เทศน์พระ

ตื่นเงา

๑๙ ม.ค. ๒๕๕๔

 

ตื่นเงา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ตั้งใจฟังธรรม พูดบ่อยว่า “ทำไมต้องฟัง” ธรรมะมันก็มีอยู่แล้ว ทำไมต้องฟัง ? เราก็รู้ของเราเองได้ ถ้าเรารู้ของเราด้วยสติด้วยปัญญา แต่สติปัญญาของเรานี่ มันหยาบ อ่อน แก่ แตกต่างกัน เวลาสติเราดี จิตใจเราดี จิตใจเรารื่นเริงมาก เราทำสิ่งใดจะประสบความสำเร็จ แล้วเราทำสิ่งใดหัวใจเราจะมีความร่มเย็นเป็นสุข

แต่จิตใจเราเริ่มเป็นปานกลาง มันเริ่มเสมอตัว ถ้าจิตใจเราอ่อนนะ คิดสิ่งใดมันมีแต่ความกระเทือนใจเราทั้งนั้น นี่ตื่นเงา นั่นน่ะอาการของจิต ความคิดเป็นเงาของจิต เงาทั้งนั้น นี่เงาจากภายในนะ

ถ้าเงาจากภายนอกล่ะ ? ดูโลกสมมุติสิ ชีวิตเรานี้มีคุณค่ามาก โลกเขาแสวงหากันนะ เวลาคนทุกข์คนยาก คนจนตรอกเห็นไหม เขาจะหาทางออกกัน ถ้าคนมีสติปัญญาเขาก็จะหาทางออกด้วยธรรม เขาจะหาทางออกว่าสิ่งใดที่มันจะพ้นจากการครอบงำ

ดูสิ เวลาคนทางโลกเห็นไหม เขามีคดีอาญา เขาหนี.. หนี.. ถ้าโบราณเขาก็ไปบวช พอบวชแล้วผู้ที่มีความเสียหายเขาจะให้อภัย เวลาเขาหนี ถึงหนีกฎหมาย หนีต่างๆ เขาหนีไปบวช นี่สิ่งที่เป็นทางโลก เวลาคนที่มีปัญญา เวลาเขาหนีเขาจะหาทางออก

แต่คนที่ไม่มีปัญญา เวลาเขาหนีเขาหาทางไปไม่ได้ เขาประชดชีวิตของเขาด้วยการสัมมะเลเทเมา ให้ชีวิตนี้อยู่ด้วยกับความไม่รับผิดชอบ แต่ถ้าไม่รับผิดชอบมันก็เป็นภาระสังคมใช่ไหม ถึงว่าทำไมเขาทำลายตัวเขาเองล่ะ ? เพราะอะไร ? เพราะเขาอยากจะหนีความกดดันนี้

แต่เรานี้มีสติปัญญา เรานี้มาบวชเป็นพระเป็นเจ้า เราเห็นภัยในวัฏสงสาร สิ่งที่เป็นภัยในวัฏสงสารนั้นมันเป็นสัจธรรมนะ ผลของวัฏฏะ

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา”

ถ้าเรามีสติปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง แต่ถ้าจิตเห็นไหม “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา” มันมีของมันไง จิตมันมีของมัน ถ้ามันไม่เป็นธรรมดา มันหมุนไปตามอำนาจของกิเลส มันจะเวียนตายเวียนเกิดไปไม่มีที่สิ้นสุด เราจะหลบหนีไปไหนก็หลบหนีไปไม่ได้หรอก เราหลบหนีไปด้วยความรู้สึกความนึกคิดของเรา เหมือนกับว่าเราคิดของเราเองไง แต่ความจริงเป็นอย่างหนึ่ง เราคิดของเราเป็นอย่างหนึ่ง นี่ตื่นเงา !

เราคิดของเราเอง เราคิดว่าสภาวะที่เราคิดนี้มันจะรอดพ้นไปได้ เหมือนกับคนที่เขาทำความผิดเห็นไหม เขาบอกว่า “เจ้าหน้าที่จะจับเขาไม่ได้” แต่ถ้าวันไหนเจ้าหน้าที่จับเขาได้ เขาก็ต้องรับโทษตามนั้น แต่เจ้าหน้าที่จับเขาได้หรือไม่ได้ กรรมมันให้ผลแน่นอน

กรรมที่การกระทำนั้นในหัวใจนั้นมันให้ผลอยู่แล้วเจ้าหน้าที่จะจับไม่ได้ แต่เราทำของเรา เพราะเราเชื่อมั่นของเราว่าเราจะหาผลประโยชน์กับเรา นั้นเพราะความเชื่อมั่นของกิเลส แต่ไม่ใช่ความจริง

ถ้าเป็นความจริงนะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สิ่งที่ทำน่ะ เราเชื่อมั่นของเราว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา แต่มันผิดศีลผิดธรรม มันเป็นเรื่องของโลกเห็นไหม นี่มันผิด มันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด มันจะมีผลอย่างไรมันก็มีผลของกิเลสไง

แต่ถ้าเราบวชมาแล้ว เราเห็นโทษของวัฏสงสารเห็นไหม ความเป็นอยู่ของพระลำบากไหม ? มันก็ลำบาก มันลำบากกว่าโลกเขา โลกเขาอยู่แบบสุขสบายของเขา เขาอยู่ตามแต่อำนาจวาสนาของเขา แต่เราอยู่เป็นพระนี่ เราอยู่ในศีลในธรรม

ศีลธรรมเห็นไหม ดูสิ ถือธุดงควัตร เราเป็นพระป่า พระปฏิบัติ พระธุดงค์ ธุดงค์คือธุดงควัตร ๑๓ ถือผ้า ๓ ผืนเป็นวัตร อยู่โคนไม้เป็นวัตร อยู่ในที่ว่างเป็นวัตร บิณฑบาตเป็นวัตร ฉันมื้อเดียวเป็นวัตร เพราะว่าเราเห็นภัยในวัฏสงสาร พอเห็นภัยในวัฏสงสาร เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่เพื่อประโยชน์กับการประพฤติปฏิบัติ

ถ้าการประพฤติปฏิบัติ ในการโล่งว่าง ในการสะดวกสบายที่สุด ในเรือนว่าง ในอัพโภกาสิกังคะ ในความสะดวกสบายมันโล่ง โปร่งเห็นไหม สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ปรารถนาของเรา ถ้าสิ่งที่ปรารถนาของเรา นี่สภาวะแวดล้อมของเรา อยู่เป็นพระลำบากไหม ?

