เทศน์เช้า

ไม่ประมาทในชีวิต

๑๒ ธ.ค. ๒๕๔๒

 

ไม่ประมาทในชีวิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ชีวิตนะ พวกเราประมาทในชีวิต ความประมาท เขาว่าความประมาทในชีวิตไง การเกิดเป็นคน เห็นไหม ได้การเกิดมาเป็นคนแล้วมันประมาทในชีวิต ชีวิตเรากว่าจะได้มานะ คำว่าประมาทหมายถึงว่า พอมันได้มาแล้วมันชินชากับความเป็นไปไง มันชินชากับชีวิต ชีวิตอยู่ไปสักแต่วันๆ หนึ่ง วันๆ หนึ่งนะในชีวิตเรานี่

เกิดมาเป็นคนนี่แสนยากเลย แสนยาก แต่มันไม่ยากอย่างไรทำไมคนมีมหาศาลเลย แต่จิตที่มันไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์นี่มันเวียนว่ายตายเกิด รออยู่นะ รออยู่ อย่างเช่นเวลาเราเซ่นผีเซ่นสาง ถ้าผู้ที่มีตาเห็นนะ จะเห็นผีเข้ามารับส่วนบุญนี่มหาศาลเลย รอรับ รอทับทรงอะไรนี่ รอกินแต่ของนี่นะ

พูดถึงว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี้มันแสนยากตรงนี้ไง แต่เวลาที่ว่าเราชินชา เราเบื่อหน่ายไง วันๆ หนึ่งนะ ผัดวันประกันพรุ่งไง ความชินชาไง ความชินชาของเรานี่ประมาทแล้ว เพราะว่ามันไม่เห็นไง

ทีนี้ชีวิตนี้มันของจริงเหรอ ชีวิตนี้ของเล่นนะ ของเล่นของชั่วคราวไง ๘๐ ปี ๑๐๐ ปี มันต้องไปแล้ว มันไม่ใช่ของเรา ชีวิตนี้ไม่ใช่ของเรา ของยืม มันยืมมาเฉยๆ แต่พอยืมมา เราอยู่ในชีวิตเราแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไปไง เราจะสร้างสมมาให้มาเกิดเป็นมนุษย์อีก

อย่างเขาถามว่า “ทำบุญวันเกิดกับทำบุญวันปกตินี่ต่างกันอย่างไร?”

ต่างกันมากเลย ทำบุญปกติก็เหมือนคนประมาท ทำบุญไปวันๆ หนึ่ง มันทำบุญไป แต่ถ้าบุญวันเกิด วันนี้เราเกิดเห็นไหม มันก็เหมือนวันปีใหม่ วันเทศกาลไง วันเริ่มต้นของการทำคุณงามความดี เราตั้งต้นทำอย่างนั้นได้ เหมือนกับเรารับราชการเหมือนกัน หน้าที่ใหม่ ตำแหน่งใหม่ เห็นไหม ขึ้นอยู่ว่ารับตำแหน่งใหม่ มันจะชื่นใจนะ

นี่คิดถึงวันเกิดไง วันเกิดเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม วันเกิด เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนาด้วย ดูในเมื่อไทยเราแล้วดูทั่วโลกไป เรื่องของศาสนานี่มันมีสักเท่าไหร่ แล้วพอเรื่องปฏิบัติเข้ามา เราเกิดเป็นชาวพุทธนะ เราเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา แล้วเรายังใฝ่ในการประพฤติปฏิบัติ พอใฝ่ในการประพฤติปฏิบัติ เพราะอะไร เพราะเราเชื่อมั่น เราเชื่อมั่นจริง เราเห็นความสุขหรือความที่ขวนขวายได้จริง

