ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

มายาคติ

๓๑ ม.ค. ๒๕๕๓

 

มายาคติ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

เราบอกว่าถ้าเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมก็จะมีเหตุมีผล สิ่งที่ไม่เป็นธรรมเป็นมายาคติ มันเป็นมายาคติเป็นความเห็นของเขาเอง สังเกตได้ไหม เวลาพระที่ออกมาจะมีชื่อเสียงจะบอกเลยว่าหลวงตารับประกันทั้งนั้น เป็นลูกศิษย์หลวงตา หลวงตารับประกัน ทำไมเอาท่านมาอ้างล่ะ เนี่ยมีคนมาถามบ่อยว่าที่นี่เป็นลูกศิษย์ใคร เราบอกว่ายูต้องไปถามอาจารย์รับเราเป็นลูกศิษย์หรือเปล่า ไม่ใช่เราจะอ้างว่าเราเป็นลูกศิษย์ใคร

อย่างเช่นเราเป็นชาวพุทธนี่ เราจะบอกเลยว่าเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ถูกต้องไหม ถูกต้อง เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เราเป็นสาวกสาวกะ เวลาครูบาอาจารย์องค์ไหนเป็นบุคคลสาธารณะเราก็นับถือใครก็ได้ทั้งนั้น แต่นับถือท่านแล้วทำให้มันสมกับความนับถือนั้นหรือเปล่า เวลาเราต้องการประโยชน์ เราจะก็อ้างไปทั่วไปหมด ทุกคนจะอ้างเวลาจะไปไหนก็แล้วแต่ ก็บอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงตา ลูกศิษย์หลวงตาทั้งนั้น

เอาหลวงตานี่เป็นแบ็คก่อน อ้างว่าหลวงตาให้ออกมาเทศน์ หลวงตาให้ออกมาช่วยเหลือประชาชน หลวงตาทั้งนั้นเลย เวลาจะเอาท่านมาหาประโยชน์ นี้พอท่านมาหาประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์มันก็เป็นสิ่งที่ดี ครูบาอาจารย์ท่านเหมือนเราพ่อแม่น่ะ พ่อแม่มีลูก ลูกเราหรือเปล่า ก็ลูกเรา ลูกเราทำดีคือลูกเราใช่ไหม ถ้าลูกเราทำไม่ดี มันก็กระเทือนถึงพ่อแม่เหมือนกัน แล้วถ้าลูกเรามันเป็นลูกเราโดยข้อเท็จจริงอยู่แล้ว

นี่ก็เหมือนกันเราเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ ถ้าเรานับถือองค์ใด เราก็เป็นลูกศิษย์ของท่านโดยความเคารพบูชา มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว นี้ถ้าเราบอกว่าเราเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์แล้ว เราก็จะควรทำอะไรก็ได้ ที่มันไม่ไปสะเทือนถึงครูบาอาจารย์เราใช่ไหม สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เราก็จะเชิดชูครูบาอาจารย์ของเรา คือจิตใจเราเคารพบูชาทำแต่คุณงามความดี

เวลาเรานึกถึงเห็นไหม เราระลึกถึงคุณงามความดี เราทำความดีเพื่อพ่อแม่ของเรา นี้ถ้าทำความดีเพื่อครูบาอาจารย์ มันก็จบใช่ไหม ถ้าเป็นความดีจริง แต่ถ้ามันเป็นความไม่ดีจริงล่ะ มันเป็นมายาภาพเห็นไหม เป็นมายาภาพบอกไว้เลยบอกว่า เนี่ย ถ้าเขาไม่ออกมาเผยแผ่ธรรมอย่างนี้ หลวงตาจะไม่ดังอย่างนี้หรอก หลวงตาดังก็เพราะว่าการดูจิตของเขา เขามาเผยแผ่การดูจิต ทำให้คนมาปฏิบัติมากขึ้น คนรู้จักหลวงตามากขึ้น หลวงตานี่มีคนรู้จักเฉพาะแค่ผ้าป่าช่วยชาติ แค่เรี่ยไรทอง

เขามองแค่นี้จริงๆ นะ เขาบอกว่าที่เขารู้จักหลวงตา ก็หลวงตาออกมาช่วยชาติ หลวงตาออกมาหาทอง ก็คนรู้จักก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่เพราะเขาเผยแผ่ธรรมะ คนก็รู้จักหลวงตามากขึ้น คำพูดอย่างนี้ฟังดูมันรื่นหูนะ เพราะเหมือนเป็นการส่งเสริมกัน แต่ถ้ามองมุมกลับนะ คำพูดนี้คือเอาหลวงตามาเป็นแบ็ค เอาหลวงตามาเพราะอะไร เพราะตัวเองกำลังมีการตรวจสอบมีการเพลี่ยงพล้ำใช่ไหม ก็ต้องว่าตัวเองทำประโยชน์ คือจะเอาหลวงตามาเป็นยันต์กันผี เอาหลวงตามาอ้าง มาบังหน้า

เวลาจะออกมาก็เอาหลวงตามาอ้าง เวลาว่าหลวงตาท่านสอนพุทโธ พุทโธ หลวงตาไม่เคยบอกให้สอนดูจิตเลย ทำไมเวลาขัดแย้งทำไมไม่พูดบ้างล่ะ แต่เวลาอย่างนี้บอกเพราะหลวงตาจะมีชื่อเสียงขึ้นมา เพราะคนรู้จักหลวงตาขึ้นมา เพราะว่าการกระทำของเขา ไอ้นี่คือมายาคตินะ มายาคติคือเห็นแก่ตัว ตัวเองทำอะไรไม่เคยผิดพลาดเลย ตัวเองทำอะไรดีไปหมด

แต่เวลาทำขึ้นมาทุกอย่างว่าตัวเองเห็นชอบเห็นดีงามแล้ว สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ เป็นธรรมเป็นประโยชน์ มันเป็นเรื่องความนึกคิดเอาเอง แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงนะ คนลงใจ ดูสิเห็นไหมพระพุทธเจ้าบอกไว้นะ ภิกษุถึงจะอยู่ไกลเราขนาดไหน ปฏิบัติเหมือนเรา ทำเหมือนเรา เหมือนอยู่ใกล้เรา ภิกษุจับชายจีวรของเราไว้ ไม่ปฏิบัติตามเรา จับชายจีวรเหมือนอยู่ติดกันอยู่ใกล้กันเลย แต่ไม่ปฏิบัติตามเรานั่นถือว่าอยู่ห่างไกลกับเรา นี้พูดถึงพระพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมะเลยนะ

