เทศน์เช้า

คุณความดี

๕ ธ.ค. ๒๕๔๒

 

คุณความดี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ไอ้รายการตามหาแก่นธรรม เห็นไหม โยมเขาพูดว่าไปทางใต้ ไปคุยกับพระตั้ง ๓ - ๔ ชั่วโมง แหย่อย่างไรก็ไม่โมโห แหย่ก็ไม่โมโห ไปหาหลวงตาพูด ๒ คำเท่านั้น โอ้ย โมโหมากเลย ไหนว่าเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ทำไมแหย่เข้าไป ๒ คำโมโหโทโสขนาดนั้น พระอรหันต์ทำไมเก็บความโมโหไว้ไม่อยู่ เห็นไหม แล้วก็หัวเราะกันครืนๆ ทั้งรายการเลย นั่นเขาพูดนี่ เพราะอะไรล่ะ?

เพราะเขาเป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันทั้งหมด นักวิชาการใช่ไหม ความเป็นวิชาการ วิชาการมันเป็นสิ่งที่ดี วิชาการที่เป็นแผนที่ อาจารย์มหาบัวเคยไปเอ็ดพวกหมอ เพราะพวกหมอนี่ถือว่าผู้เรียนหมอเป็นปัญญาชน คนที่ว่ามีปัญญามากกว่าเขา จะมีทิฐิมานะมาก หมอนี่จะมีทิฐิมานะมาก แต่วิชาที่เรียนมามันเป็นวิชาชีพ มันไม่ใช่วิชาแก้กิเลสหรอก

นักวิชาการก็เหมือนกัน นักวิชาการนี่มีรู้วิชาการมาก แล้วเอาวิชาการนั้นมาเป็นพื้นๆ ไง มันเปรียบเหมือนไฟ ไฟเห็นไหม ไฟเผา พอเผาอะไรเข้าไป มันเป็นอารมณ์ของความโกรธ ไฟเผาเข้าไป แต่ไฟนี้ ในการก่อสร้างบ้านเรือน ในก่อสร้างสิ่งก่อสร้าง ไฟมันสามารถเชื่อมต่อเหล็กขึ้นมาให้เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงขึ้นมาได้ เห็นไหม ไฟมันใช้ได้ ๒ อย่าง ใช้ในทางที่ว่าเป็นทางโมโหโทโสก็ได้ อารมณ์โกรธเห็นไหม แต่ใช้ในทางดี ธรรมก็เหมือนกัน พระอรหันต์ต้องเป็นพระอรหันต์สิ ในเมื่อท่านว่าท่านเป็นพระอรหันต์นะ แต่การแสดงออก นักวิชาการจะเอาอะไรมาจับพระอรหันต์ล่ะ?

ในครั้งพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นพระอรหันต์นะ แล้วมีอยู่กาลหนึ่งคราวหนึ่ง เห็นไหม “นาคิตะ นั้นพวกใคร อย่างกับชาวประมงเขาหาปลากัน พวกใคร?” บอกตามไปหา “อย่างกับชาวประมงเขามาหาปลากัน พวกใคร?” ถามพระนาคิตะ

พระนาคิตะบอกว่า “พระลูกศิษย์พระสารีบุตร” ก็บอกว่า “เหมือนชาวประมงหาปลากัน เหมือนชาวประมงเขามาหาปลากัน” ก็เลยบอกว่า “ให้ไล่ไปให้หมด!” ให้ไล่ไป เห็นไหม

ลูกศิษย์พระสารีบุตรจะมากราบพระพุทธเจ้า เข้ามาหาพระพุทธเจ้า แล้วเข้ามาถึงกลางคืน ส่งเสียงดัง เก็บของอยู่ กำลังจัดที่นอนอยู่ “ให้ไล่ไปให้หมดเลย!” จนพระนาคิตะก็ต้องไปไล่ออกไป นี่พระพุทธเจ้าไล่ออกไป เห็นไหม ไล่ออกไป จนพรหมเข้ามานะว่า “พระที่บวชใหม่ก็มี ผู้ที่ยังไม่รู้ก็มี” คือว่าให้ไปเรียกกลับมา ไปเรียกกลับมาแล้วมาสอนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาก็มี ขนาดนั้นเห็นไหม

เวลาผิดแล้วมันไล่ออกไปได้ เห็นไหม พระพุทธเจ้ายังทำขนาดนั้น มีอารมณ์ คำว่า “มีอารมณ์โกรธ” มันไม่ใช่อารมณ์โกรธแบบโลกๆ เขา แต่ทางวิชาการใช่ไหม ว่าต้องไม่มีอารมณ์เลย ต้องเป็นเหมือนกับผ้าพับไว้ ต้องเรียบง่ายเหมือนผ้าพับไว้ทั้งหมด เห็นไหม แล้วก็ว่าแหย่เข้าไปอย่างไรก็ไม่มีอารมณ์

นี่มันเป็นเหมือนความเหมือนไง ความเหมือนกับความจริงมันต่างกัน ความเหมือนนักวิชาการมันเข้าได้แค่ถึงความเหมือน เห็นไหม เข้าถึงความเหมือนก็เก็บกดความอันนั้นไว้ เก็บกดไว้ว่าให้เราอยู่ในขอบเขตไว้ตลอดเวลา ให้เราอยู่ในขอบเขต เก็บกดไว้ แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้นจริงไหม? มันจะเป็นอย่างที่ว่ากิเลสมันหมดไปไหม?