แต่นี่ทำบุญกันนี่ มันก็มีส่วนอยู่ ทำบุญแล้วบุญกุศล บุญกุศลเข้ากับ เห็นไหม ผู้ใดให้ทานไว้มาก เกิดมาจะร่ำรวยมั่งมีศรีสุข เห็นไหม ผู้ใดมีศีล รักษาศีล เกิดมารูปพรรณสัณฐานจะเป็นคนสวยงาม ผู้ที่มีปัญญา ทำสมาธินี่มีปัญญา เพราะอะไร เพราะปัญญาเท่านั้นข้ามพ้นกิเลสไง กิเลสนี่เอาสมาธิข้ามพ้นมันไม่ได้หรอก อะไรก็ข้ามพ้นไม่ได้ เราไปทำความสงบทำสมาธิ สมาธิก็เป็นสมาธิไปนะ สมาธิมีความสุข ก็เหมือนคนที่ร่ำรวย คนมีเงินมีทอง ก็ต้องดีกว่าคนที่ไม่มีเงินไม่มีทองที่ว่าต้องทุกข์จนเข็ญใจ นี้เรามีเงินมีทองขึ้นมา เราก็มีเครื่องใช้สอยได้มาก

นี่ก็เหมือนกัน คนที่ทุกข์จนเข็ญใจ คือหัวใจมันเร่าร้อน มันก็ร้อนอยู่ เห็นไหม เร่าร้อนจนไม่มีทางออก ทำความสงบขึ้นมาก็ได้ความสุข เห็นไหม เพราะว่าเหมือนกับคนมีเงินมีทองขึ้นมาใช้จ่าย แล้วปัญญาล่ะ? นี่มันละเอียดเข้าไปอีก ปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ถ้ามีปัญญา มีปัญญาตรงนั้น เห็นไหม ศรัทธาต้องมีปัญญา มันถึงจะทำให้เราผ่านพ้นไปได้ ศรัทธา ศรัทธาคือความเชื่อ มันก็เหมือนกับมีเงินแล้วใช้ถูกใช้ผิด นี่ศรัทธาก็เหมือนกัน ถ้าศรัทธาแล้วถ้ามีปัญญาคุม คุมตั้งแต่ศรัทธาขึ้นมา มีสมาธิก็เหมือนกัน ถ้าสมาธิไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญาเลือกไว้ก่อนเลย สมาธิพอเป็นสมาธิก็หลงใหลในสมาธิ

การทำสมาธินี้แสนยากนะ แสนยากตรงไหน?

ทำบุญร้อยหนพันหน ให้ทานน่ะ ถ้ารักษาศีลให้บริสุทธิ์หนหนึ่ง ศีลบริสุทธิ์นั้นมีบุญมากกว่าทำทานถึงร้อยหนพันหน ฟังสิ! แล้วทำถึงจะมีสมาธิหนหนึ่ง เห็นไหม ถึงจะว่าทำทานร้อยหนพันหนเท่ากับทำศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ทำศีลร้อยหนพันหนให้มันบริสุทธิ์ ทำสมาธิหนหนึ่ง เห็นไหม สมาธินี่มีบุญมากกว่า มีบุญมากกว่าตรงไหน?

ตรงที่เราทำทานเข้าไป มันเป็นบุญกุศล แต่เป็นบุญกุศลนี่เราจำได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่ถ้าจิตเราสัมผัสสมาธิ มันจะดื่มด่ำมากเลย มันจะซึ้งใจมาก มันจะมีความสุขมาก มันจะปีติมาก แล้วคนเรามีสมบัติซ่อนไว้ที่ไหน เวลาจนตรอกขึ้นมามันก็เอาสมบัตินั้นมาใช้ จิตนี้ก็เหมือนกัน เวลามันทุกข์ยากขึ้นมา มันจะเอาอะไรมาใช้? มันก็วิ่งเข้าหาไอ้ตรงความเคยสงบนั้นเข้ามาใช่ไหม?

นี่มันถึงว่ามันฝังใจไง อริยทรัพย์อยู่ที่ภายในของใจ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เห็นไหม ข้างนอกนี่มันตกน้ำตกอะไร เขาปล้นเขาจี้อะไรมันยังเป็นไปได้ นี่ทำจิตให้สงบขึ้นมา นี่มันถึงว่าไม่ประมาทใช่ไหม?