ถ้าจิตใจของเรารื่นเริงอาจหาญ จิตใจของเรามีเป้าหมาย สิ่งนี้ไม่ใช่ความลำบากเลย ไม่เป็นความลำบากเพราะสิ่งใด ? ไม่เป็นความลำบากเพราะมีสติปัญญา

ถ้ามีสติปัญญามันจะคิดย้อนกลับมา ชีวิตทางโลกลำบากไหม ? ชีวิตทางโลกต้องมีการแข่งขัน การแข่งขันมันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์นะ แต่เรื่องตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ เพราะมีการแข่งขันแล้วประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ

พอแข่งขันแล้วมันมีเป้าหมาย พอมีการแข่งขันขึ้นมาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มันก็ใช้เล่ห์กล ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ด้วยกล ด้วยมนต์ ด้วยคาถา เขาก็ทำกันไป เพราะมีเป้าหมาย แล้วอยากให้สมตามเป้าหมาย มีการกระทำความผิด การทุจริตต่างๆ มันก็เป็นเรื่องของกรรมทั้งนั้นล่ะ นี่ในการแข่งขันของเขา

แล้วเรื่องของหัวใจล่ะ ? ประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ คนที่มีบุญกุศลของเขา เขาประสบความสำเร็จขนาดไหนเขาก็ไม่ตื่นเต้นไปกับความสำเร็จนั้น เพราะความสำเร็จ ดูสิ ผู้ที่เป็นผู้บริหารจัดการ ในผู้ที่มีอำนาจวาสนา เขาบริหารของเขาเพื่อประโยชน์สาธารณะ เขาทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์กับสังคม ถ้าสังคมได้ประโยชน์จากเขา เขาก็มีความสุขของเขา เห็นไหม เพื่อประโยชน์สาธารณะไม่ใช่ประโยชน์ของเรา แล้วมีความสุขมีความพอใจไง

ถ้ามันมีความสุข ความพอใจ นั่นนะเรื่องของจิตใจ ถ้าเรื่องของจิตใจเห็นไหม จิตใจสูงส่ง นี้เราเสียสละสิ่งนั้นขึ้นมา เรามาบวชเป็นพระนี้มีความทุกข์ไหม ? แน่นอน ! มีความทุกข์ เพราะเป็นโยมก็ทุกข์ เป็นสิ่งใดก็ทุกข์ แต่ความทุกข์อันนั้นมันเป็นความทุกข์บีบคั้นหัวใจโดยผลของวัฏฏะ

ความทุกข์ของมนุษย์ไง มนุษย์ก็ทุกข์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เหมือนกัน ฆราวาสเขามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ พระก็มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แต่พระเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ศีล ! เราบวชเป็นพระมีศีล ๒๒๗ เป็นนักพรต เป็นนักบวช ก็ทุกข์ของโลก ทุกข์ของเขาเป็นธรรมชาติของเขา

แล้วเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราบวชเข้ามา พอเราบวชเข้ามา เรามีศีลมีธรรม เรามีธุดงควัตรเพื่ออะไร ? เพื่อขันนอตเข้ามาสู่หัวใจของตัว ถ้าหัวใจของตัว เราดูใจของเราไง เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะแก้ไขของเราเห็นไหม

โลกเขาตื่นกัน ตื่นโลกเขาตื่นกันอย่างนั้นนะ โลกเขาตื่นกันเรื่องของข้าวของเงินทอง เรื่องของปัจจัยเครื่องอาศัย

เวลาเขาตื่นธรรมเห็นไหม สิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม เขาก็ตื่นธรรมกัน ตื่นธรรมมันก็เป็นเรื่องอาการความรู้สึกความนึกคิดว่าเป็นพุทธพจน์ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่ ! เป็นพุทธพจน์ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาธรรมขึ้นมาน่ะมันเป็นปริยัติ มันเป็นการศึกษาเห็นไหม

ในการปฏิบัติล่ะ ? มันต้องมีอำนาจวาสนานะ ในการปฏิบัติตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาตามความเป็นจริง ถ้ามันไม่เกิดขึ้นมาตามความเป็นจริง ปฏิบัติขึ้นมาก็สักแต่ว่าทำ ทำพอเป็นพิธี ทำพอเป็นสักแต่ว่าทำ พอสักแต่ว่าทำเห็นไหม ถ้าตื่นเงา เงาของโลก

เงาของโลกคือผลของการเจริญเติบโต ผลของการเสื่อมค่าของทางโลกเขา นั่นตื่นโลก

ตื่นเงาคือตื่นความคิด ความรู้สึกความนึกคิดเห็นไหม

เราเป็นคนที่ปรารถนาดี เราจะเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราจะพ้นจากทุกข์ เวลาปฏิบัติขึ้นมามันก็ตื่นแต่เงาของตัว ความรู้สึกความนึกคิดนี่เป็นเงานะ อาการของจิตไม่ใช่จิต

ถ้าอาการของจิตเราต้องยืนตรงให้ได้ เราต้องสงบเงาของเราให้ได้ ถ้าเราตื่นเงาของเรา แล้วเงาของเรามันมีความรู้สึกความนึกคิด เวลาตื่นเงาขึ้นมา ดูสิ ดูเวลากระต่ายมันตื่นตูมสิ มันนอนอยู่โคนต้นตาล เวลาลูกตาลตกขึ้นมาเห็นไหม “ฟ้าถล่ม ! ฟ้าถล่ม !” วิ่งหนีไปด้วยความรู้สึกนึกคิดของตัวว่าฟ้าถล่ม แล้วก็มีคนเชื่อวิ่งตามไป “ฟ้าถล่ม ฟ้าถล่ม”

ราชสีห์น่ะ “ฟ้าถล่มที่ไหน กลับไปดู ฟ้าที่ไหนมันถล่ม” พอกลับไปดูเห็นไหม ลูกตาลมันตกใส่ก้านตาล มันมีฟ้าที่ไหนมันถล่มขึ้นมาล่ะ มันมีอะไรไปถล่ม นี่ความเห็น นี่เวลามันตื่น

ถ้ามันตื่นความรู้สึก ความนึกคิด พอมันคิดเข้ามามันตื่นออกไป พอมันตื่นออกไปมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาล่ะ วิ่งไปนะ หัวใจนี่วิ่งออกไป แล้วล้มลุกคลุกคลานไป แล้วสิ่งนั้นเป็นความจริงไหม

ถ้ากระต่ายมันไม่ตื่นตูม สิ่งใดมันตกลงมา ลูกตาลมันตกลงมาเสียงมันดังไหม ? มันดัง ถ้ามันดัง ถ้ามีสติปัญญาดูมัน มันมีอะไรขึ้นมา

เงามันเกิดที่ไหนก็ต้องดับที่นั่น..

