ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ธรรมะจะออกทะเล

๑๖ เม.ย. ๒๕๕๔

 

ธรรมะจะออกทะเล
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่)ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : มันข้อ ๓๘๗. มีอะไรอยู่ข้างหลังและคอยบงการตัวรู้อีกไหมครับ?

หลวงพ่อ : นี่ประสบการณ์ภาวนานะ เขาภาวนาขึ้นมา

ถาม : นมัสการหลวงพ่อ หลังจากที่ผมพิจารณากายมาเรื่อยๆ ผมไม่สงสัยเรื่องกายนอกและกายในว่ามันเป็นตัวของผมแล้วครับ มาถึงจุดนี้เรื่องของจิตจะปรากฏมาให้รับรู้แจ่มชัด กล่าวคือจิตจะหมุนวนไปแค่ในภพต่างๆ รับอารมณ์ความรู้สึกในภพต่างๆ ตลอดเวลา ผมติดตามมันดั่งที่หลวงพ่อเคยแนะนำแก่ผมไว้ ติดตามไปในลักษณะที่ว่า ทำไมจิตมันถึงไปแช่ในภพนั้นภพนี้ มันเป็นไปได้อย่างไร

วันหนึ่งเดินจงกรม พบว่า มันต้องอาศัยความคิด แล้วจึงมาแช่อยู่ในภพ ผมก็ไล่ย้อนให้ลึกเข้าไปอีกว่าทำไมมัน “คิด” พบว่าที่คิดเพราะมันมี “ตัวเรา” ผมก็ไล่เข้าไปอีก เพราะตัวเราในความคิดมันเป็นนิมิตเป็นรูปตัวเราอยู่ในจิต หรือไม่ก็มีลักษณะว่ามี “เรา” จ้องมองเหตุการณ์ในความคิดนั้นๆ ผมก็ชำแหละดูบ้าง กำหนดว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็เน่าบ้าง เหี่ยวบ้าง ตายบ้าง ก็ไม่เห็นว่าเป็นตัวเราตรง ไหน ผมทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

วันหนึ่งขณะเดินจงกรม กลับพบเองโดยจิตว่า “ตัวเรา” นั้นเกิดจากการไปยึดเอาบัญญัติต่างๆ เช่น หน้าที่ที่ต้องกระทำในฐานะที่เกิดเป็นมนุษย์ เราจึงยึดตรงนั้นว่าเป็น “เรา” เพราะเวลาที่เราทำหน้าที่นั้นโดยสติไม่สมบูรณ์ มันเกิดอารมณ์สุข-ทุกข์อันสืบเนื่องจากการกระทำนั้นๆ แต่จิตที่มีสติไม่สมบูรณ์ไปชอบอารมณ์สุข ไปเกลียดอารมณ์ทุกข์ มันก็เกิด “ตัวเรา” ขึ้นมา

บัดนี้ผมพบว่าถ้า “ตัวรู้” แบบรู้ชัดสติสมบูรณ์เลยว่าสิ่งใดเป็นสมมุติบัญญัติ ถ้าคิดออกไปในตัวรู้สภาวะแบบนี้ เพื่อทำสิ่งที่เป็นสมมุติบัญญัติให้สำเร็จไปตามหน้าที่ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและส่วนรวมรอบกาย อารมณ์กิเลสทั้งหลายก็จะไม่เกิดเลย

ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า

๑. มีอะไรอยู่ข้างหลังและคอยบงการ “ตัวรู้” อีกหรือไม่ครับ เพราะผมพยายามย้อนไล่ให้ลึกเข้าไป เพื่อหาว่ามีอะไรอยู่หลังตัวรู้อีกหรือเปล่า ผมก็หาไม่เจอสิ่งนั้นครับ

๒. ผมขอถามแบบคนที่รู้น้อยนะครับ จากที่ผมปฏิบัติมาผมเกิดความเข้าใจว่า ที่คนตายแล้วต้องเกิด เพราะจิตตัวนี้แหละ จิตที่ท่องเที่ยวไปแช่อยู่ในภพต่างๆ นี่แหละ จิตตัวนี้ธรรมชาติของมันก็ต้องการภพหยาบๆ เหมือนกัน เช่น ร่างกายมนุษย์ เพราะเวลามันท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ พอสมควรแล้ว มันต้องกลับมาใช้ มาทำอะไรสักอย่างในภพหยาบๆ นี้ อุปมาเหมือนชาร์ตแบตเตอรี่ (เขาว่าอย่างนั้นนะ) ดังนั้นเมื่อเราตาย ผมว่าธรรมชาติของจิตมันก็ต้องไปหาภพหยาบๆ อยู่

เช่น คน เทวดา สัตว์ เพราะธรรมชาติของมันต้องมีที่พัก และก็ไม่ใช่ความคิดสุดท้ายก่อนตายด้วยว่าจะเกิดเป็นอะไร แต่จะเกิดเป็นอะไรอยู่ที่ว่าจิตคุ้นชินกับภพนั้น และได้อยู่ในภพนั้นมานานตามกำลังของความดีและความชั่วของจิตในตอนเป็นมนุษย์ ผมเข้าใจถูกไหมครับ?

หลวงพ่อ : อันที่ ๒. นี้ เห็นไหม เวลาภาวนาไป ถ้าเราพูดถึงเรื่องจิต พอฟังเข้าใจแล้ว มันจะอธิบายว่าจิตนี้เวียนตายเวียนเกิด เขาบอกว่าจิตนี่เวียนตายเวียนเกิดของเขา

ทีนี้เอาข้อที่ ๑. ก่อน ถ้าคนยังไม่ปฏิบัติก็ยังจะงงๆ อยู่นะ แต่คนที่เขาปฏิบัติแล้ว เห็นไหม

“๑. มีอะไรอยู่ข้างหลังคอยบงการตัวรู้อีกหรือไม่ครับ เพราะผมพยายามไล่ต้อนให้ลึกเข้าไปเพื่อหาว่ามีอะไรอยู่หลังตัวรู้อีกหรือเปล่า ผมก็หาไม่เจอสิ่งนั้น”

ตัวรู้นี่ เวลาความเข้าใจนี่ ตัวรู้นี่ตัวรู้ของใคร นี่เราพูดเป็นพื้นฐานก่อนนะ แต่ผู้ที่ถาม คนที่ปฏิบัติ เห็นไหม เวลาลูกศิษย์กับอาจารย์คุยกัน ธัมมสากัจฉา จะรู้ได้เลยว่าคนถามอยู่ในระดับใด แต่นี่เพราะว่าคนถามเขาอยู่ในระดับที่ว่าเขาใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้ามาพอสมควรแล้ว พอปัญญาอบรมสมาธิเขามีหลักของเขาแล้ว พอมีหลักของเขาแล้วเขาพิจารณาของเขามา มันก็จะเข้ามาสู่ตัวนี้

ถ้าเข้ามาสู่ตัวนี้คือว่า พิจารณา รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร แล้วปล่อยเข้ามา..ปล่อยเข้ามา.. พอปล่อยเข้ามาจนมันเป็นกัลยาณปุถุชน คือ จิตมันมีความสงบ มีสมาธิ มันถึงพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง พอพิจารณาอีกชั้นหนึ่งปั๊บนี่มันจะเห็นเลย เห็นว่ากายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย การเห็นอย่างนี้เพราะว่าเรามีข้อมูลอยู่แล้ว เราศึกษาวิชาการอยู่แล้ว ธรรมะบอกว่า “ไม่ใช่เรา..ไม่ใช่เรา..” แต่จิตใต้สำนึกมันว่าเป็นเรา

พอพิจารณาไป..พิจารณาไป มันก็จะเริ่มชำระล้างกัน พอเริ่มชำระล้างกัน เขาเรียกว่า ตทังคปหาน คือว่า “จิตเห็นอาการของจิต” เวลาพิจารณาไปจนจิตสงบ จิตสงบนี้มันเห็นการเสวยอารมณ์ เห็นการเสวยความคิด เห็นการเสวยในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ

ในรูปคืออารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ของคนนี่นะ ถ้ามันไม่มีความรู้สึก กระบวนการไม่ครบ มันก็เป็นอารมณ์ไม่ได้หรอก เช่น ความคิด ความโกรธ ความเกลียดต่างๆ ความทุกข์ มันสมบูรณ์ในขันธ์ ๕ ในรูป ในเวทนา ในสังขาร ในวิญญาณ เพราะอารมณ์ความรู้สึก อารมณ์หนึ่งก็คือรูปหนึ่ง มันพร้อม ส่วนผสมส่วนประกอบมันเป็นอารมณ์แล้วมันถึงเป็นอารมณ์ออกมา แต่ตัวพลังงานเป็นอีกตัวหนึ่ง มันเห็นอารมณ์ มันเห็นการเสวยอารมณ์ มันจับอารมณ์นั้นได้ มันถึงพิจารณาได้ พิจารณาแล้วก็ปล่อยวาง..ปล่อยวาง.. ปล่อยวางมาจนเหลือแต่ตัวรู้ไง พอปล่อยวางมาจนถึงเหลือแต่ตัวรู้ แล้วมันมีอะไรบงการอยู่เบื้องหลังตัวรู้ล่ะ

ถ้าเราพิจารณาไปนะ เวลาพิจารณาไปจากหยาบมันจะละเอียดขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าจะบอกว่า “มีอะไรอยู่ข้างหลังคอยบงการตัวรู้ล่ะ?”

ก็อวิชชาไง ก็กิเลสไง อยู่ข้างหลังคอยบงการตัวรู้ เพราะตัวรู้นี้มันคือตัวภพ ตัวรู้ ตัวพลังงานนี้คือตัวภพ เห็นไหม “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” จิตผ่องใส จิตว่างๆ นั่นล่ะคือตัวกิเลส ตัวภพ ตัวสถานที่ ความคิดเกิดจากตรงนี้!

ถ้าความคิดเกิดจากตรงนี้ปั๊บ พอมันเสวย เห็นไหม มันเสวยคือมันส่งออก ส่งออกไปมันก็เป็นอารมณ์ ถ้าอารมณ์ดี คิดดี ปัญญาดี มันก็อยู่ในสัจธรรม อยู่ในวงอริยสัจ มันก็ปล่อยวาง มันก็เป็นประโยชน์กับมัน เห็นไหม ทีนี้พอปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางบ่อยครั้งๆ แล้วมันเหลืออะไรล่ะ เอ้อ..มันเหลืออะไร เพราะมันยังไม่ขาด มันก็ต้องซ้ำเข้าไป

เห็นไหม ผู้ถาม ถามเพราะความสงสัย

“ผมขอถามหลวงพ่อว่า ๑. มีอะไรอยู่ข้างหลังและคอยบงการตัวรู้อีกไหมครับ?”

มี! ถ้าไม่มีก็ไม่ถามมาหรอก ถามมาเพราะก็รู้ว่ามันมีอยู่แล้ว แต่หาไม่เจอถึงถามมา (หัวเราะ) เพราะมันมีใช่ไหม ใครๆ ก็รู้ว่ามันมี คำว่ารู้ว่ามีนี่ จิตเราดีนะ จิตของเราดี เราจะรู้เลยว่า เรามีความสงสัย เรามีความอาลัยอาวรณ์ มันมีตะกอนอยู่ในใจ

สิ่งที่มีตะกอนอยู่ในใจมันคือกิเลส ถ้าเราซื่อสัตย์กับตัวเราเอง การปฏิบัติของเรามันจะสะอาดบริสุทธิ์และมันจะเข้าสู่อริยสัจ แต่ถ้าเราเข้าข้างตัวเองนะ พอมันปล่อยอย่างนี้ ก็ให้คะแนน ๕ คะแนน ๑๐ คะแนนเลย ได้เป็นโสดาบัน พอปล่อยอีกทีหนึ่งนะได้เป็นสกิทาคามี พอปล่อยอีกทีหนึ่งนะได้เป็นอนาคามี พอปล่อยอีกทีหนึ่งได้เป็นพระอรหันต์

พระอรหันต์ดิบๆ ไง! พระอรหันต์ให้คะแนนตัวเองไง! ถ้าคนไม่ซื่อไม่บริสุทธิ์กับตัวเอง เวลาปฏิบัติไปมันจะให้คะแนนตัวเองไปเรื่อยๆ ให้คะแนนโดยประสบการณ์ของจิต ความคิดเราเกิดดับ เราคิดขึ้นมาเรื่องอะไรก็แล้วแต่ แล้วมันดับไป เราก็ได้เป็นโสดาบันแล้ว พอคิดอีกทีหนึ่ง พอคิดเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เรื่องงานเรื่องการ พอมันปล่อยก็เป็นสกิทาคามีแล้ว พอมาคิดอีกที ปล่อยอีกทีก็เป็นอนาคามีแล้ว พอคิดอีกทีก็เป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะอะไร เพราะเราสมมุติให้มันเข้ากับธรรมะไง

ฉะนั้นสิ่งที่มันอยู่หลังตัวรู้ มันคืออวิชชา มันคือกิเลส ฉะนั้นเราจะไม่เห็นมันหรอก เวลาสังโยชน์ขาดนะ เป็นพระโสดาบันสังโยชน์ขาด ทุกคนจะบอกว่าสังโยชน์ต้องขาด ทุกคนก็เลยบอกว่า “ตอนนี้ไม่ทำอะไรเลย กำลังจะล่าสังโยชน์ จะหาสังโยชน์มาสับให้มันขาด”

แล้วสังโยชน์มันคืออะไร สังโยชน์นี่มันเป็นนามธรรม สังโยชน์นะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์มันเหมือนข้อกฎหมาย สังโยชน์หมายถึงความยึดของใจ เพราะใจมันยึด มันก็เกิดสังโยชน์มันมัดไว้ แล้วพอบอกว่าสังโยชน์มันต้องขาด ก็ไม่ต้องปฏิบัติอะไรเลยนะ บางคนจะคิดอย่างนั้น จะล่าสังโยชน์ จะวิ่งเข้าไปหาสังโยชน์ แล้วสังโยชน์มันอยู่ไหน สังโยชน์มันเป็นผลของใจที่มันยึดมั่นถือมั่น

ฉะนั้นเวลาพิจารณาขึ้นไป ตัวรู้มันมีอะไรบงการอยู่ข้างหลัง ตัวบงการ คือทิฏฐิมานะ คือความเห็นผิดของใจ ทีนี้ความเห็นผิดของใจมันอยู่ที่ไหน ก็บอกว่าเราเห็นถูกหมดแล้ว ความเห็นผิดของใจ หมายถึงว่า มันเห็นผิดในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ฉะนั้นไม่ต้องไปวิ่งไล่หาที่ไหนเลย พิจารณากายซ้ำเข้าไป กาย เวทนา จิต ธรรม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..

เวลาใครไปถามปัญหาหลวงตา ไปเปิดดูปัญหาหลวงตาเก่าๆ นะ

พอถามท่านว่า “ถูกไหม?”

“ถูก”

“แล้วทำอย่างไรต่อ?”

“ซ้ำซ้ำเข้าไป ถ้าถูกแล้ว”

หมายถึงว่าเราทำงาน เราเป็นศิลปิน เราปั้นรูปอะไรก็แล้วแต่ ปั้นถูกไหม...ถูก แล้วครั้งต่อไปล่ะ...ครั้งต่อไปก็ปั้นให้สวยกว่านี้ ปั้นให้ดีกว่านี้ แล้วเราก็ปั้นรูปที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ พอเราปั้นบ่อยครั้งเข้า เราก็จะมีความชำนาญมากขึ้น นี่ก็เหมือนกัน ซ้ำก็คือการปั้นรูปที่ ๒ ปั้นรูปที่ ๓ ปั้นรูปที่ ๔ มีความชำนาญของจิต จิตมีความชำนาญขึ้นไป เพราะมันเป็นนามธรรมทั้งนั้น ซ้ำเข้าไป

“มีสิ่งใดอยู่เบื้องหลังตัวรู้?”

