ตัวทำ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่ ) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังธรรมมะนะ เวลาฟังธรรมะๆ วันนี้วันอุโบสถ วันอุโบสถเราลงอุโบสถเพื่อเป็นความสามัคคีธรรมๆ สามัคคีธรรมในหมู่สงฆ์ไง
ในหมู่สงฆ์ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สงฆ์ปกครองสงฆ์ๆ เหมือนกับร่างกายของมนุษย์ไง ร่างกายของมนุษย์ถ้ามันสมดุล ร่างกายของมนุษย์มันสะดวกสบาย มันไปไหนมันไปด้วยความสะดวกสบายของมัน
แต่ถ้ามีตรงไหนมันเจ็บไข้ได้ป่วย เหยียบไป เหยียบหนามตำหนาม สิ่งนั้นน่ะมันก็ทำให้เป็นอุปสรรคไปทั้งชีวิตเลย ทั้งคนน่ะ แต่มันเป็นแค่อวัยวะเดียวที่มันไปโดน ไปเจ็บไข้ได้ป่วยของมันโดยธรรมชาติของมัน มันเกิดอุบัติเหตุของมัน คนนั้นก็พิการไปได้
สงฆ์ปกครองสงฆ์ๆ แล้วสงฆ์ปกครองสงฆ์ เวลาสงฆ์เข้าหมู่ เวลาลงอุโบสถๆ เวลาลงอุโบสถขึ้นมาเพื่อความสมานฉันท์ เพื่อความสามัคคี เพื่อความอบอุ่นของสังคมๆ ของเรา
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเกิดมาพบพระพุทธศาสนา มาบวชเป็นพระนี่เป็นนักรบ เวลารบ ถ้าว่าจะนักรบ คนที่เก่งกล้าสามารถเขารบกับกิเลสของตนนะ กิเลสของตนๆ กิเลสที่ในหัวใจนี้ ถ้ากิเลสที่ในหัวใจนี้ เราจะไปพบเจอกิเลสได้อย่างไร
สิ่งนี้มันเป็นจริตนิสัย คำว่า “จริตนิสัย” เป็นสัญชาตญาณ สัญชาตญาณ สัญชาตญาณ เวลาสัญชาตญาณของสัตว์ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
สัตว์ที่มันเป็นสัตว์ที่ดีนะ สัตว์ที่มันดีกับหมู่คณะของมัน มันปกป้องนะ สัตว์บางตัวมันคุ้มครองมันดูแลลูกน้องของมัน มันดูแลของมันในสัญชาตญาณของมัน นั้นสัญชาตญาณนะ สัญชาตญาณ เวลาเรื่องของจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ อันนั้นมันก็เป็นที่จริตนิสัยของใจๆ ไง
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นสัตว์ประเสริฐๆ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราพยายามจะมาประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าพยายามจะมาประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้ามีสติมีปัญญา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เวลาทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันเป็นสัจจะเป็นความจริงของมัน เป็นสัจจะเลย
“ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”
ดีชั่วมันอยู่ที่ตัวทำ ถ้าเวลาตัวทำๆ ที่เราทำความสงบของใจกันเข้ามา เราพยายามทำความสงบใจของเรา ถ้าทำความสงบใจของเรา เห็นไหม ตัวทำๆ ตัวเองเป็นผู้ที่ทำไง
แต่นี่เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ทำโดยสัญชาตญาณไง ทางโลกๆ สัญชาตญาณนะ
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ
แต่ตัวศึกษา เวลาศึกษาๆ ดีชั่วๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็ไปศึกษามา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดีและชั่วๆ แล้วดีและชั่วมันอยู่ที่สันดานน่ะ ถ้าสันดาน ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ แต่ตัวไปชอบไง เห็นดีเป็นชั่ว เห็นชั่วเป็นดี คนอื่นทำไม่ได้ เราทำได้ คนอื่นทำไม่ได้นะ เราได้ความพิเศษๆ เราเป็นคนกระทำ
แต่ถ้ามันเป็นเหตุอยู่ที่ตัวทำที่ตัวมันดีน่ะ มันทำสิ่งที่ดีงามไง ทำสิ่งที่อยู่ในศีลในธรรมไง ทำในสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางข้อวัตรปฏิบัติไว้ นั่นคือการที่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่กะล่อน
เวลาพูด ปากพูดพูดได้หมดน่ะ ความดีความชั่วมันรู้นะ ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ ทั้งๆ ที่ดีและชั่วมันก็รู้ แต่มันทนกิเลสมันไม่ได้ เวลากิเลส กิเลสในหัวใจของมันน่ะ มันครอบงำ มันทับถม ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ แล้วตัวที่ตัวทำๆ มันมีสติปัญญาหรือไม่
ถ้ามันไม่มีสติปัญญา เวลาเข้าหมู่ๆๆ เวลาเข้าหมู่มันคัดกรองๆ เรามีความเสมอภาคกัน ดูสิ เวลาถ้ามันมีสติต่างกัน นานาสังวาส เขาไม่ให้ลงอุโบสถร่วมกัน