ความคิดเกิดที่ไหนก็ต้องดับที่นั่น สิ่งที่มันมีความตื่นตูมขึ้นมาที่ไหน มันก็ต้องดับที่นั่น มันก็ไม่ตื่นเห็นไหม ไม่ตื่นเงา

นี่มันตื่นเงานี่ ความรู้สึก ความนึกคิดของเรานี้ให้โทษกับเรานะ ทั้งๆ ที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตรึกออกไป ถ้าตรึกขนาดไหน ตรึกที่เป็นประโยชน์ขึ้นมานี้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ เพราะมันตรึกในธรรมใช่ไหม

พอตรึกในธรรม เพราะธรรมนี่สภาวธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกิริยาของมันคือวิชาการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ คือธรรมและวินัย เราก็ศึกษาอันนั้นเข้ามา

ถ้าศึกษาอันนั้นเข้ามา เราตรึกในธรรมนั้น มันเกิดปัญญาไหม ? มันเกิดสติปัญญาของเรา ถ้าสติปัญญาของเรา มันจะไปดักเงาของเราเอง เงาความรู้สึกความนึกคิดนี่เห็นไหม เวลาเราตรึกในธรรม ตรึกในธรรมเห็นไหม มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

ปัญญาอบรมสมาธิเพราะเหตุใด ? ปัญญาอบรมสมาธิเพราะมันดับไง มันดับอาการตื่นอันนั้น ถ้ามันตื่นอันนั้น เราตื่นออกไปเห็นไหม เราตื่นเงา ตื่นความรู้สึกความนึกคิด แล้วมันมีปัญญาไหมล่ะ ? ถ้ามีปัญญาความรู้สึกนึกคิดคืออะไร ? ความรู้สึกนึกคิดมันเป็นขันธ์เท่านั้นเอง

ขันธ์นี่ความรู้สึก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อารมณ์ความรู้สึกมันต้องมีขันธ์ ๕ พร้อม มันจะเกิดโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ วิญญาณทางตา ทางจมูก ทางหู ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วมันเกิดวิญญาณ อายตนะ

อายตนะวิญญาณเห็นไหม นี่วิญญาณมันเกิด นี่เงามันเกิด ถ้าเงามันเกิด ความรู้สึกมันเกิด เกิดแล้วมันก็คิดตามไป มันก็ตื่นกันไป กระต่ายมันก็ตื่นตูมไป มันก็วิ่งไปตามความรู้สึกความนึกคิด ความจินตนาการสร้างภาพกันไปว่าเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา

เราจะเป็นอย่างนั้นไหม เราเห็นทางโลกเขาตื่นกัน เพราะยุคตื่นทองเห็นไหม เขาแสวงหากัน เขาตื่นทองกันเพื่อผลประโยชน์ของเขา ถ้าคนทำธุรกิจของเขา เขาหาแก้วแหวนเงินทองขึ้นมาเพื่อเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยนะ เพื่อเป็นต้นทุนนะ เพื่อเลี้ยงชีพนะ เพื่อเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่นะ ที่เหลือเศษส่วนแล้วเราจะฝังดินไว้ ทำบุญกุศลไว้ ให้จิตใจของเราให้มีอำนาจวาสนา

เกิดมาในชาตินี้แสนทุกข์นัก เกิดมานี้อาบเหงื่อต่างน้ำด้วยความทุกข์ความยาก มันเป็นความทุกข์ความยากเพราะเราเกิดมาในภพของมนุษย์ แต่ถ้าจิตใจของเรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาล่ะ มันอาบเหงื่อต่างน้ำไหม

นี่เวลาเขาทุกข์กันทางโลกเขาทุกข์สายตัวแทบขาด เวลามาบวชเป็นพระ เวลาทุกข์ขึ้นมา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เหนื่อยสายตัวแทบขาด หัวใจมันรับได้ไหม เวลาทำงานทางโลกมันก็เหนื่อยสาหัสนัก เหนื่อยหน่าย มันเป็นเรื่องของธุรกิจ ขาขึ้นกับขาลง แล้วแต่ว่าอุปสงค์หรืออุปทาน ความเป็นไปของโลกมันเจริญรุ่งเรือง หรือถึงคราวมันตกเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจเวลาเราจะมาพัก มาพิสูจน์ใจของเราล่ะ ถ้าใจของเรา เวลาใจของเรารื่นเริงอาจหาญล่ะ เวลาหัวใจของเราสงบร่มเย็นล่ะ ดูสภาวะแวดล้อมมันดีไปทุกอย่างเลย แต่เวลาจิตใจของเรามันฟู มันแฟบขึ้นมา สิ่งใดมันผิดจากความพอใจของเราทั้งนั้นเลย ขัดแย้ง ขัดอกขัดใจไปทุกอย่าง

สิ่งที่เกิดขึ้นมาขัดอกขัดใจ นี่ไง มันก็คนๆ เก่า อารมณ์ก็อารมณ์เก่า ทุกอย่างเป็นของเก่าหมดเลย แต่มันอยู่ที่เราให้ค่ามัน อยู่ที่จิตใจของเราเท่านั้นเอง เราให้ค่ามัน เวลาเราให้ค่ามันดีมันก็เป็นความดี มีความอบอุ่น มีความสุขไปทั้งนั้นเลย ทั้งๆ ที่นั่นมันเป็นงูพิษนะ มันกัดตลอดเวลานะ

