เทศน์เช้า

ศิษย์สมมุติ

๓o ม.ค. ๒๕๔o

 

ศิษย์สมมุติ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

“ภูมิธรรม ภูมิจิต” เราถึงบอกว่ามันโกหกกันไม่ได้ แล้วมันก็ได้ไปเริ่ม

อย่างที่เราบอกว่า ถ้าพวกนี้ออกจากตรงนี้ไป มันจะหลุดจากกระแส

เราบอกว่า “ทำไมมันได้ผลอย่างนี้ล่ะ ?”

เขาบอกว่า “คืนนี้ก็โทรศัพท์เช็ค แล้วถ้าไม่ภาวนาก็โทรศัพท์ไปด่า”

แล้วถ้าจะถามว่าทำไมเขาถึงต้องโทรศัพท์เช็คกัน

เอ้า..ก็เขามีกรรมกันมา อันนี้มันก็ดีอย่างนั้นนะ

คิดดู กลางวันบริหารธุรกิจ ตกเย็นขับรถไปต่างอำเภอในเชียงใหม่นั่นแหละ เพื่อไปเทศน์สอนเขา ไปเทศน์คนนู้นไปเทศน์คนนี้ เขาทำยิ่งกว่านักบวชอีก นักบวชธรรมดามันยังอ้อยสร้อย ยังมานอนจมอยู่ แต่เขานี่จะคอยเช็ค แล้วเขาลงกัน เขาเช็คแล้วเขาฟังกัน แล้วพวกนี้มันจะตื่นตัว แล้วมันจะขึ้นมาภาวนาเลย

เราถึงถามว่า “แล้ว___มันรู้ได้อย่างไร ? ทำไมมันรู้ขึ้นมา ไอ้ตรงนี้ ?”

“ก็ผมเช็คตลอด”

มันแบบว่า พอคนหนึ่งมันเช็ค แล้วอีกคนหนึ่งมันก็กำลังต้องการด้วย

แล้วมันบอกว่า “ตามความเคยชิน ก่อนจะภาวนานี่ต้องพิจารณากายก่อน”

เขาพิจารณาจากข้างนอกเข้ามาไง แล้วเราก็บอกว่า “ไอ้พิจารณาอย่างนั้นมันหยาบเกินไปแล้ว ระดับนี้แล้ว”

เขาบอกว่า “มันเป็นอย่างนั้นเลย ก่อนจะทำอะไรก็ต้องพิจารณากายประมาณ ๑ ชั่วโมง แล้วพอผ่านกายเข้ามาก็จะมาพิจารณาเรื่องจิต แล้วถึงเข้าไปตรงฐานเดิมของมัน เข้าไปตรงนั้นเลย จนมันแตกออกจากกัน แตกเลยนะ ! แตกเลย !”

แล้วเราพยายามจะถามไอ้เรื่องแบบว่า.. เซ่อเป็นไก่ตาแตกเลย พยายามถามว่า “มีไหมๆ ?” ซักอยู่ตั้งนานนะ.. มันมีอยู่ แต่มันคงไม่รู้ แต่ไอ้ไม่รู้ก็ส่วนไม่รู้ แต่มันพูดตรงนี้ถูก เพราะว่าตานั่นมันคอยคุมอยู่แล้วใช่ไหม.. นี่คือคนที่ว่านั่น

เราเลยพยายามคุยกับเขาเลยว่า “อย่างถ้ามันจะเป็นไปได้ หมออยู่ในวงการนักวิชาการ อีกหน่อยจะออกไปปาฐกถาได้ไหม ?”

เขาบอกว่า “ไม่ได้” เพราะว่าเขาเป็นคนที่แบบไม่ออกสังคม เป็นคนเงียบไง เป็นคนเก็บตัว

เราก็บอกว่า “แล้วทำไมคนอื่นเขาถึงยังทำประโยชน์ได้ล่ะ ?”

ที่เราไปพูดก็เพราะเรื่องนี้ไง เรื่องที่ว่าจะให้มันทำประโยชน์ไง ก็เขาเป็นถึงหมอ แล้วถ้าเขารู้ธรรมอย่างนี้เขาไปด้วย มันจะไปส่งผลที่เป็นประโยชน์ได้อีกมากเลย

เขาบอกว่า “แต่ตอนนี้ยัง.. จนกว่ามันจะ..”

