เทศน์บนศาลา

ใจติดหล่ม

๒o มิ.ย. ๒๕๔๔

 

ใจติดหล่ม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒o มิถุนายน ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนตาบอดไม่เห็น คนตาบอดก็ค้านไปเรื่อย คนตาดี ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ถ้าคนตาดีมีตาเห็น ธรรมะจะเป็นประโยชน์มากเลย คนไม่มีตา ถึงมีตาก็ปฏิเสธนะ เดี๋ยวนี้เป็นชาวพุทธ พูดว่าเป็นชาวพุทธทั้งหมด แต่ชาวพุทธได้ศึกษาธรรมะกันขนาดไหน เข้าถึงธรรมขนาดไหน เข้าถึงธรรม

เข้ากันถึงแต่เปลือกๆ แค่ทำว่าบุญกุศลเท่านั้น แค่จำชื่อของธรรมได้เท่านั้นเองนะ แค่จำชื่อของธรรมแล้วก็บุญกุศลเป็นอย่างไรเอามาคุยกันว่าทำบุญจะได้บุญกุศล จะไปสวรรค์ไปอะไร ว่ากันไป แค่ได้จำชื่อของธรรมะแล้วก็มาคุยกัน คนตาบอดไง

ถ้าคนตาดีฟังธรรม ธรรมจะเข้าสะเทือนถึงหัวใจเลย ธรรมะสามารถฉุดลากหัวใจได้ หัวใจติดหล่มนะ ใจเราติดหล่ม การเกิดและการตายติดหล่มมา หล่ม หล่มอันนี้ทำให้เกิดให้ตายไปตลอด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกปรารถนาพุทธภูมิ สร้างสมบุญญาบารมีปรารถนาพุทธภูมิ เกิดมาใน ๑o ชาติสุดท้ายเกิด

ชาติสุดท้ายเกิดเป็นพระเวสสันดร “ใจติดหล่ม” อยู่ เกิดมา บุญกุศลพาให้เกิด ปรารถนาพุทธภูมิ สร้างสมบุญญาธิการมา ชาติสุดท้ายเกิดเป็นพระเวสสันดรต้องสละ สละทุกอย่าง ให้ทำบุญกุศล สละ บุญกุศล ให้ทานทุกอย่างเลย ใครขออะไรให้หมด พระเวสสันดร นี่ทานบารมี มีคุณประโยชน์มาก สำหรับว่าเป็นปรารถนาพุทธภูมิ นี่บุญกุศล ถึงว่าคำว่า “ติดหล่ม”

บุญกุศลนะ บุญกุศลทำขึ้นมาก็ทำคุณงามความดี ความดี กุศล อกุศล เข้าไปในหัวใจนั้น ใจติดหล่มติดอย่างนั้น ติดบุญกุศล ติดความเห็นของตัว ติดเรื่องซับซ้อนอยู่ในหัวใจนะ มันบีบบี้สีไฟอยู่ในหัวใจนั้น ติดหล่มไปอยู่อย่างนั้น เกิดตายเกิดตายอยู่อย่างนั้น หัวใจติดหล่ม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็หัวใจติดหล่มมาก่อน สละทานสละไปขนาดไหนแล้วมีทุกข์ไหม เขาขอลูกขอเมียขอทั้งหมด สละออกทั้งหมด มันมีความทุกข์ไหม มันต้องเจ็บปวดยอกหัวใจทั้งนั้น นี่สละออกไป สละออกไปเพื่อบุญกุศล เพื่อเกิดเป็นคุณงามความดี ปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็ติดหล่มมาก่อน

เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะชาติสุดท้ายก็หัวใจติดหล่ม ติดหล่มมานะ ติดหล่มมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เขาปรนเปรอมีความสุขขนาดไหน จะมีความสุขมากไปก็อยู่ของโลกเขาอย่างนั้น แต่เวลาไปออกไปเห็นเทวทูต เห็นผู้เกิด ผู้แก่ ผู้เจ็บ ผู้ตาย นี่มันได้คิด ความที่ได้คิดของใจนั่นน่ะ ใจพอได้คิด ใจก็แวะย้อนกลับมา ย้อนกลับมาว่าจะทำอย่างไร จะหาทางออกจากหล่มนี้ให้ได้ ใจติดหล่มมันต้องเกิดต้องตาย สิ่งที่ตรงข้ามกับการเกิดและการตายมันต้องมีอยู่สิ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละสมบัติออกทั้งหมด สละออกหมด ออกหาโมกขธรรม ออกไปเริ่มต้นปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติของตัวเองไปแสวงหาโมกขธรรมไป ศึกษากับลัทธิศาสนาต่างๆ ศึกษาทั้งหมด ทำคุณงามความดีขนาดไหนที่ว่าในขณะนั้นที่เขาทำกันว่าเป็นความเพียร เป็นความเพียร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำทั้งนั้น ความเพียรขนาดไหนก็ได้ร่วมทำกับเขา ได้ศึกษาเล่าเรียนกับเขา ทำกับเขาแล้วมันไม่ใช่ทาง ไม่ใช่ทาง เห็นไหม มันไม่มี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพุทธภูมิต้องแสวงหาเอง ธรรมนี้ถึงว่าธรรมที่ประเสริฐ ประเสริฐเพราะเราได้ยินได้ฟัง ถ้าเราได้ยินได้ฟังธรรมที่มีอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี พอไม่มีนี่เที่ยวแสวงหาไปกับเขา เที่ยวพยายามศึกษาไปลัทธิต่างๆ แต่ศึกษาแล้วก็คว้าน้ำเหลว คว้าน้ำเหลว ถ้าธรรมะไม่มีมันเป็นอย่างนั้น

แต่ปัจจุบันนี้ธรรมมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาเข้าไปถึงจิตสงบเข้าถึงบุพเพนิวาสานุสติญาณ กำหนดดูอดีตชาติได้ทั้งหมด จุตูปปาตญาณก็เข้าไป มันไม่ใช่ทั้งหมด ไปอดีตอนาคตนี้ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย เพราะมันเป็นเรื่องของขันธ์นี้ในหัวใจนั้น เรื่องของข้อมูลสะสม ที่หล่มในใจๆ ใจจริงๆ มันติดขันธ์อีกทีหนึ่ง แล้วขันธ์ก็อยู่ในหัวใจนั้น ติดขันธ์อันนี้มันข้อมูลเดิมมันก็ออกมา ออกมามันก็หมุนไป หมุนไป บุพเพนิวาสานุสติญาณอดีตชาติไม่มีที่สิ้นสุด มันยืนยันว่าการเกิดและการตาย ถ้าหัวใจติดหล่มมันติดอย่างนั้น

จนอาสวักขยญาณทำลายกิเลสสิ้นไปจากหัวใจด้วยมรรคอริยสัจจัง นี่เกิดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นผู้ที่ค้นคว้าธรรมอันนี้มา ธรรมอันนี้ถึงประเสริฐ ประเสริฐมาก แล้วถ้าผู้ที่มีหัวใจนะ ผู้ที่มีดวงตา ผู้ที่เปิดตาขึ้นมามันจะได้ประโยชน์จากธรรมอันนี้ ถ้าเราศึกษาโดยมืดบอด เราหลับตาก็ศึกษาก็คลำไป ตามืดบอดแล้วก็คลำไป หาไป หาไม่เจอ สิ่งนั้นแสวงหาเท่าก็หาไม่เจอ หาไม่เจอเพราะอะไร

เพราะว่ามันตกหล่ม ใจติดหล่มมันติดอยู่ในหล่มนั้น มันหาหล่มนั้นไม่เจอ เราเกิดมา เราก็เกิดมาติดหล่มมาเหมือนกัน อะไรเกิด? ใจพาเกิด ใจเท่านั้นใช่ไหมที่พาเกิด ใจเท่านั้นใช่ไหมที่ว่ามีทุกข์มียากอยู่ เราทำคุณงามความดีขนาดไหน เป็นคุณงามความดีมามันก็สะสมลงมาที่ใจ เป็นอกุศลมามันก็สะสมลงมาที่ใจ ใจเท่านั้นเก็บข้อมูลอยู่ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมะนะ

ใจเปรียบเหมือนช้างสารที่ตกมัน ใจของคนเปรียบเหมือนช้างสารนะ ที่ตกมันแล้วเอาไว้ให้อยู่ในอำนาจของตัวเองไว้ไม่ได้ ช้างสารที่ตกมัน เราคิดสิว่าช้างที่มันตกหล่มอยู่ มันทำอย่างไร มันตกหล่ม มันพยายามช่วยตัวมันเองใช่ไหม ช้างถ้ามันตกหล่ม มันก็กลัวว่ามันจะเป็นทุกข์ เป็นถึงกับชีวิตของมันไป เสียชีวิตของมันไป มันพยายามตะเกียกตะกายจะขึ้นจากหล่มให้ได้ ช้างสารที่มันตกมันที่มันตกหล่ม

แต่หัวใจของเราเปรียบเหมือนช้างสารที่ตกหล่ม อันนี้เป็นบุคลาธิษฐาน เป็นสิ่งที่เปรียบเทียบว่าเราน่าเห็นใจหัวใจของเราเอง เราไม่เคยเห็นใจของเราเองใช่ไหม เวลาเราเกิดเราทุกข์ยากขึ้นมา เราทุกข์เรายากจนน้ำตาไหล จนความเจ็บปวดขนาดไหน มันก็เป็นที่ว่าช้างมันขยับแข้งขยับขาอยู่ในหล่มนั้นน่ะ อยู่ในหล่มแล้วมันก็ให้ความทุกข์กับใจดวงนั้น มันให้ความทุกข์ เราคิดว่าสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ สิ่งนั้นจะเป็นคุณกับเรา เราพยายามแสวงหาสิ่งต่างๆ ขึ้นมา แล้วมันเป็นประโยชน์กับเราไหม

การเกิดมาเป็นมนุษย์มันมีหัวใจขึ้นมาสำคัญมาก หัวใจมันสามารถแสวงหาสิ่งที่ชำระมันได้ มันสามารถเพิกถอนความติดหล่มของมันออกไปได้ แต่หัวใจมันโดนกิเลสปกคลุมอยู่ มันว่าโดนกิเลสปกคลุมอยู่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาพาเกิด สิ่งที่พาเกิดนั้นมันปกคลุมอยู่ มันมองไม่เห็นสิ่งนั้น สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นมันปกคลุม

พอปกคลุมมันมีอำนาจเหนือกว่า มันกดใจไว้ มันกดใจไว้อยู่ในอำนาจของมัน แล้วมันก็แสวงหาความคิดตามประสาของมันที่ว่าจะให้เป็นประโยชน์กับมัน ให้เป็นประโยชน์กับมันนะ ประโยชน์กับมันคือประโยชน์กับกิเลส คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับมัน แล้วมันก็ทำประสาความพอใจ ความพอใจของกิเลส

กิเลสนี้ไม่มีเมืองพอ กิเลสนี้มีอำนาจมากในหัวใจดวงนั้น มันทำลายทุกอย่าง เสี่ยงบุญเสี่ยงกรรมเสี่ยงอำนาจวาสนา เสี่ยงทำคุณงามความดี เสี่ยงความชั่ว เสี่ยงสิ่งที่ว่าเขาไม่อยากทำกัน มันมีความคิดความต้องการ มันก็เสี่ยงทำ พอมันเสี่ยงทำแล้วผลมันตกอยู่ที่ไหน

มันเป็นคนเสี่ยงนะ อยากทำอะไรพยายามเสี่ยงออกไปเพื่อจะทำ เพื่อจะพูดว่าคิดว่าสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น เป็นประโยชน์กับความสุขของมัน แล้วมันก็เสี่ยงทำ ถ้าเป็นอกุศลเสี่ยงทำสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมา สิ่งนั้นก็สะสมลงที่ใจ มันสะสมลงที่ใจ แต่ตัวมันเองมันไม่รับผลนั้นเพราะอะไร เพราะมันเกิดดับเหมือนกัน มันเป็นอนุสัยนอนเนื่องไปในใจ ใจคิดอย่างใดแล้วก็เป็นอนุสัยนอนเนื่องไปในหัวใจนั้น

