เทศน์บนศาลา

ธรรมชาติของกิเลส

๓o ก.ค. ๒๕๕๒

 

ธรรมชาติของกิเลส

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรม  ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า    เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เรามีอำนาจวาสนามากนะ  ดูสิพ่อแม่เวลาเลี้ยงลูกมานี่ ต้องการให้ลูกเป็นคนดี  ต้องการให้ลูกมีศีลธรรมในหัวใจ  ต้องการให้ลูกมีความสุข  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์  แล้วสัตว์โลกมันให้รื้อให้ขนมันไหม  มันไปบิดเบือนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกต่างหาก เห็นไหม 

เราเป็นชาวพุทธ แล้วเราตั้งใจเห็นไหม  พบพุทธศาสนาแล้วเราออกประพฤติปฏิบัติ  เราพยายามค้นหาความจริงจากตัวของเรา  อันนี้เป็นอำนาจวาสนาที่สุด  อำนาจวาสนานะ  สมบัติใดๆในโลกนี้  ไม่มีสิ่งใดจะมีค่าเท่าหัวใจของสัตว์โลก แล้วการประพฤติปฏิบัตินี่มาแก้ไขกันที่หัวใจ  มาแก้ไขกันที่หัวใจ เพราะหัวใจปฏิสนธิวิญญาณ มันเป็นตัวพาเกิดพาตาย  ปฏิสนธิวิญญาณไม่ใช่วิญญาณในขันธ์ ๕  ในปัจจุบันนี้เราเอาวิญญาณในขันธ์ ๕ คือ ความรับรู้ของใจมาเป็นตัววิญญาณ  ตัวความคิด ตัวความรับรู้  รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  เป็นวิญญาณในอายตนะ  เป็นวิญญาณในขันธ์ ๕  เป็นวิญญาณรับรู้  ไม่ใช่ปฏิสนธิวิญญาณ   เราถึงไม่เข้าใจเรื่องชีวิตไง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งมาก  ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ  เราจะสอนได้อย่างไร สอนได้อย่างไร  ขนาดปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ  แต่ในปัจจุบันนี้ที่เราประพฤติปฏิบัติกัน ด้วยสัญญาอารมณ์ ด้วยความรับรู้สิ่งต่างๆ เห็นไหมมันเป็นธรรมชาติของกิเลส  กิเลสมันเป็นแบบนี้  แล้วเราปฏิบัติธรรมบูชากิเลสกัน  ปฏิบัติธรรมบูชากิเลสไง ด้วยรูป  เวทนา สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  เป็นขันธ์ ๕ เป็นความคิด ไม่ใช่จิต  ปฏิสนธิจิต คือ ตัวมาร ตัวพญามาร  ปฏิสนธิจิตเนี่ยมาร  พ่อแม่ปู่ย่าตายายของมารมันอยู่ที่นั่น  กิเลสมันอยู่ที่จิต มันไม่ได้อยู่ที่ความคิด  มันไม่ได้อยู่ที่ขันธ์ ๕ แล้วเราปฏิบัติบูชากิเลสด้วยขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  สิ่งนี้ออกมาประพฤติปฏิบัติ มาทำความรับรู้มาต่างๆ  แล้วไปบูชามาร  บูชามาร คือ บูชาอวิชชา  บูชาปฏิสนธิวิญญาณ  วิญญาณที่รับรู้ที่ลึกซึ้งกว่าเห็นไหม 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ  กว่าจะตรัสรู้นะ สร้างบุญญาธิการมามหาศาลเลย  สร้างบุญญาธิการมา มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้เองโดยชอบ  นอกนั้นไม่มีนะ  แล้วใน พุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  สมณโคดมของเรานี่  ขณะที่ศาสนามีอยู่จะไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ซ้อน  ไม่มี  เอกนามกิง  มีหนึ่งเดียวเท่านั้น  พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้า  ต้องให้ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นี้หมดสิ้นไปก่อน 

ใครจะตรัสรู้  ใครจะบรรลุธรรมขนาดไหนก็แล้วแต่ จะเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นสาวก  สาวกะผู้ได้ยินได้ฟัง  ผู้ได้ยินได้ฟังยังประพฤติปฏิบัติ แต่ขณะที่ได้ยินได้ฟังขนาดไหน มันยังไม่มีโอกาสของมันเห็นไหม  เวลาเราประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ  สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ  กิเลสมันก็เป็นธรรมชาติ  กิเลสพาเกิดพาตายนี่มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งนะ 

ดูสิ ดูทางโลกเห็นไหม  ดูพวกพืช พวกสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครอง  มันเกิดในธรรมชาติของมันนะ  ดูสิอย่างผลไม้ อย่างต้นไม้นี่มันอาศัยเกสรเห็นไหม  มันใช้ธรรมชาติ  มันใช้สัตว์ผสมพันธุ์ให้มันเห็นไหม  พวกแมลง ผึ้ง แมลงต่างๆ มันผสมพันธุ์ให้  พวกสัตว์ที่มันหากิน มันผสมพันธุ์ให้เห็นไหม  มันเกิดโดยธรรมชาติ สิ่งที่มีชีวิตแต่ไม่มีวิญญาณครอง มันเกิดจากธรรมชาติ  มันเกิดกับกระแสลมธรรมชาติมันพัดไป  มันพัดเมล็ดพันธุ์พืชไปตกในที่ต่างๆ  มันพัดเกสรไป มันพัดสิ่งต่างๆไปให้ผสมพันธุ์กัน 

เวลาพืชพันธุ์เห็นไหม  ดูสิพวกหญ้า พวกสิ่งที่เราไม่ต้องการต่างๆ นะ เมล็ดของมันปลิวไปตามลม  ตามกระแสของลม  แล้วมันก็ไปเกิดของมันโดยธรรมชาติของมัน  สิ่งที่มีชีวิตแต่ไม่มีวิญญาณครองอาศัยธรรมชาติเกิดใน  มันก็เกิดธรรมชาติอย่างนั้น  แล้วมันแย่งกัน  ดูในป่าไม้  ในป่าเห็นไหมมันจะแย่งอากาศกัน  แย่งแสงกัน  แย่งอาหารกัน มันจะแย่งกันเพื่อการเติบโตของมัน แล้วพอมันเติบโตขึ้นมา ต้นไม้ต้นไหนที่มันเติบโตกว่าเห็นไหม ร่มเงาของมันจะปกคลุมต้นไม้อื่น  ต้นไม้อื่นจะเติบโตมาไม่ได้เพราะมันไม่มีอาหาร มันสังเคราะห์อาหารไม่ได้เท่ากับต้นใหญ่  มันต้องพยายามหาแสง พยายามหาต่างๆ นี่ไง นี่ธรรมชาติ  ธรรมชาติของการเกิด เกิดจากสรรพสิ่งที่ไม่มีชีวิต 

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานี่ เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์มาก สิ่งที่ว่าสิ่งมหัศจรรย์เพราะอะไร   เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  นี่ปฏิเสธมาทุกลัทธิทุกศาสนา  ศาสนาอื่นๆ เห็นไหมเขายอมรับธรรมชาติ  ว่าชีวิตนี่ต้องไปเป็นอาตมัน ต้องไปอยู่กับพระเจ้า  ต้องไปเป็นส่วนหนึ่งของอาตมันเห็นไหม เป็นผู้ตามเห็นไหม เขาบอกว่าธรรมะนี้มันเป็นธรรมชาติ ทุกคนต้องมีสิทธิ์เห็นไหม  ถ้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือธรรมชาติมันต้องมีการคัดเลือก ไม่มี มันเป็นสัจธรรม  มันเป็นความจริง ไม่มีหรอก ดูจิตวิญญาณที่เกิดเห็นไหม กิเลสพาเกิด 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์  เวียนตายเวียนเกิดมา  เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ย้อนอดีตชาติไปเห็นไหม ตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะ พระเวสสันดรต่างๆ ย้อนอดีตชาติไปได้ตลอดล่ะ นั่นไง เนี่ยธรรมชาติ ธรรมชาติของคุณงามความดีไง  ธรรมชาติของผู้ที่มีคุณธรรม  ผู้ที่มีคุณธรรมนะเวลาจิตมันเกิด มันมีปฏิสนธิวิญญาณ มารมันอยู่ที่นี่  มารมันอยู่ที่กิเลสมันอยู่ที่ฐีติจิต มันอยู่ที่รูป  รูปความรู้สึกของจิตนี่  รูปไม่ใช่ความคิด สิ่งต่างๆ นี้มันอยู่ที่นั่น  แล้วมันอยู่ที่นั่นปั๊บ การกระทำของมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร  การกระทำเกิดขึ้นมานะ เพราะมีอำนาจวาสนาขึ้นมาเห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว  ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามบุญอำนาจวาสนานะ  พระโพธิสัตว์เกิด  พระโพธิสัตว์เห็นไหมเกิดขึ้นมา ดูสิเกิดที่สวนลุมพินี  เราเกิดมาชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจะไม่เกิดอีก  ทั้งๆ ที่เป็นทารกเกิดมาจากนางมหามายาเพิ่งตกคลอดมานะ เปล่งวาจาว่า เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว  ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย  ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะเห็นไหม เวลาพระเจ้าสุทโธทนะส่งไปเรียนเห็นไหม  แล้วหาคู่ให้เห็นไหม  จนเกิดสามเณรราหุล เนี่ย กิเลสทั้งนั้นน่ะ มันยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ มันไม่มีธรรม  แต่ว่าเราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายเพราะอะไร  เพราะบุญญาธิการ เพราะได้สร้างบุญญาธิการมามาก  เนี่ยความปรารถนา จิตนี่มันต้องออกบวชโดยบุญ โดยธรรมะจัดสรร  ธรรมะจัดสรร  ธรรมะยังไม่มีจะเอาธรรมะอะไรมาจัดสรร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมีอยู่แล้ว ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นองค์ที่ ๔ พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้า ธรรมะมีอยู่หรือยัง  ธรรมะมีอยู่แล้วนี่คือความจริงมันมีอยู่แล้ว แต่ไม่มีใจดวงไหนเข้าถึงได้  แล้วในปัจจุบันนี้เราประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ  มันธรรมชาติของกิเลสทั้งนั้นน่ะ  กิเลสมันพาทำ  แล้วไปบูชากิเลส มันไม่เป็นสัจจะความจริงเลย ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงเห็นไหม  ดูสิขนาดที่ว่าจิตวิญญาณที่เกิดที่ตายนี่มันยังเป็นความมหัศจรรย์อันหนึ่ง  มหัศจรรย์มากเพราะอะไร สิ่งที่มีชีวิตแต่ไม่มีวิญญาณครอง มันเกิดโดยธรรมชาติของมันนะ  แต่สิ่งที่มีชีวิตแล้วมีวิญญาณครอง  วิญญาณที่พาเกิดเนี่ยปฏิสนธิจิต  ดูสิปฏิสนธิจิตเห็นไหม ดูสิคนเกิดทุกคน เกิดมาอยากปรารถนาความสุข  ทุกคนเกิดมาอยากจะมั่งมีศรีสุข

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเห็นไหม  คนเราไม่ใช่ดีเพราะการเกิด  คนเราไม่ใช่ดีเพราะชาติตระกูล  คนเราไม่ใช่ดีเพราะความมั่งมีศรีสุข คนเราดีชั่วอยู่ที่การกระทำ  นี่ไง  อยู่ที่การกระทำดีหรือชั่ว  มันทำดีก็เป็นคนดี  ทำชั่วมันก็เป็นคนชั่ว  ไหนบอกจิตนี้มีนิพพานอยู่แล้ว จิตนี้มีธรรมอยู่แล้วไง  ถ้าจิตนี้มีธรรมอยู่แล้วไง  มันเกิดขึ้นมา เกิดดีเกิดชั่ว เกิดมาแล้วมันก็ต้องเป็นคนดีไปสิ เกิดดีก็ต้องดีไปสิ  ก็มีนิพพาน นิพพานนี้ก็สิ้นสุดไป  ไม่มีทาง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าอยู่ที่การกระทำ  ถ้าทำชั่วล่ะ ทำชั่วมันก็ไปชั่วของมัน แล้วทำดีล่ะ จิตมีนิพพานแล้วทำไมไปทำชั่ว อยู่ที่การกระทำ อยู่ที่การกระทำในปัจจุบันนี้เห็นไหม  อยู่ที่การกระทำ 

