เทศน์บนศาลา

ธรรมะกับธรรมชาติ

๙ ก.ย. ๒๕๔o

 

ธรรมะกับธรรมชาติ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจนะ วันนี้จะแสดงธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะนะ โดยทั่วไปเขาจะว่าธรรมะกับธรรมชาติเป็นอันเดียวกัน ธรรมะกับธรรมชาติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งมาก ละเอียดอ่อนมาก ลึกซึ้งจนไม่มีปุถุชนคนใดจะไปค้นคว้าได้ แต่ธรรมชาตินี่ ผู้ที่ค้นคว้า ที่โลกเขายกย่องกันคืออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์นะ เขายกย่องกัน แต่เขาก็ยังพูดถึงว่า ถ้าเขามีโอกาส เขาอยากจะนับถือศาสนาพุทธ เห็นไหม ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุและผล เขาก็รู้อยู่เพราะเขาค้นคว้าด้วยเหตุและผล แต่ตัวเขาเองเป็นอะไรล่ะ? ตัวเขาเองก็ตายไปด้วยความทุกข์ เขาตายไปแบบปุถุชนไง

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมต่างหากล่ะ ถึงพ้นออกไปจากกิเลส พ้นออกไปจาก ๓ โลกธาตุนะ พ้นออกไปเลยน่ะ

ธรรมชาติ ว่าโลกว่าธรรมชาติ ฟังว่าธรรมชาติแล้วมันยิ่งใหญ่...ยิ่งใหญ่ ยอมรับว่าธรรมชาตินี้ยิ่งใหญ่มาก ธรรมชาตินี้ยิ่งใหญ่มากนะ เพราะว่าธรรมชาตินี้ทำให้ก่อเกิดสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ธรรมชาติที่เราเห็นในปัจจุบันนี้เพราะเราเข้ามาเห็นนี่ เราเข้ามาเห็นธรรมชาติ เห็นไหม

ก้อนเมฆเคลื่อนไป ความเสียดสีของมันทำให้เกิดเสียงฟ้าร้อง เสียงฟ้าแลบเสียงฟ้าร้องแล้วเกิดการสันดาปกันน่ะจึงเกิดฟ้าร้องฟ้าแลบ แล้วกลายตัวออกมาเป็นเม็ดฝนน่ะ เม็ดฝนนั้นตกลงสู่พื้นดิน ที่ไหนมีน้ำที่นั่นเกิดสิ่งมีชีวิตไง สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น ต้นไม้เกิดขึ้น สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น ธรรมชาติก่อเกิดทุกๆ สิ่ง

ชีวิตเราก็เกิดมา เห็นไหม เกิดมารับรู้ธรรมชาติไง เห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติน่ะ แล้วมนุษย์มาศึกษาธรรมชาติแล้วอยากจะเอาชนะธรรมชาติ อยากจะเอาชนะถึงได้ทำลาย พยายามจะควบคุม แต่ควบคุมไว้ไม่ได้ ควบคุมไว้ไม่ได้หรอก เพราะโลกมันใหญ่นะ จักรวาล สุริยจักรวาล เห็นไหม โลกนี้ยิ่งใหญ่ ธรรมชาตินี้ยิ่งใหญ่ ไม่อยู่ในอำนาจของมนุษย์ เราจะสร้างทฤษฎี เราศึกษาทฤษฎีรู้มา แล้วเราลองทฤษฎีนั้นน่ะ เราลองสิ มันเป็นสถิติไง

เกิดแผ่นดินไหว ก่อนจะเกิดแผ่นดินไหว น้ำนี่ต้องเกิดกำมะถัน นี่สถิติมันจะบอกเลย การเกิดแผ่นดินไหวนะ แผ่นดินไหวทำลายทุกๆ สิ่ง มนุษย์กลัวธรรมชาติไง แผ่นดินไหว นั่นล่ะธรรมชาติมันยิ่งใหญ่ แล้วเราอยากจะควบคุมธรรมชาติไง เราควบคุมไม่ได้ ก็ว่าธรรมะนี้เป็นธรรมชาติ เราศึกษาธรรมชาติเพื่อจะยอมตัวเหรอ ด้วยความกลัวของมนุษย์ไง ด้วยความกลัวนะ

ทฤษฎีในวิทยาศาสตร์ เห็นไหม ไอน์สไตน์คิดค้นได้น่ะ ความเป็นไปของทฤษฎีสัมพันธ์ จนสิ้นสุดสัมพันธ์แล้วระเบิดออกมาน่ะ แล้วอะไรมันเป็นผลล่ะ ภูเขาหรือมันรับรู้ ภูเขารับรู้มรรคผล ต้นไม้ต้นไหนมันรับรู้ แม่น้ำที่ไหนมันจะรับรู้ความสุขและความทุกข์? มันไม่รับรู้ความสุขและความทุกข์หรอก มันมีมนุษย์เท่านั้นที่รับรู้ความสุขและความทุกข์ไง นี่ทฤษฎีสัมพันธ์ เห็นไหม เกิดเป็นนิวเคลียร์อะตอม นิวตรอนอะตอม เป็นควาร์ก แล้วตัวไหนเป็นตัวรับรู้ ตัวไหนบ้างที่มันจะรับรู้เป็นความสุขและความทุกข์

ภูเขาโดนลมนะ ลมกรรโชกกัดกร่อนจนเป็นภูเขาที่ว่ากัดกร่อนจนเป็นแบบทิวทัศน์สวยงามน่ะ ภูเขานั้นมันได้รับรู้อะไร? มนุษย์ต่างหากไปเห็นภูเขาว่าสวยงาม เห็นไหม เราให้ค่า ธรรมชาติมันรับรู้ตัวมันเองไหม ธรรมชาติมันรับรู้ว่ามันเป็นภูเขา มันโดนลมกัดกร่อน โดนน้ำกัดกร่อน มันเป็นภูเขาที่สวยงาม มันรับรู้ไหม? มันไม่รับรู้เรื่องใดๆ ของมันหรอก มนุษย์ต่างหากที่ไปเห็นแล้วอันนี้สวยๆ นั่นธรรมชาติมันให้ผลอย่างนั้นเหรอ นั่นธรรมชาติของความเป็นภายนอกนะ ทฤษฎีธรรมชาติล่ะ

ดูสิ ดูอย่างสัตว์สิ มันอยู่ในป่า ธรรมชาติก็สอนมัน เวลามันเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็ไปหาสมุนไพรกินของมันเอง นั่นก็ธรรมชาติอันหนึ่ง แล้วมันรับรู้อะไรล่ะ มันก็เป็นสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ในป่าแล้วก็ตายไป มันหมุนวนเวียนไปในธรรมชาตินั้นน่ะ ธรรมชาติ เพราะธรรมชาติมันเป็นไป เมื่อก่อนคนเรายังโง่อยู่ ยังไม่เข้าใจเรื่องทฤษฎีนี่ ก็กลัว ตื่นกลัว การกราบ บูชาไฟ บูชาแดด บูชาฝน บูชาต้นไม้ภูเขา แล้วต้นไม้ภูเขามันก็ไม่รับรู้

มรรคผลไม่ใช่อยู่ที่ภูเขา ไม่ใช่อยู่ที่ต้นไม้ มันอยู่ที่ใจมนุษย์ ใจเทวดาที่มีคุณธรรมฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า อย่างพวกเทวดามาฟังธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วตรัสรู้แล้วสิ้นกิเลสไปน่ะ ธรรมอันนี้ต่างหากล่ะ ภูเขาโดนลมกัดกร่อนมันไม่รู้ร้อนรู้หนาว เราต่างหาก มนุษย์ต่างหาก ลมพัดมาเรารู้ว่าหนาว รู้ร้อนรู้หนาว รู้ร้อนรู้หนาวนี่มันเก็บสถิติเข้ามาในหัวใจไง

สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง ใครเห็นสิ่งที่เป็นอนิจจังบ้าง “สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา แต่เราเข้าใจ เราศึกษาแล้วเราออกไปจับ เห็นไหม ว่ามันแปรปรวน ธรรมชาตินี้แปรปรวน มันเคลื่อนไป มันอยู่ไม่คงที่ มันต้องเคลื่อนไป มันเป็นไตรลักษณ์ เราไปเข้าใจว่ามันเป็นไง เราไปเข้าใจว่ามันเป็นแล้วก็มองว่าอันนั้นเป็นธรรมชาติ ให้เราไม่รับรู้ ให้เราไม่ไปยึดมั่นไง แต่อันนั้นมันเป็นการวางยาสลบน่ะ

เห็นไหม เราพิจารณาสิว่า นั่นก็เป็นธรรมชาติ อันนั้นก็เป็นธรรมชาติ...มันเหมือนกับวางยาสลบเราน่ะ เราโดนวางยาสลบ เราสลบไปเราได้อะไรขึ้นมา เอาตัวเราออกไปเป็นเขาไง มันแบบว่ามันทำให้เราไร้ค่า ให้ความรู้สึกของเราออกมาเป็นธรรมชาติอันหนึ่งไง

แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้อย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ธรรมแท้ๆ ไง เพราะหัวใจนี้ กิเลสมันอยู่ในหัวใจมันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันสะสมมาในความรู้สึกอันนั้น ความคิดออก ความศึกษาเข้ามานี่มันเป็นโลกียะ มันเป็นการจดจำมาไง การศึกษา เห็นไหม ศึกษาธรรมชาติ เรารู้ทฤษฎีเราก็ศึกษาไป ศึกษาไปอย่างนั้น แต่ผู้ที่ค้นคว้าเจอ เห็นไหม ขนาดค้นคว้าเองนะ แล้วเขาทำได้ด้วย เขายังไม่ได้ประโยชน์จากนั้นเลยน่ะ