แล้วมันก็เสี่ยงบุญเสี่ยงกรรม มันเสี่ยงทำกับมันทำให้ไม่มีความสุขในหัวใจนั้น หัวใจนั้นมีแต่ความทุกข์ยากแล้วก็ไม่พอใจ สิ่งที่ไม่พอใจก็ทำไม่ได้ สิ่งที่ไม่พอใจก็หักห้ามไม่ได้ หักห้ามตัวเองไว้ไม่ได้ ช้างตกหล่มมันก็ยังพยายามจะเอาตัวรอดมัน มันเป็นสิ่งที่มันมีชีวิต มันพยายามจะเอาตัวมันเองรอด แต่หัวใจของเราตกหล่มในอวิชชา มันไม่รู้ตัวมันเอง เพราะมันเห็นตัวมันเองไม่ได้ มันทำตัวมันเองไม่ได้ มันช่วยเหลือตัวมันเองไม่ได้ นี่หัวใจตกหล่มมันน่าสะอิดสะเอียน น่าคิดน่าเอาตัวรอดให้ได้ น่าว่าถ้าเราเห็น เราเข้าใจว่าหัวใจเราตกหล่มเพราะอะไร เพราะมีธรรม

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ไว้แล้ว เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เคยตกหล่มมาก่อน หัวใจนั้นตกหล่มมาก่อน เพียงแต่ว่าท่านสร้างสมบุญญาธิการมามาก ท่านถึงต้องเอาตัวของท่านเองพ้นออกไปจากกิเลสให้ได้ แล้วก็วางธรรมะอันนี้ไว้ มันเป็นเครื่องยืนยันว่าผู้ที่เดินออกไปเป็นองค์แรก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วอัครสาวกต่างๆ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอานนท์ต่างๆ ก้าวเดินตามกันไปตามกันไป เป็นพยานกันว่าสิ่งนี้เป็นไปได้ ธรรมนี้เป็นของจริง ธรรมนี้เป็นผู้ที่ก้าวเดินออกไป ครูบาอาจารย์ที่ก้าวเดินตามธรรมออกไปก็มีธรรมในหัวใจเหมือนกัน

ในเมื่อธรรมในหัวใจขึ้นมา มันมีความสุข แล้วบอกขยะแขยงเรื่องของกิเลส มันเห็นเรื่องของกิเลสแล้วมันยอกใจ มันพยายามชักนำให้เราพยายามฝึกฝน เราพยายามก้าวเดินตามไป สิ่งที่ครูบาอาจารย์วางไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์เอกวางธรรมอันนี้ไว้เป็นเรื่องจริง เป็นความจริง

แต่เพราะหัวใจตกหล่ม ๑ เพราะกิเลสอวิชชาบังหัวใจไว้ ๑ ถึงเป็นลูบๆ คลำๆ เราถึงลูบๆ คลำๆ ของเราไป เราพยายามลูบคลำธรรมของเราโดยไม่มีความจงใจ ไม่มีความจงใจเรื่องมันทำไป มันถึงให้ผลเป็นผลลบแล้วหัวใจก็ท้อถอย

เราประพฤติปฏิบัติธรรม เราพยายามทำคุณงามความดีเพื่อให้ใจนี้ออกไปพ้นจากหล่มให้ได้ เราพยายามเอาหัวใจนี้พ้นออกมาให้เข้าถึงธรรมให้ได้ ยิ่งประพฤติปฏิบัติทำไมมีแต่ความทุกข์ มันมีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ มีแต่ความคิดว่าเราจะทำอย่างไรให้มันได้ผลของเราขึ้นมา นี่มันมีความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาเพราะทำแล้วมันไม่ได้ผลอย่างนั้น มันไม่ได้ผลเพราะมีความอยาก เราไปอยากทำ ๑ อยากในผลอันนั้นแต่ไม่อยากในเหตุ

ถ้าเราอยากในเหตุ เราสร้างเหตุของเราไปมันต้องเป็นไปอย่างนั้น เป็นไปตามธรรม “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ต้องเป็นตามธรรมอันนั้นแน่นอนเลย” แต่นี้มันไม่สมควรแก่ธรรม แล้วมันไม่ได้สมควรแก่ธรรมโดยธรรมดานะ มันไม่ใช่ธรรมเลยล่ะ มันเป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของความคิด เป็นเรื่องของจินตนาการทั้งหมด เป็นเรื่องเราคาดเราหมาย

สิ่งที่เราคาดเราหมาย มันจะเป็นไปได้อย่างไร ปัญญาทุกอย่างที่เราคิด เราจินตนาการอยู่นี้ มันทำให้จิตนี้เป็นความสงบให้ได้ ถ้าช้างมันตกหล่ม มันพยายามเอาตัวมันรอด มันพยายามจะหาทางรอด มันพยายามยืนให้ได้ แล้วพยายามจะขึ้นจากหล่มให้ได้ นี่เหมือนกัน ถ้าเราไปตื่นในอารมณ์ ตื่นในขันธ์ ตื่นในความคิด ตื่นในโลกออกไป มันไม่ช่วยตัวมันเองเลย มันช่วยอะไร มันทำให้ตัวเองเดือดร้อน แล้วมันดิ้น ยิ่งดิ้นเท่าไรยิ่งจมลึก จมลึกลงไป

ถ้ายิ่งดิ้นเรื่องทางโลก โลกียะ โลก เรื่องปัญญาโลก เรื่องความลูบๆ คลำๆ ตามืดบอดแล้วก็คลำไป แล้วจะให้ว่าได้ผล การประพฤติปฏิบัติจะให้ได้ผลอย่างที่ว่าผู้ปฏิบัติธรรมตามครูบาอาจารย์ให้ทัน ครูบาอาจารย์ไปได้เพราะอะไร

เพราะท่านทำจริงของท่าน ท่านทำจริง ท่านรู้จริง เห็นจริงตามความเป็นจริง แต่เราทำไม่จริง เราทำไม่จริง ๑ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ ทางเดินองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางให้เดิน ผู้เดินถึงก็มี ผู้เดินไปถึงครึ่งทางแล้วนอนพักแถวๆ นั้นก็มี ผู้ที่ก้าวเดินออกไปไม่ได้ก็มี

ทางอันเอก มรรคอริยสัจจัง ทางเดินเข้าหาหัวใจ ต้องไปแก้กันที่หัวใจ หัวใจเท่านั้นเป็นที่รวมทุกๆ อย่าง แต่หัวใจเดี๋ยวนี้มันโดนขันธ์ควบคุมไว้อยู่ แล้วขันธ์นี้ก็โดนมารเป็นผู้ใช้สอยอีกทีหนึ่ง ขันธ์นี้ไม่บริสุทธิ์ ถ้าขันธ์นี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีธรรมในหัวใจ ขันธ์นี้เป็นขันธ์ที่บริสุทธิ์ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้เป็นภาระการใช้สอยไปเท่านั้น ใช้สอยจนกว่าชีวิตจะหมดชีวิตนั้นไป มันก็สลัดทิ้งออกไป ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ เป็นที่เครื่องใช้

แต่ขันธ์ของเราเป็นขันธ์ที่สกปรก เป็นที่กิเลสพาใช้ กิเลสมันควบคุมขันธ์นี้แล้วก็ใช้ขันธ์นี้ควบคุมใจอีกทีหนึ่ง ถึงว่าเราจะเห็นใจ ถึงไม่เห็นใจ ใจกับขันธ์นี้รวมตัวกันแล้วขลุกขลักขลุกขลักอยู่ในหล่มนั้นนะ หล่มของใจ ถ้าหล่มของใจตามวัฏฏะ ถ้าพูดถึงวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ วัฏวนหล่มมันใหญ่ขนาดไหน ใจดวงนี้เกิดได้ตลอด ใจดวงนี้ไปเกิดกับทุกสถานที่ มันแล้วแต่บุญกุศล กุศลพาไป อกุศลพาไป

ถ้าพูดถึงอกุศลพาไป เกิดในอบายภูมิ เกิดในที่ต่างๆ เกิดในที่มันทุกข์ๆ ยากๆ ใจดวงนี้เคยเกิดทั้งหมด ถ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องยืนยันว่าภพชาติไม่มีต้นและไม่มีปลาย การเกิดสูงๆ ต่ำๆ เราจะประคองจิตของเราให้เกิดสูงอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นเชียวหรือ แล้วความที่เราทำพลั้งเผลอไป ความพลัดพรากของใจ อันนี้ไม่เคยทำหรือ มันเคยทำในหัวใจ

เราเคยทำพลั้งพลาดเคยทำความผิดไว้ในใจนี้ มันต้องมีบ้าง คนเราไม่สิ้นกิเลสนี้มันต้องมีสูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ โดยธรรมชาติของมัน ใจนี้ถึงเกิดได้ในวัฏฏะ หล่มของใจมันกว้างขวางขนาดที่ว่าเป็นวัฏวนที่ใจพาเกิดพาตายในวัฏฏะ แล้วมันจะเป็นไปอย่างนี้อีกถ้าเราไม่แก้ไขใจเรา ถ้าเราไม่พยายามดัดแปลงตน มันก็ต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมันอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ถ้าลูบๆ คลำๆ อยู่ก็เป็นอย่างนี้เพราะอะไร

เพราะเราลูบๆ คลำๆ เราทำปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมแต่ไม่เข้าถึง ผู้ใดปฏิบัติบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชื่นชมนะ ชื่นชมว่าทำทาน ผู้ให้อามิสทานนั้นเป็นอย่างหยาบ ผู้ที่ปฏิบัติบูชา บูชาธรรมด้วยการประพฤติปฏิบัติ เราก็บูชาด้วยการประพฤติปฏิบัติ มันเป็นบุญกุศล ถ้ามันเข้าไม่ถึงธรรม มันก็เวียนเกิดเวียนตายในวัฏฏะนี้ มันก็ติดอยู่ในหล่มนี้

บุญกุศลเป็นทาง เป็นเครื่องดำเนิน เป็นทางพาไป เห็นไหม ทุกข์ควรกำหนด สุขมันต้องเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจไปในการประพฤติปฏิบัติ ทุกข์นี้เป็นเรื่องความจริง ทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์นี้เป็นความจริงโดยธรรมชาติของมันที่มันเป็นไปในหัวใจนี้ เป็นไปในวัฏฏะ เป็นไปในการเกิดและการตาย มันเป็นเครื่องแนบไปกับการเกิดและการตาย ทุกข์นี้เป็นเรื่องจริงตลอดเลย

ทุกข์นี้เป็นเรื่องจริง แล้วมันมีแต่ทุกข์อย่างนั้นเชียวเหรอ แล้วความสุขมันมาจากไหนล่ะ มีแต่ทุกข์ๆๆ แล้วเราจะเอาอะไรเป็นเครื่องดำเนิน

สุขให้เสวย มันเสวยไปเพราะสุขเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มันเป็นอนิจจังทั้งหมด สิ่งที่เป็นอนิจจัง แต่มีเครื่องดำเนินต่อไป เครื่องอาศัยให้ใจนี้มีกำลัง มีความพอใจที่การประพฤติปฏิบัติ ทำบุญกุศลมันเป็นบุญกุศล บุญกุศลเป็นบุญกุศล แต่ในเมื่อเราจะเข้าถึงธรรม บุญกุศลนี้เป็นเครื่องดำเนิน เครื่องดำเนินเข้า มันถึงว่าต้องทำความสงบเข้ามาที่ใจ ถ้าใจทำความสงบเข้ามาได้ มันจะเริ่มต้นว่าช้างมันจะช่วยตัวมันเองได้ พลังงานของใจมันมี ช้างมีพลังขึ้นมา มันสามารถจะช่วยตัวมันเองขึ้นจากหล่มได้