แล้วกว่าเราจะเชื่อมั่น กว่าเราที่ว่านรกมี สวรรค์มี แล้วกว่าเราจะประพฤติปฏิบัติ แล้วประพฤติปฏิบัตินี่มีความเพียรขนาดไหน ขาดเฉพาะความเพียร เห็นไหม สักแต่ว่าทำไปวันหนึ่งๆ อาจารย์สอนไว้ตลอดว่า “ต้องเป็นคนไตร่ตรองใคร่ครวญ ต้องเปลี่ยนอุบายตลอดเวลา ของกินทุกวันนี่มันชินชา”

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน กำหนดทุกวันๆ มันชินชา นี่ทำสมาธิมันยากมันยากตรงนี้ไง ความประมาทของใจมันนอนเนื่อง เห็นไหม กิเลสนี่มันฝังใจ มันปิดใจอยู่ เหมือนกับของที่เราซ่อนไว้ ของเราเก็บไว้ มันมีของมาปกไว้จะมองไม่เห็น

ใจของเรานี่เห็นไหม มันเป็นตัวใจของเรา ชีวิตนี้มันปกใจไว้ คนเราเกิดมามีกายกับใจ แล้วใจมันโดนปกไว้อีกล่ะ เพราะอะไร? เพราะขันธ์ ๕ ที่เราคิดกันอยู่นี้ ขันธ์ ๕ นี่มันเป็นภพของมนุษย์เห็นไหม แล้วเทวดาเขาสื่อกันด้วยอะไร? พรหมเขาสื่อกันด้วยอะไร? เวลาสมาธิเขาสื่อกันด้วยอะไร? การสื่ออันนั้นสื่อภาษาใจ

แต่ไอ้ขันธ์ ๕ เรานี่มันใช้เฉพาะมนุษย์เรานี่ไง สมมุตินี่ อันนี้มันปกปิดใจไว้ เราถึงต้องทำสมาธิเข้าไปให้ถึงหลักของใจ เห็นไหม หลักศาสนาสอนลงที่ใจ ถ้าเราย้อน เราทำความสงบเข้าไป มันจะพ้นจากสัญญาเดิม พ้นจากที่เราคิดกัน พ้นอันนี้เข้าไป

ถึงว่าขันธ์ ๕ คือความคิด ความปรุง ความแต่งนี่เป็นโลกียะ แต่ทำความสงบเข้าไป พุทโธ พุทโธเข้าไป มันจะผ่านตรงนี้เข้าไป แต่ก่อนจะผ่านตรงนี้เข้าไป มันจะตกภวังค์บ้าง มันจะลุ่มๆ ดอนๆ นี่จะตกใจมาก ที่ว่าทำสมาธิยากมันยากตรงนี้ไง ยากตรงปากทางเข้าสมาธิ ตรงปากทางเข้าความสงบนี่ยาก

ถ้าเข้าความสงบ ถ้าปากทางมันเข้าไปได้นะ แล้วเราพยายามทำให้มันชำนาญในวสี ชำนาญในการเข้า-ออก เห็นไหม ความชำนาญในการเข้า-ออก ทำความสงบของใจเข้าไปหาตัวของใจ มันจะฝังอยู่ที่นั่น สมบัติจะซ่อนอยู่ในนั้น แต่โดนขันธ์ ๕ นี่ปกไว้ ขันธ์คือความคิดเรานี่ไง ความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ ความยึดมั่นถือมั่นความคิด ความผูกพัน นี่มันปกตัวใจไว้ นี่เป็นอาการของใจ ไม่ใช่ใจ เป็นเงา เห็นไหม เรายืนอยู่ เรามีเราถึงมีเงาของเรา เงาของเราที่เราวิ่งเต้น เราคิดกันอยู่ นี่เงาทั้งนั้นเลย ไม่ใช่ตัวจริง

