เทศน์เช้า

ทำไร้เดียงสา

๓ ก.พ. ๒๕๔๔

 

ทำไร้เดียงสา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ของเขา เวลาเขาพูดน่ะ พวกเราเมื่อก่อนคิดถึงหัวใจสิ หัวใจสมัยเมื่อแต่เดิม เราไม่เข้ามาวัดน่ะหัวใจเราเป็นอย่างไร พอเราเข้ามาวัดหัวใจเราพัฒนาขึ้นเป็นอย่างไร ความคิดความเห็นเราจะเปลี่ยนไป ความคิดความเห็นของเรา ธรรมเริ่มตรงนี้ ธรรมเริ่มเข้ามาจากให้เราเริ่มจากมีความคิดความเห็นแตกต่างจากความคิดเดิม อันนั้นวุฒิภาวะของใจมันพัฒนาขึ้นไป

แต่เดิมเราก็คิดของเราว่าเราเกิดขึ้นมาแล้วเรามีความสุขของเรา เราพอแล้ว เรามีความสุขของเรามีวาสนาของเราแล้วมันเพลิน มันหลงไปในโลกของเขา อยู่ในโลกของเขา มันมองไปอีกอย่างหนึ่งเลยนะ เวลาเรามาวัดมาวากันน่ะ เราเดินผ่านหน้าพวกที่เขานั่งกัน เขาจะว่า “พวกนี้ไม่มีความคิดเลย โง่มากไปหาพระหาเจ้า ทำไมคิดอย่างนั้น ของเขายังมีความสะดวกสบาย เขามีเวลาเหลือเฟือ เวลาของเรานี่ต้องเจียดไปให้พระเจียดไปให้อะไร มันเอาเวลาของเราไปขนาดไหน เวลาของเราเรามาใช้ประโยชน์ของเราเองดีกว่า” นั้นความคิดของเขา

นี่สัมมาอาชีวะไง เวลาประกอบอาชีพชอบนี่ เวลาเราคิดกันเรื่องธรรมะนี่ เราประกอบอาชีพชอบ เราเลี้ยงชีพชอบ เราความดำริชอบ อันนั้นเป็นมรรค นี่ความเป็นมรรค ๆ แล้วก็ว่าอย่างนี้เป็นการปฏิบัติธรรม มันเป็นการปฏิบัติธรรมน่ะ มันไร้เดียงสาเกินไป ความไร้เดียงสาเลย ธรรมมันคืออะไร? ความเห็นอย่างนี้มันเป็นความเห็นจริยธรรมไง คือว่าพยายามทำให้จริตนิสัยของเราให้มันเรียบง่ายลงไป ความคิดที่มันเผ่นกระโดดไป ความคิดที่มันเอาไว้ไม่อยู่ รั้งความคิดของตัวเองไว้

นี่ศีล จริยธรรม ศีลธรรม มันรั้งความคิดของตัวเองไว้ ทำให้ตัวเองอยู่ในกรอบไง ความคิดตัวเองอยู่ในกรอบนี่เป็นการประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วการประพฤติปฏิบัติธรรมมีเพียงเท่านี้เองเหรอ? มีเพียงแต่ว่าดึงให้เรามีความคิดอยู่ในระเบียบอย่างนั้นน่ะเหรอ? แล้วกิเลสมันซ่อนอยู่ในนั้นน่ะ ถึงว่า “ไร้เดียงสา” ไง แต่เดิมมีความเป็นคนขี้โมโห เป็นคนโกรธมาก เป็นอะไรมาก แล้วเดี๋ยวนี้เป็นคนที่ว่าอารมณ์เย็นขึ้นมา อะไรขึ้นมานะ ว่าอันนี้เป็นการปฏิบัติธรรม

มันเป็นเรื่องของโลกเขา โลกเขาที่ว่าเขาดึงความคิดของเขาไว้ เขาเหนี่ยวรั้งความคิดของเขาไว้ได้ อันนี้มันเป็นที่ว่าจริยธรรมศีลธรรมที่เราประพฤติปฏิบัติ มันการฝึกฝน เด็ก...เด็กถ้าเราเลี้ยงดีขึ้นมา อยู่ในโอวาทของเรา เราเลี้ยงขึ้นมานี่ เด็กนิสัยก็จะดีขึ้นไป เด็กเราปล่อยไป ๆ มันก็ก้าวร้าวไป นี่เป็นเด็ก ๆ เห็นไหม