มนุษย์เป็นผู้ใช้นิวเคลียร์นะ ใช้ทางสันติหรือทางเข่นฆ่ากันล่ะ กิเลสในหัวใจของเราก็เหมือนกัน เรานี่ ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ศึกษานี้ศึกษาในหัวใจเราต่างหาก พระพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้นะ ไปศึกษากับอาฬารดาบส นั่นก็ศึกษาความจิตสงบ ศึกษาให้จิตนั้นสงบ การทำความสงบ จิตนี้สงบ ทำเข้ามาสงบมันยังเป็นตัวตนนะ เป็นเราเป็นเขา เห็นไหม ให้จิตของเราสงบออกเข้ามา เหมือนกับธรรมชาติมันเกิดคลื่นลมแรง แล้วทำให้คลื่นลมนั้นสงบตัวลง

ดูสิ น้ำท่วมใหญ่ซัดบ้านเรือนพังไปหมดเลย เดือดร้อนกันไปทั้งโลก เวลามันเกิดขึ้นมานี่ เวลาอารมณ์เรา เรามีความทุกข์ในหัวใจ มันเกิดขึ้นมา มันเหมือนกับน้ำท่วมตัวเราเอง ท่วมความรู้สึกไง ความทุกข์ นี่เราไปดูธรรมชาติข้างนอกมันปั่นป่วน เราไม่ได้ดูธรรมชาติภายในหัวใจไง ธรรมชาติการเกิดดับภายในหัวใจนี่ นี่ธรรมะศึกษามาตรงนี้ไง

การศึกษามานี่มันเป็นการศึกษาทางสุตมยปัญญา สุตะคือการศึกษาเล่าเรียนมาแล้วจำทฤษฎีนั้น แล้วว่าทฤษฎีนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐไง เพราะเราพยายาม เราไม่รู้ตามความเป็นจริงใช่ไหม ศึกษาธรรมะ พระพุทธเจ้าสอนว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มีปริยัติแล้วต้องมาปฏิบัติ เห็นไหม การศึกษาเล่าเรียน การศึกษาทฤษฎีต่างๆ มันเป็นปริยัติ แล้วต้องมีภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติแล้วมันถึงจะเป็นปฏิเวธที่มีความรู้เกิดขึ้น ความรู้จริงที่เกิดขึ้น

จากธรรมชาติของเราเองไง ธรรมชาติในหัวใจ ธรรมะพระพุทธเจ้าไง สิ่งที่จะรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือหัวใจ คือธรรมภายในไง ธรรมชาติส่วนนอกมันเคลื่อนไป แล้วมันไม่ได้ให้ผลกับตัวมันเองนะ ธรรมชาติ เห็นไหม เวลาพายุพัดผ่านมาแล้วพายุสงบไป มันรู้ร้อนรู้หนาวไหม หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านมันกวาดไปหมดเลย คนต่างหากรู้ร้อนรู้หนาว รู้ความทุกข์อันนั้น นี่ธรรมชาติมันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นวัตถุไง ร่างกายเรานี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นวัตถุที่เรามาเสวยภพไง แต่หัวใจที่ในร่างกายเรานั้นต่างหาก พระพุทธเจ้าว่าตรงนี้ ธรรมะศึกษากันตรงนี้

ธรรมะคาดเดาไม่ได้ ด้นไม่ได้ หมายไม่ได้ แต่ทางทฤษฎีของธรรมชาติเป็นทฤษฎีสถิติ เห็นไหม ความลึกของโลก ความลึกของน้ำ เป็นการคาดเป็นการหมาย เป็นการเอาสถิติเข้าไปจับ แต่เราจะคาดหมายความทุกข์เราได้ไหม เราจะคาดหมายหัวใจที่ว่าเกิดมาซับๆ ซ้อนๆ นี้ได้ไหม...ธรรมะถึงคาดไม่ได้ หมายไม่ได้ การคาดการหมาย การด้นการเดา ไม่ได้ทั้งหมด

ทีนี้ไม่ได้นี่มันต้องมีหลักตรงไหนล่ะ หลักที่จะเอาใจมาจับนี่ มันต้องมีตัวภวาสวะ ตัวฐานของใจไง บุญกุศลหรือบาปอกุศลก็แล้วแต่ ผู้ใดประพฤติปฏิบัติมันจะซับลงที่ใจลูกเดียว ธรรมชาติ จะจักรวาลไหนนั่นก็เป็นจักรวาลของเขา แต่หัวใจเรานี่ วัฏวน วัฏฏะก็เป็นจักรวาลหนึ่ง ในหัวใจเรานี่เป็นจักรวาลหนึ่ง เพราะมันเที่ยวมาทุกภพทุกชาติไง กามภพ รูปภพ อรูปภพ เห็นไหม หัวใจเรานี่มันเป็นจักรวาลอันหนึ่ง มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันเป็นวัฏวนอันหนึ่งของเราเลย นี่มันจะหักอันนี้ออกไป

ถึงว่า ต้องทำบุญกุศล หรือทำอกุศลมันจะซับลงที่นั่น ซับลงที่หัวใจของเรานั่นน่ะ เห็นไหม หัวใจของเรา เวลามันทุกข์ขึ้นมามันก็เหมือนแผ่นดินไหว แผ่นดินนี่ไหวหมดเลย ทุกข์ร้อนจนร่างกายนี่สั่นสะเทือน เวลาเราทุกข์เราร้อนแล้วเราได้จับประโยชน์อันนี้ไหม เวลาเราทุกข์จนสั่นสะเทือนมันก็เหมือนกับแผ่นดินไหวอีกทีหนึ่งนั่นล่ะ แผ่นดินข้างนอกไหวให้มันไหวไป แผ่นดินของเรานี่มันไหวแล้วไหวอีก เราก็ไม่ได้กลับมาดูเลย เราถึงมองว่าสรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ

เราไปทำมึนชาไง มึนชากับความรู้สึกภายใน ไม่ยอมรับรู้ไง ไม่ยอมรับรู้เป็นความรู้ภายในออกมาว่าเป็นธรรมชาติอันหนึ่งๆ ปฏิเสธสถิติที่เราควรจะเก็บไว้ที่ภวาสวะ ที่ภพของใจ นี่เวลาจิตสงบมันถึงว่า เอกัคคตารมณ์ จิตมันจะสงบนะ ก่อนจะทำภาวนาถึงต้องทำให้จิตสงบก่อนไง นี่จากที่เป็นสุตมยปัญญาจากที่เป็นปริยัติ นี่มันคิดออก มันคิดแบบรวบยอด คิดแบบเดา คิดแบบด้นไว้ พระพุทธเจ้าบอกว่าอันนี้มันจะให้โทษในขณะที่เริ่มจะปฏิบัติ

ปริยัติ การศึกษาเล่าเรียนมานี่ ตามทฤษฎีในพระไตรปิฎก ในคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์นี้ประเสริฐมาก เพราะมันสร้างศรัทธาพวกเราไง ก่อนที่เราจะประพฤติปฏิบัติมันต้องมีศรัทธาตัวเชื่อ ศรัทธาว่ามรรคผลนี้มีจริง พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ได้ตรัสรู้ ลูกศิษย์ได้เป็นพระอรหันต์ตามๆ กันไป องค์แล้วองค์เล่าๆ เห็นไหม

นั่นน่ะ ถึงว่า การศึกษาปริยัติเพื่อให้เกิดศรัทธาตัวเชื่อ ตัวปักลงเท่านั้น ตัวเชื่อ ตัวปักลงตัวนี้ คือตัวความมุ่งหมายของเราไง มีจุดมุ่งหมาย มีเป้า มีอธิษฐานบารมี บารมีว่าเราจะสิ้นทุกข์ให้ได้ ผู้ปฏิบัติจะพ้นทุกข์ จะออกจากทุกข์ เห็นไหม นี่ปริยัติจะให้ผลอย่างนี้ ให้ผลในการเกิดความศรัทธา เกิดความเชื่อมั่น เกิดที่ว่ามีแผนที่ มีทางจะเดินต่อ แต่มันไม่ใช่ผลนี่

แล้วการปฏิบัติน่ะ ทุกคนมีกิเลสอยู่ มันจะมีตัวตัณหาไง ตัวความอยากความทะเยอทะยาน ถ้าทะเยอทะยานในทางความชั่ว เรานี่ทำกันนะ อยากจะไปเที่ยวบาร์เที่ยวผับ อยากจะไปเที่ยวไหน อยากจะเที่ยวเมืองนอก มันรีบๆ ไปตีตั๋วนะ ไม่มีตั๋วก็บินก่อนจ่ายทีหลัง เห็นไหม เวลาตัณหาในฝ่ายความไม่ดีนี่มันไม่เคยหักห้ามเลย แต่พอจะทำความดีนี่มันกลัวเป็นตัณหา จะไปวัดก็กลัวเป็นตัณหา จะปฏิบัติก็กลัวเป็นตัณหา จะนั่งก็กลัวเป็นตัณหา จะมีความริเริ่มก็กลัวจะเป็นตัณหา