นี่ถึงต้องทำความสงบ ศาสนาสอนตรงนี้ไง ถึงว่าไม่ประมาทในชีวิตไง ชีวิตนี้ของยืมมา เวลาตายไปนะ ถ้าเกิดเป็นเทวดาขันธ์ ๔ เพราะไม่มีร่างกายมนุษย์ เป็นกายทิพย์ เกิดเป็นพรหมขันธ์ ๑ มีแต่ตัวหัวใจล้วนๆ เลย ตัวที่เข้าสมาธินี่ เพราะเข้าสมาธิ ถ้าก่อนจะตายเราคิดตรงนั้น เราจะเกิดเป็นพรหมทันทีเลย นี่ผัสสาหาร ผัสสะคือความสัมผัสกันเกิดเป็นขันธ์เดียวไง ความคิดนี่ขันธ์เดียวเป็นพรหม แล้วพรหมกับเทวดานี่มันต้องสุขกว่าทางต่ำอยู่แล้ว นี่ไงถึงว่าทำบุญกุศลเพื่อ! เพื่อดำเนินไป บุญกุศล

นี้บุญกุศลอย่างนั้นมันก็ขับเคลื่อนไป ขับเคลื่อนมาในวัฏวน นี่หลักศาสนาสอนตรงนั้นนะ สอนว่าไม่ให้ประมาทในชีวิตไง พอไม่ประมาทก็ตรงนั้น เริ่มจากมีการทำบุญกุศลสะสมมา สะสมมาถึงได้มาฟังธรรม ฟังธรรมนะ ฟังธรรม ธรรมคือคำสั่งสอน คือกิริยาที่ชักนำให้หัวใจนี่ให้พ้นออกมาจากสิ่งปกคลุม

สิ่งปกคลุมนั้น ปกคลุมดีมันก็ดึงไปดี ปกคลุมไม่ดีมันก็ดึงไม่ดี ก็ความคิดเราไง ความคิดดีก็พาเราไปดี ความคิดไม่ดีก็พา... นี่อยู่ที่ความคิดเกิดๆ ดับๆ ความคิดเหมือนแขกจรมา นี่มันเกิดๆ ดับๆ ในหัวใจมันมาจากไหน?

ถ้ามีสติใช่ไหม แล้วก็ทำความสงบเข้าไป มันจะเริ่มเห็นตรงนี้ไง เห็นว่าความคิดมันเกิดมาจากไหน ความคิดนี่เป็นวัตถุอะไร นี่พอไม่ประมาทในชีวิต เห็นไหม เริ่มทำเข้ามา ไม่ประมาทในชีวิตหมายถึงว่าทำบุญกุศลแล้วเราต้อง.. ก่อนนอนเราควรทำความสงบของใจ ให้ใจมีพื้นฐานเข้าไป

แล้วถ้าทำความสงบของใจ มีเขามาถามเมื่อวานนี้ เห็นไหม ชีวิตเขาลุ่มๆ ดอนๆ มากเลย เราเห็นอยู่ เพราะบ้านอยู่ข้างๆ บ้านนั่นแหละ ชีวิตเขาลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด เคยมีหมดแล้วก็หมดไป แล้วเขาก็ไปมีครอบครัวขึ้นมา ตอนนี้เขามีปัญหา เขาทำความสงบของเขานะ เขาทำความสงบของเขา เขาบอกว่ามันวูบวาบมากๆ แล้วเขาก็มาหาเรา เราก็แก้ขึ้นไป

นี่บอกว่ามันจะตกภวังค์ ถ้าไปเปรียบเหมือนสะพานมันมีคอสะพาน ถ้ารถมันวิ่งผ่านคอสะพานไปขึ้นสะพาน แล้วมันจะลงข้ามสะพานไปถนนอีกฝั่งหนึ่ง เห็นไหม จิตเราก็เหมือนกัน จิตของเรานี่เวลาหัดทำสมาธิขึ้นมา มันพึ่งถึงคอสะพาน มันจะเข้าถึงสมาธิถึงปากทางสมาธิ มันจะตกวูบวาบๆ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้หมดเลย นี่มันเป็นปีติสุข ปีติเหมือนกัน