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมา  สร้างบุญญาธิการมาเห็นไหม ขนาดว่าเกิดมา  โดยธรรมชาติของการเกิด เพราะมีอวิชชา  เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอวิชชา เนี่ยเพราะกรรมดีไง  กรรมดีกรรมชั่วก็คือ กรรม  กรรมดีกรรมชั่วก็คือกิเลส  ความดีมันก็เป็นความยึดติดอันหนึ่ง แต่ความยึดติดอันหนึ่ง ยึดติดสิ่งที่ดี ขับเคลื่อนสิ่งที่ดีเห็นไหม มันไปในสิ่งที่ดี  ในการเกิดเห็นไหม  ดูสิเราเกิดมาก็อยากจะมั่งมีศรีสุข   อยากเกิดมามีอำนาจวาสนาทั้งนั้น   แต่มันเกิดมานี่มันอยู่ที่ บุญญาธิการที่สร้างเห็นไหม  เกิดมาทุกข์ๆ ยากๆ เกิดมายากจนเข็ญใจขนาดไหน 

ในสมัยพุทธกาลนะ คนที่ออกประพฤติปฏิบัติมีทุกสาขาอาชีพตั้งแต่กษัตริย์ลงมา  บวชทั้งนั้นเป็นอรหันต์เยอะแยะไปหมดเลย  เยอะแยะเพราะอะไร เพราะเป็นสหชาติ  การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ มีเจ้าของศาสนาอยู่ เห็นไหม  เล็งญาณว่าจิตดวงใดที่เขามีอำนาจวาสนาของเขา  แล้วถ้าเราไปช้าหรือเราไปแล้ว  เขาได้สร้างบาปอกุศลก่อนเห็นไหม  อย่างองคุลิมาล  ถ้าฆ่าแม่จะหมดสิทธิ์เลยเห็นไหม นี่มีโอกาสอยู่ แต่ถ้าไม่ไปวันนั้นชีวิตขององคุลิมาลจะพลิกไปอีกอย่างหนึ่งเลย  แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ไปรื้อสัตว์ขนสัตว์เห็นไหม  เล็งญาณเห็นองคุลิมาลจะฆ่าแม่  ไปเอาองคุลิมาลก่อน เอาองคุลิมาลมาเทศน์สอน  บวชมาแล้วเป็นพระอรหันต์เลย นี่ไงรื้อสัตว์ขนสัตว์  ถ้ามันเป็นความจริงอยู่แล้ว มันจะเป็นไปตามของมัน 

แต่ทำไมองค์พระพุทธเจ้าต้องไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ล่ะ เพราะดีชั่วได้อยู่ที่การกระทำ มีอำนาจวาสนาขนาดไหน  องคุลิมาลเป็นพระอรหันต์  แต่ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ไปโปรดก่อน องคุลิมาลจะฆ่าแม่  เหมือนอชาตศัตรู  อชาตศัตรูถ้าไม่ได้ฆ่าพ่อนะ ถ้าไม่ได้ฆ่าพ่อมาก่อน อย่างน้อยจะได้เป็นพระอนาคา เพราะมีความศรัทธา มีความยึดมั่นในศาสนามาก แต่เพราะกรรมอันนั้นมันปิดกั้นเห็นไหม  เอ้า นิพพานมันมีอยู่แล้วแต่ทำไมไปฆ่าพ่อล่ะ แล้วฆ่าพ่อแล้วทำไมเอาไม่ได้ล่ะ   เนี่ยนิพพานมันมีอยู่แล้ว  สิ่งนี้มันมีอยู่แล้วไง  เพราะมีความเชื่ออย่างนี้ การประพฤติปฏิบัติเลยบูชากิเลสไง  มันจะไปบูชากิเลสเพราะไม่เห็นในการเกิดการตาย สิ่งที่มีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครองเกิดโดยธรรมชาติ เกิดโดยธรรมชาติของเขา  เพราะธรรมชาติมีสิ่งแวดล้อมความสมดุลของอากาศ ของลม ของดิน ของน้ำต่างๆ ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นมา  นี่ไงธรรมชาติพาเกิด  พาสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมา

แต่ในการเกิดของเรานี่มันมีวิญญาณ  ไอ้วิญญาณตัวนี้ ไอ้ปฏิสนธิจิตนี่  ความรู้สึกตัวหัวใจนี่ สิ่งนี้มาเกิดอะไรพาเกิด  สิ่งที่พาเกิดขึ้นมาคือบุญกุศลพาเกิด  บาปอกุศลพาเกิด  เนี่ยเกิดมามันต้องมีมนุษย์สมบัติ  มนุษย์สมบัติศีล ๕  คนมีศีลขึ้นมา ทำไมคนเกิดขึ้นมาแล้วอายุสั้น  คนเกิดมาแล้วอายุยืน  บางคนเกิดมาแล้วมีโรคภัยไข้เจ็บ บางคนเกิดขึ้นมาแล้วเห็นไหม แล้วเกิดขึ้นมามนุษย์มีขนาดไหน  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเห็นไหม ขนโคและเขาโค  คนทำดีก็แค่เขาโค  คนทำชั่วนะมันขนโค  ความชั่วของเขานี่  แล้วความดีมาเกิดเป็นอริยทรัพย์ แล้วทำไมกระทำอย่างนั้นล่ะ บุญกุศลมีเห็นไหม 

จิตที่มีนิพพานอยู่ในหัวใจเนี่ย มันสนใจไหมล่ะ มันไม่สนใจประพฤติปฏิบัติ  แล้วขนาดที่อยู่นอกศาสนาด้วย ไม่เชื่อศาสนาเลย แล้วมันมีนิพพานอยู่แล้วมันไปไหนหมดล่ะ  มันไม่มี ขนโคกับเขาโค  อำนาจวาสนาบุญญาธิการที่เราเกิดขึ้นมา จิตที่มันมีบุญกุศลไง   จิตที่มันปฏิสนธิวิญญาณ กิเลสพาเกิด ในเมื่อสิ่งมีชีวิตไม่มีวิญญาณครองเขาเกิดในธรรมชาติของเขา  ไอ้เรานี่กิเลสพาเกิด  เราก็เกิดในธรรมชาติอันหนึ่ง  มันต้องเกิด! จิตนี้มันต้องเกิด วิญญาณนี้มันต้องเกิดแน่นอน  แล้วมันเกิดแล้ว ดูสิ  ในบุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   มันไม่มีต้นไม่มีปลาย  แล้วเวลาจุตูปปาตญาณการเกิดและการตายของจิต  ที่มันเกิดในเทวดา  ในอินทร์ ในพรหมเห็นไหม  เกิดในสัตว์เห็นไหม  พระโพธิสัตว์ไม่เกิดเล็กกว่านกแขกเต้า  พระโพธิสัตว์เห็นไหม 

ดูพระในสมัยพุทธกาลเห็นไหม จำชื่อไม่ได้  เขาไปได้ผ้ามา  เขาห่มผ้าอยู่เขาไปได้มา  เขาได้ผ้าเนื้อหยาบมา มากรองออกหมด ก็มีญาติพี่น้องเห็นไหม  แล้วทอใหม่ ทอให้เป็นผ้าที่เนื้อดี  กรอใหม่ ทอใหม่ พอเสร็จแล้วมาตัดเย็บจีวร ด้วยการกระทำเห็นไหม ด้วยสิ่งต่างๆ นี่ จิตใจมันไปเกี่ยวพันเห็นไหม  ผูกพันกับจีวรผืนนั้น  คืนนั้นท่านเป็นโรคท้องร่วงตายในคืนนั้น  องค์สมเด็จพระพุทธเจ้ามาเองเห็นไหมผ้าจีวรนี่อย่าแจกนะ  แจกไม่ได้ อย่าเพิ่งแจก  เพราะในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ถ้าผู้ใดอุปัฏฐากอยู่  สงฆ์ตายไป บริขารนั้นจะตกเป็นของสงฆ์  บริขารนั้นตกเป็นของสงฆ์นะ เวลาเขาเผาศพกันเห็นไหม เขาเผาแต่ศพ  สิ่งที่เป็นบริขาร ๘ นี่พระจะบังสุกุลไว้  แล้วถ้ามีผู้อุปัฏฐาก ผู้อุปัฏฐากนั้นจะได้สิทธิก่อน  ถ้าผู้อุปัฏฐากไม่มีให้เป็นของสงฆ์แล้วแจกกัน 

ฉะนั้นตามธรรมวินัยจะเป็นอย่างนั้น  พอเป็นอย่างนั้นปั๊บนี่ ถ้าพูดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ไม่มาห้าม บริขารนั้นก็ต้องแจกไปเป็นธรรมดา จะแจกไปเพราะเป็นธรรมวินัยบังคับไว้อย่างนั้น  แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นกับจิตดวงนั้น นี่จิตดวงนั้น จิตที่เป็นเจ้าของ จิตที่เป็นพระ ขณะที่มีชีวิตอยู่เป็นเจ้าของจีวรนั้นความหวงแหน  ความอาลัยอาวรณ์เห็นไหม  สิ่งที่ทำคุณงามความดี มันได้บุญมากได้กว่านั้น แต่เพราะความติดข้องของมัน  นี่ไง  พอติดข้องมันก็ไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในผ้านั้น  เล็นมีอายุได้ ๗ วัน พอเป็นเล็นใช่ไหม พระพุทธเจ้าบอกอย่างเพิ่งแจกผ้านี้นะ ให้ครบ ๗ วันก่อน  พอครบ ๗ วันแล้ว  เล็นนั้นไปเกิดเป็นเทวดา  นี่ไงการกระทำ ปฏิสนธิจิตที่มีการกระทำ วิญญาณที่ครองร่าง วิญญาณที่ออกจากร่างแล้วไปเสวยภพ  สิ่งที่เสวยภพไปเกิดเป็นเล็นเห็นไหม  แล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา 

แต่ถ้าองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าไม่ได้มาห้ามปรามไว้ก่อนนะ เกิดเป็นเล็น  เป็นเล็นนี่ตัวมันเล็ก มันอยู่ในจีวร เราก็เห็นแต่จีวรผ้าใหม่เห็นไหม  พอแจกกันแล้วเราก็ใช้สอยเพราะพวกเรามันตาเนื้อ  พอตาเนื้อมันก็ไม่รู้สิ่งใด  เป็นธรรมชาติ มันเป็นตาเนื้อมันไม่รู้หรอก ว่าความผูกพันของจิตวิญญาณกับผ้าผืนนั้น เขาผูกพันกันขนาดไหน  แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าเห็น  สิ่งที่มีชีวิตแล้วจิตมีวิญญาณครอง  พอมีวิญญาณครองขึ้นมานะ  ให้เขามีความสุขของเขา เพราะเขาขาดสติ  พอขาดสติประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้าสติเขาดีเห็นไหม  เวลาเขาตายไปนี่ ถ้าไม่ผูกพัน เขาจะไปเกิดในสถานะที่เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เพราะว่าเขาได้สร้างบุญกุศลของเขา  เขาทำคุณงามความดีของเขา 

แต่กิเลสเห็นไหม กิเลสเป็นธรรมชาติ กิเลสมันอยู่กับจิตนั้น ถ้าไม่ตายก็ได้ใช้ผ้าจนเปื่อยจนเน่าไป มันก็ได้ผ้าใหม่  แต่ขณะที่มันผูกพันอยู่เห็นไหม  มันไปเกิดเป็นเล็นในผ้านั้นเห็นไหม  พอเวลาเกิดเป็นเล็นในผ้านั้น  พระพุทธเจ้าก็รู้อนาคตังสญาณเห็นไหม  นี่ไง เป็นธรรมชาติไหมล่ะ  ธรรมชาติที่มันหมุนไป  ถ้ามีความสุขนะพอหมดอายุขัย ๗ วันเขาก็ไปเกิดเป็นเทวดา  ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ไปห้ามไว้ก่อน พระแจกกันโดยธรรมนะ โดยความถูกต้อง  แต่สัตว์เล็นมันไม่พอใจ มันต้องมีความโกรธเห็นไหม  ถ้าโกรธนะพอหมด ๗ วัน สัตว์ตัวนั้นเล็นตัวนั้นจะตกนรกอเวจี เพราะความโกรธ ความผูกโกรธ ความโมโหโกรธา มันจะพาจิตดวงนั้นลงนรกอเวจี 

นี่ไง สิ่งที่กิเลสเป็นธรรมดาไง ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนี้ ธรรมชาติของการเกิดและการตาย  กิเลสพาเกิดพาตาย  นี่ไง ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาชี้นำก่อน มันก็เกิดลงนรกอเวจี  แต่นี้ทำไมไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมล่ะ  นี่ไงสิ่งที่ธรรมชาติพาเกิด จิตวิญญาณที่กิเลสมันพาเกิดนี่ร้ายนัก  ถ้าจิตวิญญาณพาเกิดร้ายนัก ทำคุณงามความดีขนาดไหน มันก็มีสิ่งนี้เจือปนมาตลอด  ถ้าไม่มีสิ่งนี้เพราะอะไร  เพราะมันเป็นธรรมชาติ  การเกิดจิตวิญญาณนี้จิตไม่มีวันตาย  จิตนี้ไม่มีวันตาย แต่สถานะของจิตที่มันเปลี่ยนแปลงไปทุกภพทุกชาติ มันเปลี่ยนแปลงไป แล้วมันมีกิเลสอวิชชาครอบงำมันไป

