เทศน์เช้า

เห็นถูกสุขจริง

๑๔ ม.ค. ๒๕๔๔

 

เห็นถูกสุขจริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

สอนให้ไปหาผล นี้คนมันไม่พูดถึงผลใช่ไหม พอไม่พูดถึงผลนะ เวลาอธิบายผลมันอธิบายผล ผลกับเหตุมันจะสอดรับกันๆ ถ้าคนไม่รู้ผลมันจะพูดอย่างไร? แต่! แต่เพราะเทศน์ครูบาอาจารย์เราออกมามาก เขาก็จำผลอันนั้นมา

ถึงว่าล่ะ ความสุขในศาสนาไง ความสุขความทุกข์ในศาสนามันมีหยาบมีละเอียดนะ แล้วละเอียดสุด แต่เวลาพูดกันเป็นธรรมะนะ ว่ามันไม่มีหรอก สุขไม่มีหรอก ทุกข์มันเกิดขึ้นอยู่ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป เวลาทุกข์เกิดขึ้นมา สุขมันก็ไม่มี เห็นไหม เวลาทุกข์มันดับไป สุขมันจะเกิดขึ้น

ไอ้นี่มันเวลาพูดกัน มันเป็นเรื่องของโลกเขา เวลาเราพอใจมันก็มีความสุขขึ้นมา คนชอบสิ่งใด คนรักสิ่งใด คนปรารถนาสิ่งใด ได้สิ่งนั้นมาอันนั้นเป็นความสุขของเขา ความสุขของเขานี่เจือด้วยอามิส เห็นไหม โลกนี่มีสุขมีทุกข์ คนถึงแบ่งแยกได้เพราะคนฉลาด มีสุขมีทุกข์ แต่ทุกข์สุขในโลกเขา ศาสนาเกิดท่ามกลางของโลก เห็นไหม ก็เอาสุขเอาทุกข์นี่มาอธิบายให้ฟังว่าสุขกับทุกข์

พอสุขกับทุกข์ของศาสนานี้มันสุขทุกข์ในขันธ์ ในขันธ์แล้วละเอียดเข้าไป ในขันธ์คืออารมณ์ไง ขันธ์นี่คืออารมณ์ความรู้สึก ถ้ามันพอใจ ความรู้สึกเข้าไป แล้วถ้าไม่มีศาสนา เห็นไหม คนที่บอกก่อนที่ไม่มีศาสนา พวกลัทธิชีพราหมณ์ต่างๆ เขาจะบอกว่าเขาถึงซึ่งความสุข คือพระอรหันต์ เพราะจิตมันสงบเข้าไป มันผ่านจากขันธ์เข้าไปอยู่ที่ความสงบนั้น

เวลาจิตมันผ่านขันธ์เข้าไปมันก็มีความสงบใช่ไหม จิตที่สงบมันคือผ่านขันธ์เข้าไป มันสงบจากขันธ์ ขันธ์กับจิตนี่มันกระเทือนกัน เห็นไหม อาจารย์ใช้ว่า “มันมีอารมณ์สอง” อารมณ์กับใจนี่เป็นเพื่อนสอง ถ้ามันเป็นหนึ่งเดียวมันก็ไม่กระเทือนกัน ถ้ามันเป็นเพื่อนสอง ขันธ์นี่เป็นอารมณ์ แล้วหัวใจนี่มันเป็นอีกส่วนหนึ่ง ๒ อันนี้กระทบกระทั่งกันตลอดเวลา มันก็เลยว่ามีเพื่อนสอง

จิตนี้มีเพื่อนนี้เป็นสองก็เลยคิดทุกข์ไป ถ้ามันพอใจมันก็เป็นสุขเป็นทุกข์ อันนี้มันสุขทุกข์ในขันธ์ไง ก็สุขเวทนาทุกขเวทนา เห็นไหม แล้วจิตมันสงบเข้าไปนั้นก็สงบ จิตที่มันสงบเข้าไปนั้นเป็นสุขในนอกศาสนา สุขนอกศาสนาคือความเป็นสมาธิ ทำไมเราว่าอันนี้ไม่เป็นความสุขแท้ล่ะ?