แต่ถ้าเป็นภวังค์ลงลึกไป มันจะเป็นภวังค์ เป็นพรหมลูกฟัก เป็นสมาธิชนิดหนึ่ง แต่มันไม่ใช่สัมมาสมาธิ เราต้องกำหนดจิตให้ดี จะผ่านพ้นข้ามถึงคอสะพานนั้นข้ามไป จิตนี้จะข้ามจากคอสะพานไป มันจะมีสติพร้อมไง สตินี่ดึงไว้ รั้งไว้ๆ ไม่ให้ตกคอสะพานนั้น เราพยายามถมให้คอสะพานนั้นเรียบแล้วเราข้ามขึ้นไป ไปทำสมาธิให้ได้ ทำความสงบใจให้ได้

เขาทำไปเรื่อยๆ บอกดีมาก เขาเคยบวชเคยเรียนมาด้วย เคยทำมา ไม่เคยได้ผล แต่เขามาทำพุทโธ พุทโธ พุทโธ เขาได้ผลนะ จิตนี้สงบมาก สงบมาก เขาก็มาคุยกับเรานะ เขาบอกว่าพวกน้องๆ เราทำไม่ได้อย่างเขาหรอก เราบอกอื้อจริง ทำความสงบมาก แล้วก็เสื่อมไป ฟังสิ! ทำไม่ได้อยู่ตั้งนาน หายไปนาน

เมื่อวานมา มาสารภาพเลยว่าเมื่อก่อนนี่ทำไม่ได้หรอก เพราะมีปัญหาในครอบครัว ปัญหาเหรอ ปัญหานี่เป็นเรื่องปกติ แล้วพยายามจะฝืนทำใหม่ มีปัญหาในครอบครัว ฝืนทำใหม่ ทำใหม่ “ผมนั่งนะ นั่งกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธไป มันเห็นเป็นโครงกระดูกลางๆ มันก็กลัวเหมือนกัน พอพุทโธ พุทโธไปเรื่อยๆ นะ มันเห็นเป็นหัวกะโหลกมาเลย ตานี่โบ๋นะ”

แล้วเราถามว่า “เป็นอย่างไร กิริยาเป็นอย่างไร”

“อู๋ย ขนหัวนี่ตั้งหมด” แต่มันเป็นนะ มันสะเทือน ความที่สะเทือน เราไปเจอสิ่งใดที่ตื่นเต้นมาก มันต้องมีแสดงออก ทั้งๆ ที่สมาธินะ แล้วเขาบอก เขาคิดว่าเขาเป็นอุปาทาน เขาไม่กล้ามาหาเรา จนเขามาคิดอยู่เนาะ มันไม่น่าจะใช่อุปาทานเพราะอะไร เพราะเขาพุทโธ พุทโธอยู่ตลอดเวลา พุทโธมีสติพร้อมอยู่ แล้วมันลอยมาให้เห็น ๒ หน ๓ หน เราบอกนี่ไม่ใช่อุปาทานหรอก ทุกคนอยากเห็นกาย นี่ไงคือการเห็นกาย

การเห็นกายคือเห็นจากภายใน ไม่ใช่เห็นจากตาเนื้อหรอก นี่ตาเรากระทบกัน เห็นกายเห็นเฉยๆ เห็นจากตาภายในไง มันจะเห็นเป็นโครงกระดูกแล้วมันจะตื่นเต้นมาก ขนพองสยองเกล้าเลยนะ คนพวกนี้จะมีวิธีพูดที่อาจหาญมาก เพราะมันไปเห็นเองจากภายใน แล้วมันจะพูดได้ตรง แต่ที่เขาไม่กล้ามาหาเรานี่คือคิดว่ามันจะเป็นอุปาทาน เขาไม่กล้ามา