แล้วนี่บอกว่าตัวเองทำเพื่อครูบาอารย์ ตัวทำอย่างนี้เสร็จแล้วครูบาอาจารย์จะมีชื่อเสียงขึ้นมา ครูบาอาจารย์ โธ่ เขาไม่ได้มองถึงสัจธรรมนะ เขาไม่มองถึงสัจธรรมว่าที่เขาเคารพครูบาอาจารย์ของเราเนี่ย ครูบาอาจารย์ท่านทำมา หลวงตาอายุเท่าไรแล้ว หลวงตาอายุเกือบร้อยแล้ว แล้วท่านจะมาหวังอะไรกับความรู้จักเห็นไหม

หลวงตาพูดประจำนะ เราเบื่อมาก คนเนี่ย เราเบื่อมาก แต่เราเห็นแก่หัวใจของคน ที่เราอยู่นี่อยู่เพราะหัวใจของคน เพื่อประโยชน์ของหัวใจของคน ไม่ใช่ให้คนไปหาท่าน ถ้าอยู่เพราะหัวใจของคนก็ให้คนมันทำสมาธิ ให้มันปฏิบัติขึ้นมาสิ หัวใจของคนมันได้สัมผัสธรรมอันนั้น หลวงตาท่านอยู่เพราะเหตุนั้น หลวงตาท่านอยู่เพื่อเป็นหลักชัย

ใช่ ถ้าพูดถึงหลวงตาท่านพูดเองในหมู่กรรมฐาน ท่านเหมือนเป็นหลักให้พวกเราเป็นที่พึ่งอาศัย ถ้าที่พึ่งอาศัย เรามีเหตุ เราทำสิ่งใดถ้ามันมีอุปสรรค เอ้อ เราไปขอความช่วยเหลือท่านโดยท่านดูแลเรา อันนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่ไปทวงบุญทวงคุณนะ หลวงตาเนี่ยมีคนรู้จักมากก็เพราะว่ามีการเผยแผ่ธรรมของเขา ถ้าไม่มีการเผยแผ่ธรรม หลวงตาจะไม่ดังแบบนี้ จริงหรือวะ จริงหรือ มันไม่เป็นความจริงอย่างนั้นหรอก

หลวงตาท่านมีศักยภาพของท่าน ท่านไม่หวังความมีชื่อเสียงจากเอ็งไปเผยแผ่ธรรมแล้วให้คนมารู้จักท่านหรอก มันไม่มีหรอก แต่นี่คิดเอง มายาภาพ มายาคติ หลงตัวเองหลงว่าตัวเองทำคุณงามความดีแล้ว คนอื่นจะมาชี้ความผิดของตัวไม่ได้ ก็ตัวเองว่าคิดว่าตัวเองทำความดี ทำความดีเพื่อเชิดชูหลวงตา แล้วเชิดชูจริงหรือเปล่าล่ะ ถ้าเชิดชูจริงเวลาพูดถึงนะ เวลาสัจจะความจริงนะ หลวงตานะเวลาท่านแก้ในการประพฤติปฏิบัติน่ะ เอ้า ให้ถามมา ให้ถามมา แล้วให้บอกมา

นี่เหมือนกันเวลามีคนไปถามไปถามเรื่องปฏิบัติ แล้วตอบมาสิ เหตุผลมันอยู่ที่นี่ เหตุผลมันอยู่ที่ข้อเท็จจริง ไม่ใช่เหตุผลที่ว่าสิ่งที่ว่าทำเพื่อใคร ทำเพื่ออะไร ถ้าทำเพื่อใคร ทำเพื่ออะไร ทุกคนจะอ้างว่าเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรม ก็เผยแผ่ธรรมตามกิเลสของตัว เผยแผ่ธรรมตามความเห็นของตัว แล้วมันเป็นความจริงขึ้นมาไหมล่ะ มันไม่เป็นความจริงขึ้นมา

เพราะถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันต้องพูดที่นี่ ในเมื่อเราจะเผยแผ่ หลวงตาเห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านพูดเลยไหม องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ต่อหน้า สาธุ ก็ไม่ถามองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เอาแต่ความรู้ความจริงในใจของหลวงปู่มั่นมาสอนพวกเรา แล้วเวลาเทศนาว่าการเห็นไหม ใครคิดออกนอกเห็นไหม เวลาท่านพูดกับหลวงปู่ฝั้นน่ะ คอยจับขโมยให้ผมที เวลาผมเทศน์น่ะขโมยมันคิดเรื่องอื่น คอยจับขโมยให้ผมที เพราะผมเทศน์มันไม่ถนัด ถ้าผมไม่ได้เทศน์คือหลวงปู่มั่นไม่ได้เทศน์ ใครคิดอะไร ท่านดักหมดเลย อะไรควรไม่ควร อะไรทำดีไม่ดี

ทำไมหลวงปู่มั่นท่านไม่อ้างพระพุทธเจ้า พุทธพจน์ พุทธพจน์สักคำหนึ่งเลย ท่านเอาจิตของท่าน ท่านเอาความรู้ของท่านแล้วคอยจับขโมย ลูกศิษย์ของท่านใจมันเป็นขโมย มันขโมยคิด ขโมยคิดออกนอกลู่นอกทาง มันขโมยออกจากอริยสัจ มันไม่ทำงานอยู่ในอริยสัจ ท่านดักหน้า ท่านคอยติคอยเตือน นี่หลวงปู่มั่นท่านเอาความรู้จริงของท่านสอนลูกศิษย์ลูกหา

หลวงตาเวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านเอาความจริงของท่านสอนลูกศิษย์ลูกหา ท่านก็บอกท่านเรียนมาจนเป็นมหา ถ้าไม่ได้เรียนเป็นมหา ใครๆ เขาจะติเตียนเราว่าเราพูดแต่ภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติ เพราะเราก็เป็นมหาเหมือนกัน ในวงการปฏิบัติเขาถึงไม่กล้าติเตียนหลวงตา เพราะหลวงตาท่านก็มีการศึกษาของท่านมา ท่านศึกษาจนถึงขั้นเป็นมหา แต่เวลาท่านเทศน์ขึ้นมา ท่านบอกท่านไม่ได้เอาความรู้ในการเรียนเป็นมหามาเทศน์เลย ท่านเอาความจริงในหัวใจของท่านออกมาเทศน์

เอาความจริงใจของท่านออกมาเทศน์ เวลาท่านฝึกสอนขึ้นมา พระผู้ปฏิบัติขึ้นมา มันถึงมีความรู้จริงขึ้นมาตามความเท็จจริงในอริยสัจขึ้นมา ให้มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มีหลักมีเกณฑ์นี่ แล้วเวลาท่านเผยแผ่ธรรมของท่าน เวลาท่านปกครองดูแลพระกรรมฐาน ปกครองดูแลลูกศิษย์มา ใครบ้างจะต้องไปช่วยเหลือท่าน ใครบ้างเนี่ยที่บอกว่าเพราะมีลูกศิษย์ขึ้นมาจะทำให้หลวงตามีชื่อเสียง ใครๆๆ พูดอย่างนั้น ไม่เห็นมีเลย

แล้วนี่มันมาจากไหน มันมาจากไหน มันบอกว่าที่หลวงตาดังขึ้นมา หลวงตามีคนรู้จักขึ้นมาก็เพราะว่าเขา เขาเป็นคนเผยแผ่ธรรมขึ้นมา คนเลยรู้จักหลวงตามากขึ้น มีเอ็งหรือไม่มีเอ็ง หลวงตาท่านก็อายุเกือบร้อยแล้ว พระลูกศิษย์ลูกหาคนที่เคารพบูชาหลวงตามหาศาล แล้วเวลาหลวงตาท่านใช้ความจริงเป็นความจริงของท่านเพื่อสัจธรรม เพื่อความเป็นจริงของท่าน

แล้วเอ็งว่าพวกเอ็งเผยแผ่ธรรม เอ็งก็เอาความจริงของเอ็งออกมาพิสูจน์สิ เอาความจริงในใจออกมาพิสูจน์ ไม่ใช่ว่าคำก็พุทธพจน์ สองคำก็พุทธพจน์ อ้างพระพุทธเจ้าบังหน้า หลวงตาบอกเอาเป็นฉากบังหน้าไว้ ข้างหลังเปิดแผลกันไป ข้างหลังทำแต่ผลประโยชน์ ใครหว่านไถหาผลประโยชน์ขึ้นมา เอาพระพุทธเจ้าบังหน้าไว้ หลังฉากพระพุทธเจ้าคืออะไร คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

แต่เวลาหลวงตานะ ท่านไม่อ้างพระพุทธเจ้าเลย หลวงปู่มั่นท่านก็ไม่อ้างพระพุทธเจ้าเลย ทั้งๆ ที่ว่าท่านพูดเอง หลวงตาท่านพูดเองอยู่ที่ดอยธรรมเจดีย์ เวลาจิตมันรวมลงกิเลสมันขาด พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมลงหนึ่งอยู่ที่ใจ พระพุทธเจ้ารู้อย่างนี้ พระพุทธเจ้ารู้อย่างนี้ พระสาวกเขารู้อย่างนี้ แล้วท่านก็รู้อย่างนี้ เนี่ยทั้งๆ ที่เห็นธรรมพระตถาคต ใจของท่านเป็นพุทธะเต็มหัวใจเลย แล้วท่านอ้างพระพุทธเจ้าบ้างหรือเปล่าล่ะ

ท่านเอาแต่ความจริงในหัวใจของท่านออกมาเผยแผ่ธรรม ออกมาเพื่อประโยชน์กับโลก แล้วคิดว่าตัวเองทำไมไม่เอาความจริงของตัวเองออกมา เพื่อออกมาแก้ไขเพื่อความบกพร่องของตัวล่ะ ทำไมบอกว่าเอาแต่ครูบาอาจารย์มาบังหน้าไว้ เอาสิ่งต่างๆ มาบังหน้าไว้ สร้างบุญคุณไง สร้างบุญคุณพระพุทธเจ้า นี่เขามาพูดอยู่ ทางฝ่ายที่เขาไม่เห็นด้วย เขาบอกว่าทำไมหลวงตาไม่ออกมาตัดสินเรื่องอย่างนี้ ไม่ตัดสินเรื่องอย่างนี้ มันจะตัดสินได้ยังไง หลวงตาบอกขี้ ขี้มันเหม็นอย่าไปเขี่ยมัน ยิ่งเขี่ยยิ่งเหม็น

ความที่ไม่เป็นธรรม ถ้าเรายิ่งไปคุ้ยเขี่ยนะ มันยิ่งทำให้สังคมเขาสนใจขึ้นมาจากคนที่ไม่มีใครสนใจ คนก็สนใจขึ้นมา แล้วเอาขี้ไปเทียบกับทองคำได้ยังไง พอบอกขี้มันเหม็น พอบอกคุ้ยขึ้นมาขี้มันก็เหม็นใช่ไหม พอเหม็นตอนนี้ก็มีกลิ่นเหม็นอยู่ เอ็งชำระความเหม็นคราบไคลขี้ออกจากตัวเอง ไม่ใช่ว่าขี้ของเอ็งแล้วจะไปป้ายหลวงตาด้วย บอกว่าเพราะเขาเผยแผ่ธรรมจนมีคนรู้จักหลวงตามากขึ้น

อันนี้มันจะเอาหลวงตามาเป็นโล่ มาเป็นการที่ว่าความเห็นอันเดียวกันไง ความเห็นของตัวผิดใช่ไหม ความเห็นของตัว การสอนของตัว คำสอนของตัว มันขัดแย้งกับข้อเท็จจริงใช่ไหม เราจะอธิบายความจริงนั้นออกมาให้โลกเขาเข้าใจไม่ได้ใช่ไหม เพราะโลกเข้าใจไม่ได้

