เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ ธ.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เห็นไหม วันพระแปลว่าความประเสริฐ ถ้าเราจะประเสริฐนะ เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์เรามีศักดิ์ศรี เรามีความภูมิใจว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ แล้วเราก็ดูสัตว์เดรัจฉาน ดูสัตว์ต่าง ๆ สัตว์เดรัจฉานมันมองมนุษย์นะ มันก็อิจฉา มันมองด้วยตาละห้อยเลยว่ามนุษย์ทำไมมีอิสรภาพ มันไม่มีอิสรภาพนะ เวลาเกิดมาแล้วก็ว่าเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ มนุษย์ก็ว่าเห็นสัตว์เป็นอาหาร

ไม่มีใครคิดว่าเป็นอาหารหรอก เราคิดกันเอาเอง เราคิดกันเอาเองนะ ถ้าเราคิดกันเอาเอง เวลาเรามาถือศีล ถ้าเราถือศีลนี่เราจะไม่ล่วงเกินเขา ปาณาติปาตา เราจะไม่รังแกเขา เราจะไม่เบียดเบียนเขา ไม่เบียดเบียน แล้วเวลาถือศีล ๕ ไง พอถือศีล ๕ นี้บริสุทธิ์ ถ้าถือศีล ๕ บริสุทธิ์นะ ขอนไม้มันถือศีล ๕ ดีกว่าเราอีก เพราะขอนไม้มันไม่เคยทำร้ายใครเลย

มีศีล ๕ ต้องมีธรรม ๕ ด้วย ถ้าเรามีศีล ๕ ใช่ไหม เราไม่เบียดเบียนเขา เราต้องช่วยเหลือเจือจานเขา เราจะดูแลเขาได้มากน้อยแค่ไหน เห็นไหม ถ้าเรามีศีล ๕ เราบอก ศีล ๕ เราบริสุทธิ์...ขอนไม้มันดีกว่าเราอีก มันนอนอยู่นั่นมันไม่เบียดเบียนใครเลย มันเป็นอาหารของปลวกด้วย มันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ด้วย ไอ้ของเรานะเราก็มีที่อยู่ของเชื้อโรคไง เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมานี่เชื้อโรคมันอาศัยเราอยู่นะ นี่เวลาเราคิดของเราเองถ้าเราคิดเป็นธรรม

เวลาหลวงตาท่านพูดไง ในลัทธิศาสนาต่าง ๆ เขาบอกเลยว่า “ถ้าสัตว์นี่ฆ่าเป็นอาหารไม่เป็นบาป” แต่หลวงตาบอกว่า “ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่เป็นธรรมมาก ชีวิตทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน แม้ชีวิตของสัตว์มันก็มีค่าของมันเอง ทุกชีวิตรักตัวเองทั้งนั้น ทุกชีวิตไม่มีความต้องการให้ตัวเองเป็นอาหารของใคร”

แต่ด้วยความภาวะจำยอมไง ภาวะจำยอมของโลก โลกเขาคิดกันอย่างนั้น ในเมื่อโลกคิดอย่างนั้น แต่ถ้าโลกเขาประเสริฐขึ้นมา ถ้าหัวใจเขาประเสริฐขึ้นมานี่เขามีคุณค่าของเขา เขาจะเห็นคุณค่าของชีวิต เห็นคุณค่าชีวิตของการเกิด

เวลาเกิดขึ้นมา ดูสิดูอย่างมนุษย์มันต้องปรับสมดุลนะ เวลาเราอยู่ในพื้นที่ราบ ไปดูคนอยู่ที่พื้นที่สูงอย่างทางหิมาลัยนั่นน่ะ เขาต้องปรับร่างกายของเขา มนุษย์เหมือนกัน แต่เขาต้องปรับเพราะออกซิเจนเขาน้อย พอออกซิเจนเขาน้อยเขาปรับของเขา ปรับเพื่อความสมดุลของเขา ความสมดุลของความดำรงมีชีวิตอยู่ ความดำรงชีวิตอยู่มันต้องปรับสมดุลของมัน แล้วสมดุลของที่ไหนล่ะ นี่ธรรมชาติมันปรับตัวของมันเอง