อันนี้ไม่ใช่ตัณหา อันนี้เป็นมรรค มรรคคือความเชื่อมั่น เชื่อมั่นว่าจะออกจากทุกข์ไง เรามั่นใจว่าเราจะทำลายบ้านเรือนของเรา เราอยู่ในบ้านของเรานะ เราจะออกจากบ้าน บ้านนี้เป็นกรงขัง เขาขังกุญแจ เขาใส่กุญแจขังเราไว้ในบ้าน เราจะทำอย่างไรให้เราทะลุออกไปจากบ้านนั้น มีความเชื่อมั่น มีความพยายาม เราต้องทำลายออกไปจนได้ ถ้าเราไม่มีความเชื่อมั่น ไม่มีความพยายาม เขาขังเอาไว้ในบ้าน เราก็นั่งคอตกอยู่ในบ้านนั้นหรือ

นี่ไง ถึงว่า ความพยายามจะออกจากบ้านนั้นไม่ใช่ตัณหา ไม่ใช่กิเลส มันเป็นมรรคไง มรรคในความอุตสาหะความเพียรไง ความเพียรชอบ เป็นมรรคองค์หนึ่งในมรรค ๘ เห็นไหม ความเพียร ความอุตสาหพยายาม ไม่ใช่เริ่มต้นก็ไม่ทำอะไรเลย จะมึนชาเราไปตลอดเหรอ เราต้องทำได้

ความลังเลสงสัยทำให้เกิดนิวรณธรรม ลังเลสงสัยว่าตัว เราจะนั่งปฏิบัติมันจะเป็นตัณหาไหม เราเริ่มต้นปฏิบัตินี้จะเป็นตัณหาไหม...ตัณหาในความผิดพลาดนั้นเป็นตัณหา ตัณหาในการทำความชั่ว อันนั้นเป็นตัณหา แต่ในความริเริ่มพยายามนี้เป็นตัณหาได้อย่างไร ว่าเป็นตัณหาๆ แล้วความเพียรชอบอยู่ที่ไหน งานชอบอยู่ที่ไหน นี่เริ่มต้นเราก็เชื่อมั่น มีความพยายาม นี่มันจะเสริมเข้ามาในทางปริยัติแล้วปฏิบัติ เริ่มปฏิบัติต้องมีตรงนี้ไง ปฏิบัติ

ไม่มีใครหรอก จะเอารถเทียมม้ามาลากเราไป เราต้องต่อรถม้าขึ้นมาเอง เราต้องต่อรถม้าของเราขึ้นเองไปให้ได้ เห็นไหม ถึงว่า อยู่เฉยๆ แล้วก็รอธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติแล้วมันจะเป็นไป รอไง รอให้มันเป็นไปเอง แล้วมันจะกี่ภพกี่ชาติถึงจะเป็นไปเองล่ะ สวะลอยตามน้ำไป พระพุทธเจ้าสอนการทวนกระแส ธรรมะทวนกระแสโลก ธรรมะไม่ใช่ไปตามกระแสโลก ทวนกระแส แต่พอเราจะทำปล่อยตามกระแส จะฝืนก็ไม่ได้ กลัวจะเป็นตัณหา จะทำอะไรก็ไม่ได้ กลัวจะเป็นตัณหา จะปล่อยให้ตัวเองลอยไปตกทะเล ลอยไปตกโอฆะไง ไม่สามารถขึ้นฝั่งได้

เราต้องขึ้นฝั่งได้ เราต้องทำได้ เห็นไหม ถึงว่า ต้องต่อขึ้นมาเอง ต่อรถม้าขึ้นไป เราไปเอง ล้ออยู่ที่ไหน ม้าอยู่ที่ไหน? ก็เรานี่ไง ความริเริ่มนี่เกิดแล้ว เพราะริเริ่มเราก็วาดแพลนรถ เห็นไหม เราเริ่มวาดแพลนแล้ว ยังไม่ใช่ตัวรถเราก็วาดแพลนรถแล้ว สติกำหนดระลึกไว้อยู่ ความกำหนดออก ต้องกำหนดออกไง ออกจากความติดในโลก รูป รส กลิ่น เสียง เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ความติดของเราในโลกนี้ ความติดในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เราต้องพยายามออกมา เห็นไหม นั่นน่ะ เราจะเริ่มเก็บวัสดุออกมาแล้ว เก็บวัสดุเราจะประกอบรส ออกจากกระแส

ว่าธรรมชาติมันยิ่งใหญ่ ภายนอกยิ่งใหญ่มาก ไม่มาดูกิเลสที่มันสะเทือน หัวใจมันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ใจมันพ้นออกไปจากกิเลสมันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ธรรมชาติมันก็เป็นอันหนึ่ง ธรรมชาติน่ะ ยิ่งใหญ่มาก แต่ถ้าในหัวใจมันใหญ่กว่านั้น ใหญ่กว่าธรรมชาตินัก ธรรมะไง ทั้งลึกทั้งกว้าง กว้างจนไม่มีขอบไม่มีเขตไม่มีแดนเลย พระพุทธเจ้าถึงบอกให้ตั้งสติไว้ กำหนดจิตให้ได้ ตั้งสติกำหนดพุทโธๆๆ เห็นไหม ทำจิตนี้ให้สงบ ก็มีเป็นตัวฐานไง จิตนี้สงบ จิตนี้ไง เห็นไหม

สรรพสิ่งจะมีเพราะมีเรา เราต้องเป็นผู้กำหนดสิ เราเป็นผู้ที่จะ...รถม้ากับม้านี่มันไปได้ไหม มันต้องมีคนขับใช่ไหม คนขับเคลื่อนมันน่ะ มันจะวิ่งออกไป มันจะทวนกระแสดออกไป มันต้องมีคนขับ คนขับคือตัวจิตนี่ไง

มันมีพร้อมนี่ กาย กายของเราก็มีอยู่แล้ว นี่ธุดงค์ไง เที่ยวกรรมฐานในกาย ธรรมชาติข้างนอกมันเป็นธรรมชาติข้างนอกใช่ไหม แต่ธรรมชาติภายในกาย ภายในจิต ภายในเวทนา นี่ธรรมชาติภายในนี้ แล้วจิตมันวนอยู่ในนี้ไง มันวนอยู่นี้แล้วมันหมุนออกไปข้างนอก เห็นไหม เกิดเป็นมนุษย์ เราได้ภพเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เกิดในสิ่งต่างๆ มันวนออกไป เพราะจิตนี้มันวนออกไป ถ้าจะหักก็ต้องหักออกช่องนี้ไง ออกช่องที่เป็นมนุษย์นี่ไง เพราะพวกนี้มันจับต้องถึงกาย

จิตสงบก่อน พิจารณาภายนอก รูป รส กลิ่น เสียงภายนอกน่ะ ความเป็นไป อันนั้นเพื่อให้จิตนี้สงบเข้ามา ให้จิตนี้ปล่อยวางอารมณ์ข้างนอกเข้ามา ไม่ใช่ออกไปรับรู้ ไม่ใช่ปล่อยขับไสจนไม่มีตัวนี้ไง ขับไสออกไปให้มันหายไป ให้มันกลบเกลื่อน ให้เก็บความรู้สึกให้เข้าไปในใต้พรมไง ขยะเราจะกวาดเข้าใต้พรมให้หมด ให้เราไม่รับรู้ใดๆ เลย แล้วก็ว่าง โอ้! โล่ง สบาย โถง ว่าอย่างนั้นนะ...ไม่ใช่ เราต้องจับตัวนี้ไง ให้จิตนี้เป็นตัวตนของเราขึ้นมา เพราะตัวนี้เป็นตัวฐานแล้วตัวนี้เป็นตัวดู เป็นตัวขับเคลื่อน

ตัวจิต จิตนี้สงบ พอจิตสงบ ดูคนเห็นกายถึงเห็นกาย จิตนี้สงบนะ เพราะจิตนี้เป็นผู้รับรู้นี่ จิตนี้เป็นตัวเก็บสถิติ จิตนี้เป็นผู้รับรู้ข้อมูลน่ะ จิตนี้ มันซับลงที่จิตทั้งหมด แผ่นดินไหวกี่หนในหัวใจ วันนี้แผ่นดินไหวกี่หน แผ่นดินไหวนี้เกิดมาจากตรงไหน แผ่นดินไหวมาจากไหน? ไหวออกมาจากตัวสัญญาข้อมูลเดิม มันรับรู้ความทุกข์ความสุขไง ไม่พอใจมันขยับให้แผ่นดินนี่ ให้หัวใจนี่มันไหว มันรับรู้ความทุกข์ พอจิตมันสงบเข้ามาก็ดูสิมันเกิดมาจากไหน

จิตก็เหมือนกับเจ้าหน้าที่คอยดูข้อมูลไง เขาจะเก็บสถิติข้อมูลว่าแผ่นดินมันจะไหวนี่เขาจะเก็บสถิติ ไอ้นี่เราเก็บสถิติภายในใจไง ดูสิ มันฟุบกี่หน มันเวียนกี่หน นี่การพิจารณา จากจิตสงบเข้ามาเป็นสมถกรรมฐานไง สมถะคือมีเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปเก็บข้อมูลแล้ว ดูข้อมูลจากหัวใจนี่ไหวไหม ไหวมาอย่างไร พอไหวออกมาแล้วจนขนพองสยองเกล้า บางทีขนลุกหมดเลย นี่มันไหวออกมาจากที่ไหนล่ะ ทำไมมันให้ผลออกมาถึงโลกแล้ว ผิวหนังเรานี่เคลื่อนไปหมดเลย