แต่หลวงตาท่านเป็นความจริงของท่าน ตั้งแต่หลวงปู่มั่นลงมา ตั้งแต่หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหม หลวงปู่แหวน ท่านมีความจริงของท่านมา ท่านไม่เคยอ้างใครเลย ท่านเอาสัจจะความจริงของท่าน แล้วเป็นหลักชัยในศาสนา ให้พวกเรามีที่พึ่งอาศัย พวกเราได้กราบไหว้บูชากัน แล้วเราประพฤติปฏิบัติกันเห็นไหม ท่านอ้างใคร เนี่ยท่านอ้างใคร แล้วท่านเป็นหลักเป็นชัยของเรา ท่านอ้างใคร ท่านไม่ได้อ้างใคร

ตัวเองกระทำขึ้นมา อย่าดึงฟ้าต่ำ! อย่ามาอวดอ้างว่าการเผยแผ่ธรรมของพวกเอ็ง ทำให้หลวงตามีชื่อเสียงขึ้นมา ท่านมีชื่อเสียงมาตั้งแต่เอ็งยังไม่บวช เอ็งยังไม่บวชชื่อเสียงท่านก็คับจักรวาลคับโลกนี้แล้ว เอ็งอาศัยชื่อเสียงของท่าน หลวงตารับประกัน หลวงตาเห็นด้วย ในการปฏิบัติเนี่ยหลวงตาเห็นด้วย แล้วไปกราบหลวงตาแล้ว หลวงตาท่านว่าถูกต้อง ก็อาศัยหลวงตาเป็นแบ็คนั่นน่ะ เหยียบขึ้นมาน่ะ จนมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วพอมีชื่อเสียงขึ้นมา ชื่อเสียงที่เป็นขี้เหม็นคลุ้งเนี่ย แล้วจะกลับไปบอกว่าทำเพื่อหลวงตาได้ยังไง

ถ้าเป็นมันจริงก็เอาความจริงของตัวออกมาสิ ก็พูดออกไปตัวเองถูกหรือผิด เขาถามมาก็ตอบไปสิ สิ่งที่ทำมาเนี่ย สิ่งที่สอนดูจิตมันดูยังไง แล้วเผลอสติมันมาเอง มันมาอย่างไร แล้วปัญญาเกิดจากสภาวะจำ ถีรสัญญาที่มันจำขึ้นมาเป็นปัญญาเนี่ย มันเป็นยังไงก็พูดออกมาสิ ไม่ต้องบอกว่าทำเพื่อหลวงตา ทำเพื่อหลวงตา แล้วก็จะไปดึงลงมาเพื่อเป็นฉากบัง เป็นเอาตัวเองแอบแฝงไว้ข้างหลัง แล้วก็จะมาหาผลประโยชน์ของตัวเองต่อไป

ท่านไม่พูด เวลาใครจะยังไง แล้วพยายามจะดึงมา ดึงมาให้เห็นว่า เขาถามว่าเขาก็ลูกศิษย์หลวงตา พวกเราก็ศิษย์หลวงตา ลูกศิษย์ๆ หลวงตาก็เป็นเอกภาพ แล้วมาขุดคุ้ยกันทำไม แน๊ะ! โอ้ยในเว็บไซต์ โห คนมาเล่าให้ฟังเยอะ คนนู้นว่าเขาพยายามออกมาแฉลบไปเรื่อย แฉลบไปเรื่อย แฉลบไปจนแบบว่า...

ประเด็นมันอยู่ที่ว่าสอนผิดสอนถูก แต่เขาไม่พูดเรื่องผิดเรื่องถูกนะ เขาคิดแต่ว่าคนอื่นรับรอง คนอื่นรับรอง เขาจะบอกว่าหลวงตาก็รับรอง ใครก็รับรอง แล้วรับรองจริงหรือเปล่า แต่เวลาถูกผิด เวลาถามถึงปัญหาขึ้นมาไม่พูด แต่เวลาพูดย้อนไปพระพุทธพจน์ พระพุทธพจน์มีอยู่แล้ว พุทธพจน์ส่วนพุทธพจน์

ดูสิเราจะทำอาหาร อาหารแต่ละชนิดส่วนผสมของอาหารมีมหาศาลไป ในแกงอันหนึ่ง อันแกงอันหนึ่งเขาบอกว่ามีกระชาย กระชายถูก มึงกินกระชายน่ะ มึงต้มกระชายให้กินวันยังค่ำเลย ในแกงก็มีกระชายใช่ไหม มีข่า มีตะไคร้ แต่มันตำครกขึ้นมาเป็นพริกแกงใช่ไหม มันต้องมีส่วนผสมหลากหลาย พริกแกงมันถึงจะเป็นพริกแกงขึ้นมาได้

แต่พระพุทธเจ้า พอพูดถึงพุทธพจน์พูดถึงประเด็นบางประเด็น เนี่ยในแกงก็มีแต่ข่ามีแต่ตะไคร้ แล้วมะเขือล่ะ แล้วเกลือล่ะ แล้วส่วนผสมที่มันมีกะทิล่ะ มันจะเป็นแกงขึ้นมาน่ะ ถ้าคนมีจริงคนทำได้จริงๆ ถ้ารู้จริงขึ้นมาเนี่ย เราเป็นคนหาเครื่องแกงมาเอง เราเป็นคนทำความสะอาดเอง เราเป็นคนซอย คนหั่นเอง เราเป็นคนตำของเราขึ้นมาเอง แล้วเราทำขึ้นมา ทำไมไม่บอกออกมาล่ะ พูดออกมาสิ ข้อเท็จจริงไม่พูด แต่อ้างหลวงตา แล้วยังอ้างบุญอ้างคุณ ทวงบุญทวงคุณ

เหมือนกับจะเอาประเด็นนี้มากลบเกลื่อนไง มากลบเกลื่อน มาบังหน้า ไอ้กลบเกลื่อนบังหน้านี่มัน ธรรมดานะมันก็แบบว่ามายาคติอยู่แล้ว เพราะเขาเห็นแก่ตัวเขาเอง มายาภาพอยู่แล้ว แต่มายาภาพเนี่ย เราไม่พูด มันก็กระเทือน มันออกไปในเว็บไซต์ตลอดไป ออกในเว็บไซต์เต็มไปหมดเลย เนี่ยหลวงตารับประกัน เวลาที่เขาพูดถึงว่าหลวงตา เขาก็พูดถึงว่า เขาบอกว่าหลวงตาก็รับรองทักษิณเห็นไหม