ถ้าธรรมชาติปรับของมันเอง “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ” ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติก็กราบดวงอาทิตย์สิ มันก็เป็นธรรมชาติของมัน “ธรรมะเป็นธรรมชาติ” ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แต่เราก็เกิดมาเป็นธรรมชาติอันหนึ่งนะ เวรกรรม การกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนี่ก็ธรรมชาติอันหนึ่งนะ เพราะมันให้ผลตามนั้นไง ทำดีต้องได้ผลดี ทำชั่วต้องได้ผลชั่ว

แต่ในปัจจุบันนี้เรามีสติปัญญากัน เห็นไหม เรามีสติเรามีปัญญาขึ้นมา เรามานับถือพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนไง สอนให้ทำคุณงามความดี แล้วคุณงามความดีของใครล่ะ

เวลาปฏิบัติก็ว่า “สบาย.. สบาย.. เวลาปฏิบัติแล้วสบาย...เวลามันกำหนดพุทโธ เวลาปฏิบัติตามครูบาอาจารย์แล้วลำบากนัก มันมีแต่ความทุกข์ความลำบาก อยากสบาย”

สบายก็ไปสปาสิ สปามันไปนวดไปเค้นมันก็สบาย แต่เวลาเราทำคุณงามความดีของเรา เราทำเพื่อประโยชน์ของเรานะ...สบาย ๆ แค่นั้นมันเป็นการปฏิบัติธรรมหรือ ถ้ามันเป็นการปฏิบัติธรรม โลกเขาก็ทำให้ได้ โลกเขาทำให้ได้ เห็นไหม แต่ธรรมะใครทำให้ได้ล่ะ แต่เราคิดกันเองว่าต้องสบาย ต้องสะดวกต้องสบาย

สะดวกสบายมาจากไหน ? สะดวกสบาย มันจะสะดวกสบายมันต้องมาจากความเพียร ความวิริยอุตสาหะ แล้วมันจะสะดวกสบายทีหลัง ถ้าใครมีความเพียร ความวิริยะ บวกความอุตสาหะ แล้วประสบความสำเร็จของชีวิตแล้วนั้นมันถึงจะสบาย มันต้องทำงานเสร็จแล้วถึงสบาย ไม่ใช่ว่าเริ่มต้นก็สบาย เริ่มต้นสบาย...เดี๋ยวธุรกิจเขาทำให้ได้หมดน่ะ ธรรมะเดี๋ยวนี้

ถ้าธรรมะนะ เวลาปฏิบัติธรรมตามครูบาอาจารย์ของเรามันเป็นไปโดยสัจธรรม สัจธรรมว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมาในใจนั้นเป็นสันทิฏฐิโก แต่ปัจจุบันนี้ เวลาผู้ที่ศึกษาธรรมขึ้นมาแล้วเขาไม่ใช่นักบวช เขาไม่ใช่พระ เขาจะพูดอย่างไรก็ได้ พอเขาจะไปพูดอย่างไรก็ได้ เขาทำของเขาอย่างใดก็ได้

แล้วพระก็เหมือนกัน เวลาพระนี่ “ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น”...แล้วเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ แต่ถ้าเวลาเขาปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนั้นจริง เราฟังเวลาผู้ประพฤติปฏิบัติไปฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เธอปฏิบัติตามความเป็นจริง เราเป็นผู้รับฟังเท่านั้น” ผู้รับฟังว่ามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงเท่านั้นน่ะ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันจะเป็นจริงขึ้นมาจากหัวใจของเรา

