ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

อัพยากฤต

๒๘ ก.ค. ๒๕๕๒

 

อัพยากฤต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

เมื่อก่อนมีลูกศิษย์คนหนึ่ง เขาสอนอยู่ที่หอการค้าเขาพูดอย่างนี้เลย เขาเข้าใจว่าอัพยากฤตนี้เป็นธรรมะ เขาบอกว่าอุเบกขานี้เป็นธรรมะ แต่เราบอกว่าอุเบกขานี่ตัวร้ายเลย ตัวร้ายเพราะอะไร เพราะอัพยากฤตมันวางเฉย ดีกับชั่ว “กลาง” พอกลางนี่มันจะไปดีกับชั่วไง “กลาง” มันอยู่กลางได้ไหม อัพยากฤต ตรงนี้

ถ้าพูดถึงดีกับชั่วนี้ เราจะเห็นชัดใช่ไหม แต่ถ้าเราเฉยๆ อยู่ “กลางๆ” อยู่ เราไม่ดีไม่ชั่ว

แต่ขอโทษนะ มึงจะชั่ว! มันไม่ไปดีหรอก มันไม่ไปดีเพราะอะไร มันไม่ไปดีเพราะจิตใต้สำนึกของเรามันมีความไม่รู้ อวิชชาคืออะไร อวิชชามันรู้ตัวนะ อวิชชาคือพลังงาน ดูสิ เวลาเข้าปั๊มจะมีป้ายบอก กรุณางดสูบบุหรี่ กรุณางดจุดไฟ กรุณาหมดเลย เพราะอะไร เพราะน้ำมันพอเจอเชื้อไฟปุ๊บมันติดเลยในเมื่ออัพยากฤตนี้ เรามีอวิชชาอยู่แล้ว เหมือนน้ำมัน มันเจอเศษไฟไม่ได้เลย ผลัวะ!

อัพยากฤตมันมีอวิชชาอยู่แล้ว อวิชชาตามตำราคือความไม่รู้ แต่ความจริงมันรู้ในตัวมันเอง มันรู้สึกตัว อย่างเช่น เราอยากดีอยากดังกันทุกคน แต่ทำยังไง? ไม่รู้ โดยสามัญสำนึกเราอยากดี ทุกคนอยากดีไหม อยากเป็นคนดีกันหมดนะ แล้วดีคืออะไรล่ะ ดีมันมีหลากหลายมาก

วันก่อนมีคนมาจากเขื่อน พวกสร้างเขื่อนมากันเต็มเลย เพราะลูกศิษย์เขาดึงกันมา บางคนก็อยากมา บางคนก็ไม่อยากมา เราก็ให้ถามธรรมะอย่างนี้ ทุกคนก็ถามกันไป มีคนหนึ่งมาบอกว่า

“ผมก็ดีอยู่แล้ว ผมดีหมดเลย ครอบครัวก็ดี ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ดี ทุกอย่างดีทั้งนั้นเลย”

พอเขาพูดจบแล้ว เราบอกว่า เราเศร้าใจมากเลย นี่มุมมองของเรา เห็นไหม ดีของเรานี่นะ ตำแหน่งหน้าที่การงานทั้งหมดนั้นมันเป็นสมบัติสาธารณะ

เคยมีข้าราชการบางคนมาหาเรานะ เขาบอกว่าเขาคิดฆ่าตัวตายเลย เขาคิดฆ่าตัวตายตลอดเวลาเพราะเขาไม่ได้ ๒ ขั้น แล้วเขาก็มานั่งฟังเราทุกวัน มานั่งฟังเทศน์ตอนเช้าๆ เพราะเราจะเน้นเรื่องมนุษย์สมบัติ ถ้าไม่มีเรา ไม่มีมนุษย์สมบัติ ตำแหน่งหน้าที่การงาน สมบัติทุกอย่างมันก็เป็นของสาธารณะหมด เพราะมีเราสิ่งนั้นมันถึงมี เราจะได้ตำแหน่งหรือไม่ได้ตำแหน่งก็แล้วแต่ เดี๋ยวเราก็เกษียณ เดี๋ยวเราก็ไปแล้ว ตำแหน่งก็คือตำแหน่ง เราก็คือเรา แต่ถ้าเอ็งมองตรงนั้นปั๊บ เอ็งจะเหยียบย่ำ เราจะบอกว่า ดูถูกตัวเองมาก ดูถูกสมบัติที่มีค่าที่สุดคือชีวิตเรา

สมบัติที่มีค่าที่สุดคือชีวิตเรานะ แต่เราไปมองกันที่ตำแหน่งหน้าที่การงาน พอเราพูดเน้นๆ ไปนะ เขาสารภาพเลย เขาบอกว่าแต่เดิม คิดแต่ว่าจะทำร้ายตัวเองตลอด เพราะเขาไม่ได้ ๒ ขั้น พอฟังไปฟังมานะ ๒ ขั้นนั้นมันไม่มีความหมายเลย เขาปลดของเขาเอง เขาพูดของเขาเองนะ มีคนพูดอย่างนี้กับเราหลายคนมาก แล้วอย่างพวกข้าราชการ อย่างโรงพยาบาลโพธารามที่เขาพากันมา ไม่ได้ ๒ ขั้น เสียใจมากเลย พอเราพูดอย่างนี้ปั๊บนี่ ทุกคนหวังดี อยากดีหมดล่ะ แต่เราคิดว่าตำแหน่งหน้าที่การงานคือสังคมไง เพราะพอเรายืนตรงนั้นปั๊บ มันจะเชิดหน้าชูตาไง แต่ลืมไปว่า การเชิดหน้าชูตานั้นมันก็ของชั่วคราวทั้งหมด ดูสิ ดูคนจะเกษียณสิ จะเป็นทุกข์เป็นร้อนเลย “เกษียณ แล้วจะอยู่อย่างไร เกษียณแล้วจะทำอย่างไร” แต่มึงก็ต้องเกษียณ มันเป็นความจริงอันหนึ่ง มึงจะพะวักพะวงขนาดไหน มึงก็ต้องไป

พอเขาบอกว่า เขาดีหมดเลย เราก็บอกว่าสลดใจมาก เพราะความคิดของคนคิดได้เท่านี้ คิดว่าทุกอย่างเรามีพร้อมเพรียงหมดแล้ว เรามีพร้อมหมดแล้ว เราก็เป็นคนดีแล้ว แต่ความพร้อมเพรียงแบบนี้นะ มันเหมือนรถ อย่างโยมเติมน้ำมันเต็มถังเลยแล้วก็วิ่งไป มันจะหมดถังไหม พอหมดถังแล้วจะทำอย่างไรต่อไป มนุษย์สมบัติ การได้ชีวิตมนุษย์มานี้ เราต้องสร้างบุญมา ถ้าเราไม่สร้างบุญมานะ จิตนี่มันเกิดโดยธรรมชาติของมัน

หลวงปู่จันทา ท่านบอกนะ ท่านนั่งภาวนาอยู่ แล้วเห็นครอบครัวๆ หนึ่งเดินเข้าไปในฟาร์มหมูหมดเลย คือไปเกิดในนั้นไง ท่านเห็นจิตวิญญาณเดินเข้าไปในฟาร์มหมู เขาทำฟาร์มไง คือจิตนี้มันเกิดได้ทุกอย่าง แล้วพวกเราก็บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ วิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ไม่ได้

สมัยพุทธกาล มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งท่านมีบุญมาก ท่านไปบิณฑบาต พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องตรัสรู้เองโดยชอบ ทีนี้พอโยมเขาศรัทธา เขาก็บอกว่าจะนิมนต์ให้มาฉันตลอดไป แต่เพราะเขามีหน้าที่การงานมาก แล้วเขามีหมาตัวหนึ่ง เลยบอกว่าถ้าอาหารเสร็จแล้ว จะให้หมาตัวนี้มาเป็นสัญลักษณ์มาบอก ไอ้หมามันก็มาเห่าเรียกไปนะ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รักมันมาก พอเดินๆ ไป ท่านแกล้งทำหลงทาง มันไม่ยอมนะ มันวิ่งไปคาบจีวรดึงกลับมา หมามันมีความฉลาด มันรักของมัน

ทีนี้พอออกพรรษาแล้ว ประเพณีของพระ ออกพรรษาแล้วจะออกธุดงค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าออกพรรษาก็ต้องธุดงค์ไป หมาตัวนี้มันอาลัยอาวรณ์ มันหอนนะ หอนจนขาดใจตายเลย พอมันหอนจนขาดใจตาย ด้วยบุญกุศลอันนี้ หมานะ ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นเทวดาที่เสียงเพราะที่สุดเลย โอ้โฮ! ไม่มีเสียงของใครจะไพเราะเท่านี้เลย เทวดาองค์นี้ชื่อท้าวโฆษกะ ในปัจจุบัน พิธีกร โฆษกก็คือหมา! มันทับศัพท์มาจากชื่อของหมา ท้าวโฆษกะเป็นเทวดาที่เสียงเพราะที่สุดเลย ที่เขาเรียกโฆษก เดียวนี้เขาเรียกพิธีกรไง ไอ้ถือไมค์ นั่นล่ะชื่อหมา เอาสัญลักษณ์ของหมามาใช้ ท้าวโฆษกะโฆษก

นี่ไง แล้วก็บอกว่า สัตว์เกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ไง มนุษย์เกิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ไง แต่มันเวียนตายเวียนเกิดนะ พอเวียนตายเวียนเกิด เราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว นี่มนุษย์สมบัติเราได้มาแล้ว มีหน้าที่การงาน แต่ประสาเรา มนุษย์สมบัตินี้สำคัญมาก ถ้าตกนรกไปก็เหมือนติดคุก ถ้าเราอยู่บนสวรรค์ก็เหมือนเรากินเลี้ยงตลอดเวลา เราเปรียบอย่างนี้เลย สวรรค์หมายถึงว่า เรามีงานรื่นเริง มีสโมสรสันนิบาตอยู่ คือเพลิดเพลินไง แต่มันก็ต้องจบ อยู่ในคุกในตารางมันก็ต้องออก นรกสวรรค์ก็อย่างนั้น แต่ในปัจจุบัน เราไม่ได้ตกนรก เราไม่ได้อยู่ในคุก เราอิสระ มนุษย์สมบัตินี้อิสระเพราะอะไร เพราะว่าชีวิตของเรา ลมหายใจเข้าและหายใจออกทำให้ร่างกายนี้อยู่ได้ พลังงานมันเผาผลาญอยู่

เราเปรียบชีวิตของเรา คนเราคนหนึ่งเหมือนต้มพะโล้หม้อหนึ่ง พะโล้หม้อนั้นถ้าได้อุ่นอยู่ พะโล้หม้อนั้นมันจะไม่เน่าไม่บูด ร่างกายนี้เปรียบเหมือนพะโล้หม้อหนึ่ง มีจิต ธาตุไฟนี้เผาผลาญอยู่พะโล้หม้อนี้ไม่เน่า ถ้าจิตออกจากร่าง พะโล้หม้อนี้มันจะเน่า จิตออกจากร่าง กายนี้ก็เน่า ชีวิตเราแค่นี้เอง แล้วพอชีวิตมีแค่นี้เอง เอ็งจะใช้ชีวิตกันอย่างไร เอ็งจะดำรงชีวิตกันอย่างไร แต่นี่บอกว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว ตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่พอลมหายใจขาดผลัวะ! จิตนี้ออกจากร่าง มันจะไปตามกำลังของมันเลย ดีหรือชั่ว มันจะไปตามกำลังของมัน

แต่ทีนี้เรามาอยู่ในชาตินี้ใช่ไหม เราก็เพลิน ทำแต่งาน โอ้โฮ เป็นคนดี น้ำมันก็หมดถังไปเรื่อยๆ ใช้น้ำมันไปเรื่อยๆ พอน้ำมันหมดปั๊บ รถก็ไปไม่ได้แล้ว นี่บุญกุศล อามิสคือน้ำมัน คือแรงขับ บุญกุศลที่ให้มา เราทำบุญกุศลไป ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การเสียสละอย่างนี้ เสียสละเพื่อเติมของเราไปเรื่อยๆ ฝึกจนเคยชิน ยิ่งพอมาปฏิบัติ ถ้าเรามาปฏิบัติ ทำสมาธิ รถเดี๋ยวนี้ก็ไฮบริด ไม่ต้องเติมน้ำมัน จิตของเราถ้าภาวนาไปแล้ว จิตถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมาแล้ว อันนี้ไม่เกี่ยวแล้วนะ กูเลี้ยงตัวกูเองได้นะ สมาธิมันเลี้ยงตัวของมันเองได้ แล้วถ้าเราเกิดได้ปัญญาขึ้นมา เหมือนรถเรานี่นะต่อไปจะใช้ไฮโดรเจนแล้ว มันเป็นไปได้ตามธรรมชาติของมันเลย จิตนี้มันพัฒนาได้ขนาดนั้น

คำว่าอัพยากฤต มันเป็นกลาง แต่กลางอย่างนี้มันไว้ใจไม่ได้ กลางอย่างนี้กลางไม่ถูก กลางอย่างนี้เขาเรียกว่า เวทนา ๓ ทุกข์ สุข อุเบกขา เวทนา ๖ เวทนา ๑๖ เวทนานี้มันมีนอกมีใน มีเข้าไปเรื่อยๆ ทีนี้มันละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ละเอียดอย่างไรก็ไว้ใจไม่ได้ ไว้ใจไม่ได้เพราะอะไร ไว้ใจไม่ได้เพราะมันอยู่ใต้กฎของไตรลักษณ์ที่มันแปรปรวนตลอด ไม่มีอะไรคงที่เลย เว้นไว้แต่สมาธิคงที่ชั่วคราว ถ้าทำสมาธิได้มันจะคงที่ได้ชั่วคราว เพราะชั่วคราวด้วยกำลัง สมาธิคือแรงส่งของสติ แรงส่งของสติคือคำบริกรรม มันอยู่ของมันได้ แต่ถึงจะมีแรงส่งแค่ไหน พอหมดแรงส่ง มันจะอยู่ได้ไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ สมาธิเกิดจากการมีสติควบคุมเราเอง ตอนนี้ปัจจุบันนี้ สมาธิควบคุมตัวเองกลับมาที่ตัวจิต แต่ถ้าเราใช้ของเรา เราก็ใช้พลังงานของจิต

