ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

โลกธรรม

๑ มิ.ย. ๒๕๖๗

โลกธรรม

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่).หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม เรื่อง รอยพระพุทธบาท

กราบครูบาอาจารย์สงบ ลูกศิษย์ขอเรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์แสดงไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ไว้ให้พุทธมามกะระลึกถึงพระพุทธองค์เป็นสรณะ แต่ลูกไม่ค่อยได้ยินว่ามีการทิ้งรอยมือไว้เป็นสรณะ คำถาม

หลวงพ่อเคยได้ยินว่ามีการทิ้งรอยมือไว้เป็นสรณะบ้างไหมคะ

ถ้าไม่มี พอจะคาดเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงเลือกทิ้งรอยเท้าไว้เป็นส่วนมาก

ขอบพระคุณค่ะ

ตอบ ไอ้นี่มันเป็นความสนเท่ห์ เป็นความรู้สึกนึกคิดของคนไง เวลามนุษย์ แล้วเทวดา อินทร์ พรหม คนที่มีความรู้สึกนึกคิดมันแตกต่างหลากหลายไปร้อยแปดพันเก้า ฉะนั้น เวลาเขียนรัฐธรรมนูญในประเทศไทย สิทธิความเป็นมนุษย์ ความเห็นต่างเราเห็นได้

แต่ความคิดมันเป็นนามธรรม ความคิดมันอยู่ในร่างกายของเรา ความคิดมันก็เป็นความคิดไง แต่ถ้ามันมีการกระทำ มีต่างๆ ไป เห็นไหม ในวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอาบัติๆ อาบัติความคิดไม่มีไง อาบัติมันเกิดจากการกระทำ วจีกรรม กายกรรม มโนกรรมมันไม่มี

แต่ความเป็นจริงๆ ภาคปฏิบัติ มโนกรรมนี่สำคัญที่สุด เพราะมโนกรรม ความรู้สึกนึกคิดนี่แหละตัวสำคัญมาก มันสำคัญเพราะอะไรล่ะ เพราะมโนกรรมมันมีความคิดไง

เวลาเราพูดประจำ เพราะอ่านมาจากพระไตรปิฎก มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง

เวลามันคิดน่ะ เพราะความคิดมัน โอ้โฮมันลึกลับซับซ้อนจนไม่กล้าพูดให้ใครฟังน่ะ แต่เวลาพูด วจีกรรมก็พูดสละสลวย พูดด้วยมารยาท กายกรรมผิดนี่อาบัติ ถ้าเป็นอาบัติๆ อาบัติคือว่าความชั่วร้ายของพระ ต้องปลงอาบัติ

นี่พูดถึงในความรู้สึกนึกคิด ท่านอาจารย์เคยเห็นรอยมือของพระพุทธเจ้าหรือไม่

ถ้าบอกว่าถ้าไม่เห็นนะ เกิดถ้าไปเห็นเข้าทีหลังมันจะตะลึงเลยล่ะ ทีนี้ว่ารอยมือมันไม่มี มันมีแต่รอยพระพุทธบาท แล้วเห็นไหม พระพุทธบาท ๔ รอย พระพุทธบาท ๔ รอยนะ แล้วสุดท้ายจะมีรอยที่ ๕ มาทับรอยพระพุทธบาท ๔ รอยนั้น รอยสุดท้ายคือพระศรีอริยเมตไตรยจะยิ่งใหญ่กว่านั้น

ถ้าบอกว่า มีแต่รอยพระพุทธบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นรอยที่ ๔ ในพระพุทธบาท ๔ รอย นี่รอยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เล็กที่สุดไง แล้วสุดท้ายเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไง เราวาสนาน้อย เราวาสนาน้อยเพราะอายุเราแค่ ๘๐ ปี พระศรีอริยเมตไตรยข้างหน้าจะ ๘๐,๐๐๐ ปี

รอยพระบาทจะใหญ่กว่านี้ ถ้าใหญ่กว่านี้ แล้วรอยที่ ๕ มากลบทั้ง ๔ รอย เป็นรอยพระพุทธบาท ๔ รอยก็จะเป็นรอยที่ ๕ มายิ่งใหญ่กว่า นี่เพราะอะไร

กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์สร้างบุญญาธิการมาไม่เท่ากัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จะมาตรัสรู้ด้วยอริยสัจ ๔ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ มันเป็นข้อเท็จจริงไง มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระธรรมๆ พระธรรมที่ยิ่งใหญ่อันนี้ ถ้าพระธรรมที่ยิ่งใหญ่อันนี้มันอยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ไง

ฉะนั้น หลวงพ่อเคยได้ยินมาว่ามีการทิ้งรอยมือไว้เป็นสรณะบ้างไหมคะ

อันนี้ไม่เคยเห็น แต่เวลาของเราในกึ่งพุทธกาลนี้ สิ่งที่ว่าหลวงตาพระมหาบัวท่านพูดไว้น่ะ รอยมือของศิษย์อาจารย์แทนกันได้” นี่เวลาท่านพูด เราคิดว่าอันนี้มันเป็นเมตตาธรรมที่ยิ่งใหญ่มาก ให้บริษัท ๔ ให้เชื่อฟังกันไง

แต่ รอยมือของอาจารย์กับรอยมือของลูกศิษย์” เราได้ยินบ่อยมากว่าแทนกันได้ๆ แทนกันตรงไหน