เพราะอันนี้มันเป็นโลกียะ เห็นไหม สิ่งที่เป็นโลกียะที่แหวกขันธ์คือแหวกจอกแหนเข้าไปถึงตรงจิตนี้แล้ว แต่ยังไม่ได้ชำระกิเลสในจิตนั้น คำว่า “โลกียะ” โลกียะคือว่ามันยังเสื่อมสภาพได้ มันตกอยู่กฎของไตรลักษณ์ คือวนอยู่ในโลกนี้

แต่ถ้ามันไปชำระไอ้ที่ว่าหนึ่งเป็นบุคคลคนเดียวนั้นนะ ไม่ใช่กระทบกับขันธ์ เห็นไหม จิตนี้เป็นสัมมาสมาธิ แล้วพิจารณาตรงนั้น ไปชำระกิเลสที่ตรงนั้น ก่อนที่จะชำระกิเลสที่ตรงนั้น การเคลื่อนไป ก่อนที่ศาสนาพุทธจะเกิดขึ้นมา ตรงนี้ไม่มี

พอศาสนาพุทธเกิดขึ้นมาเกิดขึ้นมาเพราะเหตุตรงนี้ มันเกิดศาสนาพุทธขึ้นมา ศาสนาพุทธคือมรรค ๘ ไง มรรคที่มันรวมตัว มรรคที่มันเป็นภาวนามยปัญญา มันจะเกิดขึ้นตรงนี้ไง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรงนี้ พระพุทธเจ้าถึงปฏิญาณตนว่า “ไม่ได้ศึกษามาจากลัทธิศาสนาไหน ไม่มีครูบาอาจารย์จะสอนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้เอง”

ตรัสรู้ตรงนี้ไง ตรัสรู้ว่าเหตุที่ทำให้เป็นโลกุตตระเกิดจากตรงนี้ ถ้าแหวกขันธ์เข้าไปถึงจิตที่เป็นหนึ่งเดียว แล้วเริ่มจับตรงนั้นได้ เห็นไหม จับจิตตัวนี้ได้ วิปัสสนาตรงนั้นเข้าไป นี่คือโสดาปัตติมรรค ผู้ที่เดินโสดาปัตติมรรค เห็นไหม บุคคล ๘ จำพวก ถ้าเราเข้าไปถึง แหวกจอกแหนเข้าไปถึงจุดนี้ จุดถึงว่าหนึ่งเดียวของจิต จิตนี้เป็นหนึ่งเดียว นี่กัลยาณปุถุชน

พวกเรานี่ปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส จิตนี้มีเพื่อนสอง อารมณ์กับจิตนี้จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป แล้วมันควบคุมใจไม่ได้ ถึงว่าเป็นปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส เป็นปุถุชนคนแพ้อารมณ์ตัวเอง เป็นปุถุชนเพราะว่าควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้ แต่ทำความสงบเข้าไป มันจะผ่านขันธ์นี้เข้าไป เห็นไหม ผ่านอารมณ์ความรู้สึกนี้เข้าไปถึงตัวจิตนั้น แล้วจับตัวจิตนั้นได้ ผ่านเข้าไปเป็นกัลยาณปุถุชน ผ่านอารมณ์เข้าไปมันถึงตัวจิตนั้นได้ มันซาบซึ้งใจไง

พอมันผ่านเข้าไปได้ อ้อ.. อันนี้เป็นความสุขมาก อันนี้เป็นปัจจัตตัง เป็นสิ่งที่ว่าเราจับต้องได้ เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาได้ มันมั่นใจเพราะอะไร เพราะเราเป็นคนสร้างสมขึ้นมาเอง สิ่งใดที่เราจับต้อง เราสร้างสมขึ้นมาเอง มันเป็นสมบัติของเรา เราสามารถควบคุมได้ เราจะมั่นใจมาก นี่กัลยาณปุถุชน

