เทศน์เช้า

ความเห็นจริง

๑๒ ก.ย. ๒๕๔๒

 

ความเห็นจริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ไปเห็นตามความเป็นจริง เขาต้องอาศัยคนข้างนอก ทีนี้เขามาถามนะ อาศัยความเห็นของคนอื่น เห็นไหม เช่นว่าตัวเองอยู่ในศีลในธรรม แต่ต้องให้ยมบาลเป็นคนบอกเลยว่าเป็นโสดาบัน เป็นอะไร แล้วตัวเองไม่เป็นตามความเป็นจริง มันไม่เป็นตามความเป็นจริง สติสตังมันก็ไม่พร้อม มันก็มีความลังเลสงสัยไปตลอด

แต่ถ้ามันเป็นตามความเป็นจริงนะ เวลาจิตมันเป็นความเป็นจริงนี่สะสมมา เราก็หลงมาก่อน ทุกคนต้องหลงมาก่อน ความเห็นหมุนไปนี่มันหมุนไป แต่พอมันเข้าไปถึงเนื้อของจิตที่ว่าเป็นภาวนามยปัญญา ความเป็นภาวนามยปัญญามันจะเป็นความแปลกประหลาดมหัศจรรย์มาก ถึงภาวนามยปัญญาที่คนพูดไม่ถูกสักคนหนึ่ง

เขาบอกภาวนามยปัญญานะ รู้ในอริยสัจ ทุกข์ดับนะ สมุทัยขาดไปอยู่ในอริยสัจ อันนั้นก็ยังไม่ใช่ อันนั้นมันเป็นความเห็นไง มันเป็นความเห็นแบบนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ที่เขาคิดค้นขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์ ไอน์สไตน์พิจารณาคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ ใช้กล้องโทรทัศน์เห็นความทฤษฎีสัมพัทธภาพ ไอน์สไตน์ดูออกไปข้างนอก เห็นข้างนอก เห็นไหม แต่พระพุทธเจ้าเห็นเนื้อของจิต

อวิชชาปัจจยา สังขารา แค่เอาจิตเข้ามาดูข้างในกับดูข้างนอก อันนี้ก็แสนยากแล้ว นี่ดูข้างนอก ตาส่งออกไป ไฟจุดขึ้นมา ความร้อนมันเผาผลาญอย่างอื่นไปมันง่าย แต่จุดไฟแล้วไฟมันลามเข้าไปในตัวมันเอง มันไม่เผาผลาญอย่างอื่นเป็นไปได้อย่างไร? มันรู้การเกิดดับของไฟนั้น นี่รู้จักตัวไฟของไฟเอง ปัญญาก็เหมือนกัน ปัญญาส่งออกต้องให้คนอื่นเขาบอก ไปถามคนอื่นว่าเป็นไหม?

เหมือนกับไอน์สไตน์ที่ว่าเวลานักวิทยาศาสตร์คิดค้นออกไป มันเป็นจินตมยปัญญา จินตมยปัญญาเป็นจินตนาการออกไป แล้วก็ยังสงสัย เพราะจินตมยปัญญา ปัญญานั้นเคลื่อนออกจากตัวเองไปคิดเรื่องวิทยาศาสตร์ใช่ไหม? พอคิดเรื่องวิทยาศาสตร์มันก็รู้เรื่องวิทยาศาสตร์ แต่ตัวเองลังเลสงสัยตัวเอง ไม่รู้ ไม่รู้ จนนักวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกอยู่เลยว่ารู้ทฤษฎีสัมพัทธภาพ แต่ขั้นสุดท้ายระเบิดนี่ไม่รู้ เพราะไม่เคยเห็นความเป็นระเบิดไง

แต่ภาวนามยปัญญา เห็นไหม ไอ้ที่ว่าคิดออกไปนั้นมันสงสัย นี่จินตมยปัญญามันคิดเข้ามา แต่เวลาภาวนามยปัญญามันเห็นปัจจยาการของตัวจิต ตัวเกิดดับไง จิตนี้เกิดดับ เป็นธาตุรู้รับรู้ตัวเองก่อนใช่ไหมแล้วถึงเพ่งออกมาดูข้างนอก ปัญญาข้างนอกมันก้าวเดินออกมากี่ชั้น ระยะห่างของจิต จินตมยปัญญามันห่าง ภาวนามยปัญญา ไอ้ตัวจิตที่มันรู้สึก ไอ้ตัวธาตุรู้มันไม่มีขันธ์ มันคิดไม่ได้ แต่คิดขึ้นมาได้จากภายในไง จากสัญญาเดิมภายใน

