เทศน์เช้า

รู้ในตน

๑๑ ก.ย. ๒๕๔๒

 

รู้ในตน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ผ่านแบบศีลไง ผ่านแบบศีล เราถือพรหมจรรย์มันก็มีศีลใช่ไหม? การผ่านกามราคะพิจารณากายอย่างไร? เพราะว่าการกองๆ อย่างไรต้องเอาขั้นต้นก่อนไง พิจารณากายอย่างนั้นๆ เอามากองไว้ เราบอกอย่างนี้เป็นการมโนภาพ เห็นไหม การพิจารณากายเขาว่าเอากายนี่กองหมด เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นกองๆๆ เลย แล้วพิจารณาๆ มัน พิจารณาจนมันว่างหมดไง

เราบอกอย่างนี้พิจารณาแบบมโนภาพ เวลาเห็นนิมิต เรายกเลยนะ ที่ว่าเห็นนิมิตออกมา เห็นรุกขเทวดาออกมา เห็นไหม ถ้าเห็นกายอย่างนั้นมันถึงจะเห็นกายตามความเป็นจริงไง มันเห็นในตาของธรรมคือนิมิต ขณะเห็นนิมิตนี่ความสงบมันมี ความสงบมันมีมันถึงเกิดอันนั้นขึ้น เขาบอกใจเขาเป็นเอกัคคตารมณ์ตลอด

บอกถูกต้องถ้าเป็นเอกัคคตารมณ์ คือใจมันเป็นฐานของสมาธิ อันนั้นถึงพิจารณากายได้ไง พิจารณากายได้ แล้วก็พิจารณากายแบบนั้นมันถึงสะเทือนถึงหัวใจ

เราบอก เห็นไหม ใจ มโนยังต้องทิ้ง ใจ มโน เจตนาอย่างนี้ออกมาจากใจ ถ้าพิจารณาในนิมิตมันสะเทือนถึงใจตัวนั้น มันจะเข้าตัวนั้น เราบอกนี่ต้องผ่านตรงนั้น สะอึกเลยนะ

เขาบอกว่าถ้า ฟังนะ เขายังว่าเราไม่ลงใจก็เลยฟัง เขาบอกว่าพรรคพวกเขาภาวนาอยู่ เขาบอกเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เขาเป็นได้อย่างไร? เขาบอก “นี่เวลาภาวนากัน ตัวเองความเป็นอยู่ดีมากเลย แล้วพาไปหายมบาล ยมบาลบอกว่าคนนี้เป็นโสดาบัน คนนี้เป็นสกิทาคา”

เราบอก “ใครบอก?”

เขาบอก “ยมบาลบอก”

เราบอก “ยมบาลยังไม่รู้เลยทำอย่างไร? โสดาบันนี่มีเหตุมีผลอะไรถึงเป็นโสดาบัน? เหตุของโสดาบันคืออะไร? แล้วผลของโสดาบันคืออะไร? แล้วพญายมรู้ได้อย่างไร? พญายมเอาอะไรมาบอก?”

พอพญายมบอกนะว่าเขาเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามีกันนะ นี่อายุ ๗๐-๘๐ เหมือนกัน หลายคนเป็นอย่างนี้

เราบอกว่า “โยม โยมมีเงินหนึ่งล้านบาท โยมเอาเงินหนึ่งล้านบาทมาให้เราดู เอาแบงก์ออกมาให้เราดู ถึงว่าเป็นหนึ่งล้านบาทใช่ไหม? เราบอกว่าโยมมีเงินหนึ่งล้านบาท แล้วหนึ่งล้านบาทนั้นเป็นตัวเลข เงินหนึ่งล้านบาทนั้นมีไหม? เวลาโยมกินข้าวอิ่ม โยมต้องมาถามเราว่ากินข้าวอิ่มไหม?”

