เทศน์เช้า

เหตุที่ลอยกระทง

๒๒ พ.ย. ๒๕๔๒

 

เหตุที่ลอยกระทง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันธรรมสวนะไง การฟังธรรมอย่างหนึ่งนะ การทำทานมันชักกุศลมา เห็นไหม การทำทานเกิดจากศรัทธา ศรัทธามาทำทาน มีความศรัทธามีความเชื่อ พอมีศรัทธาขึ้นมา ศรัทธาเป็นอริยทรัพย์ ถ้าปุถุชนนี่เป็นมนุษย์สมบัติ ทรัพย์ที่ประเสริฐที่สุดคือศรัทธา ถ้ามีศรัทธามันก็มีความเชื่อ ความเชื่อมันก็มามีการเริ่มต้น มีการทำไป แต่ความศรัทธาอันนั้นมันต้องมีปัญญาคุมทีหลัง ตอนประพฤติปฏิบัติ

ตอนมาประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีศรัทธาความเชื่ออย่างเดียวนี่ เพราะความเชื่อของเรานี่มันมาจากข้างนอก ถ้าจริง ๆ แล้วมันมาจากภายในใจนั่นล่ะ แต่ถ้าพอปฏิบัติเข้าไปแล้วมันเป็นอาการของใจ มันถึงว่ามาจากข้างนอก ศรัทธานี่มันถึงโดนใจหลอกได้ไง ใจของเรา กิเลสมันอยู่ในเนื้อของใจใช่ไหม ศรัทธานี่มันเป็นความเชื่อ มันถึงจรมา เหมือนกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น มันเกิดดับ ๆ นี่มันจรมา แล้วศรัทธานี่มันถึงมาจากข้างนอก ข้างนอกหมายถึงว่ามาจากเปลือกของความคิด มันไม่ใช่ตัวเริ่มต้นของความคิด อวิชชาหรือกิเลสที่มันอยู่ในหัวใจมันถึงหลอกอีกทีหนึ่ง

ถึงว่าเริ่มต้นมีศรัทธาขึ้นมา ศรัทธานี่มันรูปแบบ ประเพณี วัฒนธรรมประเพณี อย่างเช่นการลอยกระทงก็เหมือนกัน แต่เป้าหมายของลอยกระทงคืออะไร ตีความกันไม่ออกนะ เป้าหมายของการลอยกระทง การลอยกระทง เห็นไหม เขาว่าเคารพบูชาแม่น้ำ... เคารพบูชานั่นน่ะ ไม่ใช่หรอก ถ้าเอาตามหลักศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าลอยถาดทองคำ ชฎิล ๓ พี่น้องลอยความเห็นผิดไป บูชาไฟมาตั้งนาน บูชาไฟมาผิดมาตลอด บูชาไฟมาแล้วตัวเองไปไม่ได้ แต่มีฤทธิ์มีเดชนะ พระพุทธเจ้าไปทรมานชฎิลทั้ง ๓ พี่น้อง ว่าพญานาคมา เอาพญานาคใส่ในบาตรเลย นี่อยู่ในตำรา เรียกพญานาคใส่ในบาตร “โอ้...สมณะคนนี้เก่งเนาะ แต่สู้เราไม่ได้ เราเป็นพระอรหันต์”

จนพระพุทธเจ้าเห็นแล้วสลดสังเวชนะ เป็นพระอรหันต์ที่ไหน ไม่ได้เป็นหรอก ไม่ได้เป็นพระอรหันต์หรอก เพราะว่าไอ้ฤทธิ์เดชนี่มันเป็นอภิญญา มันอยู่ข้างนอก จนสลดใจ พอสลดใจแล้วก็ยอมตนเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า แล้วถึงได้ลอยบริขารไป นี่ลอยบริขารออกไป พอลอยบริขารออกไป น้องอยู่กลางแม่น้ำ นทีกัสสปะ กัสสปะ ๓ พี่น้องเห็นลอยมานึกว่ามีเหตุมีเภทภัยกับพี่ชาย รีบไปดู...ชฎิล ๓ พี่น้องลอยบริขารไป ลอยความเห็นผิดไป ลอยความเห็นผิดออกไป พระพุทธเจ้าก็ลอย แต่พระพุทธเจ้าลอยด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า ลอยถาดทองคำของนางสุชาดา ประเพณีเป็นอย่างนั้น