มันมีนะ ลูกศิษย์เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยของโรงพยาบาลศิริราช เขาเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยว่าสมองคิดได้อย่างไร แล้วก็ทำไปจนตัน เขาบวชพระแล้วมาหาเรา

“หลวงพ่อ ผมเป็นหัวหน้าโครงการทำวิจัย” เขาบอกชื่อเขาด้วย

“แล้วตอนนี้ผมวิจัยไปแล้วมันตัน” ตันเพราะอะไร

“เพราะว่าสมองมันเป็นสสาร มันเป็นวัตถุ แล้วมันคิดไม่ได้ แล้วมันมีความคิดมาได้อย่างไร”

เราบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เราบอกว่าสมองมันเป็นธาตุ มันเป็นสสาร เป็นธาตุอันหนึ่ง แล้วธาตุนี้มันยังใช้พลังงานของตัวเองไม่ได้เลย แต่มันกึ่ง กึ่งว่าธาตุ อันนี้ต้องใช้จิตต้องมีพลังงาน ถ้าไม่มีจิตไม่มีพลังงาน ไอ้เครื่องกลอันนี้มันทำงานไม่ได้หรอก เครื่องกลอันนี้ถ้าไม่มีตัวจิตมันก็ทำงานไม่ได้

ทีนี้มันกึ่ง กึ่งหมายความว่า คำว่าสมองนี้ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ใช่ไหม มีสมองเป็นศูนย์ประสาทควบคุมร่างกายเรา แล้วไวมาก คิดยกมือนี่ ปึ๊บ! คำสั่งทุกอย่างที่ขยับนี่ สมองสั่งหมดนะ แล้วมันสั่งอย่างไร กูไม่รู้ว่ามันสั่งอย่างไร มันเร็วขนาดไหน พอมันเร็วอย่างนี้ ศูนย์ประสาทมันควบคุมเรา แล้วศูนย์ประสาทนี่คือความจำ สมองส่วนไหนคือส่วนบังคับบัญชา มึงจำอะไรมาล่ะ แล้วพูดถึงถ้ามันดับหมดเลย ไม่ได้ใช้อะไรเลย แล้วจิตมันยังคิดได้อย่างไร

เราถึงบอกว่ามันกึ่ง หมายถึงว่า มันเป็นสภาวะของมนุษย์ ถ้าเป็นสภาวะของเทวดา เทวดานี้ไม่มีร่างกาย เป็นกายทิพย์ แล้วเขาคิดกันอย่างไร เขาทำกันอย่างไร เราถึงบอกว่า จิตนี่มันเป็นมาตรฐานที่ว่า มันจะอยู่ในสถานที่ใดก็ต้องมีจิต ถ้าไม่มีจิตมันก็ไม่มีสิ่งที่มีชีวิต จิตเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มันจะเคลื่อนไปในวัฏฏะ พอเคลื่อนไปในวัฏฏะ แล้วในร่างกายเราทำไมมีเซลล์ล่ะ ทำไมมีเม็ดเลือดล่ะ นี่อะไร ภูตรูป-มหาภูตรูป รูปใหญ่รูปเล็ก มันอาศัยเกิดในร่างกายเราอีก ทีนี้มันก็อาศัยในนี้อีก

ทีนี้พอพูดถึงสมองนะ พออธิบายให้เขาฟัง เขาบอกว่าเขาอยากเห็นจิตวิญญาณ เพราะเขาทำวิจัยเรื่องของวิทยาศาสตร์แล้วมันจบไม่ได้ เขาก็มานั่งภาวนาใหญ่ ภาวนาหลายวันอย่างไรก็ ไม่เห็น...อด! ทางวิทยาศาสตร์เขาจะพิสูจน์ตรงนี้กันไง

พออย่างนี้ปั๊บ คำว่าอัพยากฤตนี่ ด้วยความคิดของเรา อัพยากฤตมันไม่ให้ทุกข์ไม่ให้โทษกับใคร พออัพยากฤตมันเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ไม่ให้โทษกับใคร ไม่ให้คุณกับใคร มันควรจะเป็นกลางโดยคุณสมบัติ แต่ความจริงมันไม่ใช่ มันเป็นกระบวนการของจิต

ดูสิ พวกเรานั่งกันอยู่นี่ ปวดเมื่อยหมดนะ ถ้านั่งอยู่นี้จะปวดเมื่อยตายเลย แล้วทำอย่างไรจะไม่ปวดล่ะ โดยธรรมชาติของมัน อิริยาบถ เห็นไหม พลังงานของมัน เพราะพลังงานของจิต คือจิต กระบวนการของมัน มันมีทุกข์มีสุข ถ้ามันมีทุกข์อยู่ตลอดเวลามันก็ไม่ไหว มีสุขตลอดก็ไม่ได้ มันก็มีอัพยากฤต คือมันปล่อยวางโดยธรรมชาติของมันเองเหมือนกัน ธรรมชาติของมัน มันอยู่กลางได้ แต่อยู่กลางอย่างนี้ อยู่กลางด้วยกระบวนการของมัน พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว

ทีนี้ถ้าในการปฏิบัติ ไอ้พวกนี้ใช้ไม่ได้หมดเลยนะ เพราะนี่เป็นกระบวนการของมันใช่ไหม กระบวนการคือสัญชาตญาณการเคลื่อนไหวของจิต แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าธรรมะคือการสวนกระแส สมาธิไม่ใช่อุเบกขานะโว้ย! สมาธิคือสมาธิ คราวนี้เขาสอนกันว่า จิตคือธรรมดา ธรรมดา มึงจะตายด้วยธรรมดา มึงจะไม่มีอะไรติดมือมึงไปเลยโดยความเป็นธรรมดา

เพราะจิตมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว และมันเอากระบวนการของมัน คืองานรูทีนงานประจำของมันมาเสนอเรา แล้วเราจะต้องทำงานที่ควบคุมมัน เราเป็นฝ่ายบริหารใช่ไหม แล้วมีหน้าที่บอกว่า บริหารมันทำอย่างนี้ “เฮ้ย กูคุมนโยบายนะ กูจะสั่งให้องค์กรนี้มันเคลื่อนไหวไปอีกแนวทางหนึ่ง ไม่ใช่กระบวนการที่มึงทำกันอยู่นี้” แต่ที่เขาสอนกัน เขาบอกว่าเขาดูจิต เราบอกว่าพัฒนาการของจิตมันเป็นอย่างนี้ กระบวนการของมันเป็นอย่างนี้ แล้วมึงเอากระบวนการของมันมาสอนกัน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนี้โว้ย! พระพุทธเจ้าไม่สอนอย่างนี้หรอก

อันนี้ถึงบอกว่าเป็นอัพยากฤต เราจะบอกว่า เวลาปฏิบัติไปนี้ มันจะมีขั้นตอนของจิต คือว่า มิติของความคิดมันมีอยู่ ๔ ระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มิติของความคิดที่ลึกตื้นนี้มี ๔ ระดับ พอปฏิบัติไป ความที่เราอยู่ในระดับไหน จิตของเราไปอยู่ในระดับไหน เหมือนกับตำแหน่งหน้าที่การงานของเรารับผิดชอบระดับไหน เราก็ต้องรับผิดชอบบริหารจัดการในหน้าที่การงานของเรา

ในโสดาบัน ในสกิทาคามี ในอนาคามี ความรับผิดชอบมันหลากหลาย มันละเอียดลึกซึ้งมาก พอลึกซึ้งมาก มันมีความตึงเครียดขนาดไหน เพราะมันเป็นอัพยากฤตของมัน เห็นไหม เราจะบอกว่าอัพยากฤตนี้ ในขั้นของแต่ละขั้นมันก็ละเอียดลึงซึ้งต่างกัน แต่ทีนี้คนที่มันไม่เคยปฏิบัติ หรือปฏิบัติโดยความคิดของเราที่เป็นวิทยาศาสตร์ มันก็คิดว่าอัพยากฤตก็คืออัพยากฤตไง มันคิดว่าเวทนาก็คือเวทนา ทีนี้พอครูบาอาจารย์ของเราที่ปฏิบัติจะบอกว่า มันจะมีเวทนานอก เวทนาใน เวทนาในเวทนา

เขาก็บอกว่านี่เป็นโวหาร พูดเป็นโวหาร ไม่มีตัวตน

ก็มึงไม่เคยปฏิบัตินะสิ ลองถ้ามึงมาปฏิบัติแล้วสิ

แล้วเขาก็บอกว่าเป็นโวหาร กายนอก กายใน กายในกาย โอ้โฮ!

คนพูดอย่างนี้แสดงว่าเขาไม่เคยรู้เคยเห็นสิ่งอะไรที่เป็นความจริงของเขาเลย

ถ้าเรารู้เห็นเรื่องในบ้านของเรา เรื่องในจิตของเรา เรื่องในบ้านของเรา เราก็คิดว่าเป็นความลับนะ แต่ถ้าในการปฏิบัตินะ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ในความเป็นอยู่ เห็นไหม ในบ้านของเรา จะเป็นบ้านในภูมิภาคใด บ้านรูปทรงใด บ้านก็คือที่พักอาศัย แล้วเราก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยในบ้านของเราที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวันของเรา มันก็คืออันเดียวกันนั่นล่ะ รูปแบบจะทรงไหน จะรูปแบบใดก็คือบ้านพักอาศัย

ถ้ามันเข้าใจกระบวนการของจิตแล้วนะ จากจิตดวงหนึ่งสู่จิตดวงหนึ่ง ไม่มีความลับหรอก แล้วไม่มีจิตดวงใดจะแปลกประหลาดกว่าจิตดวงอื่น ไม่มี! เพราะอริยสัจมีอันเดียว อริยสัจมีหนึ่งเดียว ถ้าพูดถึงอริยสัจมันต้องเป็นความจริง ต้องเป็นอันเดียวกัน ไม่มีแตกต่าง เพียงแต่ว่า ย้อนกลับมาที่บ้านอีกล่ะ

อ้าว ก็ของผมไม่ใช่บ้าน ของผมเป็นคอนโดมิเนียมมันซ้อนๆๆๆ กันอยู่ มันไม่ใช่บ้าน

อ้าว ไม่ใช่บ้าน มันก็บ้านส่วนรวมโว้ย! ห้องใครก็ห้องมันสิ

คือตอนนี้คนมันจะแถ เราฟังคำนี้แล้วเรารับไม่ได้ ธรรมะอย่างนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วสังคมลืมไป มีพวกเราคณะหนึ่งรื้อค้นขึ้นมาเจอ โอ้โฮ มึงเก่งขนาดนั้นเชียวหรือวะ! ใครๆ ก็บอกว่า พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ใครเห็น เขาลืมกันไป มองข้ามกันไป เดี๋ยวนี้เรามาค้นมาเจอ

มันดูถูกไม่ได้นะ ๒,๕๐๐ กว่าปีนี่ กี่ชั่วอายุคน บางคนบอกว่าโลกจะแตกนะ เราบอกว่าไม่หรอก ๕,๐๐๐ ปี พอ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว อีก ๒,๔๐๐ กว่าปี อย่างเราก็ ๑๐๐ ปี ก็อีก ๒๕ ชั่วอายุคน อีก ๒๔- ๒๕ รุ่นนะ แล้วนี่ จาก พ.ศ. ๑ มาถึง พ.ศ. ๒๕๕๒ นี่มันกี่ชั่วอายุคน แล้วไม่มีนักปราชญ์เลยหรือ ไม่มีนักปราชญ์ที่จะมารื้อค้น มึงจะมาเก่งคนเดียวเลยหรือ นี่พูดถึงเวลาเขาสอนกันนะ

คำว่าอัพยากฤตนี้ มันเป็นกลาง ตามศัพท์มันเป็นอย่างนั้น แล้วอัพยากฤตนี้ เวลาเราภาวนา คนภาวนาจะเห็นชัดมากเลย อย่างเช่นถ้าเราภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วมันเกิดความเจ็บปวดมาก ถ้าสติเราดีนะ เวลามันลงนะ ความเจ็บปวดจะหายหมดเลย จิตนิ่งหมดเลย เห็นไหม นี่เขาเรียกว่าสุขเวทนา แล้วเวลาเรานั่งไป มันจะปวดมากเลย โอ้โฮ ปวด นี่คือทุกขเวทนา ทีนี้เรา พุทโธ พุทโธ สติเราพร้อม สติเราดีมากเลย แต่มันจะปวดมันก็ไม่ใช่ มันจะปล่อยมันก็ไม่เชิง ไอ้ว่าจะปล่อยว่าง มันก็ไม่ว่างนะ ไอ้ว่าจะปวดมันก็ไม่ปวด มันชาๆ อยู่ “นี่อัพยากฤต” ชัดมากเลย อย่างนี้ฝ่ายปฏิบัติเราเรียกว่า “เวทนาสักแต่ว่าเวทนา”

สุขเวทนา ทุกขเวทนา เวทนาสักแต่ว่าเวทนา คือเวทนามันสักแต่ว่า แต่จิตมันไม่รับรู้ไง จิตมันรู้สึกตัวของมันอยู่ แต่เวทนามันก็แสดงตัวมันอยู่ แต่เพราะจิตนี้มีกำลังไม่พอ มันไม่สามารถปล่อยได้ มันจะชานะ เหมือนกับว่าเราโดนวางยาชา มันชาหมดเลยนะ ชาอยู่ รู้อยู่ว่าชาเฉยๆ ไม่รู้ว่าเจ็บไม่รู้ว่าปวด แล้วก็ไม่รู้ว่าสุขด้วยนะ ไม่รู้ว่าปล่อยวางด้วย ชาอยู่อย่างนั้น เวทนาสักแต่ว่าเวทนา นี่อัพยากฤต...อัพยากฤตในภาคปฏิบัติเลย

