ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

แชร์นิพพาน

๘ พ.ย. ๒๕๕๒

 

แชร์นิพพาน
พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มองหน้ากันเลยเหรอ (หัวเราะ) พูดไปเดี๋ยวจะมีใครช็อกตายไหม เออ พูดแรง ใครก็ว่าพูดแรง เอาซีดีไปแจกแถวชัยภูมิมา เขาบอกว่าหลวงพ่อนี่พูดแรง พอพูดแรงแล้วนะ ต่อไปหลวงพ่อจะทุกข์ในวงการพระไง หลวงพ่อจะทุกข์เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพูดแรงแล้วต้องแรงไปเรื่อยๆ ไง หลวงพ่อจะทุกข์ เวลาเอาซีดีไปแจกนะ ทุกคนสาธุ สาธุ โห มีพระอย่างนี้มาช่วยพูดบ้าง ทำไมมึงไม่พูดกันเลย ให้กูพูดคนเดียว แต่ในใจมันสาธุกันนะ ไอ้คนที่ไม่เห็นด้วยนะ ไอ้คนที่เห็นด้วยนะ…

เหรียญมีสองด้าน ด้านหนึ่งคือพวกเขา แต่ด้านที่ไม่เห็นด้วยกับเขานะสาธุกับเราทั้งนั้นนะ แต่เวลาทำนะ เหลือกูคนเดียว มีกูอยู่คนเดียว มาย้อนถึงตรงนี้ มันเป็นหน้าที่ไง คือมันไม่มีใครทำ ผิดถูกก็รู้กันอยู่ แต่ไม่ทำ ปัญหานี้มามันก็จะเข้ากับเราจะพูดอยู่เหมือนกัน แต่เราพูดก่อนเพราะเมื่อวานเราพูดไปแล้วนะ มันไปนั่งคิดทบทวนแล้วมันยังมีช่องให้พูดอีกเยอะแยะเลย

เราจะพูดถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเห็นไหม พระพุทธเจ้าบอกว่าท่านตรัสรู้ธรรมของเก่า โดยธรรมะมีอยู่แล้ว ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมเห็นไหม พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมที่มีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้และพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วพระศรีอาริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ธรรมไปข้างหน้า ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมไง ธรรมะมีอยู่แล้ว แต่พวกคนไม่มีความสามารถ จิตพวกเราอ่อนแอมาก ไม่มีใครจะสามารถเข้าถึงธรรมะได้ ไม่มีใครเข้าถึงธรรมะได้ มันเป็นตรรกะ เป็นความรู้ความเห็นจากภายนอกทั้งหมด

คนจะเข้าถึงธรรมะยากมาก ถ้ามันง่ายนะ ทำไมองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสร้างบุญญาธิการ การสร้างบุญญาธิการ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖อสงไขยคือการบ่มเพาะไง พันธุกรรมทางจิต จิตจะบ่มเพาะมา จิตจะฝึกฝนมา องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เองเลยว่า เราปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ เหมือนเรานี่ คนเรียนครูเห็นไหมเวลาจบต้องไปฝึกสอนเห็นไหม เพื่อจะมาทำการต่างๆ นั้นได้

นี่ก็เหมือนกัน นี่พระพุทธเจ้าเตรียมมาพร้อมแล้วนะเพื่อจะมาฝึกเลย เพื่อจะมารื้อสัตว์ขนสัตว์เลย แต่พอตรัสรู้ตูมขึ้นมานะ โอ้โฮ จะสอนได้อย่างไร ขนาดเตรียมพร้อมขนาดนั้น เราจะดูว่าความลึกลับมันแตกต่างกับความคิดปกติเยอะมาก แต่ในปัจจุบันนี้เรามาคิดกันด้วยความคิดปกติ บรรลุธรรม เราไม่เชื่อ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พอสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม

เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เรามาตรัสรู้ธรรมะที่มีอยู่โดยดั้งเดิมอยู่แล้ว มันมีอยู่ไง ดูสิ มันมีอยู่ แล้วมันมีโดยปัจจุบัน นี่กึ่งพุทธกาล แล้วพอหมดศาสนาไปแล้ว คนจะเข้าถึงธรรมะไม่ได้ อ้าว มีอยู่แล้วทุกคนก็เข้าได้สิ เห็นไหม ของมีอยู่ใช่ไหม ทุกคนต้องเข้าได้สิ ทำไมเข้าไม่ได้ล่ะ เข้าไม่ได้ ทำไมองค์สมเด็จต้องมาตรัสรู้ล่ะ แล้วองค์ท่านมาตรัสรู้ แล้วตอนที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นอยู่ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นอยู่องค์เดียวหรอ ปัญจวัคคีย์อีก ๕ ใช่ไหม

ถ้าปัญจวัคคีย์อีก ๕ รวมพระพุทธเจ้าเป็น ๖ ก็รื้อค้นด้วยกัน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ปัญจวัคคีย์ก็ต้องตรัสรู้ธรรมด้วยสิ ทำไมไม่ได้ล่ะ ไม่ได้ ไม่ได้เปล่านะ เวลาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสอนปัญจวัคคีย์เห็นไหม ไม่รับเลย เพราะความคิดแบบโลกไง ว่าพระพุทธเจ้า โอ้โฮ ทรมานตนขนาดนั้นนะ โอ้โฮ อยู่ด้วยกันมาเห็นขนาดนั้นนะ แล้วนี่กลับมาฉันอาหารแบบนี้มันมักมาก ไม่ยอมรับเลย แล้วไม่ยอมนี่ความคิดแบบโลกเห็นไหม

พระพุทธเจ้าบอกว่า “เธอจงเงี่ยหูลงฟัง เมื่อก่อนเราไม่ตรัสรู้ เราก็บอกว่าไม่รู้ เดี๋ยวนี้เราเป็นพระอรหันต์ จงฟังเรา” พอฟังแล้ว คือมันคาดหมายไม่ได้ไง ปัญจวัคคีย์คาดหมายไว้เลยนะว่าคนบรรลุธรรมต้องอย่างนี้ ต้องมีทัศนคติอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นแบบโลกๆ ไง แต่พระพุทธเจ้าพลิกกลับเลย พอพลิกกลับ ปัญจวัคคีย์มันก็ตีกลับเลย ไม่เอา เพราะฉะนั้นพอไปสอนก็ไม่ฟัง ไม่ฟังด้วย

นี่ไงที่ว่าธรรมะมีอยู่ดั้งเดิม แล้วดั้งเดิมของใครล่ะ จิตมันต้องละเอียดถึงขนาดนั้นมันถึงจะเข้ามานี้ได้ เห็นไหม นี่เราพูดถึงธรรมะที่มีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะที่มีอยู่โดยดั้งเดิมคือสัจธรรม แต่ใจล่ะ นี้เราจะย้อนกลับมาตรงที่บอกว่า เขาบอกว่าจิตเป็นนิพพานอยู่แล้ว แค่เข้าไปเฉยๆ ก็ไปเห็นนิพพาน ไม่จริง จิตไม่เป็นนิพพาน ถ้าจิตเป็นนิพพานอยู่แล้วนะ มันก็เหมือนสมัยพุทธกาล มันมีอยู่ลัทธิ ๑ ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ ๕๐๐ ชาติตรัสรู้ ไอ้ที่ว่าเสพสุขในกามน่ะ อยู่เสพสุขไปเรื่อยๆ ครบ ๕๐๐ ชาติเป็นพระอรหันต์

ความคิดแบบนี้ในสมัยพุทธกาลก็มี พระพุทธเจ้าก็ปฏิเสธมาแล้ว นี่เขาบอกว่าจิตเป็นนิพพานอยู่แล้ว นิพพานอยู่ซึ่งหน้า ตรงหน้า ไม่ต้องทำอะไรเลย จะเข้าไปเผชิญกับนิพพาน นิพพานอยู่ซึ่งๆ หน้า มันเป็นคำพูดของมหายานไง เราจะบอกเลยนะว่า ดูสิ ดูน้ำมันเครื่อง ดูข้าวสาร ดูสิ่งต่างๆ เราต้องทำมาหากิน เราต้องทำไหม โรงงานผลิตน้ำมันเครื่องเห็นไหม ชาวนาต้องทำนาจึงได้ข้าวสารมาใช่ไหม แต่เวลาไอ้แชร์ข้าวสารมาหลอกลวง มันทำอย่างไร ไอ้แชร์น้ำมันเครื่อง

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน มันแชร์นิพพานนะ นิพพานมีอยู่แล้ว นิพพานมีอยู่ซึ่งหน้าอยู่แล้วเห็นไหม มันก็เหมือนแชร์ไง ถ้าใครมาลงแชร์นี้จะเข้าถึงนิพพานได้ ถ้าใครไม่มาลงแชร์นี้เข้าถึงนิพพานไม่ได้ แต่ขบวนการของความเป็นจริงเขาต้องลงทุนลงแรงของเขา แชร์ก๋วยเตี๋ยวนะ ก๋วยเตี๋ยวมันมีอยู่ไหม มี ก๋วยเตี๋ยวมันมีอยู่แล้วใช่ไหม ร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็มี โรงงานก๋วยเตี๋ยวก็มี ทุกอย่างก็มีใช่ไหม เราก็ทำแชร์ก๋วยเตี๋ยว เห็นไหม แล้วก็มาลงขันกันใช่ไหม ใครมาลงขันก่อนมันก็ได้ผลตอบแทนใช่ไหม

นี่ไง ใครมาปฏิบัติกับเรานิพพานมีอยู่ซึ่งหน้าอยู่แล้ว พอมานั่งรู้กายรู้ใจสักเดือนเดียว เดี๋ยวมันจะเห็นนิพพานก็เห็นโสดาบัน นี่เป็นผลตอบแทนของแชร์ไง ถ้าใครไปลงขันแชร์แล้วมันก็จะได้โสดาบัน สกิทาคา อนาคา มันเป็นความจริงไหม ไม่เป็นความจริงเลย มันเป็นแชร์ เป็นการหลอกลวงกัน เป็นการหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ใช่ไหม เพราะฉะนั้นนิพพานมันมีอยู่แล้ว มันมีอยู่ตรงไหน นิพพานที่มันมีอยู่แล้ว นิพพานมันไม่มี นิพพานไม่มีอยู่กับจิตหรอก แต่ว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติไปจิตมันบรรลุโสดาบัน สกิทาคา อนาคา นะ