สิ่งที่ลงอุโบสถร่วมกันมันต้องเป็นปกตัตตะภิกษุ ภิกษุเสมอกัน ภิกษุมีทิฏฐิใกล้เคียงกัน เวลาใกล้เคียงกันนะ เวลาลงอุโบสถ สาธุๆๆ เวลาสาธุไปพร้อมกันไง แต่ถ้ามันคัดค้าน เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาให้พระสารีบุตรไปไล่พระออก ที่ว่าพระเกเรนั่นน่ะ เวลาไปแล้วให้ไปขับออกๆ เวลาพระที่มาถ้าไปเจอสภาพแบบนั้น ให้ค้านไว้ในใจๆ ไง
เวลามันทำ ดีหรือชั่วมันรู้ๆ แล้วสังคมมันเป็นอย่างนั้นน่ะ สังฆะ สงฆ์ สงฆ์ที่ปกครองกันมันเป็นอย่างนั้นน่ะ ถ้าสงฆ์ที่ปกครองเป็นอย่างนั้น เรารู้ว่ามันชั่ว มันไม่ดี มันไม่ถูกต้อง ให้ค้านไว้ในใจไง
เราไม่สามารถจะปรับทำให้เขาเข้าใจได้เหมือนเราได้ทั้งหมดหรอก นี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของคน เห็นไหม เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากของคน แล้วผู้มีอำนาจด้วย ผู้มีอำนาจผู้เป็นอาวุโสครอบงำไปหมดน่ะ ไอ้ลูกน้องต้องทำตามๆ ทั้งสิ้น เวลาทำตามขึ้นไป ทำตามๆ ไปเพราะอะไร เพราะด้วยอำนาจของเขา แล้วเราจะไปพลิกไปแพลงไปแก้ไข แล้วเอาอะไรไปแก้ไข จะมีอำนาจวาสนาอะไรไปแก้ไข
แล้วเวลาสังคมมันเสื่อมทรามไปเรื่อย สภาพแวดล้อมมันเสียหายไปตลอด สภาพแวดล้อมเราปล่อยไว้ ถ้าไม่มีคนเข้าไปยุ่งกับมัน ทิ้งไว้เดี๋ยวมันเป็นป่าขึ้นมาอย่างเดิมนั่นน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งดีหรือชั่วๆ มันเป็นสัจจะเป็นความจริงทั้งสิ้น แต่ไอ้คนไปดัดไปแปลงมัน ไปเปลี่ยนแปลงมันไง จะให้ว่าข้านี่ยิ่งใหญ่ ข้านี่ทำได้ ข้านี่ครอบงำ
นั่นน่ะ ดีชั่วตัวก็รู้ ตัวทำๆ ตัวเองเป็นคนทำทั้งสิ้น จะดีจะงามตัวเองเป็นคนทำทั้งสิ้น นี่มันคือข้อเท็จจริงในพระพุทธศาสนานะ ข้อเท็จในสัจธรรม นี่ข้อเท็จเป็นข้อเท็จจริงไง
แต่เรามาศึกษาๆ เรามาขวนขวาย เรามาค้นคว้า เราขวนขวายค้นคว้า ถ้ามันดื้อด้านมันจะทำความสงบของใจได้อย่างไร เพราะว่ามันต่อต้าน ต่อต้านกับความเป็นจริงไง ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ มันก็มันเป็นความจริงของมันวันยังค่ำ มันเป็นความจริงของมันวันยังค่ำ ความจริงต้องเป็นความจริงตลอดไป ความจอมปลอมต้องเป็นความจอมปลอมตลอดไป
แล้วถ้าความจอมปลอม แล้วหัวใจล่ะ หัวใจมันจะเลือกความจริงหรือเลือกความจอมปลอม
ถ้ามันจะเลือกความจริงๆ ความจริงมันก็สู้กับสัจจะความจริงสิ มีสติมีปัญญาภาวนาของเราเข้ามา ภาวนา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาได้ มันเป็นความจริงแน่นอน ถ้าเป็นความจริงแน่นอนขึ้นมาแล้ว ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ นี่ตัวทำๆ
ตัวทำนั่นสำคัญ ตัวทำสำคัญเพราะตัวทำน่ะภวาสวะ ภพ
ว่าภพมันไม่มี คนภาวนาว่ามันไม่มีภพ ไอ้นี่มันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ เป็นเรื่องโลก มันไม่เป็นโลกุตตระ โลกุตตระมันไม่มีมาตั้งแต่ต้น ไม่มีท่ามกลาง แล้วไม่มีที่สุด แล้วไม่มีอะไรเลยๆ จับต้องอะไรไม่ได้เลย แต่ตัวกูยิ่งใหญ่
ตัวทำๆ นั่นสำคัญมาก
แต่ถ้ามีอำนาจวาสนานะ ถ้ามีอำนาจวาสนา ตั้งแต่ฆราวาส เวลาชาวพุทธเราเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก นั้นเป็นแค่ประเพณีวัฒนธรรม เป็นวัตถุภายนอกด้วย
สิ่งที่ประเพณีวัฒนธรรม ถึงเวลาเขามีนักขัตฤกษ์ที่เขาทำกันน่ะ จากประเพณีที่ได้สะสมกันมาจากสังคม สังคมถึงเวลาแล้วเขาก็มาทำประเพณีของเขา นี่ประเพณีวัฒนธรรม สิ่งที่ทำนั่นน่ะมันมาจากพฤติกรรม จากการซับซ้อนจากหัวใจที่มันลับซับซ้อนไว้เป็นวัฒนธรรมของเขา นั่นประเพณีวัฒนธรรมจากภายนอก
เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน มันเป็นภายนอก มันไม่มีสิ่งใด ไม่มีอยู่แล้ว มันเป็นนามธรรม ไม่มีตั้งแต่เริ่มต้น ไม่มีท่ามกลาง และไม่มีที่สุด แล้วถ้าเข้าใจแล้วจบเลย มันหยาบเกินไปไง มันเป็นเรื่องโลกๆ ไง มันถึงไม่มีตัวทำไง
ตัวทำคือจิตปฏิสนธิจิตในวัฏฏะ เวลาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เกิดในกำเนิด ๔ เกิดในครรภ์ ในไข่ ในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์นี่
เวลาความเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้วเรามีอำนาจวาสนานะ เรามาบวชเป็นพระ แล้วบวชเป็นพระขึ้นมา ถ้าบวชเป็นพระนี่เป็นประกาศแล้ว ประกาศเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ยอมรับ ยอมรับธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล ๒๒๗