เมื่อก่อนเราก็ยังพูดไม่ได้อย่างนี้หรอก จนมาย้อนกลับที่อาจารย์พูดไว้ ตอนใหม่ๆ เราไปนี่ยังไม่ได้เลยนะ ต้องออกไปก่อน

ก็เหมือนอย่างพวกเทรนเนอร์นักมวยแชมป์โลก ส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นแชมป์โลกเก่า ตอนอยู่บนเวทีก็ไปอีกอย่างหนึ่งนะ พอตอนออกมาแล้วก็มานั่งวิเคราะห์มานั่งวิจัย แล้วถึงจะบอกได้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างนี้

อย่างเต้นฟุตเวิร์กนี่เราก็เต้นไปโดยธรรมชาติ แต่พอจะเอามาสอนลูกศิษย์ ถ้าจะบอกธรรมชาติแต่มันก็ต้องบอกวิธีการใช่ไหม “ต้องยกขาซ้ายก่อน ต้องพยายามเอี้ยวตัวด้วย ต้องให้ไหล่ไปด้วย” เห็นไหม นี่ฟุตเวิร์กใช่ไหม นี่มันนักมวย

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน มันต้องผ่านไปหมดแล้ว แล้วค่อยกลับมาไง “ขั้นตอนไหนจะเอี้ยวอย่างไร” มันถึงจะพูดออกไง แล้วมันจะสอนได้แบบคล่องตัวไง มันมีทั้งประสบการณ์จริงด้วย แต่ถ้าอย่างวิชาการนี่บางอย่างมันไปท่องมา คือมันจำได้

แต่การภาวนานี้มันเป็นประสบการณ์ของใจ ใจต้องเป็นไป ถ้าใจไม่เป็นไปนะ อ่านมาอย่างไรมันก็ทุกข์ พอทุกข์แล้วมันเอาไม่ออกหรอก

ไอ้ที่ทุกข์แล้วออกนั่นมันก็เป็นตุ๊กตาน่ะสิ อันนี้มันถึงต้องเป็นอย่างนั้นไป

มันถึงบอกว่า “ถ้ามันผ่านตรงนี้ไปแล้วนะ มันจะไปสอนเขาได้”

เราลองถามดู แต่เขาบอกว่า “คงจะยาก”

“ทำไมล่ะ ?”

“จะบวชชีแล้วเก็บตัวเงียบเลย”

“โอ๋ย.. ตายเลย”

“ถ้าสิ้นไปจะเก็บตัวเงียบเลย แล้วอยู่เสวยสุขไป”

เราพูด.. เพราะเห็นเอ็งพูด แต่เสียดายไม่ได้พูดเรื่องหลวงปู่ดูลย์ เพราะเขาไม่มีอะไรถามขึ้นมา เรื่องธาตุนั่น

แต่ไปคุยเรื่องไม่มีสุขไม่มีทุกข์ไง ไม่มีเวทนาแล้วมันสุขได้อย่างไรไง อันนี้อธิบายอยู่ แต่เราไม่ยอมอธิบายมาก อธิบายแล้วเขกหัวไว้ด้วย เขกหัวไว้ด้วยเพราะอะไร เพราะถ้าอธิบายไปปั๊บ เดี๋ยวคนอื่นจะไปคิดว่า “น่าจะทำได้ไง” แต่ทำไมเราทำได้ เราบอกเลย

พุทธวิสัยยังอธิบายไม่ได้เลยใช่ไหม เพราะไม่มีคำสมมุติของโลกที่จะอธิบายได้ ถ้าจะรู้พุทธวิสัยได้ก็คือพระพุทธเจ้าต้องพูดไว้แล้วสิ พุทธวิสัยมันไม่สามารถอธิบายมาในแบบที่ให้สมมุติเขารู้กันได้ เพราะมันพ้นจากวิสัยที่จะรู้ได้

แล้วพออย่างนี้ ยิ่งอธิบายอยู่ ยิ่งอธิบายมากก็ยิ่งสงสัยมาก ถ้ามันยังสงสัยแล้วเราเงียบปากเสียดีกว่า เพราะมันยังไม่สิ้นสงสัยกันสักคน เราก็พยายามจะอธิบายให้เขาฟังเหมือนกัน แต่อธิบายแล้วก็พยายามจะเคาะไว้ด้วยว่านี่มันสุดวิสัยอย่างไร ต้องอธิบายอย่างนั้นไปด้วย

ถึงว่ามันไปพอใจคุณ___กับไปพอใจคุณ___

แล้วก็มีตานั่น เรานี่แหม.. แหม.. เลยนะ เพราะกรรม !

