เทศน์บนศาลา

เสียงธรรมหลวงตา

๑๙ มี.ค. ๒๕๕๔

 

เสียงธรรมหลวงตา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรม เสียงธรรมจากหลวงตานะ หลวงตาท่านวางรากฐานไว้ดีมาก เพราะท่านเกิดมาด้วยบุญด้วยกุศล ท่านสร้างบุญกุศลมา ท่านทำประโยชน์กับสังคมเยอะมาก แต่พวกเราจะทำต่อไปได้อย่างไร “เสียงธรรมของหลวงตาชัดเจน แหลมคม ตรงประเด็น” แต่พวกเราจะมีความสามารถเข้าถึงความรู้ที่เป็นจริงอันนั้นได้ไหม

ฉะนั้นเราจะต้องพยายามประพฤติปฏิบัติของเราเพื่อเข้าสู่ความจริงอันนั้น ถ้าเข้าสู่ความจริงอันนั้นได้มันถึงจะเข้าใจตามความเป็นจริง ถ้ายังเข้าถึงความจริงไม่ได้ วางสิ่งนี้ไว้ก่อนแล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติ อย่าเพิ่งตีความ อย่าเพิ่งสันนิษฐาน คำว่า “สันนิษฐาน” คือเดา อย่าเดา อย่าทำให้คุณธรรมนี้อ่อนด้อย กว่าจะได้สิ่งนี้มาไม่ใช่ของง่ายดาย

ชีวิตคนๆ หนึ่งได้สร้างบุญกุศลมามหาศาล เวลาประพฤติปฏิบัติถึงจะได้ผลตามความเป็นจริง เราก็ประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้ แต่ทำไมเราเข้าสู่ความจริงได้ยากเย็นแสนเข็ญนัก ความยากเย็นแสนเข็ญนี้เพราะว่าเราได้ทำบุญวาสนามามากน้อยเพียงใด ถ้าคนที่ทำบุญวาสนามามาก ความรู้สึก ความนึกคิด เชาว์ปัญญามันจะแหลมคม แต่คนที่สร้างบุญกุศลมาปานกลางก็ต้องพยายามกระเสือกกระสนเพื่อเข้าไปสู่ความจริงอันนั้น แล้วถ้าเราสร้างบุญกุศลมาด้วยการกระทำของเรา เวลาเราขาดสติหรือเวลาเราทำของเราขึ้นมาด้วยบุญญาธิการของเราได้ขนาดนี้ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วมันไม่ได้ผล ก็ต้องพยายามสู้! ฝืนทนเอาเพื่อให้ภพชาติสั้นเข้า เพื่อให้มีหลักมีเกณฑ์ของเรา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดที่สวนลุมพินีวัน เห็นไหม

“เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย”

ขณะที่ว่าเกิดมาเดินได้ ๗ ก้าวแล้วเปล่งวาจา ครั้งแรกที่เปล่งวาจา “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ขนาดที่ว่าเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เห็นไหม ก็ยังจะต้องดำรงชีวิตมา แม่ก็เสียไป อยู่กับแม่นมดูแลเลี้ยงมา เวลาเติบโตขึ้นมาก็ต้องมีวิชาการ มีการศึกษา ศึกษามาเพื่อสิ่งใด ศึกษามาเพื่อจะเป็นกษัตริย์ คนที่จะเป็นกษัตริย์จะต้องมีความรับผิดชอบสูงส่งขนาดไหน แต่ด้วยบุญญาธิการที่ได้สร้างบุญกุศลมา ขนาดพราหมณ์พยากรณ์อยู่แล้วว่าถ้าเป็นกษัตริย์จะได้เป็นจักรพรรดิ คือแว่นแคว้นในอินเดียสมัยนั้น เขาเป็นแว่นแคว้นเล็กๆ แต่ละแคว้น ท่านจะได้รวบรวมมาเป็นประเทศถ้าเป็นจักรพรรดิ แต่ถ้าได้ออกบวชก็จะเป็นศาสดา

ด้วยความผูกพัน ด้วยความเป็นเรื่องทางโลกใช่ไหม ในเมื่อพระเจ้าสุทโธทนะก็ต้องการให้เป็นปึกแผ่น ให้เป็นแว่นแคว้นที่มั่นคงขึ้นมา ก็พยายามให้มีการศึกษามา นี้คือด้วยชีวิตทางโลก แต่เวลาด้วยบุญญาธิการ เห็นไหม ออกบวชสถานเดียวเพื่อจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาออกบวชแล้วก็เข้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ๖ ปี

คำว่า “๖ ปี” ในลัทธิต่างๆ ขนาดว่าคนที่มีเชาว์ปัญญา เห็นไหม ที่ไหนมีศาสดา ที่ไหนมีหัวหน้า ที่ไหนมีผู้สอนในเรื่องการพ้นทุกข์ เพราะอาจารย์ต่างๆ ก็บอกว่าตัวเองมีความรู้ อาจารย์ต่างๆ ก็บอกว่า “เราเป็นพระอรหันต์” ทั้งนั้น ความเป็นพระอรหันต์ของเขาก็มีภูมิปัญญาของเขา เวลาไปเรียนกับอาฬารดาบส อาฬารดาบสสอนถึงสมาบัติ ๘ ก็ทำได้หมด

พอทำได้ เห็นไหม ศาสดาก็บอกแล้วว่า “เราก็มีความรู้เท่านี้ มีความรู้เท่าเรา เสมอเรา สั่งสอนได้ เป็นอาจารย์ได้” แต่เจ้าชายสิทธัตถะไม่เห็นด้วย ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีคนยกย่องสรรเสริญขนาดไหนท่านก็ไม่เห็นด้วย เพราะมันไม่เป็นความจริง

นี่ก็เหมือนกัน ในปัจจุบันนี้ถ้าเราปฏิบัติ คนที่ไม่เป็นความจริงมันจะต้องรู้ตัวเองว่าไม่เป็นความจริงหรอก เพราะเรามีกิเลส เรามีความลังเลสงสัย เรารู้จริงไม่ได้ เพราะมันยังมีอะไรในหัวใจ ถ้าเรารักชีวิตเรา เราจะต้องเกิดต้องตายไปนะ ในเมื่อยังไม่ได้ชำระกิเลส ยังไม่ได้ทำให้มันสะอาดบริสุทธิ์ มันก็เป็นไปไม่ได้หรอก เห็นไหม เจ้าชายสิทธัตถะทิ้งเลย ทิ้งมาแล้วออกแสวงหาเอง

พอออกค้นคว้าเองแสวงหาเอง คืนนั้นตัดสินใจแล้วว่า “ทำทุกขกิริยามาพอสมควรแล้ว ทีนี้เราจะมาค้นคว้าของเราเอง” พอดีนางสุชาดาจะถวายอาหารแก่เทวดาเพราะได้บนอธิษฐานไว้ ก็จะไปถวายอาหาร กะว่าจะไปเซ่นสรวงเทวดา ทีนี้พอไปเห็นเจ้าชายสิทธัตถะก็นึกว่าเป็นเทวดา ก็เลยถวายอาหาร พอเจ้าชายสิทธัตถะฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วลอยถาดทองคำทิ้งไป แล้วเสี่ยงทายอธิษฐานว่า

“ถ้าเราจะได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำไป แต่ถ้าเราไม่ได้ตรัสรู้ธรรมขอให้ถาดนี้ลอยตามน้ำไป”

ถาดนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำไปนะ พอลอยทวนกระแสน้ำไปในแม่น้ำเนรัญชรา ถาดก็ตกไปซ้อนกับถาดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน คือองค์ที่ ๓ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นี้เป็นองค์ที่ ๔ แล้วพระศรีอาริยเมตไตรยก็จะเป็นองค์ที่ ๕ นี่ถาดซ้อนไป เห็นไหม แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจก็บอกว่า “ลอยถาดไปได้อธิษฐานไปเพราะได้เป็นพระอนาคามี”

จะเป็นพระอนาคามีมาจากไหน ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ ในเมื่อยังไม่ตรัสรู้ธรรมมันก็ไม่มี ไปเรียนมากับทุกอาจารย์ทุกศาสดาหมดแล้วแต่มันไม่มี ปฏิบัติเองก็ปฏิบัติไม่ได้

เราจะบอกว่า ๖ ปีที่ประพฤติปฏิบัติมานี้มันทุกข์ยากขนาดไหน ความทุกข์ยากที่ปฏิบัติมา เราเองมีกิเลสใช่ไหม เรามีแรงปรารถนาใช่ไหม เราอยากจะพ้นจากทุกข์ใช่ไหม แล้วพอไปปฏิบัติกับเจ้าลัทธิต่างๆ เจ้าลัทธิต่างๆ ก็สอนไปตามแต่ความเห็นของตัว เพราะความเห็นของตัวเห็นได้แค่นั้น อำนาจวาสนาของแต่ละคนมันไม่เท่ากันมันก็สอนได้แค่นั้น เจ้าชายสิทธัตถะก็ศึกษาหมด เล่าเรียนหมด จนศาสดาไหนๆ ก็บอกว่าหมดพุงแล้ว ถึงจะหมดพุงแต่กิเลสมันก็ยังไม่ได้แก้ไขสักตัวหนึ่ง หมดพุงก็หนี หมดพุงก็หาเอง หมดพุงก็สู้ทนต่อไป

เราจะบอกว่าเวลาคนที่ผิดพลาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีนี้ก็ผิดพลาดมาขนาดไหน แต่เวลาลอยถาดทองคำไปแล้วเสี่ยงทายเลย “ถ้าคืนนี้นั่งแล้วไม่ได้ตรัสรู้ จะยอมตาย”

นี่เห็นไหมเวลาจริงมันก็เป็นความเป็นจริงขนาดนั้น เวลาปฐมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยาม เวลาจิตมันเป็นไป “อานาปานสติ” เวลากำหนดขึ้นมาจิตมันละเอียดเข้ามาขนาดไหนมันละเอียดเข้ามา โดยข้อเท็จจริงผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถ้ามีครูบาอาจารย์ ถ้าจิตเราเป็นอย่างไรเขาจะรู้ได้ เวลาจิตสงบ “บุพเพนิวาสานุสติญาณ” มันรู้อดีตชาติเพราะข้อมูลมันมี มันกำปั้นทุบดิน ก็จิตมันสร้างมาอย่างนี้ จิตของเราเกิดตาย..เกิดตาย.. มาในวัฏฏะ เห็นไหม พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย นี่มันมีของมัน ถ้าไม่ได้ชำระกิเลสแล้วเข้าไปสู่สภาวะจิต เข้าไปสู่พื้นฐาน เข้าไปสู่ข้อมูล “บุพเพนิวาสานุสติญาณ” มันก็มีข้อมูลของมันอยู่แล้ว มันหนีไปไหนไม่ได้ ข้อมูลที่มันแสดงตัวออกมานี่ล่ะอดีตชาติ สิ่งที่สะสมมาเพื่อจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ด้วยมีสติด้วยมีปัญญา ก็ไม่ตามไป เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่