ถ้ากิเลสหมดไป มันต้องกล้าหาญ อย่างเช่น ที่ว่าอาจารย์มหาบัวบอกว่า “สมัยที่ว่าอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเป็นพระอะไร?” หลวงปู่มั่นเผาแล้วเป็นพระอรหันต์ แต่เวลาหลวงปู่มั่นเอ็ดพระนะ พระนี่กลัวจนตัวสั่นกันไปหมดเลย พระนี่จะกลัวมาก กลัวหลวงปู่มั่นมาก หลวงปู่มั่นจะรู้วาระจิตไปก่อนด้วย ว่ารู้ไปข้างหน้านะ แล้วไปหาว่าคิดอย่างนั้นถูกได้อย่างไร? ทำอย่างนั้นถูกได้อย่างไร? ถ้ามันเป็นประโยชน์ แต่ถ้าคิดดีแล้วมันเป็นโทษ ท่านจะไม่พูดเลย แต่ถ้ามันเป็นประโยชน์

นี่ก็เหมือนกัน หาว่าไปคุยกับทางนั้น ๓ ชั่วโมง ไม่มีปฏิกิริยาเลย เงียบสงบแล้วไม่ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ผู้ที่ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ เห็นไหม ไปแหย่ ๒ คำ โอ้โฮ โมโหโทโสนี้ออกมารุนแรงมาก แล้วก็หัวเราะกันครืนทั้งรายการเลยนะ ว่านั่นหรือพระอรหันต์ คือว่าเขาดูถูกว่าไม่ใช่พระอรหันต์ไง เขาไม่เชื่อว่าความเป็นอย่างนั้นเป็นพระอรหันต์ไง

เพราะว่าเขาเอาวิชาการของเขา วิชาการคือนักวิชาการทั้งหมด ถ้าไปคุยกันทางนั้นเขาจะเข้ากันด้วยวิชาการ เขาเข้ากันด้วยวิชาการ เขาเข้าด้วยความเหมือน เขาเข้าด้วยความเป็นรูปแบบนั้นเห็นไหม แต่เขาไม่ได้เข้าด้วยความเนื้อหา แล้วมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา?

จากว่าโกรธที่สุด จากที่ว่านิ่มนวลที่สุด ให้มันเป็นอยู่ตรงกลาง เห็นไหม นี่ฉุยฉายไง การฉุยฉายไปฉุยฉายมา การฟ้อนไปการฟ้อนมา การอยู่ตรงนั้นอยู่แต่วิชาการ แล้วมันได้อะไรขึ้นมา มันเป็นจินตมยปัญญา มันไม่ใช่ภาวนามยปัญญา ความเป็นพระอรหันต์มันไม่ได้เป็นที่ตรงกิริยาตรงนี้ ความเป็นพระอรหันต์มันเป็นที่ใจ ใจขาดจากกิเลส ใจขาดจากทั้งหมด ใจนั้นเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ใจนั้นจะออก-ไม่ออก นั่นมันไม่มีเลย มันเป็นหัวใจที่ว่าพ้นออกไปแล้ว มันไม่มีเลย

แต่พยายามจะออกมา กระเพื่อมออกมาคือจับไง จับออกมา เพื่อกระเพื่อมออกมา สื่อเป็นสมมุติออกมา มโนสัญเจตนาหารต้องตั้งอยู่ที่ใจ สติมันพร้อมมาขนาดนั้น แต่ทำไมท่านโมโหโทโสล่ะ? ทำไมท่านดุล่ะ? ดุเพื่อจะให้มันเข้าเป็นเหตุเป็นผลไง ดุเพื่อคนที่มันกำลังจะผิดพลาดไปไง ดุเพื่อให้คนนี้เข้าร่องเข้ารอยในความดุอันนั้น เห็นไหม ดุอันนี้มันเป็นดุประโยชน์นี่นา

มันเหมือนกับไฟที่ว่าเขาเชื่อมเหล็กกัน เห็นไหม ไฟเชื่อมเหล็กมันก็ต้องสปาร์คตัวมันเองอย่างรุนแรงมาก แต่เชื่อมเสร็จแล้วเห็นไหม เหล็กมันขึ้นเป็นโครงสร้างขึ้นมา เป็นบ้านเรือนขึ้นมา เป็นสัจธรรมขึ้นมา เป็นธรรมนี่มันเป็นนามธรรม แต่คำสั่งสอนขึ้นมาให้ผู้รับรับได้ความสะเทือนใจขึ้นมา นั่นมันทำให้ใจนั้นเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา วุฒิภาวะของใจที่รับฟังขึ้นมามันมีโครงสร้างขึ้นมาในใจนั้น มันถึงไฟอันนี้มันต้องดุ ดุเพื่อเป็นมรรคไง