ถ้าเริ่มตรงนี้ ก็เหมือนกับเข้าห้องเรียน ถ้ามันได้เข้าไปแล้วมันก็ต้องผ่าน

แต่ถ้าไม่ได้ตรงนี้นะ “มึงจะนอนตาย”

ตรงนี้สำคัญที่สุด ! หลวงปู่มั่นที่ออกมาเอาพ่อแม่ครูอาจารย์ ก็เพราะอย่างนี้ ปล่อยเอาไว้แล้วก็ออกมาเคาะ “ไอ้สุขอย่างนี้ มันแค่สุขเศษเนื้อติดฟันนะ”

ท่านอุตส่าห์จะเคาะตรงนี้นะ.. เพราะตรงนี้สำคัญมาก การขุดคุ้ยให้เจอนี้

เอ็งดูสิ อย่างนาย ก. ปล้นเอาไป รู้อยู่ว่านาย ก. ปล้นเอาไป แต่หามันไม่เจอ รู้อยู่แต่หาไม่เจอ จริงไหม แล้วเอ็งจะไปทำอะไรได้?

แต่ถ้านาย ก.มันปล้นเราไป แล้วมันมานั่งป๋อหลออยู่อย่างนี้ พอเราเห็นตัวมัน เราก็ได้ถามว่า “เอ็งปล้นไปจริงหรือเปล่า ?”

จริงหรือไม่จริงเอ็งก็ต้องบอกว่า “ไม่จริง” เพราะเอ็งไม่ได้ปล้นใช่ไหม แต่ถ้าเราบอกว่า “เอ็งปล้น” เอ้า.. มันก็ต้องเถียงกัน ก็ต้องมาสอบสวนกัน เดี๋ยวเรื่องมันก็ต้องแดงออกมาว่า ปล้นหรือไม่ปล้น จริงไหม ?

นี่ก็เหมือนกัน พออ่านตำรามาว่า “กิเลส” รู้หมดกิเลส รู้ ! รู้ทั้งนั้นแล้วไม่เจอตัวมัน แล้วจะเอามันมาทำอะไรกันได้ล่ะ มันก็ว่างอยู่อย่างนั้น แล้วจะมาทำอะไรกัน

แต่ถ้าได้ตัว ถ้ามันมานั่งป๋อหลออยู่อย่างนี้ นี่เจอแล้ว! นี่เสร็จ ! เสร็จแน่ๆ เอามันมาสอบสวนกัน ผิดถูกเดี๋ยวรู้กัน นี่ตรงนี้สำคัญ ! สำคัญตรงที่ว่าได้เข้าไปเจอ แต่ถ้าไม่เจอมันก็จะอ้อยสร้อยอยู่อย่างนั้น

แล้วพอเราไปถึงนี่ แหม.. แค่จะได้เจอตานั่นคนเดียว เรายังพรวดขึ้นไปเลยนะ ครั้งก่อนที่ตานั่นมันบอกว่า “หากามไม่เจอ”

“เอ้า..ออกรถ” เรายังทันทีเลยนะ แต่เช้าวันนี้ขึ้นไปแล้วเจอถึง ๓ คน แหม.. มีความสุขจริงๆ พอใจว่ะ พอใจนี้พอใจมากๆ ยอดเลยนะ คุ้มค่า ! คุ้มค่ามหาศาล

ถึงมาเห็นเขานี่ไง เราถึงยังกลับมาคิดมุมกลับ เอาที่เป็นนักภาวนาตอนกลางคืนนั่นแหละ ใครจะไปบ้าง จับมาเลย แล้วเอารถตู้ขึ้นไป

เราปรึกษากันก่อน ถ้าจะเอานะ ปรึกษากันแล้วก็โทรศัพท์ไปขออนุญาตท่านอาจารย์___ (หัวเราะ) จะขอเอาลูกศิษย์เขามาเข้าคอร์สสักชุดหนึ่ง ให้นัดวันได้ไหม ? แล้วท่านอาจารย์___ต้องเทศน์ด้วยนะ(หัวเราะ) คุมให้ดี ถ้าเราไม่ต้องไปเอ็งก็ไปกันเองถ้าติดต่อได้ แต่ถ้าติดต่อไม่ได้ จะให้เราไปด้วยก็ได้ ถ้าแบบว่าไม่ไว้ใจ เราขึ้นมาคุมขึ้นไปก็ได้ เพราะว่าเขาได้ผลถึงขนาดนั้น แล้วให้ได้ไปเจอกันไปคุยกัน ไปเจอสิ หมอทั้งนั้นนะ ผู้หญิงทั้งหมด