ในเมื่อคนมีกิเลสอยู่ ความรู้สึกนึกคิด กิเลสมันอาศัยขันธ์ ๕ นี้ออกไปหาเหยื่อ นี่มันก็อาศัยความคิด กามราคะมันเกิดเพราะอะไร ถ้าใจไม่คิด เกิดสิ่งต่างๆ เกิดความรู้สึกนึกคิดนี้เกิดเพราะอะไร ? ก็ความคิดทั้งนั้น ความคิดมันสื่อออกไป เห็นไหม กิเลสตัณหามันเอาขันธ์ ๕ เอาความรู้สึกนึกคิดนี้เป็นทางออก เป็นการไปหาเหยื่อ กิเลสตัณหาความทะยานอยากอาศัยสิ่งนี้ไปหาเหยื่อ

เราอยู่กับมัน นี่เงา แล้วเราก็ตื่นมันตลอดเวลา แม้แต่ปฏิบัติธรรมก็ตื่นแต่เงา มันไม่เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามีสติสิ ตั้งสติไว้ ดับเงานั้นให้ได้ ถ้าดับเงาขึ้นมา มันจะเป็นตัวจริงของมัน

ถ้าตัวจริง สัมมาสมาธิเป็นอย่างไร ? จิตตั้งมั่นนี่ เขาบอกว่า “จิตตั้งมั่นไม่ได้ จิตตั้งมั่นไม่มี จิตนี้มันเป็นสันตติ มันจะเกิดดับ เกิดดับ”

ความเกิดดับนี่มันเกิดดับมา ดูสิ ดูพลังงานไฟฟ้าเวลามันเข้าไปในเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิด มันส่งต่อๆ กันไปน่ะ นี่ก็เหมือนกัน การเกิดดับ เกิดดับขั้นไหน เกิดดับอย่างใด การเกิดดับมันมีหลายซับหลายซ้อนนัก

การเกิดดับน่ะ ดูเด็กๆ สิ เด็กๆ มันไร้เดียงสา มันไม่มีมารยาสาไถยเลย มันเกิดดับของมัน ความรู้สึกความนึกคิดของมัน เวลามันพูดออกมามันดูแล้วน่ารักนะ แต่ผู้ใหญ่มันมีมารยาสาไถย พูดอย่างไรมันก็ไม่น่ารัก

แล้วเวลาหัวใจล่ะ เวลาจิตใจล่ะ ความเกิดดับนี่เพราะว่าอะไร เพราะจิตใจมันไม่เคยสงบไง มันเป็นเงาไปทั้งนั้นเลย สร้างภาพ ความรู้สึกนึกคิดแล้วก็ตื่นเงากันออกไป แล้วว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เป็นธรรม มันเป็นธรรมมาจากไหน เอาอะไรมาเป็นธรรม

ธรรมะมันคืออะไร ? ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา สัจธรรม ! ถ้าสัจธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรม อริยสัจจะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

นี่สิ่งว่าเป็นทุกข์ บ่นกันเห็นไหม เพราะเราเห็นทุกข์ใช่ไหม เพราะเราเกิดมาเรามีวาสนาจริงๆ นะ ดูสิ คนเราเจ็บไข้ได้ป่วย รู้ว่าตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วย เขาจะรักษาตัวเขา เพราะเขาเจ็บไข้ได้ป่วย

คนเราเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ไม่รู้ตัวว่าเจ็บไข้ได้ป่วย คิดว่าตัวเองเป็นผู้ที่เข้มแข็ง แข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บมันจะรุมเร้าอยู่กับคนๆ นั้น แล้วถึงเวลาแล้วหมดโอกาส

นี่ก็เหมือนกัน ทางโลกเขาเราเกิดมาทุกคน ชีวิตมีการพลัดพรากเป็นที่สุด ทุกคนต้องตายไปข้างหน้านะ ชีวิตเราใช้ไปวันหนึ่งๆ เห็นไหม ดูสิ เราอยู่กัน เราจำพรรษากันอยู่นี่ เราอยู่วัดเห็นไหม วันคืนล่วงไปๆ วันคืนคือวันคืน ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงไป เดี๋ยวหน้าฝน เดี๋ยวหน้าหนาว เดี๋ยวหน้าร้อน เดี๋ยวเข้าหน้าหนาว เดี๋ยวจะเข้าฤดูฝนอีกแล้ว เข้าหน้าแล้งแล้วเข้าฤดูฝน วนไปอยู่อย่างนี้ ชีวิตก็คือชีวิตเดิมอยู่อย่างนี้แหละ อาการต่างๆ โลกนี้เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ มันก็เวียนของมันไปอย่างนี้ แล้วเราจะไปตื่นอะไรกับมัน

สมบัติของเรามันจะมีมากมีน้อยเท่าไร มันก็เป็นสมบัติของโลกทั้งนั้นเลย ถ้าจิตใจเราไม่เข้มแข็งขนาดไหน จิตใจเรามีความสงสัยไหม จิตใจเรายังมีสิ่งใดเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา มีเต็มไปหมดเลย !

หน้าที่การงานของเราเห็นไหม เราเป็นอะไรตอนนี้ เราสำนึกตัวเราเป็นอะไร เราเป็นพระ แล้วเป็นพระปฏิบัติด้วย ถ้าเป็นพระปฏิบัติด้วย ตั้งสติไว้ มันเหนื่อยนะ มันเหนื่อย มันท้อแท้ มันหดหู่ มันไม่มีอะไรน่ารื่นเริงเลย เพราะอะไร ? เพราะเราไปย้ำคิดย้ำทำกับอารมณ์เดิม

ทำไมเราไม่คิดถึงเวลาเราเห็นโทษล่ะ ทำไมเราไม่คิดถึงว่าชีวิตนี้เราคิดได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นกษัตริย์ จะได้สถาปนาแล้วนะ หนีออกบวช ! ไปกับม้ากัณฐกะ ออกไปกับนายฉันทะ จนให้นายฉันทะกลับไปแล้วตัดผม สมบุกสมบั่นกับชีวิต ๖ ปี

คิดถึงสิ คิดถึงหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังไม่มีธรรมแล้วออกไป ดูสิ แล้วปัญจวัคคีย์ตามไป เพราะเป็นผู้ที่ใฝ่ดี หวังดี เพราะเขารอสัจจะ รอความจริง เพราะว่ามันไม่มีปัญญา ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นสยัมภู มันจะเอาความจริงมาจากไหน

ดูพระอัญญาโกณฑัญญะก็เป็นปราชญ์ เป็นพราหมณ์ที่มีไตรเวท รู้เวทมนต์คาถา รู้ทุกอย่าง นี่แล้วไปได้ไหม ?