ความปรับสมดุลของโลกเขายังต้องปรับความสมดุลของเขา แล้วหัวใจมันไม่ได้ปรับความสมดุลของมันเลยเหรอ อยู่เฉย ๆ มันเป็นตามความเป็นจริงอย่างนั้นเลยเหรอ มันเป็นความจริงได้ไหม ? มันเป็นความจริงไม่ได้หรอก เพราะมันยังไม่มีความปรับสมดุลของมัน ถ้าความปรับสมดุลของมัน นี่เรามีกิเลสอยู่ในหัวใจ ปรับสมดุลขนาดไหนกิเลสมันก็ซ่อนอยู่ในใจนั้น

ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา ความสงบของใจนี่เราปรับสมดุลของมันก่อน ปรับสมดุลเสร็จแล้วเรารื้อค้นหามัน ถ้าเรารื้อค้นหามันนะ เวลากรรมฐานเรา การขุดคุ้ยหากิเลสนั้นเป็นงานอันหนึ่ง การฆ่ากิเลสนั้นเป็นงานอีกอันหนึ่ง

ไอ้นี่บอกว่า “โอ๋ย ! มีแต่กิเลส เราเกิดมามีแต่กิเลส ๆ อยู่เต็มหัวใจ เราก็ฆ่ามันเลย ฆ่ามันเลย...สบาย.. สบาย..” กิเลสมันนอนยิ้มเลยนั่นน่ะ บอกว่าพวกนี้ทำไมโง่ขนาดนี้นะ

พุทธศาสนาไม่ได้สอนอย่างนั้น พุทธศาสนาสอน...ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ปฐมยาม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตสงบเข้าไปแล้ว เวลาจิตสงบเข้าไปแล้วมันเป็นอย่างนั้น เวลาจิตสงบเข้าไปแล้วโดยที่ไม่มีการกระทำใด ๆ เลย มันสงบเข้าไปสู่ข้อมูลเดิมของมัน

เวลาเรากลับเข้าไปที่บ้านของเรา สิ่งที่สมบัติเราเก็บไว้ในบ้านนั้นมันก็เป็นสมบัติของเรา เรากลับไปแล้วมันก็มีเท่านั้น จิตใจทำดีทำชั่วมาในหัวใจมันก็มีเท่านั้นน่ะ เวลาจิตมันสงบเข้ามามันก็อยู่ข้อมูลเดิมนั้น นี่อดีตชาติ ชาติของใครชาติของใครมันสะสมกันมา

แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างแต่คุณงามความดีมา พอสร้างคุณงามความดีมา มันมีเชาวน์มีปัญญาขึ้นมา มันมีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม แม้แต่อาฬารดาบสนะ “เธอมีความรู้เสมอเรา เธอมีปัญญาเสมอเรา เธอเป็นอาจารย์สอนได้”

เจ้าชายสิทธัตถะไม่เอา ไม่เอาเพราะอะไร การเยินยอของอาจารย์กับความเป็นจริงในหัวใจเรานี้มันไม่เหมือนกัน ความเยินยอของอาจารย์ อาจารย์ก็เยินยอไป แต่หัวใจของเรามันไม่เป็นไปตามนั้น มันไม่เป็นไปตามความเยินยอนั้น มันมีไฟสุมขอนอยู่ในใจ มันมีความเผาไหม้อยู่ในหัวใจ นี่ท่านไม่เอา ท่านไม่เอา

นี่มันรื้อค้นมา เวลาเข้าไปสู่ข้อมูลเดิม บุพเพนิวาสานุสติญาณนี้ข้อมูลเดิม ข้อมูลเดิมเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ ยังไม่ตรัสรู้ขึ้นมา เวลาจิตสงบเข้ามานี่ข้อมูลเดิม เพราะไม่มีการกระทำ