มันมี ๒ อย่าง ดุแบบเขาโมโหโทโสทางโลกเขา อันนั้นเขาดุเพื่อจะทำลายกัน แต่นี่มัคคะอริยสัจจัง เห็นไหม ความเพียรชอบ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ ดำรินี้มันดำริออกนอกทาง แต่ผู้ที่ไม่ทำอะไรเลย ผู้ที่ปล่อยให้มันเป็นความเหมือนไง เก็บกิริยาไว้ทั้งหมด ดุก็ไม่ได้ ว่าก็ไม่ได้ แล้วมันจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น?

ฝนมันจะตก ฟ้ามันต้องร้อง เห็นไหม ฟ้าจะร้อง ฝนนั้นครืนคราน แต่ฝนตกลงมาชื่นเย็นฉ่ำ คนมองตรงนี้ไม่ออกไง มองว่าสัจธรรมที่มันแสดงตัวออกไป มันแสดงให้คนโง่ คนที่ไม่เข้าใจ คนที่ไม่รู้...เห็นนี่ คนที่ไม่รู้แล้วดึงให้เข้าทาง อันนั้นมันเป็นกิริยาเหมือนกัน กิริยาของพระอรหันต์กับกิริยาของปุถุชนเหมือนกัน กิริยาเหมือนกัน เห็นไหม ถึงขันธ์ ๕ ที่เป็นภาระนี้ ขันธ์ ๕ ที่เป็นทุกข์ไง

ขันธ์ ๕ ที่เป็นทุกข์ เห็นไหม ขันธ์ ๕ ก็ความคิดเหมือนกัน แต่เป็นขันธมาร ขันธ์นี้ผูกเป็นความคิดเรา เรายึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่นใครมาสะกิดไม่ได้เลย มันจะมีความโมโหโทโสเกิดขึ้นเพราะว่าเรายึดมั่นถือมั่น เราหวงเราแหน เรากอดของเราไว้ นี่ขันธมาร

แล้วขันธ์ที่เป็นภาระล่ะ มันเป็นภาระเฉยๆ ภาระแค่สื่อความหมาย สื่อให้รู้กัน สีนั้นเป็นสีนั้น สีนั้นเป็นสีนี้ คำพูดที่สื่อถึงกัน ถ้าหยิบจับต้องมันก็สื่อกันได้ ถ้ามันสื่อแล้วมันปล่อยวาง มันก็ไม่มีอะไร เห็นไหม ขันธ์ที่เป็นภาระ มันไม่ไปทำให้กระทบ มันไม่ไปทำให้เดือดร้อนหรอก มันไม่มีความอุปาทาน ไม่มีการยึดมั่นถือมั่น มันจะไม่มีความโมโหโทโสออกมาเลย

แต่! แต่ในเมื่อน้ำป่าไหลออกมา เห็นไหม สิ่งที่ควรจะเป็นประโยชน์ สิ่งที่ควรจะเป็นธรรม สิ่งที่ควรคนๆ นั้นให้ได้คิด มันก็ต้องรุนแรงอย่างนั้น เด็ก... เด็กจะออกไปทำความผิด เราบอกว่าหนูเอ๊ยอย่าไปนะ อยู่สบายๆ ใครมันจะฟัง มันก็ต้องใช้อารมณ์ที่ดุด่าว่ากล่าว แต่ดุด่าว่ากล่าวด้วยอุบายวิธีการเพื่อจะให้เด็กของเราเป็นคนดี ฉะนั้นกิริยานี้มันถึงเหมือนกันไง

ความเหมือนกันของกิริยา เห็นไหมว่าปุถุชนกับพระอรหันต์เหมือนกันตรงนั้น แต่หัวใจที่เป็นพระอรหันต์ต่างหาก หัวใจที่เป็นพระอรหันต์อันนั้นมันไม่มีทางกระเพื่อมออกมาเด็ดขาด กระเพื่อมออกมามันก็มีสติรู้มาตลอดเวลา นี่รู้ออกมา แล้วใครจะเอาความรู้อันนี้ไปจับล่ะ?