ใจก็เหมือนกัน ใจในเมื่อถ้ามันไม่มีสติสัมปชัญญะให้มันอยู่นิ่งได้ มันพยายามจะก้าวเดินไปขนาดไหน มันก้าวเดินไปในหล่มนั้น มันเหยียบในโคลนตมนั้น โคลนตมนั้นมีแต่ลึก ลึกไป ลึกไปตลอดเพราะอะไร เพราะใจกับขันธ์มันไม่ใช่อันเดียวกัน ใจไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่ใจ แล้วขันธ์มันควบคุมใจไว้ แล้วกดใจไว้อยู่ในอำนาจของมัน แล้วก็หมุนออกไปเป็นโลกียะ เราใช้ปัญญาของเราหมุนกลับมา ความคิดจินตนาการต่างๆ ในความคิดของเรานี้เป็นโลกียะ สิ่งที่เป็นโลกียะ

สุตมยปัญญา การศึกษาเล่าเรียนเทียบเคียงธรรม ธรรมที่เราศึกษามา เราก็เทียบเคียงกับอาการของใจ เทียบเคียงกับความรู้สึกของเรา ให้ความรู้สึกของเรานี้สงบตัวเข้ามาให้ได้ ถ้ามันเทียบเคียงเข้ามา มันจะเห็นผล นี้คือธรรม ธรรมคือการชำระสะสางหัวใจ “ธรรมโอสถ” ธรรมโอสถสามารถจะชำระใจให้เข้าไปถึงความสงบของใจได้ สัมมาสมาธินี้เป็นธรรมอย่างหยาบๆ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

ถ้าจิตมันสงบ มันจะเข้าใจเรื่องของความสงบของใจ ถ้าใจมันไม่สงบ มันเป็นสุตมยปัญญา สุตมยปัญญากับจินตนาการของโลกเป็นไปอันเดียวกัน ถ้ามันมีความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบ ปัญญาเราใคร่ครวญขนาดไหน มันเป็นปัญญาที่ว่าปัญญาขั้นของสมาธิทั้งนั้น ขั้นของสมาธิคือความสงบของใจ มันเป็นความสงบของใจ

ความสงบของใจมันเป็นมรรคอริยสัจจัง เป็นสัมมาสมาธิอันหนึ่ง มันเป็นเครื่องก้าวดำเนินต่อไป มันไม่ใช่ผลของการประพฤติปฏิบัติ แต่เพราะเราตาบอด เราลูบๆ คลำธรรม เราจับต้องไปแล้วเราลูบคลำของเราไป ผู้ที่ตาบอดก็เข้าใจคาดหมายว่าสิ่งนี้เป็นความสงบ นี้เป็นธรรม เป็นธรรม

สิ่งที่เป็นธรรมมันเวิ้งว้าง มันปล่อยวาง มันต้องเป็นธรรมสิ มันเป็นธรรม มันก็เป็นความสุขของใจ มันเป็นความสุข สุขถึงว่าเป็นเครื่องเสวย ทุกข์ควรกำหนด ทุกข์มันทุกข์มาโดยตลอด ในหัวใจนี้ทุกข์มาก การประพฤติปฏิบัติ การกระทำของเรา งานอะไรมันไม่ทุกข์ การทำงานอยู่ในแดดในฝนต้องต่อสู้กับกลางแดดกลางฝน มันต้องเหนื่อยอ่อน ต้องมีความใช้พลังงาน มันเหนื่อยอยู่แล้ว มันเป็นความทุกข์

นี่ก็เหมือนกัน ทุกข์มันเป็นความจริงอยู่แล้วอันหนึ่ง เราประพฤติปฏิบัติก็ยังมีความทุกข์เข้าไปอีกอันหนึ่ง แล้วเวลามันสงบตัวลง ทุกข์อันนี้มันสลัดออก มันถึงว่าเป็นความสุข สุขถึงว่าเราเสวยอยู่ในความสุขนั้น เราเสวยเพื่อให้มันมีพลังงานขึ้นมา จิตนี้ถ้ามีความสงบขึ้นมา มันจะมีพลังงานขึ้นมา มันจะมีความสุขมาก มันจะเวิ้งว้างขนาดไหน อันนั้นเป็นขั้นของสมาธิ ปัญญาขั้นของสมาธินี้เป็นสุตมยปัญญา ขั้นของสมาธิ ขั้นของสมาธิคือความสงบของใจเท่านั้น เท่านั้นนะ

ถ้าตาบอด ตามืด ตาบอดลูบคลำไป มันจะลูบคลำ มันจะไม่ยอมรับความจริง นี่เพราะตาบอด ถึงศึกษาธรรมเข้ามาถึงจุดนี้เท่านั้นเอง แต่ถ้าเราเป็นคนลืมตา ตาสว่างเห็นตามความเป็นจริงเข้าไป มันยังไม่ได้ชำระกิเลสแม้แต่เล็กน้อย กิเลสในหัวใจเรายังมีอีกมากมาย ขันธ์ที่ว่ามันกวนใจอยู่ มันกวนใจให้ใจเดือดร้อนไปเพราะอะไร

เพราะขันธ์เป็นเรา เรากับขันธ์เป็นอันเดียวกัน ใจกับขันธ์นี้มันผูกเงื่อนเป็นอันเดียวกัน ถึงพอความสงบของใจเข้ามา จะมีจินตมยปัญญา ปัญญา จินตมยปัญญา จินตมยปัญญานี้เป็นการขุดคุ้ย เป็นการค้นคว้า การขุดคุ้ยค้นคว้าให้เห็นตนเอง ถ้าเราเห็นตนเอง เห็นฐานของงานขึ้นมา ฐานของงาน ถ้าเราไม่มีฐาน สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน

ฐานของสมถะคือความสงบของใจ ถ้าเราทำความสงบของใจนี้ ปัญญาขั้นของความสงบมันมีเท่านั้น ถ้าปล่อยไว้แล้วสรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายต้องแปรสภาพทั้งหมด มันแปรสภาพเพราะเราสร้างขึ้นมาถึงสัมมาสมาธิ มันก็แปรสภาพไปทั้งหมด มันจะแปรสภาพต่อเมื่อมันแปรสภาพไปโดยธรรมชาติของมัน เราจะได้ประโยชน์อะไรกับมันขึ้นมา

ได้ประโยชน์ต่อเมื่อใจเคยสัมผัส ใจเคยสัมผัสกับธรรมสิ่งนั้น มันจะฝังไว้ในหัวใจ ถ้าใจไม่เจริญก้าวหน้าไปกว่านี้ อันนี้จะฝังใจไปตลอดเวลา ความสงบของใจ ความสุขของใจจะฝังกับหัวใจนั้นไป ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าแค่นี้ รู้ได้แค่นี้ก็แค่นี้ แต่ถ้ารู้ได้ออกไป ใจติดหล่ม แค่นี้มันก็ติดหล่มเพราะอะไร

ถ้าแค่นี้มันหยุดอยู่แค่นั้น แล้วก็มีความสุขอยู่แค่นั้น แล้วพอมันคลายออกมาก็นึกถึงแต่ความฝังใจนั้น ตายไปมันไปไหน นี่บุญกุศลมันพาไป ออกจากนี้ไปมันก็ไปหล่มลึก หล่มในวัฏวน ในวัฏฏะ หล่มใหญ่ในวัฏฏะ การเกิดและการตายมันกว้างไกล มันยาวไกลอย่างนั้น เราถึงมองไม่เห็น เรามองไม่เห็นเพราะเรายังไม่เห็นการขาดออกไปจากใจ

ถ้าเราเห็นว่าการขาดออกไปจากใจ จากวัฏฏะมันจะแคบเข้ามา หล่มนี้จะแคบเข้ามา หล่มนี้จะแคบเข้าไปเรื่อยๆ จนกว่าใจจะเข้าไปถึงจนเห็นตัวของใจ แต่นี้ยังไม่เห็นตัวของใจ เพราะมันยังเป็นใจที่มันโดนขันธ์นี้ควบคุมไว้ แล้วกิเลสมารมันอาศัยขันธ์นี้ออกหาเหยื่อ

ถ้ามันออกหาเหยื่อ มันก็เอาเหยื่อไป กายเป็นเรา เราเป็นกาย ทุกอย่างเป็นของเราทั้งหมด เราหาได้จะเป็นของเรา สมบัติจะเป็นของเรา ทุกอย่างจะเป็นของเรา โกรธก็คือเราโกรธ ทุกข์ก็คือเราทุกข์อยู่อย่างนั้น ความเป็นของเรามันยึดมั่นถือมั่น นี่มันผูกกันเป็นอันเดียวกันด้วยอะไร

สมานไว้ด้วยกิเลส ด้วยมาร มารมันจะอาศัยสิ่งนั้นออกหาเหยื่อ แล้วอาศัยสิ่งนั้นออกหากินไป มันก็ตะปบไปทุกอย่าง จับต้องไปที่ไหนมีแต่ความทุกข์ จับต้องไปตรงไหนมันมีแต่ความเร่าร้อน ใจมันเร่าร้อนแล้วมันก็ไม่รู้จักวิธีจะรักษาตัวมันเอง

แต่เพราะเราทำความสงบขึ้นมา เราดูสังเกตสิ่งนี้อยู่ จับต้องอารมณ์สิ่งใด คิดสิ่งใดมันจริงไม่จริง มันไม่จริงสิ่งนั้นแล้วมีความทุกข์ไหม? มีความทุกข์ แล้วทำไมไม่วาง ทำไมมันถึงไม่วาง วางเข้ามา วางเข้ามา วางเข้ามา นั้นมันเป็นความว่าง นี่สัมมาสมาธิจะเกิดอย่างนี้ เกิดอย่างนี้ แล้วดูขันธ์สิ จับขันธ์ขึ้นมาให้ได้ ถ้าจับขันธ์ขึ้นมาให้ได้ จับขันธ์คือจับอาการของจิตที่มันเกิดอารมณ์ขึ้นมาใหม่นั่นน่ะ นั้นคืองาน สมถกรรมฐาน ฐานของสมถะ ฐานของวิปัสสนาจะเกิดจากตรงนี้

ถ้าจับต้องงานของใจได้ จับต้องอาการของใจได้ จับต้องขันธ์ได้ มันเป็นความจริงทุกขั้นทุกข์ของอริยสัจ ขันธ์ความเกิดดับในอริยสัจ อริยสัจจังมันเกิดดับ แล้วมันเกิดเพราะอะไร เกิดเพราะความไม่รู้เท่าคือตัณหาความทะยานอยาก แล้วมรรคมันมาจับสิ่งนั้น มรรคเอามาจับสิ่งนี้อยู่ มรรคก็เดินอยู่ แล้วจะทำให้เกิดนิโรธความดับของมันออกไปนะ

ในขั้นของอริยสัจ มันหมุนไปโดยอริยสัจ ถ้าปัญญามันเกิดขึ้น นี้ปัญญาภาวนามยปัญญาจะเกิด เกิดตรงนี้ไง เกิดจากจินตมยปัญญา จินตมยปัญญาคือการขุดคุ้ย การค้นคว้า จะผลักหัวใจ ผลักปัญญานี้ให้ก้าวเดินออกไป พอก้าวเดินออกไป อริยสัจมันจะสอนใจดวงนั้น

ถ้ามันฉลาดขึ้นมา ใจมันฉลาดขึ้นมา มันใคร่ครวญขึ้นมา มันปล่อยวางออกไป มันปล่อยวางออกไป นี้ปัญญาก้าวออกไป ปัญญาก้าวออกไป ปัญญาในการวิปัสสนา ปัญญาในการชำระกิเลสมันต้องเป็นปัญญาแบบนี้สิ ปัญญาแบบว่าจะช่วยเหลือหัวใจให้พ้นออกจากหล่ม หัวใจที่มันโดนปกคลุมไว้ด้วยขันธ์ ด้วยพญามารพยายามบังคับใช้อยู่