แล้วเก็บสถิติดูเข้าไป เก็บสถิติเข้าไป จนโลกนี้มันจะไหว เราไม่สามารถ เปลือกโลกมันจะเคลื่อนไปตลอด แต่การพิจารณาเข้ามาในใจของเรา เราสามารถลบล้างแผ่นดินไหวนั้นได้ เราถอนศรออกจากหัวใจเลย ถอนลูกศรออกจากหัวใจนะ จบสิ้นกันทีไง คือว่า ทำลายแกนของโลก ทำลายแม่เหล็กหมดเลย สนามแม่เหล็กออกทั้งหมด เหลือไว้แต่สักแต่ว่ากายเฉยๆ จิตนี้พ้นออกไปเลย โลกนี้ว่างเปล่า มันว่างจากข้างในนี้ โลกนี้ว่างเปล่าเลยนะ

เพราะเรารื้อออกหมด เรารื้อเข้ามาข้างในเป็นชั้นๆ เข้าไปนะ มันจะเก็บข้อมูลเข้าไปแล้วดูเข้าไปๆ นี่ภาคปฏิบัติมันต้องมีการประหัตประหาร มีการจับต้อง ไม่ใช่ว่ามึนชาๆ มึนชาเหมือนคนสลบตั้งแต่เริ่มต้นเลยเหรอ เริ่มต้นก็เข็นเข้าห้องแล้ว จะปฏิบัติก็เข้าห้องไอซียูก่อนเลย แล้วมันได้ผลตรงไหน จะเริ่มต้นปฏิบัติมันก็ต้องจับเราให้ได้ จับตรงนี้

ดูนะ นี่ธรรมะพระพุทธเจ้า ธรรมะพระพุทธเจ้าลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งอยู่ภายในน่ะ แต่ว่าเราไปให้มันต่ำเอง ดึงค่าต่ำนะ ดึงธรรมะสูงๆ ธรรมะลึกซึ้งของพระพุทธเจ้าให้มีค่าต่ำลงมาๆ ให้เป็นค่าแค่ทฤษฎีกฎหนึ่งเท่านั้นเอง

มันมีของมันอยู่ตลอดเวลา แต่มันต้องมีเกี่ยวกับเรื่องวาสนา เกี่ยวกับเรื่องบารมีของบุคคลที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา โลกนี้มีประชากรกี่พันล้าน ทำไมมันเป็นชาวพุทธที่ปฏิบัติอยู่ในเมืองไทยมันกี่ล้านคนล่ะ แล้วปฏิบัติจริงๆ มีเท่าไร แล้วเรามาเจออย่างนี้ เราจะสบประมาทหรือว่าเราจะดูถูกตัวเองได้อย่างไรว่าเราไม่มีวาสนา เราไม่ได้เกิดตายๆ มากี่แสนกัปแล้ว

ย้อนกลับไปแล้ว จิตนี้ไม่มีที่สิ้นสุด มันสะสมมาไม่มีที่สิ้นสุด ทุกดวงจิต แล้วมันปฏิสนธิเกิดมาเป็นเรา แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนานี่ มันจะมีบุญหรือไม่มีบุญล่ะ ถ้ามันมีบุญเราก็ต้องทำได้สิ เห็นไหม

นี่ปริยัติ เวลาเรียนมามีประโยชน์แค่การศรัทธา แต่มันก็ทำให้เราเห็นว่าสถิติอย่างนั้นแล้วเราจะไม่มีสถิติข้อมูลว่าเราเกิดมาเท่าไร...เกิดมาเยอะ ถ้าไม่เกิดมาเยอะ ไม่ขับมาจนกว่าเราพบพระพุทธศาสนา แล้วกึ่งกลางด้วย กึ่งกลาง ๕,๐๐๐ ปี พระพุทธเจ้าว่าไง พุทธศาสนาจะเจริญขึ้นมาอีกหนหนึ่ง แล้วเจริญมาก เจริญข้างนอก วัดวาอารามขึ้นมานี่สวยงามไปหมดเลย แต่ศาสนธรรมนี่เจริญในหัวใจเราหรือเปล่า ในหัวใจของเราน่ะ

ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เห็นไหม ธรรมารส รสใดๆ ในโลกนี้ไม่เทียบเท่ารสของธรรม จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนนะ มีเงินทองมากมายขนาดไหนมันก็ได้ขนาดนั้นน่ะ เปลือกๆ สุขเปลือกๆ แต่ถ้าเราได้รสของธรรมสิ นี่ธรรมแท้ๆ ของพระพุทธเจ้า ใจเท่านั้นสัมผัสได้ ใจจะสัมผัสเท่านั้น ใจเป็นภาชนะที่จะใส่ธรรมะ หรือเข้าไปสัมผัสธรรมะของพระพุทธเจ้า ใจนี้เท่านั้นเลย

เพราะว่าเปลือกนี่ เวลาประพฤติปฏิบัติพ้นแล้ว เห็นไหม มีแต่เปลือกของโลก เปลือกของวัตถุ แต่หัวใจพ้น เห็นไหม นี่สัมผัสขนาดนั้นล่ะ สัมผัสจนพ้นได้ พ้นออกไปจากวัฏวนเลย จักรวาลของกิเลสของตัวเอง จักรวาลของตัวเองนะ แต่เราไปศึกษาข้างนอกแล้วคิดดูสิ กี่ล้านๆๆ คนมองแต่อยู่ในโลกนี้ คิดศึกษาแต่ทฤษฎีของโลกนี้

โลกคือหมู่สัตว์ สัตว์ตัวหนึ่งก็โลกตัวหนึ่ง สัตว์เป็นผู้ข้อง หัวใจทุกคนที่เกิดมามีกิเลสทั้งหมด เห็นไหม โลกนอกโลกในไง เราเป็นสัตว์ตัวหนึ่งที่เกิดมา เป็นผู้ข้องอยู่ ข้องในหัวใจ ข้องไปทั้งหมดเลย แล้วเราเป็นผู้จะมาแกะออกน่ะ เราจะมาแกะให้ใจเราออกจากโลก ทีนี้แกะออกจากโลกมันต้องออกจากโลกด้วยธรรมนี่ ไม่ใช่ออกจากโลกด้วยโลก ออกจากโลกด้วยโลกก็อย่างนั้นล่ะ ออกจากโลกด้วยโลก

มองไง อย่างเช่นเราป่วยไข้ไปโรงพยาบาลเขาฉีดยาเข้า นี่โลก ฉีดยาเข้าไปในร่างกายไง แต่อันนี้เป็นธรรมะพระพุทธเจ้าน่ะ มันฉีดเข้าหัวใจ ธรรมะพระพุทธเจ้านี่ฉีดเข้าไปในหัวใจแล้วไม่มีหมอคนไหนฉีด

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เท่านั้นเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ใจแก้ใจ จิตแก้จิตไง มันถึงจะเข้าได้ เหมือนกระแส เหมือนน้ำ น้ำคนเข้าไปมันก็ผสมขึ้นไป เติมน้ำลงไป แต่นี่มันนามธรรม เวลาทุกข์มันก็ใจทุกข์ คำพูดคำเดียวทำไมมันทุกข์ขนาดนั้น บางทีนะ เห็นไหม เสียงกระทบหน่อยเดียว หัวใจนี่หวั่นไหวไปหมดเลย เวลาทุกข์นี่มันให้ผลขนาดนั้น แล้วเวลาจะสุขล่ะ เสียงมา เวลาเสียงเขาชมมานี่นิดหน่อย แล้วมันไม่ได้สุขเท่านั้นนะ เพราะอะไร

เพราะในหัวใจมันมีกิเลสตัวต้านอยู่ มันจะไม่ให้สุขมากนักหรอก มันจะบังคับไว้อย่างนั้นล่ะ บังคับไว้ตลอด เวลาสุขก็ให้พอหายใจ เวลาทุกข์มันให้ผลมานี่เจ็บปวดแสบร้อน เจ็บปวดแสบร้อนมาก แล้วเราจะไม่ดูเหรอ มันถึงว่าเรื่องของนามธรรม เรื่องของใจไง

เวลาดูมันส่งออก ดูแล้วมันส่งออกๆๆ จิตมันสงบนะ เราให้พิจารณา จิตมันสงบ ปกติโดยธรรมชาติมันส่งออกอยู่แล้ว ธรรมชาติของจิตนะ เวลาส่งออก แล้วพอมันสงบตัวลง กระแสมันยังส่งออกอีกชั้นหนึ่ง เพราะจิตนี้มันซับๆๆ กันอยู่ จิตพอสงบนี่มันมีพลังงานมันส่งออก ถึงจะเห็นภาพข้างนอกไง