พอมันจับไม่ได้ มันไม่ได้คุยกับผู้รู้ด้วยกันนี่นา คุยกับนักวิชาการด้วยกัน เห็นไหม ว่าแหย่ ๒ คำเข้าไปก็โมโห ฟังสิ! ฟังว่าคุยกัน ๓ - ๔ ชั่วโมงไม่มีปฏิกิริยาเลย ก็คุยกันด้วยวิชาการไง ฉุยฉายไง รำไปรำมาอยู่ด้วยกัน ๒ ฝ่าย มันจะมีอะไรไปสะเทือนใจกันล่ะ มันไม่มีอะไรไปสะเทือนใจกัน มันไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์ขึ้นมา เห็นไหม เป็นวิชาการไง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํไง ถ้าพูดธรรมเป็นกาลเวลาเป็นมงคลอย่างยิ่ง อันนี้พูดให้หลับให้เคลิบเคลิ้มกันไง พูดวิชาการ พูดให้น้ำลายแตกฟองไง แล้วสะเทือนหัวใจไหมล่ะ?

มันก็ถึงว่าไม่มีอะไรกัน ๓ - ๔ ชั่วโมง ให้ครึ่งวันค่อนวันมันก็ไม่มีอะไรต่อกัน เพราะอะไร เพราะมันเป็นความเหมือนนี่ มันไม่ใช่ความจริง แต่ถ้าเป็นความจริง แหย่เข้าไป ๒ คำ พอแหย่เข้าไป ๒ คำ โอ้โฮ โมโหโทโส ไหนประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ ทำไมพอพูดเข้าไป ๒ คำมีโมโหโทโส โอ้โอ๊ยโกรธมากออกมา แล้วก็หัวเราะกันครืนเลยนะ

โมโหโทโสเอาอะไรไปจับ? คำว่า “แหย่” แหย่เพื่ออะไร แหย่เพื่อลองของ แหย่เพื่อให้ทางโน้นมีอารมณ์ขึ้นมาใช่ไหม?

ถ้าเป็นผู้ที่ว่าเขาต้องการประโยชน์ขึ้นมา เขาเฉยเสียก็ได้ อาจารย์จะเฉยซะไม่พูดมันก็ได้ บางทีเขาแหย่ขนาดไหนท่านยังไม่พูดเลย ไม่พูด ไม่สนใจ คนจะทำผิดขนาดไหนก็ไม่พูด แต่อะไรที่เป็นประโยชน์ไง เป็นประโยชน์ที่ว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ สิ่งที่สัจธรรมมีอยู่ คนที่รู้ยังมีอยู่นะ

อย่าคาดหวัง อย่าหวังว่าเราเป็นนักวิชาการ เรามีความรู้สูงมาก โลกนี้อยู่ในความคิดของเรา เราจะเก่งมาก เราจะครอบคลุมไปหมด แล้วไม่มีใครรู้เหมือนเรา นั่นมันยึดมั่นถือมั่นตรงนี้ไง ผู้รู้มีอยู่คือหมายถึงว่าผู้รู้ถึงสัจธรรมมีอยู่ ไม่ใช่ผู้รู้วิชาการมีอยู่ ผู้รู้วิชาการนี้ การศึกษาเล่าเรียนเรียนทันกันได้หมด การศึกษา การประกอบอาชีพการงานมันทันกันได้นะ เวรกรรมมันซับซ้อนไปๆ มันต้องวนมาถึงจุดหนึ่งจนได้นะ

แต่ผู้รู้จริงมีอยู่ไง ถึงมรรคผลนิพพาน ถึงของจริง พระอรหันต์ที่มีจริงมีอยู่ การแสดงออกมาก็การแสดงออกมาแบบพระอรหันต์ไง การแสดงออกมาอย่างนั้นคือแสดงออกมาให้ผู้ที่ว่ามันรู้อยู่แน่อยู่ ให้รู้ว่าสิ่งนั้นผิดอยู่ แต่! แต่วิชาการก็ไม่สามารถรับธรรมอันนั้นได้ไง ถึงว่าอันนั้นยังเป็นความโกรธอยู่ เห็นไหม แหย่เข้าไป ๒ คำนั้นเป็นความโกรธอยู่

ก็ไปแหย่ไปลองของนี่นา มีอยู่ของเขาว่ามานะ ของเขาที่วิชาการเขาว่ามา เวลาขันธ์ขาดไปแล้วจะหาย จะไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด จะเรียบง่าย ขันธ์ขาดแล้วไม่มีไง ขันธ์ขาดแล้วไม่มี ขันธ์ขาดคือความจำไม่มีไง ความกระทบกระทั่งไม่มี มันจะว่าง มันจะโล่ง มันจะไม่มี อันนั้นมันขอนไม้ อันนั้นมันเป็นธาตุเฉยๆ ไง

แต่ธาตุรู้ไม่เป็นอย่างนั้น ธาตุที่เป็นพระอรหันต์ ธาตุที่รู้สิ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังกลับไปสอนไปโปรดบิดา เห็นไหม ทำไมไปเอาราหุลมาบวชเป็นเณร?