เราพยายามแยกออก พยายามเบี่ยงออก พยายามฉุด พยายามจะค้นคว้า พยายามจะเพิกถอนออก ถ้าเราเพิกถอนออก กำลังของเรามีมันจะแยกออกจากกัน ความแยกออกจากกัน อารมณ์มันเป็นไปไม่ได้ จากเดิมที่ว่ามันจับต้องไปสิ่งใดแล้วมีแต่ความเร่าร้อนให้ใจ เพราะมันจับแล้วให้ความเร่าร้อนกับใจ มันเป็นธรรมชาติของมัน

แต่คราวนี้เราวิปัสสนาเข้าไป พอมันจับ เห็นอาการของจับ จับนี้อะไรเป็นคนจับก่อน? สัญญาจับก่อนใช่ไหม สัญญารับข้อมูลเดิม เกิดจากสัญญาทั้งหมด สัญญาจับก่อน พอจับแล้วความสืบต่อเข้าไป มันเป็นขันธ์ทั้งกอง ๕ หมุนออกไปรับรู้ทั้งหมดเลย แล้วมันทำไมไม่รู้ตัวล่ะ ไม่รู้ตัวเพราะอะไร

เพราะพญามาร มารมันปกคลุมอยู่ มารมันไม่ให้เข้าใจ แต่ในเมื่อย้อนกลับมามีสติสัมปชัญญะ ปัญญามันใคร่ครวญอยู่ มันทันอยู่ตรงนี้ มารมันก็หลบตัวออกสิ มารมันอาย คนรู้เท่าทันมัน เห็นหน้าพญามาร เห็นหน้ามาร มารมันจะปล่อยอายออกไป พอปล่อยขันธ์มันก็ต้องเป็นขันธ์โดยธรรมชาติของมันใช่ไหม

แต่เดิมขันธ์นี้ไม่สามารถเป็นธรรมชาติของมัน ขันธ์นี้โดนมารปกคลุมอยู่เพราะมันเป็นเครื่องหาเหยื่อมาให้กิเลส กิเลสอันนี้ใช้ออกไป ใช้ปัญญาหมุนกลับเข้ามา เพิกถอนอย่างนี้ ปัญญาเพิก ปัญญาถอนออกไปบ่อยเข้าบ่อยเข้า ขั้นของปัญญาต้องหมุนออก หมุนออก หมุนออกไป หมุนออก

แต่กิเลสมันหมุนเข้า กิเลสพยายามดึงเข้ามา ให้ความยึดมั่นถือมั่น ให้ความเห็นความจับต้องยึดมั่นถือมั่นของตัวเองเป็นอย่างนั้น มันจะต่อสู้กัน การจะเพิกออกจากหล่ม มันจะเพิกออกจากหล่ม มันจะดึงขึ้นจากหล่มได้ง่ายๆ หรือ กิเลสมันควบคุมใจอยู่ตลอดเวลา มันเกิดมากับหัวใจอย่างนั้น มันติดมาขนาดนั้น ไม่มีต้นไม่มีปลาย การเกิดและการตายของแต่ละจิต แต่ละดวงใจ ไม่มีต้นไม่ปลาย สะสมมาอย่างนั้น ความเหนียวแน่นแก่นกิเลสอยู่ในหัวใจ มันเหนียวแน่นแก่นกิเลสอยู่อย่างนั้น

แล้วมันจะปล่อยวางด้วยอำนาจที่ว่าเราลูบๆ คลำๆ เป็นไปไม่ได้ มันถึงต้องใช้ความสามารถพยายามทุ่มเข้าไปทั้งหมด ทั้งกิริยาของเราทั้งหมด ทั้งหมดทุ่มเข้าไป ทุ่มเข้าไป ทุ่มเข้าไปตรงนี้ มันถึงว่าต้องใช้ความวิริยอุตสาหะ ถึงไม่ใช่ทำสุกเอาเผากิน เราทำสุกเอาเผากิน เราก็หวังผลอันประเสริฐ แต่ผลอันประเสริฐ มันต้องผู้ที่ประเสริฐผู้ที่ทำความจริง

คุณงามความดี อาชาไนย สัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยเลือกกินแต่อาหารที่ว่าเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ นี้ก็เหมือนกัน สัตว์หัวใจจะเป็นอาชาไนย จะเอาหัวใจตัวให้รอด มันก็ต้องมีความเข้มแข็ง มันต้องพยายามแยกแยะ ไม่ตะปบกินทุกๆ อย่างที่เวลาหัวใจมันพากิน เวลามันตะปบคว้าอารมณ์สิ่งใด เราพยายามยับยั้งมัน แล้วย้อนกลับเข้ามาวิปัสสนา ย้อนกลับเข้ามา มันทำงานอย่างใด มันเริ่มต้นตรงไหน ขันธ์มันหมุนไปอย่างไร นี่เพิกออก เพิกออก

ขันธ์นี้เคยกดหัวใจไว้ให้อยู่ในอำนาจของมัน แล้วก็ไม่เห็นนะ แล้วก็หมุนไปตลอด หมุนไปตลอด ในวัฏฏะไปตลอด หลุมมันกว้างขนาดไหน หล่มลึกขนาดนั้น แล้วก็หมุนตายหมุนเกิดมาขนาดนั้น แล้วอำนาจของธรรมที่เราประพฤติปฏิบัติเข้าไปแยกออก แยกออก จนมันขาดออกนะ สิ่งนี้ต้องขาดออกไปจากใจ ขันธ์หยาบๆ ขาดออกไปจากหัวใจ หัวใจพ้นจากหล่มชั้นหนึ่ง ขอบเขตของวัฏฏะเข้ามาอย่าง ๗ ชาติ ๗ ชาติ ๓ ชาติ ๑ ชาติ หล่มแคบเข้ามา แคบเข้ามา

มันก็ยังมีขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด ขันธ์อย่างหยาบขาดออกไป ขันธ์อย่างกลางยังมีอยู่ มันก็กดหัวใจไว้อย่างนั้น หล่มลึกนี้กดหัวใจ หัวใจติดหล่มอยู่อย่างนั้น พ้นจากหล่มไปไม่ได้ เพราะกิเลสมันแล้วแต่ว่ามันจะมีอำนาจ มันจะหลอกไปขนาดไหน แล้วเราก็เพลิดเพลิน

เราเพลิดเพลิน ๑ เราภูมิใจในการประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ๑ เราภูมิใจประพฤติปฏิบัติที่เราทำได้ พอเราทำได้ เราก็มีความแก่ใจ มีความจงใจ มีความดีใจขึ้นมา แล้วเราก็เพลินไป เผลอสติ ถ้าขาดสติอันนี้ไม่ใช่ความเพียร ความเพียรต้องมีสติสัมปชัญญะไปตลอด ความเพียรของเราจะมีของเราไปตลอด ตลอดออกไปนะ ถ้าความเพียรของเราเผลอเมื่อไร ความเพียรนั้นกิเลสพาใช้

ฟังสิ เราจะชำระกิเลส เราจะชำระนะ เรายกขึ้นออกจากหล่ม แต่มันพอใจในหล่มนั้นน่ะ หล่มลึกของในหัวใจนั้นมันก็พอใจก้าวย่ำอยู่อย่างนั้น ก้าวย่ำอยู่อย่างนั้น มันถึงว่าเผลอไม่ได้ ถ้าเราเผลอ เราชะล่าใจ มันจะย่ำอยู่กับหล่มแล้วจะติดหล่มอยู่อย่างนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นหล่มนะ คิดว่าอันนี้จะเป็นความเพียรของตัว อันนี้เป็นการประพฤติปฏิบัติของตัว ตัวได้ทำคุณงามความดีแล้ว นี่มันพอใจ

กิเลสมันหลอก หลอกให้อยู่ในอำนาจของมัน หลอกให้เราไม่ก้าวเดินออกไป หลอกให้เราหยุดอยู่ตรงนั้น หยุดอยู่ จิตหยุดอยู่ตรงนั้น แล้วมันจะก้าวเดินไปไหน มันก้าวเดินไปไม่ได้ พอมันก้าวเดินไปไม่ได้ มันเข้าไปถึงหัวใจไม่ได้ ถ้าเข้าไปถึงใจ ยังไม่เห็นใจตัวๆ แท้ ใจตัวแท้ยังไม่เคยเห็นเลย เห็นแต่อาการที่ขันธ์กับใจรวมตัวกันแล้วตกอยู่ในหล่มนั้นเท่านั้นเอง เห็นขันธ์กับใจรวมตัวกัน

เพราะมันเป็นขันธ์คลุมอยู่ใจทั้งหมด แล้วมันกดหัวใจไว้อยู่ในอำนาจของมัน แล้วมันน่าเศร้าเพราะมันเป็นไปอย่างนั้น มันยังจะต้องเกิดต้องตาย มันยังไม่สามารถพ้นออกจากหล่มได้ทั้งหมด มันถึงต้องทุ่มทั้งชีวิต ทุ่มทั้งสติสัมปชัญญะเข้าไป สติสัมปชัญญะใคร่ครวญ ในการประพฤติปฏิบัตินี้ใคร่ครวญตลอด

จินตมยปัญญา การขุดคุ้ย การจินตมยปัญญาคือเริ่มต้นจากจินตมยปัญญา ปัญญาในการทำความสงบเข้ามามันต้องเป็นความสงบเข้ามา มรรคหยาบ มรรคละเอียด ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ขันธ์อย่างหยาบมันก็ให้ผลอย่างไม่ใช่หยาบ ให้ผลเป็นรูปธรรมเห็นๆ ชัดๆ เพราะมันเป็นความทุกข์เห็นชัดๆ เลย ไม่ใช่ว่ามันอย่างหยาบ แต่ในแง่ของธรรม มันเป็นขันธ์อย่างหยาบๆ มันยังให้ผลกับเราเร่าร้อนขนาดนั้น แล้วขันธ์อย่างละเอียดล่ะ

มรรคหยาบเมื่อมันใช้หมดไปแล้ว มรรคละเอียดก็ต้องหาขึ้นมา สัมมาสมาธิในมรรคละเอียดนั้นก็ต้องมีขึ้นมา มรรคละเอียดเราก็ต้องสร้างมรรคขึ้นไป คืบไปเพื่อจะหาขันธ์อันอย่างกลาง ชำระขันธ์อย่างกลางออก ชำระออกแยกออกเหมือนกัน มันแยกได้โดยสัจจะความจริง

ธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนี้เป็นเรื่องจริง เป็นความจริงเห็นชัดๆ ว่าเป็นเรื่องจริงๆ ที่ชำระล้างได้ แต่กิเลสมันหลอก เราไม่มีวาสนา เราล้มลุกคลุกคลาน จับต้องแล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน ก้าวเดินไปให้มันดึงลากถูเราไป เราก็เชื่อตามมันไป มันน่าจะเป็นอย่างนั้น มันควรจะเป็นอย่างที่เราเห็นนี้ นี่เวลาเห็นกิเลสพาเห็น มันก็เห็นผิด

ความเห็นผิดของใจจะเห็นความผิด มันแยกตัวออกไป มันหลอกว่าแยกออกไป มันสร้างอารมณ์ก็ได้ จินตนาการก็ได้ว่าให้แยกออกไป ความแยกออกไป แล้วก็ปล่อยวางขึ้นมาเพื่อจะให้เราเชื่อมัน เพื่อให้เราอยู่ในอำนาจของมัน ให้ขันธ์นี้กดใจไว้ไม่ให้หัวใจโผล่ออกมาจากอำนาจของขันธ์ อำนาจของขันธ์ อำนาจของมาร มันกดเอาไว้อย่างนั้นตลอดไป แล้วเราจะเชื่อไหม

ถ้าเราเชื่อกิเลส เราก็อยู่ในอำนาจของกิเลส ถ้าเราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ต้องพยายามฝืน ฝืนใจนั้นคือฝืนกิเลส ฝืนความรู้สึกของตัวทั้งหมด ฝืนความเชื่อของตัวทั้งหมด เพราะความเชื่อนี้กิเลสมีในหัวใจ กิเลสอยู่ในหัวใจ ความคิดออกมา กิเลสพาออกมาคิด กิเลสพาใช้อยู่แล้ว

ถ้ากิเลสพาใช้นั้น นั่นเรื่องของกิเลสมันหลอกลวงไปตลอด เห็นไหม มันไม่ใช่ว่าหลอกจะให้เราหลอกคนอื่นนะ ถ้าหลอกคนอื่น เราหลอกกันเพื่อผลประโยชน์ เพื่อผลประโยชน์ เพื่อธุรกิจต่างๆ โลกเขาเป็นอย่างนั้นไป แต่นี้กิเลสมันหลอกใจ คือให้ใจหยุดอยู่ ให้ใจไม่ค้นคว้า...