แล้วเราสบาย ๆ ไม่ต้องทำอะไรกันเลย มันก็เข้าไปสู่กิเลสไง เข้าไปสู่ข้อมูลเดิมของหัวใจนั้น เข้าไปสู่ภวาสวะ เข้าไปสู่ภพ เข้าไปสู่ฐานที่ตั้ง เข้าไปสู่พลังงานที่มันส่งออกมา...แค่นั้นเอง พอสบาย ๆ ไม่ทำอะไรเลย มันจะสะดวกสบายไปได้อย่างไรล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิชชา ๓ ทำไว้แล้ว เห็นไหม เวลาจิตสงบเข้ามา เวลาดึงกลับมาแล้วนี่จุตูปปาตญาณ มันก็ยังออกไปอีก ออกไปเห็นไหม ถ้าไม่มีการแก้ไข ไม่มีความปรับสมดุลของมันด้วยมรรคญาณ ความปรับสมดุลของมันด้วยธรรมที่เกิดขึ้นในผู้ที่ปฏิบัติ

เพราะตอนนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้เกิด เจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะสอนล่ะ ใครจะสอน ใครจะบอก...ก็หัวปักหัวปำ พยายามค้นคว้ากันไปเอาเอง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่มีใครสอน

จุตูปปาตญาณเพราะอะไร เพราะทำคุณงามความดีขนาดไหน นี่แรงขับมันมี เพราะก้นบึ้ง ตัวภวาสวะ ตัวภพ ตัวสถานที่เกิดมันสมบูรณ์ของมัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดบนนั้น สิ่งปลูกสร้างทุกอย่างเกิดบนแผ่นดิน ทำดีทำชั่วทั้งหมดเกิดบนภวาสวะ เกิดบนฐานที่ตั้ง เกิดปฏิสนธิจิต เกิดจากที่ตรงนี้ เกิดที่ปฏิสนธิจิตมันเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์นี้มันเป็นผล เป็นวิบาก เป็นสิ่งที่ได้ผลมา แต่กรรมที่เกิดจากจิตที่มันหมุนไป อันนั้นไม่มีใครไปรู้ไปเห็นมัน

เวลาสงบเข้ามานี่ยังไม่เข้าอริยสัจเลยนะ ยังไม่ได้เข้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยนะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาปฏิบัติด้วยจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยจิตของปุถุชน ด้วยจิตของมนุษย์ทุก ๆ คน มันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น แต่มันเป็นอย่างนี้เพราะเราอ่อนแอ เราถึงเหลวไหล เราถึงหลงใหลไป

ปฏิบัติธรรมก็เข้าสปากันนะ “โอ๋ย ! ติดแอร์นะ เข้าห้องกระจก โอ๋ย ! สบาย ปฏิบัติสบาย ๆ ดีกว่า มาทุกข์มายากทำไม”

ทุกข์ยากก็ทุกข์ยากเพื่อดัดแปลงกิเลส สบายขึ้นมา สบายก็เพื่อบำรุงกิเลส สบายขึ้นมาก็เพื่อให้กิเลสมันนอนใจอยู่ในหัวใจนั้น

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ บุพเพนิวาสานุสติ-ญาณ จุตูปปาตญาณ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ มันยังไม่ใช่มรรค ดึงกลับมา พอเป็นปัจจุบัน เห็นไหม ปัจจุบันมันไม่ส่งไปอดีตและอนาคต เวลาส่งไปอดีตอนาคตนี่มันส่งออก มันส่งไปตามพลังงาน

ถ้าใครมีคุณสมบัติ จิตที่มีคุณสมบัติถ้าใครสร้างคุณงามความดีมา ใครสร้างพลังงานมานี่ ผู้ที่ปฏิบัติ แม้แต่ฤๅษีชีไพร กาฬเทวิลก็ระลึกอดีตชาติได้ สองชาติ สามชาติ สิบชาติ ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีต้นไม่มีปลาย กำหนดไม่ได้ว่าจะกี่ชาติ มันไปได้เต็มที่เพราะว่าสร้างบุญญาธิการมามาก แต่ผู้ที่ปฏิบัตินะ ถ้ามีอำนาจวาสนาน้อยก็ได้ชาติสองชาติ บางคนก็ได้เล็ก ๆ น้อย ๆ บางทีเราระลึกไม่ได้ แล้วระลึกมาทำไมล่ะ