พอเจ้าชายสิทธัตถะย้อนจิตกลับมา ย้อนกลับมาด้วยสติ การย้อนกลับก็คือตั้งสติแล้วกำหนดมันชัดๆ มันก็จะย้อนกลับมาสู่ความสงบของใจ ความสงบของใจนี้พอปล่อยออกมา พอปล่อยคือว่าอยากรู้อยากใช้ปัญญา เพราะว่ายังไม่มีมรรค ยังไม่มีใครตรัสรู้ธรรม ธรรมะยังไม่มี ที่บอกว่า “ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม” ดั้งเดิมคือข้อเท็จจริง คือสัจธรรมอันนั้น แต่หัวใจของคนมันยังไม่เป็น แล้วมันจะเป็นธรรมขึ้นมาได้อย่างไร เห็นไหม เวลาใจมันไม่เป็นธรรมขึ้นมา ใจมันมีกิเลสครอบงำอยู่ แต่สัจธรรมมี ข้อเท็จจริงมี แต่ตัวเองยังทำไม่ได้

พอปล่อยจิตออกมาจิตก็ออกทำงาน พอออกทำงานก็ไปจุตูปปาตญาณถ้ายังไม่ถึง ถ้าเข้าไปสู่ข้อมูลเดิมมันก็ไปเห็นข้อมูล ข้อมูลคือสิ่งที่ได้สะสมมา อดีตชาติที่ได้ทำมา เวลาออกไปก็คืออนาคต คือว่าถ้ามันยังไม่สำเร็จแล้วมันตายไปก็ต้องไปเกิดในชาตินั้นๆ เห็นการเกิดในชาติต่อไปว่าจะเกิดอย่างไร

นี่ไงถ้ามีสติปัญญาก็ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาคือมีสติแล้วกำหนดลมชัดจนมันย้อนกลับมาสู่ฐานของจิต พอเข้ามาสู่ฐานของจิต นี่ไงจิตนี้ที่ได้สร้างสมบุญญาธิการมา จิตนี้ได้ทำบุญกุศลมา จิตนี้มันมีอำนาจวาสนามา

เพราะที่บอกว่า “ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม” แต่ไม่มีจิตดวงไหน ไม่มีจิตดวงใดเลยที่จะรู้ตามความเป็นจริง แล้วจิตดวงไหนจะเอาเรื่องสภาวะจิต เรื่องการเคลื่อนไปของจิต มาสอนกัน ในเมื่อไม่มีความรู้ไม่มีความเห็นแล้วจะเอาอะไรมาสอน เพราะเขาไม่รู้เขาไม่เห็น แล้วสอนไปนี้มันเป็นไปไม่ได้.. เป็นไปไม่ได้..

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะตรัสรู้ธรรม พอย้อนกลับเข้ามา.. ย้อนกลับเข้ามา..เพราะจิตมันเป็นกระบวนการของมันเกิดขึ้น มรรคญาณมันเกิดขึ้น พอมรรคญาณเกิดขึ้นมันก็เข้ามาทำลาย “อาสวักขยญาณ” เข้ามาทำลายกิเลส ทำลายอวิชชา แล้วตรัสรู้ธรรมขึ้น พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี้ธรรมถึงได้เกิด พอธรรมเกิดขึ้นมาถึงไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ เห็นไหม เวลาเสวยวิมุตติสุข สุขมาก! สุขมาก! นี่คือหลักความเป็นจริง หลักในพระพุทธศาสนาของเรา มันเกิดที่ไหนล่ะ มันเกิดในหัวใจของสัตว์โลก มันเกิดบนหัวใจของเรา

พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก็ไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ ด้วยความเห็นของโลกกับความเห็นของธรรม มันจะขัดแย้งกันอยู่แล้ว ปัญจวัคคีย์ก็ไม่รับ “ทำทุกรกิริยามาขนาดไหน ทำจริงจังมาขนาดไหนก็ยังไม่ได้ผล แต่กลับไปฉันอาหารของนางสุชาดา อย่างนี้มันมักมาก” นี่ไงความเห็นของโลกกับธรรมมันแตกต่างกัน ถ้าความเห็นของธรรมนะ มัชฌิมาปฏิปทาจะลงระหว่างอัตตกิลมถานุโยคกับกามสุขัลลิกานุโยค ทำตนให้ลำบากเปล่าเกินไปมันก็ไม่มีมรรคญาณ ไม่มีศีล สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้นมา ถ้าทำตนให้ลำบากเปล่าก็ลำบากเปล่าไป ส่วนกามสุขัลลิกานุโยค อยู่กันสุขสบาย สะสมกัน มั่วสุมกัน มันก็เป็นไปไม่ได้ แต่ความพอดีมัชฌิมาปฏิปทามันทำอย่างไร พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำกระบวนการนั้นเสร็จขึ้นมาแล้ว ท่านถึงได้บอกว่า

“เธอจงเงี่ยหูลงฟัง เธอเคยได้ยินไหม…”

นี่คือสุภาพบุรุษ มีสัจจะ! ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้!

“…บัดนี้รู้แล้วจงเงี่ยหูลงฟัง!”

ตอนไม่รู้ก็ไม่เคยพูดเลย อุปัฏฐากกันมา ๖ ปีก็ไม่เคยบอกว่ารู้อะไรเลย เพียงแต่ว่าพยายามของตัว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามอยู่แต่ไม่ได้บอกใครว่าเรารู้สิ่งใด เพราะไม่มีความรู้ก็บอกว่าไม่มีความรู้ กำลังค้นหาอยู่ มันอั้นตู้ เวลาสงบก็สงบขึ้นมา ทำฌานสมาบัติก็ได้แต่ฌานสมาบัติเท่านั้น มันเป็นฌานโลกีย์ มันก็รู้อยู่ เวลามันออกมาปกติมันก็มีกิเลสอยู่ มันก็ไม่ได้บอกไม่ได้สอน แต่ขณะที่เกิดสัจธรรมขึ้นมาแล้วก็จะบอกจะสอน

“เธอจงเงี่ยหูลงฟัง!”

แล้วเทศน์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะก็เห็นตาม รู้ตามได้ เพราะกระบวนการมันมี มันเป็นไปได้

“อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีใจมาก เพราะปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วสัตว์ก็รู้ได้ สัตว์ก็เห็นได้ เห็นไหม นี่พูดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีหลักมีเกณฑ์

หลวงตาของเราเกิดที่บ้านตาด ขณะเกิดขึ้นมาแล้วด้วยบุญญาธิการ เป็นคนที่มีสัจจะ เป็นคนที่ทำสิ่งใดทำจริงทำจัง สิ่งที่ทำจริงทำจังเพราะมีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจ แต่ด้วยการหมุนไปในวัฏฏะ เห็นไหม ไม่เคยคิดอยากจะบวชเลย

เวลาเจ้าชายสิทธัตถะ “เราเกิดในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” การเกิดเป็นชาติสุดท้ายนี้มันทำอย่างไร ก็ต้องค้นหาโพธิญาณ แต่ทำไมหลวงตาบอกว่า “เราจะมีครอบครัว.. เราจะมีครอบครัว..เราไม่บวช” จนพ่อแม่นะก็อยากให้บวช นี่คือบุญไง บุญที่ได้สร้างมา สิ่งที่ได้สร้างมา “ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ชาติสุดท้ายหมายถึงว่าต้องชำระกิเลส สิ้นจากกิเลสไป แต่ขณะที่เกิดมาแล้วก็ยังมีความรู้ความเห็นทางโลก เพราะอะไร เพราะมีอวิชชาใช่ไหม คนที่เกิดมามีอวิชชาไหม ถ้าไม่มีอวิชชาจะเกิดมาได้อย่างไร

คนเกิดมาก็ต้องมีอวิชชา เพราะมีอวิชชามันก็ต้องคิดไปทางโลก พอคิดไปทางโลกว่า “เราจะมีครอบครัว ไม่บวช” จนพ่อแม่อยากให้บวช ด้วยการตัดสินใจก็บวช พอบวชขึ้นมาแล้วก็ศึกษาธรรมะไป ท่านก็คิดในใจว่า จะบวชชั่วคราว บวชแล้วซัก ๓ ปีก็จะสึกไป ก็จะมีครอบครัว เพราะว่ามีเป้าหมายอยู่แล้ว

แต่ด้วยบุญ เห็นไหม เวลาศึกษาไป นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก คือว่าเวลาทำบุญกุศลแล้วได้เป็นเทวดา ก็อยากเป็นเทวดา พอศึกษาไปๆ โอ้.. พรหมเขาอายุยืนกว่าเทวดาก็อยากเป็นพรหม แต่พอศึกษาไปๆ ถ้าเป็นพรหมมันก็ยังต้องเวียนตายเวียนเกิด แต่ถ้าถึงนิพพานจะไม่ตายไม่เกิด ก็อยากไปนิพพาน พออยากไปนิพพานก็ตั้งสัจจะว่า

“ถ้าเราเรียนถึงมหาแล้ว จะออกประพฤติปฏิบัติ”

นี่ไงเวลาเรียนจบแล้วก็ออกประพฤติปฏิบัติ เวลาออกประพฤติปฏิบัติขณะที่มีครูมีอาจารย์ชี้นำ ก็ชี้นำไป ชี้นำให้พุทโธๆ จิตก็สงบได้ถึง ๓ หน แต่เวลามีการศึกษาขึ้นมาแล้ว เพราะโดยอิสระใช่ไหม เราทุกคนพอมาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีกิเลส พอมีกิเลสขึ้นมาสิ่งนี้เราต้องพุทโธๆ แต่ถ้าเรามีปัญญาเราก็ใช้ปัญญาของเราสิ

ทุกคนก็ต้องอยากจะมีเทคโนโลยีของเรา ทุกคนก็อยากมีความเห็นของเรา มีการกระทำของเราใช่ไหมก็ทำไป นี่ไงคำว่า “กำหนดจิตเฉยๆ” มันก็กำหนดเฉยๆ เห็นไหม มาจำพรรษาที่จักราช กำหนดจิตไป..กำหนดจิตไป..จิตมันก็เป็นสมาธิได้ นี่ไงดูจิตก็เป็นสมาธิได้ แต่มันมีอำนาจวาสนาขนาดไหน มันตรงจริตนิสัยขนาดไหน แล้วถ้ามันมีอำนาจวาสนา ถ้ากำหนดจิตแล้วมันเป็นสมาธิแล้ว สมาธิจะออกทำงานอย่างไร นี่!ความจริงหรือไม่จริงมันอยู่ตรงนี้

ขณะที่จริงหรือไม่จริง ดูสิ ตอนกำหนดจิตนี่คือพรรษาที่ ๙ พอกลับมาบ้านมาทำกลดหลังหนึ่ง จิตเสื่อมหมดเลย! เพราะคนมีสมาธิถึงเสื่อม ถ้าคนไม่มีสมาธิจะเสื่อมได้อย่างไร ถ้าดูจิตแล้วทำสมาธิไม่เป็น สมาธิจะเป็นอย่างไร ของที่ไม่มีแล้วมันจะเสื่อมได้ไหม ของจะเสื่อมได้มันต้องมีใช่ไหมถึงเสื่อม ถ้าของที่ไม่มีแล้วจะเอาอะไรมาเสื่อม ในเมื่อไม่รู้จักจิตที่เป็นสมาธิกับจิตเสื่อม แล้วมันจะมีสมาธิได้อย่างไร