...โดนมันก็ต้องเสียพื้นที่ เสียที่อยู่ของเขา มันเป็นไปไม่ได้...

...ความเกิดและความตายที่กิเลสพาเกิดพาตายโดยที่เราไม่รู้ตัว เกิดมาชาตินี้ก็คิดว่ามีอยู่ชาตินี้ชาติปัจจุบัน มีอยู่เท่านี้ไง ไอ้สิ่งที่ว่ามองไม่เห็นนั้นปฏิเสธทั้งหมดเลย สิ่งที่ปฏิเสธ กิเลสมันก็เอาอันนี้หลอกเราแล้วอยู่อำนาจของเรา มีเฉพาะชาตินี้ ธรรมะปฏิบัติไปแล้วเราจะได้ผลอย่างนั้นหรือไม่ เรายังไม่รู้เห็นผลประโยชน์ของธรรมะนั้น

ทำไมไม่ย้อนกลับมามององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนกลับมามองผู้ที่ผ่านพ้นออกไปน่ะ จริงอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธภูมิ สร้างบุญกุศลมามาก เราสร้างบุญกุศลมาน้อย แต่อัครสาวกต่างๆ ก็มีมากมีน้อยมาเหมือนกัน บุญญาธิการของคนไม่เท่ากัน เราก็เหมือนกัน ในเมื่อเราสามารถชำระกิเลส ถ้าให้มันออกไปจากใจได้ เราชำระกิเลสออกไปจากใจ มันเป็นสมบัติส่วนตนของเรา ไอ้เรื่องอำนาจวาสนานั้นมันสะสมมาอีกตอนหลัง เพิ่มขึ้นมาเรื่องอภิญญา เรื่องฌาน เรื่องสมาบัติ อันนั้นมันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นเครื่องเคียงเฉยๆ

เรามีปัญญาที่ใคร่ครวญได้ ปัญญาอันนี้มันสมประโยชน์อยู่แล้ว ปัญญาอันนี้มันสามารถชำระกิเลสได้แล้ว ปัญญาเท่านั้นชำระกิเลส ฟังสิ ปัญญาที่มีสัมมาสมาธิเกื้อหนุน ไม่ใช่ปัญญาที่เราจินตนาการของเรากันเอง ไม่มีสัมมาสมาธิเกื้อหนุนแล้วก็ว่าเป็นปัญญา ปัญญาของโลกแล้วก็หมุนกันอยู่ในหล่มนั้น ตกอยู่ในหล่มนั้นแล้วก็วนอยู่ในหล่มนั้น

แล้วเราก็ขลุกขลักๆ แล้วไม่ได้ผลในหล่มนั้น ก็มาตีโพยตีพาย จะโทษไปเอาคุณงามความดีมาศาสนา ประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วไม่เห็นมีคุณประโยชน์ ไม่เห็นมีธรรมขึ้นมาให้เราได้ดื่มรสของธรรม นี่จะไปบีบเค้นเอาออกมาจากศาสนา ออกมาจากศาสนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปบีบเค้นเอาจากที่ไหน

“ธรรม” ศาสนธรรมคือคำสั่งสอน ศาสนธรรมคือธรรมสิ่งที่เกิดขึ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้แล้วเราต้องสร้างขึ้นมา สัมมาสมาธิ ความดำริชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ สติชอบ สัมปชัญญะชอบ ความเพียรชอบ สิ่งที่ชอบต่างๆ นี้เกิดขึ้นมาจากอะไร มันไม่ใช่อาการของใจหรือ มันเป็นอาการของใจ

ถ้าเราจะบีบเค้นเอาธรรมว่าธรรมนี้มันไม่ให้ประโยชน์กับเรา เราก็ต้องโทษตัวเราเองสิ ว่าธรรมมันทำไมมันไม่เข้าเป็นมัชฌิมาปฏิปทาล่ะ ธรรมต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา เป็นกลางแล้วมันถึงจะหมุนออกไปชำระกิเลส ฆ่าเชือดเฉือนทำลายกิเลสออกไปจากใจเป็นชั้นเป็นตอน

ถ้ามันมีความคิดอย่างนี้ มันก็เป็นการโต้ตอบกับกิเลสได้ เป็นการหาทางออกจากที่กิเลสมันจะหลอกลวงให้เราล้มลุกคลุกคลาน ถ้ากิเลสมันจูง เราก็จะล้มลุกคลุกคลานไป แล้วก็มีความน้อยเนื้อต่ำใจ จะไม่ยอมก้าวเดินไปถึง อยากให้เห็นหัวใจของเรา ให้เห็นว่าใจติดหล่ม เห็นใจอย่างไร

ถ้าเห็นใจติดหล่มมันจะเอาใจของตัวเองพ้นได้ อันนี้เห็นขันธ์ที่ปกคลุมใจอยู่ติดหล่ม เราวิปัสสนาไป วิปัสสนาไปจนกว่าขันธ์มันจะขาดออกไป ขันธ์มันจะขาดออกไปจากใจอีกชั้นหนึ่ง ขันธ์อย่างหยาบขาดออกไป หลุดออกไป หลุดออกไปภพชาติมันก็สั้นเข้า วัฏฏะก็สั้นเข้า หล่มก็แคบเข้ามา หล่มแคบเข้ามา ต่อไปก็เป็นขันธ์อย่างละเอียด

ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด ขันธ์อย่างละเอียดนี้มันละเอียดลึกซึ้งอยู่กับใจ ปกคลุมใจโดยไม่เห็นใจ แล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่ารุนแรง รุนแรงเพราะอะไร เพราะเป็นโทสัคคินา โมหัคคินา มันเป็นราคะ โทสะ โมหะอยู่ในหัวใจ สิ่งที่เป็นราคะ โทสะ โมหะ ความกำหนัดยินดีมีเป็นความพอใจ ความพอใจ ใครขัดใจหรือไม่ได้สมความปรารถนาก็เกิดความโกรธ ความโกรธ ความหลงในความโกรธของตนก็หมุนกันไป หมุนกันไปอยู่ตรงนั้นน่ะ แล้วก็เอาอะไรมาให้หัวใจ เอาแต่ความทุกข์มาให้หัวใจ

นี่ขันธ์อย่างละเอียดจับต้องให้ได้ ขันธ์อย่างละเอียดเราต้องค้นคว้าให้ได้ ถ้าเราค้นคว้าขันธ์อย่างละเอียด ขันธ์อย่างละเอียดนี้ปกคลุมจิตอยู่ ปกคลุมไม่ให้เห็นจิตอยู่ ถ้าไม่ให้เห็นจิตอยู่ ไม่ให้เห็นหัวใจอยู่ เราก็ไม่เห็นใจของเราเอง

ถ้าเราพยายามค้นคว้า จินตมยปัญญา ถึงเป็นปัญญาเข้ามา ปัญญาในขั้นของสมาธิเป็นปัญญาของขั้นสมาธิ ความสงบเข้ามาให้จิตมันสงบ แล้วใช้ปัญญาต่อไป ใช้ปัญญาต่อไป ปัญญานี้เป็นจินตมยปัญญาหมุนขึ้นมาถ้าเป็นจินตมยปัญญา จินตมยปัญญามันจะจับต้องจับจิตให้ได้ ถ้าจับจิตได้ ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการแยกแยะอาการของใจกับใจออกจากกัน อาการของใจกับกิเลสที่มันสืบต่อกัน โทสัคคินา โมหัคคินา นี่มันอะไร ไฟทั้งนั้นน่ะ ไฟที่มันติดนะ

ถ้าเป็นภาวนามยปัญญา มันเป็นการแยกแยะออกมาให้เห็นว่าโทษๆๆ โทษของไฟที่มันเผาใจของตัวเอง มันเป็นโทษให้ความร้อนกับใจ ให้ความร้อนแล้วก็หลงนะ มันหลงว่าเป็นความสุข หลงว่าเป็นความพอใจ มันพอใจเพราะมันเป็นกามกิเลส มันเป็นความกำหนัดของใจ

ใจมีกำหนัด กำหนัดในอะไร กำหนัดในอารมณ์ความรู้สึกนั้น ไม่ใช่กำหนัดข้างนอกนะ ข้างนอกกำหนัดข้างนอก มันเป็นข้างนอก ไอ้ข้างนอกมันเป็นเรื่องของโลกเขา เรื่องของโลกเขาความกำหนัดยินดีมันกำหนัดข้างนอก แต่เรื่องของกิเลสมันกำหนัดอยู่ในหัวใจ ขันธ์มันปกป้องอยู่ โทสัคคินา โมหัคคินา ราคะ โทสะ โมหะมันอยู่ตรงนี้ มันอยู่ตรงนี้มันก็ปกคลุมใจเอาไว้ตรงนี้

ถ้ามันคลุมใจไว้ มันก็เกิดในกามภพ นี่วัฏฏะมันยังวนไปอยู่ หลุมของวัฏฏะ หล่มของใจมันยังกว้างอยู่ ถ้าเราตัดตรงนี้ได้ หล่มของใจมันจะแคบเข้ามา หล่มของใจ แต่มันตัดได้ยากเพราะความสิ่งที่มันเป็นความรุนแรงกับใจของเรา มันปกคลุมใจโดยที่ไม่เห็นหัวใจ มันเป็นอาการของขันธ์ที่ละเอียด ขันธ์ที่ละเอียด ความพอใจของใจนั้นมันก็หลงในอารมณ์ของใจ ความหลงในอารมณ์ของใจมันหลง มันทั้งหลงเพราะมันติด มันไม่เข้าใจ มันโฉบมา มันแยบขึ้นมาเราก็เป็นไปตามมัน

แต่ก็ยังมีวาสนา วาสนาที่จับต้องได้ จับต้องได้ถึงเห็นอย่างนี้ ถ้าจับต้องไม่ได้จะไม่เห็น จับต้องโดยจินตมยปัญญา ความปัญญาในขั้นของสมาธิ เป็นปัญญาของขั้นสมาธิ ปัญญาสมาธิคือปัญญาทำความสงบของใจ ปัญญาสมาธิได้เท่านั้น ความสงบของใจแล้วเวิ้งว้างอยู่อย่างนั้น

จินตมยปัญญา ปัญญาที่ละเอียดเข้าไป จับต้องอาการของจิตได้ จับต้องกามราคะ จับต้องความกำหนัด เห็นความกำหนัด เห็นความรู้สึก เห็นเรื่องของใจ เห็นความหลงใหลไปของมัน พอความเห็นลงไปนะ มันเป็นอะไรขึ้นมา จากจินตมยปัญญามันเป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมา สิ่งที่เป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมาเพราะมันแยกอาการของขันธ์นั้นออกจากใจให้ได้ เพราะขันธ์นี้มันต้องใช้พลังงานมาจากไหน

สิ่งที่ว่าไม่มีพลังงาน มันจะทรงตัวมันไม่ได้ใช่ไหม พลังงานอันละเอียดนั้นคือใจ ใจที่มันละเอียดอยู่ในหัวใจ พลังงานนะมันส่งออกมา ส่งออกมาเป็นอาการของขันธ์ ส่งออกมาเป็นพลังงาน พลังงานนี้เป็นพลังงานในหัวใจ พลังงานในการสร้างภพสร้างชาติ พลังงานในกามภพ พลังงานในการเกิดและการตาย