ถ้าศีล ๒๒๗ ศีลก็เป็นศีลวันยังค่ำ เพียงแต่ว่าเราจะศูนย์ จะเป็นศูนย์หรือจะมีศีล ถ้าจะเป็นศูนย์ก็ศูนย์ไปหมดเลย ถ้าเป็นศูนย์ไปแล้วมันทำสิ่งใดขึ้นมามันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ
แต่ถ้าเรามีความเชื่อของเรา เราเคารพไง ลงในธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพธรรมและวินัย ธรรมและวินัยเคารพแล้ว เคารพเพื่ออะไร
เคารพขึ้นมาเพื่อให้หัวใจมีเครื่องอยู่ หัวใจนี้เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าหัวใจเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ตัวทำๆ ถ้าตัวทำแล้วมันยอมรับ ยอมรับความถูกต้องความดีงาม ถ้ายอมรับความถูกต้องความดีงาม มันมีคุณค่าขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามีคุณค่าขึ้นมามันลงในธรรมและลงในวินัย ลงในธรรมและลงในวินัย มีการกระทำเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำแล้วหัวใจมันอบอุ่นๆ เห็นไหม
ภิกษุเข้าไปอยู่ป่า เวลาไปเจอพวกผีสาง กลัวมาก ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้กลับเข้าไปใหม่ ให้นึกพุทโธ ถ้าไม่หายให้ธัมโม ถ้าไม่หายให้นึกสังโฆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย
คนที่กลัวผีกลัวสางไปอยู่ในป่าในเขาไม่ได้ ถ้าให้จิตใจมันเคารพบูชา บริกรรมพุทโธๆ เราอยู่กับพุทโธ ใครมันจะมาทำอะไรเราได้ เราอยู่กับธัมโม เราอยู่กับสังโฆ ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา เห็นไหม
เวลาเข้าป่าเข้าเขาไปมันมีความกลัว มีความวิตกกังวลต่างๆ ขึ้นมา ให้ระลึกถึง ทีนี้พอมีความกลัว มีความวิตกกังวลต่างๆ มันก็ไปจดจ่ออยู่กับมันไง ยิ่งวิตกกังวลยิ่งคิด ยิ่งกลัวยิ่งคิดให้มันกลัวมากขึ้น พอกลัวมากขึ้นมันก็กลัวไปใหญ่น่ะสิ
แต่ถ้าเราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธๆๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา เป็นครูของเทวดา อินทร์ พรหมทั้งสิ้น สอนสามโลกธาตุ
สิ่งที่เรารู้เราเห็นถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิเขาก็ต่อต้าน เขาก็ทำลาย ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิเขาเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราระลึกพุทโธๆ อยู่ เราเป็นสาวกสาวกะ เราจะประพฤติปฏิบัติบูชา บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ประพฤติปฏิบัติแล้วจะเป็นความจริงในใจของเรา
ดีและชั่ว ตัวเป็นคนทำๆ เวลาตัวเป็นคนทำนะ แต่เวลากิเลสมันครอบงำหัวใจขึ้นมามันไม่ยอมรับว่าตัวเป็นคนทำ มันยอมรับว่าผู้อื่นทำลายกู คนอื่นแกล้งกู คนอื่นได้ดีกว่า ได้แซงหน้ากู มันไปหมดเลย ไปอยู่ข้างนอกหมดเลย นี่ไง ตัวไม่ได้ทำ แต่ตัวพาล
ตัวเป็นคนพาลๆ เป็นความกระทำที่ให้กิเลสมันครอบงำ แล้วก็ตีโพยตีพายออกไปข้างนอกโดยเรียกร้องสิทธิ์ เรียกร้องอะไร บวชมาก็ศีล ๒๒๗ เหมือนกัน เวลาบวชมาแล้วคนเรามีกายกับใจเหมือนกัน แต่คนเรามีสติมีปัญญามากน้อยแค่ไหน
อาวุโส ภันเต เป็นธรรมวินัยที่เคารพบูชากัน แต่ความจริงแล้วมันสำคัญที่ว่าตัวตนนั้นน่ะ ตัวทำๆ ตัวทำเป็นตัวที่ดี ครูบาอาจารย์นะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัว ตัวนี้ตัวธรรมธาตุ มันเป็นธรรมๆ นะ
เราธุดงค์มา เวลาไปเจอครูบาอาจารย์ที่ไม่ดี ครูบาอาจารย์ที่เห็นแก่ตัว เขาไม่เคยคิดถึงลูกน้องเลย เขาไม่คิดถึงพระเลย แล้วเราไป เราไปเพื่อศาสนา ไปเพื่อสังฆะ ไปเพื่อส่วนรวม ทำอะไรทำข้อวัตรก็เพื่อส่วนรวม ทุกอย่างเพื่อส่วนรวม
เพื่อส่วนรวมแล้วได้อะไร
เพื่อส่วนรวมก็เพื่อส่วนรวมสิ แต่เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยทำอะไรเลย แล้วเห็นผิดเป็นถูก ไม่เห็นผิดชอบชั่วดี เห็นแต่สถานะของตน
เราเคยผ่านสภาพแบบนั้นมาหมดแล้ว พอผ่านสภาพแบบนั้นมาหมดแล้วนะ คิดในหัวใจเลย เราจะธุดงค์ไปที่ไหนก็แล้วแต่ เราจะไปอาศัยใครก็แล้วแต่ ผู้นำผู้เป็นหัวหน้าต้องมีธรรม ต้องเป็นธรรมๆ นะ
เวลามาอยู่กับหลวงตา เวลาธุดงค์ไปทั่ว เวลามันไฟมอดหรือมันมีอะไรก็เข้าไปให้ชาร์จแบตสักทีหนึ่ง เวลาเข้าไปนะ มันเสมอภาค คนที่อยู่เก่า นี่อาวุโสๆ ๒ อย่างที่บ้านตาด อาวุโสภันเต อาวุโสที่พรรษา กับอาวุโสที่เข้ามาอยู่วัดนั้นก่อน
ใครอยู่บ้านตาดก่อน อยู่ ๒ ปี ไอ้คนเข้ามาปีเดียวเป็นภันเต พรรษาจะมากน้อยไม่เกี่ยว อยู่ที่เข้ามาอยู่กับท่านกี่ปี นี่เวลาเขาถือ เขาถือกันอย่างนั้น