ความคิดนั้นมันจะสืบต่อเนื่องไปได้ แล้วจะหมุนไปโดยธรรมชาติของมัน ไม่ใช่เราไง พอไม่ใช่เรามันเห็นความเป็นไปข้างใน มันเห็นต่อหน้า มันอ๋อต่อหน้าไง นี่ความเป็นจริงมันถึงว่าสติมันพร้อมอยู่ พร้อมกับภายใน พอพร้อมข้างในมันจะเห็นข้างใน แล้วมันองอาจกล้าหาญ กล้าหาญตรงไหน? กล้าหาญที่ว่ามันเป็นความผิดไปไม่ได้ แล้วมันเทียบมาข้างนอก เทียบมาอย่างที่ว่าไอน์สไตน์พูดมันยังห่างไกลมาก

มันเป็นเรื่องของจินตมยปัญญา เรื่องของภายนอก แต่มันเปรียบเทียบกันว่าการทำงานของปัจจยาการอันนั้น ทฤษฎีสัมพัทธภาพอันนั้น กับการทำงานของปัจจยาการของใจ มันเปรียบเทียบเหมือนสมมุติไง เทียบเคียงให้เหมือนกันได้ไง เหมือนกับเวลาพูด เรื่องวิญญาณ เห็นไหม ความโทมนัส ทุกข์ใจ สุขใจ กับร่างกาย ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ทุกข์กาย ร่างกายทุกข์ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ทุกข์มากเลย แต่ความทุกข์ใจ ความคิดถึงความทุกข์ใจ ความเศร้าโศกของใจ นี่ทุกข์ใจ ไม่ต้องอาศัยกายมันก็ทุกข์ได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพข้างนอก เห็นไหม มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นธาตุ เป็นสสารที่หมุนออกไป มันสัมพันธ์กันไป แต่มันก็ต้องสืบเนื่องกันไป มันไม่ทำลายตัวมันเอง มันระเบิดขึ้นไปมันก็เป็นสสารเหลือต่อไปๆ แต่อันนี้มันทำลายของตัวเอง ถึงว่าความว่างอันนี้เวลามันปล่อยวางไง มันเทียบไปข้างนอกแล้วมันจะว่างต่างกันมาก ความว่างอันนี้ใครเป็นคนรู้ล่ะ? ใครเป็นคนรู้ ผู้ที่ปฏิบัติถึงรู้ นี่ถ้าเป็นปัญญาเกิดขึ้นจากตน เป็นปัจจัตตังของผู้นั้นไง ถึงว่าผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นย่อมรู้ธรรมด้วยความเป็นจริง

ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นี้เราก็ปฏิบัติธรรมกันอยู่ แต่เราปฏิบัติธรรมด้วยระยะห่างของจิต มันไม่เข้าไปเนื้อของจิตไง ฉะนั้น เวลาเขาปฏิบัติมาเขาพูดธรรมะทั้งนั้นนะ พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้นๆ นะ รู้หมด รู้ธรรมของพระพุทธเจ้าเลย แต่นี้รู้แบบกู้ยืมไง นี่สาวกะผู้ฟังมา ฟังมาแล้วก็หยิบอันนั้น มันก็เหมือนอยู่นอกใจไง มันเป็นเหมือนนักวิทยาศาสตร์ มันคิดอยู่ข้างนอก เห็นวัตถุ เห็นสสารอยู่ข้างนอก เห็นไหม วิทยาศาสตร์ทฤษฎีข้างนอก ใจนี้เป็นผู้รู้ นี่ก็เห็นความแปรสภาพไป รู้ว่าตัวรู้ไง แต่ไม่รู้จากข้างนอก ไม่รู้ตัวเอง