แต่หลวงตาเรานี่มีสมาธิ มีสมาธิกำหนด เห็นไหม พอไปทำกลดหลังหนึ่งจิตมันมีอาการมันรับรู้แล้ว ดูสิเวลาเรารักษาจิตของเรา จิตของเรามันจะละเอียดอย่างไร เวลามันฟุ้งซ่าน เวลามันทุกข์ยากมันทุกข์ยากอย่างไร เวลามันสงบร่มเย็นมันสงบร่มเย็นอย่างไร แล้วสงบร่มเย็นนี้เข้าได้หรือเข้าไม่ได้ ทุกคนที่ชำนาญจะรู้ได้

ทีนี้พอกำหนดจิต เห็นไหม พอทำกลดหลังหนึ่งแล้วจิตเริ่มมีปัญหา พอมีปัญหาก็ทิ้งกลดเลย รีบทำเลย รีบจะไปหาหลวงปู่มั่น ก็ธุดงค์ไปเที่ยวไป จนไปถึงหลวงปู่มั่นนี่จิตเสื่อมหมดแล้ว.. จิตเสื่อมหมดแล้ว.. จิตเสื่อมหมดแล้วเพราะอะไร เพราะว่าทำด้วยความรู้ความเห็น เพราะเราประพฤติปฏิบัติมาใช่ไหม เรามีการศึกษาใช่ไหม เริ่มต้นเรามีอำนาจวาสนา คนมีอำนาจวาสนาแต่ถ้าไม่เจอหมู่คณะไม่เจอครูบาอาจารย์ที่ดี อำนาจวาสนามันก็ทำให้เราบิดเบือนไปได้ แล้วอำนาจวาสนาก็ทำให้เราถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันก็ต่อเนื่องกันไป

พอไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นก็บอกว่า “การศึกษานั้นเราศึกษามามากแล้ว ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เทิดไว้บนศีรษะ เทิดไว้บนหัวนะ”

พุทธพจน์นี่เราเทิดไว้บนหัว แต่เวลาใครพูดถึงพุทธพจน์เราไม่ฟัง ไม่ใช่ว่าไม่ฟังพุทธพจน์แต่ไม่ฟังคนที่อ้างพุทธพจน์ พุทธพจน์ในหนังสือในตำรานี้มันจะพูดกับเราได้ไหม ไม่ได้หรอก มันจะต้องมีคนสื่อออกมา ไอ้คนสื่อนั่นล่ะมันอ้าง

ฉะนั้นในการศึกษาพุทธพจน์มานี้ให้เทิดบนหัวไว้ กิเลสเรามันอ้างพุทธพจน์ มันอวดรู้อวดเห็น หลวงปู่มั่นท่านถึงบอกว่า “สิ่งนี้ให้เราใส่ลิ้นชัก แล้วลั่นกุญแจไว้อย่าให้มันออกมา แล้วปฏิบัติไป” นี่ล่ะครูบาอาจารย์ที่ดี! เห็นไหม เพราะถ้าเราปฏิบัติไปพร้อมกับพุทธพจน์ พร้อมกับความรู้ความเห็นของเรา มันจะเตะมันจะถีบกัน มันจะขัดแย้งกัน มันจะเหลื่อมกัน มันไม่ลงสู่ความเป็นจริง ถ้ามันจะลงสู่ความเป็นจริงมันก็มีความสงสัยมาก ฉะนั้นให้วางไว้

“ปริยัติ” ศึกษามาเพื่อเป็นแผนที่เครื่องดำเนิน “ปฏิบัติ” ให้ปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา

ท่านถึงคิดว่า “เราจะจริงหรือเปล่า?” ถามตัวเองเลย “ตอนนี้ไอ้ที่เราเคยสงสัยอยู่ ครูบาอาจารย์ท่านก็เคลียร์ให้หมดแล้ว เราจะมีความจริงหรือเปล่า?” ถ้ามีความจริงแล้วก็เอาชีวิตเข้าสู้เลย ตายเท่านั้นแลกมา! ตายเท่านั้นแลกมา! ฉะนั้นตอนเริ่มต้นปฏิบัติก็ยังกำหนดจิตดูจิตอยู่ แล้วมันก็ไปไหนไม่รอด

หลวงปู่มั่นท่านไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ ทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียว ด้วยปัญญาด้วยความค้นหา ทุกคนถ้ามีใครบอกมันจะค้าน แต่ถ้าจิตเรามันมีเหตุมีผลแล้วมันยอมด้วยเหตุด้วยผลมันก็จะมีการกระทำ เพราะเราดูจิตมาตลอดแต่มันขึ้นมาไม่ได้เลย ดูจิตขึ้นมาขนาดไหนพอจิตมันเป็นสมาธิได้ ๒ - ๓ วัน ท่านบอกเลยว่า “เหมือนกับกลิ้งครกขึ้นภูเขา มันกลิ้งทับมาแบนแต๊ดแต๋เลย อย่างไรก็อยู่ไม่ได้ เพราะมันไม่มีหลัก เพราะเราขาดคำบริกรรม” ท่านถึงได้มาบริกรรมพุทโธๆๆ

พุทโธๆ นี่ ๓ วันแรกอกแทบแตก อกแทบแตกเพราะอะไร เพราะเคยส่งจิตเร่ร่อน จิตนี้เคยปล่อยให้มันอยู่โดยความเคยตัวของมันเหมือนกับเด็กใจแตก เหมือนกับพวกเสพยาเสพติดแล้วหักไม่ให้มันเสพ มันจะทุกข์ขนาดไหน คนที่ติดยาเสพติด ติดงอมแงม แล้วบอกว่าวันนี้ห้ามเสพ วันนี้ยาเสพติดกับเราเลิกกัน พอเลิกกันแล้วเรามาพุทโธๆ

นี่มันก็เหมือนกัน จิตนี้เราเคยปล่อยให้มันเร่ร่อน ปล่อยให้มันสุขสบายของมัน แล้วพอจะเอาสติปัญญาไปบังคับมัน มันก็อึดอัด ๓ วันแรกอกแทบแตก แต่เพราะมีอำนาจวาสนาบารมี มีเพราะได้สร้างสมบุญญาธิการมา เห็นไหม ก็บังคับตัวเอง ถ้ามันจะอกแทบแตกก็ให้มันแตกไป แต่พุทโธๆๆ จนมันสงบได้ พุทโธๆ จนมันพุทโธไม่ได้

คำว่า “พุทโธไม่ได้” ก็คือมันเป็นสมาธิโดยตัวมันเอง เพราะพุทโธนี้เป็นชื่อ พอเราเข้าถึงตัวจิตจิตมันก็เป็นสมาธิ พอเป็นสมาธิมันพุทโธไม่ได้ พุทโธไม่ได้ก็ไม่ต้องพุทโธ

ถ้าเราพุทโธไม่ได้เราก็ตกใจอีก เราก็ตื่นอีก แต่ท่านบอกว่า “ถ้าพุทโธไม่ได้ก็ไม่ต้องพุทโธ” มันสงบด้วยความเป็นจริง พอมันคลายตัวออกมา ก็เอาพุทโธใส่เข้าไปเลย เพื่อให้ความสงบนี้มั่นคง

คนเรามันเคยทุกข์เคยยากมา เห็นไหม คนทุกข์คนยาก คนล้มลุกคลุกคลานมา พอมาสร้างเนื้อสร้างตัวได้มันจะเห็นคุณค่ามาก พอเห็นคุณค่ามากก็รักษาสิ่งนี้ไว้ แล้วนั่งกำหนดพิจารณาไปจนจิตมันลง เวลาจิตมันลงจนมีความสุข ทีนี้พอนั่งไปคนที่มีกิเลสใช่ไหม คนเคยทำสมาธิได้จะรู้ สมาธิเดี๋ยวก็เจริญแล้วก็เสื่อม เสื่อมแล้วก็เจริญ พอนั่งสมาธิไปมันก็มีอาการอีกแล้ว พอมีอาการอีกแล้ว

“มันเป็นอย่างใด ทำไมมันเกิดเวทนา มันเกิดมีความทุกข์ความยาก มันเป็นเพราะเหตุใด?”

“ถ้าอย่างนี้ต้องนั่งตลอดรุ่ง…!”

สู้กับมัน พอนั่งตลอดรุ่งเวทนามันจะเกิดมหาศาล เพราะเวลาเรานั่งไปท่านบอกว่า “เริ่มต้นนี่หลานเวทนา ลูกเวทนา พ่อเวทนา ปู่เวทนา” ก็เรานั่งสมาธิ ๔ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ไม่มีใครที่นั่งสมาธิแล้วสมาธิจะคงที่ นั่งสมาธิแล้วสมาธิลง ๑๒ ชั่วโมงแล้วมันจะคลายตัวออกมา ไม่มีหรอก

สมาธินี้พอเรานั่งไปแล้ว มันจะได้ชั่วโมงหนึ่งบ้าง ๒ ชั่วโมงบ้าง ๓ ชั่วโมงบ้างก็แล้วแต่ แต่มันจะต้องคลายตัวออกมา พอคลายตัวออกมาก็ต้องกำหนดพุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เพื่อให้จิตกลับเข้าไปสู่ความสงบอีก พอครั้งที่ ๑ มันทำได้ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ กิเลสเรามีใช่ไหม กิเลสมันจะคอยต่อต้าน กิเลสมันจะคอยทำลาย พอทำลายขึ้นมามันก็มีอาการเจ็บอาการปวดต่างๆ “อย่างนี้เราต้องนั่งตลอดรุ่ง! ต้องเผชิญหน้ากัน” การเผชิญหน้ากันคือใช้ปัญญาแยกแยะ

การแยกแยะนะ “เวทนาเป็นเราหรือเปล่า? อะไรเป็นเวทนา? สิ่งใดเป็นเวทนา? กระดูกเป็นเวทนา? เนื้อเป็นเวทนา? เอ็นเป็นเวทนา? สิ่งใดเป็นเวทนา? มันไม่เห็นมีเวทนา ไม่มีเวทนาเพราะอะไร ไม่มีเวทนาเพราะจิตไม่ไปยึดมัน แต่พอจิตมันโง่มันก็ยึด พอมันพิจารณาบ่อยครั้งเข้ามันก็ปล่อย.. ปล่อย..