กัลยาณปุถุชนคือตัดรูป รส กลิ่น เสียงภายนอก คือขันธ์กับจิตที่เพื่อนสองนี่ออกจากกัน จิตนี้เป็นอิสรเสรี นี่เป็นกัลยาณปุถุชน คือควบคุมใจของตัวเองได้ ใจนี้เป็นอิสระกับเพื่อนสอง มันเป็นคนเดียว มันเป็นเอกเทศ มันไม่มีเพื่อนสองที่มันชักนำไป มันไม่คบเพื่อนอีกแล้ว ถ้าไม่คบเพื่อนอีกแล้ว แล้วถ้ามีอารมณ์เวลาสื่อ สื่อนี้คือว่าเวลามันใช้งานกัน มันก็ใช้งานเขา เป็นเจ้านายไง แต่เดิมนี้เป็นเพื่อนกัน มีอำนาจเสมอกัน ดึงกันไปดึงกันมา แต่พอเป็นกัลยาณปุถุชนนี้เป็นผู้ควบคุมอารมณ์ได้ ให้ควบคุมอารมณ์นั้นแยกจากตัวเองได้

กัลยาณปุถุชนคือเป็นกัลยาณชน เป็นผู้ที่ประเสริฐ เป็นผู้ที่ว่าควบคุมตัวเองได้ แล้ววกเข้าไปหาให้เจอกายกับจิต พอเจอกายกับจิตนี้ถ้าจะยกขึ้นวิปัสสนา นี้เดินตามมรรคแล้ว นี่มัคโคทางอันเอก มีในศาสนาพุทธนี้เท่านั้น พอเดินมรรคเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไปนะ มรรค ๔ ผล ๔ เห็นไหม จนเข้าไปถึงที่สุด ความสุขนี่มันเกิดขึ้นไปได้

พอมรรครวมตัวครั้งหนึ่ง มรรคสามัคคีครั้งหนึ่ง มันชำระกิเลสขึ้นเป็นโสดาบัน ถ้าเป็นโสดาบัน เห็นไหม อกุปปธรรม ไม่เสื่อมสภาพนั้น ความสุขจะมีมั่นคง มั่นคงตรงเป็นอกุปปะ แต่ความทุกข์ที่มันยังมีอยู่มหาศาลข้างใน

ความสุขในศาสนามันมีจริง แล้วมันไม่ใช่ว่ามีแล้วมันจะเสื่อมสภาพอีก อกุปปะคือความมั่นคงที่ไม่แปรสภาพ จากโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จนขึ้นไป เห็นไหม จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข เห็นไหม วันวิสาขบูชา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมทั้งหมดเลย แล้วเสวยวิมุตติสุข ทำไมต้องมีคำว่า “เสวย” อีกล่ะ?

คำว่า “เสวย” นี่เป็นคำว่าสมมุติ แต่มันไม่ได้เสวยหรอก มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นวิมุตติสุขอยู่แล้ว วิมุตตินี่วิมุตติอยู่ตลอดเวลา แล้วถ้ามันปล่อยออกมาก็มีอารมณ์กระทบ เห็นไหม แต่นี่ท่านเสวยวิมุตติสุขคือนั่งอยู่โคนต้นโพธิ์นั้น ๗ วันนะ เสวยวิมุตติสุข สุขอันนี้ สุขในศาสนาพุทธนี้ถึงว่ามันมีจริง มันไม่ใช่สุขแบบที่ว่าเราเข้าใจกัน เรามองเห็นกัน

