี่ยนทิฏฐิมานะความเห็นผิด เปลี่ยนสิ่งที่เป็นจริตนิสัยในใจอันนั้นน่ะ ถ้าเขาอยู่กรรมของเขา เขาบกพร่องของเขา ถ้าเขาทนไม่ได้เขาก็หลีกไป ถ้าเขาทนอยู่ได้ เขาทนได้เขาต้องเปลี่ยนพฤติกรรมอันนั้น ถ้าเปลี่ยนพฤติกรรมอันนั้นถึงให้มาบวชเป็นสงฆ์ พอบวชเป็นสงฆ์แล้วต้องถือศีล ๒๒๗ ต้องถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสัจจะเป็นความจริงไง รัตนตรัย พระพุทธ พระพุทธ แก้วสารพัดนึกของเราไง

ไม่ใช่เปลี่ยนเป็นอบายมุขไง แล้วก็เปลี่ยนเป็นอบายภูมิไง แล้วก็ลอยหน้าลอยตา อบรมบ่มเพาะจะไปสอนประชาชนอีกต่างหากนะ

เอาความจริงในใจนี้ ความลับไม่มีในโลกหรอก มันเป็นซากตั้งแต่ในใจอันนั้นน่ะ แล้วกิริยาที่แสดงออกมันน่าเกลียด น่าเกลียดมาก เพียงแต่ว่ามันเป็นคณะสงฆ์ก็อยู่ในคณะสงฆ์ แต่ถ้าขณะธรรมและวินัยมันพัดขึ้นไปบนฝั่งแล้วจบ จบแล้ว

จบแล้วมันก็เป็นความรื่นเริง เป็นความรื่นเริงในคณะสงฆ์ คณะสงฆ์อยู่ด้วยกันด้วยความเสมอภาคนะ ไม่หวาดไม่ระแวง ด้วยทิฏฐิด้วยมานะเสมอกัน ทิฏฐิมานะเสมอกัน อยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข

เวลาทิฏฐิมันต่างกัน เพราะมันต่างกันทิฏฐิ พอมันต่างกันทิฏฐิมันก็ต่างความคิด โดยธรรมชาติมันรังเกียจ การรังเกียจเดียดฉันท์ พอรังเกียจเดียดฉันท์ขึ้นมามันก็แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย นี่เป็นฝักเป็นฝ่าย พอแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย แบ่งเพราะอะไร

แบ่งเพราะเขาผิดศีล เราไม่ผิด ถูกและผิดมันแบ่งกันไปโดยธรรมชาติของมัน แล้วพอมันแบ่งไปโดยธรรมชาติของมัน มันก็หวาดก็ระแวง สุดท้ายแล้วธรรมวินัยก็ซัดพัดซากนั้นขึ้นสู่ฝั่งไป มันพัดออกไปจากคณะสงฆ์ก็จบ นี่เป็นกรรมของสัตว์นะ

แต่ของเรา พฤติกรรมของเรา กิเลสของเรามันสำคัญกว่า ความยุบยิบๆ ความรู้สึกนึกคิด ความพร่ำเพ้อในใจ เรามีสติของเรา เราจะทำตัวของเราให้ดีขึ้น ไม่ปล่อยให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากจิตใต้สำนึกไอ้ซากศพนั้นน่ะมันจะรุมล้อมใจเราบ้าง

ใจของเรา ทุกคนมีกิเลสใช่ไหม ทุกคนมีอวิชชาคือความไม่รู้ มันมีของมันอยู่ แต่เราบวชมาแล้ว เราประพฤติปฏิบัติของเราแล้ว เราก็มาเพื่อแก้ไขไง แล้วเราอยู่คนเดียวใช่ไหม ๒๐–๓๐ องค์ ๒๐–๓๐ องค์มันก็อยู่ด้วยกัน ทำไมเขาทำได้ล่ะ ทำไมเราทำไม่ได้