โยม๑ : ถ้าอย่างนั้น เวลาเราเข้าสมาธิจนไม่หายใจเลย แล้วเรารู้ว่าเรายังเข้าสมาธิอยู่ตรงนั้น อย่างนี้คืออะไร

หลวงพ่อ : ถ้าพูดถึงอย่างนี้ เวลาเราพูดแล้วมีคนเอาซีดีของเราไปฟัง แล้วก็ไปโพสต์ในเว็บไซต์กัน เขาบอกว่า หลวงพ่อสงบว่าอย่างนั้น หลวงพ่อสงบว่าอย่างนี้ไง หลวงพ่อสงบว่าส้มหล่น หลวงพ่อสงบว่ามันเป็นการฟลุก เพราะอะไร เพราะพอโยมปฏิบัติไปแล้วนี้ เหมือนแบบว่าเรายังไม่รู้ครบวงจรของมัน เราก็อธิบายไม่ถูก

ถ้าพูดถึงอย่างนี้ มันเริ่มต้นขึ้นมาจากกำหนดลมหายใจ อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้า กำหนดลมหายใจออก พอกำหนดลมหายใจไปเรื่อยๆ ถ้ามันละเอียดเข้ามาเรื่อยๆ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ นะ ทีนี้คนมันไม่เข้าใจ แล้วคนมันเรียนลัดกัน ทุกคนอยากสะดวก อยากเรียนลัด มีพระมาหาเยอะมากเลย บอกว่าภาวนาแล้วลมหายใจต้องหาย ตามหลักของมันจริงๆ แล้วนี้ ลมหายใจมันต้องหาย แต่เรารู้อยู่ เพราะเราเคยปฏิบัติมา ถ้าบอกว่าลมหายใจต้องหายนี่นะ คนปฏิบัติ ๙๐ เปอร์เซ็นต์จะผิดหมดเลย มันผิดเพราะอะไร ผิดเพราะว่ามันตั้งใจจะให้หายไง

โยม๑ : อย่างนี้มันไม่หายแน่

หลวงพ่อ : ใช่ มันหายด้วยการที่เราสร้าง “ความหาย” ขึ้นมาไง

โยม๑ : จริงๆแล้วถ้าหายคือมันต้องหายทุกอย่าง

หลวงพ่อ : มันไม่หาย เขาบอกว่าลมหายใจต้องหาย เราโต้แย้งเขากลับว่า ลมหายใจหายไม่ได้ แต่ถึงที่สุดแล้วมันจะหายเอง มันหาย แต่หายนี่นะ เพราะเราเคยปฏิบัติมาไง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ถ้าบอกลมหายใจต้องหายนะ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ผิดหมดเลย เพราะอะไรรู้ไหม พอลมหายใจเข้า ลมหายใจออก แล้วจางไปเรื่อยๆ คือมันไปคลายสติไง เหมือนเราตั้งใจทำงาน เราตั้งใจ ถ้าเราจับของเรามั่นคงนี้งานจะเสร็จ แต่ถ้าเขาบอกว่า งานนี้เวลาเสร็จแล้วจะไม่มีอะไรเลยนะ เราก็จะปัดมันทิ้งไปเลย เราก็ไม่ได้ทำงานอะไรเลย ทีนี้พอบอกว่าจะต้องหายใช่ไหม มันก็ไม่รับรู้ไง สติไม่รับรู้ ความรู้สึกไม่รับรู้ ของมันมีอยู่แต่เราไม่รับรู้ มันหายโดยแบบไม่รับรู้ เพราะหายแบบไม่รับรู้กับหายตามข้อเท็จจริงมันต่างกัน หายแบบไม่รับรู้ มันตั้งอยู่นี่ เราไม่รับรู้ มันก็คือไม่มี แต่ถ้าเราย่อยสลายมันจนมันหายไป การย่อยสลายหายไปต่อหน้าเรา กับการนั่งอยู่ต่อหน้าชัดๆ อย่างนี้ แต่มันบอกว่าหาย มันไม่รับรู้

ถ้ากำหนดลมหายใจ แล้วเขาบอกว่าลมหายใจหาย เราบอกเลยว่า ไม่หาย! หายไม่ได้ พอหายไม่ได้ปั๊บ เขาก็ต้องตั้งใจ ตั้งใจกำหนดเลย ตั้งใจพุทโธ พุทโธ หรือกำหนดลมไปเรื่อยๆ ถึงที่สุดนะ มันจะละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามา จากความรับรู้นี้ แล้วมันมีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามา จนลมหายใจมันเริ่มจางลง ทุกคนจะตกใจ โดยสามัญสำนึกทุกคนจะตกใจ สะดุ้งว่า “เอ๊ะ! เราไม่เป็นอะไรหรือ เราจะเป็นอะไรกันไหม” เพราะลมหายใจไม่มี พอมันตกใจปุ๊บ นี่จิตมันละเอียดเข้าไป ลมหายใจไม่มีหาย ธรรมชาติของมันมีของมันอยู่ แต่จิตของเราละเอียดเข้ามา

ทางมหายานเขาบอกว่า เวลาจิตมันสงบเข้ามา เขาเปรียบเทียบว่าจิตกับกายเหมือนกล้วย เวลาปอกกล้วยเห็นไหม เปลือกกล้วยกับกล้วยมันคนละอันกัน เปลือกกล้วยนี้เหมือนกับร่างกาย เนื้อกล้วยคือตัวจิต เขาปอกกล้วยได้ เขาแยกจิตของเขาได้

สมาธิก็เหมือนกัน เวลาทำสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าไปนี้ มันจะละเอียดเข้าไป พอมันจะปอกเปลือกกล้วยทุกคนมันจะสะเทือน มันจะสะดุ้ง ทุกคนพอสะดุ้งแล้ว “ไม่ตายหรือ ไม่เป็นอะไรหรือ” มันจะทำให้จิตที่มันกำลังจะสงบเข้าไปนี้ มันรับรู้ออกมา ความละเอียดของจิตเหมือนตะกอนน้ำ น้ำมีตะกอน พอตะกอนมันลงก้นแก้วน้ำมันจะใสขึ้นมา

จิต เวลารับรู้ ก็เหมือนกับตะกอนกับน้ำที่เขากวนให้มันขุ่น จิตกับกายรับรู้ด้วยกันหมดเลย ทีนี้พอตะกอนมันเริ่มนอนก้นไป ความรับรู้มันจะไม่มี มันจะมีความขัดแย้งกับธรรมชาติ พอขัดแย้ง โดยสามัญสำนึกของจิตมันต้องตกใจเป็นธรรมดา “เอ๊ะ! กูไม่บ้าหรือ กูไม่แปลกประหลาดกว่าคนอื่นหรือ กูจะไม่เป็นอย่างอื่นหรือ” มันจะตกใจโดยสัญชาตญาณ เพราะถ้าคนไม่เคยฝึก พูดอย่างไร ฟังอย่างไร อัดเทปไว้เลย แล้วพอไปเจอเข้าก็ตกใจ มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นความรู้เฉพาะตน เอ็งจะศึกษามาขนาดไหน เอ็งจดไว้เลย สักไว้ในสมองเลยนะ ห้ามเผลอ ห้ามกลัวนะ แต่มันก็กลัว ไม่มีทาง!

ทีนี้พอมันจะหดเข้ามาขนาดไหน เราก็ต้องมีสติ สติทันมัน สติทันมัน เวลาสติทันมัน “ไม่เป็นไร เชิญเลย ตามสบายเลย” แล้วมันจะละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามาจนดับหมดเลย พอดับหมดเลยนี่ ดับนะ! สักแต่ว่ารู้ หลวงตาพูดบ่อยว่า ถ้าจิตของใครไม่เคยรวมใหญ่ จะไม่รู้จัก คำว่ารวมใหญ่ รวมใหญ่นี่ ที่เขาบอกว่า สมาธิไม่เป็นประโยชน์

เงินล้านมันมีประโยชน์ไหม ถ้าสมาธิไม่มีประโยชน์ เงินล้านก็เอามาให้กูสิ สมาธิคือต้นทุน ถ้าไม่มีสมาธิ ปัญญาก็เกิดไม่ได้ ปัญญาที่เขาเกิดกันอยู่ในปัจจุบันนี้เรียกว่าโลกียปัญญา คือกู้ยืมเขามาใช้ เงินที่เรากู้ยืมเขามา กับเงินของเรามันต่างกันนะ เงินของเรานี้มันไม่มีดอกเบี้ย แต่ถ้าเอ็งกู้ยืมเขามานะ หนึ่งก็ดอกเบี้ย สองเขาเอาคืนได้ตลอดเวลา

เราไปศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้ามานี้ คือกู้ยืมมาทั้งนั้นเลย ปัญญาที่คิดอยู่นี่ คิดโดยธรรมชาติของเรา คิดโดยกิเลสของเรา นั่นคือกู้ยืมมาทั้งหมด แต่ถ้าจิตสงบขึ้นมา เห็นไหม อิสรภาพเกิดล่ะ

มันจะมีอาการที่ว่า ถ้ามันเป็นพุทโธมันจะวูบ! มันจะมีอาการ อาการเข้า เริ่มต้นทุกคนจะมีหมด เหมือนเราไม่เคยกินอาหารที่อร่อยแล้วมีคนปรารถนาดีเอาอาหารเลิศรสมาให้เรากิน เราจะติดใจไหม ก็ติดใจมากเลย ของที่เราไม่เคยกิน ของที่เราไม่เคยเห็น พอกินแล้ว มันก็อยากได้ อยากกินอีก พออยากกินอีก แล้วมาปฏิบัตินี่จะแสนยากเลย ด้วยความอยากได้อันนั้น เขาเอาอาหารมาให้กิน แต่คราวนี้เราจะต้องทำอาหารกินเอง เขาเอามาให้กับเราทำกินเอง มันต่างกันเยอะเลย เราทำกินเองนี้จะทำอย่างไร แล้วต้องทำกินเอง หาอาหารกินเอง จนสามารถหาอาหารมาปรุงให้กินได้ตลอดเวลา สมาธิจะไม่มีเสื่อมเลย พอไม่เสื่อมปั๊บ แล้วมันออกรู้ ออกรู้ในกาย เวทนา จิต ธรรม ออกรู้โดยสัมมาสมาธิ

ในปัจจุบันนี้ เราไม่มีสมาธิ เราใช้ปัญญากัน ปัญญาที่กู้ยืมมา เรียกว่าโลกียปัญญา ปัญญาอย่างนี้คือ ปัญญาเกิดจากกิเลส การศึกษานะ โทษนะ เมื่อก่อนมีลูกศิษย์มาจากจุฬาฯ มาหาเรา เขาบอกว่า “หลวงพ่อ เดี๋ยวนี้นะ พุทโธ พุทโธ เขาเลิกใช้กันหมดแล้ว เขาใช้ปัญญาเลย ปัญญาวิปัสสนาสายตรง เดี๋ยวนี้ใช้ปัญญากันหมดเลย” เราถามกลับเลยว่า พวกมึงเรียนมาจากไหน จบจากอเมริกาบ้าง จบในเมืองไทยบ้าง จบจากตะวันตกมานี่ เขามีศาสนาพุทธไหม เขามีพระพุทธเจ้าไหม ปัญญาอย่างมึงนี่เรียนกับหมาก็ได้ใช่ไหม! เรียนกับใครก็ได้ ปัญญาอย่างพวกมึงน่ะ ปัญญาอย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่ปรารถนาโว้ย! อันนี้เขาเรียกวิชาชีพ ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ต่างๆ นี้ มันเป็นวิชาชีพ มันเป็นปัญญาที่ประกอบสัมมาอาชีวะ แต่ปัญญาที่พระพุทธเจ้าต้องการคือปัญญาที่เกิดจากสมาธิ เพราะสมาธิเกิดจากเรา อวิชชา ตัณหา ความทะยานอยากอยู่ที่ใจของเรา ปัญญาที่เป็นมรรคญาณในหัวใจ มรรคญาณที่มันจะเข้าไปชำระกิเลส ปัญญาอย่างที่เราใช้กันอยู่ทั้งหมดนี้มันฆ่ากิเลสไม่ได้ เพราะมันเป็นปัญญาของกิเลส มันเป็นปัญญาที่เราศึกษามา เราคิดมา เกิดจากตัวตนของเรา เกิดจากอวิชชา อวิชชาคือตัวตน ภพคือปฏิสนธิจิต ทุกคนชื่ออะไร นาย ก นาย ข นาย ง ไปเปลี่ยนชื่อที่เขตก็จบแล้ว ถ้าจะแก้สัญชาติ มึงโอนสัญชาติมันก็จบแล้ว

แก้ภพแก้ชาติ มันต้องแก้ที่ความรู้สึก ความรู้สึกเป็นรูป ความคิดเป็นนาม เพราะมีรูป มีรูปคือตัวจิต เพราะมีความคิด นาม ความคิดมันพร่อง พอพร่อง มันว่าง ว่างมันก็หมุนไป ความคิดก็ไม่รู้จัก ความคิดน่ะ นามก็ไม่รู้จัก รูปก็ไม่รู้จัก แต่เสือกรู้จักธรรมะนะ ปากนี่แจ้วๆๆ เลย ตัวเองยังไม่รู้จักตัวเองเลย บัญชีไม่มี บอกให้เอาเงินเข้าบัญชี จะโอนให้อย่างไร ก็มึงไม่เปิดบัญชี มึงไม่เอาเลขบัญชีมาให้กูน่ะ อ้าว! มึงจะให้กูโอน มึงก็เอาเลขบัญชีมาสิ บอกให้โอนเงินมา แล้วกูจะโอนให้ใครล่ะ กูก็เผาทิ้งไง กูจะโอนให้มึง กงเต๊กไง! กูจะส่งวิญญาณไปให้มึง กูจะเผาไปให้

มึงจะให้โอนเงินให้ มึงก็บอกเลขบัญชีกูมาสิ...จิตอยู่ไหน? จิตมึงอยู่ไหน? พูดน่ะปากเปียกปากแฉะ พูดมาจากใคร ใครเป็นคนพูดออกมา แล้วตัวเราอยู่ไหนชี้มา...ไม่มี...หัวใจเป็นของเรานะ พอหัวใจมันตีบตันนะ ตัดมันทิ้งเลย เปลี่ยนหัวใจใหม่ ตับของเรา ไตของเรา พอมันเสียตัดทิ้งเลย

แล้วตัวตนมันอยู่ที่ไหน ถ้าไม่เห็นสมาธิ ไม่เห็นจิต จะไม่เห็นเรา ถ้าจิตสงบนะ อ๋อ! นี่รื้อภพรื้อชาติ แก้ภพแก้ชาติ ที่รื้อที่แก้อยู่ที่ไหน? ที่รื้อที่แก้ภพชาติอยู่ที่ไหน? ทุกคนมานี่แล้วกลับบ้านหมดใช่ไหม กลับบ้านหมด นี่ยังมีบ้านที่อาศัย แล้วจิตอยู่ไหน? มึงมาจากไหน?