เวลาถ้าหลวงตาพูดอะไรขัดแย้งเขา เขาก็ทิ่มมาเลย เวลาเขาจะใช้หลวงตา เอาหลวงตามาเป็นพื้นฐาน เขาว่าเหมือนกัน แล้วสุดท้ายตอนนี้ที่เขาเผยแผ่ธรรมอยู่นี้ เขาเผยแผ่ธรรมเพื่อหลวงตามีชื่อเสียงขึ้นมา หลวงตาที่มีคนรู้จักก็เพราะแค่ออกมาช่วยชาติ แค่รับบริจาคทอง โอ้โฮ ไอ้ที่บริจาคทองเนี่ยนะมันปลายเหตุ หลวงตาท่านพูดออกมาเห็นไหม เวลาออกมาช่วยชาติน่ะ ท่านจะบอกเลยว่าคนที่เป็นผู้นำเป็นยังไง น่าไว้เนื้อเชื่อใจมากน้อยขนาดไหน

ท่านพูดถึงว่าท่านออกประพฤติปฏิบัติตั้งกี่ปี แล้วท่านชำระกิเลสของท่านเมื่อไหร่ สิ่งนั้นต่างหากคือคุณธรรมในหัวใจ ทำให้ประชาชนเขาเชื่อถือศรัทธา เพราะมีคุณธรรมอันนั้นทองคำมันถึงได้มา แต่เขาบอกว่าหลวงตามีคนรู้จักก็เพราะออกมาบริจาคทอง เพราะคนจิตใจมันต่ำ จิตใจมันไม่รู้จักว่าธรรมะมันคืออะไร ไม่รู้จักว่าคุณธรรม ศีลธรรม มันเป็นอย่างใด เห็นแต่ว่าเขารู้จักหลวงตาก็แค่บริจาคทอง

แล้วเขารู้จักเอ็งเพราะอะไรล่ะ หลวงตาบริจาคทอง แต่เอ็งอ้างหลวงตาเนี่ย เอ็งเลวอีกกี่ชั้นเนี่ย แล้วจะย้อนกลับมาว่าส่งเสริมท่านอีก มันเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัว เรื่องความเห็นแก่ตัว คนอื่นผิดหมด เราถูกอยู่คนเดียว แล้วพูดทำนองนี้ เขาก็ติเรามากจะว่าเขาด่าเรามากเลยล่ะว่า เราก็เห็นว่าคนอื่นผิดหมด เราถูกอยู่คนเดียว นั้นผิดถูก เราพูดนะ ถ้าเราพูดนะผิดถูกมันพูดลบล้างกันด้วยเหตุผลสิ เราก็บอกว่า เนี่ยเราบอกสีนี้สีดำ ถ้ากูบอดสีเอ็งเห็นเป็นสีอื่น เอ็งบอกมาว่าสีดำ จะได้ว่าเราเนี่ยตาบอดสี มองเห็นสีนี้ผิดแสดงว่าเราพูดผิด

ไอ้นี่เวลาบอกเป็นสีดำ เขาก็แก้สีดำเราไม่ได้สักทีหนึ่ง ก็คือมันสีดำวันยังค่ำ แล้วบอกว่าเรานี่เป็นคนแบบว่าเห็นคนอื่นผิดไปหมด ตัวเองถูกอยู่คนเดียว ก็มันสีดำจริงๆ เราก็บอกว่าเป็นสีดำ ถ้าวันไหนเขาพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่สีดำ เราจะบอกว่าเราผิด แล้วเราจะไปแก้ไขเราว่าเราจะไม่จับผิดคนอื่น เราจะจับผิดตัวเราเองบ้าง แต่เราก็เห็นเป็นสีดำก็บอกเป็นสีดำเห็นไหม เวลาเราพูดออกไปด้วยเหตุผลว่าสิ่งนั้นมันผิด มันผิดมันถูก มันผิดมันถูก เราก็พูดเหมือนว่านี่สีดำ นี่สีขาว เราพูดสีดำตามเฉดของสีมันเลย แล้วถ้าจะบอกว่าเราถูกหรือผิด ก็ต้องอธิบายมาว่าสีนี้มันแตกต่างยังไง มันเป็นยังไง เราเห็นผิดยังไง ถ้าพูดมาด้วยข้อเท็จจริง แล้วเราเห็นเป็นอย่างนั้นจริง เราจะแก้ไขตัวเราทันทีเลย

แต่นี่เวลาพูดไปแล้วสีดำก็สีดำจริงๆ มันแก้อะไรไม่ได้ แต่เวลาบอกเราพูดผิด พูดผิดคำว่าเราจะจับผิดคนอื่น หรือไม่จับผิดคนอื่น มันอยู่ที่ว่าเราพูดถูกหรือผิด ถ้าเราพูดผิดนั่นเราจับผิดคนอื่น ถ้าเราพูดถูก มันเป็นการจับผิดไหมล่ะ มันเป็นการบอกกล่าวว่าสิ่งนี้มันถูกหรือผิดนะ ถ้ามันถูกผิด สังคมเห็นไหม ดูสิ ถ้าในสังคมเราใช้เงินตราอยู่ เงินตราที่ใช้ในสังคมมันเงินตราถูกต้องตามกฎหมาย แล้วมีเงินตราสิ่งที่มันผิด มันเป็นเงินเทียม เงินปลอม เข้ามาในสังคมในท้องตลาดเนี่ย เราบอกอันนี้ผิด เราช่วยสังคมหรือเปล่า เราช่วยให้เครดิต ให้ความน่าเชื่อถือของเงินตรานั้นมันมีค่าไหม แล้วเราทำอย่างนี้เราผิดหรือเราถูกล่ะ นี่พูดถึงว่า อย่างว่านะดูหนังดูละครต้องย้อนดูตัว