ถ้าระลึก เราคิดถึงเมื่อวาน เมื่อวานทำอะไรแล้วเสียใจไหม เมื่อวานทำอะไรผิดพลาดไปแล้วเสียใจไหม วันนี้จะทำอะไรต่อไป ระลึกอดีตชาติไปก็เมื่อวานนี้ก็ชาติที่แล้วเราทำอะไรมาล่ะ แล้วระลึกไปทำไม

แต่ในปัจจุบันนี้เรามีคุณงามความดีขนาดไหน ดูที่ปัจจุบันนี้เราหูตาสว่าง หูตาสว่างเพราะเราเกิดมา เห็นไหม เกิดมาต้องให้มีความเข้มแข็งนะ เวลาศรัทธามีความเชื่อแล้วให้มันเข้มแข็งไว้ เวลาปฏิบัติขึ้นมา เริ่มต้นปฏิบัติ เริ่มต้นจะเอาจริงเอาจัง พอมาเจออุปสรรค “เอ้อ ! ไม่ไหว ไปอย่างนู้นดีกว่า”...จะเข้าสปาไง จะไปสบาย ๆ น่ะ

แต่เวลาลำบากขึ้นมาแล้วท้อถอย ขนาดลำบากมันยังไม่ได้ แล้วไปสบาย ๆ มันจะได้อะไรล่ะ ถ้ามันลำบากขนาดนี้ ทำขนาดนี้ เราทำขนาดนี้มันยังไม่ได้ผล เขาบอกว่า “นี่เป็นอัตตกิลมถานุโยค เป็นความหลงผิด”

หลงผิดที่ไหน ถ้าหลงผิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรมฐาน ๔๐ ห้อง บอกไว้ทำไม “พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ มรณานุสติ” นี่บอกไว้ทำไม หลงผิดไปนี่ใครหลงผิด กิเลสหลงผิดหรือพระพุทธเจ้าหลงผิด ถ้าพระพุทธเจ้าหลงผิด เราเองหลงผิด แล้วเราจะออกไปนอกทางเห็นไหม

แต่ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเราขึ้นมา...องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อดีตอนาคตนี้ไม่ใช่ อดีตอนาคต เร็วขนาดนั้นนะ ความเร็วของจิต จิตเร็วกว่าแสง ความคิดมนุษย์นี้เร็วมาก แล้วถ้าจิตมันละเอียดเข้าไปมันจะเร็วของมันมาก

ฉะนั้นเวลาฝัน เวลาเข้านิมิต คิดอะไรปั๊บมันจะ พั่บ ! พั่บ ! พั่บ ! เสร็จเลย แต่ถ้ามันเป็นเรื่องวัตถุ กว่าจะทำเสร็จไม่รู้กี่ปีกี่เดือน แต่ความจริงในหัวใจจะนึกอย่างไรก็ได้

นี่ไง ที่ว่าทิพย์ ๆ ๆ ไง ทำแล้วเป็นทิพย์ ทุกอย่างเป็นทิพย์ เป็นทิพย์เพราะมันเป็นวิญญาณาหาร ผัสสาหาร สิ่งต่าง ๆ ที่เทวดา อินทร์ พรหมเขาอยู่ เขาดำรงชีวิตของเขาอย่างไร การดำรงชีวิตต้องมีอาหารนะ การดำรงชีวิตอยู่ ไม่มีอาหาร ชีวิตจะอยู่ได้อย่างไร ชีวิตจะอยู่ได้เพราะมันต้องมีอะไรจุนเจือให้ชีวิตนี้อยู่รอดได้ สิ่งที่อารมณ์ความรู้สึก จิตนี้มันกินวิญญาณาหาร กินอารมณ์ความรู้สึกเป็นอาหาร อาหารอย่างนี้ถ้ามันกินแล้วมันเร็วของมัน มันเสพของมัน