แล้วเวลาใครทำผิด ไอ้อาวุโสๆ นั่นน่ะอาวุโสเอาไว้เหยียบย่ำทำลายคนอื่น เวลาจะทำข้อวัตร เวลาเจอหน้าท่านวิ่งหนีหมดน่ะ ไม่กล้าเผชิญหน้าเลย ไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่กล้ายอมรับ เพราะท่านบอก อาวุโสถ้าผิด ผิด ๒ เท่า เพราะถือว่ามันอยู่ก่อน มันอยู่นาน มันรู้ ไอ้คนที่เข้ามาใหม่เขาเพิ่งเข้ามา เพิ่งเข้ามา เขาเพิ่งมาใหม่ เขาไม่รู้ ต้องให้อภัยเขา
คนที่ไม่รู้ไม่มีเจตนา เห็นไหม ดีและชั่ว เขาไม่รู้ดีหรือชั่ว ไม่รู้ถูกหรือผิด เขาทำไปโดยเจตนาที่ดี เขาไม่รู้ นั่นน่ะมีโทษน้อยกว่า ไอ้คนที่อยู่เก่ามันต้องรู้อยู่แล้ว เพราะมันรู้มันเห็นใช่ไหม
ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ใครก็รู้ว่าอะไรถูกต้อง อะไรผิด แต่มันฝืนทำ ทำเพราะอะไร เพราะกูอาวุโสไง ดีและชั่วอยู่ที่ตัวทำ ถ้าตัวทำขึ้นมานะ เพราะอาวุโสผิด ๒ เท่า เพราะถือว่ารู้อยู่ ไอ้ที่ไม่รู้ๆ ควรให้อภัย เพราะเขาไม่รู้ แต่มันก็ผิด ถ้าผิดมันก็มีโทษเหมือนกันทั้งสิ้น
เวลาท่านอบรมสั่งสอน เราอยู่ เราเห็นมาหมดล่ะ
สิ่งที่ว่าอวดรู้อวดเห็นมันต้องเป็นตัวอย่างที่ดีไง ถ้าทำก็ทำเป็นหลักของหมู่ของคณะไง เป็นที่ไว้วางใจของพระที่เข้ามาอาศัย เขาลงใจเขาก็นอบน้อม
แต่มันไม่มีน่ะ ตัวทำๆ ตัวทำที่ดีมันเป็นผลที่ดีแล้วยืนยัน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีต้องเป็นความดีแน่นอน จะต่อหน้าหรือลับหลัง ทำแต่ความดีของเราๆ ทำความดีเพื่ออะไร เพื่อความดีของเรา ไม่ใช่ทำความดีเพื่อใครทั้งสิ้น ทำความดีเพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงที่กระทำนี่ เห็นไหม ดีและชั่วอยู่ที่ตัวทำ
แล้วตัวทำดีๆ ตัวมันเองทำดีๆๆ ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่มันเป็นจริตเป็นนิสัย เป็นจริตนิสัยมันคุ้นชินกับความดี มันคุ้นชินกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่ไปคุ้นชินกับกิเลสไง ถ้ามันไม่ไปคุ้นชินกับกิเลส มันคุ้นชินกับความดี นี่ไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไง
แต่สังคมเขา สังคมมันมีสูงมีต่ำ มีคนโง่คนฉลาด ไอ้คนโง่มันก็ว่าลาภสักการะผลของมันนั่นน่ะเป็นความดี ไอ้คนที่ฉลาดนะ เขาเอาแต่ความถูกต้อง ถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว แล้วความจริงมันคืออะไร
เพราะสมมุติสัจจะ อริยสัจจะ เวลาวิมุตติๆ เวลาพ้นจากกิเลสไป มันสมมุติบัญญัติ วิมุตติ มันสัจจะมันละเอียดลึกซึ้งเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ถ้าเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เป็นชั้นเป็นตอนของใคร
ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก คนที่เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมามันถึงเป็นสัจจะเป็นความจริง
คนที่ไม่เป็นสัจจะเป็นความจริงมันเป็นความจอมปลอมไง จินตนาการไปเรื่อยด้วยกิเลสด้วยตัณหาด้วยความทะยานอยาก ตัวทำๆ ทั้งนั้น โทษใครไม่ได้ แล้วเวลาตัวเองเพลี่ยงพล้ำนะ โทษคนอื่นหมดเลย ทำดีแล้วคนไม่เห็นความดีเราเลยๆ
ใช่ การกระทำนั้นคือการกระทำ แต่ตัวทำๆ มันทำด้วยความพาล พาลชน หรือทำด้วยวิชชา ทำด้วยความถูกต้องดีงาม ทำเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน
แต่ถ้าทำเหมือนกันนะ มันเป็นสัจจะเป็นความจริง มันเป็นธรรม มันเป็นความถูกต้องดีงามไง
มันต้องเป็นความถูกต้องดีงามมาตั้งแต่ต้น เวลาเป็นศีลเป็นธรรม สีละ ศีลที่สะอาดบริสุทธิ์ไง มันไม่มีเล่ห์ไม่มีเหลี่ยม ไม่มีความจอมปลอม ไม่มีการมีชั้นมีเชิงมีลับลมคมใน ลับลมคมในนั่นน่ะเรื่องกิเลสทั้งนั้นน่ะ มันเรื่องกิเลสมันซับซ้อน เวลาซับซ้อนๆ ซับซ้อนไว้เพื่อให้มันซับซ้อนใช่ไหม ซับซ้อนให้มันเป็นฟอสซิลฝังอยู่ในใจใช่ไหม แต่ที่เรามาประพฤติปฏิบัติกันเพื่ออะไร
นี่ไง ดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวทำ
ถ้าตัวทำคุณงามความดีๆ คนข้างนอกเขาจะเห็นผิดมันเป็นเรื่องของเขา วุฒิภาวะของเขา เรื่องของเขา คนโง่มาก คนฉลาดมาก แต่เราทำความดีๆ ของเราตลอดไป เราทำคุณงามความดีของเรามากขึ้นไป เห็นไหม ตัวทำๆ ขึ้นมา ผลของมันๆ มันสัจจะเป็นความจริงในใจเราแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงในใจเราแน่นอนอยู่แล้ว เราไปกลัวอะไร เราไม่เคยกลัวอะไร แต่ผลที่มันเกิดขึ้น เห็นไหม สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