อย่างที่ว่า พอจิตบรรลุโสดาบัน สกิทาคา อนาคา พอมันบรรลุธรรม บรรลุถึงอนาคาเห็นไหม เป็นเรือนว่าง เรือนว่างคือมันมีบ้านกับมีจิตอยู่ มีเรือนว่างเห็นไหม เวลาว่างโลกนี้ว่างหมดเลยเห็นไหม มีเรือนว่าง แต่ไอ้จิตนั้นยังขวางอยู่ในเรือนนั้น แล้วทำไมไม่เป็นนิพพานล่ะ แล้วเวลาพระอนาคาอยู่ในเรือนว่าง แล้วนิพพานมันอยู่ไหนล่ะ ไหนว่าจิตมันเป็นนิพพาน จิตไม่เป็นนิพพาน แต่เวลาที่พระพุทธเจ้าบอกว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมก็คืออริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จิตนี้มันกลั่นออกมาจาก ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ต้องมารู้พวกสัจธรรมอันนี้

สัจธรรมนี้ จิตมันกลั่นสัจธรรมนี้ออกมา ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคมันเป็นของเก่าของเดิม แล้วอริยสัจอันนี้ พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้สิ่งนี้ ตรัสรู้อันเดียวกันหมดเลย นี่ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่นิพพานไม่มีอยู่ในจิต ไม่มี ไม่มี ถ้านิพพานมีอยู่ในจิตนะ เราเวียนไปเวียนไป จิตทุกดวงจะเป็นพระอรหันต์หมดเลย

แล้วเวลาเขาปรารถนาพุทธภูมิกันเห็นไหม เขาปรารถนาพุทธภูมิเป็นล้าน หลายๆ ล้าน มันเหลือไม่เท่าไหร่ เหลือพระพุทธเจ้ากี่องค์ พระพุทธเจ้าเกิดยากไหม นี่พูดถึงสัจธรรมนะ แล้วบอกว่าจิตนี้มีนิพพานอยู่แล้ว มีนิพพานอยู่ซึ่งหน้าอยู่แล้ว ของมีอยู่แล้วนะ มันเข้าไปมันต้องเจอ อันนี้มันเป็นบุคคลาธิษฐาน มันเป็นการเปรียบเทียบ แต่ถ้านิพพานมันมีอยู่ในจิต เราอยู่กันมันต้องพ้นไป

นี่มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะมันลึกลับซับซ้อนกว่านั้นเยอะมาก ถ้าเป็นโสดาบันมันเป็นอย่างไร การจะเป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคา พอถึงอนาคาเห็นไหม จิตมีเรือนว่าง แต่ไอ้เรามันขวางอยู่ ไอ้จิตมันขวางอยู่ แล้วเวลาเป็นพระอรหันต์เห็นไหม เขาบอกว่าจิตไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่จิตมันไม่ใช่หรอก เพราะอะไรนะ เพราะว่าถ้าเป็นขันธ์ ในอนัตตลักขณสูตรเห็นไหม รูปัสมิงปิ นิพพินทะติ, เวทะนายะปิ นิพพินทะติ, สัญญายะปิ นิพพินทะติ, สังขาเรปะติ นิพพินทะติ, วิญญาณัสมิงปิ นิพพินทะติ นะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ นิพพินทัง วิรัชชะติ เขาบอกว่าละขันธ์ก็เป็นพระอรหันต์ไง แต่ในอาทิตตปริยายสูตรเห็นไหม มโนมิงปิ นิพพินทะติ มโน จิต มโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ มโนคือทำลายตัวจิตไง ถ้าจิตเป็นนิพพานอยู่แล้วไปทำลายมันทำไม ทำลายมโนทำไม

ถ้าตัวจิตเป็นนิพพานอยู่แล้ว ทำไมไปทำลายตัวนิพพานทิ้ง อ้าว ถ้าจิตเป็นนิพพานทำไมต้องไปทำลายนิพพานล่ะ ถ้ามึงไม่ทำลายมโน มึงก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ แล้วเป็นพระอรหันต์คืออะไร ก็คือเป็นนิพพาน แล้วนิพพานอยู่กับจิต แล้วทำลายจิตทำไม ทำไมจิตต้องไปทำลายมัน อ้าว ถ้าเขาบอกว่าจิตเป็นนิพพานอยู่แล้ว แล้วถามสิว่านี่เป็นคำพูดของมหายานนะ แล้วมหายานบอกเจอพุทธะที่ไหนให้ฆ่าพุทธะที่นั่น อย่างนั้นคืออะไร ถามเขากลับสิว่าเจอพุทธที่ไหนต้องฆ่าพุทธที่นั่น ถ้าไม่ฆ่าพุทธไม่เป็นพระอรหันต์นะ เอ้า เจอนิพพานก็ต้องฆ่านิพพานเหรอ ไอ้นี่มัน…

ของจริงมันมีอยู่นะ แต่ไอ้นี่มันแชร์นิพพานคือทำกระแสขึ้นมา แชร์นิพพานไง ใครมาลงแชร์กับกูมึงจะได้นะ มึงจะได้โสดาบัน สกิทาคา อนาคา ถ้ามึงไม่มาลงแชร์กับกูมึงจะไม่ได้นะ เพราะอะไร เพราะคำพูดเห็นไหม เขาบอกว่าเวลามาฝึกเดือนสองเดือนของเขาลัดสั้นเพราะจิตเดือนสองเดือนจะเห็นนิพพาน พอเห็นนิพพานมันก็ละกายได้ แต่จิตยังไม่ละ ละกายได้ แล้วเวลาจะพิจารณานะ เวลาจะบรรลุธรรม คือว่าที่เขาพูดมาบอกว่าเวลาจิตพิจารณาดูกายดูจิตจนจิตมันเป็นธรรมชาติ จนจิตมันเป็นธรรม แล้วมันจะเห็นนิพพาน เห็นนิพพานปุ๊บก็จะเป็นโสดาบัน เห็นนิพพานครั้งที่ ๑ เป็นโสดาบัน เห็นนิพพานปั๊บมันก็แยกออก พวกกิเลสแยกออกเลยนะ พอกลับมากิเลสก็ปกคลุมอย่างเก่า นี่เป็นพระโสดาบันนะ พอพิจารณาต่อไปมันก็จะเกิดช่องว่าง เกิดช่องว่างก็จะเห็นนิพพาน คือเป็นโสดาบันของเขาคือเห็นนิพพานอย่างเดียวเลย

อย่างนี้นะมันจะเหมือนกับที่เขาพาไปเที่ยวนิพพานกันเห็นไหม เวลาที่เขานั่งสมาธิกันเขาไปเที่ยวนิพพานกันนะ ถ้าไปนิพพานแล้วนะกูไม่กลับ นี่ก็เหมือนกันไปเห็นนิพพาน อันนั้นก็ไปเที่ยวนิพพาน มันเป็นไปไม่ได้สักอย่าง ๑ ถ้าไปเที่ยวนิพพานนะ ไปนิพพานกูจะไม่กลับ กูจะอยู่นั่นเลย นี่ไปเที่ยวนิพพานแล้วก็กลับ

นี่ก็พอไปเห็นนิพพานแล้วกลับมา กิเลสก็กลับมาประกบอย่างเก่า เราจะบอกว่าที่เขาเทศน์อยู่เขาจะบอกว่านี่คือขณะจิต ขณะจิตที่มรรคญาณ ที่มันสมุทเฉจปหานเป็นโสดาบัน ขณะจิต ๑ คือเห็นนิพพาน ๑ ก็คือขณะจิต ๑ ขณะจิตของเขาเขาว่าแชร์นิพพานไง แชร์นิพพานก็คือว่าพยายามจะเอาตัวนิพพานไปเป็นเป้าหมายเพราะคำว่านิพพานทุกคนก็อยากได้ ปรารถนา ก็เอาตัวนิพพานมาเป็นเป้าหมาย แล้วใครมาลงแชร์ พอใครทำปั๊บ อยู่ที่เขาให้ไง อยู่ที่เขาให้ ก็เหมือนกับว่าลงแชร์แล้ว

ถ้าใครมาลงเริ่มต้นเห็นไหม ผลประโยชน์ตอบแทนมากมายมหาศาลทั้งนั้นเลย คนที่ได้ไปก็ได้โดยทุจริต ไม่ได้ได้ไปด้วยสุจริต ไอ้คนที่ได้โสดาบัน ได้สกิทาคา ได้อนาคาโดยที่เขาแต่งตั้ง โดยที่แชร์มอบให้ มันเป็นแชร์ แชร์นิพพานมอบให้มันเป็นโสดาบันแชร์ สกิทาคาแชร์ อนาคาแชร์ มันเป็นแชร์ มันไม่ใช่สัจจะความจริง

มันเป็นแชร์นิพพานใช่ไหม พอใครมาดูกายดูจิตปั๊บ พอจิตเห็นนิพพานปั๊บ อ้าว ได้ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นโสดาบัน แชร์โสดาบันมอบให้ แชร์สกิทาคาคามอบให้ แชร์อนาคามอบให้ มันเป็นจริงไหม เพราะอะไร เพราะพิจารณาดูกายดูจิต ดูไปจนเห็นสามัญลักษณะ จิตมันจะว่าง ว่างจนเห็นนิพพาน พอเห็นนิพพานปั๊บนั่นล่ะได้โสดาบัน เห็นนิพพานครั้งที่สองได้สกิทาคา เห็นนิพพานครั้งที่สามได้อนาคา แล้วเวลาแชร์พระอรหันต์นะ

เวลาจะเป็นพระอรหันต์คือขันธ์กับจิตแยกออกจากกัน เพราะขันธ์เป็นทุกข์ จิตไม่เป็นทุกข์หรอก เขาไม่รู้ว่าจิตเป็นทุกข์นะ เขาว่าตัวขันธ์คือตัวทุกข์ ตัวขันธ์คือตัวจิต แล้วจิตกับขันธ์แยกออกจากกันนี่คือแชร์นิพพานของเขา แต่เราจะบอกเห็นไหม แชร์น้ำมันเครื่อง แชร์ก๋วยเตี๋ยว แชร์อะไรก็แล้วแต่ การรู้ว่าแชร์เขาไปเห็นของจริงมา แล้วเขาก็มาสร้างภาพว่าเขาจะมาทำธุรกิจการค้าอย่างนี้กัน เขาก็ไปหลอกลวงผู้ที่ต้องการผลตอบแทนมากๆ ให้มาลงทุนกันเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น

นี่เราจะบอกว่าโสดาบัน สกิทาคา อนาคา อรหันต์ นิพพาน ของจริงมันมี ของจริงนะมันมี ของจริงมันเป็นความจริง แต่ถ้าผลของมันจริง มันมีนะ ดูสิเวลาธุรกิจการค้าหรือการทำธุรกิจของเขา ของจริงเขาก็ต้องทำธุรกิจตามความเป็นจริงใช่ไหม เขาต้องทำธุรกิจของเขา เขาได้ขาดทุนกำไรของเขา ได้ผลประโยชน์ของเขามาตามข้อเท็จจริงนั้น ตามความสามารถของเขา

นี่ก็เหมือนกันโสดาบัน สกิทาคา อนาคามันจะเป็นความจริงของเขา แต่ไอ้คนที่ไปเห็นเขาทำปั๊บเอามาทำเป็นแชร์ เอาผลตอบแทนคือเอาเงินที่เขามาลงแชร์ด้วยน่ะมาจ่ายผลตอบแทนนั้น มันไม่มีธุรกิจการค้า มันไม่มีธุรกรรม มันไม่มีสิ่งใดๆ เลย เวลามันเห็นนิพพานมันถึงเป็นโสดาบัน เพราะมันไม่มีข้อเท็จจริงไง แต่ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงนะโสดาบันเป็นอย่างไร มรรคญาณของโสดาบันเป็นอย่างไร

เขาไม่ใช่เห็นนิพพานแล้วเป็นโสดาบัน เขาพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรมด้วยการละสังโยชน์ การฆ่ากิเลสสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิด ทำลายทิฏฐิในหัวใจ ทำลายทิฏฐิอันนั้นสิ้นไป ใจมันสะอาดบริสุทธิ์จากทิฏฐิมานะที่มันฝังอยู่ในหัวใจนั้น โสดาบันเขาเป็นของเขาโดยปัจจัตตัง โดยสันทิฏฐิโก ในคุณสมบัติของพระโสดาบัน มันไม่ใช่เข้าไปเห็นกระแสนิพพานแล้วเป็นโสดาบัน ไม่มี ไม่มี เข้าไปเห็นนิพพานปั๊บได้เป็นโสดาบัน เห็นนิพพานครั้งที่สองเป็นสกิทาคา เห็นนิพพานครั้งที่สาม..

