เทศน์เช้า

การถวายข้าวพระ

๙ ก.ย. ๒๕๔๒

 

การถวายข้าวพระ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระเป็นวันทำบุญ เห็นไหม วันทำบุญตักบาตร แล้ววันพระนี่เราต้องถวายข้าวพระพุทธกัน ถวายข้าวพระพุทธ ตามประเพณีวัฒนธรรมเราถวายข้าวพระพุทธกัน เราถวายข้าวพระพุทธเพื่อให้ใจเราระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ วันนี้วันพระนะ เราถวายข้าวพระพุทธกัน เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า การระลึกถึงพระพุทธเจ้าอันนั้นน่ะเป็นบุญกุศล การระลึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราตักข้าวพระสงฆ์แล้ว แล้วก็ฟังธรรมด้วย แล้วตักข้าวพระ ถวายข้าวพระบูชาพระพุทธเจ้า

เวลาอาจารย์สอนนะ ไปที่วัดท่านเหมือนกัน เวลาเรากราบพระ เรากราบถึงพระไหม? หรือกราบถึงทองเหลือง ถ้าเรากราบว่าเรากราบถึงทองเหลือง ทองเหลืองเป็นองค์หล่อพระ เป็นเครื่องหมายแทนพระพุทธเจ้า แล้วเรากราบพระ เรากราบทองเหลือง แต่เรากราบถึงคุณงามความดีไง กราบถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ววางธรรมไว้เป็นความจริงนี้ ให้มัคคะ ให้พวกเราเดินทางกันนะ

อย่างธรรมหยาบๆ เข้ามา ทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม เรื่องการให้อภัยกันนี่ทานหยาบๆ มีศีล มีอะไร ความเป็นไป แล้วหัวใจมันจะมีความสุขขึ้นมา นี่เรากราบถึงเจ้าของธรรมอันนั้น เรากราบถึงพระพุทธเจ้า เราบูชาพระก็เหมือนกัน เราไม่ใช่บูชาพระเพื่อว่าจะให้พระพุทธเจ้ามากินข้าวเราหรอก เพราะท่านนิพพานไปแล้วนะ อาหารของท่าน หรือว่าจิตของท่านอิ่มเต็มที่อยู่แล้ว อย่างเทวดาเขายังกินข้าวเป็นทิพย์กันเลย อย่างพรหม ผัสสาหาร วิญญาณาหาร แล้วข้าวมันเป็นการบูชา เราเข้าถึง ขอถึงไง

คือว่าขอถึง จริงอยู่เราขอถึง เราขอถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขอถึงเพราะใจเราถึง ใจเรา เห็นไหม ไหว้พระถึงทองเหลือง ถึงพระพุทธเจ้า ถ้าไหว้ถึงพระพุทธเจ้า คือไหว้ถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไหว้ถึงพระพุทธเจ้า เราน้อมถึงพระพุทธเจ้าได้เลย เราถวายข้าวก็เหมือนกัน ในเมื่อสิ่งที่เป็นโลกมนุษย์เรา ข้าวนี่เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด การดำรงชีวิตของเรา เราอยู่ด้วยปัจจัย ๔ อาหาร เครื่องดำรงชีพ ทีนี้เราก็มีของสิ่งนี้ในโลกของเรา เราก็ถวายพระพุทธ เห็นไหม เราถวายพระพุทธเจ้าเพื่อจะให้อันนี้เป็นเครื่องระลึก

ประเพณี การถวายนี้เป็นประเพณีใช่ไหม? แต่เจตนาของใจอันนั้นถวายถึงพระพุทธเจ้า นั่นน่ะบุญประเพณีมันสืบต่อกันมา แล้วเราได้บุญ บุญที่ไหน? บุญที่เรานึกถึงพระพุทธเจ้า เรานึกถึงพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ใจเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสติเลย แล้วนี่เราถวายของด้วย จากน้ำพักน้ำแรงของเรา เราหามาแล้วเราถวาย เราเอาของนี้ถวายให้พระพุทธเจ้า มันเป็นกุศลในตัวมันเอง อันนี้คือบุญจริงๆ เลย แต่ไม่ต้องให้มีใครคนหนึ่งบอกว่าต้องให้ไปถวายพระพุทธเจ้า เหมือนกับว่าเขาติดต่อพระพุทธเจ้าได้ เราติดต่อไม่ได้ เราถวายไม่ได้ไง ต้องถวายถึงเขาถึงจะได้บุญมากไง