การเกิดนั้นเกิดในยุคในสมัยนี้มันก็เป็นวาสนาแล้ว การเกิดในยุคในสมัย เกิดมาแล้วเจอสิ่งที่ดีงาม มันเป็นความดีงามด้วยอำนาจวาสนาของใจดวงนั้น สิ่งที่เราเกิดขึ้นมาถ้ามันเป็นประโยชน์กับเราๆ ไอ้นี่ก็วาสนาของเราอยู่แล้ว ถ้าวาสนาของเราอยู่แล้ว ถ้ามันทำความจริงของเราขึ้นมาได้ เห็นไหม
โลกมันเป็นอยู่อย่างนี้ โลก โลกมันพร่องอยู่เป็นนิจ มันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหรอก มันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปนะ มันอยู่ที่ผู้นำด้วย ผู้นำที่ดีนะ ทำให้โลกมั่นคง ทำให้โลกน่าอยู่น่าอาศัย ถ้าผู้นำไม่ดีนะ มันน่าเบื่อน่าหน่าย แล้วชีวิตล่ะ
มันน่าเบื่อน่าหน่ายเรื่องโลก แล้วชีวิตเราล่ะ ถ้าชีวิตเราเห็นผิด เห็นผิดมันก็คือเห็นแย้งไง เห็นแย้งมันก็ขัดแย้งไง แต่ถ้ามันเห็นถูกไง เห็นถูก สพฺเพ สตฺตา นี่ไง มันเป็นเช่นนั้นเองๆ แต่เราล่ะ เราจะไปยุ่งกับเขาหรือไม่ เราจะทำให้เหตุการณ์นั้นมันรุนแรงไปหรือไม่ หรือเราจะทำเหตุการณ์นั้นพลิกแพลงขึ้นมาให้เป็นความถูกต้องดีงาม พลิกแพลงขึ้นมาให้มันเป็นความสัจจะเป็นความจริง พลิกแพลงขึ้นมาให้มันเป็นบุญกุศลของเรา เป็นผู้กระทำของเรา เป็นบารมีของเรา เป็นอำนาจวาสนาของเรา นั่นถ้ามันทำๆ นะ ตัวทำไง
ถ้าตัวทำ ตัวทำที่ดีงาม ดีงามมันก็อยู่ที่การกระทำของเรานี่แหละ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันอยู่ที่การสะสมของแต่ละดวงใจที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทำคุณงามความดีมาๆ พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยทำคุณงามความดีทั้งสิ้น พระอรหันต์ต้องแสนกัป
ถ้าพระอรหันต์แสนกัป พระอรหันต์ที่แสนกัปเพราะสิ่งที่ได้ทำมาๆ ทำมาให้จิตมันมีจุดยืนของมัน มีความมั่นคงของมัน มันโดนกระแสสังคมกระหน่ำแน่นอน
ทำดีทำได้แสนยาก แสนยากคือคนไม่เชื่อว่าคนนั้นจะดีจริง พอไม่ดีจริงเขาก็พิสูจน์ตรวจสอบ ลองไง เวลามันพิสูจน์ มันกัดกินไปเรื่อย มันมีจริงหรือไม่ นี่พูดถึงเวลานะ นี่เวลาพิสูจน์กันทางสังคม
แต่เรานักปฏิบัติไม่ใช่อย่างนั้น เรานักปฏิบัติ เราต้องมีสติปัญญาควบคุมใจเรา ถ้ามีสติปัญญาควบคุมใจเรา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนามากน้อยแค่ไหน เวลาที่เสียไป เราได้อะไรมา
หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดประจำ เวลานั่งสมาธิไป ๘ ชั่วโมง ๙ ชั่วโมง ได้สัก ๒ นาที สงบไง แต่ถ้ามัน ๑๘ ชั่วโมงได้ ๔ นาที
ความที่มันสงบ สงบมากน้อยแค่ไหน นี่ผลของการปฏิบัติ ผลของครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติของท่านมา ท่านรู้ ท่านรู้ถึงหัวใจ รู้ถึงกิเลสที่มันแผดมันเผา รู้ถึงสัจจะความจริงที่มันเป็นขึ้นมา
คนที่ไม่เคยเผชิญกับสัจจะความจริงคือไม่เป็นความจริงขึ้นมาเลย ทำแล้วมันเหลวแหลก มันไปทางไหนล้มลุกคลุกคลานทั้งสิ้น
แต่ถ้ามันสงบ สงบอย่างนี้ สงบอย่างนี้แล้วนั่นน่ะมันจะเป็นสัญญา สัญญาอันนั้นน่ะโหยหา เวลาจิตที่มันดีงามแล้วโหยหาจะเอาอย่างนั้นๆ
ไม่ได้ โหยหาไปเถอะ โหยหาขึ้นมานี่สัญญา กิเลสซ้อนกิเลส กิเลสของเรามันก็มีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เคยเห็น เคยได้ มันโหยหา มันซ้อนไง กิเลสซ้อนกิเลส
ที่ว่ากิเลสมันซับซ้อนๆ ซับซ้อนอย่างไร
ซับซ้อนแล้วโดนกิเลสมันปลิ้นปล้อนใช่ไหม แต่ถ้าเวลาถ้าหัวใจมันไปสัมผัสแล้วน่ะ ความอยาก ความอยากอย่างหยาบๆ ความอยากอย่างกลาง ความอยากอย่างละเอียด ความอยากที่เคยได้อย่างนั้น
แล้วเคยได้อย่างนั้นได้อย่างไรมา เคยได้อย่างไรมา
ได้มาด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนามา ได้ด้วยการเผชิญหน้ากับกิเลส ต่อสู้กับมัน พลิกแพลงกับมัน แสวงหาการกระทำนั้น มันเห็นไง เวลาเพลี่ยงพล้ำเป็นอย่างไร เวลามันจะสงบนะ อู้ฮู! วูบวาบเลยนะ ใจมันจะขาด โอ๋ย! มันจะตกจากที่สูง
อันนั้นก็ให้มันเป็นเถอะ ถ้ามันเป็นแล้วนะ ผิดพลาดครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ กว่าจะได้อีก ตอนนี้ไม่ให้ผิดพลาดเลย ก็ผิดอีก ครั้งที่ ๓ พยายามจะให้ได้ มันผิดไม่ผิด แล้วได้หรือไม่ได้ ถ้าไม่ได้ วางไว้ก็ได้