แทนกันมันต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีปัญญาที่เสมอภาค มีปัญญาที่สร้างคุณประโยชน์

แค่กตัญญูกตเวที เราเห็นแล้วเรายังเศร้าใจเลย ทางโลกๆ เขา เขายังมีกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเขา แล้วนี่เป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ รอยมือแทนกันได้ๆ แทนกันได้จริงหรือ

แต่เวลาแทนกันได้ แทนกันได้ด้วยความเมตตาธรรมของท่าน ท่านพูดไว้ให้เป็นหลักยึดให้ศิษย์ของหลวงตาพระมหาบัวได้ทดแทนกัน ได้อยู่ร่วมกันได้ แต่ความจริงมันแทนกันจริงหรือไม่

ถ้ามันจริงนะ หลวงตาพระมหาบัวท่านสั่งสิ่งใดไว้ต้องเป็นอย่างนั้น สั่งไว้ สั่งไว้กับใคร สั่งไว้กับผู้ที่เชื่อถือได้คือหลวงปู่ลี หลวงปู่ลีเป็นพระอรหันต์ หลวงตาท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านสั่งพระอรหันต์ไว้

โลกมันไม่เชื่อ มันย้อนศรทั้งนั้นน่ะ มือลูกศิษย์กับมืออาจารย์ใช้แทนกันได้ แทนกันได้ด้วยความเป็นอึ่งอ่างใช่ไหม อึ่งอ่างๆ มันร้องน่ะ

แต่ถ้าเป็นมนุษย์เขามีกตัญญูกตเวทีนะ ข้าวน้ำที่เราได้ร่วมฉันที่ครูบาอาจารย์ท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร มันจะมียาง มันจะมีกตัญญูกตเวที มีการเคารพบูชาอาจารย์ของตน อาจารย์ของตนสั่งสิ่งใดไว้ว่า จะไม่ย้อนศร จะไม่เถลไถล

นี่พูดถึง เพราะคำถามมันมีเลศนัยไง หลวงพ่อเคยได้ยินไหมว่า สิ่งที่ว่าทิ้งรอยมือไว้เป็นสรณะมีบ้างหรือไม่คะ

เพราะ มืออาจารย์กับมือลูกศิษย์” เป็นคำพูดของหลวงตาพระมหาบัวท่านเทศน์ไว้ แล้วลูกศิษย์ลูกหาของท่านก็เอาคำนี้ไปแอบอ้างไว้เยอะแยะว่ามือของอาจารย์กับมือลูกศิษย์

คือพยายามจะพูดว่าตัวเองมีวุฒิภาวะเท่ากับอาจารย์ของตน เป็นที่น่าเลื่อมใสน่าศรัทธา ให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธาเรา เราคิดว่าเวลาพูดจะพูดเพื่อหวังผลประโยชน์อย่างนั้น

แต่เวลาความหมายของหลวงตา หลวงตาท่านพูดไว้เพื่อให้ความเป็นปึกแผ่น เพื่อความร่วมมือกันในลูกศิษย์ลูกหาของท่านต่างหาก นี่เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านพูด ท่านพูดเพื่อประโยชน์

แต่เวลาคนที่มีปัญหาๆ มันเป็นปัญหาไหม ถ้ามีปัญหาน่ะ สิ่งที่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เป็นจริงเป็นจังถามว่า หลวงพ่อเคยได้ยินไหมว่าทิ้งรอยมือไว้เพื่อเป็นสรณะบ้างไหมคะ

ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบาท ๔ รอย แล้วจะมีรอยที่ ๕ จะยิ่งใหญ่กว่า นี่เพื่อเป็นที่เคารพสักการะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไอ้รอยมือๆ ก็เป็นคำพูดของหลวงตาที่ท่านพูดไว้ แล้วสิ่งที่เขาเอาไปเพื่อเป็นประโยชน์กับเขา เขาก็พูดของเขากันไป

แต่ถ้าคนที่มีคุณธรรมในใจเขาเคารพบูชาที่ใจ ไม่มีครูบาอาจารย์เขาก็แสวงหานะ แสวงหาครูบาอาจารย์ที่ดีงาม แล้วครูบาอาจารย์ที่ทำสิ่งใดไว้ เราก็จะเชื่อฟังท่าน ทำเพื่อประโยชน์กับตัวเองให้เป็นคุณงามความดีขึ้นมาในใจ นี่ข้อที่ ๑.

ถ้าไม่มี เหตุใดพระองค์จึงเลือกทิ้งแต่รอยเท้าไว้เป็นส่วนมาก

เพราะว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วระลึกถึงไงว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ท่านทำอย่างไร เทวดามาถวายบาตรสี่ใบ อธิษฐานให้เหลือใบเดียวแล้วออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ เป็นประเพณีของพระอริยเจ้า เป็นประเพณีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เป็นประเพณี

ฉะนั้น เป็นประเพณีตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงทิ้งรอยพระบาทไว้ นี้เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้า เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วไปสงสัยทำไม ทำไมถึงสงสัย สงสัยว่าตัวเองเก่งกว่าพระพุทธเจ้าใช่ไหม อยากมีความรู้เหนือพระพุทธเจ้าหรือ ถ้าไม่มีแล้วอย่าคิดนอกเรื่องนอกราว

ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้เห็นคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมตตาธรรม ปัญญาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหัศจรรย์ คำว่า มหัศจรรย์” คือศีล สมาธิ ปัญญา มันแก้กิเลสได้