จะบอกเขาติเตียน เขาหาแต่ผลประโยชน์ในครูบาอาจารย์ของเราทั้งๆ ที่เวลาเขาไป เขาโฉบไปเท่านั้นเอง แต่ที่มันรับไม่ได้ พอพูดบอกว่าหลวงตาดังขึ้นมาก็เพราะว่าเขา เขาเป็นคนออกมาเผยแผ่ พอเผยแผ่ขึ้นมาเนี่ยเขาก็รู้จักหลวงตามากขึ้น อันนี้รับไม่ได้แต่อย่างอื่นมาเพราะหลวงตาท่านรับอยู่แล้ว มีปัญหาขึ้นไปถึงท่านนะ ท่านจะบอกว่าเรื่องอะไรของเราทั้งๆ ที่ท่านรับผิดชอบอยู่แล้วนะ เรื่องอะไรของเรา ต่อหน้านะเหมือนพ่อแม่เลย พ่อแม่เลยต่อหน้าเวลาลูกมาฟ้องนะ ไม่เข้าข้างใคร

สุดท้ายแล้วพ่อแม่จะมาหาเหตุผลเองว่า ลูกเราคนไหนผิด หลวงตานะต่อหน้าไปพูดนะ ท่านบอกไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ท่านดูแลเราอยู่เพราะท่านดูแลเราแบบผู้ใหญ่ ท่านไม่ดูแลพวกเราแบบเด็กๆ ถ้าดูแลเราแบบเด็กๆ เราจะฟังทางโน้น ฟังทางนี้แล้วเด็กๆ มันจะงอแงไปตลอด แต่ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกเป็นนะ ลูกมานะก็รับฟังไว้แล้วเหตุผลผู้ใหญ่จะแก้ไขสิ่งนั้นได้ นี่เวลาไปถามท่านนะ ไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา เขาเกี่ยวข้องอะไรกับเรา หลวงตาจะถามอย่างนี้เลย แล้วเขาเกี่ยวข้องอะไรกับเรา ถึงดึงเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

แต่พูดถึงเวลาสังคมไทย เวลามันจะสะเทือนสิ่งใด เราอยู่ในสังคมไทยใช่ไหม เราอยู่ในประเทศไทย เราเป็นประชาชนชาวไทย มันก็สะเทือนกันไปหมด แต่เราจะแก้ไข ยังไง มันอยู่ที่คนมีวุฒิภาวะจะแก้ไขได้หรือแก้ไขไม่ได้ แล้วแก้ไขได้นะบางทีมันเป็นเรื่องของกรรม เป็นเรื่องของความสุดวิสัย คนๆ นั้นเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องหลบหลีกกันเอาเองเพื่อจะให้สังคมนี้ไม่กระเทือนกันจนเกินไป

ทีนี้สังคมเราจะไปแลกไม่ได้เราต้องรักษา นิ้วไหนร้ายนิ้วนั้นตัดทิ้ง รักษาสิ่งที่มันเป็นประโยชน์เอาไว้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ยังรักษาเป็นประโยชน์ได้ กรรมมันหนักหนา กรรมมันปิดหูปิดตาขนาดที่ว่าเขาไม่รับรู้สิ่งใดเลย ใครๆ เขาผิดไปหมด เขาถูกอยู่คนเดียว แล้วพอบอกถึงเวลาจนตรอกขึ้นมา ไม่ได้พูดอย่างนั้น ไม่เคยพูดอย่างนั้น มันนิสัยเป็นอย่างนี้มาตลอด ไม่เคยรับผิดชอบสิ่งใดๆ เลย แต่ถ้าเป็นคนมีศีลมีธรรมในทางเป็นจริงนะ เราพูดผิดเราก็รู้ว่าเราพูดผิดนะ แล้วเราพูดถูกเราก็รู้ว่าเราพูดถูก ถ้าผิดถูกเราก็แก้ไขไปตามผิดถูกนั้น สังคมมันก็ร่มเย็นเป็นสุข ไอ้นี่พูดอะไรก็แล้วแต่แล้วแต่ตัวเองคิดอะไรได้ก็พูดเหมือนตัวเองขาดสติ ถึงที่สุดแล้วเวลาจนตรอกขึ้นมา อ้างคนนี้ อ้างคนนี้มาบังไว้หมดเลย

 

ทีนี้พูดเนี่ยพูดเป็นมายาคติเป็นความเห็นผิดของเขา หลวงตาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าพูดอย่างนี้นะ เขาอาจว่าหลวงตาเรานี่ เห็นว่ามีพระขึ้นมาจะมีชื่อเสียงคงจะอิจฉา คงจะแบบว่าส่งไอ้เจ๊กบ้านี้มาขวางเขาสิ ไม่มีทาง ไม่มีทาง เราไม่เคยไปขวางใคร ถ้ามันเป็นความดีขึ้นมาเราจะสาธุเลย เราไม่เคยขวางใครนะ ถ้าขวางเราจะสร้างพระกันขึ้นมาทำไม โอย ถ้าเป็นคุณงามความดี สาธุนะ แต่นี้ดูสิเวลาปฏิบัติขึ้นไปเห็นไหม ดูแถลงการณ์เขาก็รู้ ปฏิบัติแล้วยิ่งอ่อนแอปฏิบัติแล้วยิ่งพึ่งตัวเองไม่ได้ ปฏิบัติขึ้นมาแล้วเหมือนนกโดนหักปีก ต้องคอยไปถามปัญหาอยู่ตลอดเวลา นี่หรือ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ นี่หรือที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทุกคนเข้มแข็งขึ้นมา

เนี่ยพวกเขาเองแถลงการณ์เขายังฟัดกันเองเลย นั่นก็เรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเราจริงๆ นี่ก็ไม่เรื่องของเรา เรื่องของเราคือเรื่องของตั้งแต่ครูบาอาจารย์ของเราลงมา พวกเราเคารพครูบาอาจารย์ด้วยหัวใจ เพราะเราเคารพครูบาอาจารย์ด้วยหัวใจ แล้วคนอื่นเขาจะเอาเป็นประโยชน์ใช่ไหม เหมือนยานี่ใครทุกคนใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น ธรรมของครูบาอาจารย์เรา ถ้าคนอื่นเอาไปเพื่อประโยชน์ของเขา เอาไปประพฤติปฏิบัติของเขา เขาได้เห็นบรรลุธรรมขึ้นมา เราก็สาธุ