ถ้ามีมรรคญาณเข้าไป มีการกระทำ นี่ไง ร่างกายของมนุษย์มันยังปรับสมดุลอยู่ในที่สูงที่ต่ำ จิตใจของคนมันปรับสมดุลจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน ปรับสมดุลจากว่าควบคุมตัวเองไม่ได้จนเป็นควบคุมตัวเองได้ แล้วมันเกิดปัญญา เกิดมรรคญาณ

เฮอริเคน เวลาพายุมันทำลายล้างไปหมด นี่มรรคญาณมันไม่ทำร้ายใคร มันทำร้ายแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ มันจะกวาดกิเลสออกจากภวาสวะ ออกจากภพ เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เป็นโสดาบัน เป็นสกิทา เป็นอนาคา จนถึงที่สุด

ในเมื่อมีแผ่นดินอยู่ มีที่ตั้งอยู่ มันต้องมีการเกิด เกิดบนพรหมนี่ถ้าไม่มีสิ่งใดเลยก็เกิด “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส” ผ่องใสนี่แหละมันจะไปเกิด แล้วมันต้องทำลาย เห็นไหม ดูสิถ้ามันไม่มีแผ่นดิน ไม่มีสิ่งใดเลย พายุมันจะพัดไปหาใคร พายุมันจะพัดเข้าไปหาใคร สิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นอย่างนี้มันเป็นความจริงของมัน

ถ้าความจริงของมันนะ เรากระทำของเรา เราทำเพื่อสู่ความจริง ถ้าเราจะเอาความจริง มันจะทุกข์มันจะยาก มันจะลำบาก เรามีครูมีอาจารย์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ปรารถนามานะ นี่พ่อแม่ก็เลี้ยงดูมา พ่อแม่ก็พยายามจะแก้ไขมา

แต่ “พ่อแม่ครูจารย์” เวลาท่านเป็นทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งครู ทั้งอาจารย์ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยากจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ คนที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์นี่มีจิตใจที่เมตตา ดูความเมตตาของพ่อของแม่สิ ดูความเมตตาของครูบาอาจารย์สิ ท่านอยากรื้อสัตว์ขนสัตว์ ท่านอยากจะอุ้มเราไปเลยนะ แต่มันอุ้มไปอย่างไรล่ะ มันจะเอาอะไรอุ้มไปล่ะ

สิ่งที่ว่าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์นี่มีความเมตตาขนาดนั้น มีความตั้งใจ มีความปรารถนาขนาดนั้น ถ้ามีสิ่งใดที่สมความปรารถนาแล้วมันเรียบง่าย ที่มันเป็นไปได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกหมดแล้ว ไม่ต้องมีใครมาบอกหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

เวลาใครจะอ้างนะ พระไตรปิฎกเคยมีอยู่ แล้วมันเลือนรางไป นี่มารื้อค้นใหม่ ถ้าพระพุทธเจ้าบอกแล้วมันก็ชัดเจนอยู่นั่น ตัวเองจะพูดอะไรก็กลัวเขาจะไม่เชื่อถือ ก็อ้างพระพุทธเจ้า พออ้างพระพุทธเจ้าไป แล้วพอปฏิบัติไปก็ว่าลำบากลำบน

เดี๋ยวนี้สปามันกำลังมาใหญ่ แล้วปฏิบัตินี่ปฏิบัติแบบสปากัน สบาย.. สบาย.. สบาย ๆ แพ้ไอ้เบิร์ด ไอ้เบิร์ดมันร้องสบายดีกว่าอีก แล้วมันได้ตังค์ด้วย

เราอย่าเอาชีวิตเราไปให้คนอื่นปู้ยี่ปู้ยำ เราเป็นเจ้าของชีวิตนะ เรามีสติปัญญานะ ชีวิตนี้เป็นของเรา เรามีปัญญา เราเป็นลูกศิษย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องรักษาชีวิตเรา รักษาสิทธิของเรา สิทธิที่เราจะประพฤติปฏิบัติ สิทธิที่เราจะบรรลุธรรม สิทธิที่เราจะมีความสุขของเรา เราต้องรักษาของเรา ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของเรา เอวัง