เทศน์บนศาลา

จิตเข้ารหัส

๑๘ ก.ค. ๒๕๕๕

 

จิตเข้ารหัส
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราฟังธรรมเนาะ เรื่องของโลก เราอาศัยเขาอยู่ อาศัยเขาอยู่มันก็มีเหตุสุดวิสัย แต่ชีวิตของเรา เราควบคุมใจเรา ถ้าใจเราควบคุมได้นะ เราดูแลหัวใจของเรา ถ้าดูแลหัวใจของเรา ขณะนี้เราจะฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อเป็นคติ เพื่อเป็นการเตือนหัวใจของเราว่าหัวใจของเรามันเวียนตายเวียนเกิด มันทุกข์ยากมากนัก แต่ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราก็ต้องกระเสือกกระสนกันไปแล้วแต่เวรแต่กรรมมันจะขับไสไป

แต่ในปัจจุบันนี้เป็นคนที่มีสติปัญญา เป็นคนที่เห็นคุณค่าของชีวิต เรานะ สมบุกสมบันกันมาทั้งชีวิต ชีวิตของเรา เรารักษาดูแลของเรามาจนปัจจุบันนี้ เราเห็นโทษของมันไหม ถ้าเราเห็นโทษของมัน เห็นโทษของมันว่า โอกาสของเรามีอยู่ แล้วเราปล่อยโอกาสของเราให้หลุดมือเราไป เรายังมีชีวิตอยู่ ถ้าโอกาส เห็นไหม ถึงที่สุด ถ้าเราหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตาย ความตายมันมาเยือนอยู่หน้าปากประตูทุกวินาที แต่เราก็ประมาทกับชีวิตของเราเอง ถ้ามีสติปัญญา เห็นไหม ฟังธรรมเพื่อเตือนสิ่งนี้

ฟังธรรมนะ ธรรมจากใครล่ะ? ธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางธรรมและวินัยนี้ไว้ วางธรรมและวินัยไว้ให้คนศึกษา ให้คนประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่วางธรรมวินัยนี้ไว้ให้เป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมนี้เพื่อสัตว์โลก

สัตว์โลก เห็นไหม ถ้ามันเป็นวัฒนธรรมประเพณีเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของสังคมนั้น เราก็เกิดมาในสังคมนั้น แต่เรามีสติปัญญามากกว่านั้น เราต้องการความเป็นจริงในหัวใจของเรา ถ้าเป็นความจริงในหัวใจของเรา มันอยู่ที่การกระทำ มันไม่ได้อยู่ที่การอ้อนวอนหรือขอใครมาได้หรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้ใครเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง วางธรรมและวินัยนี้ไว้ให้เราประพฤติปฏิบัติไง

เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราเกิดมามีทิฏฐิมานะ ทุกคนจะมีทิฏฐิมีมานะในหัวใจของตัวโดยธรรมชาติของมัน ถ้าใครมีทิฏฐิมานะในหัวใจของตัวเอง ก็ว่าตัวเองรู้ ตัวเองแน่ ตัวเองฉลาด ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษามาด้วยทิฏฐิมานะของตัว ถ้าศึกษามาด้วยทิฏฐิมานะของตัว ก็มุมมองของตัวไง มุมมองของตัวก็เป็นเรื่องโลกๆ ไง ถ้าเรื่องโลก เห็นไหม ดูสิ เราศึกษามาแล้ว เราเอาโลก เอาความรู้ความเห็นของเราเป็นใหญ่ ถ้าเอาความรู้ความเห็นของเราเป็นใหญ่ แล้วธรรมะล่ะ?

เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมาขนาดไหน ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาขนาดไหน กว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว เวลาจะศึกษามา ศึกษามาเพื่ออะไร? เพื่อพ้นจากทุกข์ เพื่อโพธิญาณในใจของตัว แต่เวลาศึกษาขึ้นมาแล้วมันประสบความสำเร็จขึ้นมา เสวยวิมุตติสุข สุขมากๆ สุขอย่างนี้ สุขมันเป็นวิมุตติสุข สุขไม่ใช่สุขแบบโลกๆ เขา

สุขแบบโลกเขานะ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวก็ทุกข์ ทุกข์แล้วเดี๋ยวก็สุขอยู่อย่างนั้นน่ะ มันไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าวิมุตติสุขนี่มันสุขเหนือโลก พอสุขเหนือโลก เวลาเสวยวิมุตติสุขขึ้นมา “เราจะสอนเขาได้อย่างใด จะบอกเขาได้อย่างใด คนจะรู้แจ้งอย่างนี้ได้อย่างใด” เห็นไหม ทั้งๆ ที่เตรียมมาพร้อมนะ นี่พูดถึงเวลาธรรมเหนือโลก มันเหนือโลกอย่างนี้

แต่เวลาเราศึกษาขึ้นมาด้วยทิฏฐิมานะของเรา ด้วยความรู้ความเห็นของเรา เราศึกษาแล้วเราก็รู้ พอเรารู้ เราปฏิบัติโดยแบบโลกๆ ไง เห็นไหม จิตมันเข้ารหัส ถ้ามันเข้ารหัส รหัสที่ไหนล่ะ? รหัสคือกิเลสไง ถ้าจิตมันเข้ารหัส มันรู้มันเห็นของมันด้วยทิฏฐิมานะของตัว ถ้าตัวเองมีทิฏฐิมีมานะของตัวว่าตัวรู้ ตัวเองเข้าใจ พอมันเข้ารหัสแล้วจบนะ