การเกิดและการตายในกามภพ เกิดในอำนาจของวัฏฏะ เกิดไปในวนของความเกิดกระแสยาวไกลออกไป เราถึงมองไม่เห็น เรามองไม่เห็นกระแสความยืดออกไปของการเกิดและการตายระหว่างข้ามภพข้ามชาติ มองไม่เห็น สิ่งนั้นมันไม่เห็นเพราะเราปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม ผู้ที่ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมจะเห็นความขาดออกไปจากใจ

ถ้าเห็นความขาดออกไปจากใจ ชำระขันธ์นี้ขาดออกไปจากใจ มันจะไปเกิดที่ไหน มันไปเกิดในกามภพไม่ได้อีกแล้ว แต่มันต้องชำระให้ขาด ถ้าชำระให้ขาด มันจะเอาอะไรชำระ ปัญญาเท่านั้นที่สามารถชำระกิเลสได้ ปัญญาเท่านั้นที่มีสัมมาสมาธิที่มรรคอริยสัจจังหมุนพร้อมเป็นมรรคสามัคคีนะ ปัญญาไม่สามัคคีนี้มันก็ลุ่มๆ ดอนๆ

ลุ่มๆ ดอนๆ มันก็หมุนไปตามอำนาจวาสนาในการขับไสของเราขึ้นไป เราต้องพยายามสร้างสมบารมี สร้างสมปัญญาขึ้นมาเป็นไปธรรมชาติของมันที่เราต้องพยายามก่อร่างสร้างตัว การก่อร่างสร้างตัวมันก็ต้องเริ่มต้นจากถูกจากผิด การก้าวเดินจากถูกจากผิดของเราขึ้นไป อันนี้มันเป็นการสะสมขึ้นมา เพราะสะสมขึ้นมา มันจะเข้าถึงมัชฌิมาปฏิปทาได้

ความผิดความถูกนั้นเป็นการฝึกตนเองขึ้นไป ปัญญามันจะก้าวเดินออกไป ความละเอียดอ่อนของใจ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความปฏิฆะ ความซับซ้อนในใจ ปฏิฆะรับไว้ก่อน ขยับออกไปก็เป็นความโกรธ ความปฏิฆะรับรู้ไว้ สิ่งนั้นถูกใจหรือไม่ถูกใจ ความกำหนัดยินดีของใจ แล้วโทสะมันก็เกิดขึ้นไปถ้ามันขัดข้องในหัวใจนั้น โทสะมันเกิดออกไป หมุนออกไปอยู่อย่างนั้นไม่มีวันเดือนปี ไม่มีใครจะสามารถเห็นตรงนี้ได้เลย

แต่เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าประทานไว้ให้กับในศาสนาพุทธเรา แล้วเราเอาสิ่งนั้น เรายึดสิ่งนั้น เชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราสะสมธรรมออกมาจากใจ ในหัวใจนี้มันเป็นธรรม เป็นธรรมขึ้นมา ธรรมฝ่ายเหตุ ถ้าไม่มีเหตุของธรรม แล้วผลจากธรรมมันมาจากไหน

กิเลสในหัวใจไม่ต้องไปหาเหตุหาผล กิเลสไม่เคยมีเหตุมีผล กิเลสมันจับต้อง มันควบคุมใจแล้วมันขับไสไปอย่างนั้น แล้วบังคับใช้ออกไปโดยอำนาจของมันตลอด ไม่มีวัน ไม่มีเดือน ไม่มีปี ไม่มีวันที่สิ้นสุด ในการเกิดและการตายในวัฏวน วนไปไม่มีที่สิ้นสุด มันน่าสลดสังเวช

ถ้าหัวใจเราได้คิด ถ้าปัญญาของธรรมเกิดขึ้นมา มันเห็นความหมุนไปของมันที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย แล้วกลับเข้ามาที่ว่าจะชำระมัน มันถึงจะมีความภูมิใจไง ธรรมเกิดขึ้นมาจากเรา เราสร้างสมขึ้นมา ปัญญามันเกิดขึ้นแล้วมันแยกแยะได้ ปัญญาเท่านั้นแยกแยะ แยกออกไป แยกออกไป

ถ้าปัญญาไม่แยก อันนี้มันข่ม เห็นไหม มันเป็นขันธ์ที่ละเอียดที่มันปกคลุมจิต แล้วมันก็กดจิต กดความรู้สึกของหัวใจไว้ทั้งหมด อาศัยสิ่งนี้เป็นอารมณ์ของมัน อาศัยสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ก้าวเดิน ก้าวเดินไปจริงๆ ก้าวเดินไปคือมันเป็นกระแสต่อเนื่องเป็นความคิดที่มันออกมาเป็นรูปรส เป็นความต้องการของใจ เป็นไปตามโลกเขา เป็นอย่างนั้นไปเลย ถ้ามันเป็นไปในอำนาจของมันนะ

แต่นี้เพราะเราไม่ยอม เราไม่ยอมให้อำนาจของมันมีอำนาจเหนือในหัวใจของเรา มันติดอยู่ในหล่มเราก็รู้อยู่ติดในหล่ม มันมีความยอกใจ มันมีความเสียวเจ็บแปลบในหัวใจ มันเสียวอยู่เจ็บแปลบๆ ในหัวใจ เรารู้สิ่งนั้นว่าสิ่งนี้มันฝังอยู่ในหัวใจ รู้ว่าเป็นหล่มเพราะอย่างนั้น แล้วมันก็เปิดตาของเราขึ้นมาได้ด้วย

ถ้าเราไม่เปิดตาขึ้นมา จินตมยปัญญาเปิดตาขึ้นมา จับต้องขึ้นมาได้ นี่เปิดตาขึ้นมา เปิดตาขึ้นมาก็เห็นฐานของวิปัสสนา สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ก้าวเดินตลอด ต้องเป็นอย่างนั้นตลอดไป นี่ธรรมของเราเอง ธรรมของผู้ที่ปฏิบัติ ธรรมของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นธรรมก้าวเดินออกไป ภาวนามยปัญญามันต้องก้าวเดินออกไป มันชำระขาด

สิ่งที่ขาดออกไป ขันธ์กับใจขาดออกจากกัน ขันธ์ไม่ใช่ใจ ใจไม่ใช่ขันธ์ สิ่งที่หัวใจกับขันธ์รวมกันแล้วขลุกๆ อยู่ในหล่มนั้นขาดออกไป ขันธ์นั้นขาดออกไป จะเห็นตัวของใจ “ใจติดหล่ม” ใจดวงนี้อยู่ในหล่ม ไม่ใช่ขันธ์ ไม่ใช่ความรู้สึก ไม่ใช่ความคิดทั้งหมดเลย มันเป็นแต่ความพลังงานของมันเป็นใจอยู่อันเดียว ใจอันนี้ นี่ใจ

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ผู้ที่จะเห็นใจดวงนี้ ผู้ที่เห็นใจดวงนี้ด้วยซึ่งๆ หน้าต้องมีการประพฤติปฏิบัติชำระขันธ์ขาด จากขันธ์หยาบๆ ขาดออกไป ขันธ์อย่างกลางขาดออกไป ขันธ์อย่างละเอียดขาดออกไปจากใจ ถึงจะเห็นดวงใจ ใจดวงนี้มันติดอยู่ในหล่มแล้วมันพาเกิดพาตาย

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส”

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติอยู่ เข้าไปรู้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ยังไม่ชำระอาสวักขยญาณ แล้วรู้ได้อย่างไร

ทำความสงบของใจเข้ามา มันเข้าได้ ๒ ทาง ทางหนึ่งคือทางทำความสงบเข้ามาให้ถึงจิตเดิมแท้นี้ผ่องใสได้ แต่เข้าถึงจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เข้าไปด้วยการกดไว้ การพยายามไม่ได้ชำระกิเลสเข้าไป มันเข้าไปเห็นเฉยๆ ความเห็นอันนั้น เห็นความสว่าง เห็นความกระจ่างแจ้งของใจ แต่ไม่ได้ชำระกิเลสเข้าไป

แต่ในเมื่อเราทำลายขันธ์นะ เราไม่ได้กดขันธ์แล้วพยายามกดขันธ์ด้วยพลังงานของใจนะ กดขันธ์ด้วยสัมมาสมาธิ ด้วยความคิด ด้วยหัวใจ ด้วยพลังงานของสมาธินั้นมันจะเข้าไปเห็น เห็นอันนั้น ถึงว่า การระลึกชาติของผู้ที่ว่ามีกิเลสอยู่ เขาก็ระลึกชาติได้ ข้อมูลเดิมจากสัญญาเก่า สัญญาในจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส มันจะออกมาได้ให้ว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เห็นหมด เห็นข้อมูลของใจทั้งหมด

นี้เราหมุนเข้ามาด้วยปัญญาของเรา เราหมุนเข้ามาด้วยมรรคอริยสัจจัง หมุนเข้ามาด้วยภาวนามยปัญญา มันเห็นต่างกัน เห็นต่างกันคือเห็นจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เห็นตัวหัวใจที่ว่าผ่องใสอยู่นั้น แล้วจับตัวหัวใจที่ผ่องใสนี้ได้ด้วย นี่ถึงจะเห็นใจของตัวตกอยู่ในหล่ม

จิตดวงนี้เวลาเกิด คนเรามีกิเลส เวลามีกิเลสอยู่ เวลาเกิดเวลาตาย ขันธ์มันจะสลายตัวลง มันยุบยอบตัวลง มันจะหมุนเข้ามาอยู่ในจิตนี้ จิตปฏิสนธินี้ นี่ใจดวงนี้ใจพาเกิด จาก “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” เวลาไปเกิดภพชาติใหม่ก็อยู่ในอุปกิเลสใหม่ อยู่ในอุปกิเลสใหม่ก็หมุนไปวนไปในอุปกิเลสใหม่

แต่อันนี้มันไม่ใช่แล้ว อันนี้เรากำลังจะให้ดึงใจนี้ออกจากหล่ม มันจะจับต้องใจดวงนี้ได้ เห็นใจดวงนี้ได้ก็พลิกออกจากหล่มได้ พลิกใจดวงนี้ขึ้นจากหล่ม ถ้าพลิกใจดวงนี้ขึ้นจากหล่ม มันก็จะเป็นธรรมทั้งหมด

ใจที่เป็นธรรม ใจที่พ้นออกจากหล่ม พ้นออกไปจากกิเลสทั้งหมด เกิดขึ้นมาจากเราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราพยายามประพฤติปฏิบัติธรรม เชื่อธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะก้าวเดินตามธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นออกไปจากกิเลสได้ ก็พยายามเพื่อประพฤติปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประพฤติปฏิบัติมา

นี้ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจเราไม่มืดบอด เพราะมันมืดบอดเท่านั้น มันถึงได้ก้าวเดินลูบๆ คลำๆ ไป มันมืดมันบอดไปภาษาของมัน แล้วมันถึงไม่เคยเห็นหัวใจของตัว เราไม่เคยเห็นหัวใจของตัวนะ เห็นแต่อาการของใจ ไม่เคยเห็นใจ อาการของใจเจ็บปวดแสบร้อนนี้คืออาการของใจ อาการของที่เกิดขึ้น อาการที่ว่ามันเป็นอารมณ์แล้ว มันเป็นความรู้สึกแล้ว เราถึงไม่เคยเห็นหัวใจเลย ทำความสงบเข้ามาต่างหาก ต้องทำความสงบเข้ามา ใจมันสงบเข้ามา ปัญญาในขั้นของสัมมาสมาธิ