แต่เพราะว่าแต่เดิม ในพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลีหมด เป็นภาษาขอมหมด ไม่มีใครอ่านออก นี้พอผู้ใหญ่ผู้ปกครองเขาทำเป็นประเพณีมา ก็เลยกลายเป็นประเพณีตาม ๆ กันมา กลายเป็นประเพณีตามกันมาว่า ประเพณีคือการลอยกระทงนี่ การเคารพบูชานั้นบูชานี้ แต่ถ้าเอาหลักสัจจะจริง จะทำตามแบบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ลอยถาดทองคำไป จะทำตามแบบของชฎิล ๓ พี่น้องที่ลอยความเห็นผิด ๆ ออกไป ลอยพวกบาปพวกกรรม ความเห็นผิดจากอวิชชาลอยออกไป เพื่อจะได้เข้าทางถูกต้อง เข้าทางถูกต้องมา พอเข้าทางถูกต้องมาก็มาอริยมรรค ถึงว่าอริยมรรคคือความภายใน

เมื่อวานมีโยมมาปฏิบัติอยู่เหมือนกัน พอปฏิบัติไป เขาปฏิบัติไป ถ้าเขามีความเห็นถูกต้อง เขาควรจะได้เข้ามากกว่านี้ เขากำหนดไป เวทนามันปวดมาก พอกำหนดเวทนาจนเวทนามันปล่อยหมด วางเฉย เวทนาสักแต่ว่าเวทนา ก็มาพิจารณา ปล่อยว่างก็ไม่มีอะไร ไม่มีงานทำ กำหนดพุทโธ ๆ ไปแล้วก็มาบอกว่า พิจารณาเวทนาไปจนมันปล่อยวาง มันปล่อยวางหมดเลย มันเป็นอย่างไร ปัญหาหนึ่ง แล้วพิจารณา ไปพิจารณาจิตอีก เห็นอาการของจิต ไปเรื่อย ๆ เลย

เราบอก “เห็นไหม ความเห็นไม่ถูกต้อง คือมรรคมันไม่เดินตามความเป็นจริง”

การพิจารณาเวทนา เห็นเวทนาตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวางอยู่ แต่เวทนายังมีอยู่ เพราะอะไร ? เพราะมันเป็นบอกว่า ๕๐-๕๐ ไง ภาวนามยปัญญา ปัญญาของตนมันสู้กับเวทนาได้ แต่พอสู้ได้แล้วมันก็ปล่อยไว้เฉย ๆ เห็นไหม ๕๐-๕๐ คือว่าเสมอกัน นี่สักแต่ว่าเวทนา เวทนาสักแต่ว่าเวทนา แต่เรายังไม่สามารถชนะเวทนา ถ้าเราพิจารณาซ้ำเข้าไป ซ้ำเข้าไป ภาวนามยปัญญาคือปัญญาฝ่ายธรรมมันจะมากขึ้น ๆ พอมากขึ้นมันจะกลืนกินอีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายเวทนา ฝ่ายที่ความยึดมั่นถือมั่นอยู่

เห็นไหม ๕๐ นั่นคือว่าติดในเวทนาอยู่ เวทนาเป็นเรา เราเป็นเวทนา ความเห็นมันขาดไปแล้วแต่มันก็ยังมีอยู่ มันไม่พิจารณาซ้ำ พอพิจารณาซ้ำนี่ ไอ้ ๕๐ ตัวที่ว่าเป็นฝ่ายธรรม มันจะเป็น ๕๕...๖๐...มันจะกลืนกิน พอกลืนกินไปจนครบ ๑๐๐ มันก็จะปล่อยหมด มันจะปล่อยความเป็นจริง มันไม่ใช่ปล่อยว่า มันปล่อยเฉย ๆ นะ มันปล่อยเพราะมันแพ้ มันปล่อยเพราะว่ามันยึดไว้ไม่ได้ มันปล่อยเพราะว่าอุปาทานมันโดนธรรมะ โดนความเห็นเข้าไป คลี่คลายจนมันปล่อยหมด มันต้องอย่างนั้น อ๋อ...เสียดาย เพราะว่าพอมันภาวนาไป ๆ พอมันปล่อยวางปั๊บก็นึกว่าปล่อยแล้ว ความเข้าใจของเขาเข้าใจว่า เขาพิจารณาจิตอยู่ ต้องพิจารณาความคิดอย่างเดียว พิจารณาเวทนาไม่ได้