ดูสิ ดูคลื่นทีวีที่เขาเข้ารหัส จอดำนะ มันเปิดรับไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน พอเราเข้ารหัส เพราะรู้แบบโลกไง เห็นไหม จิตมันเข้ารหัส ธรรมะดำมืด ธรรมะเกิดไม่ได้หรอก ธรรมะเกิดไม่ได้เพราะเราศึกษาขึ้นมา เรารู้ของเรา เราเห็นของเรา เรามีทิฏฐิมานะของเราว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ แล้วเวลามันเข้ารหัสแล้วมันก็หลอกมันก็ลวง หลอกลวงสิ ถ้ารหัสมันตรงกัน รหัสที่ตรงกันเขาก็รับคลื่นนี้ได้ ถ้ารับคลื่นนี้ได้ เขาก็รู้ก็เห็นของเขา

เพราะทิฏฐิมานะนี้เป็นอะไรล่ะ? มันก็เป็นกิเลสใช่ไหม ถ้าเป็นกิเลสขึ้นมา สิ่งที่จะรับได้ มันอะไรรับได้ล่ะ? มันก็กิเลสรับได้ไง มันก็เรื่องโลกๆ รับสิ่งนี้ได้ ถ้ารับสิ่งนี้ได้ “ศึกษาธรรมแล้วก็สบายๆ ศึกษาธรรมแล้วก็เข้าใจ ธรรมะคือความว่าง ธรรมะคือการปล่อยวาง เราก็ปล่อยวางกันหมดแล้ว” เห็นไหม นี่ธรรมะดำมืด จอของธรรมดำมืดในหัวใจ...เป็นไปไม่ได้!

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่ธรรมเหนือโลก พอธรรมเหนือโลก วิมุตติสุข โลกนี้ไม่มี โลกนี้เข้าใจไม่ได้ โลกนี้รับรู้ไม่ได้หรอก สิ่งที่เราไม่มีคลื่น ไม่มีเครื่องรับ มันจะรับได้อย่างใด แต่เรามีแต่เรื่องโลกๆ เรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เรื่องกิเลสในหัวใจของเรา เรื่องกิเลสในหัวใจมันก็เป็นเรื่องโลกใช่ไหม

ฉะนั้น เวลาจิตเรา เรื่องโลกนี่ เวลาเกิดมา จิตเราศึกษาธรรม ศึกษาด้วยรหัสของกิเลสไง มันเข้ารหัสไว้หมดแล้ว มันล็อกไว้แล้ว “ธรรมะเป็นความว่าง ธรรมะมีความปล่อยวาง สิ่งต่างๆ รู้หมด นิพพานเป็นความว่าง” ว่างอะไร? ว่างก็ว่างอวกาศไง ในตุ่มในไหมันก็ว่างไง ว่าง มันไม่มีความรับรู้สิ่งใด มันไม่มีประโยชน์สิ่งใดกับใครทั้งนั้นน่ะ ความว่างน่ะ

ในปัจจุบันนี้นะ เรือนกระจก ก๊าซโอโซน มันเข้าไปทำลาย มันเกิดช่อง ความว่างอย่างนี้มันแผดเผานะ มันทำให้คนทุกข์คนยาก ทำให้โลกนี้แปรปรวน ว่างอย่างนี้มีประโยชน์ไหม นี่ว่างของกิเลสไง แต่ถ้าว่างความจริงมันเป็นอย่างนั้นไหม? มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เพราะอะไร เพราะจิตมันไปเข้ารหัส รหัสของกิเลส รหัสของทิฏฐิมานะ มันก็เป็นของมันไปอย่างนั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะผู้นำ เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการนะ เวลาเอตทัคคะ ๘๐ องค์ เวลาสอนพระโมคคัลลานะ เวลาสอนพระสารีบุตร ไม่เหมือนกัน แตกต่างกันไป เวลาพระโมคคัลลานะ สอนให้ใช้ปัญญา พอใช้ปัญญาไปแล้ว พระโมคคัลลานะ ๗ วันเป็นพระอรหันต์ พระสารีบุตร สอนนะ สอนหลานพระสารีบุตร พระสารีบุตรมาเป็นพระอรหันต์เสียเอง เวลาสอนปัญจวัคคีย์ เวลาเทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา ผู้ที่ได้ขึ้นมาคืออัญญาโกณฑัญญะองค์เดียว อีก ๔ องค์ยังไม่ได้ ทำไมไม่เหมือนกันล่ะ นี่ไง มันไม่มีรหัสไง

มันเป็นเวรเป็นกรรม เป็นพันธุกรรมของใจ มันเป็นการกระทำในปัจจุบันนั้น มันไม่มีสูตรสำเร็จ มันไม่มีสิ่งที่ตายตัวขึ้นมาให้เป็นแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมา พอมันเข้ารหัสปั๊บ กิเลสมันเข้ารหัส พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ต้องเป็นแบบนี้ พุทธพจน์ ขยับไม่ได้เลย เข้ารหัส นี่จบ นี่ธรรมะจอมืด ไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้ แต่ถ้าเราทำของเรา เวลาจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ถ้าตามความเป็นจริงของเรา เราต้องทำความเป็นจริงของเรานะ