นี่ไง เพราะอะไร ที่พูดเมื่อกี้เห็นไหมว่า ทุกวัดเขาจะมีเทปของหลวงตาเพราะหลวงตาเวลาท่านพูด เวลาท่านเทศน์ของท่าน ท่านก็จะเทศน์อย่างนี้ แต่หลวงปู่มั่นเห็นไหมเวลาท่านเทศน์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีข้อเท็จจริง ท่านจะไม่พูดเพราะกลัวมันเป็นสัญญา นี้เวลาหลวงตาท่านเทศน์ท่านบอกท่านเทศน์หมดไส้หมดพุงเลย แต่ถึงท่านเทศน์ขนาดไหน เวลาที่พูดถึงขณะจิตนะท่านบอกว่าตรงนี้สำคัญ ท่านก็ข้ามไปเพราะพวกนี้มันจะไปจำมา นี้พอไปจำมาสิ่งที่จำมามันมีใช่ไหม เวลาที่ท่านพูดขึ้นมาท่านพูดถึงขั้นตอนของมัน ขั้นตอนขณะจิตที่เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา อนาคา มันต้องเป็นจริงตามนั้น

พอมันเป็นจริงตามนั้นปุ๊บ เราฟัง ท่านไม่ได้บอกถึงกระบวนการที่มันสิ้นสุดของมัน กระบวนการที่มันสรุป กระบวนการที่มันจบ นี้กระบวนการที่มันจบท่านบอกว่ามันก็ไปจำมา พอไปจำมามันก็เอามาอ้างอิง มันจะทำแชร์ลูกโซ่กันนี่ไง มันจะมาลงทุนกิจการกัน แล้วมันไม่มี พอมันไม่มีใช่ไหม ทีนี้เราก็ฟังสิ ในหลักการเขาต้องฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์มากๆ หลายๆ องค์ใช่ไหม แล้วก็จับประเด็นใช่ไหม พอจับประเด็นขึ้นมาก็จะสร้างพล็อตเรื่องไง สร้างพล็อตเรื่องทำโครงการ จะตั้งแชร์นิพพานกันไง

พอตั้งแชร์นิพพานขึ้นมาแล้วเห็นไหม นี่ไง พอเห็นนิพพานก็เป็นโสดาบันเพราะเราพยายามอ่าน เราพยายามทำความเข้าใจกับโครงการของเขา ทีแรกมันเป็นโสดาบันกันอย่างไร ก็ดูกายดูจิต ดูกายดูจิตกันไปเรื่อย แต่อันนี้พอพูดกันบ่อยครั้งเข้าเห็นไหม พอบ่อยครั้งเข้าเดี๋ยวนี้ก็ชัดเจนเลย เห็นนิพพานปั๊บละสักกายทิฏฐิเป็นโสดาบัน

แล้วพอเห็นนิพพานอีก พอเห็นนิพพานใช่ไหมก็เป็นโสดาบันเพราะมันปล่อย มันว่างเพราะปล่อยแล้วมันไม่มีอะไรขาด พอไม่มีอะไรขาดปุ๊บมันเป็นแชร์ มันไม่เป็นความจริง มันไปเห็นธุรกรรมของเขาแล้วพยายามจะสร้างภาพอย่างเขา เห็นนิพพานปุ๊บมันก็ว่าง ว่างก็เลยเป็นโสดาบัน พอเป็นโสดาบันจบแล้วนะ กิเลสก็กลับมาประกบอีก เพราะอะไร เพราะมันไม่มีอะไรขาดไง พอไม่มีอะไรขาด มันไม่มีผลตอบสนองใช่ไหม พอไม่มีผลตอบสนองก็บอกเห็นปั๊บก็เป็นโสดาบัน เพราะฉะนั้นพระโสดาบันคล้ายๆ เบื่อๆเพราะเบื่อๆ มันไม่มีอะไรขาดไปเพราะไม่ได้ละสังโยชน์ ไม่รู้ว่าจิตอยู่ที่ไหน ละสังโยชน์อย่างไรก็ละไม่เป็น พอละสังโยชน์ไม่เป็น เห็นครั้ง ๑ ก็เป็นโสดาบัน เห็นครั้งที่สองเป็นสกิทาคา เห็นครั้งที่สามก็เป็นอนาคา แล้วก็พูดชัดๆ ด้วย มันจะไปขาด เขาบอกจะไปขาดเลย ประมวลธรรมเขาเขียนไว้เลย มันจะไปขาดเอาที่ ขณะจิตที่ขาดแน่นอนจะไปขาดเอาที่พระอรหันต์คือขาดเพราะขันธ์กับจิตขาดออกจากกัน

พระอรหันต์ก็ไม่มีอะไร พระอรหันต์ก็คือรู้แจ้ง รู้แจ้งในอะไร รู้แจ้งในขันธ์ ในขันธ์กับจิตแยกออกจากกัน ในขันธ์แยกออกไปจากกาย พอแยกออกไปแล้ว เขาว่าใจนั้นคือนิพพานแล้วเพราะขันธ์มันแยกออกมา เวลาทำสมาธินะ มันแยกขันธ์แล้ว ที่เขาพูดนี้ อย่างสูงนะ มันได้แค่ทำความสงบของใจก็เท่านั้นเอง พอจิตมันสงบ จิตมันสงบไม่รับรู้อะไร นั่นมันก็แยกแล้ว จิตมันสงบได้

ถ้าคนทำสมาธิทำความสงบของใจ มันก็จะเข้าใจเรื่องอย่างนี้ แล้วมันไม่มีเรื่องอย่างนี้ใช่ไหม มันก็ไปทำโครงการขึ้นมาเห็นไหม เวลาจิตเข้าไปเห็นปั๊บ พอจิตเห็นนิพพานก็เป็นโสดาบัน จิตเห็นนิพพานก็สกิทาคา เขาเขียนอย่างนั้นจริงๆ แล้วเขาก็เข้าใจอย่างนั้นจริงๆ เพราะอะไร เพราะเวลาที่เขาอธิบายถึงคุณสมบัติของโสดาบันไง เขาอธิบายถึงคุณสมบัติของสกิทาคา เขาอธิบายถึงคุณสมบัติของพระอนาคา เขาอธิบายคุณสมบัติของพระอรหันต์

เพราะเวลาเทศน์บ่อยๆ มันต้องมีการอธิบายผลไง พระอนาคาก็แค่รู้เท่าทัน พอรู้เท่าทันกามธรรม กามเป็นธรรมนะรู้เท่าทันกามธรรม กามธรรมมันก็ไม่เกิดละ รู้เท่าทันเห็นไหม พระโสดาบันก็แค่เบื่อๆ เบื่อๆ รู้เท่า พอรู้เท่าก็รู้สักกายทิฏฐิไง รู้เท่ากาย สักแต่ว่ากายก็เป็นพระโสดาบัน เวลาเขาพูดถึงผลขณะที่เป็นโสดาบัน แล้วขณะที่เขามาอธิบายผลของโสดาบันไง

ถ้าพูดถึงพระกรรมฐานอย่างหลวงตาครูบาอาจารย์ของเรา เวลามันพิจารณาของมันไป พิจารณากายไปเห็นไหม เวลากายมันแยก เวลากายกับจิตแยกออกจากกัน พิจารณาจิตเห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันชัดเจนอยู่ในสังโยชน์ ชัดเจนอยู่ในพระไตรปิฎกนะ สักกายทิฏฐิ ๒๐ พระโสดาบันนะละ สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดในกายนี้ ถ้ามันถอนสักกายทิฏฐิ ถอนความเห็นผิดนั้น สังโยชน์ไง ทิฏฐิ ความเห็นผิด สังโยชน์ ๓ ตัว ถ้ามันขาดเลย สังโยชน์ตัวสักกายทิฏฐิขาดไป วิจิกิจฉาความสงสัยในกายจะไม่มี สีลัพพตปรามาส การลูบคลำในกายจะไม่เป็นอีกแล้ว แล้วไม่เป็นอย่างไร โอ้โฮ.. มันรู้แจ้ง พอมันรู้แจ้งนะ พระโสดาบันนะความเห็นต่างกับปุถุชนมหาศาลเลย แล้วสติพร้อมมาก แล้วจะบังคับให้จิตให้เห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว นี่ไงธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะว่าเราบอกธรรมะเหนือธรรมชาติเพราะธรรมชาติคือวัฏฏะ เขาถึงบอกว่าธรรมะคือธรรมชาติ เขาเถียง

เขาเถียงเพราะอะไร เพราะเขาไม่มีประสบการณ์ตรงนี้ไง เขาไม่มีประสบการณ์ที่ว่าขณะที่จิตขาดกับจิตไม่ขาด มันมีความเห็นแตกต่างกันอย่างไร เวลาจิตมันขาดไปแล้วมันเหนือธรรมชาติเพราะอะไร เหนือธรรมชาติเพราะมันละสักกายทิฏฐิอยู่แล้ว มันละกิเลสภายในหัวใจอยู่แล้ว เหมือนกับผลไม้ เหมือนกับเมล็ดพันธุ์พืชที่มันได้ต้มได้สุกจากไฟแล้ว มันจะเอามาปลูก จะเอามาทำพันธุ์อีกไม่ได้เลย จิตที่มันขาดออกไปแล้ว สังโยชน์มันขาดออกไปแล้ว มันจะกลับมามีเชื้อมีไขอีกเป็นไปไม่ได้เลย