คำว่า “ปล่อย” คือ ตทังคปหาน แต่ถึงที่สุดเวลาจิตมันขาด!ขึ้นมานี้ปัญญามันเกิด เห็นไหม “มันจะเอาเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราอีกวะ เวทนาขนาดไหนเราก็พิจารณามาหมดแล้ว” พอมันปล่อยวางหมดแล้ว เวทนาก็จริงตามเวทนา จิตก็จริงตามจิต ทุกข์ก็จริงตามทุกข์ แล้วจิตรวมลง เห็นไหม พอรวมลงนี้มันมีความสุขมาก

การที่เวลาจิตมันสมุจเฉทปหาน การสมุจเฉทปหานมันแตกต่างกับการตทังคปหาน เราเคยพิจารณาเวทนาแล้วมันปล่อย มันปล่อยแล้วขณะนั้นมันสงบขนาดไหนแต่มันก็ยังมีความลังเลสงสัย มันยังมีความเกี่ยวเนื่องเพราะสังโยชน์มันยังเกี่ยวเนื่องกันอยู่ แต่พิจารณาซ้ำซาก.. ซ้ำซาก..ซ้ำซาก.. เพราะทำบ่อยครั้งเข้าด้วยความชำนาญ เวลามันขาด! ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ เวทนาไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่เวทนา จิตไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่จิต มันพิจารณามาพอมันขาด เห็นไหม ท่านมีความภูมิใจมาก เพราะอะไร เพราะท่านอยากพ้นทุกข์ พอมีความภูมิใจมากท่านก็ขึ้นไปรายงานหลวงปู่มั่น

“เอ้อ.. จิตมันไม่เกิดไม่ตาย ๕ อัตภาพเว้ย”

นี่ล่ะมันได้หลัก คนภาวนาเป็นมันจะรู้กันหมด เสียงธรรมของหลวงตามันชัดเจน แหลมคม เพราะท่านทำของท่าน เหมือนมีดเลย มีดมันได้ลับ ถ้ามีดทั่วไปที่เขาเอาไปเก็บไว้ในดินจนสนิมขึ้นเขรอะ จนมันผุมันพังแล้วมันแตกต่างกัน แต่นี่มันแหลมคมเพราะปัญญาของท่าน แหลมคมเพราะประสบการณ์ของท่าน เวลาท่านพูดสิ่งใดถึงพูดได้ชัดเจน

เห็นไหม หลวงปู่มั่นบอกว่า “เอ้อ..จิตนี้มันไม่เกิดไม่ตาย ๕ อัตภาพหรอกเว้ย ได้หลักแล้ว”

นี่ตรงนี้คือที่ท่านได้โสดาบัน พอได้โสดาบันท่านก็บอกว่าเหมือนกับหลวงปู่มั่นให้กำลังใจ “มันก็บอกว่าโอ้โฮ.. เหมือนหมาจะกัด จะเห่า จะฉีก” เห็นไหม พอลงมาก็จะเอาอีก.. เอาอีก..

คำว่า “เอาอีก” นี้มันก็พิจารณาไปบ่อยครั้ง พิจารณาซ้ำ เวทนามันไม่มีแล้ว เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนาแล้ว แต่เวลาพิจารณาจิตมันสงบเข้าไป มันมีขันธ์อยู่ใช่ไหม มันจับธาตุขันธ์แล้วพิจารณาซ้ำซาก นั่งตลอดรุ่งพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า.. ซ้ำแล้วซ้ำเล่า.. เพราะมันมีอุปาทานของมัน แล้วอุปาทานมันติดอย่างไร

จิตใจที่มันมีกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปมันมีหลักมีเกณฑ์อย่างไร แล้วมันจะพิจารณาอย่างไรให้มันปล่อยวางเข้ามา แล้วให้มันขาดเข้ามา กามราคะ ปฏิฆะ อ่อนลงนี้อ่อนลงอย่างไร พอมันพิจารณา มันจับได้ เห็นไหม พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก พิจารณาธาตุขันธ์จนมันกลับคืนสู่สถานะเดิมของเขา ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ

ผู้พิจารณากายโดยขั้นแรก สักกายทิฏฐิ พอพิจารณากาย กายมันจะเปื่อยมันจะเน่าของมันไป มันจะพุพองของมันไปถ้าใครพิจารณาโดยเจโตวิมุตติ แต่ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติพิจารณากาย ก็พิจารณากายด้วยสติปัญญา มันก็เป็นขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ทีนี้พอพิจารณาขั้นต่อไป ถ้าพิจารณากายมันจะกลับคืนสู่ธาตุ ๔ แต่ถ้าพิจารณาขันธ์ มันคืออุปาทานของมัน

นี่พูดถึง กาย เวทนา จิต ธรรม จิตแต่ละดวง ผู้ปฏิบัติแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกันเพราะอะไร เพราะบุญอำนาจวาสนาที่สร้างมามันแตกต่างกัน กิเลส ความหยาบความละเอียด มันก็แตกต่างกัน การพิจารณาซ้ำๆๆ ของท่าน ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ แล้วมันก็ปล่อย การปล่อยนั่นคือตทังคปหาน พอปล่อยบ่อยครั้งเข้าๆ มันขาด! กามราคะ ปฏิฆะ อ่อนลง มันอ่อนลงอย่างไร โลกนี้ราบหมด มันปล่อยวางหมด

พอปล่อยวางหมด เห็นไหม ท่านกำลังต่อสู้ ท่านกำลังพิจารณาของท่าน พอต่อสู้เข้ามาก็ไปรายงานหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นก็บอกว่า “เออ.. ถูกแล้ว!”

คำว่า “ถูกแล้ว” ท่านก็มีความภูมิใจต่างๆ

พอภาวนาไป เวลาสิ่งที่ว่าโลกนี้ราบเป็นหน้ากลองแล้วมันจะพิจารณาต่อไป เสียงธรรมของหลวงตาแหลมคมและชัดเจน ชัดเจนว่าเวลาปฏิบัติมันมีการขุดคุ้ยหากิเลสกับการใช้ปัญญาฆ่ากิเลส ถ้าไม่ขุดคุ้ยไม่เจอกิเลส เห็นไหม ผู้ใดทำความผิดอยู่ ถ้าเราจับผู้กระทำผิดไม่ได้ เราจะไปลงโทษใคร

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราภาวนาไป การขุดคุ้ย การเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน ๔ นี้เราจะเห็นได้อย่างไร การเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันมีวิธีการของมัน แต่สิ่งที่ว่าโลกเขาทำกันนี่มันมั่วซั่ว มันไม่เป็นความจริง มันเป็นจินตมยปัญญา มันเป็นความเห็นจากสัญชาตญาณ เพียงแต่ว่าอ้างอิงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เลยไม่แหลมไม่คมไม่ชัดเจน แต่อาศัยอ้างอิงพุทธพจน์เท่านั้น!

ฉะนั้นเวลามันปล่อยแล้วพิจารณาซ้ำซาก เห็นไหม พิจารณาซ้ำอีก จะเอาอารมณ์อย่างนี้ จะเอาอารมณ์ที่ว่าเวลาพิจารณาไปแล้วมันขาด โลกนี้ราบหมด ท่านก็ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นไปบอกว่า

“สิ่งที่พิจารณาแล้วมันปล่อยวางหมดแล้ว ต้องการอย่างนี้อีก”

หลวงปู่มั่นก็บอกว่า “เวลาขาดมันก็มีหนเดียวเท่านั้นแหละ เหมือนกับเราที่ถ้ำสาริกา ที่ถ้ำสาริกาเราก็เป็นแบบนี้ ก็หนเดียวเหมือนกัน”

หนเดียวคือการขาด กระบวนการจบโครงการจบคือหนเดียว แต่ขณะที่กระบวนการนั้นกว่าจะจบ เราก็ต้องทำไปจนกว่ากระบวนการนั้นจะสมบูรณ์ของมัน “มันก็มีหนเดียวเท่านั้น”

คำว่า “มีหนเดียว” เห็นไหม เพราะว่าคนเราก็จะคิดว่าหนเดียวก็คือไม่มีอีกแล้ว นี่ท่านก็เลยติดตรงนี้ถึง ๕ ปี เพราะเราเคยอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะมาแล้วหลวงปู่เจี๊ยะก็บอก บอกว่าเวลาท่านอยู่กับหลวงปู่กงมา พิจารณาแล้ว พิจารณากาย เวลามันเป็นขึ้นมาในหัวใจนี่ชัดเจนและแหลมคม แต่ไม่บอกใครทั้งสิ้น หลวงปู่เจี๊ยะท่านมีนิสัยว่าไม่พูดให้ใครฟัง ต้องพูดให้หลวงปู่มั่นฟังเท่านั้น จะขึ้นไปเชียงใหม่ ละล้าละลัง พ่อแม่ไม่ให้ไปเพราะเลี้ยงลูกมาก็รู้ว่าลูกมีนิสัยเป็นอย่างไร แต่หลวงปู่เจี๊ยะท่านจะไป ท่านจะไปเพราะใจของท่านมันมั่นคง ใจของท่านมันเป็นความจริง แล้วมันไม่มีใครบอกได้! มันไม่มีใครเคลียร์หัวใจอย่างนี้ได้!

ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริงแล้วไม่ต้องมีใครเคลียร์ เห็นไหม แล้วหลวงปู่กงมาเป็นใคร แต่เพราะหลวงปู่กงมาท่านสนิทกับหลวงพ่อวิริยังค์ แต่หลวงปู่เจี๊ยะท่านเห็นของท่านแล้วท่านไม่ลงใจ ท่านจะขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นให้ได้ พอไปหาหลวงปู่มั่น ท่านบอกว่าพอไปรายงานหลวงปู่มั่นว่า

“ผมปฏิบัติอย่างนี้! อย่างนี้! อย่างนี้ครับ แล้วจะให้ผมทำอย่างไรต่อไป”

“เออ.. ถูกต้องแล้วแหละ! เหมือนกับเราที่ถ้ำสาริกา แต่ให้พิจารณากายต่อไป”

หลวงปู่เจี๊ยะพิจารณากาย(1) พิจารณากาย(2) พิจารณากาย(3) พิจารณากายจนถึงที่สุดแห่งทุกข์(4) แต่หลวงตาขั้นแรกท่านพิจารณาเวทนา ขั้นที่ ๒ ท่านพิจารณากายจนเป็นธาตุขันธ์ แล้วเพราะด้วยความเห็นอย่างนี้ก็เลยติดอยู่ ๕ ปี เพราะอะไร เพราะมีปัญญามาก

กิเลสของโสดาบัน กิเลสดิบๆ เลยนะถึงเป็นโสดาบัน กิเลสของสกิทาคามี กิเลสของอนาคามี กิเลยของอวิชชา เยอะแยะ! ถ้าเป็นพระอนาคามีแล้วกิเลสของพระอนาคามีมันมีอะไรบ้าง อยากให้เขายอมรับ อยากดัง อยากใหญ่ นี่คือกิเลสของพระอนาคามี กิเลสของพระอนาคามี ๕ อย่างไปเปิดดูได้ในพระไตรปิฎก

ฉะนั้นพอมันว่างขนาดไหน เพราะมีกิเลสอยู่ใช่ไหมมันก็ปิดบัง ติดอยู่ตรงนี้เพราะคิดว่าคือนิพพาน จนหลวงปู่มั่นท่านแคะออกมา เห็นไหม

“สุขอย่างนี้สุขเศษเนื้อติดฟัน”

“แล้วมรรคเป็นอย่างไรล่ะ มรรคเป็นอย่างไร?”