นี่ก็เหมือนกัน มันรู้ที่เปลือก รู้ที่สัญญา รู้ที่ความจำ รู้ที่ขันธ์ ๕ ไง ที่เราเอานั้นมา เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้ามา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา แล้วภาวนาเข้ามา ระยะห่างจากข้างนอกจากเปลือกเข้ามาถึงข้างใน นี่จิตแก้จิตไง อวิชชาแก้อวิชชาไง ตัวที่ไม่รู้มันรู้ขึ้นมาไง จากอวิชชามันรู้ออก เห็นไหม รู้อย่างนั้นรู้อวิชชาหมด รู้อวิชชาหมด มันสมมุติทั้งหมดเลย ออกมาข้างนอกๆ ความรู้อันนั้นนี่รู้ส่งออก พอรู้ส่งออกมันสงสัยไหม? ต้องสงสัย ขนาดตัวเองไม่รู้ ถึงว่าปัจจัตตัง อกาลิโกนะ ปัจจัตตัง เห็นไหม อาจารย์มหาบัวท่านพูด

“แม้แต่พระพุทธเจ้านั่งอยู่ต่อหน้าก็ไม่ถามพระพุทธเจ้า”

เพราะมันรู้อยู่ไปถามได้อย่างไร? อ้าปากต้องลังเลสงสัย แต่ถ้าปฏิบัติไม่ใช่เป็นความจริง เห็นไหม ตัวเองว่าตัวเองอยู่ในศีลในธรรม ต้องให้คนอื่นบอกว่าเราขั้นไหน? เวลาเราปฏิบัติเราจะถามว่าเราขั้นไหน? เราขั้นไหน? แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ขาดก็รู้ว่าไม่ขาดเพราะอะไร? เพราะมันสงสัยตัวมันเอง

อย่างที่ว่าส่งออกไปข้างนอก ต้องให้คนอื่นบอกเพราะมันสงสัย หวังพึ่งคนอื่นไง เพราะตัวเองมันพึ่งตัวเองไม่ได้ เพราะว่าอาการของจิตคือขันธ์ ๕ คือความคิดมันไม่ใช่จิตใช่ไหม? ไม่ใช่จิต มันอาศัยข้างนอกอยู่ มันเกาะอยู่ ทีนี้มันปล่อยเข้ามา มันปล่อยมันยืนไม่ได้ แต่ถ้าภาวนามันเข้ามายืนอยู่ข้างใน ใจตัวนี้มันหมุนอยู่ มันหมุนอยู่ พอมันหมุนอยู่มันไม่ขาดออกไปมันก็รู้ว่าไม่ขาด นี่คนอย่างนี้ถึงไม่หลงไง ปัญญาที่เดินตามความเป็นจริง มีสติ มีสัมปชัญญะแล้วจะไม่มีการหลง พอไม่มีการหลง มันคิดไป มันหมุนไป มันว่าง มันปล่อยว่าง แต่มันไม่ขาด

การไม่ขาดนี้ ตามอภิธรรมว่าเป็นตทังคปหาน ตทังคะคือขาดชั่วคราว ตทังคปหาน แต่ถ้าเราไม่เข้าใจนะ พอมันปล่อยอย่างนี้เราจะว่าอันนี้เป็นความจริง แล้วก็พอรู้ ถ้าเข้าใจว่าขาด หรือว่าไม่มีการสืบต่อ ไม่มีการทำต่อไปมันจะเคลิ้มออกมาข้างนอก พอเคลิ้มออกมาข้างนอก เห็นไหม เราก็กวาดกิเลสไว้ใต้พรมไง กลบไว้มันว่างหมดเลย พอมันว่างหมด พอมันเสื่อม จิตมันเสื่อมออกมา ถอนออกมา พอมันถอนออกมา อารมณ์ที่เกิดขึ้น นี่คือจิตเสื่อมไง

ถ้าไม่ถึงจุดถ้ามันขาด เห็นไหม พอมันเป็นกุปปธรรม ยังเป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตาอยู่ ธรรมทั้งหลายยังแปรสภาพอยู่ นี่มันแปรสภาพขึ้นไป มันเข็นขึ้นไป แต่มันไม่เข้าไปวงในไง มันเหมือนกับสามวงรอบ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา แล้ววงรอบวงใน แกนของความคิดตัวเดิมมันเข้าไม่ถึงตรงนั้น มันว่างจากข้างนอกเข้ามา แกนของความคิด เหมือนกับเรานี่ทำลายคนอื่นหมดเลยในโลกนี้ เหลือเราอยู่ว่าง..ว่าง..