สิ่งที่ทำได้ทำไม่ได้ ถ้ามันไม่ผิดศีลผิดธรรมก็ไม่มีปัญหา สิ่งที่มันผิดศีลผิดธรรมเราก็ไม่ทำไง ก็เขาไม่ทำไง เราทำ เพราะเขาไม่ทำ เราทำ นี่ไง มันก็จะแบ่งแยกไปแล้ว แต่ถ้าเขาไม่ทำหรือเขาทำ เราไม่ทำ เราก็พิจารณาของเรา ถ้าเราเป็นหมู่เป็นคณะกัน เขาจะเตือนกัน

วันนี้วันออกพรรษา วันมหาปวารณา ที่เขาปวารณาๆ กัน ปวารณาเพื่ออะไร ปวารณา ถ้าข้าพเจ้าผิดทั้งต่อหน้าและลับหลัง ให้ตักเตือนข้าพเจ้านะ

ปฏักใส่มัน มันยังไม่ฟังเลย

แต่ในธรรมวินัย เขาเอาแต่ไอ้พวกที่มีหิริมีโอตตัปปะ มีความเกรงกลัว มีความละอายต่อบาป ถ้าธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอด เรามีความละอาย มีความเกรงกลัวต่อบาป มีความละอาย มีความเกรงกลัวต่อบาป เราก็ไม่ทำสิ่งนั้น แล้วถ้ามันมีความผิดพลาดโดยความพลั้งเผลอ โดยความไม่ได้ตั้งใจหรือความไม่รู้ ขอให้คณะสงฆ์ได้บอกเราด้วย ถ้าบอกเราด้วย เห็นไหม

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอริยทรัพย์ สิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ ใครทำความผิดสิ่งใดแล้วมีใครคอยบอก เหมือนบอกอริยทรัพย์ บอกถึงความผิดพลาดของเรา ถ้าเราผิดพลาดได้ไง

แต่ไอ้นี่จ้ำจี้จำไชๆ เป็นสิบๆ ปี หนังมันหนา มันก็ต้องโดนซัดออกไปด้วยความละอายของเขาเองนะ ไม่ใช่สงฆ์หน้าด้าน สงฆ์ขับมันไป มันอายมันเอง พอมันอาย มันโดยธรรมวินัยซัดซากนั้นออกไป โดยธรรมโดยวินัยซัดซากออกไป

ซากศพ ถ้ามันพัดออกไปแล้วมันก็เป็นเรื่องกรรมของสัตว์ สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนเกิด แก่ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด เพื่อนเกิด แก่ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นทั่วทั้งโลก ทั้งในชาวพุทธ ทั้งลัทธิศาสนาต่างๆ ขอให้มีความสุขเถิด

นี่ก็เหมือนกัน ซากศพ ไปแล้วขอให้มีความสุขเถิด ไปแล้วให้มีความเจริญรุ่งเรืองเถิด ซากศพให้ออกไป คณะสงฆ์ไม่มีสิ่งใดติดข้องในหัวใจ ไม่มีสิ่งใดติดข้องในคณะสงฆ์

คณะสงฆ์ก็พยายามจะประพฤติปฏิบัติทำตัวให้ดีงาม ให้สมคุณค่าแก่การเกิดเป็นมนุษย์ แก่การเกิดเป็นมนุษย์ที่เป็นอริยทรัพย์นี้ แล้วอริยทรัพย์นี้จะประพฤติปฏิบัติเอาหัวใจของเรา นั่นมันเรื่องของเขา

พระ ๔ องค์รวมขึ้นไปถึงเป็นคณะสงฆ์ เราเป็นคณะสงฆ์ เราเป็นพระองค์หนึ่งในคณะสงฆ์แล้วเราก็จะพยายามรักษาหัวใจของเรา พยายามจะประพฤติปฏิบัติ พยายามแก้ไข พยายามทำคุณงามความดี พยายามทำคุณงามความดีถ้ามันทำได้ ถ้ามันทำได้มันก็เป็นความคิด

ความคิดแต่เราไม่ทำ เราฝืนไว้ๆ เห็นไหม เรามีสติมีปัญญา สิ่งที่ความผิดพลาดถ้าทำไปแล้วด้วยความพลั้งเผลอ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ปลงอาบัติ ปลงเสร็จแล้วนะ สิ่งนี้เราพยายามทำให้น้อยลงๆ แล้วเราพยายามกำหนดหัวใจของเรา กำหนดหัวใจ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเอกสิทธิ์ เป็นสิทธิในใจของดวงนั้น ไม่มีใครเข้ามาแก่งแย่งชิงดีไปได้ เราพยายามทำตรงนี้ของเรา