ปัญญาในขั้นสมาธิเป็นปัญญาขั้นสมาธิ มันเป็นประโยชน์ส่วนหนึ่ง ปัญญาในการค้นคว้ามันก็เป็นประโยชน์ส่วนหนึ่ง นี้ปัญญามันถึงต้องมีขั้นมีตอนก้าวเดินเข้าไป จนกลายเป็นภาวนามยปัญญาเข้าไป เราทำของเราขึ้นมา ผู้ใดทำขึ้นมาอย่างนั้น มันถึงว่าเป็นปัจจัตตัง เป็นจากดวงใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเป็นปัจจัตตัง รู้ในใจดวงนั้น แล้วใจดวงนั้นจะมีความสุขในใจดวงนั้น

จากที่ว่าเคยทุกข์เคยยาก ใจนี้เคยทุกข์เคยยากนะ ไปตามกระแสของเขา กระแสโลกหมุนเวียนไป กิเลสนี้หมุนเวียนไป ดึงหัวใจดวงนี้ไป แล้วก็ติดในหล่มลึกหมุนตายหมุนเกิดมาตลอดไม่มีต้นไม่มีปลาย จนมาตกอยู่ตรงนี้ แล้วเชื่อหลักศาสนา ตกอยู่ตรงนี้ มันถึงเป็นอย่างไรล่ะ มันถึงเป็นความบุญกุศลของเราสิ บุญกุศลของเราพามาให้ประพฤติปฏิบัติ พาเข้ามาหาสัจธรรมความจริง สัจธรรมความจริง ธรรมฝ่ายเหตุเป็นสัจจะความจริง

แล้วธรรมฝ่ายผลน่ะ ธรรมฝ่ายผลก็เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วได้ผลมาในหัวใจ ได้ผลมาตามสิ่งที่มันเป็นจริงตามนั้น ถ้ามันไม่ได้ผลขึ้นมา มันเพราะต้องโทษกิเลสอย่างเดียว ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้วางประทานไว้แน่นอน เป็นสิ่งที่ว่าใครก้าวเดินตามธรรมนั้น ต้องประสบผลตามนั้น

มรรคผลมีจริง มรรคอริยสัจจัง มรรคอยู่ที่การสร้างขึ้นมา ผลคือผลจากการวิปัสสนาขึ้นมาจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นวิปัสสนา วิปัสสนาถูกต้อง วิปัสสนา ไฟ เราจะหาจุดของไฟ เราจะดับไฟ ที่ใดมืด ถ้าเราเจอสวิตซ์ เราเปิดจะสว่างที่นั่น หัวใจมืดบอด หัวใจไม่เคยเจอสวิตซ์ ไม่เคยจับตัวใจของตัวเองได้ มันจะเปิดความสว่างของใจมาจากไหน

ถ้าหัวใจมันมืดบอด เราจับใจของเราได้ เราจับใจของเราได้ เราก็ก้าวเดินตามนั้น ไปกดสวิตซ์ที่ไหน? กดสวิตซ์ที่กิเลสไง ถ้ากดสวิตซ์สว่างปั๊บ สว่างขึ้นมาแล้วความมืดจะอยู่ได้อย่างไร ความมืดต้องหายไปเพราะในเมื่อความสว่างเกิดขึ้น ถ้าสว่างเกิดขึ้นจากหัวใจดวงไหนมันก็สว่างขึ้นมา ถ้าสว่างขึ้นมามันก็เป็นปัจจัตตังรู้จากใจดวงนั้น

ใจดวงนั้นถึงแสดงธรรม พูดธรรมได้ตามความเป็นจริง ธรรมที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้นั้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ค้นคว้าขึ้นมาได้ก่อนแล้ววางไว้ ผู้ที่รู้ตามขึ้นมาเป็นพยานกัน เป็นพยานกันเพราะรู้จริงตามจริงตามนั้น แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทานธรรมไว้ให้ผู้ก้าวเดินตามไป แล้วผู้ที่ปฏิบัติจนหัวใจสว่างนั้นทำไมจะไม่รู้วิธีการล่ะ

มันก็ต้องรู้วิธีการเหมือนกัน ต้องเป็นปัจจัตตังรู้ในหัวใจของตัวเองก่อน ถ้าในหัวใจของตัวเองสามารถทำความสว่างเกิดขึ้นมาจากใจ นั่นน่ะ มันถึงเป็นความสุขนี้เป็นอันแรกก่อน ความสุขนี้เป็นผลของใจดวงนั้น

เวลาทุกข์แสนทุกข์แสนยาก เราก็ทุกข์แสนทุกข์แสนยาก พยายามค้นคว้าของเราขึ้นมา เราค้นคว้าของเราเพราะเราเห็นว่ามันทุกข์มันยาก สิ่งที่มันทุกข์มันยากเพราะใจมันต้องหมุนเวียนไป มันติดอยู่ในหล่มลึก มันหมุนไปตามประสากิเลสที่มันผลักไสไป กิเลสมันพาไป กิเลสนี้ไม่เคยให้ผลเป็นคุณงามความดีกับใจดวงไหน ไม่เคยให้ผลเป็นคุณงามความดีเลย

ถ้าเป็นกุศลนั้นเป็นธรรมต่างหาก กุศล อกุศลเกิดในหัวใจของเรา นี่ถ้ากิเลสพาออกไปแล้ว กุศล บุญกุศลเป็นมรรค สิ่งที่เป็นมรรคนี้เป็นเหตุ สิ่งที่เป็นเหตุมันถึงจะเป็นผล เป็นคุณงามความดี แต่ถ้าเป็นกิเลส เป็นอกุศล มันจะให้ผลเป็นลบกับใจดวงนั้น แล้วก็สะสมลงที่ใจ จนทำบ่อยๆ เข้าจนเป็นจริตนิสัย

ถ้าจริตนิสัยของคน เห็นไหม “ขอนิสัย” ขอนิสัยครูบาอาจารย์ อยู่กับครูบาอาจารย์ผู้ที่หูตาสว่าง ทำการประพฤติปฏิบัติมันจะเห็นคุณประโยชน์ของการเอาใจออกจากกิเลสให้ได้ ถ้าเรื่องของโลกเขามันเป็นเรื่องสิ่งอยู่อาศัย ปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย เกิดเป็นมนุษย์มันจะมีประโยชน์ต่อเมื่อเราเป็นมนุษย์เท่านั้น ถ้าเราตายจากสิ่งนั้นไป เครื่องอยู่อาศัยมันก็ต่างไปต่างไป

เครื่องอยู่อาศัย เราสะสมแต่เครื่องอยู่อาศัย เราสะสมแต่เครื่องอยู่ข้างนอก ถ้าสะสมแต่เครื่องอยู่ข้างนอก เราเอาแต่เรื่องข้างนอกเป็นของจริง เราเอาแต่สิ่งที่ว่าเป็นเครื่องอยู่อาศัย แล้วเรื่องโลกๆ นี้เป็นความจริง ถ้าเราไปยึดนั้นเป็นความจริง การประพฤติปฏิบัติเราจะไม่ก้าวเดิน เพราะว่ามันเอาหัวใจของเราไปใช้ครึ่งหนึ่งค่อนหนึ่งแล้วออกไปกังวลกับเรื่องงานนั้น

เรื่องงาน งานนี้มันต้องอะไรเป็นคนทำล่ะ จริงอยู่ร่างกายเป็นคนทำ แต่หัวใจต้องคิดถึงงานใช่ไหม ต้องคิดถึงการประพฤติปฏิบัติใช่ไหม คิดถึงสิ่งที่ว่ามันจะได้สิ่งนั้นมาตามความพอใจของมัน สิ่งที่เราอยากได้ขึ้นมา เราต้องคิดขึ้นมาแล้วจินตนาการออกไป นี่มันดึงใจของเราไป ดึงใจของเราไป แล้วทำจนเป็นเคยชิน

ถ้าทำเคยชินแล้วมันจะติดข้องกับสิ่งนั้น แล้วมันจะเอาสิ่งนั้นเป็นเครื่องอยู่ เป็นเครื่องอยู่แล้วติดอยู่สิ่งนั้น มันถึงไม่ย้อนกลับเข้ามา ถ้าย้อนกลับเข้ามา ถ้าครูบาอาจารย์ที่มีธรรม ผู้ที่หูตาสว่าง สิ่งนั้นสิ่งที่ว่าเป็นการเป็นงานนั้นมันก็เป็นการเป็นงาน เป็นแค่ข้อวัตรปฏิบัติ

ข้อวัตรนี้เวลาทำขึ้นมามันเป็นที่ว่าคนวัตรไม่ร้าง คนมีเครื่องอยู่ ใช้ธรรมเป็นเครื่องอยู่ เป็นประโยชน์เท่านั้น ไม่มีความเกาะเกี่ยวของมัน ถ้าคนไม่มีเครื่องอยู่ มันไม่ใช่เครื่องอยู่ มันเป็นสิ่งเนื้อเดียวกัน มันเป็นการกังวล มันเป็นการทำด้วยความพอใจ ด้วยความยึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้น เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นงาน สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ สิ่งนั้นเป็นประโยชน์มันก็ทำเฉพาะสิ่งเปลือกๆ มันถึงไม่เห็นหัวใจ เพราะใจมันส่งออกไปอยู่กับสิ่งข้างนอกทั้งหมด

แต่ถ้ามันเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ ทำงานเหมือนกัน ทำงานแต่ว่าเป็นวัตรปฏิบัติ วัตรเป็นเครื่องอยู่อาศัย มันทำถึงเวลาแล้วมันปล่อยของมันได้ มันทำถึงที่สุดของมันแล้วมันจบ มันจบเป็นวัตรปฏิบัติ เป็นครั้งเป็นคราว เป็นครั้งเป็นคราว หมดแล้วทำใหม่ หมดแล้วทำใหม่ มันอาศัยว่าเป็นการดำรงชีวิตไปเท่านั้น มันไม่ไปเกาะเกี่ยวยึดจนเป็นว่าเป็นสิ่งกังวลออกให้หัวใจดวงนั้น หัวใจดวงนั้นมันก็จะมีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติใช่ไหม

หัวใจดวงนั้นมันอาศัยสิ่งที่เป็นการเป็นงานนี้คอยแตะๆ ไปเท่านั้น แตะๆ ไปว่าสิ่งนั้นให้ใจแสดงตัว ใจในเรื่องค่าของน้ำใจ ทำเพื่อเห็นค่าของน้ำใจว่าใจดวงนี้มีความประพฤติปฏิบัติ ใจดวงนี้มีคุณค่า ค่าของใจแสดงออกค่าของใจ แต่ไม่ใช่ปุถุชนที่เราไม่รู้เหนือรู้ใต้ มันไม่ใช่แสดงค่าน้ำใจ มันแสดงความผลงาน

ผลงานของเราต้องเป็นผลงานของเรา ผลงานของเราจะเป็นคุณงามประโยชน์ เป็นคุณงามความดีของเรา มันไปยึดตรงนี้เป็นคุณงามความดี มันไม่แสดงค่าน้ำใจ ถ้าแสดงค่าน้ำใจนี้มันไม่ยึดเป็นผลงาน ค่าน้ำใจแสดงออกแล้วนี่หัวใจประเสริฐ หัวใจประเสริฐมันก็จะมีค่าน้ำใจ ใจมีอำนาจมากกว่า ใจมีคุณค่ามากกว่างานนั้น ใจมีคุณค่ากว่าทุกๆ อย่าง