นี่ศาสนาประเสริฐประเสริฐมหาศาล ประเสริฐตรงนั้น สุขในศาสนานี้มี วิมุตติสุขนี้เป็นสุขที่ว่ายั่งยืน เป็นสุขที่คงที่ เป็นสุขที่ไม่แปรสภาพ เพราะจิตจากที่ว่าแหวกอารมณ์สองเข้ามา จนถึงตัวมันเองแล้วภาวนาเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนชำระเป็นโลกุตตระ

แต่ถ้ายังเป็นเพื่อนสองอยู่ ยังเป็นอารมณ์ที่เราพิจารณาของเราอยู่ เห็นไหม นี่สุขในขันธ์ สุขในขันธ์คือสุขในความพอใจ เวทนาขันธ์ เห็นไหม สุข ทุกข์ เฉยๆ นี่เวทนา มีความสุข มีความทุกข์ แล้วแต่ว่าใจมันจะเสวยอะไร มันพอใจสิ่งใด

สุขทุกข์อันนี้มันถึงมันไม่มี เพราะอะไร มันเป็นสมมุติไง มันเกิดขึ้นชั่วคราว เวลามันเกิดขึ้นพักหนึ่ง ทุกข์ขนาดไหนมันก็ต้องดับไป ทุกข์ขนาดไหนมันก็ต้องแปรสภาพไป มันตกอยู่ใต้ของอนัตตาแต่เราไม่เห็นมัน เราจึงเป็นทาสของมัน แปรสภาพของมันไป เวลานี่มันถึงไม่คงที่ มันถึงมองไม่เห็นไง

เขาถึงบอกว่าทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป..

จริง! จริงตามสมมุติ แล้วบัญญัติเข้ามาครอบเข้าไป บัญญัติคือพระพุทธเจ้าตรัสบัญญัติเป็นขันธ์ ๕ เป็นอะไร

นี่สุขทุกข์ในศาสนาในฝ่ายเหตุที่การกำลังก้าวเดินอยู่ไป มันเป็นสมมุติทั้งหมด คือว่ามันน่าเป็นภัยไง มันที่ว่าธรรมะสอนว่ามันเป็นของที่ไม่คงที่ ของที่เกิดขึ้นชั่วคราว ของที่ยืมมา มันถึงน่าจะเห็นโทษ แต่คนจะเข้าใจมันต้องวิปัสสนาจนเป็นโลกุตตระ พอโลกุตตระ กิเลสมันกลัวธรรม โลกุตตระเกิดขึ้น มรรคมันเกิดขึ้นมันจะไปปหานกันตรงนั้น มันไม่ใช่เข้าใจแล้วแค่แหวกเข้ามา ผ่านเข้ามา การผ่านเข้ามาคือผ่านเข้าไปหา อย่างเช่นว่าเขาจะทำธุรกิจกันเขาต้องหาทุนก่อน หาทุนหาเทคโนโลยีต่างๆ

อันนี้ก็เหมือนกัน การแหวกเข้าไปนั้นคือหาต้นทุนไง การแหวกเข้าไปเจอตรงตอของจิตหรือเจอกายอย่างนั้น แล้วถึงจะเดินวิปัสสนา การเดินวิปัสสนานั้น นี่อกุปปะจะเกิดจากตรงนั้นเข้าไป แต่ถ้าไม่มีตรงนี้ มันอธิบายตรงนี้ไม่ได้ อธิบายผลของอกุปปธรรมกับกุปปธรรม อธิบายว่าสุขที่เกิดขึ้น เจริญขึ้น เสื่อมไปโดยธรรมดา นี่มันอยู่ในวงของวัฏฏะ อยู่ในวงของอนิจจังทั้งหมด กับสุขในวิมุตติสุข สุขในอกุปปะตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปนั้นไม่แปรสภาพ