พอจิตเราสงบ ตาในนะ ตาธรรมเห็น เห็นภาพ จะเป็นภาพอะไรก็แล้วแต่ เริ่มส่งออก เราต้องกำหนดดึงเข้ามา ดึงภาพนั้นเข้ามา ดึงภาพที่เห็นนั้นเข้ามา ให้กำหนดจิตไว้ ให้กระแสที่ออกไปรับรู้นั้นหดเข้ามาๆๆ หดเข้ามาถึงตัวเราปั๊บมันจะมีพลังงานอีกตัวหนึ่ง พลังงานตัวนี้เป็นความสุขแท้ เป็นสมาธิธรรม ธรรมที่เกิดจากสมาธิ ธรรมที่สงบ ธรรมเครื่องยนต์ จิตนี้หมุนอยู่ แกนของโลกหมุนอยู่ ไม่เคยดับ จิตนี้ไม่เคยดับ หมุนอยู่ ตายไปก็หมุนอยู่อย่างนี้ เพราะมันเป็นไปตลอด แล้วเรามากำหนดจนมันหยุดได้ เห็นไหม โลกที่มันเคลื่อนไปแล้วมันหยุดนิ่งอยู่ชั่วให้เราได้แก้ไขไง หยุดนิ่งอยู่เพื่อจะให้เราปรับกลุ่มใหม่ ตั้งจักรวาลใหม่ เคลื่อนจักรวาลให้ออกไปในจักรวาลที่ว่าอยู่ในเส้นศูนย์สูตรว่าร้อนหรือเย็นไง

ถ้าจิตมันสงบมันเย็นขึ้นๆ ปกติมันร้อน ปกติมันทุกข์อยู่ พอจิตมันสงบ เห็นไหม สมาธิธรรม ความสุขเกิดจากจิตสงบ เกิดจากการหมุนจนหัวปั่น มันก็มีความสงบแล้วนะ เวิ้งว้างว่างอยู่ จิตนี่เวลาสงบนี่ว่างหมดเลย มันลึกหรือตื้นแล้วแต่คนจะสงบลงมา นี่มันเป็นพลังงานแล้วที่เราจะเอาออกมาวิปัสสนา เพราะว่าพอมันหยุดอยู่ สักเดี๋ยวมันก็เคลื่อนไปอีก เพราะมันโดนพัด มันต้องเคลื่อนไปโดยตัวของมันเอง เพราะมันเป็นธรรมชาติของจิตที่คิดออก

เราจะสังเกต เราจะหยุดความคิดเราได้ไหม ความคิดเรานี่เราหยุดไม่ได้เลย มันหมุนไปตลอด เกิดๆ ดับๆ แล้วเราใช้พลังงานของเราเองที่พระพุทธเจ้าสอนน่ะ ให้เอาจิตแก้จิต เราเชื่อมั่นภายในเราก็ทำของเราได้ใช่ไหม ถ้าเราทำโดยสักแต่ว่า...

...มันจะเห็นหมด พอเรดาร์มันจับเครื่องบินเข้ามาในเรดาร์ไง ให้ค้นคว้าให้เห็นกาย ให้เห็นเวทนา ให้เห็นจิต ให้เห็นธรรมารมณ์ แล้วเราจะแก้ไขอย่างไรให้มันออกไป ความคิด ความทุกข์ มันมีเพราะเราไปยึด เราไปยึดนะ เพราะเราจะปล่อย ปล่อยไม่ได้ เพราะยางเหนียวของกิเลสมันหมุนไปพร้อมกับความคิด เห็นไหม เราก็ดูสิ ดูว่ามันหมุนไปเพราะอะไร

อย่างเช่นโลกเราหมุนไป มันหมุน มันใหญ่มาก มันหมุนไป เราไม่สามารถจะหยุดมันได้ ความคิดมันหมุนไปรอบหนึ่งเราก็ไม่สามารถหยุดมันได้ พอหยุดไม่ได้เราก็ดูเงาก็ได้ จับเงาก่อน ดูเงา ดูกระแส ดูลมพัด เห็นไหม เวลาหมุนไปมันจะเกิดลมเกิดอะไร นี่ก็เหมือนกัน เกิด ดูว่ามันเกิดมาจากอะไร เราดีใจเสียใจนี่ นี่มีความสุขความทุกข์ ย้อนกลับมา ความทุกข์นี้เป็นอะไร ความคิดนี้คืออะไร ย้อนกลับเข้าไปดู

ขันธ์ ๕ ไง สังขารความปรุงความแต่ง ทำไมเราเผลอคิดล่ะ ทำไมมันมีสิ่งที่ว่ากระตุ้นให้คิด ทำไมคิดตามล่ะ มันต้องมีสิ่งกระตุ้นนะ ไม่มีสิ่งใดๆ เลยเกิดขึ้นมาลอยๆ ทฤษฎีสัมพันธ์ สิ่งนี้มีเพราะมีสิ่งนั้น อิทปฺปจฺจยตา เห็นไหม สิ่งนี้มีถึงมีต่อไป ถ้าสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนั้นก็ต้องไม่มี มันเนื่องกันมา

ความคิดเกิดมาจากอะไร? เกิดมาจากสัญญาความจำข้อมูลเดิม เห็นไหม มันจะปรุงออกมา ความคิดน่ะ เวลาจิตมันสงบแล้วมันต้องดูข้อมูลภายใน ข้อมูลข้างนอกนี้ไม่ได้เรื่องแล้ว ข้อมูลข้างนอกมันกระตุ้นภายนอก ข้อมูลภายในที่มันเกิดขึ้นมา มันไม่ลอยๆ หรอก สัญญาเดิมมันมีอยู่ในใจ สัญญานี่พยับแดด ธรรมะบัญญัติว่าสัญญานี้เปรียบเหมือนพยับแดด ไอแดดไง เราดูที่ถนนเวลาโดนแดดร้อนๆ นี่พยับแดด เห็นไหม พลังงานมันเกิดแล้ว แต่นี่ในหัวใจมันก็เหมือนพยับแดด มันขึ้นมาด้วยสัญญา แล้วสังขารมันปรุงแต่ง

เราดูอย่างนี้ ถ้าจิตสงบมันเห็น ถ้าจิตสงบนะ ถ้าการพิจารณาภายในขึ้นมา เพราะจิตนี้มันตั้งฐานได้แล้ว มันจับ มันหมุนเข้ามาภายในแล้ว นี่เห็นข้อมูลภายในนี่ เห็นในโลกของเรานี่ จับเข้ามาภายใน มันปรุงๆๆ เพราะอะไร เพราะเราแบ่งแยกสุขหรือทุกข์ เวทนาไง พอใจหรือไม่พอใจ ไม่พอใจมันยิ่งคิดมาก

ธรรมภายใน ธรรมแท้ๆ นะ นี่ปัญญาธรรม ต้องเดินให้มาก ขยำออกเลย พระพุทธเจ้าว่าไง ดินต้องขยำให้ดีก่อน นี่คราดไถ พิจารณาให้มาก เพราะว่าเราจะเอาตัวเราออกจากโลก

มันเกิดมันก็แสนยาก การเกิดนะ เพราะว่าถ้าพูดถึงข้อมูลภายนอกนี่มันเกิดแบบว่าไปตามลม แต่ข้อมูลภายในถ้าเราจับต้องได้แล้ว มันเกิดเพราะว่าเรามีตัวไปจับ ตัวภายในไง ตัวจิตน่ะ คือว่าเอาจิตพิจารณานี่แหละ เอาอะไรพิจารณา พิจารณาภายนอกเอาอะไรพิจารณา แต่ถ้าเอาจิตพิจารณานะ เอาจิตดูมันน่ะ

เวลาพูดว่ามันหรือเรานี่มันเป็นคนละฝ่าย แต่เหมือนเก้าอี้ดนตรีที่หัวใจ ความคิดดีคิดชั่วไง เรามีพิจารณาได้เลย แต่ถ้าเราพิจารณาแล้วสู้ไม่ไหว พอพิจารณาแล้วเหมือนกับพิจารณาแล้วตามมันไปเลย เราพิจารณาใช่ไหม ความคิดนี่ทุกข์อย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างนี้ๆ คิดตามไปเลย เรากำลังไม่พอไง เราปล่อย แรงโน้มถ่วงมันดึงไปมากกว่า เราปล่อยเลย ปล่อยแล้วกลับมากำหนดจิตให้สงบ เห็นไหม มันต้องไปพร้อมกันทั้งความสงบไง

บางคนเริ่มต้นสงบนี่มันทำไม่ได้ ความสงบนี่ไม่ใช่ว่าดูถูกไม่ได้เลย เริ่มต้นนะกว่าจะสงบ พอสงบแล้วพิจารณามันจะเพลินมากเกินไป ต้องกลับมาให้สงบอีก พอกลับมาสงบมันก็มีพลังงานของเรา ตัวจิตเรานี่แหละ ตัวนี้ ถ้าจิตสงบมีพลังงาน การพิจารณามันจะทัน เพราะมันเหมือนกับมีดคมกล้า มีด ถ้าเราลับไม่คม สับไปเนื้อชิ้นไหนก็ขาด ถ้ามีดเราทื่อ สับไปแล้วไม่ขาด แล้วเนื้อนั้นช้ำด้วย

ถ้าเราพิจารณานะ จิตเรา พลังงานเราไม่พอ พิจารณาไปมันลากเราไปเลย ลากเราไปเลย เหมือนกับเราคิดตามไป เหมือนกับความคิดของเรานี่แหละ เพราะคิดแล้วเป็นเรา แต่ถ้าจิตนี้ตัวมันสงบพอ มันมีแรงพอ มันพิจารณาแล้วเราชนะ หมายถึงว่าความคิดจะหยุดเลย ความคิดที่เป็นกิเลส ความคิดที่เป็นสังขารไง สังขารธรรม แต่ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นก็เป็นสังขารนั่นแหละ แต่สังขารนี้เป็นธรรม กับสังขารนี้เป็นกิเลส มันจะต่อสู้กันเองภายในหัวใจเรา