ถ้าไปหาตรงนั้นมันไม่เจอ ถ้าไปหานะ ดูกิริยามารยาทสิ กิริยามารยาทของเราที่แสดงออกมานี่ ถ้ากิริยามารยาทของคนนุ่มนวลนะ โอ้โฮ..กิริยามารยาทดูดีมากเลย กิริยามารยาทนี้มาจากอะไร กิริยามารยาทก็คือกิริยามารยาทใช่ไหม “กิริยา” นี่ก็เหมือนกัน การแสดงออกของตัวรู้ก็คือกิริยา แล้วอะไรอยู่เบื้องหลังมันล่ะ ก็ตัวมันนั่นล่ะ การแสดงออกของมันเป็นกิริยาออกมานั่นล่ะ ฉะนั้นให้ซ้ำเข้าไป ไล่เข้าไป แล้วเวลาไล่เข้าไป พอความรู้อย่างนี้นะ มันก็จะบอกว่า “อันนี้เป็นกิเลสนะ ตัวฉันไม่ได้เป็นนะ” มันจะสร้างไง “อันนี้เป็นกิเลสนะ เอ้า.. กิเลสอยู่ที่นี่นะ ตัวฉันเป็นคนดีนะ” โอ๊ย..เวลามันหลบนะ ฉะนั้นต้องซ้ำเข้าไปๆ ด้วยความชำนาญ

“มีอะไรอยู่เบื้องหลังตัวรู้?”

ก็มีกิเลสของเรานั่นล่ะอยู่เบื้องหลังตัวรู้

แล้วให้ขยันหมั่นเพียร ที่พิจารณามาเรื่องกายไม่ใช่เรา พิจารณากาย กายมันจะแตกสลายได้ ให้ขยัน พอพิจารณาไปแล้วมันก็ปล่อย พอมันปล่อย เวลาเรามีปัญญา พิจารณาแล้วมันปล่อย พอปล่อยแล้วนะ พอปล่อยสักพัก ถ้าปล่อยด้วยปัญญาด้วยสมาธิ มันจะมีความสุข มันว่าง สุข ว่าง เวิ้งว้างไปหมดเลย สักพักหนึ่ง มันก็คิดใหม่ ก็ให้ซ้ำอีก

ถ้าสมาธิไม่พอ พอไปคิดใหม่ พิจารณานี่มันไม่ปล่อย มันก็ต้องใช้พลังงานแล้วเหนื่อย ก็กลับมาทำความสงบของใจ แล้วพิจารณาซ้ำถ้ากำลังมันพอมันก็ปล่อย พอปล่อยแล้วมันก็มีความสุข สักพักพอมันเสวยอารมณ์อีก มันมีความคิดอีก ก็ซ้ำอีก ถ้าสมาธิใช้ได้ ปัญญามันพอ มันสมดุล มันก็จะปล่อย นี่คือมัชฌิมาปฏิปทา แต่ถ้ามันไม่ปล่อยแสดงว่ามันไม่มัชฌิมาปฏิปทา มันเอียงกระเท่เร่ ก็กลับมาทำความสงบอีก ซ้ำอีก แล้วพิจารณาซ้ำไป นี่คือ “สมถะ-วิปัสสนา” ที่ก้าวเดินไปพร้อมกัน นี่คือการภาวนา ให้ก้าวเดินอย่างนี้ไปตลอด แล้วมันจะหลบหลีกอย่างไร ก็ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่คือการภาวนา ต่อสู้ไปอย่างนี้!

“อะไรอยู่เบื้องหลัง?”

บอกไปอย่างไรมันก็เป็นนามธรรม ต้องผู้ปฏิบัติรู้ เข้าไปเห็น แล้วชำระของมัน มันปล่อยของมัน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วเวลาขณะจิตที่เป็นนั่นล่ะ เดี๋ยวจะรู้ ถ้ามันเป็นนะ เอากิริยาอย่างนั้นมาบอกกัน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ เป็นผู้ฟังเท่านั้น เป็นผู้บอกว่า “ใช่หรือไม่ใช่” แต่การกระทำต้องกระทำจากผู้ปฏิบัติเท่านั้น นี้คือข้อที่ ๑.

ถาม : ข้อที่ ๒. ผมขอถามแบบผู้รู้น้อยครับ จากที่ผมปฏิบัติมา ผมเกิดความเข้าใจว่าคนเราตายแล้วต้องเกิด เพราะตัวจิตนี่แหละ จิตนี้ท่องเที่ยวไปแช่อยู่ในภพต่างๆ

หลวงพ่อ : คำว่า “ท่องเที่ยว” เพราะเราพิจารณาไปแล้วเราเห็นไงว่าเวลาอารมณ์ความรู้สึก ภพชาติ มโนกรรม เห็นไหม เวลาคนเกิดคนตาย เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ เคยเป็นมนุษย์ เวลาความรู้สึกมันเกิด อารมณ์มันเกิด เกิดดับ..เกิดดับ.. เห็นไหม อิทัปปัจจยตา ปฏิจจ-สมุปบาท อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง เห็นไหม เกิดภพเกิดชาติในหัวใจ ภวาสวะ ภพ เกิดที่นี่ มันจะเป็นจริตนิสัย เราควบคุมที่นี่ จิตใจที่นี่ มันจะเป็นประโยชน์ที่นี่ อันนี้มันเป็นเรื่องผลของวัฏฏะ คือมนุษย์เป็นอย่างนี้ เทวดาเป็นอย่างนั้น พรหมเป็นอย่างนั้น นั่นเป็นเรื่องของวัฏฏะ แต่ในอริยสัจของเรา เราจะแทงทะลุเข้าไปในอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อันนี้เป็นการกระทำของเรา

ทีนี้ข้อที่ ๒. มันเป็นคำถามเพื่อฝึกฝนในการปฏิบัติเท่านั้น ไม่มีประเด็น ฉะนั้นคนเกิดคนตายนั้น เราเกิดเราตาย เรารู้ของเราแล้วเราจะเห็นของเรา เป็นประโยชน์กับเรา นี้เป็นผลของการภาวนา

ขยันหมั่นเพียร ซ้ำเข้าไป ตรงนี้ถูกต้องแล้ว แล้วถ้ามันจะรู้ มันจะเห็นของมัน มันจะเป็นประโยชน์กับมัน มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แล้วมันเป็นการชำระกิเลสโดยตรง “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” ผู้ที่ปฏิบัติมันจะได้ผลของมัน อันนี้คือเรื่องธรรมะนะ

ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องข้อสงสัยล่ะ โอ้ ๒-๓ ข้อแน่ะ

ถาม : ๓๘๘. “ผมอยากฟังชัดๆ ๒” (ชัดๆ ๑ไปแล้วไง) จากคนเดิมครับ

กราบเรียนหลวงพ่อครับ ผมได้ฟังเทศน์ของหลวงพ่อแล้ว จะนำไปพิจารณาถึงเรื่องราวต่างๆ ตามที่หลวงพ่อได้เทศน์มาครับ ในคราวนี้กระผมมีข้อเรียนถามอีกว่า (พระองค์หนึ่งนี่เราไม่พูดถึงนะ แล้วอีกองค์หนึ่ง เดี๋ยวพระอาจารย์สุดใจ เราจะพูดทีหลัง เพราะมันมีข้อทีหลังเขาถามมาอย่างนี้เหมือนกัน) พระองค์หนึ่งและพระอาจารย์สุดใจนั้น

๑. มีลับลมคมในหรือไม่?

๒. ทั้ง ๒ องค์นี้จะเป็นที่พึ่งของชาวพุทธได้หรือไม่?

๓. ที่วัดป่าบ้านตาดมีพระแท้ๆ ดำเนินตามปฏิปทาหรือไม่?