แต่เราไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาอย่างนี้ เรามีแต่ปัญญาของกิเลส ปัญญาเห็นแก่ตัว ปัญญาของเรา แล้วเราก็คิดว่ายิ่งใหญ่ แล้วก็ไปสงสัยพระพุทธเจ้า นี่จบ

ถาม เรื่อง หลังจากจิตสงบจากวิตก วิจาร ปีติ สุขแล้วทำอย่างไรต่อคะ

กราบเรียนถามหลวงพ่อค่ะ หนูเคยนั่งสมาธิกำหนดพุทโธพร้อมดูตามหายใจที่กระทบปลายจมูกลงไปสู่ท้องจนถึงสว่างนวลตา เย็นโล่งสบาย แล้วสงบอยู่ มืดอยู่ แล้วรู้สึกเวิ้งว้างเหมือนอยู่ในอวกาศ รู้อยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรต่อ ลูกต้องทำอย่างไรต่อคะ (หนูนึกวิปัสสนาไม่เป็น นึกถึงผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็เหมือนคิดเอา หรือหนูจำเป็นต้องคิดคะ มันจะเป็นเองไหมคะกราบขอบพระคุณค่ะ

ตอบ ในการประพฤติปฏิบัติๆ เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญจากหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติตั้งแต่เริ่มต้น หลวงปู่เสาร์ท่านเอาหลวงปู่มั่นออกประพฤติปฏิบัติ ออกพรรษาแรกออกธุดงค์ไป หลวงปู่มั่นล้มลุกคลุกคลาน ล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน

กลับมาเยี่ยมบ้านมาเจอเพื่อนเจอฝูง หลวงปู่มั่นมีเพื่อนฝูงมาสนทนา หลวงปู่เสาร์ท่านเห็นท่าไม่ดี ท่านพาหลวงปู่มั่นออกป่าอีกแล้ว ออกไปฝึกหัดประพฤติปฏิบัติกว่าจะทำความสงบของใจได้เกือบเป็นเกือบตาย

เวลาเกือบเป็นเกือบตายแล้ว ถ้ามันสงบของมันได้ พอสงบได้ขึ้นมาแล้ว หลวงปู่มั่นท่านฝึกหัดปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างไร ใช้ปัญญา ปัญญาอย่างไร ล้มลุกคลุกคลาน แต่สิ่งที่เป็นหลักชัย สิ่งที่เป็นสิ่งที่ตรวจสอบได้ที่ประเสริฐที่สุดคือเจ้าคุณอุบาลีฯ

เจ้าคุณอุบาลีฯ กับหลวงปู่มั่น กับหลวงปู่เสาร์ ท่านเป็นคนบ้านเดียวกัน แล้วเวลาเริ่มต้นจากกึ่งพุทธกาลไง กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง

หลวงปู่มั่นท่านบอกเจริญตั้งแต่สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านออกฝึกหัดออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านพยายามฟื้นฟูเรื่องปริยัติ ฟื้นฟูเรื่องทฤษฎี แต่ท่านก็ออกธุดงค์เหมือนกัน แล้วท่านก็สึกหาลาเพศไปเป็นสมเด็จพระจอมเกล้าฯ การฝึกหัดๆ เวลาฝึกหัดไปแล้วเผยแผ่ไป สิ่งที่เป็นธรรมยุติกนิกายนี่แหละ

สุดท้ายแล้วเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านก็ศึกษาของท่าน ท่านศึกษาในเชิงปริยัติ ในเชิงวิชาการ ท่านเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านฝึกหัดปฏิบัติของท่าน แล้วท่านฝึกหัดปฏิบัติของท่านในภาคปฏิบัติ เวลาปฏิบัติไป ปฏิบัติตามความเป็นจริงในหัวใจของตน ปฏิบัติตามความเป็นจริง ภาคปฏิบัติๆ

ภาคปริยัติคือการศึกษา ศึกษาคือธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาท่านล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา สิ่งที่เป็นที่พึ่งที่ปรึกษา หลวงพ่อหนู แล้วก็มาเจ้าคุณอุบาลีฯ

เราจะบอกว่า ภาคปริยัติ ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการตรวจสอบ เป็นหลักชัยที่ว่าทำแล้วมันจะเป็นจริงเป็นจังหรือไม่ ถ้าไม่เป็นจริงไม่เป็นจังขึ้นมามันก็เข้าข้างตัวเอง มันก็หลงใหลได้ปลื้ม แล้วมันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาไม่ได้

ฉะนั้น เวลาคำถามไง หนูนั่งสมาธิกำหนดพุทโธพร้อมดูลมหายใจที่ปลายจมูก จนมันสว่างนวลตา โล่งเย็นสบาย สงบ มืดอยู่ และรู้สึกเวิ้งว้างเหมือนอยู่ในอวกาศ รู้อยู่อย่างนี้ ไม่มีอะไรต่อ หนูต้องทำอย่างไรต่อคะ

รู้อยู่อย่างนี้ โดยธรรมชาติๆ ไง ครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนสมาธิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยสัจ มันต้องมีภาวนามยปัญญา

ฉะนั้น สิ่งที่ภาวนามยปัญญามันจะเกิดขึ้น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบอกให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน

ถ้าไม่ทำความสงบของใจเข้ามาหรือทำความสงบของใจไม่เป็น ขณะที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นออกประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ ล้มลุกคลุกคลานไปกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้นน่ะ มันจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้หรอก จนถึงที่สุดก็สงสัยอยู่อย่างนั้นน่ะ