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติ ปัญจวัคคีย์ก็ได้อุปัฏฐากอยู่ รอๆๆ อยู่ กว่าธรรมะมันจะมาเจือจานพวกเราบ้าง ถ้าจิตใจเรามันหดหู่ จิตใจเรามันอับเฉา มันไม่มีทางออก ทำไมเราไม่คิดถึงศาสดาของเราล่ะ ไม่คิดถึงครูของเรา

เราบวชมาเป็นอะไร ? ศาสนบุตรพุทธชิโนรส เราบวชมาเป็นลูกศิษย์ลูกหา เราบวชมาเป็นศากยะบุตร ชาวศากะ เป็นลูกศิษย์ลูกหาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมเราไม่คิดถึง ทำไมเราไม่ระลึกถึงล่ะ เราไปคิดเรื่องอะไรกัน ทำไมเราไม่ระลึกถึง นี่ไปตื่นเงา ตื่นแต่เรื่องเป็นพิษเป็นภัย เวลาส่วนที่เป็นประโยชน์ขึ้นมา ทำไมไม่คิดไม่เห็นบ้างล่ะ

เวลาคิดๆ ขึ้นมาสิ คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าท่านทุกข์ยากมาก่อนเรา ท่านแสวงหามาก่อนเรา แล้วท่านแสวงหามาจนประสบความสำเร็จ กิเลสมันยุแหย่เข้ามานะ เอ้า ก็ท่านเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นคนทุกข์คนยาก เราไม่มีอำนาจวาสนา

แล้วอำนาจวาสนามันมาจากไหนล่ะ ? เกิดเป็นมนุษย์นี้ไม่ใช่อำนาจวาสนาหรือ เกิดเป็นมนุษย์แล้วบวชเป็นพระนี้ไม่ใช่วาสนาเหรอ แล้วบวชเป็นพระป่าซะด้วย เป็นพระปฏิบัติซะด้วย อยู่ในวงของหลวงปู่มั่นด้วย วงกรรมฐานนี่เป็นนักปฏิบัติ วงกรรมฐานเป็นผู้เผชิญกับความจริง แล้วความจริงมันอยู่ซึ่งๆ หน้า ความจริงมันอยู่กับความรู้สึกเรานี่ไง ความจริงมันอยู่กับความหดหู่นี่ ความจริงมันอยู่กับจิตใจที่มันไม่เอาไหนนี่ ความจริงมันอยู่กับจิตใจที่มันไม่สู้นี่ นี่เป็นความจริง เผชิญหน้ากับมัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีอาวุธต่างๆ เลย ยังต่อสู้กับกิเลสมา จนตรัสรู้เองเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมและวินัยนี้เป็นอาวุธ ธรรมาวุธ สติปัญญา นี่มันเป็นอาวุธขึ้นมา ทำไมเอาสติปัญญานี้ไปให้กิเลสมันใช้ล่ะ

เวลากิเลสมันเอามาใช้นะ เราเป็นคนไม่มีอำนาจวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ เราไม่ได้สร้างอะไรของเรามาเลย ถ้าไม่ได้สร้างขึ้นมาจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างไร ถ้าเราไม่ได้สร้างขึ้นมานี่ เราจะมาบวชไหม ถ้าเรามาบวชขึ้นมานี่ เราได้สิทธิขึ้นมาแล้ว เราได้สิทธิและโอกาสมา เราได้อำนาจวาสนามา ทำไมเราไม่แสวงหาล่ะ

ดูสิ เวลาโลกเขาแสวงหากัน เขาแสวงหาเพื่อแก้วแหวนเงินทองของเขา เขาแสวงหามาเพื่อผลประโยชน์ของเขา เขาเห็นของเขา เขาถึงมีความมุมานะของเขา เขาวางแผนของเขา เขาทำกิจกรรมของเขา

เราก็เป็นพระ เราก็รู้อยู่ว่านี่สมบัติของพระ เราจะเสียสละกิเลสตัณหาความทะยานอยากออกจากใจเราให้ได้ การเสียสละกิเลสตัณหาความทะยานออกจากใจนี้ มันจะทำอย่างไรให้มันเสียสละ มันถึงจะต้องมีหลักมีเกณฑ์ไง เราถึงต้องฟื้นฟูให้จิตใจมันเข้มแข็งไง

ถ้าจิตใจมันเข้มแข็ง มันมีกำลังของมัน จิตใจเข้มแข็งแล้วมีกำลังของมัน มันจะตั้งตัวของมันเองได้ ดูสิ ดูพระที่มีคุณธรรมในหัวใจเห็นไหม เขาอยู่ที่ไหน เขาอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข นี่ภาษากาย กายมันแสดงออกนะ กายมันแสดงออกมาโดยเป็นภาษาเดียวกับภาษาใจ

แต่ถ้าภาษากาย เพราะถ้าจิตใจมันมีความโต้แย้ง เห็นไหม ภาษากายมันแสดงออกเลย แสดงออกขัดแย้งกับความรู้สึก ขัดแย้งกับความนึกคิดในหัวใจ ถ้าภาษากายกับภาษาใจมันเป็นอันเดียวกัน มันสงบร่มเย็นไง นี่มันสงบของมัน มันจะรุนแรงขนาดไหน มันก็รุนแรงด้วยความสงบ มันจะสงบเสงี่ยมขนาดไหน มันก็สงบเสงี่ยมด้วยความสงบของมัน นั้นคือภาษากายที่มันมีจุดยืนของมัน ภาษากายกับภาษาจิตใจที่มันตรงกัน

แต่ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยู่ในใจนะ แสดงออกภาษากายนี้มันสะดุด มันสะดุดให้เห็นว่ามันไม่เป็นธรรมชาติ มันเป็นภาษากายแสดงออกว่าสิ่งนั้นมันเป็นอกุศล