ความคิดว่าเป็นเด็ก ๆ ความเหนี่ยวรั้งของเราไว้ เราว่าอันนั้นเป็นการปฏิบัติธรรม แล้วถามเด็กสิว่ามันไร้เดียงสาไหม? มันไร้เดียงสาเพราะมันโดนบังคับอยู่ ไร้เดียงสา มันไม่รู้อะไรของมัน มันก็ยึดตัวเองไปเป็นใหญ่ นี่ความไร้เดียงสาของเขา มันเป็นเรื่องของโลกเขา ถ้าเรื่องของธรรมมันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย

ถ้าเรื่องของธรรม เห็นไหม ความจะไร้เดียงสาอย่างไร การที่ทำใจของเราไว้อย่างนั้น มันเป็นแค่เปิดพื้นที่ให้ใจได้ทำงาน ใจของเราได้ทำงานประพฤติปฏิบัติธรรม ความเห็นของเราเหนี่ยวรั้งความคิดของตัวเองไว้ มันแค่ดึงความคิดออกมาให้สงบลง คนเรามันเคยโกรธ เคยโกรธมาก แล้วความโกรธนี้จางไป ๆ นี่มันเป็นการหินทับหญ้า การประพฤติปฏิบัติธรรมนี่เพียงแค่กดไว้เท่านั้นเองเหรอ? การประพฤติกดไว้อย่างนั้น กดเอาไว้ไม่ให้มันเจริญงอกงาม แต่เชื้อไขมันก็มีอยู่

เวลาเราเกิด เราทุกข์เรายากกันนั่นน่ะ ทุกข์ยากตรงไหน? ทุกข์ยากตรง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชฺชาเราไม่เคยเห็นมัน อวิชฺชานี้พาให้จิตมาเกิด พอจิตเรามาเกิด เกิดเป็นมนุษย์เป็นอะไรนี่ เกิดเป็นมนุษย์นี่ประเสริฐแล้วนะ ประเสริฐตรงที่ว่ามีกฎหมายคุ้มครอง มีความเมตตา มีปัญญาหาอยู่หากินได้ แต่ไอ้ความหาอยู่หากินน่ะปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย ความเป็นมนุษย์ก็อยู่อาศัยไป

แต่เวลากิเลสตัณหามันเกิดขึ้นมานี่มันต่อต้านตรงนี้ มันไม่พอใจสิ่งที่เรามีอยู่ มันต้องการสิ่งที่มากเกินกว่าเหตุ ความมากกว่าเหตุนั้นคือตัณหาความทะยานอยาก อันนี้เป็นกิเลส ตัวกิเลสนี่ตัวที่ทำให้ทุกข์ ข้าวของเงินทองอยู่ในบ้านมันก็เป็นสมบัติพออยู่พอใช้นะ เรามีพออยู่พอใช้ของเราไป อันนั้นมันเป็นปัจจัย ๔ ที่เครื่องพออยู่พอใช้ อันนี้ไม่ใช่กิเลส

สัตว์ทั้งหลายเป็นญาติธรรม เกิดมามีปากมีท้องต้องอาศัยปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยไป เกิดเป็นมนุษย์ถึงว่าทุกข์ ทุกข์เพราะตรงนี้ไง ทุกข์เพราะว่าตัณหาความทะยานอยากในหัวใจที่เรายังไม่ชำระแก้ไข แต่ความทุกข์ที่ว่าทุกข์ประจำธาตุขันธ์นี้มันเป็นทุกข์ที่ว่าทุกข์โดยธรรมชาติ ทุกข์ธรรมชาตินี่มันเป็นโดยธรรมชาติ แม้แต่พระอรหันต์ที่ว่าดับขันธ์สิ้นกิเลสไปแล้วก็ยังต้อง...

เห็นไหม พระโมคคัลลานะโดนทุบ แล้วพระพุทธเจ้าตอนที่ว่าไปปรินิพพานนะ “อานนท์ เราหิวน้ำเหลือเกิน” ธาตุขันธ์มันต้องใช้ เราหิวน้ำเหลือเกิน เราหิวน้ำนี่ แต่คนหิวน้ำนี่ถ้าเป็นผู้ใหญ่มันก็ไม่กระวนกระวายมันพออดพอทนได้ แต่เด็ก ๆ ถ้าหิวน้ำมันตีโพยตีพาย มันไม่ยอม มันจะเรียกร้องเอาจนได้ตามของมัน พ่อแม่ต้องหามาให้เด็ก นี่ถ้ามีกิเลสอยู่มันเหมือนเด็ก มันไม่เข้าใจสิ่งใดต่าง ๆ