เวลาเราปฏิบัติ เรามีครูมีอาจารย์ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านสอนนะ ทำความสงบของใจเข้ามา เข้ารหัสไหม? เข้ารหัส พุทโธๆๆ นี่เข้ารหัส ถ้าเข้ารหัสขึ้นมา ดูสิ สิ่งที่จะทำขึ้นมา เราเป็นเรื่องโลกๆ ถ้าเราอยู่กับโลก โลกนี้มันเป็นเรื่องโลก เรื่องโลกเป็นเรื่องกิเลส เรื่องโลกเป็นเรื่องสมมุติ เรื่องโลก เรื่องบัญญัติ เรื่องโลก เห็นไหม สมมุติบัญญัติ สิ่งที่เป็นโลกสมมุติ เราก็อยู่กับเขา แล้วเราจะปฏิบัติธรรมอย่างไรล่ะ

เราศึกษาธรรมกัน เราศึกษานี้เป็นสุตมยปัญญา ศึกษานี้เป็นทางวิชาการ ศึกษานี้เป็นสุตมยปัญญา เวลาปัญญา เห็นไหม ปัญญาที่เกิดขึ้นมา เพราะเราเป็นโลกอยู่แล้วใช่ไหม เกิดมาเรามีโลก เกิดมามีทิฏฐิมานะ เราเกิดมามีจริตนิสัย เรามีความชอบและความไม่ชอบ เรามีความสุข ความทุกข์ เรามีความพอใจและความไม่พอใจในใจของเรา สิ่งใดที่พอใจมันก็พอใจสิ่งนั้นว่าสิ่งนั้นเป็นความสุข สิ่งใดที่ไม่พอใจ สิ่งนั้นก็เป็นความทุกข์

สิ่งที่พอใจ ไม่พอใจ มันเป็นเรื่องโลกๆ อยู่แล้ว ถ้าเรื่องโลกอยู่แล้ว สิ่งนี้มันเป็นเรื่องโลก ถ้าเรื่องโลกมันก็อยู่กับโลกไง อยู่กับโลก เราก็จมอยู่กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง จมอยู่กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากโดยที่ไม่รู้ตัวว่าจมอยู่ ถ้าไม่รู้ตัวว่าจมอยู่ ก็เป็นฆราวาสไง สิ่งนี้เป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ มันก็เป็นเรื่องโลกทั้งนั้นน่ะ พอเรามาศึกษาธรรมๆ ศึกษาธรรมโดยโลกไง

ถ้าศึกษาธรรมโดยโลก ถ้าสุตมยปัญญา เราศึกษาด้วยสุตมยปัญญา คือการศึกษาเล่าเรียน การศึกษาเล่าเรียนมันเข้าใจได้ไหม? เข้าใจได้ เข้าใจได้ พอเข้าใจได้ มันก็เป็นการศึกษา เป็นภาคปริยัติใช่ไหม ปริยัติมันก็ต้องมีปฏิบัติ ถ้าเวลาปฏิบัติขึ้นไป เราไปศึกษาปริยัติขึ้นมาแล้ว เราก็ว่าสิ่งนี้เราเข้าใจ เรารู้แล้ว เราจะปฏิบัติ นี่ไง จิตใจมันยังเป็นโลกอยู่

พอเป็นโลกอยู่ พอมันปฏิบัติไป ศึกษาไป การศึกษามันเข้ารหัสไว้แล้วแหละ เวลามาปฏิบัติขึ้นมา มันปฏิบัติไปตามรหัสนั้น ปฏิบัติไปโดยความเข้าใจของตัว ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ ปฏิบัติธรรมก็ศึกษาแล้วปฏิบัติไป ลองถูกลองผิดไปตามแต่ผู้ที่ไม่รู้จริง ผู้ที่ปฏิบัติไม่รู้จริงก็ทำไปตามแบบ คือตามปริยัติที่ศึกษามา

แต่ถ้าเราเกิดมา เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีครูบาอาจารย์ของเรา เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านศึกษามาเหมือนกัน แล้วท่านปฏิบัติมาเหมือนกัน พอท่านปฏิบัติมา ท่านเห็นของมัน เห็นไหม การเข้ารหัส เพราะถ้ามันสามัญสำนึก มันเป็นเรื่องโลก ถ้าเรื่องโลกมันก็อยู่กับโลก การเข้ารหัสคือกำหนดพุทโธๆ ปัญญาอบรมสมาธิ นี่มันเข้ารหัสเหมือนกัน

ถ้าเข้ารหัสขึ้นมา ถ้าเข้ารหัส พุทโธๆ มันเป็นความรู้สึกนึกคิดไหม? ใช่ แต่พอความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา เราคิดอะไรล่ะ? เราคิดพุทธานุสติ ถ้าพุทธานุสตินะ เราจะท่องบ่น คำบริกรรมคือการท่องบ่น ถ้าการท่องบ่น จิตมันจะเข้ารหัสมา จิตจะเข้ารหัสมา มันจะพ้นจากโลกมา ถ้ามันพ้นจากโลกมา เราพุทโธๆๆๆ ถ้าจิตมันสงบ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันจะเป็นสมาธิ นี่อยู่ในรหัส

แล้วถ้ามันจะปลดล็อกล่ะ ถ้ามันปลดล็อกรหัสนี้ออกไปล่ะ ถ้ามันปลดล็อกรหัสนี้ออกไป มันก็จะเป็นปัญญา ขั้นของปัญญามันไม่มีสิ่งที่มันปลดล็อกรหัสไปแล้ว ปัญญานี่เป็นปัจจุบัน มันจะเป็นการปฏิบัติ ถ้ามันเกิดปัญญา เกิดสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา เกิดภาวนามยปัญญา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาตามความเป็นจริง

ถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญาเป็นจริง มรรค ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ นี่มันอยู่ในรหัส แต่เวลาถ้ามรรคสามัคคี มันปลดรหัสอย่างไร มันปลดล็อกอย่างไร ถ้ามันปลดล็อกทิฏฐิมานะ ปลดล็อกความยึดมั่นถือมั่น ปลดล็อกในความทิฏฐิว่าเรารู้ เราเข้าใจ มรรคต้องเป็นแบบนั้น นี่ไง ถ้ามันปลดรหัสอย่างนี้ขึ้นไป มันจะเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนามันเป็นอย่างใด

แต่ถ้าพูดความเข้าใจผิด ความเข้าใจผิดที่เราไม่มีครูบาอาจารย์ เห็นไหม “รู้ตัวทั่วพร้อม เราจะเข้าใจสัจธรรม” มันเป็นรหัสไง เริ่มต้นนะ เวลาถ้าทำความสงบของใจ เขาบอกว่า สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์ ถ้าว่าการเข้ารหัส เราก็เข้าเพื่อให้กำลังของเรามี ถ้ากำลังของเรามี ดูสิ ไฟตก ถ้าไฟมันตก ไฟมันมาไม่สมบูรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสิ่งที่เป็นอุตสาหกรรมมันเป็นไปไม่ได้เลย มันจะปั่นป่วนไปหมด มันเป็นไปไม่ได้ นี่ไฟมันตก

แต่ถ้าไฟมันสมบูรณ์ของมันล่ะ นี่ถ้าไฟสมบูรณ์ ถ้าไฟมันมาเต็มกำลัง ไฟ ๑๑๐ ๒๒๐ ถ้ามันเต็มกำลังของมัน ทุกอย่างจะสมบูรณ์ของเขา จิต ถ้ามันมีกำลังของมันน่ะ ถ้าไม่มีกำลังของมัน มีไฟไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีธาตุรู้ มันมีไฟของมันอยู่แล้ว โดยสัญชาตญาณ เรามีความรู้สึกนึกคิดของเราอยู่แล้ว ถ้ามีความรู้สึกนึกคิด แต่มันมาอย่างไร มันมาเป็นโลก มันก็ลุ่มๆ ดอนๆ ความลุ่มๆ ดอนๆ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวคิดของเรา ไม่คงที่ของเราเห็นไหม

แต่ถ้าเราเข้ารหัสควบคุม พอควบคุมของเรา พุทโธๆๆ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ คำว่า “สมาธิ” พลังงานนี้มันเสมอต้นเสมอปลาย กำลังของจิตมันมีของมัน ถ้ากำลังของจิตมันมีของมันนะ เวลาถ้ามันปลดล็อก ถึงที่สุดถ้าปลดล็อกได้ มันจะวิปัสสนาของมันไป ด้วยครูบาอาจารย์ของเราที่สั่งสอนมา สั่งสอนมาอย่างนี้

แต่ถ้าไม่มีครูมีอาจารย์ การที่ทำสมถะก็ว่าไม่เป็นประโยชน์ กำลัง ในเมื่อไฟเป็นพื้นฐานที่เราจะเข้าไปสู่อุตสาหกรรม เข้าไปสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ถ้าไม่มีไฟ ทุกอย่างก็จบหมดนะ ถ้าไม่มีไฟเสียอย่างเดียว ทุกอย่างไปไม่ได้หรอก ทุกอย่างมันไปไม่ได้ มันทำงานไปไม่ได้ไง นี่ก็เหมือนกัน เพราะมันเป็นเรื่องโลกๆ พอเรื่องโลกๆ เรื่องโลกเพราะอะไร

เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์นี่มีกายกับใจ มีกาย เห็นไหม ปฏิสนธิจิตเกิดในครรภ์ของมารดา เป็นมนุษย์ขึ้นมา ถ้าเดรัจฉาน ดูสิ อบายภูมิ ๔ มันก็เกิดสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นี่มันก็เกิดเหมือนกัน แต่มันเกิดในอบายภูมิ ถ้าอบายภูมินี่มันไม่มีโอกาสที่จะบรรลุธรรมได้ แต่มันมีโอกาสทำคุณงามความดีของมันได้ ทำดีทำชั่วมันทำของมันได้

นี่ไง ในเมื่อการเกิด เห็นไหม จิตมันเกิด พอจิตมันเกิดขึ้นมา เราเกิดเป็นมนุษย์ มีกายกับใจ เกิดโดยมีกายกับใจ นี่ด้วยอำนาจวาสนา การเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ ในเมื่อเป็นอริยทรัพย์ มันมีขันธ์ ๕ มีความรู้สึกนึกคิดไง มีธาตุ ๔ คือร่างกาย มีร่างกายและจิตใจ มันก็คิดโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว

ถ้าธรรมชาติของมันอยู่แล้ว มันถึงว่า เราเกิดเป็นมนุษย์มีพลังงานไหม? มี เพราะมีจิต พอมีกำลัง มีจิต มีพลังงานขึ้นมา เราถึงมีความรู้สึกนึกคิด มีอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย มีต่างๆ ขึ้นมา เรามีของเรา แล้วเรายังมีร่างกายด้วย ร่างกายนี้ เพราะจิตใจนี้อาศัยร่างกายนี้เพื่อดำรงความเป็นมนุษย์ของเรา