บอกว่า “เวทนากับจิตมันเหมือนกัน เพราะเวทนาเกิดจากจิต จิตมันยึดมั่น” ก็พิจารณาจิตแล้ว ไล่จิตเข้าไป จนจิตมันเข้าใจหมด มันปล่อยวางหมด พิจารณาจิตเข้าไป พิจารณาเวทนานี่มันสะเทือนถึงจิตอยู่ พิจารณาเวทนาเห็นไหม พิจารณาเวทนาส่วนเวทนา แต่กระเทือนถึงจิต แต่เข้าใจว่าพิจารณาจิตต้องพิจารณาแต่ความคิดไง

เขาก็เลยไปไล่ความคิดใหม่ ไล่ความคิดก็จับความคิดได้อีก จนเข้าไปเห็นว่าตัวเองยึดมั่นถือมั่น ตัวเองถืออะไร เห็นตัวตนของตนแล้วก็เสียใจมาก เสียใจว่าทำไมเมื่อก่อนเราพูดนี่มานานแล้ว แต่เขาไม่เห็น พอเขาเห็นเขาบอกไม่มีความตื่นเต้นเลย มันเฉย ๆ แต่พอออกมา ย้อนกลับไป น้ำตาร่วงเลย

เราบอก เห็นไหม การกำหนดนโยบาย ขณะที่เรากำหนดนโยบาย นโยบายเป็นนโยบาย แต่พอสั่งไปเป็นการประพฤติปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติงานมันจะเหนื่อยมาก นี่ก็เหมือนกัน กำหนดนโยบายคือเข้าไปเห็นไง เข้าไปเห็นตัวตน เข้าไปเห็นเรา พอไปเห็น มันเห็นด้วยนโยบาย เห็นด้วยเป็นภายใน พอเห็นภายใน มันความเห็นข้างบน มันนโยบาย มันพูดกันคำสองคำเห็นไหม คือว่าผู้รู้กับผู้รู้คุยกัน จิตนี้มันเป็นสักแต่ว่าจิต ถึงว่าทำไมมันเฉยอยู่ เวลาพิจารณาเวทนาไป มันปล่อย มันเฉยอยู่ เพราะอะไร ? เพราะว่ามันเข้าไปเสมอกัน

ไอ้นโยบายก็เหมือนกัน ผู้กำหนดนโยบายนี่พูดกัน เหมือนผู้รู้กับผู้รู้พูดกัน ผู้ที่มีภูมิปัญญาคุยกัน กับผู้ที่ปฏิบัตินโยบายนั้น นโยบายคือเป้าหมาย เขาปฏิบัติเข้าไป พอเขาลงมาปฏิบัติ เขาจะต้องออกแรงมาก เขาต้องทำมาก พอทำมาก เขาก็เลยมีอารมณ์มาก นี้ก็เหมือนกัน พอออกมาจากกำหนดจิตแล้ว มาพิจารณาย้อนหลัง ทำไมมันเศร้าสลดใจมาก เสียใจ มันภูมิใจ อิ่มใจ ดีใจ ดีใจอยู่อย่างนั้นเลย อันนั้นอันหนึ่ง เพราะว่าเขาไม่รู้จริง แต่ก็ต้องเป็นอย่างนี้หมด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติมา ๖ ปี เดินทางมา ๖ ปี ไปตามทางผิดบ้างถูกบ้าง ไปมาตลอด จนคืนสุดท้ายกลับมา จากลอยถาดออกไป ลอยถาดทองคำออกไป จากนางสุชาดา ฉันอาหารของนางสุชาดาแล้ว นี่เป็นอาหารที่ว่ามีคุณมาก แล้วลอยถาดออกไป ถาดนั้นตกลงไป เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้า เห็นไหม ประเพณีมันมีผลประโยชน์ แต่คำว่าประเพณีมันมีความจริงอยู่ ให้คนได้เริ่มต้น

เหมือนพระไง พระนี่เวลาผิดเป็นอาบัติ จะเริ่มต้นใหม่ต้องปลงอาบัติ พอปลงอาบัติเสร็จว่า เราจะไม่ทำความผิดอีก จะสำรวมระวังต่อไป ประเพณีก็ให้เริ่มต้นไง เริ่มต้นว่าเราลอยกระทงไปแล้ว ลอยความผิด ลอยบาป ลอยกรรม ลอยเวรลอยกรรมออกไป ให้เราประสบแต่คุณงามความดี เป็นประเพณีที่ให้เริ่มต้น เป็นเหมือนวันขึ้นปีใหม่ ให้เริ่มต้นนับ ๑ ใหม่ นี่ก็เริ่มต้นใหม่ ในเมื่อเราลอยออกไปแล้ว เราเริ่มต้นใหม่