นี่ขอถึง เข้าถึง มันผิดกัน ว่าการเข้าถึงพระพุทธเจ้า เห็นไหม เขาว่าเข้าถึงพระพุทธเจ้า แล้วทำไมพูดว่ามีธรรมอยู่ในหัวใจ การเข้าถึงพระพุทธเจ้าก็ต้องเข้าถึงที่เราใช่ไหม? ทุกคนมีธรรมกายอยู่ในใจ อยู่ในเรา เราต้องหาธรรมกายในเรา แต่ทำไมถวายข้างนอกล่ะ? เวลาหาไม่ไปหาข้างนอก ทำไมต้องหาเราล่ะ?

นี่มันขัดกันเองในคำพูดนั้น ในการสอนนั้นก็ขัดกันเอง แล้วก็ว่าทำไม่ได้ เราทำได้สิ เราถวายเองได้ ทุกคนมีสิทธิถวายข้าวพระพุทธเจ้าได้หมด แล้วถึงพระพุทธเจ้าหมด เพราะอะไร? เพราะเจตนาตัวนั้นมันสะเทือนอยู่แล้วไง เจตนาตัวที่เราจะให้มันสะเทือนถึงพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตใช่ไหม? ใจนี้ผู้รู้ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ใจนี้เป็นพุทธะ ใจของผู้ให้นั่นแหละเป็นพุทธะ แล้วผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานก็อยู่ที่ใจตัวนั้นไง

ใจตัวนั้น เห็นไหม สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ นะ มีโยมกล่าวถึงรัตนะ ๒ ถึงพระพุทธเจ้ากับพระธรรมยังไม่มีพระสงฆ์ กล่าวถึงพระพุทธเจ้ากับพระธรรมเท่านั้นถวายของ จนพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา สงฆ์องค์แรกของโลกเกิดขึ้นมา ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมเหมือนกัน แล้วพระอัญญาโกณฑัญญะตรัสรู้ธรรมไป ถึงพุทธะเสมอกันตอนนั้น พุทธะของแต่ละบุคคลไง

พุทธะของผู้ที่เข้าถึงแต่ละบุคคลใช่ไหม? นี่มันอยู่ที่ใจ แต่ถ้ายังไม่เข้าถึงพุทธะมันก็ไม่ใช่ธรรมกาย ไม่ใช่พุทธะหรอก ไม่ใช่ มันเป็นจิตที่กิเลสล้วนๆ เลย แต่มันมีจิตอยู่ในหัวใจของเราไง จิตคือความรับรู้ ภาชนะที่จะสัมผัสธรรม แล้วเราถวายพระพุทธเจ้า เราก็ถวายเพื่อจะเข้ามาหาจิตตัวนี้ไง เข้ามาหาเราใช่ไหม? ถ้าถวายที่ว่าของใคร ของบุคคลไหนบุคคลนั้นไง มันจะได้ไม่ขัดกันเองใช่ไหม? ขัดกันเองว่าถวายข้าวพระพุทธเจ้า ถ้าถวายข้าว เขาถวายข้าวนั่นขอถึง แต่การเข้าถึงเฉพาะต้องมีคนนั้นคนเดียว

ไม่ใช่ การเข้าถึงหมายถึงว่าคนที่เข้าถึง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตนั่นเข้าถึง ไม่มีใครเข้าถึงได้เลย ถ้าเข้าถึงได้จะไม่พูดอย่างนั้น เพราะ เพราะข้าว อย่างเทวดาเขาก็กินอาหารทิพย์อยู่แล้ว พวกเทวดานี่กินอาหารทิพย์ เป็นอาหารทิพย์ นึกเอาอิ่มเลย พวกพรหมนี่ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร มโนสัญเจตนาหาร อาหาร ๔ ไง กวฬิงการาหาร เห็นไหม คำข้าว วิญญาณาหารพวกเทวดา วิญญาณาหารเป็นทิพย์ ผัสสาหารพวกพรหม มโนสัญเจตนาหาร เจตนาตัวนั้นมันเป็นอาหารของพุทธะ เป็นอาหารของใจ