คำถามเหล่านี้เกิดจากกระแสชาวบ้าน มีมากมาย ไม่รู้จะจับต้นชนปลายอย่างไร ลำพังตัวผมเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าพระรูปไหนพอเป็นที่วางใจได้หรือเป็นสรณะได้ ผมจึงใคร่ขอกราบเรียนหลวงพ่อเมตตากระผมด้วยครับ ได้ฟังแต่ชาวบ้านพูดกัน กระผมก็คิดว่าหากเรียนถามหลวงพ่อ ก็จะพอมีหลักเกณฑ์เหตุผลให้คิดพิจารณาได้มากกว่าครับ กระผมขอกราบขอขมาหลวงพ่อ เพราะคำถามแบบนี้อาจจะเป็นช่องทางให้ผู้ที่ไม่ประสงค์ดีอาศัยโอกาสตำหนิติเตียนหลวงพ่อได้ กระผมไม่มีเจตนานั้นครับ ดังนั้นหากหลวงพ่อเห็นว่าไม่สมควรจะตอบ ก็ไม่ตอบก็ได้

หลวงพ่อ : อันนี้คำถามชัดๆ ทีแรกที่เราตอบไปแล้วหนหนึ่ง เพราะคำถามชัดๆ นี้มา เราถึงได้พูดเรื่องหมาของหลวงตาออกไป หมาของหลวงตาเพราะหลวงตาท่านก็ชมหมา รักหมา เหมือนกัน เราจะบอกว่าหมามันไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ลับลมคมใน แต่มนุษย์มันมีของมันไง ฉะนั้นเวลาชมเวลาติ เวลาหลวงตาด่านี่ไม่มีใครพูดถึงเลย

หลวงตาท่านบอกว่าตอนท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ ท่านเป็นเขียง เป็นกระโถน เป็นที่โขกสับของหลวงปู่มั่น ท้ายวัด หัววัด ใครผิด มีแต่มหาๆ ใครผิด หัววัด ท้ายวัด ก็มหาทั้งนั้น เราอยู่กับครูบาอาจารย์ เวลาท่านติท่านเตียนเราเพราะท่านจะปั้นเราให้เป็นคนดี สิ่งนั้นเป็นความดีต่างหาก คำชมที่เอามาขายกินหากินกัน มันไร้ประโยชน์ ไร้สาระ! แต่คำที่ท่านปั้นเรามา ท่านสอนเรามา อยู่ตรงไหน

ฉะนั้นที่เขาถามว่าพระอาจารย์สุดใจมีลับลมคมในไหม...ไม่ เพราะหลวงตาท่านตั้งเอง ท่านพูดสั่งพระไว้ “ถ้าเราตายไปแล้วให้ท่านสุดใจขึ้นมาอยู่ในกุฏิเราเลย กุฏิเรานี่ถ้าเราไม่บอกไว้ สุดใจไม่มาอยู่หรอก สุดใจไม่กล้า สุดใจจะไม่กล้าขึ้นมาอยู่ตรงนี้” ท่านพูดเองนะ ท่านบอกว่าถ้าท่านตายไปแล้ว ให้อาจารย์สุดใจขึ้นมาอยู่ในกุฏิท่านเลย

แล้วใครจะกล้าอยู่ล่ะ? ใครจะกล้าอยู่? ไม่มีใครกล้าอยู่หรอก! ด้วยความเคารพของพวกเรา ไม่มีใครกล้าอยู่หรอก แต่ท่านพูดอย่างนี้เลย เพราะพระบอกเราว่าท่านสั่งไว้ ท่านบอกว่า “ถ้าเราตายแล้วนะ บอกให้ท่านสุดใจขึ้นมาอยู่กุฏิเราเลย ถ้าเราไม่พูดไว้ท่านจะไม่กล้าอยู่”

ถึงพูดก็ไม่มีใครกล้าอยู่ ไม่กล้าอยู่เพราะอะไร ไม่กล้าอยู่เพราะเราเคารพรัก เราเคารพของเรา กุฏิเราก็มี ถ้าเราไม่มี เราจะกางกลดอยู่ที่ไหนก็ได้ ถ้าหัวใจมันเป็นธรรม

แต่ถ้าหัวใจไม่เป็นธรรมนะ พอบอกว่า “สุดใจให้ขึ้นมาอยู่ที่กุฏินะ ถ้าเราตายแล้ว” ถ้าเป็นคนอื่นนะ มันรีบๆ ขึ้นเลย ถึงไม่สั่งมันก็ยังจะขึ้นอยู่แล้ว ไม่สั่งมันยังแย่งชิงกันจะขึ้น แต่เวลาที่ท่านสั่ง เห็นไหม ทำไมเขาไม่ทำกันล่ะ

นี่พูดถึงว่าเวลาคำชมไง พระอาจารย์สุดใจ ที่วัดป่าบ้านตาดมันเป็นเรื่องที่ว่ามันเป็นวัดใหญ่ เพราะในตอนงานศพหลวงตามีพระโทรมาหาเราหลายองค์มากเลย เวลาที่มีพระทำอะไรผิดพลาดแล้วออกทีวีกันไป เขาพูดกับเรานะ เขาบอกว่า “ไหนว่าวัดป่าบ้านตาดนี้เป็นเมืองหลวงของกรรมฐาน ไหนว่าวัดป่าบ้านตาดนี้ หลวงตาเป็นพระผู้ที่ฝึกหัดลูกศิษย์ลูกหาไว้มากมาย ทาไมเวลาทางานกัน ถึงทางานกันเลินเล่อกันขนาดนั้น”

มีพระโทรมาต่อว่าเรานี่เยอะมาก เพราะเขาเห็นว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งของวัดป่าบ้านตาด ฉะนั้นพูดถึงว่ากรณีอย่างนี้ กรณีที่ว่าท่านอาจารย์สุดใจจะเคารพได้ไหม ที่วัดบ้านตาดจะมีได้ไหม ก็พระอาจารย์สุดใจนี้หลวงตาท่านตั้งโดยถูกต้องชอบธรรม แล้วโดยการบริหารจัดการวัดที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยสร้างไว้ ด้วยคุณภาพของครูบาอาจารย์ที่บารมีท่านล้นฟ้า แล้วอย่างพวกเรา ไอ้พวกมดแดง ไอ้พวกขี้ทูดกุดถัง แล้วไปบริหารวัด มันจะสงบร่มเย็นได้บ้างหรือเปล่า เราก็ต้องพยายามทำกัน..เราพยายามทำกัน..

ฉะนั้นพระอาจารย์สุดใจท่านรับภาระแล้ว เราก็ต้องช่วยกันส่งเสริม คำว่า “ช่วยกันส่งเสริม” คือเราอย่าหาเรื่องหาภาระไปให้ท่าน เราช่วยกันแบ่งเบาภาระท่าน ไอ้นี่อะไรก็สุดใจๆ อะไรก็จะไปทับสุดใจๆ ท่านเองท่านก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว อะไรๆ ก็อาจารย์สุดใจๆ อาจารย์สุดใจก็แบนน่ะสิ นี่คือความเห็นของเรา

มีคนมาถามเราบ่อยว่า ทำไมไม่คุยกับพระอาจารย์สุดใจล่ะ? เราก็เฉยไว้..เฉยไว้ไง เพราะเราก็รู้ว่าพระอาจารย์สุดใจท่านก็เครียดจนหัวแทบแตกอยู่แล้ว จะไปเอาอะไรกับพระอาจารย์สุดใจอีกล่ะ เราก็ช่วยกันใช่ไหม บางอย่างเราจะบอกว่ามันไม่ได้อย่างที่เราคิดหรอก ถ้าให้ได้อย่างที่เราคิดได้นะ เราก็อยากให้ขาวบริสุทธิ์ไปทั้งนั้น แต่มันขาวสะอาดบริสุทธิ์ไปไม่ได้ เพราะในร่างกายมนุษย์มันก็มีเชื้อโรคใช่ไหม ไอ้นี่ความคิดความเห็นของคนมันแตกต่างหลากหลาย แล้วความแตกต่างหลากหลายของคนคิด ถ้าคนคิดที่เป็นธรรมนะ บางอย่างเราต้องเข้าใจคนทำงาน