เอ็งคิดดูสิ เขามีขั้นมีตอน อย่างน้อยๆ นะก็ได้พบสมณะ นี่คือสมณะภายในที่ไม่มีใครรู้ไง การได้พบสมณะนี้เป็นมงคลอย่างยิ่ง การได้พบได้เห็นพระอรหันต์นี้สุดยอดแล้ว ทีนี้หมู่ของเขาเป็นอย่างนั้นทั้งหมดเลย แล้วเราไปวิสาสะกับเขา มันไม่ดีหรือ? จะอย่างไรก็ผู้หญิงด้วยกัน

อย่างถ้าผู้หญิงมาเจอพระนี่มันจับไม่ได้ ทีนี้เราลองไปจับพวกหมอเขาดูซิ (หัวเราะ)

“ไหนวะ เนื้อเป็นอย่างไร ? เนื้ออริยบุคคลเป็นอย่างไร ?” เอ้า..ได้ลูบได้คลำ

เราถึงบอกว่ามันน่าสนใจ อย่างไรก็ลองปรึกษาคุยกัน แล้วเอาขึ้นไปกันสักชุดสองชุด ถ้านะ..ถ้าจะช็อก ถ้าจะไม่ไหวเราก็อย่าเข้าไปทำสิ มันเป็นนิสัยไง เราไปคุยไปวิสาสะกับเขา แต่เวลาเขาเข้าไปในห้องจะไปผ่าศพกัน เราก็ปิดประตู แล้วบอกว่า“ขออยู่ข้างนอกค่ะ” (หัวเราะ)

แค่ได้ไปฟังเสียงก็พอ..ก็ได้ ประโยชน์ที่ตรงไหนมีเราก็หยิบ แต่ส่วนใดที่มันสุดวิสัยของเรา เราก็ละเว้นซะ ไม่ใช่ว่าส่วนนี้พอทำไม่ได้แล้วจะลบออกไปทั้งหมดเลยหรือ ส่วนใดที่เป็นประโยชน์กับเรา เราก็จับไว้ แต่ส่วนใดที่ทำไม่ได้ก็ต้องบอกกันตรงๆ นักปฏิบัติเขาคุยกันตรงๆ ว่า “อย่างนี้ไม่ได้จริงๆ” ขอเอาไว้ก่อน ไว้คราวหน้าก็ได้ ถ้าคราวนี้ยังทำไม่ได้ ขอแค่มาเดินรอบๆ นี้ก็พอ แล้วคราวหน้ามาจะเข้าประตูเข้าไปผ่าด้วย ทีนี้ถ้าเราจะไม่เข้าไปผ่าศพกับเขา เราก็อยู่ข้างนอกก็ได้ แต่ประโยชน์มันก็มีมหาศาล

ลองคุยกันดูเนาะ ลองคุยปรึกษากันดูไง

โยม : คราวที่แล้ว พอรู้ว่าเขาจะผ่าศพกัน ก็เลยไม่มีใครกล้าไป ตอนปีที่แล้ว

หลวงพ่อ : ลองคุยกันดู ลองปรึกษากันดู แล้วถ้าได้สัก ๗ คน ๘ คน เราก็เอารถตู้ขึ้นไป

โยม : พี่___เขาบอกว่า “พี่ไม่ได้พิจารณากาย พี่พิจารณาจิต” คือเขาจะบอกว่า ที่เขาไม่ไปก็เพราะว่าตัวเองไม่ได้พิจารณากาย ก็เลยไม่ยอมไปดู

หลวงพ่อ : ถ้าพูดอย่างนี้แล้วเราจะพูดเลยว่า ทำไมเขาถึงภาวนากันได้อย่างนี้ ?

เราถามเขาว่า “ผ่าศพมาเท่าไรแล้ว?”

“๘๐ กว่าแล้วครับ เกือบ ๑๐๐ แล้ว”

แล้วคนอย่างคุณ___ที่เขาสิ้นไปแล้วนี้ เขายังต้องมาผ่าศพทำไม ?