นี่โสดาบันเขาเป็นกันอย่างนี้ ไม่ได้ไปเห็นนิพพานก็แว้บ ก็เป็นโสดาบัน เบื่อๆ เขาพูดอย่างนั้นจริงๆ เลย พอแว้บเป็นโสดาบันปั๊บ แล้วกิเลสก็กลับมาประกบอย่างเดิมอีก พอไปเห็น สกิทาคา พอไปเห็นนิพพานปั๊บกิเลสมันก็เปิด เห็นแว้บ คือที่เขาคิดว่าเขาเห็นนิพพานนะ ไม่เห็น จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ดูหลวงตาท่านพูดสิ ขณะที่ท่านพิจารณาของท่าน จิตมันใส โอ้โฮ จิตของเรามหัศจรรย์ขนาดนี้ มันสว่างไสว มันผ่องใส มันพิจารณาทะลุภูเขาเหล่ากาผ่านไปหมดเลย อย่างนี้นิพพานไหม อย่างนี้นิพพานหรือยัง มันผ่องใสขนาดนี้นิพพานหรือยัง ยังไม่นิพพานเลย แล้วจิตผ่องใสขนาดไหน ว่างขนาดไหน มันไม่ใช่นิพพานหรอก นี่บอกว่าเห็นนิพพาน พอเห็นนิพพานเสร็จแล้วก็กลับมาเป็นโสดาบัน เพราะเขาอธิบายไม่ได้ เขาอธิบายไม่ได้เพราะเขาไม่มีผลตามความเป็นจริงเพราะเขาเป็นแชร์ แชร์นิพพาน

เขาสร้างธุรกรรมเทียมขึ้นมา เขาถึงบอกว่าพอเป็นโสดาบันปั๊บมันก็กลับมากลบอีกไง เพราะพอมันเห็นแล้วเหมือนกับเราเป็นสมาธิ พอจิตสงบแล้ว เวลาเราออกมาเป็นปกติมันก็เหมือนเดิมไง ก็กูเข้าไปก็เป็นโสดาบันแล้วใช่ไหม พอออกมาเหมือนเดิมก็โสดาบันก็เป็นอย่างนี้ไง กิเลสก็กลับมากลบไง คำที่เขาอธิบายผลของโสดาบันนะมันฟ้องหมด มันฟ้องตั้งแต่เหตุที่จะเป็นโสดาบันก็ผิด มันฟ้องที่เวลาอธิบายถึงผลของโสดาบันก็ผิด เพราะเป็นโสดาบันแล้วกลับมากลบอีกได้ไง ถ้าสมุทเฉจปหานจิตมันขาดไปแล้วมันกลับมาได้อย่างไร มันกลับเพราะใจของเขามันกลับ ใจเขามันรู้อยู่ นี่ไง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ใจมันรู้ ใจมันเห็นอย่างนี้ มันจะอธิบายเป็นอย่างอื่น มันก็อธิบายไม่ถูก

แล้วเวลาเราทำ เราเห็นผลอย่างนี้ เพราะเราเป็นท้าวแชร์ ท้าวแชร์มันให้ค่าของแชร์กับลูกแชร์ไป ลูกแชร์ก็จะเป็นเหมือนเราใช่ไหม ในเมื่อท้าวแชร์เป็นอย่างนี้และลูกแชร์มันเป็นอย่างนี้ ลูกแชร์กับท้าวแชร์มันจะคุยกันอย่างไรล่ะ มันจะคุยกันมันก็ต้องรู้ผลของมันใช่ไหม พอมันเป็นโสดาบันมันขาดไปแล้ว มันก็กลับมากลบอีก อ้าว ถ้าท้าวแชร์มันบอกว่าขาดแล้วขาดเลย แล้วลูกแชร์มันไม่ขาดทำไงล่ะ แล้วลูกแชร์มันก็เลยบอกว่า อ้าว โสดาบันเป็นอย่างนี้

แล้วถึงตอบโสดาบันไม่ได้ไง มันแชร์นิพพาน มันไม่ใช่ความจริงเลย เป็นสกิทาคา อนาคาเป็นอย่างนี้หมด มันเป็นอย่างนี้ มันฟ้องหมด มันไม่เป็นความจริงเพราะไม่เป็นความจริง มันพูดสิ่งใดมันก็เป็นผิดเป็นผิดไปหมด ของจริงนี่โสดาบัน สกิทาคา อนาคา อรหันต์ มีจริง เพราะมันมีจริง มันถึงมีคนมาเห็นผลประโยชน์ แล้วเอามาทำเป็นแชร์ เอามาทำเป็นผลประโยชน์ หาผลประโยชน์หลอกลวงกัน

แต่ถ้าความจริงมันมี มันเข้าถึงความจริงได้ อันนี้เป็นความจริง นี่พูดถึง โธ่..มันพูดผิดหมด แม้แต่ที่ว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าธรรมะมีอยู่ คำว่าธรรมะมีอยู่ดั้งเดิมเหมือนเรา ทุกคนเห็นไหม ทุกคนมีความคิดดีและทุกคนมีความคิดชั่ว ความคิดดีเป็นธรรม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม เราจะบอกว่าความคิดพื้นฐานของใจของคนนะมันสูงมันต่ำ ถ้าคนจิตใจสูงมันคิดแต่เรื่องดีๆ นะ นี่ล่ะธรรม ธรรมคือพฤติกรรมที่ดี ชั่วคือกิเลส นี่ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม

แล้วนิพพานมันคืออะไรล่ะ เป็นนิพพานหรือยัง โอ๋ย บางคนดี ดีมากนะ บิลล์เกตส์ พูดถึงบ่อยเลยเพราะบิลล์เกตส์ มันบริจาคทีหนึ่งหกหมื่นกว่าล้านเหรียญ บิลล์เกตส์นี่มันให้ พูดถึงบิลล์เกตส์นี่บ่อยมากเพราะเห็นคุณค่าของเขา ว่าเขารวย หกหมื่นกว่าล้านเหรียญ บริจาคตั้งเป็นมูลนิธิ เขาเสียสละเงินของเขาหกหมื่นกว่าล้านเหรียญไง นี่ไง นี่มีคุณธรรมหรือยัง นี่เขามีธรรมของเขา เขาจะทำของเขา เขาเป็นพระอรหันต์ไหมล่ะ เขาเป็นโสดาบันไหมล่ะ เขาไม่เป็นอะไรเลยใช่ไหม อ้าว ถ้าเขาบริจาคเงินหกหมื่นกว่าล้านเหรียญ เขาต้องมาเป็นพระอรหันต์แล้ว ต้องให้ค่าเลย ถ้ามาหาแชร์นะ แชร์มันให้เลย ให้นิพพานซ้อนนิพพานเลย ให้นิพพานสองใบเพราะมันบริจาคทีหกหมื่นกว่าล้านเหรียญใช่ไหม ต้องให้นิพพานสองนิพพาน ให้ทั้งซ้ายทั้งขวาสองใบ นี่ธรรมที่มีอยู่ดั้งเดิมมันอย่างนี้ไง

คือคุณธรรมในหัวใจของเรามันมีกัน มีมากมีน้อยแล้วมีดีมากขนาดไหนนะ แต่ธรรมอย่างนี้มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นธรรมของโลก มันยังเปลี่ยนแปลงอยู่ใช่ไหม ถ้าการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ เรามาทำคุณงามความดีของเรา เราต้องทำความสงบของใจเราเข้ามา ถ้าจิตใจสงบนี่มันอริยสัจ สัจจะความจริงอันนี้ไง สัจธรรม อริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เราพูดบ่อยนะ ตอนที่ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีเทคนิค ไม่มีอริยสัจ ไม่มีความจริงอันนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้ขึ้นมา แล้ววางเทคโนโลยีอันนี้ วางความรู้จริงอันนี้ไว้ให้กับเรามาฝึกฝน ถ้าเรามาฝึกฝน ฝึกฝนกับความจริงขึ้นมา เราอยากทำคุณงามความดีกันมหาศาลเลย แต่ไม่มีวิชาการ ไม่มีสัจจะความจริงอันที่เราจะทำไป เราทำได้ไหม

ทุกคนก็ปรารถนาจะพ้นทุกข์ทั้งนั้นนะ แล้วก็เอาหัวดันภูเขากัน ชนกันอย่างนี้ อัดกันอย่างนี้ แล้วมันไปไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าเอ็งเอาหัวชนภูเขาไม่ได้ เอ็งต้องถอยออกไป แล้วไปเอาสิ่ว เอาค้อนมาทุบมัน เอ็งถอยออกไป สิ่วมึงน่ะ เอาเลย ค้อนทุบมัน เดี๋ยวภูเขามันจะพังราบต่อหน้ามึง เห็นไหม พุทธเจ้าสอนอย่างนี้ แต่ไอ้เรามันไม่มีสิ่ว ไม่มีค้อนใช่ไหม ก็เอาหัวดัน หัวดัน หัวดัน ไปไม่รอดนะ นี่ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ถ้าธรรมะไม่มีอยู่ดั้งเดิมมันเป็นความจริงอย่างนี้นะ แต่นี้ถ้าความจริงอย่างนี้มันจะอธิบายอันนั้นถูก อธิบายเวลาเป็นโสดาบัน เราฟังมาเยอะ เวลาพระเอาซีดีมา องค์นั้นก็โสดาบัน องค์นี้ก็โสดาบัน เราฟังนะว่าพิจารณาอย่างไร โธ่ หลวงตาไปหาหลวงปู่แหวน ไม่รู้ถามไม่ได้ ไม่รู้ก็ตอบไม่ได้ หลวงตาไปถามคำแรกเลย บอกว่าพิจารณาอย่างไร ครั้งแรกตอบมาสิบกว่านาที พิจารณากายพิจารณาอย่างไร แล้วปล่อยอย่างไร ถ้าต้นเข้าไม่ถูก ปลายไม่มี

พอหลวงปู่แหวนตอบจบ ก็ว่าถูกต้องแล้ว นี่คือจุดสตาร์ทออกได้แล้ว แล้วจบอย่างไร อวิชชานี่จบอย่างไร อธิบายอีก ๔๕ นาที ไม่รู้ถามไม่ได้ ไม่รู้ก็ตอบไม่ได้ แต่แชร์ลูกโซ่มันบอกว่าเห็นนิพพานปั๊บเป็นโสดาบัน เห็นนิพพานปั๊บเป็นสกิทาคา ไม่มี ไม่มีใครเห็น ถ้าเห็นนิพพานนะ เวลาพระนะ เรียนเก้าประโยคสิบประโยค เวลาเทศน์นะ แล้วพระเรานะ เวลาปฏิบัติขึ้นมาจิตมันสงบ จิตรวมใหญ่มีทั้งนั้น ทำไมไม่มีใครอธิบายนิพพานถูก พระเรานะหรือผู้ที่ศึกษาทางวิชาการมาจะอธิบายเรื่องนรก สวรรค์ พรหมถูกเพราะจิตมันเคยไป จิตพวกเราเวียนในวัฏฏะ