ดูฟังสิ จิตมันเจริญแล้วเสื่อมไปๆ แม้แต่เราเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เราก็นอนใจอยู่ในภพของมนุษย์ พอเราไปเป็นนักบวชขึ้นมา เรามาเป็นผู้ปฏิบัติขึ้นมา เราก็นอนใจในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราต้องสร้างเหตุเข้าไปสิ นี่เขาสร้างเหตุของเขา เขาก็เจริญแล้วเสื่อม ไม่ใช่เขาได้เลยนะ เขานี่เป็นสมาธิ เขาก็เสื่อมจากสมาธิไป แล้วเข้าสมาธิไม่ถูก เราพยายามบอกเขา ก็เข้าไปได้ แล้วกำหนดพุทโธ พุทโธไป มันก็เสื่อมไป แล้วนี่ก็พุทโธไปอีก พุทโธไปอีก โดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจอะไร เป็นกะโหลกเลยนะ กะโหลกลอยมา เราบอกนี่ที่ว่าเวลาเราฟังเทศน์กันไง สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน

วิปัสสนากรรมฐานหมายถึงว่า เราต้องเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม แล้วเราจับกาย เวทนา จิต ธรรมตั้งแล้ววิปัสสนาไป วิปัสสนาคือการวิเคราะห์ วิปัสสนาวิเคราะห์วิพากษ์ วิพากษ์วิจัยในความเห็นของเราให้เข้าใจในสัจจะความจริง สัจจะความจริงมันเป็นอยู่แล้วอย่างนี้

ชีวิตนี้ของยืม ร่างกายนี้ของยืม ทุกอย่างเป็นของยืมหมด แต่เรายืมมาแล้วเราจะรั้งไว้ เราก็ต้องคืนธรรมชาติไป จิตนี้ก็เหมือนกัน พอมันถือสถานะเป็นมนุษย์มันก็ยืมขันธ์ ๕ มา แต่เวลาไปเสวยชาติอื่นเสวยภพอื่น เป็นเทวดานี่มันก็ใช้สภาวะอันยืมอันใหม่ ยืมอันใหม่ ความยืมใหม่มันปกของเก่าไว้ตลอดเวลา การเกิดการตายของเรามันสะสมมานะ สะสมมาๆ นี่บุญกุศลวาสนาบารมีของคนไม่เหมือนกัน นี้ความประพฤติปฏิบัติเข้าไปถึงไม่เหมือนกัน แล้วแต่อำนาจวาสนาบารมี

เทคโนโลยี มัคคะอริยสัจจังของพระพุทธเจ้าอันเดียวกัน เข้าถึงทางเดียวกัน ถนนที่เข้ากรุงเทพฯ ทุกสาย วงแหวนนี่เข้ากรุงเทพฯ ได้เหมือนกัน นี่ก็เหมือนกัน วาสนาบารมีของคนถึงจะเป็นทางเดียวกัน ถึงจะมัคคะอริยสัจจัง ถึงคำสอน ศีล สมาธิ ปัญญาเหมือนกัน สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเหมือนกัน แต่มันต้องเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน ขนาดของตน พอดีของตน ความพอดีของตนนั้นจะเข้าไป เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เขาว่า เขาเห็นแล้ว ให้เขาทำอย่างไรต่อไป นี้คือการเห็น เห็นไหม นี้คือเริ่มต้นบาทฐานใหม่ บาทฐานที่ว่าถ้าเราจับต้องได้ บอกว่าให้กำหนดสมาธิเข้ามา อย่าไปเห็นตรงนั้น พอเห็นตรงนั้น หนึ่งเขาตกใจ แต่ตกใจเขายังเห็นอยู่นะ เขาพยายามบดนิ้วหัวแม่มือเขา ให้เขามีความรู้สึกกลับมา นี่เขาดีตรงนี้ ดีตรงเขามีหลัก พยายามบดให้ความรู้สึกมันกลับมา เรียกสติกลับมาไง ไม่ให้ออกไป เห็นหัวกะโหลกเข้ามา เห็นภายใน