เราถามบ่อยนะ เวลาใครมา แล้วมึงเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากพ่อแม่ เราจะพูดบ่อยนะ คนเรานี้เกิดมาจากไข่ เห็นไหม สเปิร์มของพ่อ ปฏิสนธิจิต โทษนะ...ผู้หญิงเวลาประจำเดือนขับทิ้ง ไข่ทั้งนั้น ทำไมไม่เกิดเป็นคนล่ะ มันเป็นธรรมชาตินะ คนเรานี่เกิดมาจากกรรม ปฏิสนธิจิต จิตวิญญาณที่มันมีอยู่ มันมีอวิชชา มันมีแรงขับของมันอยู่ มันจะต้องไปตามธรรมชาติของมัน พ่อแม่เขาก็มีชีวิตความเป็นอยู่ตามธรรมชาติของเขา แล้วปฏิสนธิจิตมันมา...ปฏิสนธิ เห็นไหม ดูเขาทำกิฟท์ทำโคลนนิ่งสิ เขาต้องเอานิวเคลียสของไข่มา แล้วถ้าไม่มีปฏิสนธิจิตก็เกิดเป็นสิ่งมีชีวิตไม่ได้ เพราะในสิ่งที่มีชีวิตของไข่ ของต่างๆ มันก็มีสิ่งมีชีวิตชั่วคราว สเปิร์มมีชีวิตกี่ชั่วโมง มันมีชีวิตของมันอยู่ แต่พอมันปฏิสนธิ มันมีปฏิสนธิจิตเข้ามา เห็นไหม เขาทำกิฟท์กัน เพราะการเกิด เกิดในไข่ เกิดในน้ำคร่ำ เกิดเป็นโอปปาติกะ เกิดในครรภ์ กำเนิด ๔ อาหารในวัฏฏะ ๔ กวฬิงการาหาร วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร การเกิดมีชีวิตก็ต้องมีอาหารเพื่อดำรงชีวิตนั้นไป

ชีวิตนี้จะหมุนไปอย่างไรในวัฏฏะ แล้วเวลาเกิดอะไรมาเกิด กรรมพาจิตดวงนี้มาเกิด แต่เพราะมีสายบุญสายกรรม มีเวรมีกรรมต่อกัน พ่อแม่มีบุญกุศล มีสิ่งที่เป็นกุศล มีอำนาจวาสนา จิตวิญญาณที่จะมาเกิดต้องบาลานซ์กัน คือจิตวิญญาณนี้จะต้องมีอำนาจวาสนา แล้วเกิดในพ่อแม่ที่มีอำนาจวาสนา เกิดมาสุขสบาย พ่อแม่ขี้ทุกข์ขี้ยาก จิตวิญญาณที่จะมาเกิดก็ต้องบาลานซ์กัน เพราะอะไร เพราะทำบุญกุศลมา เกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์นะ การเกิดเป็นมนุษย์นี่แสนยากเลย ทีนี้พอได้เกิดเป็นมนุษย์ ขนาดได้มาเกิดแล้วนะ แต่ก็ยังเกิดกับพ่อแม่ขี้ทุกข์ขี้ยาก มีลูกเป็นแพเลย แต่คนมั่งมีศรีสุขนี้ต้องทำกิฟท์นะ หาลูกยากฉิบหายเลย! จะบอกว่า จิตวิญญาณที่จะมาเกิดกับจิตดีๆ เพราะบุญกุศลต้องบาลานซ์ ต้องทำดีมา แม้แต่เกิดเป็นมนุษย์นี้ พระพุทธเจ้าถึงบอกไง คนเราไม่ได้ดีเพราะการเกิด ไม่ได้ดีเพราะชาติตระกูล ไม่ได้ดีเพราะทรัพย์สมบัติ มันดีที่ตัวของมัน ทำดีทำชั่วในตัวของมัน

ฉะนั้น พระอรหันต์สมัยพุทธกาล เห็นไหม พระสีวลีโคตรรวยเลย ไปอยู่ที่ไหนมีแต่คนจะถวายอย่างเดียว แต่มีพระอรหันต์อยู่องค์หนึ่งไม่เคยกินข้าวอิ่มเลย เรื่องพระสีวลี พระพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎก เห็นไหม เขาจะทำบุญกันที่ไหนเขาจะเชิญพระสีวลีเป็นประธานตลอด เขาเป็นคนดีมาก คนทำบุญที่ไหนเขาจะเป็นหัวหน้า จะช่วยเหลือตลอด เขาจะเสียสละตลอดเลย พอเขาเกิดตายไปตามธรรมชาติของเขา แล้วก็มาเกิดเป็นพระสีวลี พอบวชแล้วนะ โอ้โฮ ใครๆ ก็จะถวายแต่พระสีวลี แล้วพระอรหันต์ด้วยกันที่ไม่มีจะกินก็เยอะแยะไป ในพระไตรปิฎกมีจริงๆ นะ พระอรหันต์นี่แหละแต่ไม่มีจะกิน เพราะเขาไม่ได้ทำของเขามา เขาสร้างบุญอย่างอื่นไง อย่างเรานี่เป็นคนดีไหม กูดี กูทำดีอยู่แล้ว แต่กูไม่ให้ใครนะ ของกูดี แต่กูไม่ให้ใคร กูให้กูคนเดียว ของดีไม่ให้ใครเลย ก็ดี ถือว่าเป็นคนดีไป แต่ถึงเวลาแล้ว ก็ไม่มีใครมาสนใจมึงเหมือนกัน แต่ความดีของเราก็คือความดีของเราไง นี่การทำดีมันหลากหลาย ทีนี้สิ่งที่มันทำง่ายที่สุด สิ่งที่มันเห็นง่ายที่สุด คือการเสียสละ เห็นไหม ถ้าเราเสียสละแล้ว สังคมจะร่มเย็นเป็นสุข

จากการเสียสละของเรา ถ้าเราเสียสละแล้ว ใครจะว่าโง่หรือใครจะว่าฉลาด นั่นก็เป็นที่มุมมองของคน ไม่ใช่ว่าเราทำดีแล้วนะ ใครก็จะบอกว่า โอ้โฮ! ดี๊ดี คนดีนี่โดนด่าเยอะฉิบหายเลย พระพุทธเจ้านี้ เขายังจ้างคนมาด่าเลย มึงว่าคนดีที่ไหนโลกเขาจะไม่ติเตียนวะ คนดีนี่แหละเขาอัดกันเต็มที่เลย แต่คนชั่วไม่เป็นไรนะ คนชั่วมันก็ทุจริตของมัน แต่เราก็ทำดีของเรา

นี่พูดถึงเวลาถ้าจิตมันจะลงนั้น มันลงของมันอย่างไร มันสักแต่ว่านะ แล้วมันสักแต่ว่านี่ คำว่าสักแต่ว่านี้ ถ้าคนไม่เป็นพูด มันจะบอกว่า “ไม่มี สักแต่ว่านี่ ไม่มีอะไรเลย ไม่มี สักแต่ว่าเฉยๆ” แต่ถ้าคนทำเป็นนะ “สักแต่ว่า” นี้กว่าจะได้มานะเกือบตาย! กว่าจิตมันจะปล่อยให้มันอยู่เป็นธรรมชาติของมัน “สักแต่ว่า” กว่าจะได้มานะ ทุ่มเทขนาดไหน ฉะนั้น พระจะบอกว่า นู่นก็สักแต่ว่า นี่ก็สักแต่ว่า มันสักแต่ว่าที่ปากมึงพูดไง สักแต่ว่า แต่ใจมันจะเอาของเขานะ

ถ้ามันสักแต่ว่านี่ คนที่สักแต่ว่าได้นะจะนิ่งมาก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะกว่าจะได้อย่างนี้มานะ เราต้องทุ่มเทมาขนาดไหน พอทุ่มเทมาแล้ว อย่างเราทุ่มเทมาแล้วพอได้สมบัติมาแล้ว สมบัติอันนี้มันได้มายาก ฉะนั้น ของข้างนอกนะ โทษนะไร้ค่าหมดเลย...ไร้ค่า เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราก็ผ่านสมบัติอย่างนี้มาแล้ว เราก็หาอย่างนี้ได้ เราก็ทำของเราได้ แต่อันนี้สิที่เราทำยาก พอทำยากแล้ว เราจะรักษามันอย่างไร มันสักแต่ว่าโดยใจมันไม่เอา “สักแต่ว่า”

แต่คำว่าสักแต่ว่าของเขานะ “สักแต่ว่า สักแต่ว่า สักแต่ว่านะ สักแต่ว่า”

มันคนละสักแต่ว่า ถ้าสักแต่ว่าโดยความเป็นจริงนะ มันสักแต่ว่าจริงๆ แต่สักแต่ว่าแต่ปากนี่มันคนละเรื่องกัน เราดูออก เราเข้าใจได้ ธรรมะจะรู้ได้ต่อเมื่อพูดออกมา ศีล จะรู้ได้ต่อเมื่อเราอยู่คลุกคลีกัน ๒ คนผัวเมียในบ้านจะรู้เลยนิสัย ๒ คนเป็นอย่างไร ยิ่งพ่อแม่กับลูกนี้ โอ้โฮ รู้ไส้รู้พุงหมดเลย ศีลจะรู้ได้ อย่างพระที่อยู่ด้วยกัน ๑๐ ปี ๒๐ปีนี่ไง ครูบาอาจารย์อยู่ด้วยกันมาเป็น ๑๐ ปี ๒๐ ปี จะรู้ได้หมดแหละ ไอ้นี่มันศีลจริงหรือศีลปลอม พระพุทธเจ้าบอกไว้เลยนะ ถ้าใครยังโกหกมดเท็จอยู่ แล้วจะไม่ทำความชั่วอย่างอื่น...ไม่มี แล้วคนอยู่ด้วยกัน ๑๐ ปี ๒๐ ปี จะรู้เลยว่ามึงโกหกหรือไม่โกหก ถ้าคนยังกะล่อนอยู่นะ แล้วจะไม่ทำความผิดอย่างอื่น...ไม่มี!

โยม๑ : ถ้านั่งสมาธิจนนิ่ง แล้วก็ทิ้งลมหายใจเลยหรือเปล่าคะ

หลวงพ่อ : ห้ามทิ้ง นี่ไปทิ้ง ห้ามทิ้ง ลมหายใจ คำบริกรรมนี้เป็นไม้หก ไม้หกจากจิตปกติแล้วมันจะเข้าไปถึงจิตอีกมิติหนึ่ง

โยม๑ : คือมันเห็นลมหายใจของตัวเอง แต่ว่ายังหายใจอยู่

หลวงพ่อ : หายใจอยู่ เห็น คำพูดนี่มันฟ้อง เวลาเขาถามปัญหาเรานะ จริงๆ แล้วเราไม่ต้องตอบเลย คำถามมันตอบอยู่ แต่คนถามไม่รู้ คำถามนี้เห็นไหม เหมือนลมมันจะไม่มีเลย แต่มันมีอยู่ ถ้าคำว่ามีอยู่ นี่เรารู้อยู่ เรารู้อยู่แต่เราบริหารมันไม่เป็น เรารู้อยู่ แต่เราทำมันไม่เป็น เราจัดการมันไม่ได้

โยม๑ : ใช่ แล้วมันก็ยิ่งนิ่งอยู่ค่ะ หลวงพ่อ

หลวงพ่อ : หลวงปู่เจี๊ยะบอกว่า ไม่พอกิน แช่อยู่อย่างนี้ไม่พอกิน หลวงปู่เจี๊ยะบอกว่าแช่อยู่เฉยๆ

โยม๑ : อย่างนี้แล้วเราต้องทำอย่างไร

หลวงพ่อ : ก็ตั้งสติ จับลมชัดๆ มันมีอยู่ (ทำท่าสูดลมหายใจ) ชัดๆ แล้วเกาะไว้เรื่อยๆ เกาะลมหายใจเข้าไปเรื่อยๆ ลมหายใจนี้เกาะไว้เลย จะใช้คำบริกรรมหรืออานาปานสติ ลมหายใจนี่มันสำคัญมาก จิตของเรานี้มันเหมือนเด็กอ่อน จะมีอายุมากอายุน้อยขนาดไหนนะ อายุ ๑๐๐ กว่าปีมาปฏิบัติใหม่ก็อนุบาลหมด แล้วไม่ใช่อนุบาลธรรมดา เด็กๆ มาปฏิบัติก็จิตอนุบาล อนุบาลแต่มันฝึกง่าย เพราะอนุบาลนี่ จิตมันยังไม่ได้ซับข้อมูลอะไรไว้มาก แต่ถ้าอายุ ๑๑๐ ปีมาปฏิบัติก็อนุบาล เพราะมันไม่เคยปฏิบัติ แต่อนุบาลนี่อนุบาลขี้โรคนะ เพราะ ๑๐๐ กว่าปีนี่ โอ้โฮ กูทุกข์กูยากมาเยอะนะ มันฝังอยู่ที่นี่ จะทำอะไรก็รู้ไปหมด รู้ไปทุกอย่างเลยนะ แต่ทำไม่เป็น