“สารีบุตรบวชให้เถิด”

นี่จะให้สมบัติทรัพย์อะไรในโลกนี้? มาขอสมบัติ นางพิมพาให้ราหุลมาขอสมบัติไง

บอกว่า “พิจารณาดูแล้วสมบัติในโลกนี้ สมบัติที่เขาขอ สมบัตินั้นมันแค่ปกครองบ้านเมือง” บอกว่า “ให้พระสารีบุตรบวชให้” เห็นไหม บวชให้

พอบวชให้แล้วเณรราหุลก็เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเพราะอะไร เพราะให้อริยทรัพย์ไง แล้วพระพุทธเจ้าไปน่ะ ขันธ์ขาดไปทำไมจำได้ล่ะ? สัญญาหมายที่ความจำได้ว่าราหุลนี้เคยเป็นลูกมาเก่า จำได้หมายว่าเป็นพ่อ แต่ของเขาว่าขันธ์ขาดแล้วไม่มี คืออารมณ์ไม่มีไง

นี่ไงนักวิชาการ วิชาการใคร่ครวญว่าเวลาขันธ์ขาด เวลาพิจารณาออกไป กิเลสขาดออกไปแล้วขาดออกไปหมดเลย เหมือนกับโล่งอยู่ ตัวเองอยู่บนอวกาศ สื่อกับใครไม่ได้เลย ว่าง โล่ง เป็นอวกาศอยู่อย่างนั้น มันเป็นนิพพาน

พรหมลูกฟัก! มันเป็นอุปกิเลส มันเป็นความว่างที่ปิดกั้นความรู้สึกของตนไว้ไง ซุกความเห็นของตัวเอาไว้ใต้พรม กลัวว่าเขาจะหาว่าเรามีอารมณ์ พยายามกลบเกลื่อนเอาไว้ไง

มันถึงว่าไม่มีความรู้สึกไง ว่าขันธ์ขาด ขาดสูญไง แล้วมีคนมาถามอาจารย์ อาจารย์บอกไง บอกว่า “ขันธ์ขาดมันขาดมี” ขันธ์ขาดคือว่าเวลาพิจารณาเข้าไป พิจารณากายเข้าไป พิจารณาจิตเข้าไป กายกับจิต ขันธ์นี่มันขาดออกไป มันจะขาดออกไปแบบมันเอามือตัดน้ำ พอตัดออกไปสมุจเฉทปหานขาดออกไป เห็นหมด สังโยชน์ที่มันติดอยู่มันจะขาดออกไป

พอมันขาดออกไปแล้ว มันก็กลับมาอยู่เหมือนเก่าเพราะอะไร เพราะภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้เป็นภาระอย่างยิ่งจนกว่าจะถึงกับปรินิพพานไป ถึงเวลาดับขันธ์ เห็นไหม ดับขันธ์ แต่กิเลสเวลาตายขึ้นไป พระอรหันต์ตายกับปุถุชนตายถึงต่างกัน พระอรหันต์ตายน่ะ กิเลส ขันธ์นี้มันขาดมาตั้งแต่ตอนสมุจเฉทปหานแล้ว เวลาตายไปจิตมันมีความสุขมากเพราะอะไร เพราะมันจะไปเสวยวิมุตติสุขของมัน

“สอุปาทิเสสนิพพาน” คือว่าเป็นพระอรหันต์อยู่ แต่ยังมีพวกเศษส่วนนี้คุมมันอยู่ ยังมีเศษมีส่วน มีความเป็นภาระ ขันธ์นี้ต้องเป็นภาระ ต้องพาขับพาคิด เห็นไหม มันยังมีอยู่ แต่จะตายไปนี่มันมีความสุขมาก กับปุถุชนนะที่ว่าขันธ์ขาดๆ ขันธ์ไม่มี เวลามันตายไป มันจะไม่มีไปไหน? ถ้าไม่มีเขียนพินัยกรรมไว้ทำไม? ทำไมต้องเขียนพินัยกรรมไว้? ถ้ามันขาดไปแล้วมันต้องไม่มีสิ นี่ยังห่วงนะ เขียนพินัยกรรมไว้นะ ตายแล้วต้องเผาอย่างนั้นนะ ต้องเอากระดูกไปโรยที่นั่นๆ อันนั้นมันอะไร?

อันนั้นมันไม่ใช่ภาระ มันไม่ใช่ความติด มันไม่ใช่ขันธ์ผูกมัด มันอะไร?

แต่จะบอกว่าอันนั้นเวลาพูด ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมงไม่มีอารมณ์นะ แต่ถ้าพูดแล้ว ๒ คำนี่ แหม ต่อเข้ามามีอารมณ์มากนะ ธรรมมันก็คือธรรม ธรรมอยู่ในหัวใจที่เป็นธรรม พระอรหันต์ก็อยู่ในใจที่เป็นพระอรหันต์ไง ใจที่ขาดจากกิเลสแล้วนั่นถึงเป็นพระอรหันต์ เห็นไหม เวลามันตายถึงตายอย่างนั้น นี่ผู้รู้รู้อย่างนี้ไง

แต่นั่นไปแหย่ผู้รู้นี่นา ไปแหย่ผู้รู้ คิดว่าผู้รู้จะเหมือนกับความเห็นของตัวไง ความเห็นของนักวิชาการไง ความเห็นของการฉุยฉายไง รำป้อกันไปป้อกันมาไงว่าอันนั้นจำมา เห็นไหม นิพพานต้องเป็นอย่างนั้นนะ อยู่กันกลางอวกาศ สื่อกับใครไม่ได้เลย สื่อกับคนโน้นก็ไม่ได้ เพราะสื่อแล้วมันจะเกิดอารมณ์ ต้องออกมานิ่มๆ นวลๆ เห็นไหม มันถึงไม่ได้ประโยชน์อะไรกัน ลูกศิษย์ลูกหาถึงเป็นอะไรขึ้นมา?