เราเสียดาย วันที่ ๔ ไม่ได้เทศน์ นี่เรายังพูดอีกนะ (หัวเราะ) เพราะเราตั้งใจไว้แล้ว ถ้าวันที่ ๔ เราได้ขึ้นเทศน์ เราจะขอบคุณไอ้พระขี้ครอกน่ะ ไอ้พระที่มันทำงานอยู่หลังวัดน่ะ ไอ้พระเด็กๆ เล็กๆ ที่มันช่วยกันคนละไม้คนละมือ ที่ก่อร่างสร้างตัวจนงานมันผ่านไปน่ะ ไม่มีใครเห็นใจมัน คนที่แบกหามอยู่ข้างหลังน่ะ วันที่ ๔ ถ้าเราได้เทศน์นะจะออกตรงนี้หมดเลย จะขอบคุณ..ขอบคุณ..ไอ้กองทัพมดที่คนละไม้คนละมือ ไอ้คนที่ช่วยเหลือเจือจานกันไป จนงานของเรามันจะลุล่วงไป

คิดไว้ในใจว่าจะพูดตรงนี้ แต่เขาไม่ให้เทศน์ ก็จบกันไป เห็นไหม แต่ไอ้พวกที่มือไม่พายแล้วเอาตีนราน้ำมือไม่ได้พาย ทำก็ไม่ได้ทำเดี๋ยวก็มาแอ็กต์สักทีหนึ่งว่า “โน่นผิดนี่ผิด” ให้พระเล็กๆ มันปวดหัวๆ นั่นน่ะ

ถ้าบอกว่าจะให้มันขาวบริสุทธิ์ ใครๆ ก็อยากให้มันขาวสะอาดบริสุทธิ์ แต่วุฒิภาวะของพระ ไอ้มือไม่พายเอาตีนมาราน้ำเดี๋ยวก็มาราสักทีหนึ่ง..เดี๋ยวก็มาราสักทีหนึ่ง..มาราให้คนหันมามองกูไง ว่ากูมีความสำคัญ โธ่..เจตนามันแสดงออกมา มันรู้ทั้งนั้นแหละ เราน่ะดูกันได้ เราน่ะดูกันออก แต่ไอ้พระเด็กๆ พระเล็กๆ ที่มันคนละไม้คนละมือ เราจะพูดนะ วันนั้นถ้าเราได้เทศน์เราจะบอกมัน

“หมู่คณะ สิ่งใดที่เราได้ทำเราทำเพื่อเชิดชูครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเราได้ทำเพื่อเชิดชูครูบาอาจารย์ของเราแล้ว เมื่อใดเราภาวนาขึ้นไป จิตเราอาจจะตกก็ได้ ถ้าจิตเราตก จิตเรามันไม่เข้มแข็ง เราจะคิดถึงบุญกุศลที่เราได้ทำตรงนั้น ให้มาเพิ่มกำลังของเราก็ได้ เราปิดทองหลังพระก้นพระกันเพื่อประโยชน์กับหัวใจของเรา เราไม่ได้ปิดทองหลังพระก้นพระเพื่อศักยภาพหรือเพื่ออะไรทั้งสิ้น เราทำเพื่อหัวใจของเรา เราเป็นมดงาน เราทำกันเบื้องหลัง ที่พักพระ ส้วม น้ำเราหากัน เราทำกัน ด้วยน้ำพักน้ำแรง ด้วยเหงื่อด้วยไคล เพื่อให้เขาได้มาร่วมงานบุญกับหลวงตา เราทำของเราโดยปิดทองหลังพระ ใครจะรู้ใครจะเห็น”

ทั้งสับทั้งโขก เห็นเป็นพระเล็กๆ พระน้อยๆ แล้วมันก็จะใช้อำนาจบีบคั้น

มีคนมาฟ้องเยอะ เรานี่แปลก มีแต่คนมาฟ้อง เรื่องฟ้องนี่เต็มหัวเลย ไม่รู้เรื่องอะไรบ้างเต็มไปหมด แต่พอใครมาฟ้อง เราก็จะบอกว่า “ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ เราทำเพื่อครูบาอาจารย์ของเรา เราทำเพื่อให้งานนี้สำเร็จลุล่วงไปให้ได้” เราเป็นคนรั้งไว้ ดึงไว้ พยายามประคองไว้ แล้วไม่พูดนะ ถ้าให้พูด จะให้พูดเรื่องอะไรบอกมา จะให้พูดเรื่องอะไร เราไม่พูดนะ

เราทำกัน เพราะเราทำงานเพื่ออาจารย์ของเรา เขามาบอกเลยว่า “ไหนว่าวัดป่าบ้านตาดเป็นเมืองหลวงของกรรมฐาน ไหนว่าหลวงตาฝึกกรรมฐาน ลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทาไมเวลาทางานกัน ทาไมไม่เห็นออกหน้ามาบ้าง”

เพราะคนเราถ้ามันไม่มีหลักมันก็ไม่กล้าหรอก แต่ไอ้คนมีหลักจะไปทำมันก็จะว่าเกินหน้าเกินตา เห็นไหม เราถึงบอกว่า มือไม่พายอย่าเอาตีนราน้ำเรานี่นะ จะเข้าไปนะ เพราะเราเห็นว่าพอเราเข้าไป เขาก็เกร็งกันไปหมด

เราไปไหนเราก็พยายามจะบอกว่า “ทนเอาๆ สู้ๆ อย่าไปมองอย่างอื่น เอางานเราให้เสร็จ”

“เสร็จได้ยังไง เอามาตั้งเสร็จมันก็มาดึงไป ไอ้คนโน้นจะเอาคนนี้จะเอา แล้วสั่งให้ทำอย่างนี้ ไอ้คนโน้นมาก็จะดึงไปอย่างโน้น มันก็เลยไม่เสร็จซะที”

เราก็บอกว่า “เออ มันเสร็จ..มันเสร็จ..เสร็จตรงที่มันพอนั่นแหละ มันเสร็จ เอาแค่นั้นแหละ”

“เดี๋ยวก็จะดึงไปที่นั่น ไอ้ทางโน้นก็สั่งไปอย่างนี้ ไอ้คนนี้ก็สั่งไปอย่างโน้น ไอ้คนโน้นก็ดึงไป เดี๋ยวคนมาตรวจงาน งานก็ยังไม่เสร็จ”

มาร้องเรียนเราเยอะมาก เวลาเราไปไหนเราดูตรงนั้น นี่พูดถึงเรื่องพระอาจารย์สุดใจไง พระอาจารย์สุดใจปวดหัวกว่าเราเยอะมาก (หัวเราะ) แล้วประสาเรานะ พวกเรานี่เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าพ่อแม่เรา ดูแลเรามาจนโตป่านนี้ เราออกมา เราสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เราก็ควรจะให้พ่อแม่เราชื่นใจใช่ไหม แต่ถ้าเราสร้างตัวเราไม่ได้ เราก็ต้องไปไถพ่อแม่เราเรื่อย

“ทุนหมดแล้วล่ะ ขออีก ๕ ล้าน”

เดี๋ยวๆ ก็กลับไปบอกว่า “ทุนหมดแล้ว ขออีก ๑๐ ล้าน”

พ่อแม่ก็หนักใจนะ ที่บ้านตาดก็เหมือนกัน คำพูดนี้ไม่อยากจะพูด แต่จะพูดออกมาเพื่อเป็นหลัก เพราะคนในเขาพูดเลยว่า พระอาจารย์สุดใจ ครั้งแรกเลยพอหลวงตาเสียปั๊บ พระอาจารย์สุดใจสั่งปิดปั๊มทันทีเลย ปั๊มน้ำมันกับคลังปิดทันที พระอาจารย์สุดใจสั่งปิดเลย เพราะถ้าไม่ปิดปั๊มน้ำมันนะ ไม่ปิดคลังนะ เละ! มันลากกันแหลก พระอาจารย์สุดใจสั่งปิดปั๊มน้ำมันเลย ปั๊มน้ำมันหลวงตานั่นล่ะ หลวง-ตาเวลาสั่งมา ใครๆ ก็มาเติม พอหลวงตาเสียปั๊บ คำสั่งแรกของพระอาจารย์สุดใจ ปิดปั๊มน้ำมัน ปิดคลัง ไม่อย่างนั้นมันไม่ไหว

นี่ไงที่บอกว่าเวลาเราสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เราก็ควรจะไปช่วยเหลือเจือจานกัน แต่นี่มาถึงก็จะ... โธ่ ! พระอาจารย์สุดใจปวดหัวตายห่าเลย นี่พูดถึงว่า “พระอาจารย์สุดใจ มีลับลมคมในไหม?”