แต่อย่าเนรคุณ อย่าย้อนกลับมาทำลาย ถ้าย้อนกลับมาทำลายน่ะ มันไม่ใช่เอาธรรมของครูบาอาจารย์เราเป็นประโยชน์ ธรรมเนี่ย ธรรมของพระพุทธเจ้าสงวนสิทธิกับใคร พระพุทธเจ้าพูดไว้เป็นประจำเห็นไหม ไม่มีกำมือในเรา พระพุทธเจ้าแบตลอดเลย ธรรมะพระพุทธเจ้าแบตลอด ให้ทุกคนได้ใช้ประโยชน์ทั้งหมดเลย แต่คนจะใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ได้ มันเป็นคนที่เข้าถึงหรือไม่ถึงต่างหากล่ะ พระพุทธเจ้าไม่มีกำมือในเรา พระพุทธเจ้าแบตลอด

ธรรมพระพุทธเจ้านี่เป็นสาธารณะ ทุกคนแสวงหาได้หมด ทุกคนทำได้หมดเลย นี้เวลาครูบาอาจารย์ของเราขึ้นมา ท่านก็ปรารถนาอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะท่านต้องปรารถนาความร่มเย็นเป็นสุข ให้สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข ท่านก็เผยแผ่ พยายามนะ ดูสิกองทัพธรรมเห็นไหม หลวงปู่สิงห์ หลวงปู่มหาปิ่น เข้ามาที่ขอนแก่นมาปราบผีน่ะ เมื่อก่อนคนเราทุกข์ยากมากนะ หาได้มาครึ่งหนึ่ง ได้ไก่มาตัวหนึ่งผ่าครึ่งเอาไว้กิน อีกครึ่งต้องไปเซ่นผี ก็เหมือนเราทำอาชีพนี่ ครึ่งหนึ่งต้องแบ่งไปเซ่นความเชื่อของเรา อีกครึ่งหนึ่งเรามาใช้ประโยชน์เห็นไหม

กองทัพธรรมตั้งแต่หลวงปู่มั่น แต่ให้หลวงปู่สิงห์กับพระมหาปิ่นเป็นหัวหน้า ตั้งแต่ขอนแก่นโคราชเนี่ย พวกเจ้าคณะผู้ว่าการมณฑลเห็นไหม พวกนายอำเภอเนี่ย เขาเอาเข้าไปเพื่อพยายามทำให้คน ทำให้ความเห็นของคนให้กลับมาเป็นชาวพุทธเห็นไหม ชาวพุทธเห็นไหมมีปัจจัยเครื่องอาศัยหามาได้เพื่อใช้ประโยชน์ส่วนตัว เพื่อทำบุญกุศล ให้มันเป็นสัจจะความจริง เนี่ยแก้ไขมาตลอด ครูบาอาจารย์ของเราแก้ไข สังคมไทยแก้ไขมา ใครทำอย่างนี้บ้างเป็นกองทัพธรรม กองทัพธรรม กองทัพธรรมก็เที่ยวแต่ไถเงินหลอกลวงเอาแต่เงินของคนอื่น

กองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น ท่านมาเนี่ย ท่านเปลี่ยนแนวความคิดของสังคม สังคมที่เขามีถือผีถือสาง ให้เขาเปลี่ยนแนวความคิดให้มาเป็นชาวพุทธ เนี่ยกองทัพธรรม!! ไม่ใช่กองทัพกิเลสที่จะมาตักตวงเอาแต่ผลประโยชน์ ไอ้นั่นมันกองทัพกิเลสแต่อ้างว่ากองทัพธรรม กองทัพธรรม กองทัพธรรมเป็นกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น หลวงปู่สิงห์ พระมหาปิ่น เนี่ยกองทัพธรรมที่ท่านมาฟื้นฟู ฟื้นฟูความเชื่อ ฟื้นฟูพุทธศาสนา ท่านทำของท่านมาตั้งแต่เอ็งยังไม่เกิด แล้วบอกจะมีชื่อเสียงก็เพราะดูจิตของพวกมึง มันเป็นไปไม่ได้หรอก!!

สิ่งที่ท่านทำมา ท่านวางแผนมาเป็นรากเป็นฐานของสังคมไทย แล้วเอ็งเกิดมาในสังคมไทย เอ็งเกิดมาในคราวที่ครูบาอาจารย์ท่านวางไว้ จนพระป่าท่านประพฤติปฏิบัติเป็นความเชื่อถือของสังคม เอ็งมาถึงเอ็งก็ตักตวงเอาผลประโยชน์ แล้วบอกกองทัพธรรม เผยแผ่ธรรม เผยแผ่กระเป๋ามึงน่ะเผยแผ่ธรรม แล้วมันทำอะไร มันทำไปแต่อย่าย้อนมากัด อย่าย้อนมาทำลาย ไอ้นี่มันย้อนมาทำลายครูบาอาจารย์ของเรานะ เพราะครูบาอาจารย์จะรู้จักได้เพราะความเผยแผ่ของเขา

แล้วสิ่งที่เอ็งออกมาเผยแผ่ เอ็งมาทำอยู่นี่ ครูบาอาจารย์กูไม่มีชื่อเสียงไม่มีใครรู้จักเลยหรือ หลวงตานี่ไม่มีใครรู้จักเลยหรือ หลวงตาท่านมั่นคงของท่านอยู่แล้ว แล้วท่านเบื่อหน่ายคนมาก ท่านบอกท่านหนีตาย หนีตาย ออกจากวัดก็หนีคนนี่แหละ หนีคนมาพักผ่อนอยู่เนี่ย ท่านต้องการให้เอ็งเอาคนไปประเคนท่านอีกหรือ มันไม่มีหรอก เพียงแต่เวลาเอามาพูดน่ะทวงบุญทวงคุณ เอาทวงบุญทวงสังคมแล้วก็บอกสังคมอย่ามาดูแลเขานะ อย่ามาตรวจสอบเขา