ถ้าไม่มีกิเลสแล้วเหมือนผู้ใหญ่ มันความเข้าใจ แต่ผู้ใหญ่คนที่ฉลาดอยู่หิวน้ำ ในเมื่อน้ำมีอยู่ เราดื่มน้ำเพื่อแก้ความหิวกระหายนั้นมันจะเป็นโทษตรงไหน? มันไม่เป็นโทษ แต่เรานี่ความไร้เดียงสาของเรา เราไปมองตรงนั้นไง ว่าพระพุทธเจ้าก็ยังมีทุกข์อยู่ ...ทุกข์ไม่มีในหัวใจนั้น แต่ทุกข์มีในร่างกายนั้น ร่างกายนั้นเหมือนกับว่ากำลังทุกข์หิวกระหายอยู่ ถ้าได้เติมน้ำลงไปนี่มันคล่องตัวขึ้นไป

มันไม่ไร้เดียงสาต่อเมื่อเราทำความสงบเข้ามา พอทำความสงบเข้ามาแล้วเข้าไปยกวิปัสสนานั้น ถึงจะเห็นว่าการประพฤติปฏิบัติธรรมที่เขาว่า การเป็นประพฤติปฏิบัติธรรม ธรรมนี้ไร้เดียงสามากที่เขาทำกัน ความดูไปตามโลกไง มันเป็นสัมมาอาชีวะ เป็นศีลธรรมจริยธรรมที่ว่าให้ใจเราอยู่ในกรอบของศีลของธรรมที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ อันนี้เป็นเรื่องของหยาบ ๆ ไง เรื่องของโลกเขา

ชาวพุทธนี่ เราไม่ใช่ชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน ชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน เห็นไหม เขาใส่ชื่อไปว่าทะเบียนบ้านเขาเป็นชาวพุทธ แล้วเขาก็ทำตามความพอใจของเขา เขาทำตามความพอใจของเขา เขาก็คิดว่าเขามีความสุข แต่ไม่ใช่เลย ไฟ...ไฟโดนไปที่ไหนมันก็ต้องร้อน ถ้าโดนไฟนะ

อันนี้ก็เหมือนกัน การแสวงหานั้นการแสวงหาด้วยความพอใจของเขา แต่มันไม่ใช่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ให้ศีลธรรมว่า ให้ขอบเขตของมนุษย์ไง ความดีของมนุษย์มีอยู่แค่นี้ ต้องทำตามขอบเขตของมนุษย์นั้น ขอบเขตของมนุษย์คือศีล ๕ มีศีล ๕ มีจาคะ มีอะไรนี่ เริ่มเข้ามา วุฒิภาวะของใจจะเจริญขึ้นมา อันนี้เป็นเรื่องของโลกที่ว่าอยู่ในโลก

การเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมนั่นก็เป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมในโลกเขา เพื่อความอยู่กันเป็นสุขเท่านั้น เพื่อความเป็นสุขในใช้ชีวิตหมดมอดไหม้ไป เทียนเล่มหนึ่งจุดแล้วมอดไหม้เทียนเล่มนั้นไป หมดเทียนเล่มนั้นไปก็หมดชีวิตขัยนั้นไป ถ้าเราทำอย่างนั้นเราก็ทำคุณงามความดี เกิดมาเป็นมนุษย์ได้มนุษย์สมบัติแล้วไม่ลืมเนื้อลืมตัว อยู่ในมนุษย์สมบัติ ทำมนุษย์สมบัติของเรานี้ให้เป็นมนุษย์สมบัติ มีศีล ๕ พร้อมมันก็ได้เกิดเป็นมนุษย์สมบัติต่อไปอีก มันได้เกิดอีก

ความเกิดเป็นความทุกข์ทั้งหมด ชาติปิ ทุกขา ในอริยสัจ ทุกข์นี้เกิดขึ้นเพราะมีความเกิด อันนี้เป็นปฐมเหตุ เพราะเกิดขึ้นมา สรรพสิ่งทั้งหลายเราถึงต้องไปเกี่ยวพันกับมัน แล้วเราต้องไปยุ่งยากกับทุก ๆ สิ่งที่ว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วเรารับภาระรับผิดชอบ นี่ถ้าการประพฤติปฏิบัติธรรมมันต้องมาแก้ตรงนี้ไง ตรงที่ว่าทุกข์อยู่ที่ไหน ละที่สมุทัย นิโรธดับ ดับด้วยมรรค มรรคจะเริ่มเกิดขึ้นมา อันนี้ถึงว่าจะเห็นความแตกต่างระหว่างโลกกับธรรม