แต่ถ้าภาษากายที่มันเป็นกุศล มันร่มเย็นเป็นสุขของมัน สิ่งนั้นมันแสดงออกมาจากอะไร ? แสดงออกมาจากหัวใจที่มันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน

ฉะนั้นหัวใจของเรา เราเป็นพระ เราพยายามต้องมีสติ เราไม่ตื่นเงานะ สิ่งนี้เป็นเงา เป็นอาการ ไม่ใช่ตัวจริง

ถ้าคำว่าตัวจริงเห็นไหม เราบวชเป็นพระนี่ เป็นพระจริงไหม ? จริงตามสมมุตินะ เราเป็นพระ บวชมานี้ อุปัชฌาย์ได้ญัตติจตุตถกรรมขึ้นมาเป็นพระแล้ว นี่เป็นพระแต่มันเป็นสมมุติ

นี่เหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดมันเป็นอาการของใจ มันเป็นเงา แต่เป็นความจริง มันจริงตามสมมุติไง มันจริงเพราะมันมีความรู้สึกนึกคิด มันจริงเพราะมันแผดเผาเรา มันจริงเพราะมันมีอารมณ์น่ะ มันจริงเพราะมันทุกข์มันยากน่ะ นี่จริงตามสมมุติ

แล้วถ้ามีสติปัญญาล่ะ ? สมมุติบัญญัติ บัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แล้วก็จิต นี่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราจะรู้ตัวของเรา ถ้าเรารู้ตัวของเรามันจะเข้าสู่ความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบได้ มันไปออกเห็นสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม

สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม จิตมันออกทำงานของมัน ถ้าจิตมันสงบแล้วมันจะออกทำงานของมัน มันเป็นประโยชน์แล้ว ประโยชน์เพราะอะไร ? เพราะสิ่งๆ นี้ งานของใจเกิดขึ้นแล้ว เห็นไหม กรรมกรเขายังอาบเหงื่อต่างน้ำ เขาทำหน้าที่เป็นอาชีพของเขา ผู้ที่บริหารจัดการ เขาบริหารจัดการด้วยสมองของเขา

เราจัดการด้วยภาวนามยปัญญา มันเป็นปัญญาของจิต ไม่ใช่เป็นปัญญาของโลก ปัญญาของโลกเข้าสู่ธรรมไม่ได้ ปัญญาของโลก ดูสิ การศึกษา การใช้ปัญญา ปัญญาอย่างนั้นมันก็เป็นปัญญาเพื่อสอบเอาวุฒิ เอาวุฒิไว้ทำไม ? เอาไว้ค้ำคอไง เอาวุฒิไว้ค้ำคอ

แต่เราปฏิบัติขึ้นมา เราเอาความรู้จริงเพื่อสงบกิเลสไง เราไม่ตื่นเงา เราไม่ไปกับเงา ให้เงามันชักนำเราไป เราจะมีสติปัญญา เราจะทำกิเลสในหัวใจของเราให้มันสงบยุบยอบลงให้ได้ ถ้ามันสงบยุบยอบ นี่จิตใจมันจะไม่อับเฉาเศร้าหงอยอยู่ในหัวใจ จิตใจมันรื่นเริงอาจหาญนะ ด้วยว่าจะอยู่ในสภาวะแบบใด นี่สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลก ไม่ตื่นเงาเลย

โลกเห็นไหม เป็นอนิจจัง วัดไหนก็แล้วแต่มันเจริญแล้วเดี๋ยวมันก็เสื่อมสภาพไป ไม่มีวัดไหนเจริญแล้วเจริญอยู่ตลอดไป แล้วก็ไม่มีวัดไหนที่เศร้าสร้อย ดูสิ วัดร้างนี่ พระเราไปอยู่ขึ้นมา ไปฟื้นฟูขึ้นมาเห็นไหม

วัดถึงยุคถึงคราวถึงต่างๆ แม้แต่ในวินัยนะ ดูสิ จำพรรษาอยู่ ห้ามเคลื่อนย้ายไปไหน ในสัตตาหกรณียะ ถ้าหมู่บ้านเขาย้ายไป ให้วัดนี้ย้ายตามเขาไปได้ นี่ไง วัดมันเป็นนิติบุคคล วัดเป็นสถานที่ ดูสิ ดูวิสุงคามสีมา นี่สวดถอน สวดยัด มันเป็นสมมุติที่ตั้งกันตามบัญญัติ ตามธรรมและวินัย สิ่งนี้มันเคลื่อนย้ายได้ โลกมีเสื่อมมีเจริญ

ความรู้สึกนึกคิดก็เหมือนกัน จิตใจเราก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจมีความเสื่อมมีความเจริญขึ้นมา เราจะมีสติปัญญาแค่ไหน จิตใจในปัจจุบันนี้เราจะต้องเอาตัวเราขึ้นมาให้ได้ เราต้องเอาความเจริญงอกงามขึ้นมาในหัวใจของเรา เราก็ไม่ตื่นไปกับมัน คนตื่นเงา คนตื่นกับโลก มันก็จะตื่นกันไปอยู่อย่างนั้น

แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ โลกเป็นโลก เราก็อยู่กับโลกนะ

ปลา ! ถ้าน้ำใหม่มามันก็สดชื่น ปลาเห็นไหม อาศัยน้ำใหม่ พอน้ำใหม่มามันจะวิ่งเข้าหาน้ำใหม่ทันที โดยธรรมชาติของปลา โดยสัญชาตญาณพวกนี้เขาจะรู้ของเขาได้ เวลาถึงคราวอพยพ คราวต่างๆ นี้เขาจะรู้ของเขา นี่โดยธรรมชาติของเขา สัญชาตญาณของเขา

โดยสัญชาตญาณของเขา ดูปลา เขาก็เกิดตาย เกิดตาย ทำไมมันเกิดมาเป็นปลาเล็กๆ น้อยๆ มันยังรู้จักว่าแหล่งน้ำอยู่ที่ไหน มันควรจะทำอย่างไร นี่ธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนั้น นี่คือผลของวัฏฏะ ผลของมัน