ไม่มี พระอาจารย์สุดใจน่ะจิตใจท่านดี เพียงแต่ว่านิสัยท่านเป็นอย่างนั้น ท่านไม่พูดโผงผางไง ท่านเก็บไว้ในหัวใจ โทษนะ.. ใครๆ ก็จะไปขี่หัวพระอาจารย์สุดใจ ใครๆ ก็ “สุดใจอย่างนั้น..สุดใจอย่างนั้น..” ท่านก็เฉย หัวเราะแหะๆ แหะๆ ท่านเป็นคนนิ่งไง ท่านมีการศึกษานะ ท่านจบปริญญาโท ท่านเคยทำงานมา พระอาจารย์สุดใจนี่เป็นคนดีคนหนึ่ง เป็นพระดีองค์หนึ่ง เพียงแต่ว่าถ้าภาษาโลก ถ้าใครไม่ได้ดั่งใจก็จะบอกว่าพระอาจารย์สุดใจอ่อนไปหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าไปอยู่ตรงนั้นแล้ว อ่อนไม่อ่อนเดี๋ยวมึงจะรู้ ถ้าแข็งมึงจะเจอตอ นี่พูดถึงพระอาจารย์สุดใจ

“๒. พระ ๒ องค์นี้พอพึ่งได้ไหมครับ?”

เราพูดถึงเฉพาะพระอาจารย์สุดใจนะ คนอื่นไม่เกี่ยว! ไม่เกี่ยว!

พระอาจารย์สุดใจท่านดูแลวัดป่าบ้านตาด เป็นสมบัติของกรรมฐานเรา เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน เราได้ร่วมสร้างมาด้วยกัน ฉะนั้นตอนนี้พระอาจารย์สุดใจท่านเป็นผู้รับผิดชอบ ถึงบอกว่าเราต้องช่วยกันดูแลเพื่อให้มันเป็นไป

“๓. ที่วัดป่าบ้านตาดมีพระแท้ๆ บ้างไหม?”

พระแท้ๆ คือหลวงปู่ลี หลวงปู่ลีคือพระเณรวัดป่าบ้านตาด หลวงปู่ลีเป็นพระแท้ๆ แล้วเป็นพระแท้ๆ ที่อยู่ในคุณธรรม เวลาหลวงตาท่านไม่พูดหรือพูดสิ่งใด หลวงปู่ลีจะไม่ออกนอกเส้นทางแม้แต่ธุลีเดียว พระแท้ๆ จะเคารพ จะมีความกตัญญูกตเวที นี่คือพระแท้ๆ

แล้วพระพวกนั้น เดี๋ยวคุยกันรอบต่อไป

ถาม : ๓๘๙. ขอกราบนมัสการถามเรื่องสำคัญครับ

หลวงพ่อครับ หลวงตามหาบัวท่านละสังขารแล้ว สิ่งที่ต้องมีร่วมกันในหมู่คณะคือการสร้างความสามัคคีในวงกรรมฐานใช่ไหมครับ ผมได้ฟังเทศน์ชุดหมาของหลวงตาแล้วครับ ผมทราบและพอจะอนุมานได้ว่าหลวงพ่อกล่าวถึงใคร และหลวงพ่อมีเจตนาที่จะรักษาประวัติของหลวงตาให้สมบูรณ์มากที่สุด แต่ความกังวลของผมก็เกิดขึ้นว่า พระที่หลวงตาท่านกล่าวชม แต่หลวงพ่อด่าเขา

คำถาม คือ ผมสับสนครับ เมื่อหลวงตารับรองภูมิธรรม เหตุใดหลวงพ่อยังสงสัยในตัวท่านอยู่ ผมขอกราบเรียนเท่านี้ หากคำถามนี้ไม่เหมาะสมหรือผมเข้าใจคลาดเคลื่อนในตัวบุคคลที่หลวงพ่อกล่าวถึง ผมกราบขอขมา ณ โอกาสนี้ แล้วแต่หลวงพ่อจะพิจารณาครับ

หลวงพ่อ : เราจะบอกว่าเรื่องบ้านตาดเราพูดไปเมื่อกี้นี้แล้ว เห็นไหม ว่าเราจะช่วยเหลือเจือจานกัน เรารักวงกรรมฐาน เรารักสิ่งที่ครูบาอาจารย์สร้างมา ฉะนั้นเราจะพูดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เรื่องเกี่ยวกับพวกนี้นะ แล้วถ้าคำถามจะมาอีกนี่เราจะไม่ตอบ คำถามแรกเราตอบไปแล้ว…จบ และนี่เป็นคำถามที่ ๒ แล้วถ้าต่อไปคำถามพวกนี้มาอีกเราจะไม่ตอบ เว้นไว้แต่อยู่ที่เหตุการณ์

สิ่งที่เราจะพูดนี่ส่วนใหญ่มันอยู่ที่เหตุการณ์ด้วย ที่เราพูดเรื่อง “หมาของหลวงตา” เพราะเหตุการณ์ในข่าวหนังสือพิมพ์นี่มันเกินไป ธรรมดาแล้วปัญหาที่เราตอบไปเรื่องหมาของหลวงตานี่เราจะไม่พูดนะ เราจะไม่ตอบ เราบอกกับทุกคนว่าไม่ตอบ แต่เพราะมันมีข่าวในหนังสือพิมพ์ มันกระทุ้งกัน มันทิ่มกัน มันแทงกัน เราถึงทนไม่ไหว เราถึงพูดเรื่องหมาของหลวงตาออกไป ที่พูดเรื่องหมาของหลวงตาออกไป เพราะข้อมูลข่าวสารมันออกมาในตลาดเกินไป คนทำน่ะคนทำไอ้พวกข้อมูลข่าวสารไอ้พวกคนเขียนมันเป็นแค่ลูกหาบ แต่ไอ้คนที่อยู่เบื้องหลังน่ะมันทำ

ฉะนั้นพอมาเรื่องนี้ก็เหมือนกัน สงสัยใช่ไหม ถ้าสงสัยนะ ในเมื่อหลวงตาท่านชมต่างๆ ชมอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่ท่านชม ท่านชมก็คือท่านชม แต่ความเป็นจริงมันเป็นจริงหรือเปล่า ถ้ามันไม่เป็นความจริงนะ อย่างเช่น หนังสือที่จะเอามาแจกกัน นั่นคือการตั้งธง! หนังสือนี่คือการตั้งธง การตั้งธงเพื่อจะออกสู่ทะเลไง ถ้ามันตั้งธงขึ้นมาใช่ไหม ถ้าตั้งธงที่ดี ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมของครูบาอาจารย์ เห็นไหม เราเป็นเต่าเป็นปลากันอยู่ในวัฏฏะใช่ไหม ถ้าเราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเข้าถึงฝั่ง เห็นไหม ถ้าเท้าเราแตะพื้นนั่นคือโสดาบัน แตะพื้นขึ้นมาแล้วเดินขึ้นฝั่งนะ เดินขึ้นฝั่งจนถึงที่สุด ถ้าเป็นธรรมของครูบาอาจารย์ที่เป็นความจริง มันจะอยู่บนฝั่ง อยู่บนที่ที่ปลอดภัย แต่ถ้าคนที่ไม่เป็นนะ การตั้งธง เห็นไหม มันจะออกอ่าวออกทะเลไง

คำสอนนั้นมันจะออกอ่าวออกทะเล ไอ้คำชมส่วนคำชม ไอ้คำสอน ไอ้ธรรมะนั่นล่ะ ธรรมะมันจะออกทะเล ถ้าธรรมะมันออกทะเลไป มันก็ “เกิด” ในสังคมนะ

เราพูดถึงธรรมะๆ พวกโยมต้องขึ้นบันไดฟังหน่อยหนึ่ง แล้วธรรมะที่ออกมานั่นมันผิดหมด!!! ถ้ามันผิดนะ หลวงตาส่วนหลวงตา หลวงตาท่านมีธรรมในหัวใจท่าน ท่านสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ธรรมะของคนอื่นที่มันออกมา (ที่ว่าหลวงตาชม) มีธรรมะอะไร?