จิตของผู้ฝึกใหม่ จิตเป็นอนุบาลหมด พอจิตเป็นอนุบาลหมด จิตที่หัดฝึกใหม่ เห็นไหม เด็กที่มันยังเดินไม่เป็น ก่อนจะฝึกให้เด็กเดินมันก็ต้องมีราวให้เด็กเกาะไป หรือมันมีไม้หนุน เห็นไหม ให้เด็กจับแล้วหัดเดินไป คำบริกรรมนี่คือราวที่เกาะนั้น คำบริกรรม ลมหายใจ มรณานุสติ กสิณต่างๆ นี้ เราเพ่งวัตถุให้จิตมันเกาะ

ธรรมดาความคิดนี่มันเป็นนามธรรมที่เราไม่เห็นตัวมัน แล้วความคิดจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จิตเหมือนน้ำ น้ำถ้าใสเต็มแก้ว บางทีเราคิดว่าแก้วไม่มีน้ำเลย เพราะมันใส ไม่เห็นน้ำ พอเติมสีลงไปเราจะรู้ว่ามีน้ำทันทีเลย จิตมันเป็นน้ำใส มันไม่รู้ตัวมันเองเลย แล้วเราต้องการจับมัน แล้วพอจะจับมันปั๊บนี่ แต่เขาบอกว่าไม่เป็นไรปล่อยมันไปเลย ดูมันเฉยๆ มันจะเป็นธรรมชาติ มันก็เหมือนเอาน้ำสาดเข้าไปในอากาศ แล้วมันจะเป็นธรรมชาติไหม มันก็ระเหยไปหมดเลย

แต่ของเรานี่ ครูบาอาจารย์เราไม่สอนอย่างนั้น ครูบาอาจารย์เราสอนว่าต้องมีคำบริกรรม เห็นไหม ต้องมีที่เกาะ พุทโธ พุทโธ พุทโธนี่ ธัมโม สังโฆนี่ มรณานุสตินี่ คิดถึงความตายนี่ เกาะหมด พอมันเกาะขึ้นมานี้ มันเบื่อ ถ้าบอกมันให้ทำไปสบายๆ บอกอยู่เฉยๆ สบายเลย อะไรก็สบายเลย ใครมันก็ชอบ ถ้าเรามีครอบครัวนะ พอลูกเกิดมานะ ไม่ต้องเรียนหนังสือ ลูกอยู่สบายๆ เดี๋ยวลูกจะมีอาชีพเอง มันชอบไหม เด็กตอนเอาไปโรงเรียนมันร้องทุกคนนะ จิตถูกบังคับให้ทำงานมันเบื่อทุกคนนะ

แต่มีคนบ้าคนหนึ่งมันมาเสนอ บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย มันจะเป็นเอง บอกเด็กนี่นะไม่ต้องเรียนหนังสือ เดี๋ยวเขาให้ตำแหน่ง เขาให้มึงทำงานเอง ทีนี้ถ้าคำบริกรรมมันต้องทำ เหมือนต้องเรียน พุทโธ พุทโธนี้ต้องเกาะ ถ้ามีคำบริกรรมมันต้องเกาะ เราเปรียบเหมือนว่าว ลองไปสนามหลวงสิ เห็นเขาเล่นว่าวไหม ว่าวเขาขึ้นเห็นไหม เขามีเชือก มีลม มีว่าว มีคนนะ แต่เราเห็นเขาเล่นว่าวนะ กูจะเล่นว่าวบ้าง จับว่าวโยนขึ้นไปเลย อ้าว..ว่าวขึ้นมา มันลอยไปแล้วก็ตก อ้าว ว่าวกูก็ลอย ว่าวกูก็ลอย ว่าวกูก็ขึ้น แล้วว่าวกูก็ตก นี่ไง สบายๆ ก็สบาย แล้วมึงได้อะไร ว่าวมึงขึ้นไหม ว่าวขึ้นหมายถึงว่ามีสตินะ ถ้ามีสติ เราจะรู้สึกตัวเราเองหมด เราจะควบคุมบริหารจัดการได้หมด เขาแข่งว่าว เห็นไหม เขาเก็บคะแนน เขาเอาว่าวโฉบใส่กัน เขาต่อสู้กัน เอาว่าวขึ้น

จิตของมึงมันเป็นนามธรรม มึงได้เคลื่อนไหวอะไรบ้าง มึงได้ทำอะไรของมึงบ้าง มันขัดแย้งกับข้อเท็จจริงหมด เพียงแต่ว่ามันไม่มีใครโต้แย้ง เพราะคนโต้แย้งไม่มีกึ๋น

การปฏิบัตินี้ จิตมีความรู้สึกนะ แล้วจะเอาความรู้สึกทั้งหมดมาพูดเป็นรูปธรรม ถ้ามึงไม่เป็นนะ มึงพูดไม่ถูกหรอก ถ้ามึงพูดไม่เป็นนะ คอนโดมิเนียม เห็นไหม กูเป็นสถาปนิกนะโว้ย! กูเขียนได้หมด แต่คนไม่เป็นมันไม่รู้เรื่อง มันเอายอดขึ้นก่อน เอาเสาเข็มชี้ไปบนฟ้านะ เอาตึกลงดินเลย เพราะอะไร เพราะมันไม่เป็น แล้วถ้าคนเป็นมันจะพูดอย่างนี้ คนที่จะพูดมันต้องมีกึ๋น บังเอิญ...คนมีกึ๋นมันน้อยไง ไอ้บ้านั่นมันก็เลยหลอกไปเรื่อยๆ “ว่างๆ ว่างๆ”

มันไม่มีคำบริกรรมไม่ได้ !

โยม๑ : ถ้าเราบริกรรมแล้วมันก็ยังนิ่ง

หลวงพ่อ : คำบริกรรมนี่นะ ประสาเรานะ เหมือนเด็กจะหัดเดิน มันต้องเดินให้เป็น ถ้าเด็กหัดเดินไม่ได้มันจะวิ่งไม่ได้ มันจะเป็นตัวเองไม่ได้ มันจะทำงานไม่ได้ คนเราลุกเดินไม่ได้มันจะทำงานได้ไหม คนเรามันจะทำงานได้ มันต้องลุกเดินได้ มันต้องแข็งแรง มันต้องทำงานทุกอย่างได้

จิต ถ้าเป็นสมาธิมันจะมีสติของมัน อย่างที่พูดเมื่อกี้ว่าร่างกายเป็นเราไหม อะไรเป็นเราไหม พอจิตมันสงบนะ อ๋อ! เราอยู่ที่นี่เอง เราคือตัวจิตนะ พวกเรานี่นะ...ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตคือตัวที่มาเกิดในไข่ของแม่ พอจิตสงบขึ้นมามันจะไปอยู่ตรงนั้น พออยู่ตรงนั้นปั๊บนี่ ตรงนี้เป็นนามธรรมที่วงการแพทย์หรือทุกอย่างทำลายมันไม่ได้ ส่วนร่างกายนี้แพทย์จัดการได้หมดนะ

เราบอกเลยนะ อย่างเรานี่เป็นคนดื้อ แล้วเป็นคนบ้านี่นะ ถ้ากูเก๊ นี่ สบายมากเลย เขาเอาชุดคนบ้ามาใส่ แล้วก็หามไปเลย แต่ถ้าจิตกูดื้อนะ ถึงมึงจะเอากูไปบดจนแหลก จิตกูก็เป็นอย่างนี้ มึงจะเอากูไปเกิดที่ไหน จิตกูก็เป็นอย่างนี้

แล้วเราเข้าไปสู่ตรงนี้ เราเข้าไปสู่ตรงที่มันดื้อ เราเข้าไปสู่ตรงที่เรียกว่า ภวาสวะ ฐีติจิต ตัวภพ ปฏิสนธิจิต ตัวเริ่มต้นของชีวิต ถ้าเราเข้าไปถึงตรงนี้ปั๊บ เวลาจิตสงบเข้าไป เวลาภาวนาจนจิตสงบเข้าไปถึงตรงนี้ปั๊บ มันจะไปรื้อข้อมูลเดิม เมื่อชาติที่แล้วเกิดเป็นอะไร จากชาติที่แล้วมาชาตินี้มันต่อเนื่องกันมาอย่างไร แล้วชาติต่อๆ ไปมันต่อเนื่องกันอย่างไร ถ้ามันไม่ต่อเนื่อง มันไม่มีเจ้าชายสิทธัตถะ มันไม่มีพระเวสสันดร ไม่มีทศชาติ เรานั่งกันอยู่นี่ เรามาจากไหน เราท้าประจำ ก็เกิดมาจากแม่ท้องแม่ทั้งนั้น โทษนะ ผลัดกันเกิดเป็นแม่ ผลัดกันเกิดเป็นลูก เดี๋ยวเราก็เป็นแม่ เดี๋ยวเราก็ไปเป็นลูก

เราอ้างบ่อย หมอ........ เขาออกมาปาฐกถาเองว่า เดิมเขาเป็นพ่อของพ่อเขา คือหมอ....... เขาบอกว่าเขาเป็นปู่ไง คือเขาเป็นพ่อของพ่อหมอ........ แล้วพ่อของหมอ.......มีน้องชายที่เป็นหมอเหมือนกัน นี่เขาพูดเอง พอเขาตายไปเขาก็มาเกิดเป็นลูกของลูกชายเขา คือพ่อมาเกิดกับลูกเกิดกับพ่อเขา แล้วตอนเป็นเด็กเล็กๆ นี่เขาออกมาอธิบายเองนะ ทีนี้พ่อเขามีน้องชายใช่ไหม น้องชายเป็นหมอแผนโบราณ เขาบอกว่า เขาพูดกับหลาน พูดกับพ่อหมอ........ว่า หมอ.......คือพ่อของพ่อหมอ.......แล้วมาเกิดเป็นหมอ........ ไอ้พ่อหมอ........มันก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อหรอก พอไม่เชื่อ น้าเขาคือน้องของพ่อเขาก็บอกว่าให้ทดสอบ ให้ไปถามลูกว่าเป็นโรคอะไรตาย เด็กๆ นี่ไร้เดียงสาเลย เป็นโรคอะไรตาย ตายตรงไหน ศพตั้งไว้ตรงไหน มันชี้เพี้ยะๆๆๆ เลย จนพ่อหมอ........ก็เชื่อ พอพ่อเชื่อปั๊บ ทีนี้เขาอยากจะแอ็คไง พอมีเพื่อนมาก็อยากจะบอกให้ลูกชี้ไง พอลูกมันโตแล้วนะ บอกให้หมอ........ไปชี้ซิ เขาก็ลืมหมดแล้ว หมอ........อายุจะ ๑๒๐ ปี ไปถามเขาเองสิ เขาพูดเอง แล้วใครเป็นพ่อ ใครเป็นลูก วัฏวนนะ นี่เขาเป็นวิทยาศาสตร์นะ เขาพูดเอง

แต่เราเชื่อโดยธรรมะ เราเชื่อโดยกรรม เชื่อโดยพระพุทธเจ้าสอน เราเชื่อของเราอยู่แล้ว แต่นี่มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่มีบุคคลยืนยัน ทีนี้เราเป็นของเราอย่างนี้แล้ว เราเข้าใจเรื่องวัฏฏะอย่างนี้แล้ว มันก็ซ้ำๆ ซากๆ ชีวิตเราก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ นอกจากพระพุทธศาสนาแล้ว มันไม่มีอะไรจะแก้ตรงนี้ได้ ธรรมโอสถเท่านั้นที่จะแก้ตรงนี้ได้ ไม่มียาใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีใครจะควบคุมชีวิตได้หมด เว้นไว้แต่ธรรมะ เราถึงต้องมาศึกษากัน

ทีนี้พอศึกษาปั๊บ อย่างที่โยมถามเมื่อกี้ “อัพยากฤต” พวกนี้มันเป็นแค่ศัพท์คำเดียว แล้วก็ตั้งขึ้นมานะ สังคมทั้งสังคมนะมันงง กูปวดหัวฉิบหายเลย!

แค่ศัพท์คำเดียวแท้ๆ เลย มึงยังไม่ได้ปฏิบัติเลยนะโว้ย! สังคมทั้งสังคมเลยหาทางออกไม่เจอ

แต่ถ้าเราปฏิบัตินะ นี่มันแค่ช่องทางนะ เรามีการกระทำของเรานะ ยังลึกซึ้งกว่านี้อีกเยอะแยะเลย นี่แค่สมาธินะ แล้วไหนจะมรรคหยาบ มรรคละเอียด นี่โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มันยังต้องไปอีกไกลเลย แล้วเขาคุยกันนะ เราฟัง เขาเข้ามาหาเราเยอะ ที่เราพูดอยู่นี้เพราะอะไร เพราะข้อมูลมาตกที่เราเยอะมาก คนมาถามปัญหาเราเรื่องนี้เยอะมากเลย

โยม๑ : หลวงพ่อคะ แล้วเรื่องสังขารุเปกขาญาณ มันใช่อุเบกขาหรือเปล่า

หลวงพ่อ : สังขารุเปกขาญาณ ไม่ใช่!

สังขาร ญาณ อุเบกขาก็ส่วนอุเบกขา สังขารุเปกขาญาณ ของอย่างนี้นะมันเหมือนกับของใกล้ชิดกัน ของสิ่งนี้มีจะมีของสิ่งนี้ ของสิ่งหนึ่งมันจะมีใกล้ๆ กันตลอดไป คือว่าอารมณ์ เห็นไหม เขาจะแบ่งแยกอารมณ์ไปเลย อารมณ์อย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องตามข้อเท็จจริงอย่างนั้น

แต่ในการปฏิบัติของเรานี้ มันจะรู้ของมันขึ้นมาเอง เพราะอะไร เพราะพระไตรปิฎกนี่ เวลาสอนเห็นไหม มันมี ๙ ประโยค ไปถามหลวงปู่ฝั้นว่า

“ผมนี่จบ ๙ ประโยค พระไตรปิฎกเขียนได้หมด จะเขียนอีกตู้หนึ่งยังได้เลย เพราะได้ภาษาบาลี ศึกษาได้หมด แล้วทีนี้เวลาผมศึกษามาแล้วผมก็รู้หมดเลย แล้วพระพุทธเจ้าก็สอนพระโมคคัลลานะไปอย่างหนึ่ง สอนพระสารีบุตรไปอย่างหนึ่ง สอนพระอนุรุทธะ ไปคนละอย่างหมดเลย แล้วจะให้ผมทำอย่างไรล่ะ”

หลวงปู่ฝั้นท่านเป็นพระอรหันต์นะ “ทุกข์อยู่ที่ไหนล่ะ? ทุกข์มึงน่ะอยู่ที่ไหน?”