สมุจเฉทปหาน เวลาพิจารณากาย สังโยชน์มันขาดออกไปเป็นโสดาบันนะ ปานดั่งแขนขาด ตัดแขนขาดออกไปเหมือนดั่งแขนขาด เห็นไหม แต่นี่เอาแขนซ่อนไว้ข้างหลังไงแล้วบอกแขนขาด มันหลอกตัวเอง ถ้าตัวเองยังต้องให้พญายมเป็นคนพยากรณ์ว่าเป็นโสดาบัน นี่มันไม่ใช่อยู่แล้ว ถ้าเป็นโสดาบันมันต้องเป็นปัจจัตตัง รู้ขณะนั้น รู้ขึ้นมาเองด้วยตัวเอง ต้องเป็นเดี๋ยวนั้น มันถึงจะเป็นโสดาบันจริงตามความเป็นจริงไง

นี่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ต้องละ ต้องมีเหตุมีผล เออ เวลาฟังเขาบอกฟังได้อยู่ ฟังแล้วพอมีเหตุมีผล เราเป็นของเราเองทำไมต้องไปให้พญายมเป็นคนบอก พยากรณ์ว่าเป็นโสดาบัน แล้วก็เชื่อเขา ก็มานั่งกันว่าเป็นโสดาบัน ที่พูดนี้ไม่ใช่พูดว่าไม่เชื่อใครทั้งสิ้นนะ มันเชื่อเหตุผล ไม่ได้เชื่อว่าคนนั้นพูดผิดหรือพูดถูก แต่ต้องมีเหตุผล เหตุผลว่ามันมีเหตุมันถึงจะมีผลไง เหตุผล เห็นไหม การพิจารณา พิจารณาอย่างไร? ไอ้นี่พิจารณาแบบว่าข้ามๆ กันไป

นี่การปฏิบัติถึงบอกเขาไม่มีคนสอนอย่างนี้ไง พอเราพูดไปนี่ เอ๊อะ เอ๊อะ เอ๊อะ เอ๊อะทุกคำนะ ยอมหมด เพราะไม่มีคนสอบอารมณ์ไง แต่เชื่อกันว่าพวกเขาเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคากันเยอะแยะเป็นกลุ่มๆ เลย แต่ดีอย่างหนึ่งไม่ถึงกับเพี้ยนไป เพราะว่าเขาไม่เว่อร์ออกไปข้างนอกไง เขารู้ข้างในแล้วเขาอยู่กันแบบมีศีล เขาศีลคุมอยู่ไง แล้วเข้าใจว่าตัวเองเป็นก็พยายามกดไว้ไง พวกนี้กดไว้ กดไว้ว่าเรามีคุณธรรม แต่กดไว้เฉยๆ ยังดียังมีพรหมจรรย์อยู่นี่กดไว้ เพราะตัวเองอยู่ในศีลในธรรมอยู่ แต่ถ้าออกไปข้างนอกนะ ออกไปสอนเขาหรือออกไปคิดเดี๋ยวยุ่งเลย

ตัวเองเป็นอยู่นะ ในเมื่อวัฏวนเขายังเกิดยังตายอยู่ พวกพญายม พวกพระอินทร์นี่ยังเกิด ยังตายอยู่ เขาไม่มีธรรมหรอก แต่เขามีบุญ เขามีบุญเขาถึงได้ไปเกิดในสภาพแบบนั้น แต่ธรรมอันนี้เขาไม่รู้ ถ้าเขารู้เขาไม่มาเกิดอย่างนี้หรอก เขาเป็นอนาคาต้องเกิดเป็นพรหมอยู่แล้ว แล้วเป็นโสดาบันมันขาดที่ใจ มันรู้ออกไปจากใจ เรามีเงินอยู่ในกระเป๋าทำไมต้องให้คนอื่นบอกว่าเงินในกระเป๋านี้เป็นเงินเท่าไหร่

เงินในกระเป๋าของเรา เราไม่ไว้ใจตัวเราเอง ต้องให้คนอื่นมานับเงินให้เรา มันเป็นไปได้อย่างไร?กินข้าวแล้วไม่รู้ว่าตัวเองอิ่ม ต้องไปให้เขาพยากรณ์ว่าเราเป็นขั้นไหนๆ บอกไม่จริง อันนั้นมันเป็นความไม่จริง นี่มันปฏิบัติกันเป็นอย่างนั้นไปหมดเลย เป็นอย่างนั้นไปหมดนะ มันน่าคิดอยู่ แต่หาคนพยากรณ์ไม่ได้ มาถึงที่นี่นะไปหมด เขาว่าไปตามวัดทั้งหมด เขาไปนั่ง เวลาไปนั่งกรรมฐานจะให้คนทดสอบไง จะให้เห็นนิมิต ต้องเห็นนิมิตขึ้นมาเลย แล้วว่านิมิตนี้เป็นภาพมา แล้วมีความรู้สึกขึ้นมา แล้วมันจะเห็นแล้วมันปล่อยเอง