ถ้ามันมีผลเข้าใจตามผลนั้น ขณะที่ว่าจากโลกียะแปรสภาพเป็นโลกุตตระ ความแปรสภาพ เห็นไหม ที่ว่าเมื่อวานนี้ที่ว่ามันระเบิด มันต้องระเบิด มันต้องทำลายกัน สิ่งที่ทำลายกันในศาสนาสอนที่ว่า “เวลากิเลสมันขาดดังแขนขาด” คนที่เห็นแขนขาด คนที่ปาระเบิด คนที่ถ้าพูดว่าเรานะ เหมือนคนที่ทำลายสิ่งที่ว่าสกปรก เหมือนกับทำลาย เราฆ่ากิเลส ไม่ใช่ฆ่าเรา มันเหมือนกับการทำลายตัวเอง มันจะทำไม่ได้เพราะว่าเป็นการทำลายตัวเอง

แต่เราเข้าใจว่าการทำลายตัวเองในทางโลก ฆ่าตัวตายนี่เป็นบาปกรรมมหาศาล แต่การฆ่ากิเลสนี้ประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่ตรงเพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ มันต้องทำลายที่ใจ มันถึงต้องระเบิดไง

เหมือนกับระเบิดบ้านเรา ไม่มีใครกล้าทำระเบิดบ้านระเบิดที่อยู่อาศัยของตัวเอง ยิ่งระเบิดออกไป สิ่งที่เป็นวัตถุที่กระจายออกไป แต่นามธรรมที่เหลือ เจ้าของบ้านที่เราระเบิดบ้านออกไป บ้านเราสกปรกนั้น คิดว่าเป็นบ้านของเรา ระเบิดออกไปแล้วมันเป็นของชั่วคราว ระเบิดก่อน เห็นไหม ที่เขาบอกว่า “ตายก่อนตาย รู้ก่อนรู้” เห็นไหม มันทลายออกไป

มันถึงว่าถ้าอย่างนั้นแล้วมันถึงว่ามันไม่แปรสภาพอีก นามธรรมอันนั้นไม่แปรสภาพอีก ถ้าเป็นบ้าน บ้านยังเก่าชราคร่ำคร่าไปได้ ขันธ์นี้ต้องแปรสภาพไปโดยธรรมชาติของมัน เพราะมันอยู่ใต้กฎของอนิจจัง แต่สิ่งที่รู้ขึ้นมาเป็นอกุปปธรรม มันถึงจะอธิบายว่า มันไม่ใช่ว่ารู้เท่าแล้วมันจะปล่อยหรอก มันต้องรู้จนเห็นโทษไง โดยวิปัสสนา เห็นโทษแล้วมันชำระขาดออกไปจากใจ

พอมันเห็นผลอันนั้นถึงบอกว่ามันเป็นผลที่ตายตัว มันไม่ใช่เป็นผลที่เกิดดับ สิ่งที่เป็นสมมุติอยู่นี้เป็นอาการที่เกิดดับ อาการที่เกิดดับแปรสภาพเรายังทุกข์อยู่ เราอยู่ใต้อำนาจของมัน แต่สิ่งที่เป็นอกุปปะมันตายตัว คงที่

สิ่งที่คงที่ เห็นไหม อกุปปะทำให้ไม่เสื่อมสภาพจากต่ำ แต่สูงขึ้นไปจนถึงวิมุตติสุข สุขอันนั้น พอสุขอันนั้นปั๊บ มันถึงบอกสุขโดยสุขเฉยๆ โดยเอกเทศ ไม่อาศัยสิ่งใดเป็นเกาะเกี่ยวเลย มันถึงว่าถ้าอย่างนั้นมันต้องเห็นหมด ความขาดอันนี้ต้องแน่นอนออกไป มันถึงจะเป็นผลขึ้นมา สุขในศาสนา สุขในการเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติ แล้วมันจะเห็นจริงเข้าไป เห็นจริงเข้าไป