แต่นี่ ทุกข์อยู่ที่นี่ใช่ไหม แล้วเราก็ไปรื้อค้นวิชาการนะ วิชาการสอนอย่างไรวะ เหมือนกูเจ็บป่วยนี่ แต่ไม่รู้ว่ากูเจ็บเป็นโรคอะไร แล้วมันก็ค้นยาใหญ่เลยนะ ยานี่มะเร็ง อันนี้เอดส์ แล้วมึงเป็นโรคอะไรล่ะ มึงเป็นโรคอะไร มึงจะใช้ยาอะไรล่ะ มันไม่เป็นไง

แต่ถ้าเป็นนะ เป็นอะไรล่ะ ปวดหัวตัวร้อนก็กินยาสิ เป็นอะไรก็รักษาตามโรคนั้นสิ

ทุกข์อยู่ที่ไหน แล้วทุกข์ของเรานี้มันก็แตกต่างกัน ทุกข์เพราะไม่มีเงินใช้ ทุกข์เพราะเป็นหนี้ นั่นมันทุกข์ข้างนอกนะ

พอมันสงบเข้ามานะ สงบเข้ามาเรื่อยๆ เพราะมันละข้างนอกไง รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมารเป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ความทุกข์ข้างนอกนี้มันเป็นความทุกข์ประจำโลก ความทุกข์ประจำธาตุขันธ์ แล้วพอมันเข้ามาถึงตัวเราล่ะ เศรษฐีก็ทุกข์ ยาจกก็ทุกข์ คนมั่งมีก็ทุกข์ ทุกข์ทุกคนแหละ เพราะคนเกิดมาทุกคนมีอวิชชา ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ทุกข์หมดเลย ไม่มีใครมีความสุขสักคนหนึ่ง

เดี๋ยวจะหาว่าท้าไง เกิดมาแล้วทุกข์หมดเลย โธ่.. เรานะ เวลามันชราภาพนะ เดี๋ยวลุกก็โอย นั่งก็โอย ขยับก็โอย แล้วมึงจะไม่ทุกข์ มึงอย่ามาคุย ขับรถไปแล้วรถติดไม่มีที่ขับถ่ายก็ทุกข์แล้ว นั่งในรถเหงื่อแตกซ่กเลย ทุกข์ไหม แล้วบอกว่าไม่ทุกข์ นั่งในรถเบนซ์เลย ติดแอร์เย็นฉ่ำเลย แต่ถ้ารถติดแล้วปวดท้องนะ นั่งในรถนี่ตัวสั่นเลย

โยม๑ : ถ้าสมมุติเรา อย่างที่เขาสอนกันว่า ดูจิตไปเรื่อย จะเห็นเวทนาในจิต จะเห็น จะเจอธรรมในจิต นี้มันจะเห็นได้ไหม

หลวงพ่อ : เขาพูดกันไปอย่างนั้นไง เห็นได้ก็เห็นได้ด้วยการนึกเอา มันไม่จริง

โยม๑ : มันไม่ได้เกิดขึ้นเอง อย่างที่เขาบอกว่าเป็นไตรลักษณ์ของจิตหรือคะ

หลวงพ่อ : ไม่มีทาง มันไม่มีทาง

โยม๑ : ทำไมถึงบอกว่ามันไม่มีทาง

หลวงพ่อ : เพราะมันเป็นความคิดคนละมิติ โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่เป็นความคิด ความคิดอย่างที่เขาคิดกันอยู่นี้ มันเป็นความคิดของเขา ก็ที่เราพูดเริ่มต้นเมื่อกี้ไงที่ว่า พวกศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ต่างๆ เขาบอกเลยว่า “เดี๋ยวนี้พุทโธไม่มีความหมายแล้ว เขาไม่ใช้แล้ว เขาใช้ปัญญา เขาใช้ปัญญาของเขา”

ปัญญาอย่างนี้ เราพูดตั้งแต่ทีแรกเลยว่า ถ้าเราไม่เปิดบัญชี มึงทำขนาดไหนนะ ผลประโยชน์มันก็ตกกับโลกนี้ไง มันไม่เข้าบัญชีของมึงหรอก ถ้าเราจะทำอะไรเราก็ต้องเปิดบัญชีของเราก่อน แล้วบัญชีอยู่ที่ไหน บัญชีคือสมาธิไง บัญชีคือฐีติจิตไง

โยม๑ : แล้วดูจิตมากๆ มันไม่เป็นสมาธิหรือคะ

หลวงพ่อ : เอ็งว่ามันดูจิต หรือมันดูความคิดล่ะ

โยม๑ : ก็พวกนักปฏิบัติที่เขาชอบดูจิต เขาจะบอกว่า ดูไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดสติเอง

หลวงพ่อ : มึงดูนี่นะ มึงดูกระโถน เอ็งเห็นกระโถนกูไหม แล้วในกระโถนกูมีอะไรล่ะ

โยม๑ : ก็มีน้ำลาย

หลวงพ่อ : นี่เพราะมึงเห็นกูถุยน้ำลายหรอก ถ้ามึงไม่เห็นกูถุยน้ำลาย มึงก็ไม่เห็นหรอก

เราจะบอกว่าดูจิตนี่มันไม่เห็นจิตหรอก จิตมันเหมือนกระโถนใบนี้ จิตนี่เหมือนกระโถนใบนี้ กระโถนมันมีตัวกระโถน มันมีนอกมีใน ถ้ามองมาจากข้างนอก มันก็เห็นนอกกระโถนได้ แต่ถ้าเจ้าของกระโถนมันดูในกระโถน มันจะเห็นในกระโถนนี้

จิตนี่มันมีความคิด ตัวจิตนี้ เราจะเปรียบจิตนี่เหมือนส้ม ในส้มผลหนึ่งมันต้องมีเปลือกส้มโดยธรรมดา ใครไปซื้อส้มมาจากตลาด ซื้อมานี่ กินเปลือกไหม มึงแกะเปลือกทิ้งทำไม กินแต่เนื้อส้ม แต่เปลือกไม่เอา แต่มึงซื้อมามันต้องมีเปลือกมาด้วยหรือเปล่า ถ้าไม่มีเปลือกส้มมันก็เป็นส้มไม่ได้ มันเป็นส้มที่เก็บไว้นานไม่ได้ เขาต้องมีเปลือกส้มมา เวลาดูจิตมันดูที่เปลือกส้ม มันดูที่ความคิด จิตเราอยู่ไหน? จิตเราอยู่ไหน? ไม่มีใครเห็นจิตเราเลย เห็นแต่ความคิด เพราะถ้ามึงดูจิตเห็นจิตนะ เทวดาก็ต้องเห็นจิต คนก็ต้องเห็นจิตคน พรหมนี่จิตหนึ่ง เทวดาเป็นอย่างหนึ่ง มนุษย์อย่างหนึ่ง สัตว์เดียรัจฉานอย่างหนึ่ง สัตว์นรกอเวจีอย่างหนึ่ง แต่มันมีจิตทุกดวงทุกที่ จิตดวงนี้มันไปเกิดในทุกที่ แต่พอเกิดเป็นมนุษย์ โดยสัญชาตญาณของมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕

ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต ธาตุ ๔ ไง ธาตุ ๔ คือร่างกาย ขันธ์ ๕ คือความคิด คนเรามีร่างกายกับจิตใจ ร่างกายกับจิตใจนี้มันเป็นโลก มันไม่เป็นธรรม เพราะความคิดนี้มันเป็นโลก ความคิดนี้มันมีกิเลส ทีนี้ความคิดโดยธรรมชาติของเรามันมีกิเลสใช่ไหม โดยสัญชาตญาณ คนเราก็มีธาตุ ๔ คือร่างกายกับขันธ์ ๕ แล้วจิตมันอยู่ไหนล่ะ ทีนี้พอมองเข้าไปนี่ เอ็งจะมองขนาดไหน ที่เรายกกระโถนขึ้นมานี่ เรายกเหมือนส้ม เอ็งมองที่ส้ม เอ็งเพ่งที่ส้มนี่ เอ็งว่า เอ็งจะปอกเปลือกส้มเข้าถึงเนื้อส้มได้ไหม

โยม๒ : ไม่ได้ ได้แต่คิดว่ามันจะเป็นแบบไหน เพราะเคยเห็นมา แต่มันไม่เห็นตัวจริงของเนื้อส้ม

หลวงพ่อ : โดยข้อเท็จจริงมันเห็นไม่ได้ ฉะนั้นเวลาเขาดูความคิด ถ้าเขามองไปที่จิต เขาจะเห็นแต่ความคิดของเขา เขาไม่เห็นตัวจิตหรอกจริงไหม เพราะอะไร เพราะความคิดมันไม่ใช่จิต เดี๋ยวจะแจกซีดีอันนี้ที่เราบอกว่าความคิดเกิดดับ มันมีพวกเขานี่แหละที่ปฏิบัติดูจิตมานาน แล้วเราให้ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราไม่ใช้ดูจิต เวลาเราสอนนะ ไม่ใช้ดูจิต เราให้ใช้สติตามความคิดไป พอตามความคิดไป ความคิดมันเกิดดับ เราใช้คำว่าความคิดเกิดดับ ไม่ใช่จิตเกิดดับ จิตไม่มีเกิดไม่มีดับ

โยม๒ : พยายามที่จะนั่งสมาธิ แต่เหมือนอย่างที่หลวงพ่อว่า คือเหมือนเด็กอนุบาล คือไปอ่านหนังสือมากเกินไปแล้วพอจะนั่งสมาธินี้ ความคิดมันจะไปถึงหนังสือเล่มนั้น มันก็เลยทำไม่ได้

หลวงพ่อ : ใช่ คำว่านั่งสมาธินี้ มันมีสมาธิอบรมปัญญากับปัญญาอบรมสมาธิ ความจริงหลวงตาท่านสอนมาตลอด แต่เขาบอกเลยว่า การทำสมาธิไม่จำเป็น ใช้ปัญญาไปเลย ทีนี้ปัญญาของเขา เราถึงบอกว่าการปฏิบัติทั้งหมดถ้าใช้ปัญญาไปเลยมันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามีสตินะ ถ้ามีสติ มีปัญญาไล่ความคิดไป คือจะต้องปอกเปลือกส้มให้เข้าถึงเนื้อส้ม เนื้อส้มคือตัวจิต ถ้าเข้าถึงเนื้อส้มคือตัวจิต คำพูดที่เขาสอนๆ กันอยู่นี้ เขาจะไม่กล้าพูดอย่างนี้ คนเรานี่นะ ถ้าเข้าไปเจอตามข้อเท็จจริงแล้ว เราจะไม่กล้าพูดผิดจากข้อเท็จจริงที่เรารู้ แต่คนเรานี่ไม่เคยเห็นข้อเท็จจริง อย่างที่โยมพูดเมื่อกี้ มันเห็นด้วยความคิด เห็น เพราะเรารู้ว่ามันปอกได้ แต่เราไม่เคยเห็น มันก็เลยพูดว่าเหมือนจะจริง เหมือนจะปอกได้ แต่ไม่ได้

โยม๒ : ก็ทำไม่ได้สักที ก็เลยใช้สวดมนต์อย่างเดียว

หลวงพ่อ : นี่ ที่เขาทำกันอยู่นี่ เหมือนจะใช้ได้นะ ทีนี้เพียงแต่ว่ามันเกิดกระแส พอเกิดกระแสแล้ว จำนวนคนมันเยอะขึ้น ฉะนั้นพอบอกว่าทางนี้เป็นทางลัดสั้นต้องได้ผล คำพูดมันเป็นนายแล้ว ทีนี้คำว่าลัดสั้นก็ต้องมีผลสิ คราวนี้เขาก็มีผลแจกเลยนะ ใครมีความคิดเหมือนกู ใครมีความคิดเห็นเหมือนกู คนนั้นคือเหมือนกูไง เหมือน เหมือน

เราเทศน์ไว้กัณฑ์หนึ่ง “ธรรมะเสมือนจริง” เหมือนเปี๊ยบเลย แต่ไม่ใช่ มันเหมือนแล้วมันมีธรรมะรองรับใช่ไหม มีธรรมะของพระพุทธเจ้ารองรับอยู่แล้วใช่ไหม พูดยังไงมันก็เข้ากับธรรมะใช่ไหม ฉะนั้นเราถึงบอกว่า เพ่งดูขนาดไหนนะ ถ้ามันเป็นจริงนะ มันต้องเข้าถึงเนื้อส้ม พอเข้าถึงเนื้อส้มเห็นไหม เราถึงบอกไง เราไม่อยากเฉลยเลยที่เขาเขียนมา เขาถามปัญหามาบอกว่า พวกเรานี่หลงกันนั่งสมาธิ ทำสมาธินี่หลงกันหมด แล้วเราบอกว่า ถ้ามันหลงอย่างนี้นะ หลวงตาก็ต้องสอนผิดสิ หลวงตาก็สอนสมาธิ สอนพุทโธ หลวงปู่มั่นก็ต้องหลงสิ

แต่เวลาเราพูดไม่ได้พูดอย่างนั้นนะ เขาถามเรา เขาบอกว่า เรายอมรับหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านก็สอนดูจิตเหมือนกัน แต่ที่หลวงปู่ดูลย์สอนนี้ กว่าจะได้แต่ละคนนี่ทั้งชีวิตของหลวงปู่ดูลย์ ผลที่หลวงปู่ดูสย์สอนนั้นมีกี่องค์ นี่คนเป็นสอนนะ คนเป็นสอนเหมือนกับเราทำงานเป็น แล้วเราทำงานตามเนื้อหาสาระก็ต้องมีคุณภาพตามนั้น คนจะทำงานได้อย่างนั้น มันต้องมีผลงานออกมาแบบนั้นมันถึงจะเป็นตามนั้น แต่นี่เพราะเราทำงานไม่เป็น แล้วพอคนเข้ามา พอมันทำเข้าท่า ถูกใจ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เดี๋ยวนี้เดินชนกันในกรุงเทพฯ หัวจะชนกันตายห่าเลย! แล้วมันจริงไหม? นี่ไง ที่เราบอกว่า เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อตรงนี้ไง อย่างที่เขาบอกว่า มองไปแล้วจะเป็น โธ่ เราทำงานกันนะ ถ้าเราจะหาบุคลากร คนที่มีคุณภาพ อย่างเรานี้เราหาเกือบเป็นเกือบตาย ไอ้นี้ใครมานะ คอหยักๆ เป็นคนนี้ก็ใช้ได้หมดแหละ คอหยักๆ เป็นคนนี้ แม่งโสดาบันทั้งนั้นเลย!