แต่ถ้าเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เขามีกายทิพย์ เขาไม่มีกายเนื้อ สิ่งนี้ นั่นสถานะของเขา ฉะนั้น ถึงว่า พลังงานมีไหม? มี แต่พลังงานอย่างนี้มันมีขึ้นมา มันก็มีของมนุษย์ไง พอเรามีของมนุษย์ พอเราศึกษาธรรมขนาดไหน เราปฏิบัติอย่างไรขนาดไหน ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ แล้วถ้าครูบาอาจารย์ของเรา สิ่งที่ไม่รู้จริงขึ้นมา เวลาปฏิบัติขึ้นมามันก็ได้ปฏิบัติแบบเข้ารหัส

“เข้ารหัส” แล้วพอเข้ารหัสก็เกิดทิฏฐิมานะ ทิฏฐิมานะว่า “ปฏิบัติ ถ้าทำความสงบของใจ กำหนดพุทโธๆ สิ่งนี้เป็นสมถะ มันไม่เกิดปัญญา เห็นไหม ไม่เกิดปัญญา” นี่เข้ารหัสไปแล้วนะ ยังล็อกด้วย ล็อกด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วเวลาพิจารณาของเราไป ก็บอกว่านี่มันเป็นวิปัสสนา เพราะมันเป็นการใช้ปัญญา...ปัญญาโดยการเข้ารหัส รหัสของกิเลส

เพราะสิ่งที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเรื่องธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขณะที่ปฏิบัติ ปฏิบัติโดยที่พื้นฐาน โดยความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นไปไม่ได้โดยธรรมชาติของมัน ถ้ามันเป็นธรรมชาติของมัน เวลาขั้นของปัญญา เขาบอก เวลาเขาปฏิบัติไปนี่เป็นขั้นของปัญญานะ เป็นวิปัสสนานะ เป็นปัญญานะ แต่ปัญญาที่มันเข้ารหัสแล้ว นี่เข้ารหัสเรื่องโลกไว้ เข้ารหัสโดยกิเลสไง ทั้งๆ ที่ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ เข้ารหัส

พอเข้ารหัสแล้ว สิ่งที่ตรงข้าม เห็นไหม ไฟ ๒๑๐ กับ ไฟ ๒๒๐ เวลากำลังของไฟมันแตกต่างกัน เครื่องใช้ไฟฟ้ามันแตกต่างกัน แต่เขามีตัวแปลงให้ไฟใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ระบบไฟแตกต่างกัน นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นเรื่องโลก เพราะเรามีทิฏฐิมานะของเราใช่ไหม เพราะเรามีทิฏฐิมานะของเรา เรามีพลังงานไหม? มี เรามีความรู้สึกนึกคิดไหม? มี เราคิดเป็นไหม? เป็น แล้วคิดเรื่องอะไรล่ะ? คิดเรื่องธรรมะโดยรหัส โดยกิเลสครอบงำ แล้วมันจะเป็นธรรมไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะจิตมันเข้ารหัส แล้วมันล็อกไว้ด้วย แล้วบอกว่าเป็นปัญญาๆ

ปัญญาที่มันล็อกไว้ มันพิจารณาไปไม่ได้ มันพิจารณาให้ไปชำระกิเลส มันพิจารณาไปให้ไปชำระสะสางเรื่องความไม่รู้ในหัวใจ ไม่มี แต่มันตรึกในธรรมได้ เห็นไหม มันล็อกไว้ มันเข้ารหัสไว้ไง “ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น ตรึกในธรรมอย่างนั้น มันมีความเวิ้งว้าง ความอะไร” แต่มันไปไหนไม่รอดหรอก ไปไหนไม่รอดเพราะอะไร เพราะพลังงานมันไม่มี

เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ใช่ไหม เรามีพลังงานของเราอยู่แล้ว แต่พลังงาน คำว่า “ไม่มี” คือว่ามันไม่เป็นจริง มันเป็นเรื่องโลกๆ ไง ในเมื่อเราเกิดมา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเป็นอริยทรัพย์ เรามีคุณสมบัติที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าตามความเป็นจริงได้ มันพ้นจากกิเลสไปได้

แต่เพราะความไม่รู้ แต่เพราะความไม่มีครูบาอาจารย์ของเราไง เราเลยล็อกรหัสของเราไว้ เข้ารหัสแล้วล็อกไว้ ล็อกด้วยปัญญา ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาอย่างนี้นะ พื้นฐานของไฟก็ไม่มี เพราะพื้นฐานของไฟ ๑๑๐ ๒๒๐ มันไม่เต็มจำนวนของมัน มันไม่สมบูรณ์ของมัน แล้วก็กระพร่องกระแพร่ง แล้วก็ทำไปด้วยความรู้สึกนึกคิดของตัว แล้วจิตมันมหัศจรรย์ มันก็ว่าเป็นอย่างนั้นไง นี่ไง จิตมันเข้ารหัส แล้วล็อกไว้ด้วยกิเลสด้วย