พอพูดถึงผลอันนั้น มันก็เข้าใจเหตุอันนี้ ถ้าผลอันนั้น พูดถึงว่ามันไม่พูดวงรอบของผลอันนั้น เหตุนั้นมันก็ไม่รับกัน เหตุนั้นมันก็รับกันได้แค่! แค่เห็นไหม แค่ทำความสงบเข้ามา แล้วมันเสื่อมสภาพ ผลมันพูดออกมาอย่างนั้น เห็นไหม ผลที่ว่าตามรู้ตามทันแล้วมันจะจบ แม้แต่คนที่ชำระไปแล้วก็ยังตามรู้ตามทันไปจนจบ เพราะมันไม่เข้าถึงผลอันความเป็นจริงไง ไม่เข้าถึงผลอันเป็นอกุปปะไง เข้าถึงผลที่ว่าเคยต้องรักษาเอาไว้ตลอดไป

นั่นมันถึงว่าเป็นสมถกรรมฐาน ว่าถ้าเป็นสมถะนะ เขายังว่าทำไม่ได้ ถึงจะเป็นสมถะ เขาว่ายังไม่เป็นสมถะอีก เพราะอะไร เพราะไม่เข้าใจตามความเป็นจริง...ไม่ต้องไปเข้าใจมัน ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน ต้องเรียนจนเข้าใจสมถะถึงจะทำสมถะได้ ต้องเรียนวิปัสสนาถึงทำวิปัสสนาได้ เรียนขึ้นมาเป็นสุตมยปัญญา แล้วจินตมยปัญญา แล้วก็ทำเข้าไปจนเกิดเป็นภาวนามยปัญญา

มันไม่มีในตำราหรอก มันจะเกิดขึ้นเองรู้เองตามหัวใจอันนั้น แล้วมันจะสมุจเฉทปหานจากใจดวงนั้นโดยธรรมชาติ ใจดวงนั้นนะ ใจทุกดวงที่ยังมีความรู้สึกที่ยังจับต้องได้ ทำได้หมดทุกดวงใจ ไม่มีดวงใจไหนเลยที่ไม่มีวาสนา

เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐที่สุดแล้ว การเกิดเป็นมนุษย์แล้วพอหันจิตเข้ามา ปัญญาอันนี้สำคัญมาก หันใจเข้ามาศึกษาในศาสนา อยากศึกษาในศาสนา แล้วพอศึกษาใจมันมีโอกาสไง คนที่มีโอกาสเหมือนคนที่ได้สมัครงานแล้วมีงานทำ เห็นไหม ทำงานเข้าไปงานต้องประสบความสำเร็จแน่นอน เพียงแต่ว่าต้องพยายามมุมานะเข้าไป มุมานะ เห็นไหม

เหตุชำระกิเลสมันสำคัญที่สุด ใจนี่มันหมักหมมไปด้วยกิเลส ใจนี่มันเป็นสมบัติอันล้ำค่า มันเกิดมันตายอยู่นี้ใจพาเกิด ใจพาเกิดใจที่เป็นมนุษย์อยู่นี้เพราะมีใจขึ้นมาถึงเป็นมนุษย์ เวลาคนตายไปซากศพนี้อยู่ครบบริบูรณ์ มีแต่หัวใจนี่ออกจากร่างไปเท่านั้นเอง แล้วหัวใจก็ไปเกิดใหม่เกิดใหม่ ถ้ามันถึงตรงนั้นแล้วมันต้องพลัดพรากโดยธรรมดาของมัน

แต่ถ้าเราเข้าใจเสียตรงนี้ พลัดพรากเสียตรงนี้ พลัดพรากออกจากกิเลส ทำลายออกจากมันทั้งหมด นี่ใจถึงประเสริฐ มันเกิดมาด้วยความสกปรก แต่มันจะประเสริฐ จะสะอาดบริสุทธิ์อยู่ท่ามกลางหัวใจของเรา มันจะสะอาดบริสุทธิ์อยู่ท่ามกลางหัวใจ ฟังสิ! แล้วมันจะรู้ผลตามความเป็นจริงทั้งหมด เอวัง