ถ้าเราไปเห็นผีเห็นสาง เราเห็นด้วยอารมณ์ข้างนอก มันมี ๒ ชั้น ๓ ชั้น มันไปคัทเอาท์หลายชั้นใช่ไหม คัทเอาท์หลายชั้นนี่มันสะเทือนไม่ถึงใจ มันสะเทือนแค่ขันธ์ไง สะเทือนแค่ความรู้สึกของเรา แล้วสะเทือนมาก แล้วเป็นการส่งออก มันไม่สะเทือนถึงใจ แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธ พุทโธเข้าไป จิตเป็นความสงบเข้าไป มันผ่านคัทเอาท์นี่เข้าไปแล้ว เห็นไหม ผ่านขันธ์ ๕ เข้าไปแล้ว

พอผ่านขันธ์ ๕ เข้าไป จิตมันก็เป็นตัวมันเอง มันเป็นเอกเทศ พอมันออกมาเห็นกาย มันเห็นสะเทือนถึงขั้วหัวใจของมัน สะเทือนถึงข้อมูลเดิมไง ถึงจิตเดิมนั้น มันมีอาการต่างกัน แต่ขนพองสยองเกล้าเหมือนกัน แต่ความต่างกันด้วยสติสัมปชัญญะต่างกันมาก ความเห็นอันนี้มันสะเทือนถึงหัวใจไง ถึงขนพองสยองเกล้า

ถึงบอกว่า “แล้วมันจะหลุดมือไป”

“ครับ เดี๋ยวก็หลุดมือไป” เพราะอะไร เพราะเราจึงจับต้องไม่เป็น เราถึงตั้งใจไว้ บอกว่าอย่าไปเสียใจมัน กำหนดพุทโธใหม่ กำหนดพุทโธ พุทโธไว้เป็นเครื่องรับ พุทโธนี้เป็นเครื่องรับ จิตนี้เป็นสมาธิขึ้นมา มันจะเห็นขึ้นมาได้ใหม่ ความเห็นขึ้นมาได้ใหม่มันจะหลุดมือไปอีกเพราะอะไร เพราะเหมือนกับคอสะพานนั้น เห็นไหม เราเข้าบาทฐาน เราเข้าปากทาง เรายังเข้าผิดเข้าถูกอยู่

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราเข้าถึงวิปัสสนา ปากทางของวิปัสสนาคือการจับต้องเหตุและผลขึ้นมาวิเคราะห์วิจัย มันก็จะหลุดมือไป พอหลุดมือไป มันธรรมดาคนเราจะเก่งมาเลยเป็นไปไม่ได้ ทุกคนต้องผ่านการฝึกฝนมาก่อน แล้วมันจะเป็นงานขึ้นมา การเป็นงานขึ้นมานี่ค่อยจับต้องได้ แล้ววิจัยเข้าไป จะทำได้

นี้ว่าทำได้ตามหลักวิชาการ ตามหลักมัคคะอริยสัจจังนะ แต่ก็อยู่ที่วาสนาบารมี ขนาดสมถกรรมฐานยังเจริญแล้วเสื่อมตั้งหลายรอบ แล้ววิปัสสนานี่มันวิปัสสนา มันเพิ่งจากคนเราธรรมดาที่ว่ามีสิ่งที่ปกคลุมของใจอยู่ แล้วเราไปเห็นใจ แต่วิปัสสนานี้มันวิปัสสนาเพื่อให้สิ่งปกคลุมนั้นขาดออกไปนะ แต่ขาดมี