การตั้งธงนี้ตั้งธงเพื่ออะไร ถ้าคนมีทำไมต้องตั้งธง ถ้าตั้งธงขึ้นมาแล้ว ดูสิ เวลาเรือจอดล่มปากอ่าวนะ ถ้าเรือจอดล่มปากอ่าวเป็นเรื่องหนึ่ง แต่นี่เรือมาเทียบท่าแล้ว พอเรือมาเทียบท่าแล้วเดี๋ยวเรือมันจะล่ม ถ้าเรือมันล่มนะ ถ้าธรรมะมันออกปากอ่าวมันจะมีโจรสลัด ในทะเลนี้เป็นที่อยู่ของโจรสลัด โจรสลัดมันจะปล้น โจรสลัดมันจะชิง ถ้ามีการปล้นชิงกันในทะเล เพราะในสังคมมันเกิดมีได้หลายรอบ

เราสลดนะ เราเศร้าใจ เพราะเราคิดว่าในอนาคตมันจะมีอะไรอีกเยอะมาก สิ่งที่แปลกๆ มันจะเกิดขึ้นในวงกรรมฐาน ชีวิตเราก็เท่านี้ เราก็อยู่ไม่เกิน ๑๐๐ ปี จะตายปีไหนก็ไม่รู้ ถ้าเราตายไปแล้ว อย่างเช่น หลวงตา ตอนนี้เราดูทีวีหลวงตา เวลาพระอาจารย์สุดใจท่านออกมาให้พร แล้วญาติโยมที่แวดล้อมพระอาจารย์สุดใจอยู่ก็เคยแวดล้อมหลวงตาอยู่ โยมที่เคยแวดล้อมหลวงตาอยู่ โยมพวกนั้นมาแวดล้อมหลวงตา คอยรับปัจจัย คอยเอาเงินเข้าธนาคาร โยมที่แวดล้อมพระอาจารย์สุดใจอยู่ก็เคยแวดล้อมหลวงตาอยู่ แต่หลวงตาท่านก็ล่วงไปแล้ว

เห็นไหม พอหลวงตาท่านล่วงไปแล้ว สิ่งที่ท่านทิ้งไว้ก็ทิ้งไว้ตรงนี้ แล้วทิ้งไว้นี่ ญาติโยมที่เคยล้อมหลวงตา ทุกคนจะว้าเหว่ไหม ทุกคนจะทุกข์ยากไหม ทุกคนต้องหาที่พึ่ง ทุกคนก็มาแวดล้อมพระอาจารย์สุดใจอยู่ นี่ไงสมมุติของชีวิตไง แล้วชีวิตเราก็ต้องสิ้นไปเหมือนกัน เราเห็นหลวงตาสิ้นไป เราก็มาคิดถึงว่าเราก็ต้องสิ้นไป ถ้าสิ้นไป แล้วสังคมล่ะ ฉะนั้นพอหลวงตาสิ้นไปแล้วท่านก็ทิ้งไว้ สิ่งที่ท่านทำมามันก็เป็นภาระของพวกเรากันต่อไป แล้วถ้าพูดถึงคนที่มันรู้จริง คนที่มันจะยืนยันสิ่งนี้แล้วต้องสิ้นไปอีกล่ะ มันจะเหลืออะไร?

ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เราบอกว่ามันจะเป็นธรรมะออกทะเลกัน ถ้ามันเป็นธรรมะออกทะเลนะ ตอนนี้เรือเข้าเทียบท่าแล้ว สร้างท่า เทียบท่า มันจะออกปากอ่าวกัน ออกปากอ่าวด้วยอะไร ด้วยความไม่รู้ มันจะพาธรรมะนี้ออกอ่าวออกทะเล

ที่เราพูดนี้จะออกเว็บไซต์และเป็นหลักฐานไว้ สิ่งที่เราอยากจะพูดอะไรบางอย่างนี้เราจะพูดเป็นหลักฐานไว้ แล้วอนาคตมันจะกลับมาที่หลักฐานนี้ เราพูดไว้ก่อนไง เราพูดไว้ก่อนที่เรื่องมันจะเกิด แล้วเรื่องมันจะเกิด

มันจะเกิดเพราะอะไร...?

ในเมื่อกัปตันเดินเรือไม่เป็น! แล้วกูจะออกทะเล

แล้วมันจะไปไหนกัน...?

กูนี่เดินเรือไม่เป็น..กูจะพาพวกมึงทั้งหมดเลยไปทะเล..เราจะไปทวีปอเมริกา..กูเดินเรือไม่เป็น..กูจะพาพวกมึงไปทวีปอเมริกา..

แล้วในทะเลมันมีโจรสลัดนะ มันมีทุกอย่างพร้อมนะ

เหตุผลที่เราโต้แย้งอยู่นี่ ตรงนี้ล่ะ เหตุผลที่เราโต้แย้งพวกนี้อยู่ตรงนี้ แล้วโต้แย้งไปโดยที่ยังไม่มีสิ่งใด ก็เลยเป็นกระดูกแขวนคออยู่นี่ไง ตอนนี้มีแต่กระดูกแขวนอยู่นี่เต็มเลย

สังคมกรรมฐาน เวลาพระทั่วไป หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ไม่มีใครสนใจ ท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านประพฤติปฏิบัติมาจนเป็นพระอรหันต์ แต่ตอนนี้พวกเราอยู่ในเมืองกันเป็น “กรรมฐานค้างคาว” บินกันรอบโลก บินเที่ยวกันประจำเดี๋ยวนี้ธุดงค์อเมริกา ธุดงค์เมืองจีน มันภาวนาดีน่ะ ไปเมืองจีนแล้วอสุภะมันเกิด แหม..ภาวนาดีมากๆ ยิ่งไปอเมริกานี่ แหม..จุดและต่อมเห็นชัดเลย

กรรมฐานยุคจรวด ยุคดาวเทียม แล้วมันจะได้มีธรรมะอะไรมาสั่งสอนพวกเรา

พวกเรานะต้องการความจริง เราจะอยู่โคนไม้ เราจะหากินด้วยลำแข้ง เราจะประพฤติปฏิบัติตามข้อเท็จจริง พุทโธได้ก็จะพุทโธ พุทโธไม่ได้ก็อานาปานสติ อานาปานสติไม่ได้ก็ปัญญาอบรมสมาธิ ให้มันเป็นตามเป็นจริง หัดอ่านแผนที่ หัดอ่านพิกัด เราจะเดินเรือกัน ไม่มีใครเลยเราก็จะไปเรือใบ เราเล่นเรือใบคนเดียวก็ได้ เราจะเอาเรือใบเราออกทะเล แล้วเราจะพยายามพาเรือเราเข้าฝั่ง เราจะไม่ตามใครไป

เรามองว่าเกมนี้ คือ เกมตั้งธง พวกนี้ตั้งธงไว้ก่อน พอมีขบวนแล้วเดี๋ยวมันจะออกทะเล เพราะอะไร เพราะมันพาขึ้นฝั่งไม่เป็นหรอก มันจะพาขึ้นฝั่งไม่เป็น มันจะพาขึ้นที่ถูกต้องชอบธรรมไม่เป็น แล้วมันจะเป็นตามนั้น