“มรรคก็ต้องออกค้นหาสิเว้ย”

พอออกมาค้นหา จิตมันว่างขนาดไหนแล้วท่านถึงได้บอกว่าโลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง ถ้ามันรื้อค้นรื้อหานี่ก็แล้วแต่คนจะพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม จิตบางดวงก็พิจารณากาย จิตบางดวงพิจารณาเวทนา จิตบางดวงพิจารณาจิต จิตบางดวงพิจารณาธรรม ถ้ามันค้นคว้าค้นหาเจอ พอค้นหาเจอก็มาเจอกามราคะ ท่านพิจารณาอสุภะเพราะท่านเห็นกาย พิจารณากายเป็นอสุภะ พิจารณาแล้วพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก ถึงมันจะพิจารณาไปขนาดไหนมันก็มีเล่ห์กลของมัน ต่อสู้มาขนาดไหน แล้วหลวงปู่มั่นก็มาป่วย พอป่วยขึ้นมาท่านก็ขึ้นหาหลวงปู่มั่นตลอด

“ให้ออกพิจารณาก็พิจารณาแล้วนะ เวลาติดสมาธิ ๕ ปีก็บอกว่าสุขเศษเนื้อติดฟัน ตอนนี้ให้พิจารณาแล้ว ปัญญามันเดินแล้วแหละ มันหยุดไม่ได้เลย”

“นั่นแหละไอ้บ้าสังขาร!”

บ้าสังขารก็คือบ้าวิปัสสนาไง นี่ล่ะตรงที่มันเป็น “มหาสติ-มหาปัญญา”

พอเราวิปัสสนาไปขนาดไหน ถ้าสมาธิมันอ่อนลง กิเลสอันละเอียดมันก็สร้างภาพ มันก็ว่า “อย่างนี้สิ้นแล้วนะ อย่างนี้ปล่อยแล้วนะ” มันก็จะหลอกลวงอยู่อย่างนั้น

“นี่ล่ะไอ้บ้าสังขาร”

“อ้าว.. ถ้าบ้าสังขาร แต่ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ ติดสมาธิ ๕ ปีนี่สมาธิมันก็ไม่เห็นให้ผลอะไรเลย ตอนนี้มันเป็นวิปัสสนามันเป็นปัญญาแล้วมันก็ต้องมีประโยชน์สิ”

“นั่นแหละไอ้บ้าสังขาร”

ท่านถึงต้องกลับมาพุทโธๆ เห็นไหม ท่านบอกว่าเหมือนมาเริ่มปฏิบัติใหม่

นี่ขั้นอนาคามีมันอยู่นี่! มันไม่ได้อยู่ที่ถ้ำสาริกา มันอยู่ที่ไอ้บ้าสังขารนี่!

พอบ้าสังขารแล้วก็พิจารณาซ้ำ พอพิจารณาซ้ำมันก็ปล่อยมาเรื่อย.. ปล่อยมาเรื่อย.. ปล่อยจนหายไปเลย นี่ไงพอหายไปเลย หลวงตาท่านก็บอกว่า “อย่างนี้ไม่เอา” เพราะมันปล่อยแบบไม่มีเหตุไม่มีผล แล้วท่านก็มาใช้ปัญญา เห็นไหม เวลาปัญญาพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก พอพิจารณาแล้วกิเลสมันสวมรอย มันสร้างภาพว่า “เราพิจารณาแล้ว เราปล่อยวางแล้ว เราฆ่ากิเลสแล้ว มันไม่มีอะไรแล้ว ว่างหมดเลย”

เวลาใช้ปัญญาในขั้นมหาสติ-มหาปัญญา กิเลสที่มันละเอียดลึกซึ้งมันก็ยังหลอก แต่ด้วยความที่ว่าเคยผิดพลาดมาหลายชั้นหลายตอน แล้วหลวงปู่มั่นท่านโขกท่านสับออกมาเพื่อจะให้เป็นความจริง เวลาหลวงปู่มั่นป่วยหลวงตาท่านก็ขึ้นลง..ขึ้นลง.. เพราะเวลาผู้ที่ใช้ปัญญาในขั้นของกามราคะนี้มันเป็นเหมือนน้ำป่า มันจะรุนแรงมาก ปัญญามันเหมือนกับน้ำที่กระโจนใส่มันรุนแรง ในขั้นมหาสติ-มหาปัญญา กิเลสมันก็รุนแรง หลวงตาท่านจะขึ้นหาครูบาอาจารย์อยู่ตลอดเวลา พอถึงที่สุดแล้วกิเลสมันเงียบหมดเลย หายหมดเลย

ถ้าเป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะก็ติดอีก เห็นไหม พอมันพิจารณาอสุภะจนไม่มีอะไรให้พิจารณา มันหายหมดเลย หลวงตาท่านก็บอกว่า “อย่างนี้ไม่เอา” แล้วท่านก็เอา “สุภะ” มาแนบไว้ที่จิต เอาสิ่งที่สวยงาม เอาสิ่งที่จิตมันชอบที่สุด เอาอย่างที่ว่าโลกนี้เขาหากัน มาแนบไว้ที่จิต วันหนึ่งก็หายไป ๒ วันก็หายไป จนถึงวันที่๓ ๓ วันอีกเหมือนกันที่จิตมันเริ่มมีอาการรับรู้ “อ้าว.. ไหนว่ามันไม่มีไง!”

เห็นไหม คำว่า “ไอ้บ้าสังขารๆ” การต่อสู้กับกิเลส นี่คือขั้นอนาคามี!

พอขั้นอนาคามี พอพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก มาพิจารณา “สุภะ” บ้าง พิจารณาอสุภะบ้าง เวลาพิจารณา “สุภะ” ก็เอาความสวยงามเข้ามาเพื่อให้เกิดอารมณ์ เพื่อให้ดึงกิเลสออกจากใจ ให้จิตมันมีความรับรู้ พอรับรู้ออกมาก็พิจารณาเป็นธรรมะ พอธรรมะพิจารณาเป็นอสุภะมันก็เงียบ พอเงียบก็พิจารณา “สุภะ”

ท่านถึงบอกว่า จากที่ว่าพิจารณา “สุภะ” และพิจารณาอสุภะ ๒ อย่างพิจารณาเทียบเคียงไป.. เทียบเคียงไป.. พอเทียบเคียงไปนี่มันหลบไม่ได้แล้ว คือเอาทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วให้จิตมันได้ฝึกหัด พอมันได้ฝึกหัดมันพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก เห็นไหม มันละเอียดเข้ามา.. ละเอียดเข้ามา.. จนมันกลืนเข้ามาที่จิต พอมันกลืนเข้ามาที่จิตแล้วมันก็ทำลายกันที่นี่

นี่อนาคามีอยู่ที่นี่! ไม่ใช่อยู่ที่ถ้ำสาริกา ที่ถ้ำสาริกานั่นมันขั้นสกิทาคามี ขั้นที่ ๒ ส่วนขั้นที่ ๓ มันอยู่ที่นี่ แล้วขั้นที่ ๓ นี้ที่บอกว่า “อนาคามีอย่างหยาบ อนาคามีอย่างละเอียด”

อนาคามีอย่างหยาบ เวลาพิจารณาจนมันปล่อยวางแล้วพิจารณาซ้ำๆ เศษส่วนที่เหลือที่ว่าอนาคามี ๕ ชั้น ตั้งแต่สุทธาวาสขึ้นไป พิจารณาซ้ำๆ เข้าไป มันก็จะคลายตัวของมันไปอีก นี่ไงอนาคามีอย่างหยาบ อนาคามีอย่างละเอียดมันเป็นอย่างใด ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเรานี้แหลมคม ชัดเจนมาก แต่พวกเรามันไม่รู้ แล้วไปคาดการณ์แล้วตีความ สันนิษฐานนี่ก็คือเดาเอาทั้งนั้น “ธรรมะด้นเดา” แต่ถ้าเป็นธรรมะตามความเป็นจริง เห็นไหม พิจารณาซ้ำพิจารณาซากเข้าไปจนมันละเอียดไปๆ นี่คืออนาคามีอย่างละเอียด

อนาคามีอย่างหยาบ อนาคามีอย่างละเอียดเป็นอย่างใด นี่ไงด้วยความชำนาญของท่าน ท่านถึงมาแก้ครูบาอาจารย์เราได้ชัดเจนมาก เพราะท่านทำของท่านมา แล้วหลวงปู่มั่นก็เป็นผู้ที่ประคองมา สุดท้ายแล้วหลวงปู่มั่นท่านก็เสียไป หลวงตาท่านบอกว่าขณะที่หลวงปู่มั่นเสียนี้จิตใจของท่านกำลังรุนแรงมาก พอหลวงปู่มั่นเสียไปนะ เวลาศพตั้งไว้ที่วัดป่าสุทธาวาส ท่านก็ขึ้นไปบนภูพานนั่นล่ะ ไปภาวนาของท่าน ต่อสู้ของท่าน ต่อสู้ไปจนถึงที่สุด พอเผาศพเสร็จแล้ว พิจารณาซ้ำ จิตมันสว่างไสว จิตมันผ่องใส จิตมันเป็นความมหัศจรรย์นัก เป็นความว่างๆ ที่ว่าไอ้ว่างๆ ว่างๆ นั่นล่ะ ทีนี้ธรรมะมาเตือนว่า “สิ่งที่ว่างๆ มันต้องมีที่เกิดจากจุดและต่อมของจิต”

พอจับว่าจุดและต่อมของจิตได้ก็ยังงง ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ท่านบอกว่าท่านสำเร็จไปแล้ว แต่เพราะหลวงปู่มั่นไม่อยู่ หลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว ท่านถึงต้องค้นคว้าของท่านเอง

การที่ท่านค้นคว้าของท่านเอง คนเรานี้ทุกขั้นตอนการทำงานที่เราไม่เคยทำ กิเลสมันอยู่กับใจโดยธรรมชาติ ส่วนธรรมะเราต้องสร้างขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญานี้เราต้องพยายามของเรา มหาสติ-มหาปัญญาก็ขั้นหนึ่งที่มันเป็นอัตโนมัติ ที่มันเป็นปัญญาญาณ ที่มันละเอียดลึกซึ้ง ถ้าใช้ปัญญาตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีขึ้นมาจะฆ่ากิเลสอย่างนี้ไม่ได้ เพราะสิ่งที่เป็นปัญญาตั้งแต่อนาคามีลงมามันเป็นสังขาร มันเป็นขันธ์ แต่เวลาขึ้นไปถึงอวิชชา พอเข้าไปถึงจุดและต่อมนี้มันจะเป็นสังขารไม่ได้ ถ้าเป็นสังขารจะเข้าสู่สิ่งนั้นไม่ได้เพราะมันเป็นปัจจยาการ

อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง สติปัญญาอย่างหยาบจะเข้าไปสู่สติปัญญาอย่างละเอียดมันจะเป็นไปไม่ได้เลย ฉะนั้นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วเราเคยใช้เครื่องมืออยู่ คือใช้เครื่องมือตั้งแต่ปัญญาอย่างหยาบๆ มาตลอด ที่ว่าละเอียดๆ นั้นเราเคยใช้มา แต่พอเวลากิเลสอย่างละเอียดแล้วเรายังจะเอาอย่างนั้นไปใช้ มันก็เข้ากันไม่ได้เลย ถ้ามันเข้ากันไม่ได้แล้วเราจะเอาอะไรไปฆ่ามันล่ะ เราจะเอาสิ่งใดไปฆ่ามัน เราจะเอาสิ่งใดไปพลิกให้อวิชชานี้มันหลุดออกไปจากใจ