ถ้าปกติมันเป็นสังขารของกิเลส เป็นความคิดของกิเลสมันปรุงออกมาๆ เพราะจิตเดิมแท้นี้มันมีกิเลสอยู่ที่จิตเดิมแท้นี้ จิตเดิมแท้ของเรา เพราะเราเกิดมานี้เกิดมาด้วยกิเลส ทีนี้การหมุนเข้าไป เพราะมีธรรมะเท่านั้นที่กิเลสมันกลัว ธรรมะเท่านั้นจะหมุนเข้าไปที่จิตเดิมแท้นี้ จะเข้าไปขุดคุ้ยที่จิตเดิมแท้นี้ แต่พอมันหยุดข้างในมันก็ต้านออกมา มันต้านออกมาโดยธรรมชาติของมันเลย มันยาก มันยากตรงนี้ไง มันถึงไม่อยากจะทำกันแล้วก็ไม่มองเลยว่าจะหันกลับมาอย่างไร

ว่าจิตนี้ จิตเดิมแท้นี้เรามีกันอยู่แล้ว แล้วก็ค่อยทำๆ ไปมันจะเข้าไปเอง เหมือนกับลัทธิศาสนาในสมัยพุทธกาลไง เกิดมาแล้วอยู่เสพให้เต็มที่เลย เสวยสุขไปเลย ๕๐๐ ชาติ สิ้น เห็นไหม เขาว่าเกิดๆ ดับๆ อย่างนี้ ถึงจุดแล้วมันจะหมดไปเองโดยมันจะหมดไปเอง โดยที่มันผุกร่อนไปเอง...ไม่มี กิเลสไม่เคยผุกร่อน กิเลสมันเป็นนามธรรม ผุกร่อนได้อย่างไร กิเลสมันเป็นเนื้อเดียวกับจิต

แต่เพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเป็นคนขุดค้นขึ้นมา ธรรมะแท้ๆ เนื้อของธรรมไง ธรรมะๆ ธรรมชาติมันก็เป็นส่วนนั้นล่ะ ส่วนของกิเลส เพราะมันหมุนมาตามกระแสโลก สะสมมาๆ โลกนี้เปลี่ยนไป เดี๋ยวเกิดเสื่อม เกิดการเคลื่อนย้ายไปตลอด ความอุดมสมบูรณ์ของโลก ไม่อยู่กับที่หรอก ไอ้นี่ก็เหมือนกัน จิตเราเกิดมาตลอดๆๆ นี่เห็นไหม มันก็เกิดมาเท่านั้นล่ะ แล้วว่ามันจะหมดไปๆ มันจะหมดไปได้อย่างไร

ยกเว้นแต่ธรรมชาติทำให้เกิด ธรรมะพระพุทธเจ้าทำให้ออกจากโลก แล้วมันถึงมีตัวนี้อยู่ในหัวใจมันถึงผลักดันออกมา ขับเคลื่อนออกมาให้เราขาอ่อนไง

จะขั้นตอนไหนก็แล้วแต่ เรื่องการต่อสู้นี่มันจะมีไอ้ตัวยุแหย่ว่าเราสู้ไม่ไหว เราไม่ทำ ก็เลยมีทางนู้นเขาว่าให้ทำไปเรื่อยๆ เป็นเองๆ มันไม่มีความมุ่งมั่น มันไม่มีความจงใจเข้าไป มันจะเป็นเองได้อย่างไร มันถึงว่าเป็นการดูถูกตัวเองไง เป็นการดูถูกตัวเอง เป็นการที่ว่าอยู่ท่ามกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธลึกกว่า แต่ลึกกว่าจนกิเลสนี้มันอาย มันไม่สามารถที่จะคาดหมายได้ ก็เลยเอาสิ่งที่ว่าหยาบกว่ามาเทียบ คาดหมาย ให้เห็นว่าเป็นไปได้ ก็เลยถือว่าเป็นเนื้อเดียวกันไง

แต่ถ้าเป็นธรรมจริงๆ แล้วมันลึกว่านั้นน่ะ มันต้องลึกกว่านั้นมันถึงข้ามพ้นได้ไง ตาชั่งถ่วงกัน ข้างที่มีน้ำหนักกว่าต้องกดให้ต่ำลง ข้างที่ของเบากว่าต้องขึ้น ธรรมะต้องเหนือกิเลส ธรรมะต้องฟาดฟันกิเลสจนสมุจเฉทปหานตายไปต่อหน้า นั่นล่ะถึงจะชนะ ถึงจะสิ้นไป ถึงจะหลุดพ้นออกจากแรงดึงดูดของมัน

แล้วคิดดูสิ แม้แต่เราเองน่ะ เราตีเราเองเรายังเจ็บเลย แล้วธรรมะพระพุทธเจ้าเข้าไปชำระกิเลสในหัวใจทำไมไม่เจ็บ ทำไมมันไม่ต่อต้าน ความต่อต้านเป็นต่อต้านที่เรายังศึกษาธรรมอยู่ เรายังยึดหลักธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่ เรายังมีโอกาสต่อสู้ เวลามันต่อต้านออกมาเราเชื่อมันไง เราเชื่อมัน เราปล่อยธรรมะพระพุทธเจ้าวางไว้แล้วเราเชื่อมันว่าสิ่งนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่ถูก สิ่งที่มันคาดหมายด้นเดาได้นี่ไง สิ่งที่คาดหมายและด้นเดาได้ที่คาดหมายได้ถึงเป็นความจริง

สิ่งที่เหนือความคาดหมายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าใจเข้าไปเสพ อันนั้นเราเข้าไม่ถึง เราเลยว่าไม่เชื่อไง ไม่เชื่อว่าธรรมะพระพุทธเจ้าจะลึกซึ้งกว่าธรรมชาติ

ลึกซึ้งกว่านะ เพราะธรรมชาติทำให้เราเกิดมา แล้วพระพุทธเจ้าเป็นผู้มาตรัสรู้แล้วออกไปเป็นองค์แรก แล้วเราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า จะเดินตามนั้นออกไปน่ะ

มีของสูงอยู่นะ มีของประเสริฐอยู่กับตัว อยู่กับตัวสิ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้านี้เป็นศาสนธรรมของที่อยู่กับตัวคือหัวใจไง ของสูงของประเสริฐ คนตายเท่านั้นหมดโอกาส คนตายน่ะ คนตายนี้ความรู้สึกออกจากใจไปแล้ว ออกจากกายไปแล้วมันถึงไปเสียดายไง ออกจากกายไปปั๊บเป็นจิตล้วนๆ มันจะรู้เลยล่ะ เพราะมันเหมือนกับว่าเราเข้าไปอยู่ในสภาวะหนึ่ง ต้องเป็นสภาวะอย่างนั้นเลย

แต่ในภาคมนุษย์นี้ หัวใจนี้มันอยู่ในร่างกาย มันมีโอกาสไง ถึงว่ามันอยู่ในผิวหนังเรา อยู่ในกายของเรานี่ มันพลิกแพลงได้ด้วยความคิดเรานี่ไง มันยังมีกาลเวลา ไออุ่นนี้ยังไม่สิ้น พลังงานตัวนี้อยู่ในร่างกายนี้ยังสืบต่ออยู่ เวลายังมีอยู่ เวลาขาดไออุ่นนี้ออกจากกายไป หมด ตัวจิตนี้คือตัวไออุ่น คือตัวพลังงานเท่านั้น พลังงานตัวที่อยู่ในกายเรานี่แหละ นี่ถึงว่า สิ่งที่ประเสริฐที่สุด

มันเป็นโอกาสของเราที่เราจะพิจารณาว่าเราเจอของที่ประเสริฐเลอเลิศเลย แล้วไม่ต้องลงทุนลงรอนเลย ไม่ต้องไปทำขนาดว่า ไปทำแบบว่าให้กับฝ่ายตรงข้ามไง เหมือนกับธุรกิจทุกๆ อย่างที่ต้องมีผู้ซื้อผู้ขายไง ไอ้นี่มันอยู่ในกายของเราทั้งนั้นเลย อยู่ที่ความมุมานะ

พระพุทธเจ้าบอก ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ผู้ที่มีบารมีนะ ปฏิบัติเข้มข้นนี่ ๗ วันพ้นเลย

แล้วความสุขอันประเสริฐ ความสุขที่เหนือจากโลก ฟังสิ ความสุขที่เหนือจากโลก สุขใดๆ ในโลกนี้เทียบไม่ได้ ในโลกนี้ไม่มีสุขใดเลยจะมาเทียบกับสุขที่ว่าพ้นออกไปจากแรงกดถ่วง แรงดึงดูดของกิเลส มันบีบบี้สีไฟอยู่ที่หัวใจนั่นน่ะ แล้วเราพ้นออกไปจากมัน นี่เข้มข้น ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี...๗ ปี นะ แต่พวกเรามันทำ ๗ นาที

มันไม่ต่อเนื่อง ไม่มีความสืบต่อไง ความปฏิบัติที่สืบต่อ ดูเราจุดเทียนสิ จุดไว้แล้วไม่ให้มันดับเลย มันจะหมดเล่ม แต่จุดไว้นี่มันดับทุกที ไม่ลมพัดมาดับมันก็ต้องมีคนมาดับ มันต้องดับของมัน มันไม่ไหม้หมดเล่มไง กิเลสนี่พอมันโดนตบะธรรมเผาผลาญ อย่างน้อยๆ มันก็เหมือนกับเหล็กน่ะ โดนไฟแล้วมันต้องแดง พอเหล็กมันแดงมันก็ควรแก่การตีไง เหล็กมันแดง ก็จิตนี้มันสงบ แล้วควรแก่การตี ตีเป็นมีดเป็นพร้าอะไรก็แล้วแต่ ควรแก่การวิปัสสนา