โยม๑ : มันแพร่ขยายไปเยอะแล้ว ทุกคนก็ “ดูจิต ดูจิต” แล้วก็ว่าอย่างนี้แหละถูกต้องแล้ว

หลวงพ่อ : ก็ถูกต้องแล้ว ก็ที่พูดเมื่อกี้ ไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า ไม่มีกึ๋นกันไง เพราะไม่มีกึ๋นมันถึงอธิบายไม่ถูก แล้วทางวิชาการมันยังหลากหลาย

โยม๑ : แล้วคิดว่าถูก

หลวงพ่อ : ถ้าคิดว่าถูกมันก็คิดว่าถูกชั่วคราว แต่ในเมื่อคนเรามือมันสกปรก มันไม่ได้ล้างมันก็สกปรก ใจของคนนะ ถ้ามันปฏิบัติแล้วมันไม่เป็นความจริง เดี๋ยวมันต้องแสดงออกมาโดยธรรมชาติของมันแน่นอน ทีนี้เราก็เชื่อตรงนี้นะว่า เมื่อถึงเวลาเรื่องมันต้องแดงออกมา เพียงแต่ว่า ที่เราพูดก่อน เราพูดเตือน ประสาเราว่า อย่าให้เหยื่อนี้มันเข้าไปเป็นอาหารของเขาจนมากเกินไป โธ่! วงในพูดยิ่งกว่านี้อีกเยอะ คือธุรกิจทั้งหมด ไม่มีเรื่องธรรมะเลย

โยม๑ : เพราะมันชักจะเริ่มเยอะ

หลวงพ่อ : เยอะ ก็นี่ไง กระแสที่เราปลุกให้ขึ้นมาไง

โยม๑ : แล้วก็เหนื่อยขี้เกียจจะอธิบาย จะอธิบายก็อธิบายไม่ได้ ก็เลยบอกว่าให้ไปถามหลวงพ่อ

หลวงพ่อ : นี่ไง อธิบายไม่เป็นหรอก เราอธิบายเอง เขายังมาชนกับเราเลย เขาบอกว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติ โทษนะ เราบอกว่าเพศสัมพันธ์ก็ธรรมชาติ เขาบอกว่า เพศสัมพันธ์ไม่ธรรมชาติ อ้าว มึงพูดข้างเดียวนี่หว่า มึงพูดกับกูนี่สิ เพราะคนไม่ทันกัน มึงพูดอย่างไรมันก็ไปหมดใช่ไหม เขาบอกว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ นี่ไง อยู่เฉยๆ ไง เราบอกถ้าอยู่เฉยๆ อย่างนั้นเพศสัมพันธ์ก็เป็นธรรมชาติ เขาก็บอกว่าเพศสัมพันธ์ไม่ธรรมชาติ

เพศสัมพันธ์นี่เป็นธรรมชาตินะ อย่างวงการแพทย์นี่เราบอกเขาเลยนะ คุยกับแพทย์บอกว่า สมมุติว่าในโลกนี้ต้องเลือกยาตัวหนึ่ง ทุกอย่างให้ทำลายหมดเลยจะเลือกตัวไหน วงการแพทย์บอกว่าเลือกมอร์ฟีน เพราะมอร์ฟีนเจ็บไข้ได้ป่วยก็ฉีด เพราะมันครอบคลุมไง แต่มอร์ฟีนพูดถึงถ้าเราเอามาใช้กัน เด็กๆ เสพติดแล้วจะเสียหายหมดเลย แต่มอร์ฟีนนี้เขาก็เอาไปทำยา เวลาเจ็บปวดเขาก็จะฉีดมอร์ฟีน แล้วถ้าบอกว่า ให้เลือกเอาตัวเดียว คือแบบว่า ยานี่ไม่ให้เหลือเลยให้เหลือตัวเดียว เขาเลือกมอร์ฟีน ทีนี้พอเลือกมอร์ฟีน เพราะมันครอบคลุม เราจะบอกว่า ทุกอย่างมันมีดีและเลวในตัวมันเอง ไม่มีอะไรที่ดีหมดและเลวหมด ฉะนั้น เขาถึงบอกว่าเพศสัมพันธ์นี้มันคือของเลว มันไม่ใช่ธรรมะ

โธ่.. พระโมคคัลลานะที่ผู้หญิงจะมาให้กามท่านนะ แล้วท่านไม่ยอม แล้วท่านไปเพ่ง เห็นไหม ผู้หญิงคนนั้นเลยทุกข์มาก แล้วจะช่วยเขา ก็ช่วยไม่ได้ ก็ไปถามพระพุทธเจ้า พระพระพุทธเจ้าบอกว่า “มันคือโทษของกาม” พระโมคคัลลานะบอกว่า “โอ้โฮ! กามมันมีโทษขนาดนี้เลยหรือ” พระพุทธเจ้าก็บอกว่า “โมคคัลลานะ เธอพูดแบบนั้นไม่ได้นะ เพราะเราตถาคตก็เกิดมาจากกามนะ” พระพุทธเจ้าเกิดมาจากอะไร เกิดจากพระนางสิริมหามายาใช่ไหม พระพุทธเจ้าเกิดมาจากใคร เราเกิดมาจากกามแต่เราเอากามมาสร้างคุณงามความดีไง แล้วกรรมฐานเรา เห็นไหม ดอกบัวเกิดจากโคลนตม แต่ตรงนี้เขาบอกว่า ดอกบัวต้องเกิดจากบนอากาศห้ามมีโคลนตมนะ โคลนตมมันน่าเกลียดนะ ดอกบัวเกิดจากโคลนตมใช่ไหม คุณงามความดีก็เกิดขึ้นมาจากเรานี่ เวลาพูด ก็พูดแจ้วๆ เชียว แล้วพอพูดอธิบายแล้วคนก็เชื่อ ทุกอย่างมันมีดีมีเลวในตัวมันเอง กามคุณ ๕ ทำไมกามเป็นคุณล่ะ แต่พรหมจรรย์นี่กามเป็นโทษ มันอยู่ที่ว่าเรามุ่งหมายไปที่ตรงไหนไง

ในโลกนี่กามคุณ ๕ สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของการดำรงเผ่าพันธุ์ แล้วอย่างถ้าเป็นพรหมจรรย์ล่ะ ประพฤติพรหมจรรย์ พรหมจรรย์นี้มันถือเพื่อเป็นหนึ่งเดียว มันไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเบื้องต้นที่เราถือ ใจยังไม่เป็นพรหมจรรย์มันก็เรียกร้องเป็นธรรมดา แต่ก็แก้ไขดัดแปลงจนมันกลายเป็นพรหมจรรย์ขึ้นมา พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์ พรหมจรรย์นี้ไม่ใช่เพื่อใคร พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าสอนแล้ว พรหมจรรย์นี้ไม่ใช่เพื่อแก้ความผิดของใคร พรหมจรรย์นี้ไม่ใช่อยากดัง พรหมจรรย์นี้ไม่ใช่พูดออกมาเพื่อจะโฆษณา พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์ ตัวมันเพื่อตัวมัน ธรรมเพื่อธรรม

แต่นี่มันทำเพื่อโลก ทำเพื่อธุรกิจ ทำเพื่อประชาสัมพันธ์ ทำเพื่อให้เป็นกระแส เราบอกเลยนะแชร์ลูกโซ่ เห็นไหม แมดอฟฟ์ คนที่ไปเล่นมันนั่นใครล่ะ ธนาคารญี่ปุ่น ธนาคารยุโรป มันไปลงทีหนึ่งตั้งกี่พันล้านล่ะ ขนาดนักวิชาการยังเชื่อเลย แล้วนี่มันแชร์ธรรมะ ลงไปทั้งชีวิตเลยนะมึง ไปเชื่อเขา ไปลงแชร์กับเขา

โยม๑ : แต่ถ้าคนสอนคิดว่าถูกแล้ว

หลวงพ่อ : เราไม่เชื่อว่าเขาคิดว่าถูก เขารู้ว่าตัวเขาผิด ของอย่างนี้ต้องรู้ ช้าหรือเร็ว ไม่มีทางที่ไม่รู้ เรานั่งอยู่นี่แล้วเราบอกว่าไม่เมื่อย มันเป็นไปได้ไหม ในเมื่อจิตมันมีกิเลสอยู่ ถ้าไม่รู้กูให้เตะ จริงไหม ในเมื่อมันมีในใจนี่ มึงบอกไม่มีนะ มึงพูดกี่ล้านคำกูก็ไม่เชื่อ ไม่มีทำไมถึงไม่มี ไม่มีทำไมไม่มี ไอ้นี้อยู่เฉยๆ กูไม่มี คนพูดที่ไม่มีเหตุไม่มีผล กูไม่ฟังหรอก ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ

หลวงตาครูบาอาจารย์เราท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านจะบอกเลยว่าท่านเป็นพระอรหันต์เพราะเหตุใด ทำอย่างไรจึงเป็นพระอรหันต์ แล้วเวลาเทศน์ธรรมะนี่ ลูกศิษย์เข้าไปถามปัญหา ท่านตอบได้เคลียร์หมดเลย

แต่นี่ของเขาจะไปนี่นะ มันต้องมีหน่วยการ์ดของเขากรองก่อนนะ ถ้ามีความเห็นต่างเขาไม่ให้เข้า ถ้าความเห็นตรงกันถึงเข้าได้ แล้วถ้าใครเข้าไปถามปัญหา ดุ่มๆ เข้าไป ใครปล่อยให้เข้ามา แต่หลวงตาท่านจะเอาแต่คนที่เห็นต่างเข้ามา แล้วท่านจะแก้ไขของท่าน ไอ้นี่กว่าจะเข้าไปนี่ กรองแล้วกรองอีก โอ้โฮ! ธรรมะอะไรเป็นอย่างนั้นวะ ไอ้นี่มันคือธรรมะจัดฉาก เราไม่เชื่อหรอก เราไม่เชื่ออยู่แล้ว อย่างไรก็ไม่เชื่อ

โยม๑ : ตอนนี้มันเข้ากระแสอินเตอร์เน็ตจน... ขี้เกียจอธิบาย

หลวงพ่อ : คนของเราจะเข้าไปชนกับเขา เราบอกว่าไม่ต้องหรอก เพราะหลวงตาพูดอย่างนี้ หลวงตาตอนออกมาใหม่ๆ นี่ หลวงตาท่านมีของจริง คนที่เห็นต่างจากท่านยังเข้าไปด่าในอินเตอร์เน็ตในวัดป่าบ้านตาดเยอะมาก แล้วลูกศิษย์ก็มีความเดือดร้อนกันอยู่แล้วไปรายงานท่าน ท่านบอกว่า “ลูกศิษย์อยู่เฉยๆ เขาด่าเรา เขาไม่ได้ด่าลูกศิษย์ แล้วเป็นอะไรไปล่ะ เขาด่าเราเขาไม่ได้ด่าลูกศิษย์ ลูกศิษย์อยู่เฉยๆ สิ”

นี่ก็เหมือนกัน คือเราจะไม่ให้คนด่านี่มันเป็นไปได้อย่างไร เฮ้ย! มึงเกิดมาแล้วมึงจะไม่ให้คนติมึงเลยนี่ มึงบ้าแล้ว โลกนี้มันไม่มี ขนาดพระพุทธเจ้าคนเขายังด่าเลย ไม่ต้องหรอก

เราถึงบอกว่า เดี๋ยวเราจะออก ตึกเรายังสร้างอยู่ เราจะให้ตึกเสร็จแล้วเราออกไป ออกไปนี่เราออกไปแบบว่า เหมือนกับนักข่าว เราต้องเสนอข่าวโดยข้อเท็จจริง อย่าให้สำนักข่าวเดียวที่มันเต๊าข่าวอยู่ เราก็เสนอข่าวของเราออกไป คราวนี้มันก็อยู่ที่ปัญญาของคน สัตว์โลก เราจะไปบังคับความเห็นของคนไม่ได้ ความเห็นของคนมันต้องปล่อยไปตามความเห็นของเขา แต่ถ้าเขามีบุญกุศล เขาอ่าน เขาดูแล้ว เขาเชื่อด้วยเหตุด้วยผล เขาจะเทียบเคียงกันเอง ขนาดเราแจกซีดีไปมันยังมีผลเลย คนถือซีดีวิ่งมาหาเราเยอะแยะเลย ซีดีนี่มันไม่มีชีวิตนะ มันเป็นเทคโนโลยีนะ มันยังช่วยคนได้เลย ซีดีนี่ช่วยคนเยอะ คนมาหาเราด้วยเพราะซีดีนี่เยอะมาก