นั่นน่ะ พระพุทธเจ้าก็ลอยมา แต่พระพุทธเจ้ามีบารมีจริง พระพุทธเจ้าสะสมมาเป็นพุทธภูมิจริง จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจริง

1ทำตามประเพณีที่สืบ ๆ กันมา พระพุทธเจ้าทุกองค์ทำมาอย่างนั้น

2ตัวเองมีเนื้อหาสาระจริง แต่เรานี่บารมีเราถึงหรือไม่ถึง

เราถึงว่าเราลอยกระทงส่วนหนึ่ง เราลอยกระทงเพื่อจะเอาแบบอย่างพระพุทธเจ้า ทำตามครูตามอาจารย์ ทำตามประเพณีคือทำตามรูปแบบ แต่เนื้อหาสาระของเวรกรรม คือบุญกุศลของเราพอไหม มัคคอริยสัจจังในหัวใจเราพอไหม ถ้าพอมันก็เป็นไปได้ ทำตามประเพณีคือตามร่องตามรอยไง ถ้าเราเดินตามรอยนั้น เราไม่มีวุฒิภาวะ เราไม่รู้จริง เราก็ตามร่องตามรอยไป แต่เนื้อหาสาระเราไม่ได้ แต่ถ้าตามร่องตามรอยแล้วเรามีเนื้อหาสาระ เราได้เนื้อหาสาระนั้นเองด้วย เห็นไหม ตามร่องตามรอยนั้นก็ถูก เนื้อหาสาระที่ทำนั้นก็ถูก นั่นประเพณีเป็นผลอย่างนั้น ประเพณีวัฒนธรรม แต่คุณงามความดีเริ่มต้น

มันถึงว่าประเพณีนี้เป็นเปลือก เป็นกรอบ เป็นรูปแบบ เนื้อหาสาระของเรามา เนื้อหาสาระของเราหมายถึงว่า เราเข้าถึงเนื้อหาสาระ ถ้าเคารพบูชาประเพณี เคารพบูชาน้ำ พระพุทธเจ้าสอนเองนะ ไปคุยกับพวกที่...เถียงกับลัทธิต่าง ๆ ที่เขาอาบน้ำตอนเช้า ที่ว่าอาบน้ำแล้วมันจะเป็นบุญกุศล ชำระล้างบาป ถ้าชำระล้างบาป อย่างนั้นเต่า จระเข้ ปลา สัตว์ในน้ำนั้นมันก็มีบุญเหนือมนุษย์ เพราะมันอยู่ในน้ำเลย เราถึงเวลาก็ไปชำระล้างบาป เห็นไหม

ถึงว่าการชำระล้างบาป การทำประเพณีนี้มันเป็นรูปแบบ จริง ๆ แล้วการแก้กิเลสเป็นนามธรรม กิเลสนี้เป็นนามธรรม เป็นในเรื่องหัวใจ มัคคอริยสัจจังเวลามันหมุนออกไป ภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากนามธรรม เกิดขึ้นจากความคิดเรา ความคิดที่มีสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิอยู่นะ จิตไม่ตั้งมั่น มันจับใจของตัวเองไม่ได้ ถ้าจิตเป็นสมาธิ มันจับต้องตนเองได้ หมายถึงว่าจิตมันรู้ตัวมันเอง พอรู้ตัวมันเอง อ๋อ...นี้คือตัวเรา

นี่คือพื้นฐาน นี่คือบาทฐานที่จะจับต้อง ที่จะเป็นผลประโยชน์ ที่จะรองรับผลประโยชน์ ความคิดเป็นนามธรรม แต่นามธรรมนี่ ภาวนาเข้าไปมันเป็นรูปธรรมเลย รูปธรรมตรงไหน ตรงที่เป็นมัคคอริยสัจจัง เป็นความดำริชอบ ความเห็นชอบ ความงานชอบ ความเพียรชอบ การจับต้องมันจับต้องกันได้เลย มัคคะมันรวมตัว มันหมุนออกไป นี่สัจจะความจริง เป็นนามธรรม คำว่านามธรรมนี้จับต้องไม่ได้... จับต้องได้ ! จับต้องได้หมายถึงว่า ใจแก้ใจ จับต้องแก้กิเลสได้ แล้วชำระล้างได้จริง ถึงสื่อกันได้เลย ถึงว่าเป็นอกาลิโก เป็นปัจจัตตัง แต่สื่อรู้กัน สื่อรู้กันหมายถึงว่า มันต้องมีครูบาอาจารย์ชักนำมา