ขาดออกไป ขาดออกไปเพราะว่าความผูกพันของกิเลส ความผูกพันของสังโยชน์ระหว่างกายกับใจ ระหว่างที่ความผูกมัดกัน มันมัดกันอยู่ วิปัสสนาเรื่องของกายมันจะขาดตรงนี้ไง แต่ขาดแล้วมันก็ยังสื่อกันได้ ยังมีเหมือนเดิมอยู่ พระพุทธเจ้าก็ขาดหมด แต่พระพุทธเจ้าทำไมยังสื่อได้ ขาด! ขาดหมายถึงว่า สิ่งที่มันเกาะเกี่ยวกันไว้ที่มันเป็นยางเหนียวนี่ขาดออกไป ขาดแล้วมันยังสื่อกันเหมือนเดิม วิปัสสนาเป็นอย่างนั้น วิปัสสนาเพื่อจะชำระล้างมันไง

มันถึงยากกว่าการผ่านเข้าไปเฉยๆ ใช่ไหม สมาธินี่ผ่านเข้าไปเฉยๆ ผ่านขันธ์ ๕ เข้าไปเพื่อความสงบ แต่อันนี้ผ่านเข้าไปแล้วเอาความสงบนั้น เอาความเห็นนั้น เอาปัญญานั้นวิเคราะห์วิจัยออกมาอีกทีหนึ่ง วิเคราะห์วิจัย เราเข้าไปในถ้ำแล้วเราออกมาวิเคราะห์วิจัยปากถ้ำ ทำลายปากถ้ำนั้นออก มันก็สว่างออกหมด เห็นไหม นี่สังโยชน์ขาดขาดอย่างนั้น

นี่เขาทำ เห็นความเจริญกับความเสื่อมของเขาหลายรอบเพราะเขามาหาบ่อย เขาทำของเขาขึ้นมาเรื่อย แล้วก็คุยกับเขาไปเรื่อย เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม แต่ถึงจุดหนึ่งเขาก็เกาะได้ แล้วเกาะได้จริงๆ จริงๆ แล้วเป็นปัจจัตตัง เขาเห็นจริงด้วย

นี่ย้อนกลับมาเราไง เราถึงมาคิดถึงพวกเรามันประมาท มันประมาทกันเกินไป มันนอนใจ ความนอนใจคือความประมาท อยู่กับอาจารย์มา อาจารย์จะทำอะไรให้กระฉับกระเฉงนะ ทำอะไรให้รวดเร็ว ให้คล่องแคล่วว่องไว เพื่อจะมาตรงนี้ไง ห้ามนอนใจทุกๆ เรื่อง ต้องสติใหม่ สัมปชัญญะใหม่ ต้องความเห็นใหม่ ต้องความพยายามวิเคราะห์ใหม่ ใหม่ตลอดเวลา

พอใหม่ขึ้นมาแล้ว มันจะเข้าไปลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ ลึกซึ้งเข้าไปเรื่อย ถ้าเก่าแล้วมันก็นอนจม มันดินพอกหางหมู เห็นไหม พอกจนมันจะยกหางมันไม่ไหว นี่มันความกิเลสเรา ความมักง่าย ความเห็นของเรามันพอกใจเราจนคิดอะไรไม่ออกไง เห็นไหม ถ้าความคิดใหม่มันจะเลาะตรงนี้เข้าไป เลาะเข้าไป แล้วเราจะว่าชีวิตนี้มีค่า

เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา แล้วยังได้เกาะเอาสมบัติติดมือเราไปไง เกิดมาตายหมด ตายแล้วต้องเกิดหมด เว้นไว้พระอรหันต์ เกิดมาแล้วต้องตายเหมือนกัน แต่ตายแล้วไม่เกิดอีก การเกิดคือชาติปิ ทุกฺขา ชาติเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง การเกิดพ่วงมาแต่ความทุกข์ทั้งหมด ถ้าไม่มีการเกิด ความทุกข์จะไม่มีเลยแม้แต่อณูเดียว เห็นไหม ถึงว่าเราทำได้ในศาสนานี้ ถึงจะได้ไม่เป็นผู้ที่ประมาทในชีวิตของเราเองไง เอวัง