แต่ครูบาอาจารย์ของเรานะ ถ้าเราเป็นปุถุชน มันล็อกเอาไว้ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากโดยที่เราไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัวคือว่า อวิชชา เห็นไหม กิเลสมันละเอียดลึกซึ้งนัก กิเลส แก่นของกิเลสมันอยู่กับหัวใจของเรา แล้วเรามาเกิดเป็นมนุษย์ มันอยู่กับเรามาตลอด แต่เราไม่รู้เท่าทันมันไง ไม่รู้เท่าทันมัน เราก็ประพฤติปฏิบัติ เราก็ศึกษาธรรมของเราไปด้วยความรู้สึกนึกคิดของเรา ว่าเราทำแล้ว เราได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ ทำปฏิบัติแล้ว ศึกษาแล้วเราก็มีความภูมิใจ ปฏิบัติแล้ว เห็นไหม เราเป็นชาวพุทธ เราก็สร้างสมบารมี เราก็ทำคุณงามความดีของเรา นี้เราก็พอใจของเรา แต่พอใจของเรา มันก็เป็นอำนาจวาสนาใช่ไหม เรื่องเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี้

แต่ถ้าเอาจริงเอาจังล่ะ เพราะเรามีครูมีอาจารย์ใช่ไหม เรามีหมู่คณะใช่ไหม ถ้าทำจริงทำจัง มันต้องมีความเพียรชอบ มันต้องลงทุนลงแรงกัน ถ้าลงทุนลงแรงกัน ท่านถึงบอกให้กำหนดพุทโธๆ ให้ปัญญาอบรมสมาธิไง กำหนดพุทโธ เป็นสมาธิอบรมปัญญา ถ้ากำหนดปัญญาอบรมสมาธิ ก็ใช้ปัญญาไล่ความรู้สึกนึกคิดออกไป มันจะเข้ารหัสไหม? ต้องเข้ารหัส

การต้องเข้ารหัส เห็นไหม เพราะคำบริกรรมต่างๆ มันก็ฝึกหัดใจเพื่อ เห็นไหม ดูสิ ดูไฟฟ้าสถิตในอากาศมันมีอยู่แล้ว แต่เวลาเราจะใช้ประโยชน์ขึ้นมา เราจะเอามาใช้ประโยชน์กับสิ่งใดล่ะ แต่ถ้าเรามีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของเรา เห็นไหม พลังงานแสงแดด พลังงานลมต่างๆ แต่เรามีพลังงานนั้นรวมมาเพื่อเข้ามาจ่ายกระแสไฟฟ้าให้มันได้ ๑๑๐ ๒๒๐ เพื่อเข้าสู่เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมต่างๆ ถ้าเขาทำเพื่อประโยชน์กับการทำธุรกิจ ประโยชน์กับการดำรงชีวิตของเขา นี่พูดถึงโลก เปรียบเทียบไง

แต่เวลาเราปฏิบัติล่ะ เรากำหนดพุทโธๆ เราทำปัญญาอบรมสมาธิไง ให้ไฟของเราสถิต ให้กำลัง พลังงานของเราสถิตใช่ไหม ให้พลังงานของเรามั่นคงใช่ไหม ถ้าพลังงานของเรามั่นคงขึ้นมา นี่ไง ถ้าพลังงานมันมั่นคง เวลามันมั่นคง มันกำหนดพุทโธๆ เรากำหนดพุทโธๆๆ จนพุทโธไม่ได้

กำหนดพุทโธนะ เวลาขณิกสมาธิ แล้วอัปปนา นี่พุทโธไม่ได้เลย นี่ไง ถึงที่สุดแล้ว รหัสที่มันเข้ามา สิ่งที่ทำมา รหัสที่เราเข้ามา ถึงที่สุดแล้วมันปลดล็อกของมันในตัวมันเองได้ มันปลดล็อกตัวมันเองนะ ถ้าถึงที่สุดแล้ว รหัสที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกรรมฐาน ๔๐ ห้องนี่ มันสามารถปลดล็อกตัวมันเองได้ ถ้ามันสามารถปลดล็อกตัวมันเองได้ เพราะมันพุทโธไม่ได้

พอมันพุทโธไม่ได้ มันจะปลดล็อกตัวมันเอง พอปลดล็อกตัวมันเอง มันจะเป็นพลังงานที่มันไปโดยกำลังเต็มที่ของมัน มันเป็นปัจจุบัน มันเข้าไป พอกำลังอย่างนี้มันพิจารณา ถอยออกมามันพิจารณา มันฝึกหัดอย่างนี้ไง การเข้ารหัสเพื่อพลังงาน เพื่อความมั่นคง

ในชุมชนทุกๆ ชุมชน ถ้าพลังงานมีความมั่นคง ความเป็นอยู่ของสังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้ากระพร่องกระแพร่ง ถ้ามันขาด มันไม่เป็นประโยชน์ ก็มีแต่อยู่กันด้วยความทุกข์ร้อนทั้งนั้นน่ะ แล้วโลกก็เป็นแบบนี้ อยู่กันแบบนี้ ถ้าอยู่กันแบบนี้ ปฏิบัติก็ปฏิบัติโดยไม่มีความมั่นใจ ไม่มีความเป็นจริงในใจ มันก็ปฏิบัติกันไปโดยความไม่รู้ เพราะไม่มีผู้นำ

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านนำเรามา เห็นไหม ท่านให้เรากำหนดพุทโธ ให้เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ หัดเข้ารหัสขึ้นมาก่อน ขึ้นมาเพื่อให้จิตใจ พลังงานของเรา จิตใจของเรามั่นคง มั่นคงขึ้นมาแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา

การฝึกหัดใช้ปัญญา เพราะโดยข้อเท็จจริง ทุกๆ ดวงใจมีทิฏฐิมานะทั้งนั้น ทุกดวงใจมีกิเลสครอบงำอยู่ทั้งนั้น แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติโดยที่ว่าปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ขิปปาภิญญา ปฏิบัติได้ง่าย รู้ง่าย เขาต้องสร้างสมบุญญาธิการของเขามามาก เวลาฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์ไปเลยนี่มี

แต่ไปดูเวลาในสมัยพุทธกาลนะ พระเขาเห็นว่าผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่ายนี่มันเป็นเพราะเหตุใด ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ในพระไตรปิฎก ท่านบอกว่าอดีตชาติเขาเคยทำอย่างนั้นๆ เขาทำมามหาศาลเลย

คำว่า “ทำมามหาศาล” ชาติหนึ่งๆ ชาติที่เขาทำ “ชาติหนึ่ง” แต่ในปัจจุบัน เราชาติปัจจุบัน ชาติของเราอย่างนี้ ถ้าชาติของเราอย่างนี้ เราปฏิบัติของเรา ถ้าเราปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติจริง ถ้าเรามีอำนาจวาสนาจริง มันต้องรู้ได้เห็นได้ แต่ถ้ามันยังไม่รู้ได้เห็นได้ อำนาจวาสนาของเรามันไม่เป็นอย่างนั้นใช่ไหม ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น เราก็พยายามเร่งความเพียรของเรา ทำความเพียรของเราให้มันตามความจริงของเรา

ถ้าเป็นความจริงของเรา เรากำหนดพุทโธๆ หรือปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา ให้ใจมันสงบเข้ามา แล้วฝึกหัดใช้ปัญญา การฝึกหัดใช้ปัญญาอย่างนี้ เห็นไหม ฝึกหัดใช้ปัญญา ขณะที่ว่าจิตมันยังไม่ปลดล็อก แต่เราใช้ปัญญาของเรา เพราะมันจะก้าวเดินขึ้นไปพร้อมกัน พร้อมทั้งสมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐาน

ถ้ามีสมถกรรมฐาน เห็นไหม แม้แต่สมถกรรมฐาน ถึงที่สุด อัปปนาสมาธิ มันปลดล็อกหมดเลย การเข้ารหัส รหัสนั้นจะไม่มีเลย มันถึงลงสู่สัจจะความจริงอันนั้น แต่สัจจะความจริงอันนี้มันยังไม่เกิดปัญญา เพราะพลังงานไฟฟ้า ถ้ายังไม่ใช้เข้าเป็นอุตสาหกรรมใดๆ ไฟฟ้านั้นมันก็เป็นแค่ไฟฟ้า จิตมันก็คือจิต แต่มันยังไม่เกิดสัมมาทิฏฐิ ไม่เกิดงานชอบ เพียรชอบ ความระลึกชอบ ถ้ามันไม่เกิดความระลึกชอบ มรรคมันก็ไม่สามัคคี มรรค ๘ มันไม่สมบูรณ์ของมัน

นี้เราก็ฝึกหัดนี่ เรามีการฝึกหัด ถ้าเราฝึกหัดขึ้นมา จิตมันสงบ พอจิตสงบ มีความอบอุ่นขึ้นมา เราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา มันจะเป็นวิปัสสนา ไม่เป็นวิปัสสนา ไฟฟ้าเรามี เราก็ทดสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าเราได้ เราทดสอบกับปัญญาของเราได้

ถ้าเราทดสอบกับปัญญาของเรา ถ้าจิตของใครมีความสงบร่มเย็นขึ้นมา เวลาใช้ปัญญาไปนะ ใช้ปัญญาพิจารณาการดำรงชีวิต ใช้ปัญญาในการว่าชีวิตนี้เกิดมาอย่างใด ชีวิตเกิดมาเพื่อสิ่งใด เกิดมาแล้วมีประโยชน์สิ่งใด แล้วถ้าไม่ได้ปฏิบัติ ตายไป มันจะไปไหน เราใช้ปัญญาตรึกของเรา ตรึกของเรา เพราะเรามีจิตใจที่สงบร่มเย็น พอสงบร่มเย็น มันพิจารณาไป มันลึกซึ้ง

ถ้ามันลึกซึ้งขึ้นมา มันจะก้าวไปพร้อมกันกับสมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐาน โดยที่ว่ามันจะไปถึงพัฒนาตัวมันเองขึ้นไป ถ้ามันพัฒนาตัวเองขึ้นไปนะ เวลาเราปฏิบัติขึ้นไป มันก็มีผลไง มีผลลัพธ์กับจิตใจที่มันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม มันมั่นคงของเรานะ

ดูสิ เราสั่งสอนเด็ก จะให้เด็กแต่ละคนที่มันมีวุฒิภาวะ มีความรับผิดชอบ มีการกระทำที่ต่อเนื่อง เราจะฝึกฝนมาขนาดไหนกว่าเด็กคนนั้นจะเป็นเด็กดีขึ้นมา จิตใจของเรา เวลาเราปฏิบัติของเราขึ้นมา เวลาศีล สมาธิ ปัญญา มันฝึกจิตใจของเรา ถ้ามันฝึกจิตใจของเรา จิตใจของเราพัฒนาขึ้นมาเป็นคนดี เป็นคนมีหลักมีเกณฑ์ ภาวนาขึ้นมาให้เกิดอริยทรัพย์ ใครต้องเป็นคนสอน