เหล็กมันแดง พอปล่อยไว้เย็น เหล็กมันก็เป็นรูป จิตนี้ที่สงบ จิตนี้ที่เสวยสมาธิธรรม ปล่อยไว้มันก็จางออกไป หลุดเสื่อมไปๆ จนเป็นปกตินี่ เห็นไหม เหล็กแดงแล้วต้องตี จิตนี้สงบแล้วต้องค้นคว้าๆ ค้นคว้าในกายในจิต กิเลสนี้เนื่องด้วยนะ เนื่องด้วยกายก็ได้ เพราะกายนี้คนเป็นอยู่ มันมีความอยาก อยากอาหารก็เพราะลิ้น เห็นไหม กายไม่กาย ถ้าเราลดส่วนนี้ ลดส่วนของการอยาก ก็เหมือนกับเราทรมานใจมัน เนื่องด้วยกายและใจ แต่จริงๆ คือใจเป็นส่วนใหญ่

เพราะพระนักปฏิบัติออกมาจากคฤหัสถ์มาเป็นพระ เห็นไหม ความเป็นอยู่ของพระนี่ ปัจจัย ๔ หลบเข้าไปอยู่ในป่ามันก็ใช้แค่ดำรงชีวิต มันก็ยังทุกข์อยู่เลย เพราะใจมันเป็นใหญ่ไง ใจมันตัดออกนะ รูป รส กลิ่น เสียงภายนอกไง เข้าป่านี่ไม่ได้เห็นหรอก เรื่องรูป รส กลิ่น เสียงนี่ ไปอยู่ในป่า ใจมันก็ยังเผ่นกระโดดอยู่ในทรวงอก อยู่ในป่ามันก็ไปคึกอยู่ในป่านั่นล่ะ ถึงว่าใจเป็นใหญ่ไง แต่อาศัยกาย จะปฏิเสธกายไม่ได้

นี่ถึงว่า พิจารณาในกายและใจ ต้องพิจารณา

ดอกบัวเกิดจากโคลนตม พอพ้นจากโคลนตมไปแล้วเป็นดอกบัว ไม่กลับมาอีก หัวใจมันอยู่ในร่างกายของเรา ร่างกายนี้เปรียบเหมือนโคลนตม ดอกบัวจะบานขึ้นมาท่ามกลางโคลนตมนี้ได้หรือเปล่า

เหมือนกับเรามีเงินอยู่ในธนาคาร เรามีสิทธิเบิกสิ เราเป็นชาวพุทธ ศาสนาพุทธเหมือนกับห้างร้านเลย เราเป็นชาวพุทธ เราขึ้นทะเบียนเลย เห็นไหม ทะเบียนบ้าน เขาว่าเราชาวพุทธ แต่เราไม่สามารถเบิกธรรมะ เบิกผลของเราที่การปฏิบัติออกมาจากธรรมะพระพุทธเจ้านี้เลยเหรอ ธรรมะนี่ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ แล้วเราก็เป็นลูกศิษย์ตถาคต ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า มีวาสนาบารมีอยู่ แล้วเราไม่สามารถเอามรดกตกทอดนี้มาให้กับใจเรา ให้หัวใจนี้บานขึ้นมาในเรื่องของโคลนตมในกายนี้เลย คิดสิ นี่การคิดอย่างนี้มันทำให้เรามีกำลังใจไง การคิด การเอะใจทำให้เราเริ่มเอะใจ ความเอะใจก็เหมือนกับเราผิดไง สิ่งใดผิดเราต้องแก้ไข สิ่งใด การปฏิบัติให้เข้าร่องเข้ารอยในธรรมะพระพุทธเจ้า เราต้องทำ เห็นไหม เราเปรียบเทียบหาทางออก

การปฏิบัติไม่ใช่ปฏิบัติแบบเซ่อๆ ซ่าๆ นะ ปัญญาการจะพ้นจากกิเลส มันไม่ใช่ปัญญาทางโลกนะ ปัญญาทางโลกนั่นสูตรสำเร็จเลยน่ะ จะจบมาวิชาการใด ต้องเรียนจบคอร์สของเขาแล้วก็จบ สูตรสำเร็จ แต่ปัญญาจะพ้นจากกิเลส วันนี้บอกว่าทำอย่างนี้ชนะมัน พรุ่งนี้ไม่ได้แล้วนะ พรุ่งนี้ใช้อุบายเก่ามันพลิกอีกแล้ว เห็นไหม ถึงว่าปัญญาธรรมนี่มันต้องละเอียดกว่ากิเลสไง

กิเลสมันแหลมคมมาก ถ้าไม่แหลมคมมันไม่สามารถใช้เรามาตลอดชีวิตนี้หรอก มันอยู่ข้างหลังเราแล้วมันไสให้เราเดินไปข้างหน้ามัน แล้วเราจะหันกลับไปดูมันได้นี่ คิดดูสิ นี่ปัญญาของผู้ปฏิบัติ มันต้องเทียบเคียง ต้องค้นคว้า

นี่ธรรมะมันถึงลึกซึ้งไง ธรรมะพระพุทธเจ้าลึกซึ้งมาก ถึงบางอ้อ อ๋อ! อ๋อ! นั่นล่ะ นั่นล่ะมันจะให้ผลมาตลอด มันบังเงาอยู่นี่ กิเลสมันบังเงาอยู่ในใจเรานี่ล่ะ มันอยู่ที่นี่นะ มันบังเงาอยู่ในใจเรานะ เรามันยังโกหกให้เราไปดูข้างนอกอีกด้วย

นี่สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ดูว่าข้างนอกเป็นสภาวธรรม เห็นไหม นี่มันผลักออกไป ข้างนอกเป็นสภาวธรรม เรารู้ธรรมสภาวธรรมแล้ว อารมณ์ไม่มี ดับหมด จบ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้ามาดูมันเลย ไม่ได้เข้ามาจับจำเลยแล้วเอาจำเลยขึ้นศาลพิจารณากันเลย ไม่ได้มาชำระเลย คนเป็นโรคไม่ได้กินยาเลย แล้วบอกว่าหาย ยานี่มันขม การงานที่การวิปัสสนานี้มันยุ่งยาก งานการพ้นทุกข์ไม่ใช่งานทางโลกนะ งานที่จะเอาตนออกจากทุกข์น่ะ

งานทางโลกนี้ยังอาบเหงื่อต่างน้ำ ไม่มีใครอยากทำ แต่นี่มันเพลียหัวใจ เพลียภายในไง เวลาทำขึ้นมา เวลาใคร่ครวญขึ้นมา นี่งานภายใน เหมือนผู้บริหารน่ะ ใช้ความคิดมากมันเครียด แต่นี้ไม่ใช่ความคิดแบบเครียดนั้น ความคิดนี้มีสมาธิ มันไม่ใช่ความคิดแบบกำปั้นทุบดินที่ผู้บริหารนี่กำปั้นทุบดินมันเลยเครียดไง มันใช้ความคิดออกไปล้วนๆ แต่วิปัสสนามันต้องมีมรรค สมาธิไง สัมมาสมาธิ ต้องมีตัวตัด ตัวตัดจากโลกให้มันเป็นธรรมจักรไง

ถ้ามีสมาธิอยู่ มีสมาธิ จิตนี้สักแต่ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา จิตนี้เป็นสมาธิ เป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นหนึ่งเดียว มันตัดงานนั้นออกมา ความเครียดมันถึงไม่เหนื่อย มันไม่เครียดแบบนั้น มันใช้พลังงานมาก มันเพลีย หอบ พิจารณาหนหนึ่งๆ นี่จนหอบเลยล่ะ แล้วถ้าชนะนี่มันก็ชื่นใจ มันชนะตนเองไง

เหมือนกับเด็กเล่นขายของน่ะ มันสร้าง มันเขียนภาพเสร็จภาพหนึ่งมันจะดีใจมาก เราใช้ปัญญาหมุนไปรอบหนึ่งแล้วเราสามารถเอาความคิดไว้อยู่ โอ้โฮ! ดีใจมากๆ จนมันขาดน่ะ ชนะบ่อยเข้าๆ จนขาด จนชำนาญน่ะ ขาดออกไปเลย กิเลสขาดออกไปจากใจเลย พอขาดออกไปมันก็เป็นธรรมล้วนๆ สิ มันเวิ้งว้างแต่มันมีเจ้าของ มันเวิ้งว้างนะ มันสงบ มันรู้สึกตัวมันอยู่ แต่มันไม่ติดอะไรเลย เขาว่าเหมือนกับน้ำอยู่บนใบบอนไง ไม่ติดสิ่งใดๆ ในโลกนี้เลย