ในคณะสงฆ์ เวลาพระสารีบุตร ในสมัยพุทธกาล สาวกสาวกะของพระสารีบุตร พฤติกรรมต่ำช้า ไปหลอกลวงกหาปณะจากชาวบ้านว่าเป็นบุญเป็นกุศลไง แล้วพระมาฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกพระสารีบุตรไป บอกให้ไล่พระพวกนั้นออกจากตำบลนั้นไปให้หมด ไม่ให้อยู่ในตำบลนั้นเพื่อไปหลอกประชาชนนั้น

พระสารีบุตรบอกว่าไปไม่ได้ มีแต่นักเลงทั้งนั้นน่ะ

เธอเอาคณะสงฆ์ไป เอาพระที่มากกว่าไป

แล้วถ้าไปน้อยกว่า ถ้าคณะสงฆ์ ถ้าเราอยู่ในคณะสงฆ์สิ่งใด พระที่มาฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาพามาจากตำบลนั้น แล้วเขาเห็นสิ่งนั้น เขาค้านไว้ในใจๆ ไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าคณะสงฆ์ที่ใดเขาทำความผิดพลาด แต่เรามีสติมีปัญญาของเรา เราไม่ต้องมีกรรมร่วม

เวลาทำสังฆกรรมมันเป็นโมฆะ มันเป็นโมฆียะ มันไม่เป็นบุญกุศลขึ้นมา จากใคร จากใครที่นั่งอยู่ในคณะนั้น สิ่งนั้นมันเป็นสภาวกรรม ฉะนั้นถึงว่า เราค้านไว้ในใจๆ สิ่งที่คณะสงฆ์มีความเห็นอย่างนั้น มีการกระทำอย่างนั้น เราไม่เห็นด้วย เราค้านไว้ในใจของเรา

แต่คณะสงฆ์ที่เขาใหญ่กว่า เราวิเวกไปเราไปเจออย่างนั้น เราค้านไว้ในใจ เพราะตอนที่ยังไม่ลงอุโบสถเรายังไม่เห็น ถ้าเห็นสิ่งนั้นแล้ว เขาทำสิ่งใด เราก็ไม่ทำไปกับเขา เราค้านไว้ในใจ แล้วสิ่งที่ผลประโยชน์นั้น เราวางไว้นั่น เราไม่รับ เราไม่รับเวรรับกรรมอันนั้นไง

สพฺเพ สตฺตา สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทุกคนต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้ต้องสิ้นสุดลงแน่นอน แต่สิ้นสุดของเรา เราสิ้นสุดของเราด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยการขวนขวายของเรา ด้วยการมีสติสัมปชัญญะพยายามยับยั้ง พยายามต่อสู้ พยายามแก้ไขจิตใจของเราเพื่อให้มันเข้าสู่สัจธรรมให้มันเป็นความจริงไง

แต่เราไม่ยอมจำนนไง ไม่ยอมจำนนกับอบายมุข อบายภูมิ สิ่งที่เป็นอบายมุขกับโลกนี้ สิ่งนั้นเป็นอบายมุข สิ่งที่ไม่ควรแตะควรต้องไง ทั้งศีลก็ห้าม ทั้งธรรมยิ่งรังเกียจ แล้วเขาเข้าไปมั่วสุมอยู่กับอบายมุข นี่มันเป็นซากศพไง

ฉะนั้น เวลาทะเล เวลาศีลธรรมมันพัดขึ้นฝั่งไปแล้ว นั่นก็เป็นกรรมของสัตว์ นี่กรรมของสัตว์ สัตว์มันเลือก สัตว์มันเดินเส้นทางนั้น มันเป็นกรรมของสัตว์ไง

แต่ของเรา เราต้องย้อนกลับมาที่ตัวเรา เวลาฟังธรรมๆ ย้อนมาที่ตัวเรา เราก็เป็นพระองค์หนึ่งอยู่ในคณะสงฆ์นั้น ถ้าคณะสงฆ์นั้นทำคุณงามความดีมากน้อยแค่ไหน ถ้าทำคุณงามความดีมากน้อยแค่ไหนมันเป็นผลเป็นคุณงามความดีของคณะสงฆ์ แต่ศีล สมาธิ ปัญญามันเป็นของเรา ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นของเรานะ