อาจารย์ถึงบอกว่า “จากใจดวงหนึ่ง มอบให้กับใจดวงหนึ่ง” มันเป็นเรื่องของใจดวงหนึ่ง แต่สัมผัสได้ ถ้าสัมผัสไม่ได้ อุทิศส่วนกุศลได้อย่างไร อุทิศส่วนกุศล เห็นไหม

วันนี้วันพระ วันพระเป็นวันที่นัดกัน นัดกันระหว่างพระพุทธเจ้าองค์ต่าง ๆ มา เป็นประเพณีที่ว่าสืบ ๆ ต่อกันมา พระเจ้าสุทโธทนะนิมนต์พระพุทธเจ้าไปฉันที่บ้าน นิมนต์ไปโปรดหมู่คณาญาติ แล้วไม่ได้นิมนต์ไปฉันเช้าที่บ้าน เช้าขึ้นมาพระพุทธเจ้า “เอ๊ะ...พ่อก็ไม่ได้นิมนต์ ทำอย่างไรดี” กำหนดใจดูเลย พระพุทธเจ้าองค์ดึกดำบรรพ์มาทำอย่างไร พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทำอย่างนี้เลย ประเพณีพระพุทธเจ้าคือบิณฑบาตตอนเช้า ก็เลยออกบิณฑบาต เห็นไหม นี่ประเพณี พระพุทธเจ้าทุกองค์ทำมาอย่างนี้

วันพระก็เหมือนกัน ทำมาอย่างนี้ ถึงเป็นเข้ากับวัฏวน เพราะว่าการเกิดการตายในจิต ในวัฏฏะนี้ จิตนี้ตายเกิด ๆ ไปตกอยู่ภพไหนชั้นไหน แต่วันพระคือวันนัดกัน วันรู้ว่าวันนี้เป็นวันทำบุญกุศล ทำบุญวันพระมันถึงไม่เหมือนทำบุญธรรมดา ทำบุญวันปกติอย่างหนึ่ง ทำบุญวันพระอย่างหนึ่ง ได้บุญต่างกัน พระ ๘ ค่ำ พระ ๑๕ ค่ำ ก็ยังต่างกัน เพราะในพระไตรปิฎกบอก ในพระไตรปิฎกเขียนไว้นะ ในตำราว่าถ้าวันพระ ๘ ค่ำนี่ การจดจารึกนี่เป็นเสนาอำมาตย์ของยมบาล แต่ถ้าเป็นวัน ๑๕ ค่ำนี่มาเอง เห็นไหม การจด ลูกน้องจดอย่างหนึ่ง ทำไมต้องจด อันนี้เป็นรูปแบบ เป็นประเพณี เป็นการยืนยันว่าบุญกุศลนี้สะสมไว้

แต่จริง ๆ แล้วมันจดอยู่ที่ใจของผู้ที่สละออกมาต่างหาก ฉะนั้นรูปแบบนั้นต้องเขียนมาเป็นรูปแบบเพื่อจะให้อ้างอิงได้ แต่ความจริงมันละเอียดเข้ามา ๆ ถึงว่ามันเป็นนามธรรมแต่มันก็อ้างอิงได้ในหัวใจ ถึงจับต้องได้ แล้วพอจับต้องได้ หลักการนี้ได้ มันยกมา ประเพณีนี่มันยิ่งเข้ากันเลย

อาจารย์บอกว่า ธรรมมันเข้าได้แม้แต่เม็ดหินเม็ดทราย ธรรมเข้าได้แม้แต่สามโลกธาตุ ธรรมนี้ไม่ขัดกับสิ่งใด ๆ ในโลกนี้เลย ในสามโลกธาตุธรรมละเอียดอ่อนเข้าได้หมดเลย จะไปขัดกับกฎหมายโลก กฎหมายอะไร เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ! มันละเอียดอ่อนขนาดนั้น เห็นไหม

ถึงว่าจับหลักธรรมอันนี้ได้แล้ว ประเพณีวัฒนธรรมอันไหนมันจะไปขัดกับประเพณี... ไม่ขัด แต่ว่าประเพณีนี้ทำเพื่ออะไร รู้ซึ้งอีกต่างหากด้วย แล้วชี้นำด้วย ควรจะทำอย่างนั้น เข้าถึงประเพณีการลอยกระทงไง การลอยกระทงต้องเป็นลอยอย่างนี้ วันนี้วันพระด้วย มันถึงได้บุญกุศลมาก การมาทำบุญกุศล มันต้องได้บุญจริง