นี่เราบวชเป็นพระนะ นี่ผลของวัฏฏะ เราบวชเป็นพระเพราะเรามีสติปัญญาจริงๆ โอกาสอย่างนี้ โอกาสที่เราจะได้สถานะนี้มา ดูนะ ดูผลประโยชน์ของมันเห็นไหม เราไม่ต้องรับผลทางกฎหมาย ยกเว้นให้กับพระเพื่อที่จะได้ปฏิบัติ นี่สังคมยังเจริญอยู่นะ

ถ้าสังคมเสื่อมนะ เขาจะบอกว่า “พระนี้บวชทำไม ?” พระนี้ใช้ชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์เห็นไหม ต้องออกไปทำประโยชน์กับโลก ถึงคราวนั้นพระจะโดนบีบคั้นจากสังคมนะ นี่ปลากับน้ำ

แต่ตอนนี้น้ำมันใสสะอาด น้ำมันมีออกซิเจน น้ำมันมีคุณภาพสูง เราควรจะเร่งรีบของเรานะ ทำใจของเรา จนเป็นปลาที่เหนือน้ำ ปลาที่ไม่ต้องอยู่กับน้ำ อาศัยน้ำอยู่แต่ไม่อยู่กับน้ำนะ มันอยู่ที่ไหนมันก็อยู่ได้

แต่ปลาต้องอยู่กับน้ำ ถ้าปลาไม่มีน้ำ ปลาต้องอยู่ในศรัทธาของญาติโยมเขา สิ่งที่เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ศรัทธาในญาติโยมของเขา เขาเกื้อกูลตามปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าเรามีปัจจัยเครื่องอาศัยของเรา เรามีสติปัญญาของเรา มันแค่ดำรงนี้ เลี้ยงง่าย อยู่ง่าย สะดวกสบาย ทำสิ่งใดเพราะเราแสวงหาทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา แสวงหาความสงบสงัด แสวงหาสิ่งที่เขามีโอกาสให้เราได้ภาวนา ถ้าที่ไหนเขามีโอกาสให้เราได้ภาวนา เราอยากอยู่ที่นั่น

ถ้าที่ไหนเขาไม่มีโอกาสให้เราเห็นไหม เราบวชมาเป็นนกมีปีกกับหาง มีปีกมีหางคือมีอิสรภาพ ทำสิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับเรา นี่ประโยชน์กับเรานะ แต่ต้องเป็นประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่ประโยชน์แบบการตื่นเงา เพราะตื่นเงานี่มันคิดว่าเป็นประโยชน์ไง แล้วมันเป็นประโยชน์จริงหรือเปล่า

ถ้ามันเป็นประโยชน์จริงขึ้นมา มันต้องตั้งตัวของมันขึ้นมาได้ สิ่งที่เป็นประโยชน์จริง จิตใจเราต้องเข้มแข็งขึ้นมา จิตใจต้องมีหลักมีเกณฑ์ จิตใจต้องเป็นผู้ที่องอาจกล้าหาญกับหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามันองอาจกล้าหาญ มันมีประโยชน์กับเราขึ้นมาเห็นไหม มันพึ่งพาตัวเองได้

ถ้ามันพึ่งพาอาศัยตัวเองขึ้นมา มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา สิ่งนี้มันมาจากไหน ถ้าหัวใจเข้มแข็งนะ สรรพสิ่งจากภายนอกเห็นไหม เราอยู่กับเขา เราเกิดมาเป็นคน ดูสิ เวลาเป็นพระอรหันต์นะ จิตใจที่เป็นพระอรหันต์เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน

อย่างเช่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา จิตใจนั้นเป็นธรรมธาตุ จิตใจพ้นจากสมมุติ สมมุติไม่มีเลย สมมุติต่างๆ ในหัวใจไม่มีเลย แต่เวลาจะสื่อสารขึ้นมามันก็ต้องอาศัยสมมุติคุยกัน นี่จิตใจคนที่พ้นแล้ว ชีวิตคนที่เหลืออยู่ สอุปาทิเสสนิพพาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นอยู่ ๖ ปี พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่ อีก ๔๕ ปีที่เหลือ จิตใจนี้พ้นจากสมมุติ พ้นจากโลกทั้งหมดเลย แต่อยู่กับโลก นี่สิ่งนี้อยู่กับโลกด้วยประโยชน์กับโลก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนามาเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ปรารถนามาเป็นสยัมภู ตรัสรู้เองโดยชอบเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์

รื้อสัตว์ขนสัตว์นี้เล็งญาณสั่งสอน วางธรรมและวินัยๆ นี้มันเป็นความลึกซึ้ง มันเป็นยิ่งกว่ากระแสโลก ยิ่งกว่าความเห็นของโลก เพราะโลกสมัยนั้น นี่ลัทธิต่างๆ เห็นไหม เขามีศาสดาของเขาอยู่ ทางวิชาการของเขาๆ ก็มีของเขาอยู่ แต่ทางวิชาการมันศึกษากันโดยตรรกะ โดยปรัชญา ก็ศึกษากันวนอยู่ในโลกกันอยู่อย่างนั้น แต่เขาศึกษาแล้วมันเป็นความเจริญรุ่งเรืองของเขา มันเป็นความเจริญรุ่งเรืองของตรรกะ ปรัชญาที่โลกเขาเข้าใจกัน เขารู้กันได้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเห็นไหม นี่โลกธาตุหวั่นไหว เวลาเทศน์ธรรมจักรขึ้นมา เทวดาส่งข่าวกันเป็นชั้นๆ ขึ้นไป มันเป็นเรื่องของตรรกะที่เป็นเรื่องของความเข้าใจของโลกไหมล่ะ ? มันเป็นความเข้าใจของวัฏฏะ

โลกเห็นไหม กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันเป็นการกระเทือนไป ๓ โลกธาตุ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เทวดา อินทร์ พรหม ยังต้องการสิ่งนี้เลย แล้วเวลาเทศนาว่าการไป เวลาเผยแผ่ธรรมออกไปเห็นไหม ที่ว่าในปรัชญาทางโลกเขาๆ ก็ต่อต้าน

ดูสิ ด้วยตรรกะปรัชญาใช่ไหม พระเจ้าหลายองค์ พระเจ้าองค์เดียวต่างๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย พระเจ้าไม่มี สรรพสิ่งต่างๆ ไม่มี ความดีความชั่ว คนเราไม่ได้เกิดมาเพราะชาติตระกูล คนไม่ได้เกิดมาเป็นคนดีเพราะการเกิด คนไม่ได้เกิดมาชั่วเพราะการเกิด เกิดมาชั่วเพราะเป็นคนทุกข์คนจน ไม่มี !