หลวงปู่มั่นนี้เป็นพระอรหันต์ เพราะว่าท่านได้ดับขันธ์ไปแล้ว เผาแล้วกระดูกท่านเป็นพระธาตุทั้งหมดเลย แล้วท่านฝึกออกมา เห็นไหม หลวงปู่ขาวก็เผาตามไป หลวงปู่แหวนก็เผาตามไป หลวงปู่พรมเผาตามไป ตายแล้วเผาๆๆ เผาแล้วเก็บกระดูกไว้ไปยืนยันกันว่าเป็นพระธาตุแล้ว แล้วคำสั่งสอนมา เห็นไหม ถึงไม่ขัดกัน ไม่ขัดกัน ได้ตรวจสอบกันมาแล้ว นี่คือพระอรหันต์

พระอรหันต์นี่รู้ตามความเป็นจริงไง แล้วพระอรหันต์ไม่ใช่พระอรหันต์แบบเป็นใบ้ไง พระอรหันต์แบบไม่ยอมรับรู้อารมณ์ไง เวลาผิดมานะ ท่านแสดงอาการให้เห็นว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ผิดพลาดไง ให้ลูกศิษย์นี่กลัวจนตัวสั่นนะ หลวงปู่มั่นอยู่นี่ครูบาอาจารย์บอกว่า “เวลาหลวงปู่มั่นเสียงดังขึ้นมา แผดเสียงขึ้นมา ธรรมมันออกมา” ธรรมคือว่าพยายามชี้ความผิดให้เราเห็น ให้เราเข็ดหลาบ ให้เราจำว่าเราไม่สามารถชนะใจของเราได้ เราโดนกิเลสมันจูงจมูกไป กิเลสทำให้เราชนกับปัญหาต่างๆ แล้วทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นมา เห็นไหม แล้วท่านก็แผดออกมาว่าอันนั้นเป็นความผิด

เห็นไหมว่าสิ่งใดทำแล้วเกิดขึ้นคือความโศกเศร้าเสียใจรำพัน มันไม่ดีเลย แต่เราก็ไม่มีใจจะยับยั้ง ไม่มีใจจะคิดให้เป็นประโยชน์ไง ท่านต้องกระหนาบมาให้เราคิด ให้เราคิด อันนั้นเป็นโกรธเหรอ? อันนั้นเป็นทำให้ท่านเป็นความโทษเหรอ? อันนั้นคือธรรมาวุธ อันนั้นคืออาวุธให้ลูกศิษย์ลูกหาที่มันอ่อนด้อย ที่มันไม่มีภูมิปัญญา ไม่สามารถเอาตัวเองรอดได้ให้มันเป็น...

เห็นไหม จากใจดวงหนึ่ง จากธรรม จากหัวใจดวงหนึ่งที่เป็นธรรม ส่งความธรรมาวุธ ธรรมาวุธนี้เป็นธรรมนี้มาให้กับหัวใจที่มีกิเลส ชำระกิเลสเต็มตัว แต่มันเข้าใจว่ามันมีความรู้สูงไง มันเป็นฉุยฉายรำอยู่ไง ให้มันสะกิดใจตัวมันเองนะ มันกลับไม่ยอมรับ มันไม่ยอมรับว่าอันนี้เป็นธรรมาวุธ มันว่าพระอรหันต์ทำไมแหย่ ๒ คำ ทำไมพระอรหันต์โกรธ? ทำไมพระอรหันต์ เห็นไหม นี่กิเลสมันปิดตา

กิเลสมันปิดตา มันไม่ยอมรับ แต่ถ้าเป็นฉุยฉายกันไปฉุยฉายกันมา มันจะยอมรับนะ นั่นก็ฉุยฉายมา นี่ก็ฉุยฉายไป เอ้อเนาะ หันเนาะ หัน หันซ้ายหันขวา แล้วจะหันไปไหนกัน นี่พระอรหันต์ ธรรมของพระอรหันต์ต้องอยู่ในใจของพระอรหันต์ ธรรมของพระอรหันต์ถ้าไปอยู่ในนักวิชาการ อยู่ในความคิด มันก็เป็นความคิด