ความเกิด เกิดดีเห็นไหม คนเกิดมานี่  ดูสิเกิดมาสถานะสูงส่งมาก แต่พฤติกรรมของคนๆ นั้นทำตัวเลวทรามมาก  บางคนเกิดเป็นคนทุกข์จนเข็ญใจ เห็นไหมดูสิดูเด็กกตัญญูสิ มันเป็นเด็กน้อยนะ มันมีความกตัญญูกับปู่ย่าตายาย กับพ่อแม่ของเขา วิ่งไปวิ่งมาเพื่อจะดูแลรักษาเห็นไหม  เด็กตัวเล็กๆ ทั้งที่เป็นคนทุกข์คนเข็ญใจอย่างนั้น  เขายังมีหัวใจที่มีคุณธรรม  หัวใจของเขานี้ยังประเสริฐกว่า กับที่เราเกิดมาในชาติตระกูลที่ดี แต่ทำตัวเหลวไหลเห็นไหม  ไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับเราเลย นี่ไงดูสิดูความคิดของคนสิ อันนี้มันเกิดมาจากไหนล่ะ  มันเกิดมาจากบุญกุศลของใจดวงนั้น  เราเกิดมานะคิดดูสิ เราจะต้องแบกรับภาระขนาดนี้ เป็นเด็กน้อยเนี่ย แล้วเราจะทนไหวไหม  ดูสิบางคนทนไม่ได้เห็นไหม  ทำร้ายตัวเองเยอะแยะไปหมดเลย  นี่ไงกิเลสมันเป็นอย่างนั้น 

แต่เวลามาศึกษาธรรมล่ะ  แล้วเราศึกษาธรรมเพื่ออะไร  เราศึกษาธรรมเพื่อประพฤติปฏิบัตินะ  แต่เราศึกษาธรรมเพื่อประพฤติปฏิบัติ เพราะอะไร  เพราะเรามีสติสัมปชัญญะนะ  คนมีวาสนามันฟังธรรมแล้วมันเข้าใจ  มันฟังธรรมนี่มันสะเทือนหัวใจ  แล้วมันสะเทือนถึงความรู้สึกถึงชีวิตของเรา  ชีวิตของเรานี่เกิดมาทำไม  เกิดมาแล้วได้ทุกข์ได้ยากนี่เกิดมาทำไม ทางโลกเขาต้องขวนขวายหามาเพื่อชาติ เพื่อตระกูลของเขา  ตระกูลไหนนะ มันก็ต้องสิ้นไปเป็นธรรมดา ตระกูลสูงส่งขนาดไหนนะ ถึงเวลาแล้วมันหมุนไป มันเป็นอนิจจังทั้งหมด นี้เป็นอนิจจัง ความคิดของเรา ความยึดมั่นถือมั่นของเรา เราต้องการเป็นสภาวะแบบนั้น  แต่ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเราเห็นไหม  นี่ไง เรามีโอกาสปฏิบัตินะ  ทางของคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ  ทางของภิกษุเป็นทางที่กว้างขวาง  ทางของภิกษุทางของผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางธรรมวินัยไว้เห็นไหม  ภิกษุ  ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาเนี่ยเป็นเจ้าของศาสนา แล้วมีสถานะต่างกันอย่างไง  เวลาเราเป็นคฤหัสถ์เราจะประพฤติปฏิบัตินะเราก็พยายามเห็นไหม  ทางคับแคบ คับแคบขนาดไหน เราก็ขวนขวายของเรา เพราะอะไร  เพราะเรามีความตั้งใจของเราอย่างนั้น  ภิกษุที่เห็นภัยในวัฏสงสาร เวลาบวชแล้วขึ้นมา จะเอาจริงเอาจังขนาดไหน กับการประพฤติปฏิบัติของเรา  ถ้าเอาจริงเอาจังกับการประพฤติปฏิบัตินะ เรามีครูบาอาจารย์นะ  ถ้าไม่มีการประพฤติปฏิบัติ  ไม่มีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาเราศึกษาขึ้นมามันศึกษาเป็นอะไร  เวลาองค์พระพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้เห็นไหม  ปริยัติ  ปฏิบัติ  ปฏิเวธ 

มีปริยัติเห็นไหม  ในสมัยพุทธกาล วินัยธร กับ ธรรมกถึก  วินัยธรนี่ปริยัติ  ธรรมกถึกผู้ที่ปฏิบัติ ธรรมกถึกเห็นไหม ถ้าไม่ปฏิบัติจะรู้ได้อย่างไรเอาอะไรมาเทศน์สอนเขา  ธรรมกถึกก็รู้ความเป็นจริง จิตมันมีการกระทำของมัน  มีความเป็นไปของมัน  แล้วธรรมกถึก ดูพระสารีบุตรเห็นไหม  พระโมคคัลลานะ  ครูบาอาจารย์เยอะแยะไปหมด  แล้วเวลาเทศนาว่าการสอนผิดไป สอนต่างจากนั้นไป ครูบาอาจารย์ท่านเคลียร์ของท่านได้  นี่ไงธรรมกถึก  ถ้ามันรู้จริงของมัน  แต่นี่ธรรมกถึกที่ไม่รู้จริงเราประพฤติปฏิบัติมาเพื่ออะไร  เราประพฤติปฏิบัติมา เราฟังธรรมมาเพื่อแก้ไขเราใช่ไหม  นี่ฟังธรรมเพื่อมาแก้ไขเรา ไม่ใช่ฟังธรรมมาเห็นไหม มันบูชากิเลสไง ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนั้น  ธรรมชาติของกิเลสมันพาให้เกิดให้ตาย แล้วเวลาความคิดอารมณ์ที่เกิดตายล่ะ  นี่ไงเราเห็นอารมณ์การที่เกิดตาย เราไปตื่นเต้นกับมันว่าอารมณ์ที่เกิดตายนะ  ความคิดเกิดดับไง  ความคิดที่มันเกิดตาย

ในการประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม  ศีล  สมาธิ  ปัญญา  เราต้องมีศีลของเราเป็นความปกติของใจ แล้วทำความสงบของใจขึ้นมา  ถ้าใจมันสงบขึ้นมา มันจะไปตามข้อเท็จจริงนั้น  แต่ขณะที่ว่า การกระทำของเขาที่ว่าใช้ปัญญาๆ  เขาไม่ได้ทำให้จิตของเขาสงบขึ้นมา ทั้งๆ ที่ผลของมันเห็นไหมในการประพฤติปฏิบัติ  ผลของการปฏิบัติทุกแขนงทุกแนวทาง  ผลของมันคือสมถะทั้งหมด  ผลของมันคือสมาธิ  แต่ด้วยความเข้าใจผิด ด้วยความเข้าใจผิดเพราะตัวเองไปออมชอมกับกิเลส  ไปคล้อยตามกิเลส  พอคล้อยตามกิเลสไป  สิ่งที่ทำในการเกิดดับนั้น  ความคิดในการเกิดดับนั้น ผลมันคืออะไรล่ะ  ผลของมันคือจิตมันไม่สงบเข้ามาไง  เพราะในเมื่อถ้าจิตมันไม่สงบเข้ามาโดยตามความเป็นจริง  เวลาพูดเห็นไหม ทำสมาธิแล้วกว่าสมาธิมันจะเกิดขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์อะไร กว่าจะทำสมาธิมันจะเกิดขึ้นมาแล้วนี่  คนที่มีสมาธิแล้วก็ยังเกิดปัญญาไม่ได้ 

อย่างอาฬารดาบส อุทกดาบสเห็นไหมได้สมาบัติมาแล้ว  ถ้าอย่างนั้นแล้วสมัยพุทธกาลผู้ที่ทำสมาธิได้ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว  ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมาใช้ปัญญา  ปัญญาถึงมีความสำคัญ  นั่น! ปัญญามีความสำคัญ แต่ไม่รู้เลยว่าธรรมชาติของกิเลสเห็นไหม  ธรรมชาติของกิเลส ปัญญามันก็ใช้ได้  ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนั้น  ดูสิเราประพฤติปฏิบัติกันนี่  เรามีปัญญามากเลย  แล้วคนที่เขาไม่ประพฤติปฏิบัติหนึ่ง  คนที่ไม่มีศาสนา  เวลาเขาพูดถึงธรรมะเขาพูดได้ดีกว่าเรานะ  เขาพูดถึงธรรมะ เขาประพฤติปฏิบัติตัวตนของเขาดีกว่าเรา  เขายังมีกตัญญูกตเวที เขายังทำตัวเป็นประโยชน์กับสังคม  เขาพูดได้ดีกว่าเราเยอะแยะเลย  อันนั้นเป็นธรรมไหมล่ะ ถ้าไม่เป็นธรรม แล้วมันเป็นธรรมอะไรล่ะเห็นไหม 

ปัญญาเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญา ต้องใช้ปัญญา เราไปคล้อยตามกิเลส ทั้งๆ ที่เราตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า    นี่ไง ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นแบบนั้น  ธรรมชาติกิเลสนี่ร้ายนัก กิเลสนี่นะเวลาเราเกิดตายเห็นไหม  เวลาเกิดตาย จิตวิญญาณ  คนเกิดมาทั้งหมดมีกิเลสทั้งนั้น  เพราะกิเลสนี่ความไม่รู้ในตัวของมันเห็นไหม  เวลาปฏิบัติปฏิบัติโดยกรอบ โดยรูปของมัน  รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณโดยขันธ์ ๕ โดยขันธ์ ๕ เป็นความคิดไม่ใช่ตัวจิต ในเมื่อไม่ใช่ตัวจิต เวลาปฏิสนธิจิตมันเกิดมันตายเราถึงไม่รู้ไม่เห็นมัน  เราไม่รู้ไม่เห็นมัน เราเห็นความเกิดดับเราว่าเป็นปัญญา  ปัญญาอย่างนี้มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ 

ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นจิตไหม  ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ไม่เป็นจิต  จิตปฏิสนธิจิตวิญญาณมันเป็นอีกตัวหนึ่งเห็นไหม  ตัวที่พาเกิดพาตายปฏิสนธิจิต  วิญญาณตัวเกิดตัวตาย  ตัวเกิดตัวตายนี่มันมีอะไรพาเกิดล่ะ  มันก็มีกรรมเห็นไหม  มีอวิชชาพาเกิด  นี้พาเกิดมาแล้วนี่ ขณะที่มันพาเกิดมันไม่ต้องการให้เรารู้ทันมัน  เนี่ยพญามาร เจ้าวัฏจักรต้องการให้จิตวิญญาณนี้อยู่ในอำนาจของเขาตลอดไป  ในเมื่ออยู่ในอำนาจเขาตลอดไป เขาจะคอยควบคุม คอยครอบงำตลอดไป  กิเลสมันคอยครอบงำจิตโดยตลอดไป 

แล้วจิตมันไม่เข้าใจเห็นไหม จิตไม่เข้าใจ พอเกิดมามันก็มีความสุขใช่ไหม  เกิดเป็นมนุษย์ ทิฏฐิก็เกิดว่า มนุษย์มันมีคุณค่ามากกว่าสัตว์  มนุษย์มันมีคุณค่ามากกว่า ดูสิเขาเหยียดสีผิวกันเห็นไหม  แม้แต่สีผิวมันยังดูถูกเหยียดหยามกันเลย  พอมันเหยียดหยามนี่ ทิฏฐิมานะมันมีไง ทิฏฐิมานะในหัวใจมันมี  พอเกิดเป็นมนุษย์มันก็อหังการของมัน  แล้วอหังการของมัน มันศึกษาธรรมะมันก็ว่าเนี่ยรู้ธรรม ตรึกในธรรมเห็นไหม แล้ว กิเลสมันก็ผ่อนให้  เออใช่ ว่าง รู้แล้วมีความสุข มีความสบาย มันให้เพลินไง  นี่ไง บูชากิเลส ไปคล้อยตามกิเลสเห็นไหม ธรรมชาติของมันเป็นแบบนั้น  ธรรมชาติของมัน แม้แต่การเกิดการตายเรายังไม่เข้าใจเลย เราเกิดตายกันมาทุกภพทุกชาติเห็นไหม ผู้ที่เป็นเดียรถีย์นอกศาสนาเขาบอก เขาไม่ใช่ชาวพุทธ เขาไม่เชื่อการเกิดและการตาย  เขาไม่เชื่อ  การเกิดและการตายไม่มี  คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง สูญก็สูญไปเลย มรรคผลหรือ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วมันก็ทิ้งเปล่า ไม่มีอะไรหรอก ก็ทำกันไปอย่างนั้นเอง 