บอกไม่ใช่ นิมิตมันเป็นแค่เครื่องหมาย รถเราวิ่งไป เข็มมันกระดิกขึ้นมา เข็มมันบอกเลยว่ารถนั้นวิ่งเท่าไหร่? จิตคนสงบลงไป นิมิตบางคนจะเกิดขึ้น เห็นภาพอันนั้นจะบอกว่าจิตนี้สงบขนาดไหน ภาพนั้นชัดขนาดไหน คมชัดขนาดไหน ภาพนั้นใสขนาดไหน คือจิตมันสงบมากขนาดนั้น ถ้าจิตเราแค่วูบวับนะ ก็เหมือนรถเราพึ่งออกตัววืดไปแล้วก็หยุดเลย มันก็วูบไปเห็นภาพแวบ พอความเคลื่อนตัวออกไป

จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามันสงบมากมันเคลื่อนตัวออกไป แล้วเราก็ต้องหัดทรงความนิ่งของมันให้ได้ไง คือว่าหัดให้จิตสงบเป็นรากฐานให้ได้ เป็นเอกัคคตารมณ์ ทีนี้มันก็เหมือนกับเราเหยียบคันเร่งไป รถก็วิ่งสม่ำเสมอไป พอรถวิ่งสม่ำเสมอไปมันก็เคลื่อนไป เห็นไหม นี้เคลื่อนไป นี่การส่งออกหมดเลย เขาเคลื่อนออกหมด เขาเห็นภาพนิมิต ฉะนั้น การเห็นภาพนิมิต เราเปรียบให้เห็นว่าเหมือนกับเราเล่นเทนนิส เราเล่นเทนนิส เวลาเราตีเทนนิสไปชนกำแพง มันเด้งกลับมาหาเรา เราหัดเล่นเทนนิส ลูกเทนนิสกระดอนกลับมา

การพิจารณากายก็เหมือนกัน เห็นภาพนิมิต เห็นภาพ รู้สึกออกไป เห็นไหม แต่ความรู้สึกออกไปมันเป็นการส่งออกใช่ไหม? แต่เห็นกายนี่มันส่งออกไหม? เหมือนกับการส่งออก แต่มันเหมือนกับกำแพงไง เล่นเทนนิสมันจะย้อนกลับมา กายกับจิตมันติดกัน พิจารณาเห็นกายอย่างนั้นแล้วมันย้อนกลับมา นี่มันสะเทือนกลับมา พอสะเทือนกลับมา สิ่งที่สะเทือนกลับมามันสะเทือนถึงใจ นี่มันถึงว่าพิจารณากายกับนิมิตมันต่างกัน นิมิตมันเห็นภาพออกไป เรารู้ออกไป มันส่งออกไป แต่เห็นกาย พอเห็นกายมันขนพองสยองเกล้าก่อน เพราะภาพนี้มันกำลังผูกมัดกันไง

เราเห็นว่าเราสวย เรางาม เห็นไหม เรายึดมั่นทั้งหมด หัวใจนี้เป็นอัตตาทั้งหมดเลย มันเห็นว่าทุกอย่างนี้เป็นเรา ทุกอย่างนี้เป็นของของเรา บุญก็ของเรา ทุกอย่างเป็นของเราหมดเลย แต่พอเห็นกายขึ้นมา กายนี่มันเป็นสิ่งตรงข้ามกับของเราแล้ว เห็นไหม เพราะว่ามันนึกว่ากายเป็นเรา แต่กายมันตั้งข้างหน้าให้เราเห็นมันจะแปรสภาพ มันไม่ใช่เรา มันเป็นฝ่ายตรงข้าม มันยิ่งขนพองสยองเกล้ากว่าเห็นนิมิตหลายร้อยเท่าเลย