เห็นไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติ จิตทุกดวงเคยเกิดเคยตายในวัฏฏะ จิตทุกดวงที่นั่งอยู่นี่เคยเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม อยู่เป็นมนุษย์ เป็นนรกอเวจี เป็นสัตว์เดรัจฉาน สิ่งต่างๆ มันมีอยู่ในใจ มันจินตนาการออก จินตนาการออกมาจากบุพเพนิวาสานุสติญาณ จินตนาการออกจากจิต ก้นบึ้งของจิต ก้นบึ้งของจิตที่มันเก็บข้อมูลอยู่ มันเป็นอำนาจวาสนา มันเวียนตายเวียนเกิดมา

มันจินตนาการได้เพราะมันมีข้อมูล มันมีสิ่งเปรียบเทียบ แต่นิพพาน จิตดวงใดทุกดวงไม่เคยเข้าไปเห็นแสงมันเลย ไม่เคยเข้าไปถึงสิ่งแวดล้อมของมันเลย จิตทุกดวงไม่เคยเข้าไปใกล้ถึงนิพพานเลย จิตทุกดวงพูดถึงนิพพานไม่มีถูกแม้แต่จิตเดียวเลย แล้วบอกว่าจิตมีนิพพานอยู่โดยดั้งเดิม นิพพานมีอยู่ซึ่งๆ หน้า นิพพานของใคร นิพพานของแชร์นิพพานไง มันไม่ใช่นิพพานตามความเป็นจริง

ถ้ามีจริง ดูสิ เวลาเขาพูดถึงนิพพานกว้างแคบเท่าไหร่ ดูที่เขาพยายามอธิบายกันนะ แล้วมันถูกไหม นิพพานเป็นเมืองแก้ว นิพพานเป็นแก้วอันผ่องใสคู่กับเศร้าหมอง ว่างคู่กับไม่ว่าง เราจะบอกว่าความว่างมันเป็นสมมุติเท่านั้นเองมันเป็นสมมุติที่พูดถึงนิพพาน นิพพานมันคืออะไร ถ้าพูดถึงนิพพานได้นะ ในศาสนาขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า สมณโคดมนี่ใครจะมีปัญญาเท่ากับองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยพุทธกาลคนเข้าไปถามพระพุทธเจ้าเยอะแยะเลยเรื่องนิพพานว่าเป็นอย่างไร

พระพุทธเจ้าเคยอธิบายให้ใครฟังบ้าง พระพุทธเจ้ามีแต่อธิบายเปรียบเทียบ คนเป็นมันอธิบายเปรียบเทียบได้ คนเป็นนะ เราเคยเข้าไปในถ้ำ ๑ ถ้ำนี้ปิดตาย ไม่มีใครเข้าไปเห็นได้เลย แต่เราสามารถเข้าไปในถ้ำนี้ เข้าไปได้ แล้วเราออกมา ถ้ำนี้ไม่มีใครเข้าไปได้ไง เราจะอธิบายภายในถ้ำนี้ให้คนอื่นฟังได้อย่างไรเพราะคนๆ นั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปเห็นในถ้ำนี้ได้ เราจะอธิบายในถ้ำนั้นให้คนอื่นเห็นได้อย่างไร มันก็อธิบายด้วยความเปรียบเทียบใช่ไหมว่าในถ้ำนั้นมีอะไร

นี่ นิพพานเขาอธิบายกันอย่างนี้ เขาอธิบายด้วยความเปรียบเทียบ แต่ไอ้คนมันโง่ พอมันอธิบายเปรียบเทียบ มันคิดว่าสิ่งเปรียบเทียบนั้นเป็นความจริงไง เพราะเขาเปรียบเทียบมาไง นกมันก้าวขา นกมันก้าวขาเดิน มันบอกว่านกมี ๙ ขา นับเลยนะ นกมี ๙ ขา แต่เขาบอกว่านกมันก้าวขาเดิน มันก้าวขาเดิน มันบอกว่านิพพานนะ นกมันมี ๙ ขา มันเรียงกันเป็น ๑๒๓๔๕๖๗๘๙ เลย ขามันมีอยู่เก้าอัน แต่เขาบอกว่ามันก้าวเดิน ไม่ใช่ ๙ ขา มันแชร์นิพพาน มันไม่ใช่ความจริงนะ ทีนี้จะมาบอกว่าเราไปติเตียน ไม่ใช่ ไม่ใช่ติเตียน แต่นี่พูดถึงความจริง จะเข้าปัญหา วันนี้พูดเรื่องแชร์นิพพาน

ถาม : ทำไมจิตไม่ใช่ขันธ์แต่เป็นปัจจยาการ เจริญสติคืออะไร เจริญสติในชีวิตประจำวัน

ตอบ : ทำไมจิตไม่ใช่ขันธ์ ไม่ใช่ จิตไม่ใช่ขันธ์ ถ้าจิตเป็นขันธ์ เวลาเราเข้าสมาธิมันต้องมี ๕ สมาธิ ไม่ใช่ ๑ สมาธิเพราะขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ แต่จิตนี้เป็น ๑ จิตเวลาคนทำสมาธินะ ทำสมาธิด้วยความชำนาญ ฤๅษีชีไพรนี่ เวลาตายเขาไปเกิดเป็นพรหมเพราะเขาจิต ๑ ไม่ใช่ขันธ์ เห็นไหม จิต ๑ ไม่ใช่ขันธ์ เพราะเวลาเป็นพรหมนี่จิต ๑ เวลาเป็นเทวดานี่ขันธ์ ๕ แต่ขันธ์ของเขา ขันธ์เป็นทิพย์ รูปเป็นทิพย์ นี่ขันธ์ ๕ อย่างพวกเราก็ขันธ์ ๕ มนุษย์ นรก สัตว์เดรัจฉานก็ขันธ์๕ แต่ไปเกิดเป็นพรหมนี่ขันธ์ ๑ ขันธ์ ๑ เห็นไหมเพราะว่าขันธ์ ๑ จิต ๑ แล้วจิต ๑ จิตไม่ใช่ขันธ์ ถ้าจิตเป็นขันธ์นะ ขันธ์ ๕ ตายตัว จิตนี้จะไปเกิดเป็นพรหมได้ไหม มันต้องเอาขันธ์ ๕ ไปด้วย ขันธ์คือขันธ์ ๕ จิตคือจิต ๑ นี่คำว่าจิต ๑ แต่นี่พอจิต ๑ มันถึงเวียนตายในวัฏฏะเห็นไหม ในวัฏฏะเห็นไหม อาหาร ๔ ในวัฏฏะ กวฬิงกวราหารอาหารคำข้าว วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนเจตนาหาร

นี่ไงมโนจิต ๑ จิต ๑ เวลาทำลายจิต ๑ แล้วมันถึงสิ้นเป็นนิพพาน คำว่าจิต ๑ เหมือนพลังงาน เราเอาพลังงานอย่างไฟฟ้า เราเอามาแยกเป็นส่วนผสมของอะไรได้บ้าง ๕ อย่างไม่ได้ แต่ไฟฟ้าพอไปเข้าอยู่เครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วมันแยกออกไปได้ นี่ไง ขันธ์ ๕ ก็เหมือนกัน ขันธ์ ๕ เห็นไหม เวลาครูบาอารย์ท่านพูดหรือเวลาเราพูดเห็นไหม ส้มกับเปลือกส้ม ตัวจิตคือตัวเนื้อส้ม ขันธ์ ๕ คือตัวเปลือกส้ม ความคิดสามัญสำนึกของเราคือขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ เป็นกอง เป็นกอง ๕ กอง ภูเขา ๕ กอง พอภูเขา ๕ กองเห็นไหม เป็นภูเขาภูเราเห็นไหม ขันธ์ ๕ พอขันธ์ ๕ มันสมานกันด้วยวิญญาณเห็นไหม มันมีวิญญาณอยู่กอง ๑

วิญญาณตัวนี้เห็นไหม ที่ว่าวิญญาณที่ไม่ใช่จิต วิญญาณไม่ใช่จิตเพราะวิญญาณในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณคือพลังงานของจิตออกมารับรู้ถึงนี่โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ โสตวิญญาณ นี่วิญญาณอายตนะ นี้เวลามันตายไปเกิดเป็นผีเป็นสางมันก็เป็นวิญญาณ แต่มันมีพลังงานคือตัวจิตนี้อยู่

นี้พอตัวจิตนี้อยู่ ทำไมเทวดามาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ทำไมเทวดาเป็นพระอรหันต์ได้ล่ะ นี่ไง มันเป็นที่เทวดาหรือเป็นที่จิต มนุษย์มันจะเป็นพระอรหันต์ที่มนุษย์หรือเป็นอรหันต์ที่จิต ขันธ์ ๕ มันไม่ใช่จิตอยู่แล้ว ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๕ เป็นผลพลอยได้ ถ้าขันธ์ ๕ เป็นจิตนะ เวลาพระอรหันต์เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทำไม ภาราหเว ปัญจัก ขันธา ภาระ ขันธ์ ๕ เป็นภาระเห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต ถ้าขันธ์ ๕ เป็นจิตตายตัวนะเราเข้าสมาธิไม่ได้หรอกเพราะเราจะรวบเอาขันธ์ ๕ มาเป็น ๑ ไม่ได้ ขันธ์ ๕ เป็นขันธ์ ๕ แต่จิตมันปล่อยขันธ์ ๕ เข้ามา มันก็มาเป็นพลังงานของตัวมันเอง นี่จิต ๑ ไม่ใช่ขันธ์ อ้าว สมาธิเป็นขันธ์ไหม ตัวจิตเป็นขันธ์ไหม ไม่เป็น แต่คำว่าเป็นปัจจยาการนี่ จิตมันก็ไม่ได้เป็น มันเป็นปัจจยาการ ถ้าจิตนี้ไม่ใช่ขันธ์ แต่เป็นปัจจยาการ