เพราะผลประโยชน์ แล้วคนมาทำลายผลประโยชน์ ถ้าคนเป็นเจ้าของผลประโยชน์จะไม่โกรธ มันไม่มี ฉะนั้นเราไปทำงานนี้เราต้องเข้าใจว่าเราทำอะไร ในเมื่อเราทำไปแล้ว มีสิ่งตอบสนองกลับมา มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ใครจะด่าใครจะว่าก็เรื่องของเขา เขาจะด่าเขาจะว่าก็มี แต่คนที่ได้ผลประโยชน์ แล้วเขาวิ่งมาหาเราก็มี เหรียญมี ๒ ด้าน ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้แล้วนะ เราก็เข้าใจโลกไง เราอยู่กับโลกโดยเราทำความเข้าใจโลกมันไม่เดือดร้อนนะ เราอยู่กับโลกแล้วจะให้มีแต่คนชมอย่างเดียว ใครว่ากูไม่ได้เลย เอ็งต้องไปสร้างโลกใหม่ แล้วอยู่คนเดียว เอ็งก็ไปสร้างไว้อีกโลกหนึ่ง แล้วเอ็งก็อยู่บนโลกนั้น จะไม่มีใครมายุ่งกับเราเลย

โยม๓ : คุณแม่อายุมากแล้ว ถามว่าวิธีทำสมาธิง่ายๆ ต้องทำอย่างไรบ้างครับ

หลวงพ่อ : ลมหายใจ หลวงปู่ฝั้นกับครูบาอาจารย์เราบอกนะ ฟังแล้วสะเทือนใจนะ หลวงปู่ฝั้นบอกเลยนะว่า “พวกเรานี่มีลมหายใจ แต่สูดลมหายใจทิ้งเปล่าๆ” ลมหายใจนี้ทางการแพทย์ถือว่าเป็นอาหารละเอียดนะ ออกซิเจนอากาศบริสุทธิ์ เราหายใจเข้าไปเพื่อเลี้ยงสมอง สมองขาดอากาศไม่ได้ ๕ นาทีสมองตายเลย อาหารละเอียดมันจำเป็นอยู่แล้วใช่ไหม ทีนี้เราหายใจ หลวงปู่ฝั้นบอกเลยนะ “หายใจทิ้งเปล่าๆ” ลมหายใจมันให้ชีวิตเราแล้ว ถ้าเรามีสติกับลมหายใจนี่ อานาปานสติเกิดแล้ว

หลวงปู่ฝั้นบอกเลย “จะอยู่ที่ไหน ก็ให้อยู่กับพุทโธ” ลมหายใจนี่ พุทโธ พุทโธอยู่ตรงนี้ ทำดีๆ ทำชัดๆ นะ เดี๋ยวจะ โอ้โฮ! เวลามันเป็นมันเป็นอย่างนี้จริงๆ เวลาจิตมันลงนะ มันเป็นความมหัศจรรย์ นี่ไงพระพุทธเจ้าสอนไง ความสุขที่หาได้ในกายเรานี้ ความสุขหาได้ในจิตเรานี้ แต่โลกนะ ต้องไปทัศนาจร ต้องไปท่องเที่ยว เงินก็เสีย เหนื่อยก็เหนื่อย ทุกข์ก็ทุกข์ ไปทำไมกันก็ไม่รู้ หาเงินมาโปะก็ไม่พอ ความสุขหาได้ที่หัวใจนี้แล้วกำหนดลมนี่ ความมหัศจรรย์มันจะเกิด แต่ที่ทำกันไม่ได้เพราะอ่อนแอ ทำกันไม่ได้เพราะอำนาจวาสนาเราด้อย อำนาจมันด้อยเพราะอะไร เขาเรียกทางโลกว่า “สุกเอาเผากิน” มันไม่จริงจัง แล้วยิ่งอย่างเรานี่นะ อยู่เฉยๆ ยิ่งคนแก่คนเฒ่านี่ นั่งที่ไหนนะ เวลานั่งที่ไหนนะ มันคิดมันฟุ้ง เราอยู่กับลมหายใจนะ เดี๋ยวพอใครเข้ามา “อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา กูจะดูลมหายใจ” เราจะไล่คนออกเลยล่ะ ฝึกลมหายใจนะ อยู่ดีๆ ใครเดินเข้ามาใกล้ “อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา กูต้องการความสงบ อย่าเข้ามา” อยากอยู่คนเดียวนะ

โยม๒ : ถ้าอย่างนั้นมันก็ต้องตัดขาดจากคนภายนอก

หลวงพ่อ : ไม่ ไม่ตัดขาด เพราะมันจะอยู่ของมันเองได้ไม่ตลอดหรอก ขณะที่จิตสงบ จิตที่มันดีนะ มันก็อยากอยู่ตัวของมันคนเดียว แต่มันอยู่คนเดียวได้ไหม แล้วเรานี่ต้องมีอาหาร มีอะไรไหม มันก็ต้องมี เพราะประสาเรานะ คำว่าตัดขาดนี่ มันเหมือนกับปล่อยเกาะ อันนี้ถ้าคนมันดีแล้วนี่ ยิ่งถ้าคนมันดีนะ เรากล้าพูดคำนี้เลยนะ ถ้าเกิดเขากำหนดลมหายใจจนจิตสงบได้ขึ้นมา เขาจะสอนพวกโยมเลยนะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะคนเรานี่นะ ไปพบประสบความสุขไปเจอคุณงามความดี มันรักใครมันชอบใครมันจะบอกคนนั้น

โดยธรรมชาติ เราไปเที่ยวป่านะ เมื่อก่อนตอนออกธุดงค์ไป แล้วไปเจอน้ำตกสวยๆ ก็อยากให้เพื่อนกูมาดู “กูจะบอกคนโน้น กูจะบอกคนนี้” เวลาเราไปธุดงค์กันในป่า พอเห็นอะไรสวยๆ นี่ เพื่อนกูมาเห็นต้องชอบแน่ๆ เลย เมื่อก่อนมีความคิดอย่างนี้นะ ไปเที่ยวในป่านี่ อยู่ในป่าดีๆ มันก็อยากถ่ายรูปเก็บไว้ ในป่านี่ โอ้โฮ! เวลาหน้าฝนนะ ทิวทัศน์นะไปอีกเรื่องหนึ่งเลย สวยมาก พอเห็นอย่างนั้นปั๊บก็อยากให้เพื่อนมาดู อยากให้คนนั้นมาเห็น เราเห็นแล้วไง อยากมีพยาน นี่เหมือนกัน ลองถ้ากำหนดได้ ไม่ใช่ว่าตัดขาด เพียงแต่ว่า เวลามันทำนี่ เหมือนเรากินข้าว ขณะแม่กินข้าวอยู่ เราจะไปกวนแม่ไหม ขณะที่กำหนดพุทโธ จิตนี้มันกินคำบริกรรม มันอยากเลี้ยงตัวมันเอง แต่พอมันอิ่มแล้ว เราเข้าไปหาแม่เราได้ไหม มันคนละเรื่องเลยนี่ เวลาพูดทางโลกเขาเรียกว่าพูดข้างเดียวไง

โยม๔ : รู้สึกว่าตัวเองจะหลงทางบ่อย

หลวงพ่อ : ตัวหลงทางนี้ ตัวเองจะไม่หลงก็ได้ ถ้าคิดว่าตัวเองหลงทางแล้วก็จะหลงตลอดไป บุญของคนไม่เท่ากัน การกระทำของคนไม่เหมือนกัน ฉะนั้นพูดถึง ประสาเราก็ส่วนเราใช่ไหมที่เคลื่อนไหวได้ที่ทำได้ แต่ถ้าคนแก่คนเฒ่า หนึ่ง คนแก่คนเฒ่าชอบพูดเรื่องอดีต คนแก่คนเฒ่า ประสาเราเลยนะ ไม้ใกล้ฝั่งนี่ มันใกล้เวลา มันทำให้ตัวเองว้าเหว่ ต้องการคนเข้ามาใกล้เคียง ต้องอยากเล่าเรื่องเก่าๆ ให้คนอื่นฟัง แต่ถ้าคนแก่คนเฒ่ากำหนดพุทโธได้อยู่กับตัวเอง เขาจะมีหลักของเขา นี่มันโดยวัย มันคิดต่างกันเยอะมาก โดยวัยนี้ ความคิดของวัยจะแตกต่างกัน แต่ถ้าเขาทำของเขาได้นะ หนึ่ง มีความสุขนะ โธ่.. แม่หลวงตายังพูดเลยนะ “ไม่ต้องห่วงแม่ แม่เอาตัวรอดได้ แม่ไม่เคยกลัวอะไรเลย” เวลาจิตมันทำได้ แม่หลวงตาบอกหลวงตาเองเลย “ลูกไม่ต้องหวงแม่ แม่เอาตัวรอดได้” นั่นเวลาทำได้ ไม่เคยกลัวอะไรเลย

โยม๓ : ขอถามเรื่องวิธีบริกรรมครับ การภาวนาพุทโธมีทั้งผูกลมกับไม่ผูกลมใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ : ใช่

โยม๓ : ถ้าเราเลือกไม่ผูก ก็ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทิ้งคำบริกรรมใช่ไหมครับ พุทโธ พุทโธไปเรื่อยๆ

หลวงพ่อ : ใช่ ลมหายใจ จะผูกหรือไม่ผูกลมหายใจ หรือพุทโธนี่ ห้ามทิ้ง ห้ามทิ้งเด็ดขาด! แล้วเกาะไว้แน่นๆ แล้วพอมันจะเป็น มันเป็นของมันเอง คือพุทโธ พุทโธ พุทโธ เราพยายามนึกพุทโธ แต่นึกไม่ได้นะ

“จิต-อาการของจิต” พุทโธเรานึกขึ้นมาใช่ไหม เขาเรียกว่าอารมณ์สอง ตัวพลังงานตัวความรู้สึกนี้เป็นอารมณ์หนึ่ง แล้วความคิดเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง ที่เขาดูความคิด ที่เขา “ดูจิต ดูจิต” กันน่ะ ไม่เห็นหรอก ไปเห็นความคิดหมด

ทีนี้ พอพุทโธ พุทโธ นี่ก็คือความคิด ความคิดเกิดดับ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันเหมือนเราหัดเล่นเทนนิส เราจะตีลูกเข้ากำแพง มันกระเด็นออกมา กำแพงนั้นคือตัวจิต แล้วลูกเทนนิสมันเข้าไป พุทโธ พุทโธ เห็นไหม พุทโธ พุทโธ มันจะสั้นเข้าไปเรื่อยๆ จนกำแพงกับลูกเทนนิสมันติดกัน แล้วมันจะตีลูกเข้าหากำแพงได้ไหม พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนมันละเอียดเข้ามาเป็นตัวมันเอง มันจะนึกพุทโธได้ไหม โดยธรรมชาติมันนึกไม่ได้ก็ต้องเป็นธรรมชาติของมันเอง แต่ถ้ามีระยะห่างนี่ กูยังตีเทนนิสเข้าไป มันยังมีระยะห่างที่จะให้ลูกเทนนิสมันลอยเข้าไปได้ มันยังมีแรงกระทบ ลูกเทนนิสก็ต้องกระเด็นออกมาเป็นธรรมดา

ถ้ายังนึกพุทโธได้มันเป็นสอง คือมีกำแพงกับลูกเทนนิส ถ้ามีความรู้สึกกับมีความคิด พุทโธได้นี่มันยังมีระยะห่าง มันเป็นสอง ไม่เป็นหนึ่ง สมาธิคือหนึ่งไม่ใช่สอง โดยธรรมชาติของคนมีความรู้สึกกับมีความคิด พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธเรื่อยๆ จนพุทโธกับกำแพงเป็นชิ้นเดียวกันนะ ลูกเทนนิสหายไปไหนวะ? ห้ามทิ้งเด็ดขาดเลย ทีนี้คนไปทิ้ง พุทโธ พุทโธแล้วทิ้งไปเลยนะ กำแพงคือกำแพงนะ ลูกเทนนิสก็กลิ้งอยู่โน่น แล้วบอกว่ากูเป็นสมาธิ ลูกเทนนิสกับกำแพงเป็นสอง ลูกเทนนิสคือความคิด กับกำแพงคือตัวจิต

แล้วคนมันทำไม่เป็นส่วนใหญ่แล้วก็อธิบายอย่างนี้ “พุทโธมันต้องหาย” แล้วมันก็ปล่อยลูกเทนนิสกลิ้งไปเลย จะอีกชาติหนึ่งมันก็ไม่เป็นสมาธิ เพราะมันเป็นสอง คือเราคิดว่าว่าง

ดูจิตมันเป็นอย่างนี้หมด มันปล่อยลูกเทนนิสไว้กับดิน แล้วมันนึกว่าว่าง พอมันนึกว่าว่างปั๊บนี่ มันก็ไม่เข้าใจถึงโลกุตตรปัญญา คือลูกเทนนิสกับกำแพงนี้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วนี่มันจะเคลื่อนตัวไปอย่างไร ถ้าลูกเทนนิสมันอยู่ที่โน่น เวลาการเคลื่อนตัวไป ลูกเทนนิสมันอยู่ข้างล่างใช่ไหม คือความคิดมันเป็นอันหนึ่ง ความเป็นจริงเป็นอันหนึ่ง มันเคลื่อนไปไม่ได้หรอก พอมันเคลื่อนไปไม่ได้มันก็บอกว่าลูกเทนนิสไม่มี ลูกเทนนิสเป็นอย่างนั้น มันก็เลยสร้างเห็นไหม อย่างนั้นจะเป็นโสดาบัน

เราท้าประจำนะ มึงจะเป็นขั้นไหนก็แล้วแต่เรื่องของมึงนะ ขอให้กูได้ซักสักคำหนึ่งเถอะวะ ขอให้กูได้ซักสักคำหนึ่ง ขอให้กูได้พูดด้วย แล้วกูถึงจะยอมรับว่าเป็นโสดาบันหรือไม่เป็นโสดาบัน เราบอกตอนนี้บุญรอดมันจะเจ๊งนะ บริษัทใหม่มันกำลังผลิตโซดาขาย เอาแค่นี้ก่อนเนอะ จบแล้ว เอวัง