ท่านพยายามของท่าน เห็นไหม ความละเอียดอ่อนถึง ๘ เดือน เวลาเข้าไปถึงมันจะไปพลิกฟ้าคว่ำดินระหว่างจุดและต่อม ขั้วของใจมันมี ๒ ขั้ว เหมือนกับมะพร้าว ๒ ขั้ว ขั้วดีและชั่ว เวลามันพลิกขึ้นมาจบสิ้นกระบวนการ โลกธาตุหวั่นไหว สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมดเลย นั่นล่ะท่านก็เสวยวิมุตติสุขของท่าน

นี่คือสัจจะความจริงของท่าน! ฉะนั้นเสียงธรรมของหลวงตานี้มันจะแหลมคม! ชัดเจน! ตรงประเด็น! พุ่งเข้าสู่กิเลส! เพราะมันเป็นความจริง แต่เพราะพวกเรามันมีความจำ แล้วเราใช้ศักยภาพว่าเราเป็นลูกศิษย์ลูกหา

เราจะขอร้องว่า ถ้าสิ่งใดฟังไม่เข้าใจให้แขวนไว้ อย่าแก้ไข อย่าดัดแปลง อย่าสันนิษฐาน วางไว้ก่อน เพราะเสียงธรรมของหลวงตานี้มีคุณค่ามาก! เพราะประสบการณ์ของจิตที่ท่านได้ฝึกได้ฝนมา เป็นวิชาการ เป็นประสบการณ์อันยอดเยี่ยม! แล้วท่านเทศนาว่าการไว้ มันมีคุณสมบัติ มีคุณค่ามหาศาล

หลวงตาท่านพูดเอง เพราะท่านเป็นเพื่อนกัน หลวงปู่มหาเขียนท่านจบ ๙ ประโยค ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา แล้วท่านลาออกจากการเป็นเจ้าคณะจังหวัดออกมาประพฤติปฏิบัติ ท่านจบ ๙ ประโยค ท่านเป็นเจ้าคุณด้วย ท่านมีการศึกษา จบกระบวนการศึกษาถึง ๙ ประโยค แล้วท่านมีประสบการณ์ของท่าน หลวงตาบอกว่าเวลาท่านลาออกแล้วท่านไปอยู่ที่บ้านโพน

ฉะนั้นลูกศิษย์ของหลวงตากับลูกศิษย์ของหลวงปู่มหาเขียนเป็นลูกศิษย์กลุ่มเดียวกัน เวลาลูกศิษย์ของหลวงปู่มหาเขียนท่านไปทอดผ้าป่าที่กาฬสินธุ์ก็นิมนต์หลวงตาไปด้วย หลวงตาท่านก็ไปนั่งฟัง เพราะท่านเป็นเพื่อนกัน ท่านเรียนหนังสือมาด้วยกัน แต่หลวงตาพอจบ ๓ ประโยคแล้วท่านออกมาปฏิบัติก่อน ส่วนหลวงมหาปู่เขียนท่านเรียนต่อไปจนจบ ๙ ประโยค จนได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะจังหวัด แล้วท่านก็ลาออกมาประพฤติปฏิบัติ

หลวงตาท่านก็อยากจะฟังว่าหลวงปู่มหาเขียนท่านภาวนาไปถึงไหน เวลาไปทอดผ้าป่าเขาก็นิมนต์ให้ท่านเทศน์ ท่านก็นั่งฟังเทศน์อยู่ แล้วหลวงตาท่านบอกว่า “ที่เทศน์มานี้คือเทศน์ปริยัติทั้งหมด เทศน์ออกมานี้เทศน์ออกมาจากการศึกษา มันไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ในการปฏิบัติเลย” ท่านก็รอฟังอยู่ สุดท้ายแล้วท่านเป็นเพื่อนกัน ท่านก็ส่งลูกศิษย์ลูกหามาหาหลวงตา เขาก็เอาเทปที่บ้านตาด เทปที่เป็นกัณฑ์เด็ดๆ หม้อจิ๋วๆ ที่แหลมคม ชัดเจน ส่งไปให้หลวงปู่มหาเขียนท่านฟัง ท่านบอกว่าตอนกลางคืนท่านจะฟังของท่านตลอด ดูสิว่าสิ่งนี้มันเป็นประโยชน์ขนาดไหน เวลาหลวงปู่มหาเขียนท่านฟังของท่าน ถึงที่สุดท่านก็สิ้นทุกข์ของท่านได้ นี่เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันมีคุณค่า

ฉะนั้นผู้ใดที่ไม่เข้าใจอย่าสันนิษฐาน ขอร้องให้แขวนสิ่งนั้นไว้ เสียงธรรมของหลวงตามีคุณค่ามาก แล้วควรที่จะถนอมรักษาไว้ ต้นฉบับนี้ไม่ควรแก้ไข ไม่ควรเปลี่ยนแปลง ควรจะวางไว้ตามหลักเกณฑ์อันนั้น แล้วถ้าเราปฏิบัติถึงเราจะกราบ

หลวงตาท่านพูดว่า “ให้ภิกษุปฏิบัติไป ถ้าใครปฏิบัติแล้วยังคัดค้าน ยังไม่เห็นธรรมของท่านเป็นความจริงก็ให้ปฏิบัติไปก่อน ถ้าวันใดปฏิบัติแล้วเข้าถึงจุดนั้นจะมากราบศพผม” จะมากราบศพหลวงตา ฉะนั้นท่านท้าทายไว้แล้ว ฉะนั้นอย่าแก้ไข อย่าดัดแปลง เพราะมันมีคุณค่ามาก มันมีคุณค่าเพราะท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านมีความจริงของท่าน พวกเรามันไม่มีแล้วอ้างอิง

ดูสิเวลาเราออกมาเผยแผ่กัน ถ้าเผยแผ่ด้วยความไม่รู้หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มันก็จะทำให้อ่อนด้อยไป พอเราไม่รู้หรือเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์เราก็เผยแผ่ไปตามมุมมองของเรา มันก็จะทำให้เสียงธรรมของหลวงตามันอ่อนด้อยไปเรื่อยๆ

เวลาเราแกะเทปกันแล้วมาพิมพ์เป็นหนังสือ แล้วก็บอกว่า “หลวงตาพูดอย่างนี้! หลวงตาพูดอย่างนี้!” ท่านก็พูดจริงๆ ธรรมะที่เข้มข้น แหลมคม ชัดเจน ก่อนที่จะออกมาช่วยชาติตั้งแต่ประมาณปี ๒๕๔๐ ขึ้นไป หนังสือเล่มเก่าๆ เห็นไหม เรื่องเข้าสู่แดนนิพพาน, เข้าสู่แดนอวกาศของจิตของธรรม, แว่นส่องใจ, แว่นดวงใจ นี้ธรรมะชัดเจนมาก! ชัดเจนมาก แต่พอเวลาออกมาช่วยชาติแล้ว เพราะอะไร เพราะมันมีสังคม ในเมื่อสังคมมวลชนเข้ามาหาท่านมาก ต่างมีจริตนิสัยและอำนาจวาสนาแตกต่างกัน

เมื่อก่อนตอนท่านสอนพระเรา ท่านสอนพวกปฏิบัติ ท่านสอนด้วยข้อเท็จจริงเข้มข้น ไม่มีลูบหน้าปะจมูก จมูกขาดทั้งนั้น! ถ้าเข้าไปหาท่านนี่จมูกไม่เหลือ ขาดหมด! แต่เวลาท่านออกมาสังคม ออกมาช่วยโลก พอใครเข้าไปพูดธรรมะกับท่าน เห็นไหม ถ้าจะจมูกขาดมันก็จะทำให้สะเทือนกัน

ฉะนั้นธรรมะของท่าน ที่ท่านบอกว่าเป็นแกงหม้อใหญ่นี้หรือเวลาที่ท่านแก้ไขปัญหาก็เหมือนกันมันเป็นการรักษาน้ำใจ การที่ท่านรักษาน้ำใจเพราะท่านไม่ทำให้มันรุนแรงใช่ไหม แล้วธรรมะที่รักษาน้ำใจกับธรรมะที่เป็นข้อเท็จจริงมันแตกต่างกันอย่างใด ฉะนั้นธรรมะที่รักษาน้ำใจนี้ ถ้าพวกเราเอามาพูดกันว่า “หลวงตาพูดจริงๆ นะ” ก็พูดจริงๆ น่ะสิ แต่ธรรมะที่พูดเพื่อการรักษาน้ำใจ กับธรรมะก่อนที่จะออกมาช่วยชาติมันแตกต่างกันอย่างใด ฉะนั้นการรักษาน้ำใจนี้ ถ้าเราจะบอกว่า “หลวงตาพูดจริงๆ” แล้วเราก็เอามาตีพิมพ์กัน อันนี้ถ้าตีพิมพ์ไป เห็นไหม ธรรมะที่มันเริ่มออกมาเป็นโลก ธรรมกับโลกมันจะเริ่มเข้ามาประสานกัน ฉะนั้นสิ่งนี้มันจะอ่อนด้อยไปเรื่อยๆ

เสียงธรรมที่เข้มข้นที่เทศน์สอนพระหรือที่เทศน์สอนต่างๆ ถ้าไม่รู้อย่าสันนิษฐาน ถ้าเขียนไปหรือเผยแผ่ไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นี่ก็อันหนึ่ง แต่การเผยแผ่ไปด้วยมีเป้าประสงค์ การพิมพ์ การกระทำ เพื่อให้เข้ากับเจตนารมณ์หรือหมู่คณะของตัว ว่าสิ่งนั้นหลวงตารับรอง สิ่งนั้นหลวงตาเห็นด้วย นี้มันมีผลประโยชน์ทับซ้อน ถ้ามีผลประโยชน์ทับซ้อนมันก็ยิ่งเลวร้ายไปกว่าเดิม

ดูสิ ดูเวลาที่เขาแก้ไขกัน ที่เขาบอกว่า “หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาลอยถาดทองคำขึ้นไป....”

ทำไมท่านถึงลอยถาดทองคำขึ้นไปล่ะ?