ดวงใจดวงหนึ่งไม่มีมรรค ดวงใจดวงนั้นจะไม่มีผล

นี่ก็เหมือนกัน คณะสงฆ์ที่เขาทำคุณงามความดีก็เป็นคณะสงฆ์เป็นสาธารณะ แต่ถ้าเราทำศีล สมาธิ ปัญญามันเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรา มันเป็นสมบัติของเราไง

แล้วสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ทำสมาธิได้ มั่นคงในศาสนา มั่นคงในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้ามันเกิดสติเกิดปัญญาขึ้นมาอีก โอ้โฮ! มหัศจรรย์ๆ นะ มหัศจรรย์ดีกว่าที่ในนวนิยายธรรมะที่เขาเขียนกัน เขาขายกันในท้องตลาดไง

ในสำนักพิมพ์เขาก็ขายเรื่องการเมืองกับศาสนา พอเรื่องศาสนานะ เขาก็เขียนนวนิยายธรรมะ คนที่เขาไปเขียนเขาแต่งมานะ ดีกว่าพระอีกต่างหาก แล้วเขาแต่งเขาขายเป็นเงินเป็นทอง

นั่นนวนิยายธรรมะ แล้วไอ้คนที่อ่อนด้อยพอไปอ่านเข้ามาก็นึกว่าเป็นเรื่องจริง

เรื่องจริงคือพวกเรานี่ไง พวกเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาจริงตามสมมุตินี่แหละ แล้วจิตใจเราก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากนี่แหละ แต่เราจะทำความเป็นจริงขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญาให้เกิดความเป็นจริงขึ้นมา

แล้วนิยายธรรมะ แหม! มันราบมันรื่น มันเจริญงอกงาม ไอ้เราเดินจงกรมเกือบตาย นั่งสมาธิเกือบเป็นเกือบตาย มันเป็นจริงขึ้นมาไหม แล้วถ้าเป็นจริงขึ้นมา เออ! มันเป็นอย่างนี้เว้ย มันเป็นอย่างนี้ มันไม่เป็นตามนิยายธรรมะที่เขียนกัน

เพราะสังคมชื่นชมศรัทธาในพระพุทธศาสนา คนที่เขาจะหาผลประโยชน์ของเขา เขาก็แต่งเรื่องสร้างเรื่องมาให้ผูกพันกับพระพุทธศาสนา ไอ้พวกที่ชาวพุทธๆ เวลาซื้อมาอ่าน ด้วยวุฒิภาวะก็เชื่อเขาไปหมด แต่เวลาไปปฏิบัติจริงๆ หาไม่เจอ

ถ้าเป็นความจริงของเรา เราบวชมาเป็นพระ เรามีอุปัชฌาย์ เรามีอาจารย์ อุปัชฌาย์อาจารย์ขึ้นมา ท่านได้ศึกษาของท่านมาก่อน แล้วอย่างเช่นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็ได้ประพฤติปฏิบัติของท่านมา เวลาผิดถูกอย่างไรท่านก็ได้ประสบมา ผิดท่านได้ประสบมาก่อน แล้วมันจะเข้าข้างสู่ความถูกต้องดีงามขึ้นมา แล้วมันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเกิดมาเรามีอำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนา ทางสองแพร่ง เวลาเราอยู่เป็นฆราวาสเป็นวัยทำงาน มันจะเจริญงอกงาม เราเสียสละมาบวช นี่ทางสองแพร่ง จากฆราวาสมาเป็นพระ

จากฆราวาส ฆราวาสก็ฆราวาสธรรมที่เขาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นั้น เวลาบวชเป็นพระแล้ว เป็นพระแล้วมาเป็นพระป่า มาเป็นพระประพฤติปฏิบัติ เวลาเป็นพระปฏิบัติขึ้นมา เราจะเอาความจริงขึ้นมา