เราฝึกหัดใช้ปัญญาของเราๆ ถ้าใช้ปัญญาของเรา มันจะเปิดโอกาสของใจให้มากขึ้น
ใจของเรานะ ที่ทำแล้วมันไม่ได้ผลเพราะอะไร เพราะว่าเราไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของกิเลสไง ทำแล้วทำเล่ามันชักเห็นเล่ห์เหลี่ยมของมันนะ ไอ้ช่องนี้ ไอ้วิธีการนี้ เราแพ้ทุกทีเลย ไอ้ช่องนี้ ไอ้วิธีการนี้ เราเบี่ยงเบนมันให้มันออกไปทางอื่น พยายามของเราๆ ถ้ามันสงบอยู่บ้าง พอสงบอยู่บ้างนะ ฝึกหัดอยู่อย่างนั้นน่ะ
แล้วเราเชื่อมั่น เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อมั่นในสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราเชื่อมั่นอย่างนั้นเราทุ่มทั้งชีวิตเลย
งานอย่างอื่นอะไรเราก็ทำได้ ชีวิตเราเกิดมา คนที่กล้าหาญไม่กลัวตายๆ ไม่กลัวตายก็เผชิญกับความจริงในใจของตนสิ ไม่กลัวตายก็เผชิญพลิกแพลงความรู้สึกนึกคิดของตนสิ เพื่อให้เข้าสู่สัจธรรมความจริงในใจของเราไง แล้วเวลาเข้าความจริงเห็นไหม
เวลาพระไตรปิฎก ข้อเท็จจริงเป็นทฤษฎี เป็นชื่อที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางไว้เป็นแนวทาง นั้นเป็นชื่อ เป็นวิธีการ แล้วเราก็เอาวิธีการนั้นน่ะ เอามาโต้เอามาแย้งกัน เอามาขัดมาแย้งกัน
แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเอาความจริง เวลาเป็นความจริงๆ จากชื่อเป็นตัวจริง สติจริงๆ สติมันยับยั้งเลย ไอ้ที่ฟุ้งซ่าน ไอ้ที่ว่าสู้จะไม่ได้ ไอ้ที่ว่าจะเป็นจะตาย เวลาพุทโธๆ จนปล่อยหมด จบเลย ไอ้ที่จะเป็นจะตายก็หายแวบ ไอ้ที่ว่าไม่ได้ๆ ไม่ได้มันอยู่ไหนไม่รู้ แต่อันนี้ชื่นบาน ในหัวใจมันชื่นบานไง
นี่ไง ถ้าตัวทำ ดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวทำ ตัวทำๆ เวลาตัวทำขึ้นมา เราอยู่กับสังคมโลก มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมก็อยู่ในสังคมนี้ วิพากษ์พิจารณ์สังคมนี้ๆ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
เราเกิดมาเป็นพระ เราบวชมานี้ก็เป็นสังฆะ เป็นสงฆ์ เรามาลงอุโบสถกัน ลงอุโบสถสามัคคี เวลาถึงเวลาแล้วเราปฏิสันถาร เราพูดคุยกัน นี่เป็นเรื่องของสังคม เป็นเรื่องของคน เรื่องสังคมก็เรื่องของสังคมไง เราอยู่กับสังคม แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันอยู่ที่ใจเรานะ
มันอยู่ที่หัวใจแล้ว อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนพยายามขวนขวายของเราเพื่อความสงบระงับของเรา เพื่อค้นหาหัวใจของเรา
ถ้ามันเจอใจของเรา เห็นไหม นี่ตัวทำ ตัวเป็นคนทำ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ตัวเป็นคนรู้ตัวรู้ ตัวเป็นผู้เห็น แล้วมันจะมีอะไรจะมีค่าไปกว่านี้ล่ะ
ศีลเป็นศีล ธรรมเป็นธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สาธุ เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามันมาเกิดขึ้นเป็นสัจจะเป็นความจริงในใจของเรามันต้องเป็นอย่างนั้นน่ะ แล้วมันเป็นข้อเท็จจริงด้วย ไม่ใช่เป็นแต่ชื่อ
ไอ้นั่นมันชื่อนะ แล้วก็เถียงกันที่ชื่อนั่นแหละ เถียงกัน แต่เราเป็นชาวพุทธไง เราเป็นชาวพุทธโดยวัฒนธรรมประเพณีๆ เกิดมาแล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่อาศัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของฆราวาสเขา เขาก็เป็นประเพณีวัฒนธรรมเพื่อให้เป็นหลักยึดในใจของเขา แล้วเรามาบวชเป็นพระ เป็นสาวกสาวกะ เวลาเราจะประพฤติปฏิบัตินะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
พุทธะ เวลาผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่มันก็ชื่อ แต่ไอ้สิ่งที่ว่าพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนี้มันมาจากหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ท่านซาบซึ้งในใจของท่านมา มาเป็นอำนาจวาสนาของท่าน
เวลาหลวงตาพระมหาบัว ปัญญาอบรมสมาธิๆ เพราะท่านมีสติมีปัญญาของท่าน ท่านถนัดของท่าน ท่านใช้ปัญญาเลาะไปเรื่อย เลาะไอ้เหลี่ยมไอ้คม ไอ้สิ่งที่เป็นตกผลึกในหัวใจ ท่านเลาะของท่านไปๆ มันก็ลงสมาธิ นี่เลาะของท่านไป