คำว่าเป็นปัจจยาการคือมันเคลื่อนที่ไง พลังงานมันต้องเคลื่อนที่ใช่ไหม แต่นี่พลังการเคลื่อนที่ ขันธ์ ๕ ที่มันเคลื่อนที่ เวลาความคิดเราจะหมุนไปได้ มันต้องมีรูปคือความรู้สึก มันต้องมีเวทนาเห็นไหม เวทนาความดีใจเสียใจคือให้ค่ามัน มันต้องมีสัญญาข้อมูล มันต้องมีสังขาร ปรุงแต่ง มันต้องมีวิญญาณรับรู้ในขันธ์ ๕ วิญญาณหยาบๆ ไม่ใช่วิญญาณในตัวจิต วิญญาณมารับรู้กัน พอรับรู้มันก็เหมือนกับน้ำ น้ำเราเอาส่วนผสมเข้าไปในน้ำละลายในน้ำ มันก็เป็นสีนั้น ขันธ์ ๕ มันมีส่วนผสมเจือจางกัน มันก็เป็นความคิดความนึกอันนั้นขึ้นมา เป็นความคิดความนึกก็เป็นความคิดของเราเห็นไหม ความคิดเกิดดับ ความคิดเกิดดับ แต่มันไม่ใช่จิตเห็นไหม ขันธ์ ๕ มันมารวมตัวกันคือมันทำงานร่วมกัน มันก็เป็นความคิดเรา จะคิดเรื่องอะไรล่ะ คิดเรื่องเงิน คิดเรื่องตึกรามบ้านช่อง คิดเรื่องรถยนต์ คิดเรื่องเครื่องยนต์กลไกเห็นไหม

ความคิด มันไปคิดในรูปที่เราสร้างภาพขึ้นมา จากข้อมูลคือสัญญาเห็นไหม จากรูปธรรม มันก็เกิดมัน นี่คือขันธ์ ๕ ในขันธ์ ๕ มันหมุนไป มันเป็นขันธ์ ๕ แต่มันต้องมีตัวจิตเป็นพื้นฐานนะ แล้วที่บอกว่าสมองคิดไม่ได้ สมองคิดไม่ได้ สมองนี่มันเป็นสสาร แต่มันจะคิดได้เพราะมันมีพลังงานคือตัวจิตนี้ด้วย นี้สมองเปรียบเทียบมันเป็นสสารคือเป็นวัตถุ แต่ในสมอง ในจิตนี่มีตัวคั่นกลาง สมอง ขันธ์ ๕ จิต เพราะตัวสมองก็เป็นสมองเฉยๆ ใช่ไหม เป็นสมอง เป็นศูนย์ประสาท เป็นสัณชาตญาน เวลาเราคิดอะไร ยกมือ เรามีการกระทำเห็นไหม สมองมันสั่ง สมองมันสั่งใช่ไหม แต่สมองมันสั่งแล้วสมองมันมีชีวิตหรือ มันก็มีขันธ์ ๕ เหมือนกัน ขันธ์ ๕ มันเป็นตัวกลาง สมอง ขันธ์ ๕ จิต นี่พอตัวจิต พอสรุปเข้ามาเห็นไหม ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิเฉยๆ ไม่เป็นตัวปัจจยาการ ไม่เป็นอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ปัจจยาการนี่เป็นอรหัตตมรรค

ปัจจยาการคือทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ไอน์สไตน์คิดทฤษฎีสัมพัทธภาพได้ด้วยปรมาณู องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นกระบวนการการเคลื่อนไหวของจิตนะ ปัจจยาการคือทฤษฎีสัมพัทธภาพที่พระพุทธเจ้ารู้เห็นมาก่อน นี่คำว่าปัจจยาการที่พระพุทธเจ้ารู้เห็นมาก่อนโลกนี้ไม่มี โลกนี้เห็นไม่ได้ โลกนี้ดูสิ ดูปรมาณูเห็นไหม ดูสิ แร่ธาตุต่างๆ เขาเอามาทำกระบวนการของมัน เห็นไหมนิวเคลียสต่างๆ มันทำเป็นปรมาณูได้ เพราะมันเป็นวัตถุ เป็นสสาร แล้วความรู้สึกของเราอยู่ไหน จิตเราอยู่ไหน สิ่งที่เราจะเอามาเห็นปัจจยาการของมันอยู่ไหน ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น อรหัตตมรรค นะ อรหัตตมรรค ถึงจะเห็นปัจจยาการของมัน อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง

ปัจจยาการของอวิชชา ถ้าไม่เห็นปัจจยาการ เราไม่เห็นกระบวนการเห็นไหม เราไม่เห็นกระบวนการของจิตที่มันขับเคลื่อน เราจะไปทำลายกระบวนการของมันได้อย่างไร เห็นไหม เราจะแกะผลไม้ เราจะแกะสิ่งอะไร เราต้องเห็นสิ่งเหล่านั้นเราถึงแกะมันออกได้ใช่ไหม สิ่งต่างๆ เราต้องทำลายมันได้ กระบวนการปัจจยาการอันนี้ มันทิ้งขันธ์เข้ามาแล้วนะ มันทิ้งขันธ์อย่างหยาบเป็นโสดาบัน ขันธ์อย่างกลางเป็นสกิทาคา ขันธ์อย่างละเอียด ขันธ์ละเอียดคือกามราคะ กามขันธ์ ขันธ์คือสัญญา ข้อมูลเห็นไหม ปฏิฆะกามราคะ

แล้วตัวจิตเป็นตัวกามฉันทะคือตัวพลังงาน พอตัวพลังงานมันปล่อยขันธ์มาทั้งหมดแล้ว มันเป็นตัวของมัน มันไม่มีขันธ์ มันขยับตัวไม่ได้ แต่ปัจจยาการของมัน มันมีปัจจยาการในตัวของมันเองเห็นไหม อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณังแล้วพอปัจจยาการเห็นไหม มันก็เป็นตั้งแต่นิโรโธโหติ มันจะย้อนกลับไง ถ้าเป็นอรหัตตมรรค มันจะย้อนปัจจยาการอันนี้กลับ ถ้าเป็นอรหัตตมรรค มันจะย้อนปัจจยาการ จากอวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง แต่วิชชามันจะย้อนกลับ โหติ โหติคือมันสงบ มันจะตัดช่วงกลับเข้าไปเข้าไป จนเข้าไปถึงจุดที่ว่า เห็นไหม หลวงตาบอกจุดและต่อม จุดและต่อม จุดขั้วของจุดและต่อม มันมีสองขั้ว ขั้วดีและขั้วลบเห็นไหม ขั้วบอกกับขั้วลบ ดีและชั่ว กลับไปทำลายคือตรงนั้นนะ

นี่ตัวจิต พระอรหันต์ไม่ใช่ขันธ์ ไม่ใช่จิตละขันธ์ ๕ หรอก พระอรหันต์เขาทำลายปัจจยาการอันนี้ พระอรหันต์เขาทำลายตัวจิต จิตไม่ใช่ขันธ์ จิตไม่ใช่ขันธ์ พระอนาคามีเห็นชัดเจนมากนะ ว่าทำลายขันธ์ ๕ ทำลายกามราคะทำลายแล้วมันจะเหลืออะไร แล้วพอมันเหลืออะไรแล้ว มันเหลือแต่เขาไปทำลายตัวจิต แต่จิตไม่ใช่ขันธ์ แล้วปัญญาที่จะเอาเข้าไปฆ่าเป็นพระอนาคา ปัญญามันเป็นมหาสติ มหาปัญญา เข้าไปทำลายปัจจยาการไม่ได้ แล้วโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์นะเวลาคนจะเข้าไป เขาต้องใส่ชุดนะ ป้องกันกัมมันตภาพรังสีเต็มที่เลย ไม่อย่างนั้นเข้าไปไม่ได้หรอก นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันละเอียด อย่างพวกเราจะเข้าไปในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ เข้าไปนะ เขาถีบออกมาเลย เขาไม่ให้เข้า แล้วคิดดูสิ แล้วเราจะเข้าไปดูปัจจยาการนะ อีก ๕๐๐ ชาติ ไม่มีทาง ไม่มีทาง จิตมันต้องละเอียดขนาดนั้น มันต้องมีความเป็นไปขนาดนั้น

เพราะครูบาอาจารย์เรามีประสบการณ์อย่างนี้ถึงบอกว่าไม่ใช่เห็นนิพพานแว้บ เป็นโสดาบัน แว้บเป็นสกิทาคา ไม่มี นี่มันแชร์นิพพาน แต่ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้ ทำไมจิตไม่ใช่ขันธ์ ไม่ใช่ ไม่ใช่ จิตเป็นจิต ขันธ์เป็นขันธ์ แต่ถ้าเป็นปุถุชนนะ ของทุกๆ อย่าง นิ้วมือมันมีหนังมีเนื้อมีกระดูกมีเอ็นอยู่ในตัวมันเอง จิตกับขันธ์เป็นอันเดียวกันพูดกับเด็กๆ นิ้วมือนี้เป็น ๑ ไหม นิ้วมือนี้เป็น ๑ นะ ๑ เดียวเห็นไหม แต่ใน ๑ เดียวมันมีผิวหนัง มีเส้นเลือด มีเส้นเอ็น มีกระดูก นี่ไง ฉะนั้นเวลาบอกว่าขันธ์ไม่ใช่จิตพูดทางวิชาการ พูดถึงผู้ที่ปฏิบัติเห็นชัดเจนไง ถ้าเราบอกว่า ๑ เดียว ใช่ แต่เราบอกว่าหนังเป็นนิ้ว เราก็ว่าไม่ใช่ กระดูกเป็นนิ้ว เราก็ว่าไม่ใช่ แต่มันรวมกันเห็นไหม ฉะนั้นที่ว่าขันธ์กับจิตเป็นอันเดียวกันหรือขันธ์กับความรับรู้ เหมือนกับถ้าเราเป็นเด็กใหม่ๆ นะ เรามาเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เขาก็จะสอนว่าขันธ์ ๕ เป็นอย่างนี้

ไอ้นี่เป็นอย่างนี้ได้ คือว่ามันต้องสอน แล้วให้เรารู้สึกเข้าใจได้ในเนื้อหาสาระนั้น ถ้าอย่างนี้นะ เราเห็นด้วย แต่เวลาพูดถึงการปฏิบัติ แล้วพูดถึงว่าเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคา เป็นพระอรหันต์ เห็นอย่างนี้เป็นไปไม่ได้ เห็นอย่างนี้มันเป็นเด็กอ่อนๆ ที่เขามาศึกษาพุทธศาสนาวันอาทิตย์กัน ถ้าเขามาศึกษาพุทธศาสนาวันอาทิตย์ พูดอย่างนี้ ใช่ พูดขึ้นมาเพื่อสื่อสารความหมายกันเท่านั้น ถูกต้อง แต่ถ้าปฏิบัติมันไม่ใช่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาทอดธุระ ทอดอาลัย แต่พระพุทธเจ้าจะสอนเห็นไหม ดูสิ สอนเพื่อให้คนเข้าถึงธรรมนะ ฉะนั้นขันธ์ไม่ใช่จิต ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ถ้าเป็นปัจจยาการไม่มีใครเห็น คำว่าปัจจยาการ แหะๆๆ มันหลุดไปจากเรานี่เองไง แหะๆๆ เราบอกว่าจิตเป็นปัจจยาการ แล้วปัจจยาการอย่างนี้ปั๊บทางวิชาการเห็นไหม