ขนพองสยองเกล้า หรือว่าความรู้สึกกระเทือนหัวใจ อันนี้ต่างหากล่ะมันถึงจะสอนใจได้ไง การสอนใจกลับมา มันก็นิมิตเหมือนกัน แต่มันคนละนิมิตไง นิมิตส่งออก กับนิมิตที่ว่ามันเป็นของคู่ ของคู่หมายถึงว่าความยึดติดไง ดีกับชั่ว ขาวกับดำมันเป็นของคู่กันที่ว่าเราไม่เห็นตามความเป็นจริง มันจะทำให้เราเห็นตามความเป็นจริงอันนี้ต่างหาก นี่การพิจารณาอย่างนั้นแล้วมันถึงจะปล่อย การปล่อยนั่นก็ปล่อย ปล่อยเพราะว่ามันรู้ แต่มันยังไม่รู้แจ้งไง รู้เท่า รู้เท่าอย่างเราไม่รู้อะไรเลย พอเราเริ่มรู้เท่า แล้วพอถ้าเราชนะใจเราก็จะวางๆ เรารู้เท่าแล้ว เรารู้เท่า เหมือนของซื้อมา เราเอาสมบัติเข้ามาในบ้าน แต่เราไม่เก็บให้ดีไง ไปวางไว้หน้าบ้าน วางไว้ในบ้าน เดี๋ยวก็หาย

นี่ก็เหมือนกัน พอรู้เท่าแล้ว ของก็มีอยู่ในบ้าน ก็ของๆ เรา แต่รู้เท่าต้องรู้แจ้ง รู้วิธีเก็บ รู้วิธีเก็บว่าทองคำนี้มันเป็นทองคำ เป็นแร่ธาตุที่ไหน มาจากไหน รู้จนปล่อยวางหมดไง นี่รู้แจ้ง รู้แจ้ง รู้ที่เกิด รู้ที่เกิด รู้ที่ดับ รู้เหตุ รู้ผล รู้หมดเลย นี่รู้แจ้ง รู้แจ้งก็ปล่อย ถ้ารู้เท่าก็ไปซื้อมา เก็บมา นี่ก๊อบปี้มา แต่ถ้าเป็นของเราอยู่ เพราะเราใช้พลังงาน เราซื้อมา เอาเงินไปซื้อมา ซื้อทองคำมา ก็เอามาเก็บไว้ในบ้าน นี่รู้เท่าเรามี ก็ก๊อบปี้มาเลย ไปซื้อสำเร็จรูปมาเลย

นี่เวลาพิจารณาแล้วปล่อยวางๆ มันรู้เท่าแต่มันยังไม่รู้แจ้ง ต้องซ้ำ ซ้ำจนจำอยู่นี่ ซ้ำประจำๆ พอมันรู้แจ้งหมด เห็นไหม รู้หมด ทุกอย่างไม่มีอะไรปิดบังความรู้มันเลย พอไม่มีอะไรปิดบังความรู้มันเลย พอมันรู้เท่ามันก็ปล่อย มันไม่มีอะไรเกาะเกี่ยวได้ นี่เกาะธรรม เป็นธรรมล้วนๆ เลย พอธรรมล้วนๆ มันก็หลุดสิ พออันนี้หลุด อะไรหลุดออกไปด้วย?

นี่อาจารย์ถามว่าอะไรหลุดออกไปด้วย? เราเหลืออะไร? สังโยชน์มันจะขาดออกไป อันนั้นถึงจะเป็นความจริงไง แต่เขาไม่มีอันนี้กันเลย แต่พอไปเห็นว่าเขาเป็นโสดาบัน โสดาบันด้วยการคิดเอาไง นึกว่าตัวเองเป็นโสดาบัน คิดว่าพออ่านตามตำราแล้ว ตำราย้อนกลับเข้ามา เป็นกันมาก โอ้โฮ ร้องโอ้โฮเลยนะ แล้วลุ่มลึกนะ เพราะบวชมาหลายรอบ บวชมาหลายรอบ แล้วคนนี้เขาอยู่กับวัดมา พูดอะไรรู้หมด

เวลานั่งสมาธิไปจะมีคนมาบอกเลยว่า ต้องเป็นอย่างนั้นๆ ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าๆ ของเขาจะมาบอกว่านี่อินทรีย์อ่อนไป เขาก็รู้ทันทีว่าอินทรีย์อ่อนไปคือว่าอายตนะมันอ่อนไป ต้องให้มันแข็งขึ้น นี่มันบอกกันข้างนอกไง อินทรีย์อ่อนไป เห็นไหม อินทรีย์คือว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อินทรีย์ อายตนะทั้งหมดมันอ่อนแอ ต้องให้เข้มแข็งขึ้นมา ขันธ์ ๕ อินทร์อ่อน เขามีอย่างนั้นมาตลอดแต่เขาไม่ย้อนกลับมา