เวลาพุทโธๆ ท่านเปรียบเลย เหมือนต้นไม้ใหญ่ โคนที่ต้นเวลาล้ม ตึง! เลยน่ะ พุทโธๆๆ เวลามันลง โอ้โฮ! มันมีปฏิกิริยา มันมีความสุข มันมีกำลังมาก แต่เวลาปัญญาอบรมสมาธิ ตัดทีละกิ่ง เลาะทอนออกมาทีละกิ่งๆ มันเหลือแต่ลำต้น แล้วถ้าตัดลำต้นครึ่งลำต้นลงมา ตัดแล้วมันล้มมาด้วยความไม่ทำให้สิ่งใดเสียหายเลย นี่ปัญญาอบรมสมาธิๆ ไง
มันอยู่ที่ความชำนาญ อยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่คนสร้างอำนาจวาสนาบารมีมาอย่างนี้
ที่เราพยายามประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้ให้เป็นจริตเป็นนิสัย เป็นอำนาจวาสนาของเรา เราทำๆ เราทำเพื่อหัวใจดวงใจนี้ เห็นไหม ตัวทำๆ ดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวทำ
เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เวลากิเลสขาดดั่งแขนขาด ขาดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปจนถึงภวาสวะ ทำลายภพทำลายชาติ มันต้องทำลายเห็นชัดๆ ไม่ใช่ไปทำลายอยู่ในตำรา
ตำราเป็นตำรานะ นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก บาลี ป.๑ ป.๓ ป.๔ ถึง ป.๙ แล้วก็ศึกษาพุทธศาสตร์ให้เป็นมหาบัณฑิต แล้วก็ยังงงๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ
แต่กรรมฐานเรา เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใครจะดูถูก ใครจะเหยียดหยาม ใครจะทำวิเคราะห์วิจัยว่ามันไม่มีผล มันไม่มีประโยชน์อะไร นั้นเป็นการวิเคราะห์วิจัยของเขา เราจะวิเคราะห์วิจัยในใจของเรา ตัวทำๆ
ถ้าตัวทำมันทำได้ สัมมาสมาธิก็จิตมันเป็น เวลาเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาก็ภาวนามยปัญญาเข้ามาถอดถอน เข้ามาสำรอก เข้ามาคายอวิชชาความไม่รู้ กองทัพกิเลส ลูกหลานของมัน แล้วก็พ่อแม่ของมัน แล้วก็ปู่ย่าตายายของมันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เวลาครูบาอาจารย์ท่านเห็นนะ มันละเอียดลึกซึ้งเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป
ชั้นๆ นี่ไม่ใช่อย่างขนมชั้น ไม่ใช่ชั้นๆ ใส่เสื้อผ้า ชั้นนอก ชั้นใน พลิกออกมาก็เป็นชั้นนอก ชั้นนอก ชั้นใน
เวลาศึกษามาแล้วมันพยายามสร้างภาพจินตนาการให้เห็นว่าเข้าใจคำพูดนั้น เข้าใจโวหารนั้น แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรมๆ ดูธรรมๆ ดูธรรมในใจของเราไง
ไม่ใช่เรียกร้องเข้ามาแล้วก็เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาแจกแจง แล้วธรรมะของเอ็งล่ะ แล้วความรู้ของเอ็งล่ะ แล้วถ้ามันสงบ สงบอย่างไร แล้วถ้าเป็นมรรค
อ๋อ! มรรค ๗ มรรค ๘ มรรค ๙ มรรค ๑๐
อู้! กล่าวตู่พุทธพจน์ทั้งสิ้น พุทธพจน์นะ เราวิเคราะห์วิจัยของเราได้ พุทธพจน์ สิ่งที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแนวทางทั้งสิ้น แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมานะ มันเกิดที่ใจ เกิดที่ใจทั้งสิ้น
แล้วเกิดที่ใจ เอ๊อะ! มันเหมือนกัน มันเท่าเทียมกัน มันเกือบจะเท่ากัน แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะคนเราวุฒิภาวะความรู้ความฉลาดมันไม่ฉลาดเท่ากับพุทธวิสัยๆ อัครสาวกต่างๆ เอตทัคคะ ๘๐ องค์เขามีความชำนาญของเขาแต่ละชั้นแต่ละตอนของเขา พระอนุรุทธะ ตอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพานไง พระอรหันต์ทั้งนั้นน่ะนั่งอยู่ด้วยกัน
“ไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานแล้วหรือ”
พระอนุรุทธะบอก “ยัง”
นี่ไง เพราะอะไร เพราะเขาถนัดของเขาอย่างนั้น คนสร้างมาๆ คำว่า “จริตนิสัย” ความถนัดมันแตกต่างกัน ไม่ใช่คนเดียวจะรู้รอบเก่งกล้าสามารถ
พุทธวิสัย เว้นไว้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้าเท่านั้น นอกนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอก ไอ้นั่นน่ะโกหกมดเท็จ แล้วก็เหมือนคนป่วย พูดจาเหมือนคนป่วย เหมือนคนบ้า คนบ้าไม่มีสติปัญญา คนบ้า เขาไม่ถือคนบ้า
ไอ้นี่เราประพฤติปฏิบัติไม่ใช่เพื่อความเป็นบ้า เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่อเป็นความธรรม นี่อยู่ที่ตัวทำๆ ทั้งสิ้น ถ้าตัวทำดีมันต้องเป็นความดี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ยังยืนยันหลักการนี้ ยืนยันแน่นอน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นวิทยาศาสตร์เป็นสัจจะเป็นความจริง ทำดีต้องได้ดี