คนเกิดก็คือการเกิด สิ่งต่างๆ ที่ทำเกิดขึ้นมาเห็นไหม นี่มันจะไม่ตื่นเงาไปไง ปรัชญา เรื่องโลก วัฏฏะ มันเป็นเรื่องเงาทั้งนั้น มันเป็นผลของวัฏฏะทั้งนั้น แต่สัจธรรมความจริง ความทรงตัวของมัน มันมีหลักเกณฑ์ของมัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้ววางธรรมและวินัยเอาไว้ เวลาเผยแผ่ไปมันมีการโต้แย้ง มันมีการขัดแย้งกับโลกเขาทั้งนั้น โลกเขาขัดแย้งมาตลอดเห็นไหม แล้วจิตใจเราเป็นอย่างนั้นไหม ? สิ่งที่เป็นในปัจจุบันนี้ ที่มันขัดแย้งกันอยู่นี้เพราะว่ากิเลสในหัวใจเรามันโต้แย้ง นี่ธรรมะต้องเป็นอย่างนั้น เราไปให้คะแนนเอง เราไปตัดคะแนนเอง เพราะเราเข้าใจของเราเองใช่ไหม ? เราเข้าใจของเราเองว่านิพพานจะเป็นอย่างนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบเป็นนิพพานจริง แล้ววางธรรมและวินัยไว้ เวลาเราศึกษาขึ้นมาเราก็ตัดคะแนนในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่ง ถ้าสมความพอใจของตัว ตรงกับความพอใจของตัวก็ว่าอันนี้ถูกต้อง

ถ้าไม่ตรงกับความพอใจของตัวก็บอกว่าสิ่งนี้แต่งเติมเข้ามา สิ่งนี้มีมาทีหลัง เราก็ให้คะแนนในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าอันหนึ่ง แล้วเวลาปฏิบัติไปเราก็มาให้คะแนนตัวเอง ตัดคะแนนตัวเองในการปฏิบัติของตัว สิ่งนี้ถูกต้อง สิ่งนี้ไม่ถูกต้อง เราก็ตัดคะแนน นี่เงาทั้งนั้นเลย เราไปตื่นมันเลยไม่เป็นความจริงไง

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าสงบมันก็ต้องรู้ว่าสงบ ถ้าไม่สงบมันฟุ้งซ่านอย่างไรก็รู้ว่าเป็นความฟุ้งซ่าน เวลาฟุ้งซ่านขึ้นมา ถ้าฟุ้งซ่านจนเป็นบ้าขึ้นมา มันพอใจขึ้นมาก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมขึ้นมาอีกแล้ว นี่ไง มันไม่เป็นความจริงหรอก

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา นี่ไม่ตื่นเงา ตั้งสติไว้ ปัญญาอบรมสมาธิหรือสมาธิอบรมปัญญา มันจะเข้ามาสู่ความสงบ ถ้ามันสงบแล้วจิตใจออกวิปัสสนา ออกทำงานนี่รู้ได้เลยว่าคนทำงานเป็นกับทำงานไม่เป็น

คนตาบอดแล้วมันเป็นนายท้ายเรือ มันว่ามันไปทางที่ถูกต้อง แต่คนตาดีเป็นนายท้ายเรือเห็นไหม เขาจะรู้เลยว่าสิ่งกีดขวางมันอยู่ที่ไหน หินโสโครกเป็นอย่างไร จะเข้าเทียบท่าอย่างไร เพราะเขาเป็นคนตาดี

คนตาบอดจะอาศัยความชำนาญของตัวเข้าเทียบท่า อาศัยความชำนาญของตัวไปตามแม่น้ำลำคลอง แล้วมันเกิดฝนฟ้าคะนองขึ้นมา เราจะคาดการณ์ได้อย่างไร เพราะมันตาบอด นี่ไง คนตื่นเงา คนตาบอดเป็นคนตื่นเงา มีแต่จินตนาการ ไม่มีความจริงมาในหัวใจเลย

แต่ถ้าเป็นคนตาดีล่ะ ? ถ้าคนตาดีเขามีสติปัญญาของเขา เขาใคร่ครวญ สามารถพาเรือของเขาเข้าสู่ฝั่งได้ด้วยความปลอดภัย

นี่จิตใจของคน ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราจะตื่นเงา ตื่นความคิดของเราไหม เราจะเอาความจริงหรือจะเอาแต่จินตนาการ

ตั้งสติแล้วถามตัวเองนะ เรามีอำนาจวาสนามาก คนเกิดเป็นมนุษย์ก็มีวาสนาอยู่แล้ว นี้บวชเป็นพระ ทุกข์ยากไหม ? ทุกข์ โลกเขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์

ยิ่งภาวนานะ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา งานอันละเอียดมันทุกข์กว่าเขา งานบังคับใจเราให้นิ่งๆ บังคับใจเราให้สงบให้ได้ แล้วบังคับใจให้ออกใช้ปัญญาเพื่อรื้อภพรื้อชาติ ให้จิตใจนี้พ้นจากกิเลสไป เราต้องตั้งของเรา เราเกิดมามีวาสนา เราจะทำงานเพื่อเรา

โลกเขาทำงานเพื่อเป็นสาธารณะ ทำงานเพื่อเป็นอามิส จิตใจทำบุญกุศลก็เกิดไปในวัฏฏะ จิตใจทำบาปอกุศลก็เกิดในวัฏฏะ แต่ลงนรกอเวจีไป นี่เขาก็ทำงานของเขา โดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว มันให้ผล ให้ค่าเท่ากัน

แต่เรามีสติ มีปัญญาเห็นไหม เราบวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะเอาความจริงของเราขึ้นมา เราจะไม่ตื่นเงา ตื่นเงาคือตื่นความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เอวัง