นี่พูดถึงเหตุผลว่าเราพูดเพื่อสิ่งใด ถ้าพูดถึงความสามัคคี ฟังนะ

“หลวงพ่อ หลวงตามหาบัวท่านละสังขารแล้ว สิ่งที่ต้องมีร่วมกันในหมู่คณะ คือ การสร้างความสามัคคีในวงกรรมฐานใช่ไหม ผมได้ฟังเทศน์หลวงพ่อชุดหมาของหลวงตาแล้วครับ ผมทราบและพออนุมานได้ว่าหลวงพ่อกล่าวถึงใคร และหลวงพ่อมีเจตนาที่จะรักษาประวัติของหลวงตาให้สมบูรณ์มากที่สุด”

คำพูดของหลวงตานี่เราสาธุนะ..เราสาธุ เพราะเราจะบอกว่าต้นทุนในการช่วยชาติมันแพงมาก ในเมื่อหลวงตาท่านเป็นสุภาพบุรุษ เป็นมหาสุภาพบุรุษ ใครมีคุณกับหลวงตา ถ้าเข้าไปอยู่ในใจลึกๆ ของหลวงตา หลวงตาจะแทนคุณได้ทั้งชีวิตเลย หลวงตานี่ให้ชีวิตได้เลยถ้าใครมีคุณกับท่าน ฉะนั้นคำพูดของหลวงตาทุกอย่างเรารับฟัง เรารับฟังแบบหลวงปู่ลี

หลวงปู่ลีท่านพูดอยู่นะ “ฟังเพิ่นพูด..แม้.. ฟังเพิ่นพูด..แม้..”

หลวงปู่ลีท่านฟัง ยอมจำนนคำพูดหลวงตาทุกคำเราก็ยอมทุกคำเรายอมรับหมดที่หลวงตาพูด ยอมรับหมด ไม่เคยคัดค้านที่หลวงตาพูดเลย หลวงตาพูดจริงๆ สาธุ พูดจริงๆ เรายอมรับหมดเลย แต่ถ้ามันเป็นจริง ธรรมนั้นก็ต้องเป็นจริง

ธรรมที่เป็นจริง เห็นไหม มันอยู่ในที่เปิดเผย มันไม่ไปอยู่ในที่เร้นลับ ธรรมนี่มันอยู่ในที่สว่าง สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีงุบงิบๆ แอบซ่อน ลึกลับซับซ้อน เพราะอะไร เพราะไม่แน่ใจตัวเองไง ถ้าแน่ใจก็เอาธรรมะออกมาสั่งสอนทั่วโลกด้วยกัน

มันมีลึกลับซับซ้อน แต่หลวงปู่ลีนี่ไม่มี ไม่มีเพราะอะไร หลวงปู่ลี ผู้ที่เป็นธรรมนะ การที่เข้าหายากเพราะธาตุขันธ์มันอ่อนล้าเต็มที แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องธาตุขันธ์นะ การเข้าหาไม่มียากเลย หลวงตานี่เราอยู่กับท่านเมื่อก่อน ถ้ามีคนเข้า เวลาเราอยู่เวรนี่จะพาขึ้นไปได้ตลอด เว้นไว้แต่ “ไม่ไหวแล้ว ไฟเหลือง” คำว่า “ไฟเหลือง” ของท่าน คือ ร่างกายท่านไม่ไหวแล้ว ท่านก็บอกว่า “ไม่ให้เข้า ให้กลับ” การเข้าพบครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมไม่ยากเลย ไม่ยาก หลวงปู่ลีนี่เข้าไม่ยากเลยถ้าเป็นธรรม แต่ที่ยากอยู่นี่เพราะอะไร เพราะเข้าไปนั่งเฝ้าท่าน ท่านไล่ออกหมด ถ้าเข้าไปโดยที่ไม่เป็นสาระ ท่านไม่ให้เข้า แต่ถ้าเข้าไปเป็นสาระจะได้ทันที อันนี้ก็เหมือนกัน ในการปฏิบัติถ้าเรามีข้อโต้แย้งในใจ ข้อขัดแย้งในใจ เข้าได้ตลอด องค์ไหนก็เข้าได้ แต่ที่เข้าไม่ได้เพราะ “ก็กูไม่รู้นี่ว่ามึงถามอะไร เดี๋ยวกูตาย เดี๋ยวกูเปิดไปแล้วก็รู้หมดน่ะสิ”

นี่คือเหตุผล เราถึงบอกว่าวันนี้พูดแล้วและจะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว เว้นไว้แต่อยู่ที่สถานการณ์ ถ้าสถานการณ์มีการข่มขี่กัน เพราะกำลังคนไม่เท่ากัน กำลังคนที่มีกำลังทำลายกับกลุ่มที่ไม่มีกำลัง เรารู้อยู่ เพราะว่าลูกศิษย์หลวงตาก็หลายกลุ่มหลายก้อน เราไม่ว่าใคร ถ้าจะด่าพระสงบ จะด่าอะไรก็เชิญเลย

แต่นี่เราเห็นตรงนั้นเราถึงพูดออกมา อยู่ที่สถานการณ์ เพราะว่ามันเสียดายไง เราไม่ได้เสียดายตรงนี้นะ เราพูดบ่อยคำว่า “เสียดาย” ของเรา ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านสละชีวิตมาตลอด สละทั้งชีวิตนะ หลวงปู่มั่นสลบถึง ๓ หน ท่านเล่าให้หลวงตาฟังว่า ท่านป่วยไข้แล้วนั่งภาวนา ล้มไปเลย เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่สลบ ท่านสลบถึง ๓ หน หลวงปู่มั่นก็สลบ ๓ หนเหมือนกัน แต่เวลาป่วยแล้วพิจารณาสู้กับเวทนาไง สู้กับความป่วย แล้วช็อกไปเลย สลบถึง ๓ หน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเต็มที่ของท่าน ท่านวางรากฐานไว้

เพราะฉะนั้นพวกเราก็ให้มันจิตใจเป็นสาธารณะหน่อยหนึ่ง แค่จิตใจเป็นสาธารณะ อย่าเห็นแก่ตัว เรื่องก็จะไม่เกิดเลย เรื่องที่เกิดเพราะมีการเห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกพ้องของตัว

..“เศร้า”.. ถ้าไม่เห็นแก่ตัว อย่างหลวงปู่ลีนี่อะไรก็ได้..อะไรก็ได้.. เราก็อะไรก็ได้นะ อะไรก็ได้จริงๆ แต่ถ้าเวลาพูด ก็พูดเรื่องนี้ทั้งนั้น เรื่องเกี่ยวกับอริยสัจ เรื่องเกี่ยวกับสัจธรรม ไอ้ตรงนี้เรารับไม่ค่อยได้ อะไรที่มันบิดเบือนพิกัดจีพีเอสของการเดินทาง เราทนไม่ได้ ถ้าอย่างอื่นเรายังทนได้นะ อย่างอื่นจะทนได้ แต่พอเข้าถึงธรรมะนี่ทนไม่ได้ พิกัด จีพีเอสมันผิดหมด แล้วเราต้องเดินกันไปด้วยตาบอดๆ อย่างนี้ แล้วเข็มชี้ก็เป็นเข็มชี้ที่ผิด เราถึงบอกว่ามันจะออกทะเลกันหมดไง

แล้วสิ่งที่หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ครูบาอาจารย์สร้างมา น่าเสียดายไหม มรดกธรรมอันนี้น่าเสียดายมาก “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” ธรรมะกำลังเจริญงอกงามในใจครูบาอาจารย์ของเรา แต่เพราะการแอบแฝง เพราะโจรสลัด มันถึงทำให้มีความเศร้าหมอง

เราเห็นอย่างนั้นเราถึงพูดอย่างนั้น เราพูดไว้นี้ไม่ได้พูดในที่ลับ เราพูดไว้ คำพูดของเรา เราพอใจอันหนึ่งคือว่า เตือนกันไว้ไง อย่างที่หลวงตาพูดว่า “คนรู้มีอยู่นะ..คนรู้มีอยู่นะ..” ไม่ใช่จะทำอะไรได้ตามใจตัวแบบไม่มีใครรู้ แต่คนรู้เขาจะพูดหรือไม่พูด นั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ เอวัง