เรามีเจตนาดี เราหาความสุขมาใส่ใจเรา เห็นไหม เจตนาเราคิดความดี นี่ปัญญามันหาเข้ามา มันเข้ามาถึงพุทธะ เข้ามาถึงพระพุทธเจ้าไง พระพุทธเจ้านี่อยู่ที่ใจเรา ใจของเรานี้เป็นพุทธะ ใจของผู้ประเสริฐ ใจของเราเอง เข้ามาที่นั่น นี่เราถวายเราถึงทำได้ทุกคน ทุกคนทำได้ แล้วทุกคนเข้าถึง เข้าถึงเพราะมันสะเทือนหัวใจ กำหนดพุทโธคำเดียวมันไหวไปทั่ว หัวใจหวั่นไหว จิตสงบยิ่งหวั่นไหวขึ้นไปเรื่อยๆ หวั่นไหวขึ้นไปเรื่อยๆ นี่มันสะเทือนไง

ความหวั่นไหว จิตใจขนพองสยองเกล้านี่มันหวั่นไหว มันเข้าถึงพุทธะเอง พุทธะคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าเราเข้าถึง เห็นไหม ถึงว่าการถวายข้าวพระพุทธเราถวายได้ ทุกคนถวายได้ เพราะพระพุทธเจ้าวางไว้ใช่ไหม? ดูสิดูอย่างพระพุทธเจ้ายิ้มกับพระอานนท์นะ เดินธุดงค์ไปกับพระอานนท์ แล้วก็ผ่านไปหมู่บ้านหนึ่ง ยิ้มบอกพระอานนท์ว่า

“หมู่บ้านนั้นมีบุญมากเลย”

“เพราะอะไร?”

นี่ในพระไตรปิฎกนะ “เพราะว่าชาวหมู่บ้านได้อุปัฏฐากเจดีย์ เจดีย์อันนั้นมันเป็นเจดีย์ใส่พระบรมสารีริกธาตุ”

นี่พระพุทธเจ้าผ่านไป บอกชาวหมู่บ้านนี้เขาได้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าตลอดเวลา เขาจะเข้าเวรกันไง จะมีเอาดอกไม้ไปประดับ ไปทำความสะอาด แล้วมีดอกไม้ มีธูป มีเทียน เปลี่ยนเวรกันตลอด นี่เขาได้บูชาพระพุทธเจ้าตลอดเลย เขาได้ทำตลอดเลย เขาได้ทำ เห็นไหม

พระพุทธเจ้าก็อยู่นั่น พระพุทธเจ้ายิ้มกับพระอานนท์ พระอานนท์เลยถามเหตุผลที่ยิ้มเพราะอะไร? เขาได้ทำอย่างนั้น นี่พระบรมสารีริกธาตุเป็นเครื่องหมายตัวแทนอยู่แล้ว แต่นี้เรามีศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหม พระธรรมคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้บุคคลได้เป็นผู้ฉลาด ให้เป็นผู้ฉลาด ให้เข้าถึงธรรม ธรรมนี่ใจสัมผัส ให้เข้าถึงเราไง หัวใจของเราเข้าสัมผัส เรามีเจตนา เจตนาจะเข้าไปสัมผัส เจตนาเข้าไปให้พ้นจากทุกข์

ทุกข์นี้เป็นกิเลสอยู่ในเนื้อของใจ ทีนี้ธรรมเวลาเกิดขึ้น ธรรมก็จะเข้ามาชำระหัวใจที่ว่าเป็นกิเลสอันนั้นให้หลุดออกไปเป็นชั้นๆ เข้าไป แต่ในเมื่อเรายังทำตรงนั้นไม่ได้ เราก็มีเจตนาแค่ถวายข้าวพระพุทธ เราถวายก็เป็นบุญกุศลของเราแล้ว ทำไมต้องให้คนอื่นเข้ามาตัดตอนให้ว่าอันนั้นยังไม่ได้บุญ อันนั้นยังเข้าไม่ถึง เป็นขอถึง เป็นเข้าถึง ขอถึง เข้าถึง จะมุดถึงหรือไม่ถึงนั่นมันเป็นการสมมุติทั้งหมด เป็นสมมุติขึ้นมาเพื่อจะกั้นแยกฝ่ายออกไปให้ต้องผ่านไง ให้ต้องผ่านเขา ให้เราต้องไปผ่านตรงนั้นไง เป็นการดึงกันเข้ามา เป็นการหลอกลวงกัน เป็นเล่ห์เหลี่ยม เป็นการผลักดัน