สุดท้ายแล้ว ถ้าปรึกษาจะมาปรึกษาเจ้าคุณอุบาลีฯ จะมาปรึกษา จะมาทดสอบกันอยู่ตลอดเวลากับภาคปริยัติ กับธรรมและวินัย กับข้อเท็จจริง ให้มันเข้ากัน ลงกัน

เพราะเวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านไปฝึกหัดกับหลวงปู่มั่น มหา มหาเรียนจบถึงมหามาเนาะ เราไม่ได้ดูถูกดูแคลนการศึกษานั้น การศึกษานั้นให้ใส่ลิ้นชักสมองไว้ แล้วลั่นกุญแจมันไว้อย่าให้มันออกมา แล้วเวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติไป ถ้าฝึกหัดประพฤติปฏิบัติไปเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกตามข้อเท็จจริงแล้ว ปริยัติกับปฏิบัติจะเป็นอันเดียวกัน

ปริยัติกับปฏิบัติเหมือนกันเลย ปริยัตินี่คือชื่อ ปฏิบัติคือข้อเท็จจริงที่ผู้ปฏิบัติค้นคว้าขึ้นมา เพราะอะไร

เพราะปฏิบัติขึ้นมาตามข้อเท็จจริงแล้วให้ชื่อไม่เป็นนะ ไอ้นี่มันคืออะไรเนี่ย ไอ้นี่มันคืออะไรเนี่ย มันนวลตา มันโล่ง มันเวิ้งว้าง แล้วนี่มันคืออะไร

นี่ไง พระปัจเจกพุทธเจ้าไง รู้ได้แต่สอนไม่ได้ไง แต่นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องมีศีล ถ้ามีสมาธิก่อน สมาธิคือสมถกรรมฐาน สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานไม่มี มันเป็นโลกียะหมด มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นความรู้สึกนึกคิดธรรมดาเรานี่แหละ

เป็นความรู้สึกนึกคิดขณะที่เขามีการศึกษาจบ ๙ ประโยค ๙ ประโยคนี่มีปัญญาแตกฉานขนาดไหน แต่ให้เขาทำสมาธิให้ดูหน่อยสิ ทำสมาธิเป็นไหม

ภาคปริยัติคือปริยัติล้วนๆ ภาคปฏิบัติคือปฏิบัติล้วนๆ แต่เวลาภาคปฏิบัติปฏิบัติเป็นข้อเท็จจริงแล้ว ปริยัติ ปฏิบัติจะเป็นอันเดียวกัน อันเดียวกันคือ ๙ ประโยคที่ศึกษามานั้นน่ะมันจะเป็นตามนั้น

แต่ ๙ ประโยคศึกษาจบแล้วไม่รู้ ศึกษาจบแล้วนะ ปัญญาแตกฉานนะ รู้ไปทุกเรื่องนะ แต่ไม่รู้เรื่องใจของตัว ไม่รู้กิเลสหรอก

ภาคปฏิบัติไม่รู้ปริยัตินะ แต่ปฏิบัติตามความเป็นจริงไง ศีล สมาธิ ปัญญา ทำความสงบของใจเข้ามาๆ

ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่าที่มันเป็นนวลๆ มันเวิ้งว้างอย่างอวกาศมันคืออะไร มันคืออะไร

เพราะว่ามีสติไง ถ้าสัมมาสมาธิมันจะมีสติสัมปชัญญะว่ามันคืออะไร จิตเป็นอย่างไร ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิเป็นสมาธิ แก้กิเลสไม่ได้ ไม่มีสมาธิ ไม่มีสมถกรรมฐาน วิปัสสนาไม่มี เป็นนิยายธรรมะทั้งหมด เป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด จะบอกว่าเป็นอึ่งอ่างๆ ก็ได้

อึ่งอ่างๆ ไปโดยสัญชาตญาณ โดยสัญชาตญาณของสัตว์ โดยธรรมชาติของอึ่งอ่างมันก็อึ่งอ่างๆ ความคิดมันเป็นธรรมชาติของจิต คนเกิดเป็นมนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือความคิด มันมีโดยธรรมชาติ แล้วมันก็ไหลไปโดยธรรมชาติ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสกลับ คือทวนธรรมชาติอันนี้กลับเข้ามาในจิตของตน

ทำความสงบของใจเข้ามาๆ กำหนดพุทโธๆ จนมันแบบว่าสว่างนวลตา สบายใจ เวิ้งว้าง รู้อยู่อย่างนั้น

รู้อยู่อย่างนั้นคือมีสติ มีสติสัมปชัญญะเป็นเจ้าของสมาธิ เป็นผู้ดูแลสมาธิ จิตมันเป็นสมาธิ

แล้ววิปัสสนาจะเป็นอย่างไรล่ะ ให้นึกถึงผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันนึกอยู่แล้วมันก็เหมือนกับว่าเหมือนหนูต้องคิดไหม ต้องเป็นไหม

ทำความสงบของใจเข้ามาแล้วน้อมจิตไป น้อมจิตไป

นี่ความรู้สึกในสมาธิ เห็นไหม เพราะมันนวลตา มันเวิ้งว้าง มันเหมือนอวกาศไง เราก็ต้องมีความสงบของใจ แล้วเวลามันคลายออกมาฝึกหัดให้มันมีกำลัง ถ้ามีกำลังแล้วน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม

ถ้ามันไม่เห็น ถ้ามันไม่เห็นมันก็ต้องนึกอย่างที่วงเล็บ หนูนึกวิปัสสนาไม่เป็นค่ะ หนูนึกวิปัสสนาไม่เป็น นึกถึงผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันก็เหมือนคิดเอา

คิดเอามันก็ต้องเริ่มต้น เห็นไหม สารตั้งต้น สารตั้งต้นถ้าจิตสงบแล้วมันไม่รู้ไม่เห็น เราก็ฝึกหัด เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านสอนไง ฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญามันเป็นวิปัสสนาอ่อนๆ วิปัสสนาอ่อนๆ คือการฝึกหัด ภาวนามยปัญญามันจะเกิดจากสมถกรรมฐาน

ปัญญาที่เกิดขึ้น ปัญญาที่เกิดขึ้นที่ไบรต์มากจบ ๙ ประโยค จบการศึกษามามากมายมหาศาล นั้นคือการทรงจำ เป็นการศึกษาโดยสุตมยปัญญา ศึกษาค้นคว้าโดยสัญชาตญาณ จากอวิชชา จากกิเลส จากพญามาร

ทำความสงบของใจเข้ามาๆ ถ้าใจสงบคือพญามารสงบตัวลง มันถึงเวิ้งว้างแล้วมีความสุขด้วย เวิ้งว้างนี้มหัศจรรย์ นี่ไง พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

มันเหมือนอยู่ในอวกาศ มันเวิ้งว้าง มันนวลตา

มันไม่ใช่หลับ ว่างๆ ว่างๆ ไม่มีสติ ทำสมาธิๆ ใครๆ ก็ทำสมาธิได้ ทำสมาธิแล้วจะมีความสุข ทำสมาธิมันคืออะไร สมาธิมันคือพูดไม่ได้ สมาธิคือไม่รู้เรื่องอะไรเลย สมาธิคือเวิ้งว้างว่างๆ ว่างๆ

ว่างๆ อะไร ว่างๆ คือคำพูดไง นิยายธรรมะไง แต่จิตมันไม่ได้เป็น ถ้าจิตมันเป็นนะ คำพูดนั้นเรื่องหนึ่งนะ แต่ตัวจิตมหัศจรรย์ นี่พูดถึงว่าถ้ามันสงบไง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า แล้ววิปัสสนาเป็นอย่างไรล่ะ แล้วทำอย่างไรล่ะ

พระกรรมฐานทั้งหมดตายตรงนี้หมดเลย วิปัสสนาไม่เป็น วิปัสสนาไม่ได้ มันได้แต่ทำสมาธิ ทำความสงบ แล้วถ้าขาดสติปัญญา มันก็เป็นฌาน เป็นเรื่องฌาน เป็นฌานโลกีย์ เป็นอึ่งอ่าง เป็นสิ่งที่ตรึกขึ้นมาแล้วคาดการณ์ไป ไม่เข้าสู่วิปัสสนา ถ้าเข้าสู่วิปัสสนา เขาไม่พูดแบบที่พูดกันอยู่นี่หรอก

เพราะคำพูดที่พูดกันอยู่นี้ หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกนะ ผู้รู้มี ผู้ที่ปฏิบัติเป็นมี คนที่ปฏิบัติเป็นเขารู้เลยว่าพูดแค่นี้จิตอยู่ตรงไหน แล้วพูดมานี่ใช่หรือไม่ใช่

ฉะนั้น มันไม่ใช่ ถ้ามันใช่ เหมือนคำถามนี้ คำถามนี้เวลาทำแล้วมันเป็นของมันแล้ว แต่ยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้ เพราะทำแล้วมันเหมือนกับมันนึกเอา

ถ้านึกเอาแสดงว่าจิตใจเรามันไม่เห็นชัดเจนขึ้นมา มันก็ไม่มีรสไม่มีชาติไง แต่ถ้าเวลาฝึกหัดนึกเอา วิปัสสนาอ่อนๆ ก็เริ่มต้น สารตั้งต้น เราจะฝึกหัดให้รู้ให้เห็นขึ้นมาให้ได้

แล้วถ้าทำแล้วมันแบบว่ามันจืดมันชืด มันเหมือนกับคิดเอา...วาง แล้วกลับไปพุทโธต่อเนื่อง พุทโธ ทำความสงบให้เป็นบาทเป็นฐานแล้วก็ฝึกหัดยกขึ้นมาวิปัสสนา ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ก็คือว่าไม่มีวาสนา

คนที่ประพฤติปฏิบัติมันต้องมีวาสนา กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา สายพันธุ์ไง ทุเรียนมีกี่ร้อยสายพันธุ์ เงาะมีกี่ร้อยสายพันธุ์ มนุษย์มีเป็นล้านๆ สายพันธุ์ แล้วเวลาความเป็นจริงขึ้นมาทำอะไรมา นี่ไง มันถึงกลับมาที่ทาน ศีล ภาวนา

ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ เราก็ฝึกหัดของเรา ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดีงามนะ พยายามจะน้อมไปให้ได้ ถ้าน้อมไปได้ ถ้ามันขึ้นสู่ภาวนามยปัญญา ปัญญามันเกิดขึ้น นั่นล่ะถูกต้อง แล้วมันมหัศจรรย์อย่างนั้น