หลวงตามาที่วัดนรนาถ สมเด็จที่วัดนรนาถท่านให้ดูเลย บอกว่าหลวงตาให้ดูนี่หน่อยเห็นไหม อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง ปัจจยาการไง แล้วถ้าเขาเขียนนะ ทางวิชาการเขาจะเขียนให้เป็นสายใยไง หลวงตาบอก ไม่ดู ไม่ดู ไม่ดูเพราะอันนี้กับความจริงไม่ใช่อันเดียวกัน ความจริงมันเกิดเหมือนเราจุดไฟนะ พั้บ เหมือนจุดแก๊ซ ปุ๊บๆๆ มันเร็วมากๆ ไม่มีใครเห็นอย่างพระพุทธเจ้าได้ แต่ที่พระพุทธเจ้าพูดไว้ทางวิชาการไว้ เพราะพุทธวิสัย ปัญญาพระพุทธเจ้า แล้พูดในเชิงวิชาการไว้ครอบคลุมไว้หมดไง

แล้วเราก็ ไอ้พวกหางอึ่งไอ้พวกมด เห็นช้างขี้ ไอ้มดมันจะขี้เท่าช้างไหม นี่มันวุฒิภาวะมันเป็นปัญญาของพระพุทธเจ้าที่วางไว้ให้เราศึกษากัน แค่เราศึกษาแล้วเราเข้าใจ แล้วเราปฏิบัติได้ มันก็สุดยอดแล้ว หลวงตาบอก ไม่ดู ไม่ดู ไม่ดูหรอกเพราะความจริงนะ ถ้าไปดูอย่างนั้นอยู่นะ แล้วเราก็มานั่งจินตนาการนะ อวิชชาเป็นอย่างนี้นะ สังขารเป็นอย่างนี้นะ โอ้โฮย มันคนละชาติเลย มันเป็นไปไม่ได้ คำว่าปัจจยาการมันหลุดไปจากเราเอง ไม่ใช่เป็นปัจจยาการหรอก จิตเป็นจิต ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต จิตไม่ใช่เป็นปัจจยาการ ปัจจยาการมันเป็นมรรคญาณที่ผู้ที่รู้เห็นมันย้อนกลับ มันถึงเป็นปัจจยาการเพราะอวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง

แล้วก็วิชชา วิชชามันย้อนกลับ มันต้องเป็นอย่างนี้ มันถึงจะเห็นปัจจยาการ แล้วเห็นปัจจยาการเห็นอย่างไร เห็นปัจจยาการมันเห็นอย่างไร เห็นไม่ได้ จิตเป็นจิต จิตไม่ใช่ปัจจยาการ อย่าพูดผิด อย่าพูดผิดสิ พูดผิดแล้วสู้เขาไม่ได้ จิตเป็นจิต ปัจจยาการนี้มันเป็นมรรคญาน จิตเป็นจิต ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิตใช่ไหม อย่างปุถุชน เวลาทำสมาธิ พวกฤาษีชีไพรทำจิตสงบมั่นคงเพราะเขาทำได้แค่นี้ พอจิตมันมั่นคง จิตมันควบคุมได้ เวลาตายปั๊บนี่พรหม พรหมเพราะอะไร เพราะมันเข้าเห็นไหม เขาเรียกว่าจะไปสุคโตต้องปัจจุบันสุคโต จิตปัจจุบันมันเป็น ๑ อยู่แล้วใช่ไหม เกิดก็เป็นพรหมเพราะมัน ๑ เดียวเพราะมันเป็นสิ่งที่มันสมานกันอยู่แล้ว แต่อย่างเราทำดีทำชั่วเห็นไหม ทำดีทำชั่วเป็นความคิด เป็นความคิดดีคิดชั่ว มันเป็นขันธ์ ๕ ถ้าทำดีพอตายก็ไปเกิดเป็นเทวดา สุคโตนะ มันจะไปจากสิ่งตอบสนองที่นี่ แล้วมันก็จะไปรับผลสิ่งที่มันได้ผลนี้ไปอยู่ข้างบนนั้น ถ้ามันทำความชั่วมันก็ลงไปเลยเห็นไหม

ถ้าจิตเป็นจิตมันเป็นอย่างนี้ แต่ปัจจยาการมันเป็นผล เป็นผลของธรรมของพระพุทธเจ้า อย่างที่ว่าธรรมะมีอยู่แล้ว ธรรมะมีอยู่แล้ว ธรรมะมีอยู่ขั้นไหน ถ้าธรรมะมีอยู่ขั้นศีลธรรมจริยธรรมก็เป็นปุถุชน ถ้ามีสูงขึ้นมาเห็นไหม ธรรมะนี่มีคุณค่าขึ้นมา มันก็เป็นโสดาบัน คำว่าเป็นคือมันต้องมีกระบวนการของมันเกิดขึ้น กระบวนการของอริยสัจ กระบวนการของการกระทำมันเกิดขึ้นมันก็ถอดถอนตรงนั้นขึ้นมา นั่นคือมรรคญาณ

ปัจจยาการนี่มันเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า จิตไม่ใช่ปัจจยาการ จิตเป็นจิต จิตเป็นจิต ขันธ์เป็นขันธ์ คนละเรื่องกัน มนุษย์ ร่างกายเรากับเสื้อผ้าเรา เสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้า เราเป็นเรา แต่เราใส่เสื้อผ้าอยู่ ขันธ์คือเสื้อผ้า จิตเป็นเรา ขันธ์ ๕ คือเสื้อผ้า เราจะเปลี่ยนกี่ชุดก็ได้ แต่จิตคือเรา ปัจจยาการเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า มันคนละเรื่องกัน

ถาม : เจริญสติคืออะไร

ตอบ : เจริญสติ สติ สติเกิดจากจิต สติไม่ใช่จิต จิตนี่มีอยู่แล้ว จิตกับขันธ์มีอยู่โดยธรรมชาติ ทีนี้สติ สติมันก็อยู่ที่ว่าวุฒิภาวะนะ สติคือความระลึกที่เราบอกว่าสติ สติคือสภาวะจำ เรารับไม่ได้ สติคือสติ สติคืออะไร สติก็คือสติไง อ้าว สติก็คือสติก็เท่านั้นก็จบ สติคืออะไร ก็มันบอกอยู่แล้วว่าสติ แล้วมาถามว่าสติคืออะไร มึงคือใคร ก็คือกูนี่ไง ก็คือกู กูคือใครก็คือกูไง สติก็คือสติ สติจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นอะไรอีกละ สติก็คือสติ ชื่อมันก็ตรงอยู่แล้ว

สติก็คือสติจริงไหม สติคืออะไร สติก็คือสติ ปัญญาก็คือปัญญา สัญญาก็คือสัญญา ความจำก็คือสัญญา เอ้าแล้วบอกว่าจำให้เป็นสติ มันจะเป็นสติได้อย่างไร จำก็คือจำใช่ไหม สภาวะจำก็จำนะสิ จำไปเรื่อยๆ ก็จำไปสิ จำส่วนจำ สติส่วนสติ แต่เราฝึกเราจะฝึกสติเห็นไหม เราระลึกอยู่ตลอดเวลาเห็นไหมว่าให้มีสตินะ จับให้มีสตินะ เคลื่อนไหวให้มีสตินะ นี่คือสติ สติ ต้องการในที่ทุกสถานในการทุกเมื่อ สติก็มีสติ เราจะทำอะไร เราก็ต้องมีสติ เราจะคิดก็มีสติ เราจะกินจะดื่มจะอยู่ก็มีสติ สติคือสติ แต่การกระทำนี่อีกเรื่อง ๑ ใช่ไหม แต่ทำพอมีความชำนาญขึ้นมา มีความคล่องตัวขึ้นมาเห็นไหม

มีความชำนาญของเราขึ้นมา อันนั้นเรารู้ว่าเรามีความชำนาญ มีการฝึกฝน เรามีปัญญาไหม เรารู้สิ่งนั้นไหม เราคล่องตัวกับสิ่งนั้นไหม เราเห็น คราวนี้หยิบผิด คราวนี้ตั้งที่ผิด นี่ปัญญามันเกิดไง ปัญญาส่วนปัญญา สติคือสติ การเจริญสติคือการฝึกคือการเจริญสติ เจริญสติในชีวิตประจำวัน หลวงปู่มั่นพูดไว้ชัดเจนมากในมุตโตทัย ในมุตโตทัยเห็นไหมการดื่ม การเหยียด การคู้ต้องมีสติตลอดเวลา นี่อย่างการดื่ม การเหยียด การคู้ เราจะกินอะไรก็แล้วแต่ เราจะดื่มอะไรก็แล้วแต่ เรามีสติอยู่ การดื่มของเรามันก็จะไม่เสียหาย การดื่มของเรามันก็จะไม่ผิดพลาด สติมันฝึกอย่างนี้ สติมันเป็นสติ สติโดยเนื้อหาสาระ ไม่ใช่สติโดยสร้าง เห็นไหม อย่างที่พูดเมื่อวาน อย่างอภิธรรม อย่างการเดินเห็นไหม เขาว่าฝึกสติ อันนี้มันสร้างนะ

อย่างยกขาเห็นไหม มันสร้างอารมณ์ขึ้นมา อันนั้นมันทำสติไหม สติก็คือสติ ในชีวิตประจำวันเราก็ฝึก เพียงแต่เราจะพูดอย่างนี้นะ เวลาเราคิดกัน โทษนะ เหมือนเราไม่ได้อาบน้ำมา ๕ วัน เราไม่ได้อาบน้ำมา ๕ วัน แล้วเราก็ไม่กล้าอาบน้ำ เรากลัวกลิ่นเรามันจะหายไปไง เราไม่ได้อาบน้ำมา ๕ วันเลยนะ แล้วเราก็ไม่อาบน้ำ อาบน้ำไม่ได้เดี๋ยวกลิ่นมันหายไป

อันนี้ก็เหมือนกัน เราจะเปรียบเทียบให้เห็นว่า การเจริญสติในชีวิตประจำวัน เวลามันพัฒนาขึ้นไป เราคิดกันไม่เป็นนะ เหมือนกับคนไม่ได้อาบน้ำมาปี ๑ แล้วไม่อยากอาบน้ำ กลัวกลิ่นขี้ไคลมันจะหายไปไง เราจะบอกว่าความคิดของเรามันคือขี้ไคล มันคือความเห็นผิดในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อเราฝึกขึ้นมาแล้วความคิดมันดีขึ้นมาไง ไอ้สิ่งที่เราคิดมันจะทิ้งไปเองไง เพราะเราคิดอย่างนี้ใช่ไหม เพราะเราติดมรรคหยาบ เราว่าสิ่งนี้มัน.. อยากได้นิพพาน แล้วเราก็คิดว่านิพพานคืออย่างนี้ไง แต่พอไปเจอนิพพานเข้าจริงๆ นะ โอ้โฮ มันช็อกเลยนะ ไอ้นิพพานที่กูคิดกับนิพพานความจริงนี่มันคนละเรื่องเลย