ฉะนั้น ประเพณีก็มีอยู่แล้ว ประเพณีมีอยู่แล้ว ปราชญ์ นักปราชญ์ต่างๆ ในศาสนาเราวางมาอย่างนั้น เราก็ต้องทำตามนักปราชญ์ของเรา นักปราชญ์คือครูบาอาจารย์ที่วางมาไง เห็นไหม ว่าการถวายข้าวพระพุทธ ทุกบ้านก็ทำกันมาเป็นประเพณีอยู่แล้ว มันได้บุญอยู่แล้ว เป็นความสุขอยู่แล้ว ความสุขอยู่ที่ใจ ใจนี้เข้าถึง ใจนี้ทำได้ ใจนี้พอใจในตัวเอง มันอิ่มในตัวมันเองมันก็พอได้ มันก็อยู่ในบ้านนั้น ไม่ต้องไปเดือดร้อนกับคนอื่นไง ไอ้นี่ต้องไปเดือดร้อนกับเขาอย่างนั้นหรือ?เป็นการเดือดร้อน เป็นการอะไร

เพราะว่าทำบุญต้องมีความสงบสิ มีความสุขภายในของเรา เราทำของเราได้ ทุกคนทำได้ไง ทุกคนทำได้ ทุกคนมีสิทธิทำ แล้วได้บุญมากกว่าด้วย เพราะเราทำความสงบ ทำด้วยความสงบ ทำด้วยความเข้าใจ ทำด้วยเจตนาของเรา เราทำแล้วเราก็พอใจ พอใจของเรา เห็นไหม ความพอใจ อิ่มไง บุญคือความสุขใจ บุญคือความพอใจ บุญคือความไม่ต้องไปรบกวน ไม่ต้องไปทำให้ฟุ้งซ่านออกไป ฉะนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจตรงนี้ เราว่าเราทำไม่ได้ไง

สิทธิของเรา เราลบล้างของเรา เราทำไม่ได้ เราทำแล้วได้บุญ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าไปทำตรงนั้นจะได้บุญ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ เจตนาทำแล้วได้บุญ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เหมือนกันหมด ใจเหมือนใจ ใจเขาใจเรา เจตนาของเราก็เป็นเจตนาของเรา น้ำพักน้ำแรงของเรา เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นเราแสวงหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา นี่เราให้ขนาดนั้น เราบูชาไป บูชาไปเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันสะท้อนกลับมาหมด

พระพุทธเจ้าไม่เอาของใครนะ พระอรหันต์ทุกๆ องค์ไม่หวังปรารถนาของใครทั้งสิ้น เพราะใจนั้นอิ่มแล้ว ถ้ามันบกพร่องอยู่นั่นถึงไม่ใช่พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องปรารถนาของใคร เราถวายเท่าไหร่ก็ย้อนกลับมาเป็นของเราทั้งหมด เพียงแต่ว่าอันนั้นเป็นเครื่องดึงดูดไง นี่ทางพ้นทุกข์ การสละออก เรือนไฟที่ไหม้อยู่ ใครขนสมบัติออกเท่าไหร่ก็ได้เป็นของคนนั้น เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราถึงขนออกไป เราถวายท่านไป เพราะถวายใคร? ถวายพระพุทธเจ้า ถวายอาหารพระ ถวายพระ

นี่แล้วก็ย้อนกลับมาถึงของเรา ท่านไม่เอาไปหรอก มันย้อนกลับมาๆ ทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรมนะ นามธรรมคือบุญกุศลอันนั้น รูปธรรมก็ของของเราหมด เป็นของเราทั้งสิ้น ฉะนั้น ถึงว่าเราทำได้ เราทำได้หมด