เขาบอกว่า “หลวงพี่ ผมเข้าใจว่าเพราะผมได้มาอย่างนี้ เพราะการไปผ่ามันได้อารมณ์”

คำว่า “ได้อารมณ์” คือว่าได้ต้นเหตุการภาวนาไง ถ้าภาวนาไปแล้วมีแต่โล่ง มีแต่ว่าง มันเลยไม่มีสิ่งใดมาเป็นสิ่งที่สะกิดเลย

มันได้อารมณ์ หมายถึงว่าได้กระตุ้นให้เกิด อารมณ์คือกาม กามเกิดจากอารมณ์ อารมณ์คือกามไง ขันธ์มันหมุนไปตามธรรมชาติของมัน สิ่งที่เกิดจากขันธ์มันหมุนไปรอบหนึ่งแล้วถึงมาเป็นอารมณ์ใช่ไหม นั่นคือกาม ทีนี้อารมณ์คือกาม แต่อันนี้ “ได้อารมณ์” คือเหมือนกับว่าได้อารมณ์อสุภะ

พิจารณาจิตก็จริงอยู่ แต่ก็ต้องอาศัยอารมณ์ไง “ได้อารมณ์” คือต้องการซากอสุภะให้มากระตุ้นให้จิตนี้พลิก ให้จิตนี้ได้เริ่มต้นนับ ๑ ไง ไม่ใช่ให้มันนอนตายไง อย่างเช่น พอไฟไหม้ ตู้เย็นเราก็แบกไหว โอ่งน้ำก็แบกไหว นั่นแหละมันได้อารมณ์ คือว่ามันได้ช็อกเอาพลังอันนั้นออกมาไง อันนี้ก็เอาซากอสุภะเข้าไปช็อกไง ช็อกคืออารมณ์ไง คือว่าได้การเริ่มต้น

พลังงานที่ไม่เคยใช้ เห็นไหม นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามนุษย์นี้มีพลังงานมหาศาลในหัวใจ แต่ไม่รู้จักการเอาออกมาใช้ เราไม่สามารถเอาพลังงานในหัวใจในความจริงของเรานี้ออกมาใช้ได้ ก็เลยมาอาศัยการพิจารณาอสุภะ อาศัยการผ่าซากศพนี้เพื่อมากระตุ้น

มันใช้คำว่าได้อารมณ์ แหม.. เราฟังแล้วพอใจมากๆ พอใจสุดๆ เลยนะ เพราะความจริงแล้วคนที่มันผ่านแล้ว หรือว่าคนที่มันพิจารณาผ่านไปแล้ว ทำไมมันยังจะต้องไปเลาะกระดูกอยู่ แต่ก็เพราะว่าต้องการให้หมู่คณะให้ลูกน้องเขาได้อารมณ์ เราถึงบอกว่าน้ำใจไง อื้อหืม.. เราร้องอื้อหืมเลยนะ ให้มัน ๒ โป้ง เราจะว่างั้นเลยนะ คนไม่เห็นแก่ตัว คนดึงหมู่คณะเข้ามาไง จะทอดสะพานตลอด ทอดสะพานออกไปให้ลูกศิษย์ ให้คนสามารถเดินได้ไง ทอดสะพานไปให้ผู้อื่นเดินตาม.. เดินตาม.. เดินตาม..

เราถึงพูดอย่างนี้เลย “สมมุติว่าลูกศิษย์กู” จะลากเขามาให้หมดเลย(หัวเราะ) ทั้งที่เป็นผลงานของเขาทั้งหมด ใจเรามันถึงมีความสุขถึงมีความพอใจ เราสมมุติเอาเลย แต่ไม่ใช่หรอก

แต่เราไม่สมมุติ เราไม่สนใจ เพียงแต่ให้คนที่ปฏิบัติธรรมได้รู้ธรรมนี้เราก็พอใจแล้ว พอใจว่าธรรมะพระพุทธเจ้าประเสริฐอย่างนี้ “อกาลิโก” ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ไม่มีเพศ ไม่มีวัย ไม่มีทุกๆ อย่าง เข้าถึงได้ทุกคน เพียงแต่จะเข้าหรือไม่เข้า

ถาม : เขาสอนไหมคะ?