เขาบอกว่า “ท่านได้อนาคามีแล้ว เพราะได้อนาคามีถาดทองคำนี้มันถึงทวนน้ำขึ้นไป”

ดูสิ! แล้วพูดด้วยนะว่าหลวงปู่มั่นพูด นี่มันสันนิษฐานเอา ถ้าจะบอกว่าหลวงปู่มั่นท่านพูดนี้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยการสันนิษฐานมันถึงทำให้หลักการคาดเคลื่อนกันไปหมดเลย มันจะเป็นไปได้อย่างไรว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลอยถาดทองคำขึ้นไปนี้ท่านได้อนาคามีแล้ว” แล้วบอกว่าหลวงปู่มั่นพูดด้วยนะ ในหนังสือมีไปดูสิที่เขาพิมพ์กัน นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรม ธรรมมันไม่มีแล้วอนาคามีจะเอามาจากไหน ก็มันยังไม่มีธรรม

เหมือนเราไม่มีตังค์แต่เราบอกว่าเราซื้อรถมา ซื้อเครื่องใช้ไม้สอยมา เราไม่มีตังค์แล้วจะซื้อมาได้อย่างไรล่ะ นี่ก็เหมือนกันเราต้องหาตังค์ก่อนใช่ไหม เราต้องมีตังค์ก่อนเราถึงจะไปหาซื้อสิ่งใดมาได้ ถ้าเราไม่มีตังค์แล้วจะไปซื้ออะไร ก็ขโมยเขามาทั้งนั้น ปล้นเขามาทั้งนั้น แต่ไอ้นี่ บอกว่า “เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอธิษฐานแล้วลอยถาดทองคำขึ้นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอนาคามีแล้ว ถ้าไม่ได้เป็นพระอนาคามีก็จะไม่กล้าอธิษฐานว่าคืนนี้ถ้านั่งแล้วไม่สำเร็จจะไม่ลุก”

โอ้โฮ.. มันไปใหญ่เลย นี่ไงสันนิษฐานเอา แล้วอ้างหลวงปู่มั่น นั่นเขาอ้างหลวงปู่มั่น แต่นี่หลวงตาของเรานะ

สิ่งที่ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ สิ่งที่ทำไปนี้ทำไปด้วยความไม่รู้แต่มันก็กลับจะมาทำลาย ทำลายเรื่องความชัดเจน ความแหลมคม ด้วยประโยชน์ที่โลกเขาจะได้สิ่งที่ดีงามจากที่ว่าหลวงตาเราประพฤติปฏิบัติมา การประพฤติปฏิบัติมาตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานมา แล้วประพฤติปฏิบัติมา ท่านมีประสบการณ์ของท่าน มันถึงพูดแล้วมันยิงเข้าเป้า มันชัดเจน แหลมคม เข้าสู่กิเลส แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติกันเรามีกิเลสเต็มตัว แล้วเวลาเราจะเผยแผ่ด้วยเราก็อ้างอิงทั้งหมด เราดึงฟ้าต่ำ!

ครูบาอาจารย์ของเราสะอาดบริสุทธิ์ ครูบาอาจารย์ของเราเป็นที่เคารพบูชา แล้วเวลาเราจะเผยแผ่กัน เราเผยแผ่กันด้วยอะไร? ด้วยกิเลสของเรา แล้วก็อ้างอิงหลวงตา มันก็เหมือนปัจจุบันนี้ที่เขาอ้างพุทธพจน์กัน พุทธพจน์นี่ไม่เถียง แต่ไอ้คนอ้างพุทธพจน์ล่ะ พุทธพจน์คืออะไร แล้วก็พูดออกมาบอกว่าพุทธพจน์ว่าอย่างนั้น พุทธพจน์พูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ? พุทธพจน์เวลาท่านพูดนะท่านพูดกับบุคคล ท่านพูดถึงกาลเทศะของคนที่ทำซึ่งมันแตกต่างแตกแขนงกันไป ท่านพูดไว้มหาศาล กับใครก็ได้ กับนักปฏิบัติที่หยาบละเอียดอย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน เวลาหลวงตาพูดนี่พูดกับใคร ถ้าพูดกับนักปฏิบัติก็อย่างหนึ่ง แต่ทีนี้เวลาพูดก็อ้างอิงกัน มันมีเหตุมีผล คนที่เอาหนังสือมาพิมพ์นี้มันชี้นำไง มันชี้นำเข้าไปสู่จุดใดจุดหนึ่ง มันไม่เป็นความจริง ถ้าจะบอกว่าท่านพูดก็พูดจริงๆ แต่พูดเพื่ออะไรล่ะที่ท่านพูดออกมา เห็นไหม การรักษาน้ำใจเพราะมันจะสะเทือนกัน มันสะเทือนโลก สะเทือนเขา แล้วถ้าสะเทือนแล้วคนๆ นั้นจะไม่มีกำลังใจ

ถ้าไม่มีกำลังใจ เวลาปฏิบัติไป ๑. ไม่มีกำลังใจ ๒. มันเป็นโทษกับเขาไหม มันเป็นโทษกับการทำความสงบของใจ การทำความสงบของใจมันไม่มีโทษนะ การทำความสงบของใจนี้จะทำอย่างไรก็ได้ให้มันสงบเข้ามา แล้วถ้ามีครูมีอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านจะแก้ไขของท่านเอง ถ้ามันสงบใช่ไหมแล้วจะออกวิปัสสนาไหม ถ้ามันออกวิปัสสนานี้มันจะเข้าสู่สัจจะ นี่ไงพระป่าพระกรรมฐานของเราถึงให้กำหนดพุทโธ ให้กำหนดอานาปานสติ หรือกำหนดอะไรก็ได้เพื่อให้จิตมันสงบเข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาแล้วเราจะค่อยๆ แก้ไขกันไป นี่คือภาคปฏิบัติ

แต่ถ้าเวลาภาคปริยัติขึ้นมาเราจะวิตกกังวลไปหมดเลย “ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนี้” นี่พูดถึงชาวพุทธทั่วไป ทีนี้เราเป็นครอบครัวกรรมฐาน จะบอกว่าหลวงตาพูดอย่างนี้ แล้วต้องทำอย่างนี้ แล้วก็บังคับให้จิตเราเป็นไปตามที่ท่านบอกว่าต้องเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้

หลวงตาท่านบอกนะ เรื่องอดอาหาร อันนี้ไม่ใช่เป็นการบังคับ อันนี้ไม่ใช่เป็นการสั่ง อันนี้ไม่ใช่เป็นการสอน อันนี้เป็นการพูดเล่าให้ฟัง เวลาหลวงตาท่านพูดถึงเรื่องอดอาหาร เห็นไหม ท่านบอกว่า “อันนี้ไม่ได้บังคับให้คนอดอาหาร อันนี้ไม่ได้สั่งให้คนอดอาหาร อันนี้เพียงแต่เอามาเล่าให้ฟัง เพราะผม (คือตัวท่าน) อดอาหารแล้วมันได้ประโยชน์มาก”

ท่านบอกว่า ท่านเคยอดนอนเวลาอยู่ที่เมืองจันทร์ วัดหนึ่งคือวัดของหลวงปู่ลีวัดอโศการาม ท่านอยู่ที่คลองกุ้ง วัดหนึ่งของหลวงปู่กงมาท่านอยู่ที่ทรายงาม เห็นไหม ที่ทรายงามเขาอดนอน แล้วที่คลองกุ้งเขาอดอาหาร หลวงตาท่านก็อยู่ที่นั่น ท่านบอกว่าท่านก็ทั้งอดอาหารทั้งอดนอน แต่การอดนอนของท่าน ท่านบอกว่าอดนอนแล้วไม่ดี ไม่ดีหมายถึงว่าปัญญามันไม่เกิด มันเกิดแบบว่ามันตื้อไปหมดเลย แต่ถ้าอดอาหารแล้วมันจะชัดเจน มันจะดีมาก ท่านบอกว่าท่านถูกจริตกับการอดอาหาร

คำว่า “ถูกจริต” เห็นไหม รถดีเซลไปเติมน้ำมันเบนซินมันก็เป็นไปไม่ได้ รถเบนซินไปเติมน้ำมันดีเซล เครื่องมันก็เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นถ้ารถเบนซินมันเติมน้ำมันเบนซิน แล้วถ้าน้ำมันมีคุณภาพเครื่องยนต์จะแน่น เครื่องยนต์จะติดดีมาก รถยนต์ดีเซลเวลาเติมน้ำมันดีเซลที่มีคุณภาพมันก็จะไปได้ของมัน

การอดอาหารมันส่งเสริม เพราะท่านอดอาหารแล้วมันได้ประโยชน์ เพราะท่านได้ประโยชน์ของท่าน ท่านถึงบอกว่า “ท่านไม่ได้บังคับ แต่ถ้าใครทำแล้วได้ประโยชน์นี่เราส่งเสริม ถ้าใครทำแล้วไม่ได้ประโยชน์ก็ทำทางอื่นก็ได้” นี่หลวงตาพูดนะ! เห็นไหม มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าต้องอย่างนั้น! ต้องอย่างนั้น! มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะคนภาวนาเป็นมันจะรู้ของมันว่าอะไรเป็นอะไร

ฉะนั้นเสียงธรรมของหลวงตาเป็นสิ่งที่มีคุณประโยชน์ ก็ต้องให้มันเป็นตามข้อเท็จจริงกับผู้ที่จะใช้ประโยชน์ ใช้ประโยชน์ได้จริงๆ นะ แม่น้ำสายหนึ่ง เห็นไหม ไหลไปตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนปลายน้ำ แม่น้ำทั้งสายเลยมันให้ความชุ่มชื้น ให้กับชุมชน ให้อาชีพเกษตรกรรมเขาจะได้แหล่งน้ำนั้น อาชีพประมงเขาจะได้ทำประมงในแม่น้ำนั้น แม่น้ำนั้นเขาเอาไปทำอุตสาหกรรม แม่น้ำนั้นเขาเอาไปทำน้ำดื่ม แม่น้ำนี้จะให้ประโยชน์มหาศาลเลย

เสียงธรรมของหลวงตานี้มีประโยชน์มากๆ มีประโยชน์มากๆ แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันมีหลักมีเกณฑ์ขนาดไหน เริ่มต้นถ้าผู้ปฏิบัติยังอ่อนด้อยอยู่เราก็ฟังมาเพื่อเป็นกำลังใจ ได้ฟังเทศน์หลวงตาแล้วมันจะมีการฮึกเหิม มันจะมีกำลังใจ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้ระดับของสมาธิ ถ้าได้ฟังธรรมที่ว่าท่านออกรู้ออกพิจารณาอย่างไร มันก็จะได้ประโยชน์ ถ้าผู้ที่ปฏิบัติถึงสกิทาคามี อนาคามีนี่ฟังให้ดีๆ ฟังอันที่ว่าหม้อจิ๋วๆ นั่นล่ะ มันจะได้ประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น

ฉะนั้นต้องวางไว้ให้เป็นตามความเป็นจริง อย่ามีอคติ ถ้าอคติก็เรื่องหนึ่ง ถ้าแบบว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ไม่ติเตียน แต่ติเตียนผู้ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำอะไรเพื่อผลประโยชน์กับหมู่คณะของตน แล้วพยายามจะดัดแปลงแก้ไข พิมพ์หนังสือให้บอกว่าหลวงตาท่านสอน! หลวงตาท่านพูด! หลวงตาท่านพูด!