อย่ามาตรวจสอบเขา แล้วมันอย่างว่าก็ลูกศิษย์หลวงตาด้วยกัน เขาบอกเขาก็ลูกศิษย์หลวงตา พวกเราก็ศิษย์หลวงตาแล้วทำไมตรวจเช็คกันทำไม เขาว่า เนี่ยๆ มันพูดไปพูดแทงพูดทำลายเสร็จแล้วก็ยัง คือว่าเอาแต่ผลประโยชน์ตัวเอง เป็นมายาคติ เป็นมายาภาพ เขามาเล่าให้ฟังเยอะ แล้วเขาถามนะ เขาพูดอย่างนี้ เขาอยากให้หลวงตาออกมา พวกเด็กๆ ของเขาเนี่ยเขามาถามเราว่า เนี่ยพวกเราเห็นแก่สังคม แล้วหลวงตาทำให้สังคม ทำไมหลวงตาไม่ออกมาช่วยล่ะ ขี้น่ะ

หลวงตาเรามันเหนือฟ้า มันลอยอยู่บนสวรรค์น่ะไม่ลงมาคลุกขี้ เหมือนเทวดากับไอ้ขี้ในส้วมน่ะ ไอ้ตัวหนอนในส้วมเห็นไหม ท่านไม่ลงมาคลุกขี้หรอก ท่านมีสติ มีปัญญาของท่านสมบูรณ์มาก เพียงแต่ว่าพวกเราทำอะไรน่ะ มันทำเกินกว่าเหตุ ทำเกินกว่าเหตุแล้วจะมา...ออกเว็บไซต์นะอยู่ในสังคมของเขา วันนี้ขอพูดแทนเพราะหลวงตาท่านไม่พูดอะไรหรอก แล้วพวกนั้นมันก็หาแต่ผลประโยชน์เหยียบย่ำกันไป

วันนี้พูดแทนนะด้วยความลบล้างมายาคติของเขา เป็นมายาคติตัวเองหลงตัวเอง ตัวเองหาผลประโยชน์ตัวเอง ตัวเองหาผลประโยชน์โดยอ้างธรรมะ แล้วถึงเวลาสะดุดขาตัวเองล้มลง ไปโทษหลวงตา ตัวเองนะอ้างธรรมะนะว่าเป็นธรรม เผยแผ่ธรรม แล้วสะดุดขาตัวเอง ใครไปทำน่ะ โทษเขาไปทั่ว เป็นมนต์ดำ เป็นนารีพิฆาต เป็นทุกอย่าง แต่ความจริงสะดุดขาตัวเองล้มนั่นนะ ถ้าสะดุดขาตัวเองล้มก็เอาความจริงขึ้นมา เอาความจริง ลุกขึ้นยืนแล้วเอาความจริงขึ้นมาเปิดเผยสิ อย่าดึงหลวงตาเราเข้าไปยุ่ง อย่าดึงหลวงตาลงมายุ่ง อย่าดึงพวกเราเข้าไปยุ่ง

ในเมื่อสังคมนั้นเขาทำกันขึ้นมา เพราะสังคมว่าเขาเผยแผ่ธรรม แล้วคนรู้จักเขามากขึ้นใช่ไหม เขาก็แก้ไขของเขาสิ ในเมื่อเขามีความสามารถเผยแผ่ธรรมจนคนจะไปรู้จักหลวงตามากขึ้นน่ะ เอ็งเก่งขนาดนั้นเอ็งก็ต้องแก้ไขเหตุการณ์ของเอ็งได้ ถ้าเอ็งแก้ไขเหตุการณ์ของเอ็งได้ เอ็งก็คงจะไม่อ้างว่าเอ็งทำเพื่อหลวงตาอีก ให้คนรู้จักหลวงตามากขึ้น ทำประโยชน์กับศาสนามากขึ้น ในเมื่อเอ็งทำประโยชน์กับศาสนา เอ็งเก่งมาก เอ็งก็แก้ไขเรื่องของเอ็งสิ เอ็งจะมาอ้างอิงถึงหลวงตาของเราทำไม

อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าดึงครูบาอาจารย์เราเข้าไปยุ่ง เอ็งสร้างเหตุสร้างปัญหากันขึ้นมา เอ็งก็ต้องแก้ไขปัญหาของเอ็ง อย่ามาเข้าใจผิดว่าพวกเราเข้าไปทำลาย ไม่มีหรอก พ่อแม่คนไหนบ้างไม่อยากให้ตระกูลเรามั่นคง สังคมไหนบ้างไม่อยากให้สังคมนั้นมั่นคง สังคมไหนก็ต้องการความมั่นคงทั้งนั้น แล้วต้องการความมั่นคง ที่มันมั่นคงตามความเป็นจริง ไม่ใช่มั่นคงแบบขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มั่นคงอย่างนั้นมั่นคงแก่ไอ้หัวหน้าที่พากระทำ แต่มันไม่มั่นคงจริงน่ะสิ

ฉะนั้นให้หยุด ให้แก้ไขกันเองในสังคมของเขา อย่าดึงครูบาอาจารย์ อย่าดึงพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าธรรมของพระพุทธเจ้าทุกคนมันรู้ได้ สิ่งที่รู้ได้ที่เขาทำอยู่นี่ ยืนอยู่บนความเป็นจริง เขาต้องการความจริง เขาคุยกันเรื่องความเป็นจริงเหมือนผู้ใหญ่เขาคุยกัน เด็กอย่าเข้ามาคุย เด็กมันเล่นประสาเด็ก เด็กเล่นประสาเด็กก็ให้เขาเล่นกันไป แต่ธรรมของพระพุทธเจ้าคือความเป็นจริง

แล้วครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม กองทัพธรรมของหลวงปู่มั่น ตั้งแต่ครูบาอาจารย์มันเป็นความจริงทั้งหมด เขาคุยกันเรื่องจริงๆ ปฏิบัติจริงๆ แล้วบรรลุมรรคผลจริงๆ ไม่ใช่ปฏิบัติเล่นๆ อย่างนั้น แล้วเวลาบรรลุก็บรรลุลงนรกอเวจี แล้วบรรลุอเวจี แล้วสะดุดขากันเอง ขัดแย้งกันเอง แล้วเวลามีปัญหากันเอง ทำไมเอาสังคม เอาคนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็ตัวเองทำกันเอง มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย หลวงตาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า พวกเราไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตัวเองทำกันเองก็แก้ไขกันเอง อย่าเอาพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เอวัง