แต่เวลาไอ้พวกสิบแปดมงกุฎเห็นไหม โมฆบุรุษเห็นไหม มันก็เข้ามาในศาสนาก็มาว่ามีธรรมะ ธรรมะเป็นตามจินตนาการ  โมฆบุรุษมันก็มาหาเหยื่อในศาสนานี้อีก  นี่คนที่ไม่เชื่อ เขาก็ไม่เชื่อว่าการเกิดการตายมี  แต่เวลากิเลสมันพาเกิดพาตายนี่ เราไม่รู้ทันมันเลย  แล้วพอมาศึกษาธรรมะเห็นไหม มาศึกษาธรรมก็ว่ามีอำนาจวาสนา  ถ้าธรรมะ ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นที่เชิดชู ไม่มีคนเข้ามาสนใจประพฤติปฏิบัติ เขาก็ไม่สนใจ  แต่เพราะมีครูบาอาจารย์ของเราทำให้ จนมันตกผลึกในสังคม  ถ้ามันตกผลึกในสังคม ในคุณงามความดีเขาก็จะมาปฏิบัติกัน  โดยโมฆบุรุษ โดยการเห็นผลประโยชน์  แต่ถ้าไม่มีประโยชน์เห็นไหม นี่จิตเห็นไหม มันไม่บูชากิเลสไง ศีล สมาธิ ปัญญา  ถ้าการทำสมาธินี่ ทำสมาธิเขาบอกไม่ต้องทำ เพราะการทำสมาธิเนี่ยมันทำให้ลำบาก เนี่ยมันไม่ได้ใช้ปัญญา  ใช้ปัญญานี้ถึงจะฆ่ากิเลสได้  ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาของโลก  ปัญญาของโลกนะ 

เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดเห็นไหม นี่ปัญญาอบรมสมาธิ  สมาธิอบรมปัญญา ผลของปัญญาที่เกิดขึ้นมันเป็นผลของสมาธิทั้งนั้น แล้วบอกว่าไม่จำเป็น สมาธินี่เล็กน้อยมันก็ใช้พิจารณาได้  จะมากจะน้อยก็แล้วแต่มันเป็นโลกียปัญญาทั้งหมด  มันเป็นปัญญาของกิเลสทั้งหมด  ในเมื่อปัญญามันโดยกิเลสเห็นไหม ดูสิเราคิดกันเองนะหนึ่งบวกหนึ่งมันเป็นสองไหม  หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสองใช่ไหม  หนึ่งบวกหนึ่งผลมันต้องสอง เป็นสองแน่นอน  นี่เหมือนกันศึกษาธรรมแล้วน่ะเป็นธรรมะไหม  นี่หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง เห็นไหมการเกิดการดับมันมีการเกิดขึ้น ก็ต้องมีการดับเป็นธรรมดา มันก็เกิดดับมันก็เท่านั้นนะ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองแล้วเราได้อะไรล่ะ  เราได้ทำงานอะไรของเรา บวกหนึ่งเป็นสองเราก็เข้าใจว่าเป็นสอง  นี่ไง นี่ก็เหมือนกัน มีการเกิดและการดับใช่ไหม  สิ่งใดเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดาก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา เนี่ยแล้วมันได้อะไรล่ะ ได้อะไร  ก็ได้ความเข้าใจไง   โอ้ ธรรมะ อูย ซึ้งมาก นี่ไงมีปัญญา  โอ ปัญญาเกิดแล้ว ปัญญาฆ่ากิเลสแล้วไง  มันลูบคลำเกินไป  มันบูชากิเลสเกินไป  มันคล้อยตามกิเลสเกินไป 

ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ธรรมชาติของอวิชชาคือการหลอกลวง แล้วมันไม่ใช่หลอกลวงใครหรอก ก็มาหลอกลวงจิตดวงนี้แหละ มันครอบงำอยู่บนจิตดวงใด  มารมันครอบงำอยู่บนจิตดวงใด มันก็จะครอบงำจิตดวงนั้น มันจะหลอกจิตดวงนั้นให้เชื่อมัน  ถ้าหลอกจิตดวงนั้นให้เชื่อมันเห็นไหม มันไม่รู้เท่าทัน อวิชชาไง ไม่รู้เท่าทันสัจจะความจริง มันไม่รู้ทันเท่าสัจจะความจริง เพราะมันเข้าไม่ถึงตัวจิต มันเข้าไม่ถึงความคิด ความเกิดดับไง  ก็จิตเกิดดับไง มีปัญญาก็ใช้ปัญญา  ปัญญาในการฆ่ากิเลสไง  ธรรมะก็เป็นอย่างนี้เข้าใจหมดล่ะ สรรพสิ่งรู้ไปหมด เข้าใจไปหมดเลย เข้าใจในอะไร เข้าใจในอะไร  นี่ไง เข้าใจในสามัญสำนึกความเป็นไปของสิ่งมีชีวิต 

               แต่สิ่งที่มีชีวิตเห็นไหม สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครอง มันเกิดโดยธรรมชาติ มันเกิดโดยกระแสลม มันเกิดจากการผสมพันธุ์ของสัตว์  ผสมพันธุ์โดยเกสรที่สัตว์ผสมพันธุ์  เห็นไหมสิ่งที่มีชีวิตที่มันเกิดขึ้นมา สิ่งที่มันเกิดในธรรมชาติ  แล้วชีวิตของเรามันเกิดบนอะไรล่ะ สิ่งที่มีวิญญาณครองมันเกิดบนอะไร  มันเกิดบนกรรม  แล้วกรรมมันคืออะไร  การกระทำ แล้วผลของกรรมมันอยู่ที่ไหน  แล้วสิ่งที่รับผลของกรรมนี่มันเป็นใคร  แล้วสิ่งที่เป็นมารเห็นไหม มารที่มันครอบงำอยู่ มันอยู่ที่ไหน นี่ไงก็ใช้ธรรมะแล้วไง ธรรมะมันเห็นการเกิดดับ มันเกิดแล้วก็ดับ  ดับแล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ  ดับก็บูชากิเลสไง ธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนี้ 

          ธรรมชาติของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ มันก็เป็นอนิจจัง ความคิดมันแปรปรวนอยู่ตลอด ความสุขความทุกข์ของจิต มันก็มีโดยธรรมชาติของมัน  ธรรมชาตินะ คนเราจะทุกข์ยากขนาดไหน มันก็ผ่อนคลายให้เรามีความสุขบ้างเป็นชั่วครั้งชั่วคราว  เนี่ยความกดดันของจิต ถ้ากิเลสมันมากนักมันก็กดดันจิตจนไม่มีทางออก  นี่ไงแล้วเวลาเราเข้าใจนี่เราใช้ปัญญาของเราศึกษาเข้าไป  แล้วมันเข้าใจมันปล่อยวาง  ปล่อยวาง ปล่อยวาง นี่หรือในการประพฤติปฏิบัติ  นี่มันเป็นปริยัติ  เพราะการปริยัติน่ะเวลาเราศึกษาเห็นไหม เราใช้สมอง เราใช้ความรู้สึกเข้าไปตีความธรรมะ  ถ้าเราเข้าไปตีความธรรมะ ความเข้าใจของเราที่ตีความธรรมะ เราก็มีความซึ้งใจของเรา

          แล้วในการปฏิบัติ ใช้ความคิดใช้ปัญญา  เนี่ย ใช้ปัญญาไปแล้ว ปัญญามันไล่เข้าไปแล้ว นี่ไง การประพฤติปฏิบัติครูบาอาจารย์เราถึงบอกว่า  สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ  ปัญญาที่มันยังไม่มีสมาธิเป็นที่รองรับ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ  แต่ด้วยการปฏิบัติบูชากิเลส มันก็ว่าสิ่งนี้เป็นคุณธรรม มันเลยไม่ใช่เป็นปัญญาอบรมสมาธิ  มันเป็นปัญญาบูชากิเลสไง  พอปัญญาบูชากิเลส มันก็ว่างๆ  ว่างๆ เห็นไหม ว่างๆ อวิชชา  ว่างๆ อวิชชาเพราะอะไร  เพราะมันไม่มีสติ  มันไม่เข้าใจในตัวของมันเอง ในเมื่อมันไม่เข้าใจในตัวของมันเอง มันก็บอกว่าสิ่งนั้นเป็นคุณธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม พอสิ่งนั้นเป็นธรรมมันก็ให้ค่าไปเรื่อย

          เพราะเวลาปัญญาหมุนรอบหนึ่งเห็นไหม  เป็นโสดาบัน  เป็นสกิทา  เป็นอนาคา เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  วางไว้เป็นหลักเกณฑ์อยู่แล้ว มันมีปริยัติเห็นไหม  สาวก สาวกะเป็นผู้ได้ยินได้ฟัง  แล้วสิ่งนี้มันมีอยู่โดยธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ เห็นไหม  ดูสิ  พายุหรือการเกิดของฝนมันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง  อันนี้ก็เป็นธรรมชาติ เพราะธรรมชาติของธรรมที่พระพุทธเจ้า ธรรมมีอยู่ดั้งเดิม  แต่ไม่มีใครไปเจาะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  บอกว่าเราเป็นไก่ตัวแรก เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมาจากไข่นั้น ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมันมีอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครเจาะ ไม่มีใครทำลาย ไม่มีใครชำแรกออกมาจากอวิชชา  ในเมื่อใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ชำแรกออกมาจากอวิชชา การกระทำอันนั้น มรรคญาณอันนั้น  นั่นใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้สัมผัสธรรม สัมผัสธรรมอันนั้นธรรม  เอโก ธัมโม  ธรรมหนึ่งเดียว ธรรมที่ไม่มีสอง

          แต่การประพฤติปฏิบัติของเรานี่ ธรรมที่เป็นสอง ดีและชั่ว  เกิดแล้วก็ดับเพราะเราประพฤติปฏิบัติเราว่าเป็นคุณธรรมๆ มันไม่มีตัวจิต ไม่มีตัวไก่ที่จะชำแรกออกมาจากอวิชชานั้น  มันไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  นี่ไง ที่บอกมีโสดาบัน  มีสกิทาคา  มีอนาคา  เพราะมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  แล้วเราก็เทียบเคียงไปตามประของเราเห็นไหม ว่ามีความคิดความรู้อันหนึ่ง มีความสำเร็จอันหนึ่ง  แต่ในการประพฤติปฏิบัติของครูบาอาจารย์เราบอกว่า เป็นปัญญาอบรมสมาธิ   แต่เพราะเขาบอกว่าสมาธิไม่มีความจำเป็น มันจะเป็นสมาธิโดยอัตโนมัติ มันจะเป็นโดยอัตโนมัตินะ มันเป็นไปไม่ได้  มันเป็นไปไม่ได้เห็นไหม

          นี่ดูสิ เวลาเกิด เวลาตายนี่อวิชชามันครอบงำอยู่ วิญญาณปฏิสนธิจิตที่พาเกิดพาตาย เราก็ไม่เข้าใจมัน เราถึงได้มาเกิดทั้งๆ ที่ทำคุณงามความดีนะ ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์  เราทำคุณงามความดี  ทำดีทำชั่วมันจะเกิดดีเกิดชั่วตามแต่อำนาจวาสนา  แล้วเวลาเราเกิดขึ้นมา มันก็ปิดตาเราไปตลอดเห็นไหม  ในการประพฤติปฏิบัตินี่มันควรจะชำแรกเกิดจากในธรรม มันก็ไปชำแรกเกิดในกิเลสอีก  ปฏิบัติโดยกิเลสบูชากิเลส ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นแบบนี้ แล้วเราก็บูชาไปทั้งๆ ที่เราเกิดมาในพุทธศาสนานะ  ทั้งๆ ที่เราประพฤติปฏิบัติว่าเราจะพ้นจากทุกข์นะ  ทั้งๆ ที่ปฏิบัติเนี่ย เพราะความเห็นของเราธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้  แล้วเราปฏิบัติโดยธรรมชาติไปกับมัน  ไปกับมัน มันก็เลยเป็นการบูชากิเลสเห็นไหม

          แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติ  ตั้งสติให้ดี  ตั้งสติแล้วกำหนดพุทโธๆๆ เห็นไหม คำว่ากำหนดพุทโธๆๆ  พุทโธเป็นความคิดหรือเปล่า  ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาที่ใช้มันก็เป็นปัญญาเหมือนกันใช่ไหม  แต่กำหนดพุทโธๆๆ น่ะ พุทโธมาจากไหน  พุทโธเห็นไหม วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์  ถ้าไม่มีจิตไม่มีความรับรู้ มันนึกพุทโธได้ไหม  พุทโธมันจะเกิดจากธรรมชาติ เกิดจากสิ่งต่างๆ หรือ  อันนั้นมันเป็นเรื่องของเขา มันไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของจิตที่จะแก้กิเลส 