นี่คือคำถามไง คำถามว่า เวลาทำสมาธิแล้วหลังจากจิตสงบจากวิตก วิจาร ปีติ สุขแล้วทำอย่างไรต่อคะ

ก็ฝึกหัดของตน ต้องฝึกหัดมีการกระทำของตน ถ้าฝึกหัดได้มันจะเป็นวิปัสสนาอ่อนๆ อ่อนๆ ฝึกหัด อ่อนๆ แล้วก็เข้มแข็งแก่กล้า แก่กล้าขึ้นไปเรื่อย ทำแล้วทำเล่าๆ นี่ไง ผลของการปฏิบัติ เขาปฏิบัติกันอย่างนี้ ปฏิบัติเพื่อสัจจะเพื่อความจริงในหัวใจของตน ถ้ามันเป็นไปได้มันก็เป็นไปโดยข้อเท็จจริง

ไม่มีสิ่งใด พระพุทธศาสนาไม่มีของฟรี ไม่มีสิ่งใดตกมาจากฟ้า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ปฏิบัติผิดก็ผิดต่อไป ปฏิบัติผิดแล้วฝึกหัดแก้ไขดัดแปลงให้เข้าสู่ความถูกต้อง ถ้าความถูกต้อง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จบ

ถาม เรื่อง สวดมนต์แล้วน้ำตาไหลอัดอั้นตันใจ

กราบถามหลวงพ่อค่ะ ปีติต้องมีอาการโปร่งเบาสบายด้วยใช่ไหมคะ บางครั้งหนูสวดมนต์อธิษฐานจิต น้ำตาไหลแต่ไม่เบาสบาย มีความรู้สึกทางใจเข้ามาแบบอัดอั้นตันใจไม่ทราบสาเหตุค่ะ เป็นอยู่สองครั้ง ตอนคุณแม่เสียแล้วสวดมนต์อยู่ในวัด กับตอนสวดทำบุญให้เด็กที่ถูกทำแท้ง (หนูไม่เคยทำแท้ง แค่อยากทำบุญให้ค่ะแต่ทั้งสองครั้งหนูไม่ได้รู้สึกเศร้า แต่ความรู้สึกและน้ำตามันออกมาเอง ไม่ทราบว่าเกิดจากเหตุใดคะ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อค่ะ

ตอบ นี่คำถามนะ สวดมนต์แล้วน้ำตาไหล

เวลาสวดมนต์ เวลาทำคุณงามความดี เวลาความซาบซึ้ง นี่มันเป็นพันธุกรรมของจิต มันเป็นจริตนิสัย คำว่า จริตนิสัย” นะ คนที่มีอำนาจวาสนามีศรัทธามีความมั่นคง เขาจะไม่หลั่งน้ำตาให้ใครเห็นเลย เขามีสัจจะมีความจริงในใจของเขา

แต่เวลามันตื้นตันใจ เวลาคนที่รักชอบพลัดพรากจากกันไป เวลามาเจอกันใหม่ๆ น้ำตาไหลพราก มันตื้นตันใจไง เวลาคนทุกข์คนยากคนเสียใจก็น้ำตาไหล น้ำตามันก็คือน้ำตา ธาตุ ๔ ไง มันเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟอยู่ในร่างกายของเรานี้ แต่เวลาจิตใจที่มันสะเทือนน่ะ จิตใจเวลามันสะเทือนใจ ถ้ามันสะเทือนใจในรูปแบบของอะไร

ถ้าในรูปแบบของความทุกข์ความยากก็น้ำตาไหล มันสะเทือนใจ เห็นไหม สิ่งที่รักพลัดพรากจากกันมานานแล้วมาเจอกัน มันมีความสุขมีความปลาบปลื้ม มันมีความตื้นตันใจก็น้ำตาไหล

ฉะนั้น คำว่า น้ำตา” มันถึงเป็นกลางไง น้ำตามันเป็นกลาง น้ำคือน้ำ แต่มันสะเทือนใจโดยสุขหรือโดยทุกข์ล่ะ โดยสุขก็น้ำตาไหล โดยทุกข์ก็น้ำตาไหล โดยความเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็น้ำตาไหล

ฉะนั้น น้ำตาไหลมันคืออะไรล่ะ

ต้องไปถามจักษุแพทย์ เราไม่ใช่จักษุแพทย์ เราไม่รู้ แต่เราพูดถึงธรรมะ ถ้ามันสวดมนต์ สวดมนต์แล้วมันสะเทือนใจ สะเทือนใจเพราะอะไร เพราะสิ่งที่มันเป็นความสมดุลความพอดีของมัน เห็นไหม

สวดมนต์ครั้งแรกที่น้ำตาไหลเพราะแม่เสีย พอแม่เสียแล้ว แม่เสีย แม่เป็นผู้มีพระคุณ แล้วผู้มีพระคุณ เราต้องพลัดพรากจากไปแล้ว เราทำคุณงามความดีเพื่อแม่ของเรา