แต่ถ้าตัวทำนะ มันเป็นพาล มันว่าเห็นดีเป็นชั่ว เห็นชั่วเป็นดี เห็นชั่วเป็นดีแล้วเอาไปทำชั่วแล้วก็ว่าตัวทำดี แล้วทำไมคนไม่เห็นเหมือนเราวะ ทำไมเราทำดีๆ ทำไมคนไม่เห็นความดีเหมือนเราเลย
ดี ดีด้วยอะไร ดีก็ศีล ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ จะดีด้วยทิฏฐิมานะของตน เอ็งก็ดีของเอ็งไป ไม่เกี่ยว แต่ถ้าดีของเรามันอยู่ในศีลในธรรม ถ้าอยู่ในศีลในธรรมขึ้นไปแล้วมันเป็นความดีที่เราทำทิ้งเหว เพราะความดีนี้ทำความดีเพื่อหัวใจ ทำความดีเพื่อเป็นจริตเป็นนิสัย ให้ทำดีทำชั่วตัวทำ ให้ตัวทำมันไม่มีสันดานเห็นชั่วเป็นดี ให้ตัวสันดานเห็นดีเป็นดี เห็นชั่วเป็นชั่ว แล้วพยายามทำของเรา แล้วทำของเรานะ เวลาทำสมาธิ พอทำความสงบใจเข้ามา อันนั้นอยู่ที่คำบริกรรม อยู่ที่การกระทำ อยู่ที่นวกรรม
ถ้าไม่มีนวกรรม นึกเอา เหม่อลอย นึกให้มันเป็น นึกให้เป็นมันก็เป็นนะ นึกให้เป็นมันเป็นจินตนาการแต่ไม่มีกำลัง แต่ไม่เป็นไปได้ แล้วก็นึกอยู่อย่างนั้นน่ะ นึกรอบแล้วรอบเล่า นึกจนป่วย นึกจนป่วย นึกจนช่วยตัวเองไม่ได้
แต่ของเราไม่ใช่ ของเราไม่ใช่ เพราะว่าเราต้องเอาสุขภาพกาย สุขภาพจิตก่อน สุขภาพกาย เรารักษาร่างกายของเราเพื่อให้แข็งแรง แล้วสุขภาพจิตของเรา สุขภาพจิตถ้ามีสติปัญญา สุขภาพจิตแข็งแรง เว้นไว้แต่เผอเรอ เผอเรอทำให้อ่อนไหว ทำให้สุขภาพจิตของเราไม่มีใครดูแล
ถ้าสติเราดูแลของเรา สุขภาพจิตเราดีงาม แล้วทำความสงบของใจเข้ามาได้ ถ้าใจสงบระงับแล้วเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม
ตัวทำๆ ตัวทำนี้สำคัญมาก ตัวทำเพราะอะไร เพราะมันเป็นจริตเป็นนิสัย สร้างเวรสร้างกรรมใดมาขนาดไหน เทวทัตสร้างมาจนได้มาเกิดเป็นญาติกันในวงศ์ตระกูล บวชมาเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็มาแย่งชิงกันอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สร้างแต่คุณงามความดีมาทั้งสิ้น สร้างมาด้วยกัน แต่ดีหรือชั่ว สร้างมาเหมือนกัน มีกำลังเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วเขายังระลึกได้นะ
นี่ก็เหมือนกัน เรามองสังคมไป เวลาสมัยครูบาอาจารย์เรา เวลาประชุมสงฆ์ โอ้โฮ! เขารื่นเริง อันนั้นก็เป็นอำนาจวาสนาของเขา
ไอ้ของเรา ถ้าเราเป็นความจริงของเราได้ เราก็พยายามขวนขวายของเราขึ้นมา ใครมีอำนาจวาสนามันจะทำให้หัวใจนั้นมั่นคง ทำให้เราอบอุ่น ทำให้เรามีการกระทำ
โลกมันร้อน โดยทางวิชาการก็บอก โดยทางธรรมก็บอก โดยความเห็นของเรา เราก็รู้ แล้วเราออกไปเผชิญกับมันมีแต่ความร้อนทั้งสิ้น มีแต่ความเร่าร้อน แต่ก็พอใจจะอยู่กันอย่างนั้นไง
ของเรา เราหลบโลก หลบจากความร้อนมาอยู่ในธรรม อยู่ในธรรม กิเลสมันไม่อยู่ด้วยไง กิเลสมันดิ้นมันรนอยู่อย่างนี้ เราพยายามจะดูแลมันไง แล้วเราทำให้มันดีงาม ให้มันถูกต้อง
ทำให้มันดีงาม ให้มันถูกต้อง มีแต่เหงื่อไหลไคลย้อย เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่อเอาชนะตน มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่ความทุกข์อย่างนี้เป็นความทุกข์ที่เราพอใจ ความทุกข์อย่างนี้เป็นความทุกข์ที่เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราจะเอาสัจจะเอาความจริง เราจะเอาพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยความเป็นจริง
ตัวทำๆๆ ตัวนั้นน่ะ ตัวทำให้เป็นตัวทำของเรา ให้เป็น ตัวทำ ท ทหาร สระอำ กับ ธ ธง กับ ร เรือ ม ม้า ตัวทำจากการกระทำให้เป็นสัจธรรม จากการกระทำ
ไม่มีการกระทำ จะเอาสัจธรรมมาจากไหน ถ้าเรามีการกระทำแล้วมันถึงจะเป็นสัจธรรม ท ทหาร ร เรือ ๒ ตัว ม ม้า เป็นธรรมะในใจของเรา ไม่ใช่ให้ใครมาเชิดชูดูแลยกย่องสรรเสริญ โลกธรรม ๘ ค้ำไว้หรือ อยู่ไม่ได้หรอก
เราทำ ตัวทำนี้สำคัญ ถ้าตัวทำสำคัญ เราทำขึ้นมาให้เป็นประโยชน์กับเรา แล้วไม่มีอะไรสูง ไม่มีอะไรต่ำเลย เป็นพระเหมือนกัน มีความเสมอภาคกัน แล้วมันเป็นสุขนะ ไม่มีทิฏฐิไม่มีมานะ ไม่มีอีโก้ ไม่ต้องการให้ใครยกย่องสรรเสริญ ไม่ต้องการให้ใครยกพนมมือไหว้ตลอดเวลา สบาย
ถ้าเราต้องการให้เขายกย่องสรรเสริญ ยกมือพนมมือไหว้เราตลอดเวลา พอเขาไม่พนมมือเท่านั้นน่ะ เขาไม่พนมมือ ทำไมเราทุกข์ล่ะ มันมาทุกข์ที่เรานี่ไง เพราะตัวทำมันว่างเปล่า ตัวทำมันไร้สาระ ตัวทำมันไม่มีแก่นสาร มันถึงไม่มีสมบัติใดๆ เป็นแก่นสารกับตัวทำนั้น เอวัง