ให้ค่าก็ไม่ได้ ลดค่าก็ไม่ได้ แล้วเป็นมนุษย์ธรรมดานี่แหละ มนุษย์ปุถุชนอย่างหนึ่ง มนุษย์ผู้สิ้นแล้วเรียกว่าพระอรหันต์ไง สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีเศษส่วนอยู่ไง ก็อยู่ในโลกนี่แหละ เหมือนกัน แต่ต่างกันด้วยคนหนึ่งสิ้นกิเลส แต่อีกคนหนึ่งกิเลสเต็มตัวไง คนหนึ่งก็แบบว่ามีธรรมะเต็มหัวใจแบบพระพุทธเจ้า ลูกศิษย์พระพุทธเจ้ามาไง นั่นน่ะ ธรรมเต็มหัวใจ นั่นธรรมะ แต่อีกคนหนึ่งก็นักวิทยาศาสตร์ คิดแบบธรรมชาติ ทฤษฎีความรู้ไง แล้วหัวใจก็ทุกข์ไปอยู่ตลอดเวลาไง

แต่ถ้าธรรมะนี้มันพ้นออกไปนี่ รู้เหมือนกัน รู้ดีกว่าด้วย แต่ไม่ใช่รู้แบบโลก

แบบโลกมันมีตัวตนเข้าไปเทียบ เก็บสถิติตลอดไง แต่ถ้าแบบธรรมนี่มันรู้แล้ว รู้ด้วย แล้วกำหนดว่ามันเป็นกรรมด้วย มันควรพูดไม่ควรพูดด้วย เพราะบางอย่างมันหมุนออกไปแล้วมันมีกระแสของกรรม มีกระแส เห็นไหม อย่างเช่นต้นไม้ล้มฟาดไป ทำไมมันโดนบ้านคนนั้น ทำไมไม่โดนบ้านคนนี้ ทำไมลมมันพัดไปทางนู้น มันยังมีอะไรอยู่ข้างหลังอีกล่ะ

ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์ก็ว่าแรงลมมันฟาดลมไป มันต้องโดนบ้านนั้น นี่โลกเขาก็มองแค่วัตถุ ธรรมชาติก็มองแค่ตรงนั้น ความเป็นไปไง

แต่พระพุทธเจ้าว่าไว้มากกว่านั้น อาทิตย์ขึ้นตกดับ อาทิตย์ขึ้นก็ธรรมชาติอันหนึ่ง อาทิตย์ขึ้นมาเมฆบังไว้อันหนึ่ง อาทิตย์ขึ้นมานี้แรงของเทวดาดึงไว้อันหนึ่ง นี่อยู่ในพระสูตร แต่ถ้าทางวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อ

เชื่อ ๒ อัน เกิดดับอันหนึ่ง พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก แล้วก็เมฆบัง...มันมีความลึกลับอยู่ นี่ว่าความรู้ต่างกัน ความรู้ที่ไม่ยึดติดด้วยนะ นี่ธรรมแท้ไง ธรรมแท้ๆ

ธรรมะกับธรรมชาติ

เพราะธรรมชาติมันเกิดดับ ธรรมะมันเอโก ธัมโม มันไม่ใช่สิ่งคู่ ไม่ใช่ขาวกับดำ ธรรมชาตินี่ขาวกับดำ ผิดกับถูก เอโก ธัมโม เอก ธรรมทั้งแท่ง แต่มันอาศัยนี่ ธรรมทั้งแท่ง ธรรมล้วนๆ แต่ก่อนจะมาเป็นธรรมทั้งแท่ง มันต้องจากธรรมชาติแล้วก็ขึ้นมาเป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้าไง

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมในปริยัติ เห็นไหม ในปริยัตินั่นเป็นธัมมา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เป็นเหมือนกับเครื่องดำเนิน เป็นเหมือนกับรถที่จะพาเราให้ไปถึงเป้าหมายไง เป้าหมายคือเอโก ธัมโม ธรรมที่ไม่แปรสภาพไง

ทีนี้ ถ้าเราเริ่มขึ้นรถ จากโลกเริ่มมาเป็นบัญญัติ จากโลกมาเป็นปริยัติ แล้วเราติดในปริยัติเราก็ติดในสพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ในเครื่องหมายดำเนิน ในเครื่องดำเนินการ อย่างเช่นเราเป็นช่างอย่างนี้ เราจับเครื่องมืออยู่ เราไม่ปล่อยเครื่องมือ เราต้องขันน็อตอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ แล้วมันจะเสร็จได้อย่างไร เราต้องปล่อยใช่ไหม ปล่อยออก ขันเรียบร้อย เสร็จเรียบร้อยแล้วเราปล่อยออก ติดเครื่อง เครื่องมันติดแสดงว่าใช้ได้ เพราะพลังงานมันจะเกิดขึ้นมาเลย

แต่นี่มันเปรียบนะ แต่จริงๆ แล้วมันต้องทิ้งไง มาแพ ต้องทิ้งแพไว้ที่ท่าก่อนขึ้นฝั่ง มารถ ต้องทิ้งรถไว้ที่จอดรถแล้วขึ้นไปบ้าน เห็นไหม เอโก ธัมโมไง

จากโลกมาเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ถึงธรรมอันเอก เอโก ธัมโม ไม่ใช่ธรรมชาติ ถ้าธรรมชาติ กับ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา นี่มันไปกันได้ แต่ธรรมอันเอกนี่พ้นออกมาจากความแปรปรวน จากสรรพสิ่งทุกๆ อย่าง

เกิดจากมันยากกว่าทุกๆ อย่าง มันดีกว่าทุกๆ อย่าง การทำก็ต้องทำยากกว่าทุกๆ อย่าง มันถึงว่าคาดเดาไม่ได้ ถึงเอาโลกมาเดาไม่ได้ ไม่ใช่ธรรมะคาดเดา การคาดเดาเข้าไม่ถึง การดั้นด้นก็เข้าไม่ถึง ด้นไม่ได้ เดาไม่ได้เลย ต้องเป็นไปตามความเป็นจริง ต้องปฏิบัติจริง ปฏิบัติจริงแล้วต้องปฏิบัติให้ถูกทางด้วยนะ ปฏิบัติจริงแต่ไม่ถูกทางก็เข้าไม่ได้

ดูสิ ดูอย่างพวกโยคีสิ ปฏิบัติจริงไม่จริง ทั้งชีวิตเลย ย่างตัวอย่างนั้น นอนบนแหลนบนหลาวอย่างนั้น ปฏิบัติจริงแต่ผิดทาง...ปฏิบัติจริงแต่ถูกทาง ถูกทางนะ ฉะนั้น ถ้าปฏิบัติไปเขาว่าถูกทางหมดล่ะ เริ่มต้นว่าปฏิบัติถูกทางเหรอ? ถูกทางกิริยา แต่ถูกทางช่องของมรรคหรือเปล่า

มรรค ๔ ผล ๔ ไง โสดาปัตติมรรคน่ะ ได้เดินมรรคไหม ว่าพิจารณาไปๆ ไม่ได้เดินอริยมรรคเลย อย่าว่าแต่ผล ก้าวขึ้นอริยมรรคยังไม่ก้าวเลย วางยาสลบมาตลอด ไม่ก้าวขึ้นอริยมรรคเลย คนจะก้าวขึ้นอริยมรรคมันต้องรู้สึกตัวสิ ไม่ใช่ว่ามึนชาขนาดนั้น มึนชามาตลอดๆ ถามอันนี้ไม่รู้เรื่อง

มันต้องเก็บหอมรอมริบนะ เก็บหัวใจ เก็บสถิติของเราขึ้นมาจนกว่าจะก้าวขึ้นเดินเป็นอริยมรรค เป็นอริยมรรคมันก็เข้าทาง เห็นไหม ถึงว่า ปฏิบัติให้ถูกทางไง ปฏิบัติจริงด้วย ปฏิบัติให้ถูกทางด้วย ถ้าเข้าทางมรรค มรรคอริยสัจจังไง ถ้ารู้อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค กลั่นออกมาจากทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค กลั่นออกมานะ ใจผ่านทุกข์ เห็นไหม มันเป็นทุกข์อยู่แล้ว สมุทัยละ นิโรธดับ ดับด้วยอะไร? ดับด้วยมรรค เห็นไหม แล้วมันถึงเข้าไปถึงธรรมไง ธรรมแท้ๆ เป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป ถึงว่า เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะพระพุทธเจ้านะ ธรรมะๆ

ถ้าธรรมชาติมันก็นั่นล่ะ ธรรมชาติก็เป็นปลาแห้ง เก็บไว้ ตากไว้ให้ดี เป็นปลาแห้งเลย รู้วิธีถนอมอาหารไง ถนอมอาหารเก็บไว้ แต่ธรรมชาติไม่เป็นอย่างนั้น ธรรมพระพุทธเจ้าสิ้นก็สิ้นไปเลย ไม่มี มารตามไม่เจอ ร่องรอยไม่เห็น ถ้าปลาแห้งมันเห็นนะ มันได้กลิ่นมันโชยมาไง ปลาแห้ง กลิ่นเค็ม กลิ่นปลามาก่อน กลิ่นตุๆ คนชอบด้วยนะของเหม็นน่ะ คนตามกันมาก แต่ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ไม่ ไม่ทิ้งร่องรอยให้ใครได้ติดตามไง พ้นออกไปจากมารทั้งหมด ทรงเยาะเย้ยมารครั้งสุดท้ายด้วย

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา บัดนี้เราจะไม่ดำริถึงเธออีก มารเกิดขึ้นอีกไม่ได้”

พญามารคอตกเลยนะ ไม่เห็นร่องรอยของพระพุทธเจ้า ตามไม่ทัน แต่ถ้าปลาแห้งมันได้กลิ่น มันตามทัน (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)