จากทางสองแพร่งที่เราเลือกแล้ว เลือกเป็นนักรบ เวลานักรบแล้ว เราจะรบความจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้ารบความจริงในหัวใจของเรา เราพยายามฝืนทน พยายามการกระทำของเราขึ้นมา มันจะยาก มันจะง่าย มันจะทุกข์ มันจะลำบาก

เวลาครูบาอาจารย์สมัยโบราณนะ ส่วนใหญ่แล้วท่านเป็นยอดคน คำว่า “ยอดคน” คือคนจริงทั้งนั้น แล้วเวลาคนจริงทั้งนั้นนะ อย่างเช่นหลวงตาท่านบอกเลย ท่านเชื่อคนได้ยาก คนที่เชื่อคนได้ยากคือคนจริง คนจริงมันหาครูบาอาจารย์ที่จริง เพราะครูบาอาจารย์ที่จริงพูดความจริง

ถ้าความจริงแต่จิตใจเราปลอม “หืม! มันจะใช่หรือวะ”

ประวัติหลวงปู่มั่น เราเอามาแจกที่โพธารามเมื่อก่อนเยอะแยะไป เพื่อนๆ มารับไปมันบอกว่า “เฮ้ย! คนอย่างนี้ยังมีอยู่หรือ คนทำอย่างนี้ได้จริงๆ หรือ”

ประวัติหลวงปู่มั่นมันนึกว่านิยายธรรมะนะ แต่เวลาหลวงตาท่านบอกว่าเขียนแค่ ๗๕ เปอร์เซ็นต์ เขียนยังไม่ครบนะ เพราะความจริงๆ ที่เป็นจริงในใจของหลวงปู่มั่นท่านเอามาเขียน ไม่ต้องการให้ชาวโลกเขาติเขาเตียนไง

นี่เวลาคนจริงเขาจะหาความจริง เขาจะหาครูบาอาจารย์ที่จริง แล้วพอจริง พร้อมเสมอเลย ในทางจงกรม ในการนั่งสมาธิภาวนา เอาให้จริงสิ เอาให้จริงขึ้นมา

เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด ต้อง ต้อง ต้อง ต้อง เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เป็นอย่างอื่นไปมีสมุทัยเจือปนเข้ามา เป็นอย่างอื่นไปมันเป็นนิยายธรรมะ เป็นสิ่งที่กิเลสมันป้อนให้ มันเป็นอนุสัยที่บวกเข้ามาในความรู้เรา

ถ้าเป็นจริงๆ อริยสัจมีหนึ่งเดียว

ถ้าเป็นความจริง คนจริงๆ เขาหาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง คนจริงมันก็มีอยู่ แต่จริงมากจริงน้อยอีกเรื่องหนึ่งนะ เวลาจริงขึ้นมาก็จริงแต่เริ่มต้น

มีครูบาอาจารย์มากมายไป จริงแต่เริ่มต้นแล้ว สุดท้ายแล้วสู้กิเลสไม่ได้ ไอ้ซากศพ ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปั่นป่วนในใจไปหมดเลย มันปั่นป่วนในใจไปหมด

ถ้าใครฝืนทนได้ เราไม่แสดงออกมาถึงกาย ไม่แสดงออกมาถึงวาจา อบายมุข อบายภูมิ เราไม่ไปแตะไปต้องมัน เราไม่อยาก เราไม่แสวงหามาให้มันผิดศีลผิดธรรม ถ้ามันผิดศีลผิดธรรมขึ้นมาแล้ว แล้วทำไมเลิกไม่ได้ละไม่ได้

เลิกไม่ได้ละไม่ได้ แต่หมู่สงฆ์ส่วนใหญ่เขาไม่ทำ แล้วจะไปกันได้อย่างไร ตัวเองทำเองแล้วเป็นไปไม่ได้ ทำตัวเองเป็นก้าง เป็นไอ้เข้ขวางเขาไปทั่ว แล้วคนอื่นจะทำความดีก็ไม่ได้นะ

ในสำนักงานต่างๆ ไง ถ้าหัวหน้าไม่เอาไหน ไอ้ลูกน้องไม่กล้าทำอะไร รัฐบาล หัวหน้าขยิบตาถึงจะทำ ถ้าหัวหน้าไม่ขยิบตาไม่กล้าทำ มันกลัวตัวมันเองจะมีโทษ