แต่ว่าใจมีคุณค่าทุกๆ อย่างโดยที่ว่าเอากิเลสมาพูดนะ มันก็จะไม่แสดงอะไรเลย อ้างแต่เรื่องของใจ เรื่องของใจ เรื่องของใจ ใจถึงที่สุดแล้วใจก็เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้นแล้ว ๑ ใจยังอาศัยวัตรปฏิบัตินี้เป็นเครื่องดำเนิน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางธรรมไว้ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วไม่มีกิเลสในหัวใจ สอนสาวก เอาศาสนาวางในโลกนี้อีก ๔๕ ปี สอนสัตว์โลกมาวางศาสนาไว้จนมั่นคงแล้วปรินิพพานไป นี่ค่าน้ำใจมหาศาล เมตตาสัตว์โลก พยายามให้สัตว์โลกอีก ๕,๐๐๐ ปีได้มีเครื่องมีกุญแจไขให้ถึงกิเลส ไขเอาหัวใจนี้ออกไปจากกิเลสได้ เห็นไหม ยกใจนี้ออกจากหล่ม ออกจากหล่มของใจ พ้นออกจากหล่มของใจออกไป นี่ค่าน้ำใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ใจที่เป็นธรรม ใจที่สว่างไสว มันจะมีคุณค่าของใจ มันจะมีความสุขของใจดวงนั้น แล้วมันยังให้ผลประโยชน์กับใจทุกๆ ดวงที่เชื่อในธรรม ที่ปรารถนาธรรม ที่ต้องการทางออก ถ้าคนมืดบอดไม่ปรารถนาธรรม เขาจะไม่สนใจเรื่องนี้ แล้วจะมองสิ่งที่เป็นประโยชน์มาก สิ่งที่ว่ามรรคอริยสัจจังนี้เป็นเรื่องของนามธรรม

ถ้าหัวใจมีมรรคในหัวใจนี้ สร้างมรรคขึ้นมา ไม่มีใครเห็นว่าใจดวงไหนมีมรรคหรือไม่มีมรรค แต่ใจดวงที่สร้างมรรคขึ้นมาจะเห็นคุณค่าของใจดวงนั้นเอง นี่ถ้าเห็นคุณค่าของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นก็สร้างมรรคขึ้นมา แล้วมรรคนั้นจะไปไหน มรรคสามัคคี มรรคก็ต้องชำระกิเลส มรรคชำระกิเลส กิเลสอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ใจ ออกไปจากใจดวงนั้น

สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา เขาเห็นของเขา แล้วเขาทำลายของเขาออกไปจากใจของเขาได้ เขาก็จะชำระกิเลสของเขาไปได้ แต่ไม่มีใครเห็นว่าเขาชำระกิเลสออกไปได้ เว้นไว้แต่ในเมื่อเขาแสดงออกจากค่าน้ำใจ ถ้าเขาแสดงออกด้วยค่าน้ำใจ เขาบอกว่ามรรคเขารวมอย่างนั้น เขาชำระกิเลสของเขาออกไปด้วยวิธีการแยกแยะระหว่างขันธ์กับจิตที่แยกออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป นี่มันบอกได้

ทำไมผู้ที่ผ่านไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมจะไม่รู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้พยากรณ์ทั้งหมดใช่ไหม ว่าสาวกองค์ไหนสำเร็จหรือไม่สำเร็จจริง สำเร็จจริงก็มี ไม่สำเร็จจริงที่ว่าสำเร็จ พระพุทธเจ้าก็สอนใหม่ สอนใหม่

ความหลงของใจมันมีเป็นไปได้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ทำเริ่มต้น ตั้งแต่เริ่มต้นก้าวเดินไป มันก็มีความหลงไป ความผิดพลาดออกไป ขึ้นก้าวเดินไปเป็นชั้นเป็นตอน มันก็มีความผิดพลาดออกไป เพราะกิเลสมันต่อต้าน มันขัดขวางทุกกิริยาของการประพฤติปฏิบัติไปตลอด ในเมื่อมันขัดขวาง มันก็ต้องทำให้เราหลงทางสิ ต้องบิดเบี่ยงให้เราออกไปจากนอกลู่นอกทาง ไม่ให้เข้าไปถึงจุดกลางหัวใจ มันถึงไม่เห็นใจติดหล่ม

ผู้ที่เห็นใจติดหล่มหมายถึงการเดินเข้ามาถูกช่องทาง ถูกทางตามธรรม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่เคยด้นเดา ไม่เคยให้ถึงก่อนถึงหลัง ไม่เคยไปห่วงอดีตอนาคต ไม่ห่วงว่าเราจะปฏิบัติแล้วไม่ถึงธรรม

ถ้าเราคิดแต่เราอยากปฏิบัติ ห่วงอดีต ห่วงอนาคต อยากให้มันเป็นไปตามนั้น นี่ตัณหาซ้อนตัณหา เราประพฤติปฏิบัติไปโดยธรรมชาติของเรา มีกำลังเท่าโถมลงไป เพราะกำลังของใจหมดไปแล้วมันขึ้นมาใหม่ได้ มันสร้างสมใหม่ตลอด พลังงานของใจมีตลอด ไม่ใช่ว่าทุ่มไปหมดแล้วมันจะหมดเนื้อหมดตัว ไม่ใช่

ถ้าอย่างสมบัติพัสถานทุ่มไปหมดเนื้อหมดตัว มันผิดพลาดมันสามารถหมดได้ แต่หัวใจทุ่มไป มันก็ผิดพลาดเดี๋ยวมันก็สร้างขึ้นมาใหม่ เรื่องผิดพลาดนั้นเป็นการให้ใจนี้ก้าวเดินมาถูกทางด้วย ถ้ามันไม่ผิดพลาดเลย มันจะเอาอะไรมาความถูกต้องของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นต้องมีความผิดพลาด ผิดพลาดแน่นอน มันเป็นเรื่องที่ลุ่มลึกมาก

ในศาสนานี้เป็นเรื่องที่ลุ่มลึก ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไม่อยากจะสอนเลยล่ะ ทั้งๆ ที่ว่าปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังสิ มันจะลึกขนาดไหน แล้วมันกว้างขวางจนไม่มีขอบเขต ถึงได้บัญญัติมาให้เราสื่อกันนะ บัญญัติมาทับสมมุติไว้ สมมุตินี้มันกว้างขวางมากเกินไป บัญญัติมาเป็นขันธ์ เป็นธาตุ เป็นหัวใจ เป็นหัวใจที่ว่าเป็นตัวรู้ เป็นหัวใจ เป็นธาตุ ๖ เข้ามา ธาตุกับขันธ์ แล้วก็พยายามพลิกเข้าไปจนถึงธาตุรู้ ธาตุในธาตุ ๖ นั้น มันมีธาตุรู้อยู่ด้วย ทำลายธาตุรู้ขึ้นไป ธาตุรู้คือจบ

นี่หัวใจดวงนั้นจบ หัวใจดวงนั้นเข้าถึงธรรม เป็นสัจจะความจริง หัวใจที่อยู่ในกลางหัวใจของเรา ความรู้สึกอันนี้ ความรู้สึกอยู่ที่ท่ามกลางหัวใจของเรา สามารถเป็นภาชนะที่ใส่ธรรมได้ ในหัวใจของเราที่ทุกข์ๆ ร้อนๆ อยู่ หัวใจเรามีความทุกข์ความเร่าร้อนในหัวใจ มันมีความทุกข์ เราถึงพยายาม แล้วเราก็รับรู้แต่ความทุกข์อันนี้ไป แต่เราไม่เคยรับรู้ความสุขตามความเป็นจริง ถ้าเรารับรู้ความสุขตามความเป็นจริง เราจะเห็นคุณค่าของใจ

ใจถึงเกิดมาด้วยอำนาจของกรรม อำนาจของกรรมทำให้หัวใจนี้เป็นทุกข์ ๑ แต่เพราะอำนาจของกรรม กรรมที่ทำให้หัวใจนี้เป็นทุกข์แล้วรุ่มร้อนนี่แหละ แต่ในหัวใจนั้นเป็นภาชนะที่ใส่ธรรม ถ้าภาชนะที่ใส่ธรรม เพียงแต่เราพยายามค้นคว้า พยายามทำลาย พยายามขุดคุ้ย พยายามถากถางให้กิเลสออกไปจากใจเท่านั้น

เพราะใจมันแสดงตัวเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติมีร่างกายกับหัวใจ มนุษย์สมบัติ หัวใจที่เป็นมนุษย์สมบัตินี้ มนุษย์นี้มีปัญญา มนุษย์นี้สามารถเป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์นี้ใช้ปัญญาใคร่ครวญ มนุษย์นี้ทำลายกันด้วยความคิดต่างๆ แต่มนุษย์นี้ไม่ใช้ความคิดนี้ ไม่ใช้ปัญญานี้ทำลายกิเลสของตัวเองเลย ถ้ามนุษย์นี้ทำลายความคิดของตัวเอง ทำลายกิเลสของตัวเอง ผู้นั้นประเสริฐ ผู้ที่จะเอาตนของตนไว้ในอำนาจของตน ประเสริฐ ผู้ที่เอาชนะตน ประเสริฐ

ผู้ที่ชนะคนอื่น ชนะทั่วๆ ไป นั่นน่ะ มันทำไปตามกิเลสไง กิเลสต้องการมีอำนาจ กิเลสต้องอยากใหญ่ กิเลสต้องการอยู่บนหัวของคน กิเลสมันถึงหลอกให้หัวใจของมนุษย์เร่าๆ ร้อนๆ ไป มันถึงพาเกิดพาตาย แล้วก็ไม่เคยเห็นหัวใจติดหล่มด้วย เพราะมันไม่เห็นหล่ม เห็นแต่อารมณ์เป็นขันธ์ออกไปตลอด มันเป็นอย่างนั้นไปตลอดในวัฏวนที่มันวนเวียนไปในวัฏฏะนั้น

ใจดวงนี้มีหูมีตา ใจดวงนี้มีตาแล้วเชื่อธรรม ถ้าใจดวงนี้มีตาแล้วเชื่อธรรม ถึงได้หันกลับมาเป็นประโยชน์กับใจดวงนั้นไง การเกิดมาในชาติปัจจุบันนี้ เป็นมนุษย์นี้มันถึงไม่เสียชาติเกิด ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเราประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน เรานับถือศาสนาพุทธ เราพยายามประพฤติปฏิบัติอยู่ ปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมไม่เข้าถึงหัวใจ ไม่เข้าถึงหลักของธรรม มันประพฤติปฏิบัติไปมันก็ได้เท่านั้น มันก็ยังเวียนอยู่ในหล่มนั้นออกไปถ้าเราประพฤติปฏิบัติไม่ถึงธรรม

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติถึงธรรม ถึงธรรม รู้ธรรม รู้แจ้งธรรมในหัวใจ ธรรมกับใจนี้เป็นเนื้อเดียวกัน นี่ภาชนะหัวใจนั้นเป็นธรรมทั้งแท่ง เอโก ธัมโม เอกที่หนึ่ง โลกนี้เป็นของคู่ มืดคู่กับสว่าง โลกนี้เป็นทุกข์คู่กับสุข ทุกอย่างเป็นของคู่ระหว่างคู่ของเขา

แต่ เอโก ธัมโม เห็นไหม ทำพรหมจรรย์นี้ประเสริฐสุด พรหมจรรย์ที่ประพฤติถึงพรหมจรรย์ พรหมจรรย์นี้ประพฤติเพื่ออะไร? เพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อจะแก้ลัทธิต่างๆ แก้ความเห็นของคน แก้ความเห็นของใคร จะช่วยเหลือคน อันนั้นมันถึงว่าให้ถึงพรหมจรรย์ก่อน

ถ้าใจถึงพรหมจรรย์แล้วมันถึงมีอำนาจ มันถึงมีวัตถุดิบ มันถึงมีความสามารถที่จะไปเกื้อหนุนเขาได้ ถ้าเราไม่มีเครื่องมือ เราไม่มีความรู้ ในหัวใจนั้นไม่ถึงพรหมจรรย์ มันก็ตกหล่ม ใจหนึ่งนั้นมันอยู่ในหล่มแล้วจะดึงใจอีกหลายๆ ดวงใจตกเข้าไปในหล่มนั้นอีกหรือ หล่มของแต่ละบุคคล หล่มของแต่ละหัวใจมันหมุนไปในวัฏฏะอยู่แล้วโดยธรรมชาติ มันก็พากันตกหล่มไป

แต่ถ้าไปถึงพรหมจรรย์ในหัวใจนั้น...(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)