          ถ้าเรื่องของจิตที่จะแก้กิเลสมันเกิดจากเรา  ถ้ามีการเกิดจากเรา  มีการกระทำจากเรา นี่ไงมันมีการกระทำจากเราเนี่ยมันเกิดจากปฏิสนธิจิต ความคิดเกิดจากไหน ความคิดเกิดจากจิต แต่ถ้าเรามีความระลึกรู้อยู่ เรากำหนดพุทโธอยู่เห็นไหม  ความสงบเข้ามา มันสงบมาที่ไหน มันก็สงบมาที่จิต  ขณิกสมาธิ  อุปจารสมาธิ  อัปปนาสมาธิ ขนาดไหนก็แล้วแต่  ศีล สมาธิ ปัญญา  ถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญาเห็นไหม  สิ่งนี้ถ้าจิตสงบเข้ามามันเห็นความสงบ  โอ้โหๆ เลยนะ  มันจะมีความแตกต่าง  คนเรานะถ้าทำตามจริงนะ ความถูกต้อง  ความผิดและความถูก เหรียญมีสองด้าน 

          คนเราเห็นไหม เราเกิดมาโดยกิเลสนะ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีกิเลส  เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็มีกิเลส  แล้วทดสอบตรวจสอบกับทุกลัทธิศาสนามา ๖ ปีนะ  ไปตรวจสอบของเขามาแล้วมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา  แต่ถึงที่สุดแล้วเพราะอะไร  เพราะสร้างมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เห็นไหม  มาระลึกถึงโคนต้นหว้า  นี่เวลาไปประพฤติปฏิบัติกับอาฬารดาบส นั่นสมาบัตินะ  ฌานสมาบัติ  ฌานสมาบัติเห็นไหมกับสัมมาสมาธิ  ที่เขาพูดว่าสมาบัติ  ฌาน ๒ ฌาน ๓  ต้องเข้าฌาน ๒ ฌาน…  ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ 

          ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลยว่า ฌานแฌนนี่อย่ามาพูดนะ  พอพูดว่าฌานอะไรต่างๆ นี้ เราก็เอาอันนั้นเป็นตัวตั้ง เป็นมิจฉาหมด  แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ที่ว่าเป็นฌาน ฌานใครเป็นคนไปทำมัน  จิตเป็นคนทำมัน  แล้วมันก็เกิดขึ้นมา มันก็เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากใจมันเป็นขันธ์ ๕  มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก มันไม่ใช่เป็นตัวจิต  แต่ถ้าเป็นตัวจิต พุทโธๆๆ นี้ มันสงบเข้ามาเห็นไหม  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าระลึกถึงโคนต้นหว้า  กำหนดลมหายใจเข้าออกเห็นไหม แล้วจิตมันสงบเข้ามา  ถ้าจิตมันสงบเข้ามา คำว่าฌานกับสมาธิใช้แทนกันในภาษาพูด  แต่ทางข้อเท็จจริงนะ ถ้าเข้าฌาน เราไปกับฌาน  แต่ถ้าเข้าสมาธิเนี่ย คำว่าฌาน ในกรรมฐานไม่ใช้  ในกรรมฐานไม่ให้ทำ  ครูบาอาจารย์ไม่ให้ทำฌาน 

          ครูบาอาจารย์ทั้งหมดให้ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามาเห็นไหม ใจมันสงบ  ใจมันสะอาดเข้ามา ใจมันมีกำลังของมันเข้ามา ใจมีความร่มเย็นเป็นสุขเข้ามา  ใจนี้จะเข้าไปถึงปฏิสนธิวิญญาณ  ปฏิสนธิวิญญาณไม่ใช่วิญญาณในขันธ์ ๕  วิญญาณในขันธ์ ๕  รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  วิญญาณในอายตนะ วิญญาณในความคิด  วิญญาณในความคิดถ้าเป็นสมาธินี่มันจะทะลุจากขันธ์ ๕ เข้ามาถึงตัวจิต  ถ้าไม่ทะลุเข้ามาถึงตัวจิตมันจะไปอยู่ที่วิญญาณ  วิญญาณในอายตนะ วิญญาณในขันธ์ ๕ นั้น วิญญาณในขันธ์ ๕ โดยธรรมชาติของมันต้องเป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ ก่อน 

          พุทโธๆๆ นี่เห็นไหม พุทโธนี่วิญญาณในขันธ์ ๕ เพราะเรานึกขึ้นมา  ไม่มีวิญญาณรับรู้พุทโธเกิดไม่ได้  คำว่านึกพุทโธๆ   รูปคืออารมณ์  เวทนาเห็นไหม พุทและโธ  ถ้าพุทโธเห็นไหม สัญญาเรารู้ว่าต้องกำหนดพุทโธ สังขารคือพุทโธหนึ่งก็ต้องพุทโธสองต่อไป  วิญญาณรับรู้มันจะเกิดพุทโธ  พุทโธคำหนึ่งนี้มันจะมีขันธ์ ๕ ครบอยู่แล้ว อารมณ์ความรู้สึกมันจะหมุนไปพุทโธๆๆๆๆ นี่  แล้วพุทโธเรื่อยๆ เข้าไปนี่มันทำลายๆ มันสั่นคลอนของมัน สั่นคลอนเข้ามาจนมันย่อยสลาย พอย่อยสลายไปไม่มีอะไรแล้ว ขันธ์ ๕ รูป เวทนา  สัญญา  สังขาร วิญญาณมันย่อยสลาย  ย่อยสลายแล้วเหลืออะไร  เหลือปฏิสนธิจิต มันหดเข้ามาเห็นไหม กระแสมันจะหดเข้ามาที่ตัวปฏิสนธิจิต  พอมันหดเข้ามาที่ตัวปฏิสนธิ  นี้คือตัวสมาธินะไม่ใช่ฌาน 

ฌานสมาบัติมันเข้าอีกอย่างหนึ่ง  ฌานสมาบัติเห็นไหมปฐมฌาน  ทุติยฌาน  ตติยฌาน จตุตถฌาน  อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ  นั่นนะจิตมันสงบเป็นไหม    อากาสานัญจายตนะ เป็นอากาศ อากิญฯอะไรนั่น  นั่นเป็นฌานสมาบัติ   ฌานสมาบัติน่ะจิตมันรีไซเคิล จิตมันปรับตัวมันเป็นสภาวะแบบนั้น  จิตมันปรับตัวเป็นสมาบัติ ๘ เป็นฌาน  ฌานที่ ๑  ฌานที่ ๒  ฌานที่ ๓ ฌานที่ ๔ เห็นไหม ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เนี่ยตั้งมั่น 

แต่เราพุทโธๆๆ นี่มันไม่ใช่ฌานไม่ใช่ เป็นสมาธิ  เป็นความสงบของใจ  ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติ  ครูบาอาจารย์ของพวกเราบอกอย่างน้อยต้องทำจิตให้สงบเข้ามาให้ได้ก่อน  ถ้าจิตสงบเข้ามาก่อน มันจะมีหลักมีเกณฑ์ของมันเห็นไหม พุทโธๆๆมันย่อยสลาย  ถ้าพุทโธๆ มันย่อยสลายมันก็เป็นฝุ่นเป็นผงไป  แต่ความรู้สึกความคิดไงปฏิสนธิวิญญาณ มีกรรมพาเกิดพาตาย พาทุกข์ยาก  แล้วพอมากำหนดภาวนาของเราเห็นไหม ตามกำหนดพุทโธๆๆ นี่ มันย่อยสลายรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  ย่อยสลายเพราะมันเป็นนามธรรม มันเป็นความคิด พอนามธรรมนี่มันละเอียดอ่อนเข้ามา เหมือนกับน้ำในแก้วที่มันมีตะกอน  พอเราตั้งไว้นี่ตะกอนมันจะลงสู่ก้นแก้ว 

นี่เหมือนกันพุทโธๆ เนี่ย สิ่งที่มันน้ำขุ่น ความรู้สึกผูกพันกันระหว่างปฏิสนธิวิญญาณกับขันธ์ ๕   ขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  มันประสานกันมันเป็นเนื้อเดียวกัน  พุทโธๆๆๆ มันก็เหมือนกับตะกอนที่มันจะลงอยู่ก้นแก้ว  พุทโธๆๆ นี่จิตเวลามันย่อยสลาย มันทำลายแล้ว สิ่งนั้นมันจะหดตัวเข้ามาสู่ตัวฐีติจิต สู่ปฏิสนธิวิญญาณ  มันจะได้มากได้น้อยเห็นไหม  แว้บๆ ก็ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิไม่เกี่ยวกับฌาน  ไม่เกี่ยวกัน ไม่เกี่ยวกัน! พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าฌาน ฌานคือฌาน  สมาธิคือสมาธิ สมาธิคือความสงบของใจ สมาธิไม่ใช่ฌาน  ถ้าเป็นฌานคือมิจฉาสมาธิ สมาธิที่มีกำลังที่ส่งออก  เนี่ยบอกว่าเป็นฌาน ทำฌานก็ผิด ทำสมาธิก็ผิด อะไรก็ผิดหมดล่ะ  บูชากิเลสนะ นี่คือการบูชากิเลส

ปัญญาที่เขาใช้กันอย่างนั้นนะ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ  เป็นปัญญาอบรมสมาธิเพราะมันเป็นปัญญาจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นธรรมชาติของจิต  เป็นธรรมชาติของจิตที่มีกิเลส มันก็เลยเป็นธรรมชาติของกิเลส  พอธรรมชาติของกิเลสไปตรึกในธรรมเห็นไหม  พอไปตรึกในธรรม มันว่าง มันสงบ มันสบายใจ มันก็เหมือนเราอ่านหนังสือน่ะ มันก็เหมือนพ่อแม่ให้ตังค์ลูก  ลูกร้องไห้มาก็เอาตังค์ไปซื้อไอติม พอซื้อไอติมได้ไอติมมาดูดมันก็มีความสุข  นี่ปฏิบัติกันบูชากิเลสมันก็เป็นอย่างนั้น ได้ไอติมมาอันหนึ่ง ว่างๆ มีความสุข เป็นโสดาบัน เป็นสกิทา มันโสดาบันไอติมนะ เดี๋ยวมันก็ละลาย มันอยู่ไม่ได้หรอก ไอติมมันจะอยู่ได้ต่อเมื่อมันอยู่ในอุณหภูมิที่เย็นนะ แต่พอไอติมนี่ไปอยู่ในอุณหภูมิที่ร้อนมันละลายหมด โสดาบัน สกิทา อนาคา อรหันต์ไอติมนะเดี๋ยวมันละลายหมด มันละลายโดยธรรมชาติของมัน เพราะมันปฏิบัติบูชากิเลส มันเป็นธรรมชาติของกิเลสที่เป็นอย่างนั้น 

เพราะอย่างนั้น  เพราะความเห็นอย่างนั้น เขาถึงปฏิบัติแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย เห็นไหมสรรพสิ่งในโลกนี้มันก็เกิดดับ มันไม่มีตัวตน ตัวตนก็ไม่มี สิ่งต่างๆ ก็ไม่มีเห็นไหม มันก็เหมือนกับเราเกี่ยวข้าว คนเราทำนานะ ทำนาเหนื่อยยาก เกี่ยวข้าวขึ้นมาเขาได้นา  ไอ้เราเห็นเขาทำนาเราก็รู้นะ โดยปัญญาชนทุกคนเข้าใจการทำนา  แต่ไม่เคยทำ แล้วก็ไม่เคยเกี่ยวข้าว ไม่มีการกระทำ นี่ก็เหมือนกัน สิ่งต่างๆ แล้วมันจะมีประสบการณ์ความเป็นจริงได้อย่างใด นี่การปฏิบัติมันไม่เห็นจริง มันไม่รู้จริง นี่ไงโสดาบัน สกิทา อนาคา มันเป็นไอติมหมดล่ะ มันละลายแน่นอน  โรงน้ำแข็งมันสร้างขึ้นมา พวกนี้ปั้นน้ำเป็นตัว  เนี่ยโดยการบูชากิเลส เพราะธรรมชาติของมันเป็นแบบนั้น 