เราถึงบอกว่า ในการปฏิบัติของพวกเรามันเป็นไสยศาสตร์ซะส่วนใหญ่ ในการเพิ่มพลังงานของใจเป็นไสยศาสตร์ไง มันไม่เข้ามาในอริยมรรคนี่ไง ถ้ามันเข้ามาที่อริยมรรค มัคคะอริยสัจจัง มรรคตัวนี้สำคัญมากเลย มัคคาเครื่องดำเนิน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น จิตเป็นสมาธิมันเห็นได้ เห็นภาพอย่างนั้นได้ เห็นนิมิตได้ ความรู้สึกต่างๆ เกิดขึ้นมา นี่ที่อาจารย์เขาบอกว่า “ผู้วิเศษกับพระอริยเจ้านี่ต่างกันไง”

นี่ผู้วิเศษ ใครฟังแล้วทึ่งนะ ติดต่อกับเทวดาได้ ติดต่อกับทุกอย่างได้ นั่งสมาธิอยู่นี่ครูบาอาจารย์จะมาสอน ครูบาอาจารย์จะมาสอนเลยว่าอินทรีย์อ่อนไป แล้วก็เห็นภาพเสียงกระซิบว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้น อันนี้มันเป็นธรรมเกิดไง แต่มันเป็นดาบสองคม ธรรมเกิดหมายถึงว่าถ้าเราปฏิบัติอยู่ มีการบอกให้เราเดินถูกทาง อันนี้จะเป็นประโยชน์มากเลย แต่บางทีอันนี้ก็จะบอกผิดทางไง

นี่เวลามารมันเกิด เพราะเกิดขึ้นมามันมีมารเกิด คือว่าความรู้สึกเราด้วยมารภายในมันเกิด มันจะบอกให้ไขว้เขวไง เห็นไหม บอกว่าถึงจุดแล้ว ทั้งที่ยังไม่ถึงจุดเราก็จะปล่อยวางแล้ว เราจะถึงจุด เราจะปล่อยเลย นี้เขาบอกว่าถึงจุดแล้ว ถึงที่แล้ว ถึงที่พักแล้ว แต่ความจริงมันยังไม่ใช่ นี่มารไง ถึงมารมันอาศัยอันนี้ไปด้วย นี่ถึงว่าเราไม่เชื่อตรงนั้นนะ มันเป็นปัจจัตตัง มันรู้จำเพาะตนใช่ไหม? ถ้ายังไม่มีถึงที่สุด มันยังไม่สมุจเฉทปหาน มันต้องซ้ำไป ซ้ำไปๆ พอซ้ำไปมันต้องซ้ำในอริยมรรคด้วย ไม่ได้ซ้ำแบบเขา ซ้ำแบบเขามันก็วัวพันหลักอยู่นั่นแหละ

เห็นนิมิตมา เห็นความหมายมา เห็นรู้แจ้งมา แล้วก็เวลาคุยกันเขารู้นะ รู้ถึงเทวดาเลย เขาบอกว่าอย่างเช่นอาหาร กวฬิงการาหาร เห็นไหม เรากินอาหารเป็นคำข้าว แล้วเขาพูดถึงเรื่องของกาม เขาละกามได้ เขาว่าเขาละกามได้ ก็บอกว่า เอ๊ย กามนี่มันของหยาบๆ ดูอย่างเทวดาสิ เทวดามีคู่ เทวดาคนหนึ่งมีคู่ถึงพันคน แล้วเขาเสพกามกันอย่างไร? เขาบอกมองตา ทิพย์ไง มองตากันนี่มีความสุขแล้ว แค่มองตาแค่นี้

นี่เห็นไหม เขามีความรู้ออกไปอย่างนั้น นี่ส่งออกหมดเลย มันจะได้ประโยชน์อะไรกับเรา ในเมื่อเทวดาก็ยังรบกันอยู่ เทวดายังเสพกามอยู่ แต่ในเมื่อรู้เรื่องของเขา ความเห็นของเขา ความเป็นอยู่ของเขาไง ความเป็นอยู่ของเทวดา กับความเป็นอยู่ของพวกเรา เห็นไหมนี่ส่งออกจะรู้เรื่องอย่างนั้น นี่ผู้วิเศษ ผู้วิเศษรู้เรื่องต่างๆ รู้เรื่องพรหม รู้เรื่องอะไรต่างๆ ผู้วิเศษ ทีนี้ผู้วิเศษมันเสื่อมได้ เป็นอนิจจัง ถึงว่านี่เป็นไสยศาสตร์ไง มันไม่เข้ามาในอริยมรรคไง

ในอริยมรรคนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้เรื่องทุกข์ไง รู้เรื่องเกิดดับในหัวใจไง พอดับตรงนี้ปั๊บกับสว่างโร่ รู้แจ้งโลก รู้แจ้งวัฏฏะ เห็นไหม มันกลับรู้ถึงว่าพรหมต้องอยู่อย่างไร? เกิดดับอย่างไร? เทวดาเกิดดับอย่างไร? กามภพเกิดดับอย่างไร? นี่ถึงที่สุดแล้วใจนี้ตัดสิ้นแล้ว ไม่มีที่เกิดดับเป็นอย่างไร? ถึงว่าเวลาขันธ์มันขาดเป็นชั้นๆๆๆ เข้ามา ขันธ์ไง ขันธ์เครื่องสืบต่อไง จิตนี้มันอาศัยขันธ์เป็นเครื่องดำเนิน พลังงานเกิดขึ้นมา เครื่องยนต์เปล่าๆ มันมีแต่เครื่องยนต์ ไม่มีเพลากลาง ไม่มีกำลังส่งมาที่ล้อ รถมันจะเคลื่อนไปได้อย่างไร? พลังงานจากเครื่องยนต์ส่งพลังงานมาที่ล้อรถ ที่เพลากลาง ที่เฟืองท้าย เฟืองท้ายลงที่ล้อ ล้อขับเคลื่อนให้รถเคลื่อนไป

นี่ขันธ์ ๕ จิต เห็นไหม ตัวพลังงานเฉยๆ คือตัวเครื่องยนต์กับตัวหัวใจเฉยๆ ขันธ์ ๕ เป็นส่วนประกอบของมัน ให้มันแสดงตัว นี่มันเกี่ยวพันกันไปหมดนะ ทีนี้ธรรมเข้าไปชำระมัน เข้าไปแยกออกๆ แล้วพลังงานที่เกิดขึ้นนี้เป็นกิเลสทั้งหมด พอพลังงานนั้นสะอาด พลังงานสะอาดมันไม่มีกิเลสแล้ว ก็พลังงานอันเก่านั่นแหละเข้าไปชำระล้างจนมันสะอาดหมดเลย อันนี้ต่างหาก มันคนละเรื่องกัน มันคนละเรื่องกับการรู้อันนั้น รู้ข้างนอกไง รู้ส่งออก กับรู้เข้ามา รู้ตน รู้ทุกข์ รู้อริยสัจ

พอรู้ตนจบ เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ ตนนี้สว่างหมด ดวงใจทุกดวงใจที่เกิดดับเหมือนกันหมด ถึงว่าใจดวงนี้ถึงครอบจักรวาลไง เวลาหลุดออกพ้นไปแล้ว วัฏวนทั้งสาม โลกวัฏฏะ กามภพ เทวดา พรหม หัวใจนี้ครอบหมดเลย แล้วอะไรจะไม่รู้? แต่พอมันรู้กลับมาอย่างนี้ ที่ว่ารู้เฉพาะเรื่องของตนก่อน พอจบตรงนี้แล้วมันรู้หมด แต่นี่ไปรู้ข้างนอกก่อนไง ไปรู้เรื่องไสยศาสตร์ก่อน ไปรู้เรื่องเทวดาก่อน ไปรู้เรื่องแค่จุดเดียวๆไง ไปรู้ภพ กามภพ เห็นไหม เป็นเทวดา พระอินทร์ ไปรู้เรื่องพรหม ไปรู้เฉพาะจุดไง ไม่รู้ครบวงจรไง เพราะไปรู้จุด ไปศึกษาเฉพาะส่วนๆ เฉพาะส่วนที่เห็นเท่านั้นเอง นี่ส่งออกถึงเป็นอย่างนั้น

การส่งออกของเขา แต่เขาเข้าใจว่าอันนี้เป็นปฏิบัติธรรม พอปฏิบัติธรรมแล้ว ยังพูดเลยนะ ยังเข้าใจว่าตัวเองเป็นโสดาบัน ตัวเองนะเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคาเพราะละกามได้แล้ว แต่พอพูดเข้าจริงๆ เขาก็พูดยอมรับ “ละด้วยการกดไว้ใช่ไหม? มันละ มันละอะไรออกไป?”