พูดจริงๆ แต่พูดด้วยการรักษาน้ำใจหรือพูดด้วยอุบายอะไร เพราะอุบายที่เราจะสอนคนมันมีอุบายตั้งมหาศาล ถ้าเป็นความจริงมันต้องมีข้อเท็จจริง ไม่ใช่ว่าหลวงตาท่านให้คะแนนแล้วว่าจะเป็นอย่างนั้นๆๆ มันมีเทคนิค สกรู น็อตนี่เกลียวซ้ายมันก็เข้ากับเกลียวซ้าย เกลียวขวาก็เข้ากับเกลียวขวา ถ้าเป็นน็อตหยาบมันก็ต้องน็อตหยาบทั้งตัวผู้ตัวเมีย มันถึงจะเข้า มันถึงจะได้ประโยชน์ ถ้าน็อตละเอียดมันก็ต้องเป็นน็อตละเอียดถึงจะเข้ากันโดยข้อเท็จจริงถูกต้องไหม

ในการภาวนา เวลาพูดธรรมะออกมามันจะเข้ากันได้ น็อตละเอียดมันก็ต้องหัวละเอียดทั้งตัวผู้ตัวเมีย มันก็จะเข้ากันเพราะมันจะใช้ประโยชน์ได้ ถ้าน็อตหยาบไปเข้ากับน็อตละเอียด ตัวผู้ตัวเมียแตกต่างกันมันจะใช้ประโยชน์ได้ไหม ธรรมะที่ออกมาจากใจ ธรรมะที่ออกมาจากความเป็นจริง มันจะเข้าสู่สัจจะความจริง มันพิสูจน์ตรวจสอบได้ทั้งนั้น ฉะนั้นการพิสูจน์ตรวจสอบ ก็พิสูจน์ตรวจสอบจากการแสดงออก

“ศีล” เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราอยู่ด้วยกัน เพราะว่าความอยู่ด้วยกันทุกวันๆ มันเห็นกิริยา เห็นการกระทำ

“ธรรม” จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อแสดงออก หลวงตาท่านบอกว่า “ใครเทศน์ก็คือเปิดหัวอก” ฉันมีเท่านี้ ความรู้ความเห็นของฉันมีเท่านี้ ถ้าไม่รู้แล้วพูดออกมาก็งูๆ ปลาๆ ไม่มีสิ่งใดชัดเจน งูๆ ปลาๆ อ้างว่าหลวงตาบอกหลวงตาสอน แต่ไม่เข้ากันเลย เป็นไปไม่ได้เลย

แต่หลวงตาท่านเป็นความจริงเพราะท่านประพฤติปฏิบัติมา หลวงปู่มั่นท่านบอกไว้ “ให้หมู่คณะปฏิบัติมานะ แล้วถ้าจิตเป็นอย่างใดผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ” ผู้เฒ่าคือตัวหลวงปู่มั่นท่านจะแก้จิต ในการประพฤติปฏิบัติ เพราะหลวงปู่มั่นท่านสมบุกสมบันมามาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมามาก เวลาตรัสรู้เองโดยชอบท่านก็ต้องตรัสรู้เองโดยชอบด้วยบุญญาธิการของท่าน หลวงปู่มั่นท่านก็ได้สร้างบุญญาธิการของท่านมามาก ฉะนั้นเวลาท่านสละพุทธภูมิแล้วออกมาค้นคว้า เป็นสาวก-สาวกะ แต่พอท่านปฏิบัติแล้วท่านจะมีเครื่องมือของท่านเยอะมาก

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาจิตสะอาดนี้ก็สะอาดเหมือนกัน แต่มีเครื่องมืออีกไหม หลวงปู่มั่นมีอภิญญา ๖ หลวงปู่ตื้อมีอภิญญา ๖ หลวงปู่มั่นกับหลวงปู่ตื้อเวลาท่านจะใช้งานกัน เห็นไหม ท่านรู้ท่านเห็นสิ่งใด ท่านจะให้หลวงปู่ตื้อไปพิสูจน์ตรวจสอบ ถ้าจะบอกว่าหลวงปู่มั่นมีอภิญญา ๖ จะเอาอะไรมาเป็นหลักฐาน ก็หลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่มั่นเป็นหลักฐาน

ฉะนั้นหลวงปู่มั่นท่านมีเครื่องมือของท่านมาก แล้วท่านใช้เครื่องมือนี้เพื่อประโยชน์กับการสั่งสอน อภิญญาแก้กิเลสไม่ได้ หลวงปู่เจี๊ยะเป็นคนถามหลวงปู่มั่นเองว่า

“อภิญญาแก้กิเลสได้ไหม?”

หลวงปู่มั่นบอกว่า “ไม่ได้!”

แล้วหลวงปู่เจี๊ยะก็ยังถามท่านว่า “ไม่ได้แล้วหลวงปู่มั่นฝึกทำอภิญญา ๖ ทำไม?”

ท่านบอกว่า “ฝึกอภิญญา ๖ มาเป็นเครื่องมือสั่งสอนคน”

ฉะนั้นเวลาพระที่อยู่กับท่านคิดนอกรอบ คิดนอกกรอบ คิดเรื่องเหลวไหล ท่านก็จะเตือนทันทีๆ ท่านรู้ของท่าน แต่อันนี้ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่สัจธรรม ถ้าสัจธรรมก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ความดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ อันนั้นมันเป็นการชำระกิเลส

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านทำของท่านมา เป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา วิธีการสั่งสอนของท่านเพื่อให้เข้าสู่สัจจะความจริง ถ้ามันเข้าสู่สัจจะความจริง มันจะเป็นประโยชน์กับสังคม เป็นประโยชน์กับโลก

แม่น้ำสายหนึ่งให้ประโยชน์กับสังคมมหาศาล เสียงธรรมของหลวงตาจะเป็นประโยชน์กับชาวพุทธมหาศาล ชาวพุทธควรจะช่วยกันถนอมรักษาไว้เพื่อให้เป็นประโยชน์ พระหรือครูบาอาจารย์ระดับนี้จะมาเกิดบ่อยๆ หาไม่ได้ ฉะนั้นครูบาอาจารย์ท่านเกิดของท่านมา แล้วท่านได้สร้างประโยชน์ไว้กับสังคมมหาศาล แล้วท่านได้ทิ้งร่องรอย เสียงธรรมของหลวงตานี้มันเป็นเทคนิค มันเป็นอริยสัจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งนี้เป็นหัวใจของศาสนา ผู้ที่ปฏิบัติธรรมเข้าไปรู้ตามความเป็นจริง หลวงตาของเราท่านประพฤติปฏิบัติมาด้วยมีหลวงปู่มั่นคอยชี้นำ คอยบังคับ คอยแก้ไข จนจิตใจของท่านมีความรู้จริง ฉะนั้นเวลาท่านแสดงออกมามันถึงแหลมคมและชัดเจนมาก!

แต่ปัจจุบันนี้โลกเราอ่อนแอ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะเอาแต่ความสะดวกสบาย ชุบมือเปิบ อยากให้เป็นไปอย่างที่เราปรารถนา แล้วพอไม่ได้ก็เหมือนกับหมาเอาหนังเสือมาห่ม เอาเสียงธรรมของหลวงตามาแล้วบอกว่าเป็นลูกศิษย์ลูกหา แล้วก็จะแสดงออกเหมือนกับท่าน มันเหมือนไม่ได้ เสือเวลามันคำราม มันคำรามออกมาด้วยเสียงของมัน มันกระหึ่มไปหมดเลย หมามันห่มหนังเสือ แล้วมันพยายามจะเห่าให้เหมือนเสือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ฉะนั้นถ้ามันเป็นไปไม่ได้หรือสิ่งใดก็แล้วแต่ เราจะขอร้องว่าสิ่งที่มีคุณธรรมนี้ ถ้าเรายังรู้ไม่ได้ เราก็ไม่ควรเอามาเป็นสินค้า เอามาเพื่อเป็นเรื่องโลกๆ ไป เราต้องวางไว้ตามความเป็นจริง แล้วเราจะเผยแผ่กันอย่างใดก็ควรจะเผยแผ่ไปตามข้อเท็จจริงนั้น

แล้วสิ่งที่ว่าหนังสือที่พิมพ์มานี้มันผิดตรงไหนล่ะก็มันเป็นข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงนี้มันเป็นการภายใน ข้อเท็จจริงนี้พูดออกมาเพื่อการให้กำลังใจ การให้กำลังใจกับการประพฤติปฏิบัติจนรู้จริงขึ้นมามันคนละเรื่องเดียวกันนะ

ดูสิดูพ่อแม่ที่มีลูกหลายๆ คน เวลาลูกทำสิ่งใดมา เราต้องการให้ลูกเราเดินตามช่องทางนั้น เราก็พยายามจะให้กำลังใจ เราพยายามส่งเสริม พยายามยกยอให้เด็กมันเข้าไปสู่เป้าหมายนั้นอันนี้ก็เหมือนกัน เวลาท่านพูดด้วยการรักษาน้ำใจ พูดเพื่อประโยชน์ คำพูดอย่างนี้ถ้าวุฒิภาวะของคนทำหนังสือ วุฒิภาวะของคนเผยแผ่มันอ่อนด้อยขนาดนี้มันก็จะเผยแผ่ธรรมที่เป็นตลาด เป็นโลก เป็นการรักษาน้ำใจ แต่มันไม่ได้เผยแผ่ธรรมที่เป็นอริยสัจ ไม่ได้เผยแผ่ธรรมที่เป็นความแหลมคม ชัดเจน เพื่อเข้าไปชำระกิเลส

เห็นไหม โรงพยาบาลโรงหนึ่ง ยาในโรงพยาบาลนั้นมันก็มีหลากหลายตั้งแต่ยาพื้นๆ ยาแดง ยาแก้ลมต่างๆ ที่เราไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเราก็มี แต่เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยรุนแรงมันก็ต้องใช้ยาที่มีคุณภาพ ยาที่หาได้ยาก ธรรมของหลวงตาเราก็เหมือนกัน มันมีหลากหลาย แต่ถ้าเราใช้แต่ความเป็นตลาดเพื่อการเอาใจ เพื่อชักนำ เพื่อผลประโยชน์ เพื่ออะไรหลายๆ อย่าง อันนี้มันจะทำให้เสียหายไป ธรรมของหลวงตามันชัดเจนได้เพราะท่านประพฤติปฏิบัติจริง ท่านรู้จริงของท่าน มันก็เลยแหลมคม ชัดเจน ตรงประเด็น เข้าสู่กิเลส

ถ้าเราจะเผยแผ่ต่อไปเราควรจะทำใจของเรา เราประพฤติปฏิบัติให้รู้จริงก่อน ถ้ารู้จริงเราก็จะควบคุมแล้วจะทำให้ไม่เสียหายได้ แต่ถ้าไม่รู้จริงแล้วเรามีหน้าที่ล่ะ ถ้ามีหน้าที่ก็จะต้องทำให้มันเป็นตามความเป็นจริง ให้มีเจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์ เจตนาสำคัญนะ เพราะถ้าเจตนาไม่สะอาดบริสุทธิ์มันก็จะทำเข้ากับกิเลสของตัว แล้วถ้ายิ่งมีผลประโยชน์เข้ามา มันก็จะมีความเสียหายไปหมด

นี้พูดด้วยความวิตกกังวล ถ้าจะบอกว่าเรื่องมันยังไม่มีเลย พูดไปทำไม เราก็จะบอกว่าวันนี้ขอพูด ขอพูดไว้เพื่อเป็นประโยชน์กับหมู่คณะ เพื่อเป็นประโยชน์กับเสียงธรรมของหลวงตา เพราะเสียงธรรมของหลวงตาได้สร้างพระมามาก เสียงธรรมของหลวงตาได้สร้างประโยชน์กับชาวโลกมามาก ฉะนั้นพูดเพราะเห็นคุณค่า อยากให้สิ่งนี้มีความยั่งยืนอยู่กับสังคม อยู่กับเราตลอดไป เอวัง