สมัยโบราณน้ำแข็งเนี่ย แบบว่าวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ ใครมีน้ำแข็งมานะ โอ้โหจะกราบมันนะ เพราะมันไม่มี  แต่ในปัจจุบันโรงน้ำแข็งเยอะแยะไปหมดเลย  มันปั้นน้ำเป็นตัว  นี่ไงปั้นนิพพาน ปั้นโสดาบัน สกิทา อนาคาเป็นโรงน้ำแข็ง แล้วเดี๋ยวมันก็ละลายหมด มันเป็นไปไม่ได้! มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติของกิเลส  กิเลสเป็นแบบนั้น ปฏิบัติบูชากิเลสมันเป็นกิเลสทั้งหมด  เพราะอย่างนั้นมันถึง ตัวตนไม่มีไง เพราะในการสื่อสารกันของเขานี่ เขาจะบอกว่าไม่มีตัวตน  ไม่มีเรา ไม่มีเขา โน่นก็ไม่มี  นี่ก็ไม่มี  นี่ไงมันไปบูชากิเลสหมดเลย เพราะมันไม่รู้จักสมาธิ 

แต่ถ้าเป็นสมาธินะ ดูตะกอนในน้ำที่มันนอนอยู่ก้นแก้ว  นี่เหมือนกันสมาธิแก้กิเลสไม่ได้หรอก  สมาธิแก้กิเลสไม่ได้  แต่ขณะที่เราพุทโธๆๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วมีสติเราตามความรู้สึกของเราไป  ตามความรู้สึกของเราไปตลอดเวลา  หลวงตาสอนประจำ  อยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธ ไม่มีเสีย  อยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธ   สติ คือ ผู้รู้ ไม่มีเสีย  แต่นี่ไม่เอา  ไม่เอาถึงไม่มีตัวตน ถึงไม่เห็นสิ่งใด  ไม่เคยเกี่ยวข้าว  ไม่เคยมีข้าว ไม่เคยมีสมบัติใดๆ เป็นของตัวเลย 

แต่ที่พูดอยู่นั้นเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า    นี่ไง ถ้าเป็นสมบัติของเรา  เราต้องเป็นผู้ลงไปทำนา หลวงปู่มั่นบอกประจำ ทำนานี่เขาทำบนที่ดิน ในการประพฤติปฏิบัติ เขาประพฤติที่กายกับใจนี่ ถากถางมัน  หัวใจต้องถากถาง ต้องปรับพื้นที่ของเรา  ทำซ้ำทำซาก ทำนานี่เขาทำกันทุกปี  แล้วเดี๋ยวนี้ปีหนึ่งทำสามหนสี่หนเขาทำในผืนนาของเขานั่นล่ะ  ย้ำแล้วย้ำอีก ทำแล้วทำอีก มันก็ได้ข้าวแล้วได้ข้าวอีกเห็นไหม  

นี่เหมือนกันเราขยันหมั่นเพียรของเรา  เราทำของเราพุทโธๆๆ นี่  ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ ขณิกสมาธิ ก็รู้แล้วว่า โอ้โฮ  ยิ่งอุปจารสมาธินี่ มันจะมีกำลังและออกรู้ได้แล้ว อัปปนาสมาธิ นี่เขาก็บอกว่า เนี่ยมีฌานแล้วมันจะลงอัปปนาสมาธินี่ มันเป็นไปไม่ได้  มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ !! มันเป็นโรงน้ำแข็ง มันสร้างภาพ มันเป็นไปไม่ได้  แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ เพราะถ้าคำว่าเป็นไปได้นี่ พอจิตสงบจะพูดอย่างนั้นไม่ได้  จิตสงบเห็นไหมดูสิ  น้ำใสกับน้ำขุ่น  นี่เขาบอกว่าน้ำของเขานี่ขุ่น  น้ำของเขาขุ่น  นี่ความรู้ไง  ปัญญาไง  ปัญญาฆ่ากิเลสไง  แล้วก็น้ำขุ่นๆ อย่างนั้นล่ะ แล้วก็พิจารณาไปไง พอพิจารณาไปมันก็ปล่อยไง  ความปล่อยอย่างนี้มันเป็นโลกียปัญญา 

            มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิถ้าเป็นข้อเท็จจริง  คำว่าปัญญาอบรมสมาธินี่คือศัพท์  ศัพท์ที่ใช้เรียกการกระทำแบบนั้น  แต่ของเขาเนี่ยศัพท์นี่ใช้ไม่ได้  ใช้ไม่ได้เพราะอะไร เพราะของเขาไม่ใช่ปัญญาอบรมสมาธิ  เขาบอกว่าการใช้ปัญญาอย่างนี้ มันจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ ที่จะเข้าไปฆ่ากิเลส เพราะจิตมันจะสงบของมันไปเอง  แล้วจะฆ่ากิเลสของมันไปพร้อมกัน  พอฆ่ากิเลสของมันไปพร้อมกัน  นี่ไง  พอฆ่าเสร็จแล้วเขาถึงบอกว่าไม่มีตัวตนไง  ไม่มีตัวตนเพราะอะไร  เพราะมันไม่ถึงตัวฐีติจิต มันไม่ถึงตัวจิต  มันไม่เข้าถึงผู้เสียหาย  ถ้าไม่เข้าถึงผู้เสียหาย สิ่งนี้ในการประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นไปไม่ได้ 

          แต่ถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม  ปัญญาอบรมสมาธิ ครูบาอาจารย์ท่านใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ท่านใช้ตรึกในธรรม  ตรึกในสิ่งต่างๆ  ตรึกในธรรมสติตามไป  พอสติตามไป ถ้ามีสติมันทำได้ตามข้อเท็จจริงมันหยุด  มันไม่มีหรอกที่บอกว่า เนี่ยเวลาใช้ปัญญาไปแล้วนะ  มันจะมีอารมณ์ความรู้สึกนะ อารมณ์ความรู้สึกที่เราไม่มีความโกรธ ไม่มีความผูกพัน มันเป็นสภาวธรรมปัจจุบันธรรม เป็นสภาวธรรมที่เกิดโดยปัจจุบัน  แต่ถ้ามีความโกรธมีความรู้สึกขึ้นมานี่มันจะเป็นกิเลส  มันเป็นไปไม่ได้

          เพราะถ้าเรามีสตินะ ปัญญาอบรมสมาธิตามความคิดไป  ความคิดมันหยุด  หยุดเพราะอะไร หยุดเพราะสติ หยุดเพราะปัญญาครอบ มันรู้ทัน มันทำให้ความคิดนี่หมุนไปไม่ได้  สิ่งนี้ต่างหากมันถึงจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ  แต่เขาบอกว่า เนี่ยเวลามันมีความคิดไป  แล้วสติมันก็ตามความคิดไป  พอตามความคิดไปเห็นไหมมันเป็นสภาวปัจจุบันธรรมที่เกิดในปัจจุบันนั้น  มันก็จะฆ่ากิเลสในปัจจุบันนั้น ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนี้  ขนาดว่าอาการความเป็นจริง เขายังพูดถูกพูดผิดเลย แล้วเขาจะไปเห็นว่าไม่มีตัวตนนี่ พอเริ่มต้นฐานมันผิดใช่ไหม ก็บอกว่าไม่มีตัวตน  เกิดดับไม่มีอะไรเลยทุกสิ่งทุกอย่างไม่มี  นี่มันเป็นความผิดของเขาตั้งแต่ทีแรก  เป็นความผิด มันเป็นโรงน้ำแข็ง  แล้วก็บอกได้โสดาบัน สกิทา อนาคา ไปตามความเห็นของเขา 

          แต่ถ้าศัพท์ของมันที่เป็นปัญญาอบรมสมาธิ  ปัญญาอบรมสมาธินี่เราใช้ปัญญาได้  ปัญญานี่เราใช้ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ เราให้ค่าได้  เช่นเงิน ค่าหนึ่งบาท สองบาท สามบาทนี่  เพราะค่าเงินตามนั้นมันเป็นตามนั้น  สตินี่มันจะให้ค่ากับว่าเป็นความคิด  เป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ  ความคิดของเรานี่ โดยธรรมชาติเห็นไหม สิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณครองเกิดโดยธรรมชาติ  แต่เพราะมีกิเลส  มีกิเลสเห็นไหม  มีกิเลสมันถึงมาเกิดเป็นมนุษย์  พอถึงมนุษย์ขึ้นมานี่  เรามาตรึกในธรรมเนี่ย  ธรรมนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สิ่งนี้มีค่า  ดูสิเราทำสินค้า เราปลูกพืชปลูกผัก เราจะไปขายตลาดนี่เขาชั่งน้ำหนักไหม  เขาชั่งน้ำหนักว่าราคาน้ำหนักขนาดนี้ มีคุณค่าเท่านี้  ราคาเท่านี้ น้ำหนักอย่างนี้จะตกลงราคากันอย่างใด 

          ความคิดของเรา  ความคิดมันมีอยู่กับเรา มันเป็นเหมือนกับผักหญ้าที่มันเกิดโดยธรรมชาติ แล้วเรามีสติตามความคิดนี้ไป  เราจะชั่งน้ำหนักมัน ชั่งน้ำหนักว่าอันนี้คืออะไร  ความคิดมันเป็นอะไร  ความคิดมันเกิดมาจากไหน เกิดมาแล้วนี่อะไรมันเป็นเครื่องให้เกิดเห็นไหม  เป็นสัญญาข้อมูลนี่ มันเริ่มต้นการเกิดจากจิตว่าเกิดมาอย่างไร  ถ้าการเกิดกับจิตพอมันมีข้อมูลแล้วเนี่ย  สังขารปรุงต่ออย่างไร  พอสังขารปรุงแล้ว สิ่งที่รับรู้เวทนานี้มีคุณค่า มีความพอใจ ไม่พอใจ นี่วิญญาณรับรู้เห็นไหม  มันมีเวทนานี่ให้รสชาติ  วิญญาณนี่ตัวผสม  ผสมให้อารมณ์นี้มันเดินไปได้  นี่ไง มันก็เหมือนที่เราจะทำสินค้า เราจะไปแลกเปลี่ยนกับเขา เราต้องชั่งน้ำหนักเห็นไหม 

          ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  นี้มันมาตรฐาน  สมมุติบัญญัติ  เราใช้ปัญญากันนี่เป็นสมมุติ เป็นสิ่งที่เราคิดกันเองโดยธรรมชาติของเรา  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  วางธรรมวินัยไว้ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ต่างๆ นี่เป็นบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า    แล้วเราเอาธรรมอันนั้นมาตรึกกับความรู้สึกความอารมณ์ของเรา  มันก็เหมือนกับเราชั่งน้ำหนัก ว่าของนั้นมีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน  ถ้าของนั้นมีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน ตกลงราคากันได้ไหม  ถ้าตกลงราคาได้มันก็มีการซื้อขาย 

นี่เหมือนกัน ปัญญาอบรมสมาธิ มันใช้ปัญญาเข้าไปในความคิด หรือความรู้สึกของเรา มันเอาสิ่งนี้มาให้ค่า  ถ้าสิ่งนี้ให้ค่านี่  ถ้าค่านั้นมันลงตัวเห็นไหม มันก็ตกลงแล้วก็จบก็แลกเปลี่ยน  เห็นไหมพอแลกเปลี่ยนขึ้นไป จิตนี่ไงมันก็หยุด มันก็จบ  มันก็จบ  จบแล้วเหลืออะไร แลกเปลี่ยนแล้วได้อะไรขึ้นมา ก็ได้เงินได้ทองได้สิ่งตอบสนองขึ้นมา  ปัญญาที่มันอบรมสมาธิเข้าไป ปัญญาอบรมสมาธิเพราะอะไร  เพราะความคิดเรามีทุกอย่างมันเห็นไหม ของมันมีอยู่แล้ว  ของทุกอย่างมีอยู่แล้วแต่เพราะเราคิดกันเอง บูชากิเลสไง  มันเกิดดับ  ดูเฉยๆ มันก็เกิดแล้วมันก็ดับ  แล้วก็ไม่มีตัวตน แล้วก็ไม่มีอะไรเลยไง  บูชากิเลสหมดเลย 

          แต่เพราะเรามีสติสัมปชัญญะ  ตามที่ครูบาอาจารย์เราสอน   สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิใช่ไหม เราก็ไล่เข้าไปๆ  ให้ค่าวัดค่า  สิ่งที่ให้ค่าวัดค่าแล้ว  ผลตอบสนองขึ้นมานี่มันอยู่ที่ไหน  อยู่ที่ผลตอบสนองที่เราแลกเปลี่ยนกันมา  แลกเปลี่ยนกันมาเห็นไหม กิเลสกับเรา  กิเลสนี่กิเลสที่เกิดกับเรา  นี่ไงเราเกิดมาโดยกิเลส  กิเลสอยู่กับเราใช่ไหม  ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เป็นบัญญัติ เป็นมาตรฐาน เป็นมาตรวัด  เป็นมาตรที่ควบคุมต่างๆ  เอาสิ่งนี้นี่มาเทียบเคียงกัน  พอเทียบเคียงกัน นี่ไง  ปัญญาอบรมสมาธิ  ผลของมัน  มาตรฐาน มาตรวัด  วัดแล้วคุณค่ากว้าง แคบ น้ำหนักมากน้อยแค่ไหน  ตกลงกันได้ก็จบ  จบก็หยุด หยุดแล้วใครเป็นคนตอบสนอง  นี่ไงมีสติตามเข้าไป  นี่ไงมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ 

          ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ คำว่าศัพท์ปัญญาอบรมสมาธิมันใช้ได้กับครูบาอาจารย์ของเราที่ว่าสมาธิอบรมปัญญา กับปัญญาอบรมสมาธิ  ไม่ใช่ว่านี่เป็นปัญญาฆ่ากิเลสที่เขาใช้ศัพท์กันไปว่า ตามกันไป  ดูกันไป ครอบงำกันไป  โรงน้ำแข็ง  แล้วเดี๋ยวก็ละลาย  มันเป็นไปไม่ได้!!  เพราะการกระทำมันทำอย่างนี้  มีความรู้ความเข้าใจอย่างนี้  แล้วผลที่เขาคุยกัน ผลที่เขาตอบสนองมาคือว่า ไม่มีตัวตนไง  ไม่มีสิ่งใด 

          แต่ของเรามีนะ  หลวงตาท่านสั่งประจำ ต้องจริงจัง ต้องมั่นคง หลวงปู่มั่นนะตั้งสติให้ดี  ทำให้ดี  สิ่งต่างๆ นะ ต้นคดปลายตรงไม่มี  ต้นต้องตรง  ศีล สมาธิ ปัญญาต้องถากถาง ต้องมีการกระทำ ต้องเก็บหอมรอมริบ แล้วพยายามทำของเราเข้ามา  ชัยภูมิของการชำระกิเลส คือ หัวใจของสัตว์โลก ชัยภูมิที่จะต่อสู้กับกิเลสต้องหัวใจสัตว์โลก  แต่เขาบอกไม่มี  ตัวตนก็ไม่มี สิ่งใดก็ไม่มีเห็นไหม เพราะเขาปฏิเสธสมาธิ  แต่เราไม่ได้ปฏิเสธสมาธิ  แล้วเราต้องการสร้างสมาธิ เราต้องทำความสงบของใจ 

          ถ้าใจมันสงบเข้ามาเห็นไหม ด้วยปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา  ใครเป็นสมาธิ  สมาธิคืออะไร  นี่ไงที่ว่าสมาธิไม่มีตัวตน  เราพูดบ่อยว่าสมาธิคือการฝังตัวตนไว้  ถ้ามันเป็นสมาธิแล้วใจเป็นกลาง  ใจเป็น ใจเป็นกลางเห็นไหม ใจเป็นกลางแล้วใจออกรู้  กาย เวทนา จิต  ธรรม โดยโลกุตตรธรรม  โดยตัวตน  โดยการกระทำ  โดยชาวนาที่ลงไปไถนา  หว่านข้าว ชักน้ำเข้านา รักษาต้นข้าว  เก็บเกี่ยวแล้วเอาข้าวนั้นเข้ายุ้งเข้าฉาง  นี่ก็เหมือนกัน  ในการกระทำ  ในเมื่อพุทโธๆ จนจิตมันสงบ  จิตมันออกอย่างไร จิตมันทำของมันอย่างไร  ตัวตนนี่ตัวที่การกระทำนี่มันมีการกระทำของมัน  ถ้ามีการกระทำเพราะอะไร  เพราะมันมีความเพียรชอบ มีงานชอบ มีความประพฤติปฏิบัติชอบ  ใครเป็นคนประพฤติปฏิบัติ  ถ้าจิตดวงนี้ไม่ประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ไม่สามารถทำให้ใครสะอาดบริสุทธิ์ได้  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถรื้อสัตว์ขนสัตว์ 

          นี่การเล็งญาน  เล็งญานที่องคุลิมาลเห็นไหม ไปทรมานองคุลิมาลเห็นไหม ล่วงหน้าไปก่อน  องคุลิมาลจะเอานิ้วให้ได้ จะฆ่าแม่  เห็นพระพุทธเจ้า ก็หยุดจากแม่จะมาเอาพระพุทธเจ้าก่อน  ไล่ไปนะ  เล็งญานเห็นไหม รื้อสัตว์ขนสัตว์  สมณะหยุดก่อน  สมณะหยุดก่อน เราหยุดแล้วเธอต่างหากไม่หยุด  เห็นเคลื่อนอยู่หยุดได้อย่างไร  เนี่ยอุบาย  อุบายที่จะกระตุกหัวใจ  อุบายที่จะต้องให้ใจนั้นมีการกระทำ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทำให้ใครสะอาดไม่ได้  แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้นำ  เป็นคนบอกเห็นไหม  เราหยุดแล้ว เธอต่างหากไม่ได้หยุด วิ่งอยู่นี่ยังไม่ได้หยุด  หยุดอย่างไร สมณะยังเคลื่อนอยู่นี่ วิ่งอย่างไรก็ไม่ทัน แล้วมันหยุดตรงไหน เราหยุดการทำความชั่ว ท่านต่างหากยังทำชั่วอยู่เห็นไหม  กำดาบอยู่จะฆ่าคนอยู่นี่ มันเป็นคนดีได้อย่างไร มันชั่ว  พอมันชั่วแต่มันสะเทือนหัวใจเห็นไหม  นี่การกระทำของจิต 

          จิตต้องมีการกระทำ  บอกไม่มีตัวตน บอกไม่มีตัวตนน่ะ  ไม่มีตัวตนเพราะจิตมันไม่มี มันเกลื่อนเห็นไหม มันเป็นธรรมชาติของกิเลส เพราะกิเลสมันหลอกมาตั้งแต่ต้น  พอกิเลสมันหลอกมาตั้งแต่ต้น ในการประพฤติปฏิบัติมันก็หลอกต่อไป  พอมันหลอกต่อไปนี่มันก็สร้างภาพ  โรงน้ำแข็งเยอะแยะไปหมดเลย  แล้วโรงน้ำแข็งจะเอาน้ำแข็งอะไรล่ะ จะทำอย่างไรก็ได้  สิ่งนี้มันฟ้องกันเองด้วยการกระทำ  มันฟ้อง  คนไม่รู้พูดไม่เป็น  คนไม่รู้พูดไม่ได้  นี้คนไม่รู้พูดออกมานี่ มันไม่มีหลัก มันตัดรากถอนโคนตัวเอง  ตัดรากถอนโคนปฏิสนธิจิต มันไปอยู่กันที่วิญญาณในขันธ์ ๕ มันตัดรากถอนโคนเพราะเห็นไหมดูสิ เขาบอกว่าเนี่ย จิตมันว่าง  จิตมันว่าง มันว่างอย่างไร 

          ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ใครทำสมาธิได้นี่ เวลาจิตมันเป็นสมาธิ สมาธิมันอยู่กับเราไหม  สมาธิมันให้ความอบอุ่น  สมาธิมันให้ความสุขเราขนาดไหน  หลวงตาพูดประจำใครทำจิตสงบได้พออยู่พอกิน  ทำความสงบของจิตนี่พออยู่พอกินนะ  เวลาเราทุกข์เราทุกข์ยากมาก  เราเดือดร้อนกันทุกข์ยากมาก  พอจิตมันสงบเข้ามานี่เรามีที่อยู่ที่กินที่อาศัย  ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ใครทำสมาธิได้ คนนั้นมีบ้านเรือนมีที่พักอาศัย  ขณะคนที่ทำสมาธิไม่ได้ เหมือนกับเราอยู่ที่โล่งที่แจ้ง เราจะตากแดดตากฝน เราจะทุกข์ทรมานมาก  แต่ถ้าใครมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มีสมาธินี่เหมือนมีที่บ้านมีเรือนอาศัยได้นะ 

          คำว่าบ้านเรือนที่อาศัยนี่ จิตมันมีที่อยู่ที่อาศัยของมัน มันจะมีความร่มเย็น  นี่ไงเราทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อมีที่พักที่อาศัย  พอมีที่พักที่อาศัย ผู้ที่พักอาศัยนี้ต้องออกค้นคว้าออกมีการกระทำ ถ้าออกค้นคว้ามีการกระทำนะ  จิตสงบแล้วออกไปเห็นกาย  เห็นเวทนา  เห็นจิต เห็นธรรม มันจะตื่นเต้นสั่นไหว  ธรรมของหลวงตา ธรรมของครูบาอาจารย์ท่านจะบอกทุกเวลา  การภาวนานี่ไม่ใช่มีการฆ่ากิเลสอย่างเดียว จะต้องขุดคุ้ยหากิเลสให้ได้ก่อน  คนที่ขุดคุ้ยหากิเลสเจอแล้วมันจะฆ่ากิเลส  คนที่เริ่มต้นก็ไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเลย ตัวเองมันก็ไม่มี  แล้วมันจะไปหาใครได้อย่างไร  ในสังคมๆ หนึ่ง  ไม่มีตำรวจ ไม่มีกติกา ไม่มีผู้ควบคุม แล้วสังคมนั้นจะอยู่กันได้อย่างไร 

          สังคมใดก็แล้วแต่เขาต้องมีกฎหมาย มีผู้รักษากฎหมาย  ใครทำผิดกฎหมาย ผู้รักษากฎหมายนั้นต้องจัดการ ต้องไปเอาผู้ที่ทำผิดกฎหมายนั้นมาลงโทษ  ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมาแล้ว ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นธรรมวินัยนี้เป็นกฎตายตัว เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม  แต่การกระทำของผู้กระทำของจิตที่มันออกใช้กฎหมายนั้น  ออกใช้ธรรมวินัยนั้น เพื่อเอามาชำระ เอามาไต่สวนกันเห็นไหม การประพฤติปฏิบัติต้องเห็นกิเลส ต้องรู้จักกิเลส แล้วพยายามทำลายกิเลส  นี่ใครจะเห็นกิเลสล่ะ 

          ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันเห็นกาย  เห็นเวทนา  เห็นจิต เห็นธรรมโดยสัจธรรม มันสะเทือนหัวใจมากๆ  มันสะเทือนถึงกิเลส กิเลสในหัวใจนี่มันปกป้อง จิตใต้สำนึกมันปิดบังไว้ มันไม่ให้เรารับรู้สิ่งใดๆ เลย  แล้วมันบอกว่าเรารู้ธรรมะทั้งหมด ไปบูชากิเลสทั้งหมด  กิเลสมันบังไว้อีกชั้นหนึ่ง  มันบังข้อเท็จจริงเอาไว้ชั้นหนึ่ง ศึกษาธรรมมานี่มันบูชากันมาตลอด  มันบูชามันเป็นโรงน้ำแข็ง มันสร้างภาพมาตลอด แต่พอจิตสงบแล้วจิตไปรู้ไปเห็นเข้า  นี่ไงครูบาอาจารย์บอกการขุดคุ้ยหากิเลสนี่เป็นงานอันหนึ่ง 

          ในการประพฤติปฏิบัติเห็นไหม  จะชอบพูดกันมาก  พอจิตใสแล้วจะเห็นตัวปลา  พอจิตมันใสแล้วเดี๋ยวปลามันจะวิ่งมาชนเรา  มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  ถ้ามันเป็นไปได้ นี่ไง เขาก็อ้างฤๅษีชีไพรเหมือนกัน ว่าถ้าไม่มีปัญญา นี่ฤๅษีชีไพรก็เป็นพระอรหันต์ได้หมดแล้ว เพราะเขาทำสมาธิอยู่  นี่ก็เหมือนกันพอจิตสงบแล้วมันจะเห็นตัวปลาเอง มันเป็นไปไม่ได้  แต่ถ้าจะเห็นตัวปลาเห็นไหมมันต้องขุดคุ้ย มันต้องพยายามหาปลาตัวนั้นให้เจอ  แล้วปลาตัวนั้นมันอยู่ที่ไหน  ปลาตัวนั้นมันซ่อนอยู่ตรงไหน 

          เพราะคำว่า ไม่มีตัวตนไง ปฏิบัติแล้วนี่ว่างหมดเลยน่ะ  มีขณะจิตนะ กิเลสมันสร้างให้หมดเลย  โรงน้ำแข็งมันสร้างภาพให้ เป็นความจริงเพราะคำพูดมันฟ้อง  เราบอกว่าผิดๆๆ มาตลอด  ผิดๆๆ เพราะคำพูดมันผิดทุกคำ  แต่ถ้าถูกนะคนพูดถูกเห็นไหม ครูบาอาจารย์บอกถ้ามันพูดถูก  เนี่ยจิตสงบแล้ว เห็นจิตสงบแล้วออกรู้อย่างไร  ออกรู้เนี่ยออกวิปัสสนา  นี่บอกว่าสมถะนี่ไม่มีประโยชน์ คนเรานี่หลงไปสมถะ ทำสมาธิกันดักดาน จะก้าวไปไม่ได้  แล้วเมื่อไหร่มันจะได้ประพฤติปฏิบัติ มันจะไม่เข้าถึง ก็เราไม่ต้องการโรงน้ำแข็งน่ะ