ถ้ายังเป็นความคิดว่าโลกนี้เป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ใจมันอยู่แค่นั้นน่ะ การประพฤติปฏิบัติธรรมในโลกนี้เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น ธรรมอยู่ในเรื่องของโลก แล้วเข้าใจว่าเป็นธรรม เข้าใจว่า... ความเข้าใจว่านี่จิตมันพอตัวแล้ว มันไม่ยอมก้าวเดินไป ความพอตัวของใจ ใจถ้าหยุดอยู่ตรงไหนแล้วมันหยุดอยู่ตรงนั้น นี่ก็คิดเหมือนกันว่า อันนี้เป็นการประพฤติปฏิบัติธรรม โลภ โกรธ หลงของเราได้ชำระ ได้เบาบางลง ความเบาบางลงมันกดไว้ด้วยหินทับหญ้า

นี้เป็นสมถธรรม สมถะนี้ถึงสำคัญมาก สำคัญว่าให้จิตมันได้พักก่อน พอจิตมันได้พักแล้ว อันนั้นต่างหากถึงเป็นการปฏิบัติธรรม อันที่การยกขึ้นวิปัสสนาอันนั้นต่างหากถึงเป็นการปฏิบัติธรรม อันนั้นเป็นปฏิบัติธรรมเพื่อจะชำระกิเลส ธรรมนี้เพื่อเป็นการชำระกิเลส แต่ไอ้เรื่องความกดกิเลสไว้นี่ ไม่มีศาสนาก็เป็นอย่างนี้ คนดีคนไม่ดีเกิดขึ้นมามันอยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่อำนาจวาสนา อยู่ที่ความพอใจของใจดวงนั้น จะมีศาสนาไม่มีศาสนาคนก็มีคนดีคนชั่วปนกันไป ปนเปกันไป

แต่ในเมื่อมีศาสนาแล้วศาสนาสอนเรื่องการชำระกิเลส แล้วเอาเรื่องของโลกไปชำระกิเลสมันจะเป็นการชำระกิเลสได้อย่างไร? มันเป็นเรื่องของโลก เป็นการสืบต่อ เป็นการอยู่อาศัย เป็นการสะสม การสร้างบารมี พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต้องปรารถนาเป็นพุทธภูมิ เป็นพระโพธิสัตว์ นี่อำนาจวาสนากำลังสะสมมา ช่วยเขาทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตนี้สละ สละเพื่อหมู่สัตว์ ให้หมู่สัตว์มีความสุขขึ้นมา

อำนาจวาสนานี่สะสมมา สะสมมาเพื่อจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขนาดที่ว่าสะสมมาขนาดไหนแล้วเวลาจะมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องมาทรมานตน ค้นคว้าอยู่ ๖ ปี อันนั้นก็เป็นความทุกข์ ความทุกข์ที่พยายามแสวงหาสิ่งที่เกิดขึ้นมา สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาในหัวใจนั้นน่ะ การสะสมบารมีเรื่องของโลกมันเรื่องสะสมบารมีมันเลยสืบต่อไป

การสืบต่อ ๆ มันเป็นความดี จะว่าเป็นความดี ดีกับชั่วมันแน่นอน ความดีให้ผลเป็นความดี ความชั่วให้ผลเป็นความชั่ว แล้วมันถ้ามีจริต มีศีลธรรมจริยธรรม มันก็เรื่องของโลกก็สืบต่อไป มันก็ให้ผลเป็นความดี แต่มันก็เวียนในวัฏฏะ ความเวียนไปในวัฏฏะ เห็นไหม ถึงว่าความเวียนไปในวัฏฏะนี้เป็นการสืบต่อไปเฉย ๆ

แต่การดับ การทำลายวัฏฏะ วิวัฏฏะออกจากนั้น นี่การปฏิบัติธรรมมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ทำความสงบเข้ามาของใจ พอใจเริ่มสงบขึ้นมามันจะรู้หมด ความรู้ออก ความส่งออก ความเห็นน่ะ นี่เวลาปีติมันเกิดรู้ต่าง ๆ ความรู้อันนั้นความรู้เป็นภาระ สิ่งที่รับรู้ต่าง ๆ นั้นเป็นภาระ เพราะเราก็ในหัวใจนี่มันก็รู้อยู่ตลอดเวลา มันรู้ของมันเองตลอดธรรมชาติของมัน แล้วมันอยากรู้เรื่องต่าง ๆ พอมันอยากรู้ต่าง ๆ มันก็แสวงหาออกไป มันก็ฟุ้งซ่านออกไป