แต่นี้ย้อนกลับมาที่ชีวิตประจำวัน ใครๆ ก็บอกว่า ต้องปฏิบัติธรรมโดยชีวิต ประจำวันนะ โทษนะ ชีวิตประจำวันมีอะไร ชีวิตประจำวันก็ทิ้งมันไปสิ แล้วเราทำให้จิตเราดีขึ้นสิ แต่อันนี้จิตเราไม่ได้คิดถึงนะ เราคิดถึงห่วงแต่ชีวิตประจำวันไง คนถามอย่างนี้บ่อยมาก เรามีความคิดอย่างนี้ แต่เราไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ไอ้ที่ว่าชีวิตประจำวันนะ ไอ้ความคิดของพวกมึงมันก็ทุกข์ใช่ไหม มันก็ทิ้งอันนั้นขึ้นมาสิ แต่อันนี้มันจะดึงธรรมะให้ต่ำไง การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน การปฏิบัติในชีวิตประจำวันกลัวว่าชีวิตประจำวันมันจะหายไป กลัวว่าเดี๋ยวเอาธรรมะมาบีบ บีบธรรมะให้มาอยู่กับชีวิตประจำวันไง ชีวิตประจำวันมันของปุถุชน มันของที่เราดำรงชีวิต มันเป็นความทุกข์ แต่เราต้องอยู่กับมันใช่ไหม แต่เวลาเราทำ เราใช้ชีวิตประจำวัน แต่เราพัฒนาของเราได้ขึ้นมา จิตใจเราจะสูงส่งขึ้นมาใช่ไหม

แล้วชีวิตประจำวันมันก็เป็นอย่างนั้น แต่จิตใจเราดีขึ้นมาเยอะแยะเลย แต่คำถามนี้ ทุกคนมาเห็นไหม ใครจะมาปฏิบัติที่นี่นะ พอมาถึงนะ หลวงพ่อที่นี่กินข้าววันละกี่มื้อ แล้วถ้าสามมื้อได้ไหม แล้วถ้าเอาเตาแก๊สมาตั้งเลยได้ไหม มีคนต่อรองอย่างนี้จริงๆ มันไปห่วงท้องมันไง หลวงตาพูดบ่อยเห็นไหม ไอ้เสื่อไอ้หมอน ไอ้เสื่อไอ้หมอนนี่คือเราไปติด เพราะเราคิดกันอย่างนี้ไง จิตเราเลยไม่ละเอียด จิตเราเลยไม่พัฒนาขึ้นไปไง แต่ถ้าเราพัฒนาขึ้นมาว่า สมาธิ คุณสมบัติของสมาธิ คุณสมบัติของความดี มันดีกว่านี้ ดีกว่าชีวิตประจำวันมึงอีก นี่คำก็ลงชีวิตประจำวัน อะไรก็ลงชีวิตประจำวัน จะมาปฏิบัติก็จะเอาเตาแก๊สมาตั้งนะ กลัวชีวิตประจำวันจะเสียไปไง แล้วพอมา มากินข้าวมื้อเดียว เห็นไหม ชีวิตประจำวันมันเปลี่ยนไปแล้ว ทำไมอยู่บ้านกินข้าววันละสามมื้อ พอมาอยู่วัดเหลือข้าวมื้อเดียวแล้ว สามมื้อต้องดีกว่ามื้อเดียวสิ

อย่าไปห่วงชีวิตประจำวันเลย เอาธรรมเป็นที่ตั้ง อย่าเอาชีวิตประจำวันเป็นที่ตั้ง เอาธรรมเป็นที่ตั้งแล้วพยายามปฏิบัติธรรมเข้าสู่ธรรม อย่าไปเอาชีวิตประจำวันเป็นที่ตั้ง ใครมาก็ถามอย่างนี้ ถามอย่างนี้เหมือนกัน ไม่ได้อาบน้ำมา๕วัน ไม่กล้าอาบนะเดี๋ยวกลิ่นมันจะไม่มีไง ก็ชีวิตประจำวันไง กลัวตัวเองจะไม่มีตรงนี้เกาะไว้

เจริญสติ การเจริญสติคือการตั้งสตินี่แหละ การเจริญสติ สติคือสติ ไม่มีสติตัวจริง สติตัวปลอม สมมุติบัญญัติ บัญญัติก็คือสมมุติ สัพเพ ธัมมา อนัตตาก็เป็นสมมุติ นี่สมมุติคือสัพเพ ธัมมา อนัตตาคือสัจธรรม สัจธรรมนี้เป็นสมมุตินะ อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่ก็สมมุติ แต่เวลามันสมุทเฉจปหานไปแล้ว อกุปปธรรม ผลของธรรมนั้น นะเหนือธรรมชาติ สติก็คือสมมุตินะ เราสังเวชนะในหนังสือเขาเขียนว่า ถ้าตั้งใจทำสติแบบพระป่านี้เป็นสติตัวปลอม ถ้าอยู่เฉยๆ เผลอแล้วสติเกิดเองนั่นเป็นสติตัวจริง

โอ้โฮ สติมีตัวจริงตัวปลอมด้วย ไม่มีหรอก สติคือสติ ถ้าตั้งใจจงใจนี่สติเป็นตัวปลอม ถ้าอยู่เฉยๆ ดูไป มันจะเกิดเอง เป็นสติตัวจริง สติตัวจริงนะ มันก็ต้องเหมือนกับเหล็กเลยนะ มันจะขันไว้ในสมองเลย อยู่คงที่เลย อย่างนั้นหรือสติตัวจริง มันก็เกิดดับเหมือนกัน สติคือความระลักรู้ มีสติเดี๋ยวเดียวมันก็หายไป สติตัวจริงคือเหมือนกับน็อตใช่ไหม ขันไว้เลยบนสมองนี่มันเป็นตัวจริง สติกูจะไม่เสื่อมเลย สติกูจะเป็นสติตลอดไปอย่างนั้นหรือ

นี่ไง แชร์นิพพานนะ คือจะดูถูกเหยียดหยามคนที่ไม่ได้อยู่ในท้าวแชร์นั้นว่าผิดหมด ถ้าใครเข้ามาอยู่ในท้าวแชร์กูนะ ถูกหมดไง ถึงมีสติตัวจริงสติตัวปลอม สติคือสมมุติ สมมุติบัญญัติก็เป็นสมมุติ พระอนาคาก็ยังมีส่วนสมมุติครอบงำอยู่เพราะพระอนาคายังมีกิเลสอยู่ พระอนาคายังมีส่วนสมมุติอยู่นะ พระอรหันต์เท่านั้นสิ้นสมมุติทั้งหมด แม้แต่พระอนาคายังมีส่วนสมมุติเลย แล้วสติอันไหนเป็นตัวจริง สติตัวไหนเป็นตัวปลอม มันมีแต่สติจริงหรือสติปลอมที่เอ็งทำอยู่นั่นนะ สติที่เองทำอยู่นั้นไม่ใช่สติจริงเลย ต้องเผลอปั๊บสติเกิดเอง เราช็อกเลยนะ อ่านทีแรกไปเจอ ช็อกเลย เผลอปั๊บสติมาเอง ยิ่งเผลอยิ่งดี สติมาเอง

ไปถามหลวงตาสิว่าทำอย่างนี้ถูกไหม แชร์นิพพาน มันเป็นท้าวแชร์ของมัน มันสร้างสภาพของมันขึ้นมาเอง มันไม่เป็นความจริง นี่พูดถึงเจริญสติในชีวิตประจำวัน สติก็คือเราขยับเขยื้อน เราตั้งสติอยู่ แล้วเราฝึกไปบ่อยๆ ตั้งสติไว้ ถ้าผิดปั๊บ ผิดแล้วนะ สติขาดแล้วนะ

คำว่าเตือนตัวเองตลอดเวลา คำว่าเตือนตัวเองนี่สำคัญมากเลย เหมือนนักเรียน ครูคอยบอกว่าหนูผิด อันนั้นผิด อันนั้นนะคุณประโยชน์มากเลย ถ้าครูไม่บอกว่าหนูผิด เราจะว่าเราถูกตลอดเวลา ถ้าเราเตือนว่านี่ผิดแล้วนะ นี่ผิดแล้วนะ อันนี้ผิดแล้วนะ มันจะตั้งสติ แล้วมันจะบอกว่าเอ็งผิดพลาดวันนี้มาสองหนแล้วนะ ความผิดของเราจะทำให้เราสะเทือนใจ แต่ถ้าบอกว่าสติเรามีตลอดเวลา เราไม่เคยขาดเลยนะ นั่นเผลอเรอแล้ว การเตือนตัวเอง การจับผิดตัวเอง การสั่งสอนตัวเอง อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถนี้สำคัญที่สุด นี่คือประโยชน์ที่สุด แต่นี้พอมันขาดขึ้นมาปุ๊บ ผิดแล้ว ผิดแล้ว ก็ผิด ก็เราจะทำให้มันถูกไง ก็มันผิดเลยจะทำให้ถูก ฉะนั้นมันต้องฝึกมาอย่างนี้ มันไม่มีหรอก สติไม่มีลอยมาจากฟ้า ปัญญาทุกอย่างไม่ลอยมาจากฟ้า อยู่ที่การกระทำของเราทั้งหมด ฉะนั้นจิตเป็นจิต ขันธ์เป็นขันธ์ ถ้าพูดว่าปัจจยาการเป็นธรรมของพระพุทธเจ้านะ เขาจะเถียงเลย

ปัจจยาการมันก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก คำว่าปัจจยาการเพราะว่ามันเป็น ๑ เดียวใช่ไหม เหมือนนิ้ว นิ้วนี่มันมีความรู้สึก มันเคลื่อนไป มันเป็นปัจจยาการ มันมีอยู่ในตัวมันเอง มันรับรู้ แต่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เหมือนนิ้ว ๕ นิ้ว นิ้วโป้ง นิ้วนาง นิ้วชี้ นิ้วกลาง คนละนิ้วเห็นไหม แต่นี้ขันธ์ ๕ แล้วจิต จิตคือฝ่ามือนี้ ไม่มีขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นี้เป็นนิ้ว ๕ นิ้ว แต่ตัวจิตคือตัวฝ่ามือ ไม่ใช่นิ้ว ๕ นิ้ว จิตเป็นจิต ขันธ์เป็นขันธ์ ปัจจยาการนี้มันเป็นสิ่งที่มันเคลื่อนไหว มันเป็นการขยับ ไม่ใช่จิต ถ้าจิตเป็นปัจจยาการ ไม่ใช่ เถียงกันไม่มีวันจบ จบยัง เอวัง