เวลาพ่อแม่อยู่กับเรา เราก็ยังไม่ได้ดูแลพ่อแม่ได้สมความปรารถนา เวลาเรามาคิดได้ พ่อแม่ก็เสียไปแล้ว น้ำตาไหลเพราะอะไร เพราะพ่อแม่เสียไปแล้วจะกลับคืนมาอีกไม่ได้ จะมาสร้างคุณงามความดีหรือทำความชั่ว พ่อแม่ก็ตายไปแล้ว แต่เวลาพ่อแม่อยู่กับเรา เราจะทำคุณงามความดีขนาดไหน เรายังมีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ของเรา ถ้ามันน้ำตาไหลคือว่ามันจบแล้ว มันก็สะเทือนใจ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาอีกครั้งหนึ่ง เวลาทำบุญกุศลเพื่อเด็กที่เขาโดนปิดโอกาสการเกิดของเขาไง ก็มีความเมตตากับเขา เวลาสวดมนต์ก็น้ำตาไหล

น้ำตาไหลก็คือน้ำตาไหล เวลามันสะเทือนใจไง สิ่งที่สะเทือนใจก็คือใจของเรา มันเป็นจริตนิสัย เขาเรียกว่า บางคนจิตใจนุ่มนวลอ่อนหวาน จิตใจแข็งกระด้าง จิตใจต่างๆ จิตใจของคนมันร้อยแปดพันเก้า แล้วในใจดวงเดียวนั่นแหละ เดี๋ยวมันก็แข็งกระด้าง เดี๋ยวมันก็อ่อนแอ เดี๋ยวมันก็ดิ้นรนขวนขวายของมันไป นั่นมันคืออะไรล่ะ

นี่เวลาเราฝึกหัด ฝึกหัดขึ้นมาก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมา เข้มแข็งไม่ได้เข้มแข็งด้วยตัวมันเอง เข้มแข็งด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยปัญญาอบรมบ่มเพาะ ด้วยความคิดไง อันนั้นไม่ถูก ไม่ควรกระทำ อันนั้นสิ่งที่ดีงาม เราจะฝึกหัดของเรา สร้างสมของเราขึ้นมานะ ให้จิตใจเราเข้มแข็งขึ้นมาด้วยเหตุด้วยผล ฝึกหัด

นี่ไง พันธุกรรมของจิตๆ ไง แต่ละภพแต่ละชาติไง บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนไป สร้างสมบุญญาธิการมามากมายขนาดไหนถึงมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไอ้เราเกิดมาเป็นนายหมูนายหมานี่ มีบุญมีบาปแค่ไหนก็แล้วแต่ เราก็จะมาทำของเราปัจจุบันนี้ ถ้าเราสร้างคุณงามความดีของเรา สร้างคุณงามความดี ถ้ามีวาสนาขึ้นมานะ วาสนาชาตินี้ปฏิบัติเดี๋ยวนี้ให้เป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนี้เลย ถ้ามีวาสนา

วิมุตติสุขๆ ไม่เอาหรือ ความดีเหนือโลกไม่สนใจใช่ไหม เยี่ยม เอาเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องไปทุกข์ไปยากกระเสือกกระสนกับใครอีกแล้ว ใครจะกระเสือกกระสนจะทุกข์จะยากเรื่องของเขา เราจะสิ้นกิเลส วิมุตติเดี๋ยวนี้ ทำได้เดี๋ยวนี้เลย

แต่มันทำแล้วมันไม่ได้ไง ก็อยากจะทำอย่างนั้นเพราะเราเป็นชาวพุทธเราก็ศึกษาอย่างนี้ แต่ทำแล้วมันไม่ได้ นั่งสมาธินะ ครูบาอาจารย์เรา ๒๔ ชั่วโมง ธรรมะอยู่ฟากตาย เวลาไปถึงตัวมันน่ะมันบอก มึงตายนะ ทำแล้วพรุ่งนี้ทำงานไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นจะตายนะ...เลิกดีกว่า จบครับ

ธรรมะอยู่ฟากตาย ครูบาอาจารย์นะ ถ้าจะตาย อะไรตายก่อน ขอดู เราเวลาปฏิบัตินะ จะเป็นจะตายอย่างไรไม่สน ตายเลย จะเป็นจะตายด้วยอุบัติเหตุ จะเป็นจะตายด้วยกิเลสหลอก เรานี่โดนมาตลอด กิเลสมันหลอกเลย กินข้าวไม่ได้ ห้ามกิน จะกินข้าวทีไรอาเจียนทุกทีเลย

จนใช้ปัญญาตะล่อมตลอดจนกว่ามันจะบอกว่า ถ้ามันรังเกียจนัก นี่เวลามันคิดนะ ถ้ามันรังเกียจอาหารนัก อดอาหาร อดอาหารจนมันตีกลับน่ะ ฉันอาหารไม่ได้ นึกถึงว่าจะฉันอาหารจะอ้วกแตกทันที อาเจียนพุ่งเลย โอ้โฮเป็นอยู่หลายวัน

ก็มาพิจารณา คิดเลย รังเกียจอะไรเขา ถ้าไม่ฉันมันก็ตาย มันเป็นวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว ไม่มีอาหารตกเข้าร่างกาย ร่างกายจะอยู่ได้อย่างไร แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ ถ้ารังเกียจ พรุ่งนี้ฉันข้าวเปล่าๆ ได้ไหม พรุ่งนี้เราไปบิณฑบาตกันเนาะ แล้วกลับมาแล้วไม่เอาอะไรเลย เอาข้าวเปล่าๆ ยอมไหม ถ้าไม่ยอมมันจะอ้วกเลย อาเจียนพุ่งทันที