นี้พอจิตสงบเข้ามามันก็รู้อีกเหมือนกัน แต่ความรู้อันนี้เข้าใจว่าเป็นธรรมไง ธรรมมันเกิด เรารู้เรื่องต่าง ๆ เรารู้เป็นผู้วิเศษ มันรู้สิ่งที่มนุษย์ไม่รู้ มันเขวออกไปข้างนอก ถึงว่าต้องย้อนกลับมา ถ้าปฏิบัติธรรมจริง มันต้องย้อนกลับมา กลับมาตรงที่ว่ากายกับจิตอยู่ที่ไหน กิเลสอาศัยจิตอยู่ แล้วอาศัยกายนั้นอยู่ มันเกาะเกี่ยวเนื่องกับกายกับจิต ถ้าวิปัสสนาเข้ามาตรงนี้ นี่เป็นการปฏิบัติธรรมจริง

ถ้าปฏิบัติธรรมจริงมันจะเห็นกายเห็นจิตจริง มันเป็นการทำลายหัวใจอันนี้ได้ หัวใจยิ่งทำลายยิ่งงดงาม หัวใจยิ่งทำลายยิ่งสดใสนะ แต่เพราะเราถนอมไว้ไง เราถนอมหัวใจนี้ไว้เพื่อจะทำลายสิ่งอื่น รับรู้สิ่งอื่น ความรู้สิ่งอื่นเป็นภาระทั้งหมด เป็นภาระเป็นความพะรุงพะรัง อันนั้นเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมเหรอ?

การประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นการสละออก สละออกเพื่ออะไร? สละออกมาเพื่อให้เห็นตัวกิเลสไง สละออกไปสิ่งที่มันจะรู้ไปเห็นนี่มันบังไว้ไง มันว่ามันไม่มี แล้วมันรู้สิ่งต่าง ๆ พอรู้สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาจิตมันก็ฟูขึ้นมา พอใจขึ้นมา รับรู้สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา มันดีใจ พอใจ เห็นใจ นี่มันบังเงาไว้ มันเพื่อจะไม่ให้เห็นตัวมัน ถึงต้องผ่านตรงนี้เข้าไปอีก

ถึงพอมันสงบขึ้นมาแล้วรับรู้สิ่งต่าง ๆ คืออุปจารสมาธิ จิตนี้สงบเข้าไปแล้วรู้สิ่งต่าง ๆ แล้วต้องพลิกออกมา พลิกเข้ามาให้เป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมโดยทางตรงของการประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องให้เห็นกายกับจิตเท่านั้น แล้วทำลายตรงกายกับจิตนั้น พอทำลายกายกับจิตนั้นเหมือนทำลายกายกับใจ แล้วใจไปอยู่ที่ไหน?

เพราะทำลายใจ ใจตัวนั้นมันเอากิเลสมาบังไว้ แล้วออกไปรับรู้ ถ้าทำลายใจก็ทำลายสิ่งที่บังไว้ ทำลายสิ่งที่บังไว้ก็เข้าไปเห็นถึงตัวของจิต พอตัวของจิตเห็นความรู้ตามสัจจะความจริงว่า มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มันเป็นอนัตตาโดยธรรมชาติของมัน สิ่งที่ว่าเป็นอนัตตา ๆ วัตถุสิ่งต่าง ๆ สิ่งของต่าง ๆ ข้างนอก วัตถุนี่เราว่าเป็นอนัตตาเพราะเราเห็นความสภาพแปรไป

แล้วทางวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันไว้ วิทยาศาสตร์มาเพื่อ ๒๐๐ ปีนี้เอง ศาสนานี้มา ๒,๕๐๐ กว่าปี ความว่าเป็นอนัตตานี้ยืนยันมาแต่ดั้งเดิม แต่ความเห็นของเรามันไม่เห็นตาม พอวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เราก็เชื่อตามวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทำให้ศาสนานี้เห็นภาพชัดขึ้น คมชัดขึ้นจากทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ศาสนา แต่ความจริงอันนั้นทางวิทยาศาสตร์ก็รับรู้กันไปข้างนอก แล้ววิทยาศาสตร์การทดลองก็ไม่เหมือนกัน