นี่ก็เหมือนกัน เอ็งเป็นซากศพ เอ๊ะ! เอ็งจะมากีดมาขวางเขาทำไม เอ็งเป็นซากศพแล้วเอ็งจะมาลอยหน้าลอยตา แล้วจะเป็นคนพิเศษ แล้วมึงจะให้พระไปหมักหมมอยู่ในอบายมุขอย่างนั้นหรือ นั่นศีลธรรมหรือ นี่ไง ศีลธรรมถึงพัด ทะเลศีลธรรมถึงพัดมึงเข้าสู่ฝั่ง พัดมึงออกไปจากคณะสงฆ์ไง ก็มันไม่จริง มันเลวทรามไง มันเลวทรามในใจของมัน แล้วพฤติกรรมยังกระมิดกระเมี้ยน การกระทำมาลอยหน้าลอยตาจะให้เป็นจริง เป็นจริงได้อย่างไร

คนเขามีวุฒิภาวะ คนเขาเกิดมาเขามีอำนาจวาสนานะ คนที่มีอำนาจวาสนามาเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ แล้วทุกคนเขาเกิดมาเขามีศักยภาพในใจของเขา มันเป็นสิทธิ์

เวลาหลวงตาท่านพูดนะ ถ้าผิดศีล ท่านเอาตายเลย แต่ถ้าเป็นธรรม มันเป็นสิทธิ์ของเขา เป็นธรรมหมายความว่าอิสรภาพ ความที่เขาจะอยู่เขาจะไป เขาทำอย่างไรนั่นมันเป็นสิทธิ์ของเขา แต่ถ้าผิดศีลไม่ได้ ท่านจัดการเลย

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ เพราะคนที่เห็นผลของวัฏฏะ เห็นการเวียนว่ายตายเกิด มันเห็นน่ะ มันเห็น มันเข้าใจ มันสังเวช แต่ละคนมาเบื้องหลังมาแตกต่างกัน พฤติกรรมความคิดทุกคนมันแตกต่างกัน แต่อย่าผิดศีลสิ อย่าไปจมอยู่อบายมุขสิ อบายมุขมันไปแตะมันได้อย่างไร ฆราวาสเขายังไม่แตะเลย แล้วนี่มันเป็นพระ แล้วเสือกเป็นพระปฏิบัติอีกต่างหาก แล้วเวลาไปพูด มึงกล้าบอกไหมว่ากูนี่ยุ่งอยู่กับอบายมุข กล้าพูดไหม เวลาอยู่ข้างนอกก็ลอยหน้าลอยตาอวดดี

เวลามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านรู้ท่านเห็นของท่านนะ มันสังเวช มันสังเวช เพราะสังเวช มันสังเวชที่ตรงไหน สังเวชที่กำลังไง ใจของคนที่เข้มแข็ง ใจของคนที่หนักแน่น ใจของคนที่อ่อนแอ ใจของคนที่สั่นไหว ใจของคนที่โลเล

คนกลัวผีไปอยู่ที่มืดที่ต่างๆ มันตกใจนะ ถ้าคนกล้าหาญ นี่มันจริตนิสัย ครูบาอาจารย์ท่านดูตรงนี้ แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติด้วยสติด้วยสมาธิด้วยปัญญาของตนให้มันเข้มแข็งขึ้นมา ให้มันเป็นหลักในใจของเรา ศีล สมาธิ ปัญญารวมลงเป็นหนึ่ง พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในใจของเรา ถ้ามันเป็นจริง เห็นไหม

นี่มันเป็นพลังงาน โรงไฟฟ้า โรงผลิตพลังงาน พุทธะของเรา แล้วเราควบคุมเองดูแลเอง มันสว่างไสวไปหมดน่ะ มันมหัศจรรย์แค่ไหน แล้วถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้วมันจะเป็นซากศพไหม มันจะออกไปยุ่งกับอบายมุขไหม มันจะผิดศีลไหม มันจะทำลายตัวมันเองไหม มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นจริงๆ ก็เป็นจริงแบบนี้ นี่ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อตอกย้ำ คณะสงฆ์ก็ยังเป็นคณะสงฆ์ต่อไป เอวัง