ในมุตโตทัยข้อที่ ๑ เห็นไหม ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่บริสุทธิ์ ถ้าผู้ที่ยังไม่สามารถชำระกิเลสได้ ดวงใจนั้นเป็นกิเลสทั้งหมด จะคุยธรรมขนาดไหนก็แล้วแต่ มันต้องเจือไปด้วยกิเลสของตัว มันต้องเจือด้วยความคิดของตัวเองที่คิดอยู่นั้นตลอดไป ความคิดอันนั้นมันต้องคือกิเลส ความคิด เห็นไหม ความคิด ความผูกมัด ขันธ์อันนั้นมันยังเป็นกิเลสอยู่ มันต้องมีความเจือปนกันไปตลอดเวลา ความคิดอันนั้นออกไปมันถึงไม่บริสุทธิ์ไง นี่มุตโตทัยข้อที่ ๑ ขององค์หลวงปู่มั่น

แต่ธรรมของพระพุทธเจ้าประเสริฐอยู่แล้ว ประเสริฐจริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ต้องเอาตนพ้นได้ก่อนถึงเป็นผู้ชี้นำคนอื่นได้” ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน บอกว่า “ต้องสิ้นสุดก่อน ต้องทำให้กิเลสหมดไปแล้ว ต้องให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนให้ได้ก่อน ถึงจะสอนคนอื่น” ท่านห้ามสอนไง

แต่วิชาการไม่พูดอย่างนั้น วิชาการบอกว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว อยู่ให้เขาเลี้ยงด้วยปัจจัย ๔ มาตลอด ทำไมสอนเขาไม่ได้ เห็นไหมคำสอนเขา ผู้ที่ปฏิบัติจะรู้เรื่องหลักความจริงว่า ความกังวล นิวรณธรรมจะเกิดขึ้นมาอย่างไร ถ้ารักษาจิตขึ้นมาให้ดีๆ ขึ้นมา จิตขึ้นมาๆ สูงขึ้นมา มันเจริญขึ้นมาอย่างไร วุฒิภาวะของจิตมันเจริญขึ้นไปได้อย่างไร เห็นไหม แล้วไม่รู้จริงต้องให้ครูบาอาจารย์กระหนาบกันต้องกระหนาบขนาดนั้น แต่ก็ยังว่าเป็นความโกรธไง

เป็นความโกรธมันเป็นเป็นกิริยา แต่เนื้อหาเหมือนกับ.. น้ำกรดนี่เห็นไหม ในน้ำกรดมันน้ำเหมือนกัน น้ำกรดกับน้ำนี่เหมือนกัน อยู่ในตัวมันเองไม่มีปฏิกิริยา ลองไปสื่อให้มันเกิดปฏิกิริยา แต่น้ำนี่เวลาสาดไปกับอย่างอื่น มันจะมีปฏิกิริยาเหมือนน้ำกรดไหม น้ำกรดนั่นคือความโลภ ความโกรธ ความหลง เห็นไหม มันกัดกร่อนกัดทุกอย่างผุพังไปหมดเลย แต่น้ำสาดไปก็กิริยาของการสาดไง มาว่าเป็นความโกรธไง

น้ำเป็นน้ำบริสุทธิ์ มันชำระล้างน้ำกรดได้อีกต่างหาก น้ำกรดสาดไปแล้วสกปรก เอาน้ำของธรรมนี่ล้างออกไป แต่ก็ใช้น้ำเหมือนกัน นี่วิชาการเข้าไม่ถึง มันละเอียด มันลึกซึ้ง มันอยู่ในหัวใจนั่นน่ะ แล้ววิชาการก็เข้าไม่ได้เพราะอะไร?

เพราะวิชาการนี้ก่อนจะเรียนมา มันเรียนด้วยกิเลสก่อน คนเรามีกิเลสอยู่ทั้งนั้น แล้วเรียนวิชาการ เรียนทุกอย่างมา เรียนเข้ามามันก็สะสมด้วยกิเลส มันดัดแปลงเป็นเครื่องมือของมันอยู่อีกทีนึง กิเลสมันอยู่หลังวิชาการนั้น วิชาการนั้นก็เลยเป็นเครื่องมือของมันออกมาจาก เรียนธรรมก็เหมือนกัน ถึงเป็นไปไม่ได้ เรียนขนาดไหนก็ไม่รู้ เรียนขนาดไหนก็เป็นจินตมยปัญญา เห็นไหม อย่างสูงนะ อย่างต่ำขึ้นมาเป็นสุตมยปัญญา คือการศึกษาเล่าเรียนมา แล้วจินตนาการเข้าไป

ถ้าเป็นภาวนามยปัญญา จนกว่ากิเลสจะขาดออกไปนั้น นี่ภาวนามยปัญญา ธรรมจักรอันนี้มันสำคัญที่สุด ความสำคัญอันนี้มันเข้าไปชำระกิเลส พอกิเลสมันสิ้นออกไปจากใจแล้ว นั่นล่ะพระอรหันต์ จะแสดงโกรธไม่แสดงโกรธมันอยู่ที่ว่าเป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์