แล้วทีนี้วิทยาศาสตร์ทางจิตล่ะ? กิเลสคนก็ไม่เหมือนกัน ความยึดของใจก็ไม่เหมือนกัน บารมีจริตนิสัยที่สะสมมาก็ไม่เหมือนกัน เวลาวิปัสสนาเข้าไปถึงเป็นสมบัติส่วนตน พระพุทธเจ้าถึงวางไว้เป็นเรื่องของปัจจัตตัง อกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ดวงใจทุกดวงใจจะหันกลับมาเดินถูกทางนะ หันกลับมาแล้วเดินถูกทางเข้าไป ดวงใจดวงนั้นประเสริฐ

ใจที่สิ้นจากกิเลสทั้งหมดอยู่ในร่างกายของเรา ถามหาความสุขที่ไหน ความสุขที่ว่าสุขกับทุกข์ที่ว่าเราชั่ว บุญหรือบาปให้ผลเป็นดีและชั่ว ดีและชั่วนี้วางไว้ มันประเสริฐยิ่งกว่าความดีต่าง ๆ คิดว่าความดีนี่เป็นสิ่งที่สร้างสมบารมีต่อไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบารมีเกิดมา พอสิ้นสุดไปแล้วบารมีนั้นให้ผลไป แต่เวลาใจดับไปแล้วหมดกัน ถึงที่สุดแล้วดีหรือชั่วก็ส่งมาถึงที่สุด ให้ใจนี้เป็นวิมุตติ

วิมุตติสุข สุขอันที่ว่าไม่ใช่ขันธ์ สิ่งที่ไม่ใช่ขันธ์อยู่ในร่างกายของผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม มีร่างกายและมีจิตใจ มีร่างกายเกิดเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ อัครสาวกก็เป็นมนุษย์ ต้องเป็นมนุษย์สมบัติ เพราะมนุษย์สมบัตินี้เป็นที่ว่าเป็นกลาง กลางที่ว่ามีทุกข์กับสุขที่เราจะค้นคว้าได้ แล้วก็ถึงทุกข์กับสุข เข้าใจทุกข์กับสุข แล้วก็ปล่อยวางทุกข์กับสุขไว้ตามความเป็นจริง พ้นจากบุญกุศล พ้นจากความสุขเข้าไป

แล้วมันสุขได้อย่างไรอีกทีล่ะ? มันสุขของมันด้วยอิ่มพอไง ความอิ่มเต็มของใจ ใจนั้นอิ่มเต็มแล้วใจไม่ออกมายุ่งกับเรื่องภายนอก นี้คือการประพฤติปฏิบัติธรรม ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติธรรม นี่ถึงว่ามันไม่ไร้เดียงสา ถ้าไร้เดียงสาก็ประพฤติปฏิบัติธรรมแบบเด็ก ๆ แล้วก็วนเวียนอยู่ในวัฏฏะ แล้วก็เข้าใจ เห็นไหม ความเข้าใจว่าการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นเป็นธรรม ความเข้าใจว่า

ใจมันก็หลอกไปสิ ดูสิว่าทำลายเป็นชั้น ๆ เข้ามา ไม่ให้กิเลสมันหลอกออกไปรับรู้ข้างนอก นี่รับรู้แล้วปล่อยวาง ๆ ๆ มันก็ปล่อยวางเข้ามา ๆ หินทับหญ้าไว้เฉย ๆ แล้วก็มีความรู้ต่าง ๆ แปลกประหลาดขึ้นไป เพราะจิตมันเป็นเรื่องแปลกประหลาดอยู่แล้ว แล้วมันไม่เคยตาย สิ่งที่ไม่เคยตาย มันทรงตัวตลอดเวลา มันถึงว่าอยู่กับนิพพานได้ นิพพานนี้ก็ทรงตัวตลอดเวลา เพราะนิพพานชำระให้สะอาดแล้ว จิตนี้พ้นออกไปแล้ว ชำระสะอาดมันก็คงที่ของมัน

แต่จิตนี้ยังไม่ได้ชำระให้มันสะอาด มันคงที่ของมัน คงที่ด้วยการสืบต่อ สืบต่อด้วยกิเลสบังไว้ พอสืบต่อด้วยกิเลสบังไว้มันก็เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างที่โลกคิด โลกประพฤติปฏิบัติไปมันก็มหัศจรรย์สิ มหัศจรรย์เพราะมันปล่อยแล้วรับรู้

(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)