ยอมรับ ยอมรับว่าละอย่างนั้น แต่เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่มีใครสามารถจะบอกความจริงกับเขาได้ไง คือว่าเวลาเขาไปพูดกับใครเขาชนะหมด พระองค์ไหนก็ต้องยอมรับเขาทั้งหมดไง เขาบอกว่าไม่มีคนสอบอารมณ์เขาไง เราบอกถ้าละอย่างนี้มันละด้วยศีลไง ศีลคือเครื่องบังคับไว้ไง เราอยู่ในศีลเราก็ไม่ทำผิดศีล นี่กดไว้เฉยๆ หินทับหญ้า มันละตรงไหนล่ะ? มันละอะไร? ไม่รู้ แต่เข้าใจว่าละกามแล้ว เพราะอยู่กับครอบครัวได้ ๑๐ กว่าปี ไม่เคยนอนด้วยกันเลย เขาว่าเขาละได้แล้ว แค่นี้เอง แล้วพวกเราก็ทึ่งนะ ทึ่งเรื่องอย่างนี้กันมาก

แต่ถ้าพูดถึงความจริงแล้วมันเป็นละจากข้างใน ละจากข้างใน สมมุติว่าคนที่เสียชีวิตแล้วเอามานอนคู่กันสิ ศพนอนคู่กันมันก็ไม่เห็นมีอะไรเลย นี่มันละไม่ได้จริง มันละได้จริงมันละที่ตรงนี้ ละที่ตรงนี้เลย มันไม่มีความรู้สึกเลย ใจนี่ไม่กระเพื่อมออกไปทางนั้น ใจกระเพื่อมออกไปมันรู้ออกไปเลย ว่านี่เพราะมันคิดก่อน พอมันคิดก่อนแล้ว พอความรู้สึกมันอยากก่อน ความรู้สึกมันอยากมันถึงออกมาเป็นมโนกรรม

นี่มโนคิดก่อนกายกรรมถึงได้เกิด เห็นไหม กายกรรม วจีกรรม มันเกิดออกไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามันสิ้นตรงนี้แล้วมันไม่มี นี่ละตรงนี้ได้มันสะอาดตรงนี้ไง ถ้าสะอาดจากข้างในแล้ว ข้างนอกไม่เกี่ยวเลย พลังงานสะอาดกับพลังงานสกปรก แต่มันก็เคลื่อนไปอย่างนี้ พลังงานเหมือนกัน ขันธ์เหมือนกัน ขาดเหมือนกัน ถึงว่าการสืบต่อ พลังงานนี้เคลื่อนไป จิตนี้ตายเกิดในวัฏวนนี้ วัฏวนที่มันหมุนไป พลังงานมันขาดมันสืบต่อไปไม่ได้ เหมือนกับเราถอดออกเลย ถอดเฟืองท้ายออก รถติดไปสิ เครื่องติดไป มันส่งพลังงานมาไม่ได้ เห็นไหม

นี่ไง อ๋อ พลังงานช่วงนี้เกิดในสวรรค์ พลังงานอย่างนี้มันจะไปเกิดในพรหม พลังงานอย่างนี้เกิดตรงนี้ แล้วพลังงานนี้เรารู้เราถอดได้หมดมันไม่มี มันเป็นพลังงานหมุนเฉยๆ พลังงานเครื่องมันหมุนไปเฉยๆ อ๋อ มันก็รู้แจ้งในตัวตนไง รู้แจ้งในตน รู้แจ้งหมด นี่ถ้ารู้แจ้งต้องปัญญาเท่านั้นไง มัคคะอริยสัจจังวนกลับมาในอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แต่นี้ไม่ ไปรู้เรื่องข้างนอกหมดเลย อ๋อ เป็นโสดาบันเพราะว่าอย่างนั้นนะ ไปรู้ติดต่อเขาได้ จิตมันสูงขึ้น ยกขึ้นสูงขึ้น ไปพบพญายมไง ยมบาล ยมบาลบอกว่านี่เป็นโสดาบันแล้ว

ตัวเองไม่รู้ มันงงตรงนี้ ตัวเองไม่รู้ว่าเป็นโสดาบัน แต่เขาบอกว่าเขาก็ดูความเป็นอยู่กันนะ ความเป็นอยู่อยู่ในศีลในธรรมหมด ไม่รู้ว่าเป็นโสดาบัน ถึงว่ามันไม่ใช่ปัจจัตตัง ไม่ใช่ปัจจัตตัง...

(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)