หลวงพ่อ : ไอ้สอนนี่ไม่มีหรอก ถ้าอย่างเรานี้รับประกันได้ว่าไม่มีหรอก เรารู้สิ เพราะมันจะพูดอะไร มันพูดแค่ ๒ คำ “ผ่าศพคืออสุภะ” ก็จบแล้ว มันอธิบายแยกแยะลำบาก มันพูดได้ ! แต่มันพูดได้แค่ ๕ นาทีนี้มันก็ทรมานแล้วนะ

อย่างเวลาเราเทศน์นี้มันเทศน์ได้ เห็นไหม มันเทศน์หมายถึงว่ามันขยายมาที่นี่ได้ไง ชักมาที่ขันธ์ไง พอเริ่มมาที่ขันธ์มันก็จะเขวแล้ว ไอ้คนฟังมันก็เลอะเลือนแล้ว เพราะความถนัดมันต่างกัน

(อยากจะปิดเทป) เวลาเราไป ผู้รู้ร้อนกันทุกคนเลย บอกว่า “เวลาคุณ___อธิบายนะ งงทุกคนเลย” ไม่มีใครรู้หรอก ฟังแล้วงงเต๊กไปหมด แต่เวลาเราพูดอธิบาย เขาจะฟังกันหูผึ่งเลยนะ แล้วเข้าใจด้วย เราถึงบอกว่าอย่างเรานี้มันไม่มีหรอก

แล้วเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าเรานะ ความรู้เขาไม่ด้อยกว่าเราหรอก แต่เขาอธิบายไม่ได้ ฉะนั้นเวลาเราอธิบาย ถึงบอกว่ามันเป็นความชำนาญการกันคนละอย่าง ถ้าอย่างพวกฤทธิ์นี้ อย่างเช่น อาจารย์เจี๊ยะ เห็นไหม กายอย่างเดียว แล้วเวลาเทศน์ท่านก็จะอธิบายไปอย่างนั้น

โอ๊ย.. ยาก เราถึงบอกว่าไม่มี เพราะว่ามันรู้ๆ อยู่ แล้วเราก็พูดไปตามประสาที่รู้นี้ คนก็เลยหาว่า เราหลงตัวเองไง ลืมตัวไง โม้เรื่อยเปื่อยเรื่อยเฉื่อย

ก็ดูเอาก็แล้วกัน

มันจะมีอย่างนี้อีกก็ได้ ถ้าจะให้อธิบายนะ เราจะบอกว่าไม่ให้เขาคาดปาก แต่มันไม่ได้ เพราะเขาบอกว่าเขากลัวเลือด เขาบอกว่าเคยถุงมือทะลุนะ ครั้งก่อนที่เขาเคยเล่าให้ฟัง พอไปผ่าๆ อยู่ ใส่ถุงมือมา ๒ ชั้นนะ แล้วพอผ่าไป เพื่อนเขาก็มองเห็น “เอ๊ะ คุณ___สงสัยถุงมือมันจะรั่ว” แล้วเขาบอกว่า “คงไม่ เพราะมันสวม ๒ ชั้นแล้วนี่ ถ้าจะทะลุ มันก็คงทะลุแค่ชั้นนอก” พอออกมาก็เลยได้เปิดชั้นนอกออก ดูแล้วมันเข้าไปถึงชั้นใน ขนาด ๒ ชั้นแล้วแต่ก็ยังทะลุเข้าไป

เห็นไหม ตรงนั้นมันก็สำคัญเหมือนกัน ถึงบอกว่า ถ้าจะให้เขาอธิบาย คือให้เขาไม่ต้องผ่าแต่ให้เขาออกมายืนคุมแล้วอธิบาย ถ้าหากอยากให้เขาอธิบายนะ

แต่จะอย่างนี้ก็ได้ ขอเขาพิเศษไง บอกว่าไอ้พวกเรานี้เป็นพวกมืดบอด พวกเรานี้เป็นพวกมาจากใต้บาดาล เพราะถ้าผ่าไปเฉยๆ แล้วเราจะไม่ได้ประโยชน์ แต่ต้องให้อาจารย์ผ่าไปแล้วก็บอกไปด้วยถึงวิธีการ แล้วเราอาจจะได้ประโยชน์บ้าง

ขอเขาก็ได้ คงได้ ถ้าจะให้เขาพูด บอกเขาว่าไอ้พวกนี้มันมาจากนู่น มันมาจากคนละชั้น มันเลยต้องทอดสะพานยาวๆ หน่อย ต้องให้เหนียวๆ ด้วยนะ เพราะเดี๋ยวสะพานขาด (หัวเราะ)

โห.. เอาขนาดนั้นเลยเนาะ ของมันมีประโยชน์เราก็ควรจะเก็บประโยชน์มันมา

ก็แล้วแต่ แล้วเราค่อยมาว่ากัน