เรามองเขา แต่ยังไม่ได้ทำลายตัวเอง พอไม่ได้ทำลายตัวเอง ตัวเองก็เป็นคนที่ว่าสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาใหม่ สร้างโลกขึ้นมาใหม่ เพราะเรายังมีอยู่ เรายังสร้างโลกขึ้นมาได้ ก็เกิดโลกขึ้นมาใหม่ ทีนี้ทำลายไม่ได้แล้ว เพราะเป็นสายเลือดของเรา เราทำไม่ลง นี่พอจิตมันเสื่อมไง แต่ถ้าเข้าไป เห็นไหม วงรอบเข้าไปสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา มันจะทำลายแกนกลางตรงนี้ด้วยไง ทีนี้ถ้าทำลายยังไม่ได้เราก็รู้อยู่ นี่ถึงว่าเป็นปัจจัตตังไง

ปัจจัตตังรู้ว่าแขนนี้ขาดไง กิเลสขาดดั่งแขนขาดออกไป แขนนี้จะขาดออกไป เป็นปัจจัตตัง เป็นอกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ไม่ใช่กึ่งพุทธกาลหรือว่า ๕,๐๐๐ ปีธรรมะอันนี้จะไม่มี ถึงว่ามันเป็นอกาลิโกไง ไม่จำกัดกาล ไม่จำกัดเวลา ผู้ใดรู้คือผู้นั้นรู้ ศาสนาไม่มี ผู้ที่รู้ว่าคือพระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นไหม พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องรู้ด้วยตนเองเหมือนกัน ต้องรู้แบบอกาลิโก มันไม่มีกาลอยู่แล้ว แต่ไปกำหนดกาลไม่ได้ เมื่อนั้น เมื่อนี้กำหนดไม่ได้ ถึงว่าเข้าไปไม่ใช่กาล แล้วเป็นปัจจัตตังด้วย ขาดออกไป อันนั้นไม่ใช่กาล กาลเวลาจะเข้าไปอยู่ในดวงใจนั้นไม่ได้ กาลเวลากำหนดอันนั้นไม่ได้ ฉะนั้น ปัญญาจะหมุนขึ้นไป

เป็นความจริงต้องเป็นอย่างนี้ นี่มันเทียบกันให้เห็นๆ เวลาผู้ที่หลง เขาบอกการหลง หลงไปอย่างนั้นเลย หลงมากนะ หลงว่าตัวเองได้มรรค ได้ผล ประกาศเลยว่าเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคา ข้ามกามแล้ว พ้นจากกามแล้ว แต่เวลาบอกว่า

“ข้ามด้วยการกดไว้ใช่ไหม?”

“ใช่ครับ”

“แล้วอย่างนี้มันก็ไม่ขาด”

“ก็ไม่ขาดครับ”

“แล้วทำไมถึงว่าข้ามกามได้ล่ะ?”

“ยมบาลบอก” เห็นไหม

เวลาเห็นนิมิตไง นิมิตหลอกก็เชื่อนิมิต เพราะตนเองไม่สามารถเชื่อตนเองได้ ไม่ใช่อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนยังหวังพึ่งคนอื่นอยู่ หวังพึ่งพระพุทธเจ้า หวังพึ่งแล้วต้องสร้างฐานะขึ้นมาให้พึ่งตัวเองได้ แต่ผู้ที่เดินตามปัญญา เดินตามพระพุทธเจ้า เดินตอกๆๆ คือว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนี่แหละ แต่เวลามันลึกเข้าไป พอปัญญามันหมุนเข้าไป ไม่ขาดก็รู้ว่าไม่ขาด ยังไม่ขาดแต่ปัญญาก้าวเดินไปเรื่อยๆ ไม่ขาด นี่ไม่มีความหลง ไม่มีความลังเลสงสัย แล้วมันจะเข้าไปเรื่อยๆ แล้วมันจะขาดต่อหน้า ขาดเห็นๆ เลย อันนั้นถึงจะเป็นความจริง