ถ้าสิ่งที่เป็นประโยชน์ ผู้รู้ที่มีอยู่จะบอกว่าสิ่งนั้นผิดสิ่งนั้นถูก ให้นักวิชาการมันได้คิดไง ไม่ใช่ว่ามันนี่มันว่ามันแน่ มันรู้ไปหมดแล้วเห็นไหม คุยกันมา ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมงไม่มีอารมณ์โกรธแม้แต่นิดเดียว มาแหย่พระป่า มาแหย่ผู้ที่ว่าแสดงตน ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์นี่มันจะมีอารมณ์โกรธไหม

“ธรรมาวุธ” ธรรมาวุธ รู้จักธรรมาวุธไหม? ไม่รู้จัก คนไม่รู้จักธรรมาวุธภาวนาไม่เป็น ถ้าคนรู้จักธรรมาวุธ... ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรมานพระ? เห็นไหม ทรมานพระทั้งนั้นเลย เวลาทรมานพระ ไล่ด้วยนะ ขนาดพระขนาดฆ่าตัวตายนะ ดูพระพุทธเจ้าตลอดเวลา เห็นไหม นั่งมอง “ลูกเราจะมีประโยชน์อะไร?” ไล่ออกไปเลย เสียใจจนจะไปกระโดดหน้าผาตาย

จะกระโดดหน้าผาตาย พอได้คิดแล้ว พอได้คิดก็ไปดักอยู่หน้าผาเลย “สิ่งนั้นตายแล้วได้อะไรขึ้นมา?” ไปแสดงธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เห็นไหม ต้องใช้อะไร ต้องใช้การปลุกให้ใจนั้นตื่นขึ้นมาจากความนอนเนื่องไง ใจนั้นมันนอนเนื่อง มันอยู่ในร่างกายนั้น มันมองแต่สิ่งนั้น มันนอนใจ พระพุทธเจ้าถึงไล่ออกไปเลย ไล่ออกไป พระอะไรที่ไปนั่งดูพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลานั่นน่ะ

แล้วพระพุทธเจ้านี่โกรธไหม ขนาดไล่หนีนี่โกรธไหม แล้วยังเอ็ดด้วย จนพระองค์นั้นจะไปกระโดดหน้าผาตาย นั่นไงธรรมาวุธ เห็นไหม อาวุธของผู้ที่มีธรรม ผู้ที่มีธรรมจริงถึงกล้าใช้อาวุธนี้จริง ใช้อาวุธแล้วเป็นประโยชน์ขึ้นมา

แต่ผู้ไม่มีธรรม เห็นไหม ฉุยฉาย ฉุยฉายกันไปก็ฉุยฉายกันมา แล้วก็ยังมาว่าสิ่งนั้นถูกต้องนะ แล้วยังว่าเลย กลับมาออกทีวีทั่วประเทศไทย คุยกันมา ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง แหม ไม่มีอารมณ์เลย นี่หรือคือพระอรหันต์ แล้วไม่ประกาศตนเพราะประกาศไม่ได้ การประกาศตนเป็นอาบัติ เขาว่าเป็นอาบัติ

แต่ทำไมการประกาศกับการบอก อาจารย์มหาบัวว่าท่านเป็นการบอกว่า ท่านวันนั้นๆ ถ้าไม่บอกวันนั้น ใครกินข้าวอิ่มจะรู้ว่าวันไหนอิ่ม เราเกิดมานี่ วันนั้นกินข้าวอิ่มกันที่มื้อนั้น มื้อนั้นกินข้าวที่ไหนๆ จำไม่ได้หรือ เพียงแต่บอกว่าเคยกินข้าวที่มื้อนั้นๆ ที่ไหน

นี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติมาอิ่มวันไหนมันถึงเป็นปัจจัตตัง ถ้าไม่มีตรงนี้เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเพราะต้องรู้ว่าสิ้นที่ไหน ขาดที่ไหน จบการประพฤติปฏิบัติของพรหมจรรย์ตรงไหน แล้วมันจะฝังใจตรงนั้น เห็นคุณไง

หลวงปู่ขาวบอกว่า “อยู่ทางเหนือแล้วพิจารณาข้าวไง พิจารณาข้าวจนมันขาดออกไป จนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมานะ แล้วจะออกมาจากถิ่นนั้น มันอาลัยอาวรณ์ มันไปไม่ได้ มันเห็นคุณของชาวบ้านแถวนั้นที่ว่าท่านได้บิณฑบาตเลี้ยงตนเองมา จนพิจารณาจนสมุจเฉทปหาน อวิชชาขาดออกไปจากใจด้วยการวิปัสสนาข้าวอันนั้น” แล้วจะออกมาจากที่นั่นอาลัยอาวรณ์มาก อาลัยอาวรณ์มาก เห็นไหม นี่มันผูกพัน (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)