          เราต้องการธรรมตามข้อเท็จจริง มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน  อำนาจวาสนาของคนนะแค่เราสนใจธรรมะ เราประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ มันทำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นที่ได้พบเห็น  มันเป็นการฝึกนะ  นี่เราทำหน้าที่การงานกันมาทุกคน  เราบรรจุตำแหน่งใหม่เราทำอะไรเป็นกัน เราก็เคอะๆ เขินๆ ทั้งนั้น แต่พอเราทำชำนาญแล้วทำไมเราทำได้หมดทุกอย่างล่ะ  จิตมันไม่มีการกระทำของมัน  มันศึกษามาขนาดไหนมันรู้มาขนาดไหน มันไม่มีการกระทำของมัน  การกระทำอันนั้นออกมามันไม่เป็นความจริงหรอก พูดคำเดียวกัน พูดธรรมเดียวกัน  คนรู้จริงพูดถูกหมด  คนรู้ไม่จริงพูดผิดหมดเลย  พูดคำเดียวกันนี่แหละ แต่ถ้าผู้รู้จริงพูดถูกหมด  ผู้ไม่รู้จริงพูดผิดหมดเห็นไหม 

          เนี่ยบอกว่ามันไม่มีตัวตน  มันไม่รู้เรื่องสิ่งใดเลย  เพราะมันไปบูชากิเลสนะ ธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แล้วเราไปออมชอม เพราะวุฒิภาวะ เพราะใจอ่อนแอ  แต่ถ้าใจเข้มแข็งขึ้นมานี่มันตรวจสอบนะ  กาลามสูตรไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น  เชื่อความเป็นจริงของใจ  ถ้ามันเป็นความจริงของใจ ถ้าจิตมันสงบนะ  มันพิจาณาไปเห็นกาย  เห็นเวทนา  เห็นจิต  เห็นธรรม  ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ จิตมันสงบแล้ว จิตมีหลักมีเกณฑ์แล้วนี่ ให้เห็นว่าจิตมันเสวยอารมณ์อย่างไร  หลวงปู่ดูลย์พูดถูก จิตเห็นจิต  จิตเห็นจิตถึงเป็นมรรค  จิตไม่เห็นจิตเป็นมรรคไม่ได้ 

          แต่ความเห็นของเขานี่ ตัวจิตที่สงบเข้ามาก็ไม่มี แล้วจิตมันจะเอาอะไรไปเห็น ในเมื่อตัวมันไม่มี  แล้วจะเอาจิตตัวไหนไปเห็นจิต มันไม่มีจิต แล้วมันก็ไม่เห็นจิต แล้วมันจะเป็นวิปัสสนาไปได้อย่างใด  เห็นไหมจิตเห็นจิตนั้นถึงมีผลเป็นมรรค  มรรคที่เกิดขึ้นเพราะจิตมันสงบเข้ามา  พอจิตสงบเข้ามาจิตตัวจิตเห็นไหม  ตัวจิตแล้วมันเห็นความเสวยอารมณ์ ตัวจิตเสวยอารมณ์ ปฏิสนธิจิต ขันธ์ ๕ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๕ เป็นขันธ์ ๕  จิตเป็นจิต  แล้วพอจิตมันไม่สงบ จิตมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ แล้วเห็นอะไรล่ะ  ก็โรงน้ำแข็งไง  ไม่มีตัวตน  ไม่มีอะไรเลย

          แต่ถ้าจิตเห็นจิตนะ  เพราะตัวจิตมันเป็นตัวมัน เห็นอาการเห็นขันธ์ ๕ นั่นล่ะ แล้วขันธ์ ๕นั่นมันเสวยอย่างไร  น้ำมันจะขุ่นนะมันมีน้ำแล้วก็มีตะกอน  พอมันมีการขยับมันก็ขุ่นขึ้นมา  จิตมันมีของมันอยู่ ขันธ์ ๕ มันมีของมันอยู่  ในเมื่อมันเสวยอารมณ์มันก็ขุ่นมัวขึ้นมา  มันขุ่นมัวแล้วมันก็ออกไปรับรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าไง  ธรรมะพระพุทธเจ้านี่ว่างๆ ว่างๆ  ขุ่นมัวอยู่ในใจแล้วเอาอะไรไปว่างล่ะ เพราะมันไม่เห็นตัวมัน นี่ไงเขาถึงบอกว่ามันเกิดดับ มันไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรเลย ธรรมะก็เป็นธรรมะไง  ธรรมะมันก็เป็นธรรมชาติไง  ธรรมชาติก็เหมือนฝนตกฟ้าร้องมันแล้วก็แล้วกันไปไง  มันไม่มีอะไรตกผลึกในหัวใจเลย 

          คำนี้มันฟ้องมาก มันฟ้องว่าจิตไม่สงบ  พอจิตไม่สงบ จิตมันก็ไม่เห็นจิต  จิตเห็นจิต  จิตเห็นอาการของจิต โอ้ย มันอีกเยอะแยะ การกระทำนี่ถ้ามันเป็นความจริงมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  แต่ถ้าจิตมันสงบมันพุทโธๆ นี่เห็นไหม  พอมันเห็นกาย  เห็นเวทนา  เห็นจิต  เห็นธรรม มันสะเทือนถึงหัวใจเพราะปัญญาอบรมสมาธิ  สมาธิอบรมปัญญา  เจโตวิมุตติ  ปัญญาวิมุตติ  ปัญญาวิมุตติเห็นไหม มันใช้ปัญญานำ  ปัญญานำขนาดไหนจิตต้องสงบ  จิตสงบเพราะปัญญาอบรมสมาธิ  พอเป็นสมาธิแล้วนี่มันใช้ปัญญาไป  พอใช้ปัญญาไป มันจะเป็นปัญญาวิมุตติ  ปัญญาอบรมสมาธิอย่างหนึ่ง  แล้วเวลาพอเกิดปัญญาขึ้นมาแล้วเป็นปัญญาวิมุตตินี่  ปัญญาวิมุตติเห็นไหม

          ดูสิแหล่งน้ำนี่  แม่น้ำเจ้าพระยาตาน้ำมันอยู่ที่ไหน  นี่เราอยู่แม่น้ำเจ้าพระยา แล้วเราก็ขวนขวายหาแม่น้ำเจ้าพระยามันเกิดมาจากไหน  นี่ไง เนี่ยปัญญา หมุนกันอยู่ที่แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำเจ้าพระยามันมาจากปิง วัง ยม น่าน  แล้วปิง วัง ยม น่านนะ ต้นน้ำมันอยู่ที่ไหน  ต้นน้ำก็ฐีติจิตไง  ต้นน้ำคือความคิดไง  ต้นน้ำคือรูป  เพราะมีรูปมันถึงมีนาม  ถ้ามีรูป เพราะมีนามมีความคิด มันมีความว่างมันก็หมุนไป  สิ่งที่มันหมุนไป อะไรมันหมุนไป  แล้วมันหมุนอย่างไร  แล้วใครเป็นคนหมุน  หมุนแล้วมีผลอะไรกับจิต 

          ถ้ามันเป็นปัญญาวิมุตติเห็นไหม  มันจะมีการกระทำของมัน  มีการสืบสาวมีการต่อเนื่อง แต่การกระทำที่ว่าไม่มีการสืบสาว ไม่มีการต่อเนื่อง  มันเป็นการบูชากิเลส มันเป็นความคิดในแม่น้ำเจ้าพระยาไง  มันเป็นความคิดโดยสามัญสำนึกของมนุษย์ไง นี่ปัญญาวิมุตติ  แล้วมันจะมีโสดาบัน  สกิทา  อนาคา อรหันต์ แต่ละซับแต่ละซ้อน ปัญญาวิมุตตินี้มันใช้ปัญญาโดยมรรค  ปัญญาโดยจิต  จิตเป็นสมาธิ  ปัญญาวิมุตตินี่แหละต้องจิตเป็นสมาธิ เพราะปัญญาวิมุตตินี่มันเกิดจากปัญญาอบรมสมาธิก่อน ถ้าไม่มีปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาวิมุตติเกิดไม่ได้ 

          เจโตวิมุตติ ถ้าจิตไม่สงบยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย เพราะเจโตวิมุตติมันเป็นสมาธิอบรมปัญญา ถ้าสมาธิอบรมปัญญานะ ถ้ายังไม่สงบเข้ามาถึงตัวจิต มันจะเอาอะไรไปอบรม  สมาธิอบรมปัญญานี่ไม่มีตัวตนไม่มีอะไรเลย  เอ๊ย เกิดดับ ว่างๆ ไม่มีผู้กระทำ ไม่มีผู้กระทำ ไม่มีเจ้าของงาน ไม่มีผู้เริ่มต้น ไม่มีผู้ควบคุมนโยบาย  แล้วมันทำไว้ที่ไหนกัน อะไรเป็นคนทำ แล้วใครเป็นคนทำ  แล้วทำเพื่อใคร  แล้วคนทำมันอยู่ที่ไหน  นี่ไงไม่มีตัวตน  ตัวตนไม่มี มันเป็นธรรมชาติ  มันเป็นธรรมะ  นี้ไงธรรมชาติของกิเลส  กิเลสเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาตินะ ธรรมชาติของมันก็มี ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว  แล้วมันมีอยู่ในจิตวิญญาณ จิตปฏิสนธิจิต มันเกิดมันตาย พอมันเกิดมันตายนี่เราเกิดโดยกิเลสมาทั้งนั้น 

          ธรรมชาติของกิเลสมันลึกซึ้ง  ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต โดยธรรมชาติมันเกิดโดยธรรมชาติ  ชีวิตของเรานี้ก็เกิดโดยธรรมชาติ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  มันสลัดทิ้งหมดนะ  มันสลัดธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริง  แล้วจิตนี้มันหลุดพ้นออกไป ถ้าจิตหลุดพ้น จิตเป็นภพเห็นไหม  จิตนี้มันทำลายตัวมันออกไป  พอทำลายตัวมันออกไปนี่มันเป็นนิพพาน ๑  ในธรรมชาติมันเป็นของคู่ มีรูป แล้วมันมีนาม พอมีนามมีความว่าง มันก็หมุนไป  ถ้ามีดีมีชั่ว มีมืดมีสว่าง  มันจะหมุนของมันไป  มีเกิด มีดับ มีว่าง มีไม่ว่าง มันจะหมุนของมันไป 

          แต่ถ้าเป็นนิพพานเป็นสัจธรรม เนี่ยมันเป็นหนึ่ง  ธรรมเป็นหนึ่ง  เอโกธัมโม ธรรมหนึ่งเดียว  ความเป็นหนึ่งเดียวนี่มันไม่มีคู่  สิ่งที่ไม่มีคู่มันเป็นอย่างไรถึงไม่มีคู่ มันเหนือธรรมชาติไหม  ธรรมชาติเป็นของคู่  ธรรมชาติมันเป็นการแปรปรวนแต่จิตที่พ้นออกไปจากธรรมชาตินี่ มันพ้นอย่างใด  ธรรมะเหนือธรรมชาติ  มันรู้ตามข้อเท็จจริงของธรรมชาติทั้งหมด แล้วมันวางธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริง แล้วมันพ้นออกไปจากธรรมชาติ มันไม่หมุนไปในวัฏฏะ  มันเป็นวิวัฏฏะ มันพ้นออกไปจากสัจจะความเป็นจริง  มันพ้นออกไปเพราะมีการกระทำของมัน โดยตามข้อเท็จจริงของมัน 

          ถ้าข้อเท็จจริงของมันเห็นไหม  นี่ไง  เพราะเราฟังมาเยอะมาก  โน่นก็ไม่มีตัวตน นู่นก็ไม่มี  นู่นก็เป็นของสักแต่ว่า  นู่นมันก็เป็นธรรมทั้งหมด  ธรรมมันก็มีอยู่แล้ว เราทำตามความเป็นจริง ธรรมมันก็จะโผล่ออกมา  คำพูดอย่างนี้  ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดในพระไตรปิฎกจริงไหม  จริง  แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านจะพูดกับพระอรหันต์  ถ้าเวลาพูดกับพระอรหันต์นะ  ผู้รู้จริงเห็นจริง  ทำตามความเป็นจริง  พูดถูกหมดเลย  ไอ้ผู้ไม่รู้ไม่เห็นมันไม่เข้าใจสิ่งใดเลย   มันไปเอาคำพูดเขามาพูด  มันก็เป็นโรงน้ำแข็ง มันก็เลยเป็นธรรมะโรงน้ำแข็ง  เอวัง