นี่สัจจะอันนี้ ศาสนาเราประเสริฐประเสริฐตรงนี้ เห็นไหม มัคคะอริยสัจจัง ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนาไหนไม่มีผล นี่มรรคอะไร? มรรคหยาบๆ มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด แต่ถ้าปัญญามันหมุนอย่างนี้เป็นบุคคลที่ ๑ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติมรรคจะเกิดโสดาปัตติผล ถ้าไม่มีการนอนใจอยู่ก้าวเดินตลอดไป ตลอดไปนะ จะสมความมุ่งหมายตามความเป็นจริงเลย เพราะมันได้ก้าวเดินแล้ว แล้วพูดออกมาตามหลักความเป็นจริงว่าไม่ขาด ยังรู้อยู่ว่าไม่ขาด แต่ยังก้าวเดินต่อไป ก้าวเดินต่อไป

นี่สติสัมปชัญญะพร้อมเลย กับที่ว่าต้องหวังพึ่งคนอื่น ปฏิบัติธรรมทำไมหวังพึ่งคนอื่น อันนี้มันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น พวกเราผู้ปฏิบัติ สาวกทั้งหลายต้องเป็นผู้ก้าวเดินเองทั้งหมดเลย นี่ธาตุหวั่นไหว โลกธาตุนี่ไหวหมดเลย หัวใจนี้หวั่นไหว สั่นสะเทือนไปหมด มันขาดๆ ออกจากใจ ถึงว่าจุดตรงนั้นถึงสำคัญไง เกิดจากตรงที่ว่าภวาสวะ

สิ่งที่เกิด เวลาพระพุทธเจ้าเยาะเย้ยมารไง “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา” เกิดจากต้นขั้วของใจที่มันสั่นไหวนี้ออกไป แล้วพอทำลายเสร็จแล้วไม่ใช่ว่าไม่มีไง

“มารเอย ต่อไปนี้เธอเกิดไม่ได้อีกแล้ว เพราะเธอเกิดจากความดำริของเรา”

ทีนี้ก็คิดอีก คิดอยู่ ใช้ความคิดอยู่ ใช้ขันธ์อยู่ แต่มารเกิดไม่ได้ เห็นไหม มารตายไปจากตรงภวาสวะที่ว่าเกิดจากความดำริ มารตายตรงนั้นไง อวิชชาตายไป กลายเป็นวิชชาไง ถึงว่าเกิดจากความดำริของเราไม่ได้อีกเลย มารจะเกิดตรงนี้ไม่ได้อีกเลย เป็นธรรมล้วนๆ ไง

นี่ขนาดนั้น ชำระแล้วว่าจะไม่มีกลับมี มีแบบว่างไง มีแบบไม่มีกิเลสมาอาศัยเกาะกินมาด้วยกับความคิดเดิมของเราไง แต่เดิมคิดว่ากิเลสอวิชชาพาไสคิดไป แล้วพอชำระเข้าไป ปัญญาหมุนเข้าไป ฆ่าจนหมดสิ้นไป มารสิ้นไปไง อวิชชาดับไป ตัวอะนั้นหลุดออกไปเฉยๆ เป็นวิชชาขึ้นมา วิชชาอันนี้ถึงว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐไง เอาตัวพ้นได้ แล้วพึ่งตัวเองได้หมด นี่เป็นวิชชาที่อยู่พึ่งตัวเอง เป็นตัวเองรู้จักตัวเองทั้งหมด กับที่ว่าต้องอาศัยให้คนอื่นพยากรณ์มันถึงต่างกัน มันต่างกันตรงนั้น

“ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม”

กับผู้ที่ปฏิบัติ ปฏิบัติไง ปฏิบัติตามไสยศาสตร์ไป ปฏิบัติไปความเห็นนิมิต เห็นไปๆ ความเห็น เด็กทำอะไรให้ ตบมือให้มันมันก็ยังดีใจ จิตก็เหมือนกัน หลอกจิตไง จิตหลอกจิต ความคิดอวิชชาหลอกอวิชชา ความเห็นภายใน แต่วิชชามันไม่หลอก มันหลอกไม่ได้ เพราะมันจะผ่านตรงนั้นเข้าไปถึงเป็นวิชชา วิชชาจริงในการประพฤติปฏิบัติ นี่ปัญญาธรรมกับปัญญาโลก