แล้วค่อยตะล่อมๆ จนจิตมันเบาลงๆ อย่างนี้ก็ได้ๆ อย่างนี้ก็ได้ก็เตรียมบาตร เพราะเวลาอดอาหาร บาตรเก็บไว้เลย เวลาจะออกบิณฑบาตต้องเช็ดบาตรเตรียมพร้อม พอเตรียมแล้วพรุ่งนี้ออกบิณฑบาตได้ นี่เรารอดตายมาหลายที จะเป็นจะตายมาเยอะแยะ

ธรรมะอยู่ฟากตาย เพราะอะไร เพราะทุกคนมันสงวนรักษาชีวิต นั่งสมาธิแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่สบาย เดี๋ยวร่างกายมันจะเป็นพิการ เดี๋ยวมันจะ...” ร้อยแปด

ไอ้ของเรานี่มันอดอาหารไม่ให้กินเลย ความคิดตัวเอง แล้วพอมันจะต่อต้านนี่มันเกิดปฏิกิริยาทางร่างกาย โอ้โฮร้อยแปด ผ่านมาแล้ว แก้ไขมาด้วยจิตของตน แก้ไขมาด้วยตัวของตัว ฉะนั้นบอกว่า ธรรมะอยู่ฟากตาย การประพฤติปฏิบัติเขาลุยไฟกันมาขนาดไหนถึงจะได้มรรคผลกันมาบ้าง

ไม่ใช่ว่า อึ่งอ่างๆ ตื่นขึ้นมาบรรลุธรรม

นั่งสมาธิแค่ทำความสงบน่ะนะ มันเป็นไสยศาสตร์ด้วย กว่ามันจะสงบนะ มันเป็นฌาน เป็นอภิญญาน่ะ มันเป็นเรื่องโลกๆ เรื่องฤๅษีชีไพร มันยังไม่เข้าพระพุทธศาสนาเลย

จะเข้าพระพุทธศาสนามันต้องเป็นสัมมาสมาธิ คือสมาธิที่มีศีลมีธรรม สมาธิถูกต้องชอบธรรม แล้วพอเป็นสมาธิแล้ว นวลตา เวิ้งว้าง แต่วิปัสสนาไม่เป็นเจ้าค่ะ

กว่าจะยกวิปัสสนา นี่อำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของจิต จิตที่มีอำนาจวาสนาแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ดีงาม

ครูบาอาจารย์ที่ดีงามนะ ท่านฟังท่านรู้ว่าควรเป็นอย่างไร ควรทำได้แค่ไหน แล้วทำแล้วมันก็เป็นอำนาจวาสนาไง

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราวาสนาน้อย” นี่เป็นพระพุทธเจ้านะ ยังว่าวาสนาน้อย พระบาท ๔ รอย รอยเล็กที่สุดน่ะ พระศรีอริยเมตไตรยจะมาใหญ่กว่านั้น เพราะเขา ๑๖ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย เขา ๘ อสงไขย เขา ๑๖ อสงไขย เขาสร้างมามากมายขนาดไหน

นั่นมันเป็นวิทยาศาสตร์ ใครทำมากได้มาก ใครทำน้อยได้น้อย ไม่ต้องมาเถียงกัน แต่อริยสัจหนึ่งเดียว ถ้าทำได้จริง

วาสนามากน้อยขนาดไหน นี่เราฝึกหัดไง ฉะนั้นบอกว่า เวลาสวดมนต์แล้วน้ำตาไหล

น้ำตาไหลมันก็เป็นจริตนิสัย ไม่มีอะไรแปลกประหลาดหรอก แล้วก็ไม่ต้องไปตกใจสะเทือนใจอะไรทั้งสิ้น เราก็ฝึกหัดของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา เราจะมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาฝึกหัดใจให้มันประเสริฐ ประเสริฐดีขึ้น แล้วปฏิบัติของเราให้เข้มข้นขึ้น

ถ้ามันเป็นไปนะ ก็พันธุกรรมของจิตนี่ไง ถ้าจิตมันดีงาม ทำสมาธิก็ได้สมาธิ ฝึกหัดปฏิบัติก็ได้ปฏิบัติไง ปฏิบัติเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนาไง

ไม่ใช่เกิดปัญญากิเลสไง รู้นั่นบรรลุธรรม

บรรลุโดยที่ไม่มีเหตุไม่มีผล เอ็งเชื่อหรือ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นหรือ เก่งกว่าพระพุทธเจ้าใช่ไหม พระพุทธเจ้า มรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๔ คู่ เป็นสัจจะเป็นความจริง แล้วปฏิบัติให้มันเป็นความจริงขึ้นมา

นี่พูดถึงถ้ามันสวดมนต์แล้วน้ำตาไหล ก็ไหลตอนที่สวดมนต์นั่นแหละ ถ้าบอกว่าเป็นปีติก็ว่าเป็นปีติ เป็นปีติก็เป็นอาการของจิต

จิตเกิดมาแล้วมันมีบุญมีบาปเป็นอาหารของจิตใจไง มันมีบุญกุศลขึ้นมาก็เป็นประโยชน์กับจิตของเรา เราทำเพื่อประโยชน์ของเรา ทำเพื่อหัวใจดวงนี้ ประพฤติปฏิบัติในตามแนวทางของตน แล้วฝึกหัดปฏิบัติ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้ก่อน

คนจะถามนี่มันต้องรู้ขึ้นมาก่อนแล้วถึงถามมา ถ้าไปอ่านหนังสือ ไปฟังเขาเล่าว่าแล้วจะมาถามนะ เบื่อ เอวัง