เพราะจิตมันรู้ขึ้นมา จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ มันรู้ของมัน มันแสวงหาของมัน แสวงหาของมันหมายถึงว่า ความคิดเกิดจากจิต ถ้าความคิดเกิดจากจิต จิตดวงนั้นมีแต่ความคิดดีๆ จิตดวงนั้นมีแต่ความใฝ่ดี จิตดวงนั้นมีแต่แสวงหาในการทำคุณงามความดี ใครจะต้องไปสอนเขา นี่ไง สิ่งที่สอนเขา

เพราะจิตใจของเรามันช่วยตัวเองไม่ได้ จิตใจของเราไม่มีหลักมีเกณฑ์ใช่ไหม ถึงต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ ต้องมีครูบาอาจารย์คอยบอกคอยดูแล แต่ถ้าจิตใจของเรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ครูบาอาจารย์ก็ครูบาอาจารย์ ก็สาธุ! ครูบาอาจารย์เราก็เคารพบูชาของเรา แต่จิตของเรามันมีหลักมีเกณฑ์ มันพัฒนาของมันขึ้นมา มันเป็นประโยชน์กับตัวมันเอง เห็นไหม

สิ่งนี้เกิดขึ้นมาเพราะที่ว่าจิตเราสงบแล้วเราพิจารณาไง พอจิตเราสงบแล้ว เราหัดพิจารณา หัดแยกหัดแยะของมัน มันรู้มันเห็นของมัน พอมันรู้มันเห็นขึ้นมา มันก็เป็นสมบัติของใจไง มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโกที่พัฒนาขึ้นมา ฉะนั้น ถ้าจิตมันสงบแล้ว เราฝึกหัดใช้ปัญญาได้

ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา เขาบอกว่า “มันเข้ารหัสมา แล้วมันจะทำอย่างไรล่ะ” มันเข้ารหัสมาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว มันเข้ารหัสมาตั้งแต่อวิชชา มันเข้ารหัสมาตั้งแต่อวิชชามันพาเกิด รหัสของกิเลส รหัสของตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำมาตลอด ทีนี้ เวลาเราปฏิบัติ เราจะชำระล้างนะ ถ้าชำระล้าง เห็นไหม เราเอาอะไรไปชำระล้าง

การชำระล้าง ในเมื่อกิเลสมันอยู่ที่ใจ ถ้ากิเลสมันอยู่ที่ใจ เราก็ต้องทำความสงบของใจ เอาใจนั้นเข้าไปชำระล้างกิเลส เอาใจนั้นเข้าไปตีแผ่กิเลส ฉะนั้น การตีแผ่กิเลส เราจะรอให้กิเลสมันวิ่งมา หรือกิเลสมันเดินมาหาเราให้เราชำระล้างมันเหรอ มันไม่มีหรอก เวลาเราบอกว่า “กิเลส” ทุกคนอยากเห็นกิเลส ทุกคนอยากจะต่อสู้กับกิเลส แต่ไม่รู้กิเลสมันอยู่ไหน

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกรื้อค้นอยู่นะ ก็เข้าใจว่ากิเลสก็อยู่ที่เรา ถ้ากิเลสมันอยู่ที่เรา เราก็คือตัวเรา คือตัวเราก็อดอาหาร กลั้นลมหายใจ คิดว่ากิเลสสิ่งนี้จะทำลายมันไง เห็นไหม มันทำแล้วมันทำไม่ได้ สลบไปถึง ๓ หน อดอาหาร ๔๙ วันจนขนร่วงหมด นี่ทำแล้วมันไปไม่รอด

ถึงว่า กิเลสมันอยู่ที่ใจ ฉะนั้น เราตั้งใจกลับมาฉันอาหาร ได้ฉันอาหารของนางสุชาดา ฟื้นฟูร่างกาย พอฟื้นฟูร่างกายแล้ว กำหนดอานาปานสติ เอาความสงบร่มเย็นของใจ พอใจมันสงบร่มเย็นแล้ว ออกใช้ปัญญา พอจิตสงบแล้ว เวลาปัญญาที่มันยังไม่มี เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้นะ

พอใช้ปัญญาไป ด้วยกำลังของจิต มันเห็นข้อมูลในหัวใจ บุพเพนิวาสานุสติญาณ นี่มันไปแล้ว ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาอดีต ก็ดึงกลับมา พอดึงกลับมา จิตเข้าสู่สมาธิ เข้าสู่อานาปานสติ มันสงบเข้ามา เวลามันออกไปจุตูปปาตญาณ อดีตอนาคต เห็นไหม แล้วถ้ามันเกิดมรรคญาณล่ะ มันจะทำลายอวิชชาล่ะ มันทำอย่างไร ถ้ามันทำขึ้นมา มันย้อนกลับ ทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น นี่อาสวักขยญาณทำลายหมด พอทำลายหมด นี่ทำลายกิเลส ทำลายกิเลส มันทำลายที่ใจใช่ไหม

ฉะนั้น เราก็มีกายกับใจเหมือนกัน ถ้ามีกายกับใจเหมือนกัน แต่อำนาจวาสนา ความมั่นคงของใจ ถ้าใจมันยังไม่มั่นคง ใจมันยังหวังพึ่งหวังอาศัย จะเป็นอย่างนั้นๆ หวังไปหมดเลย เราวางให้หมด แล้วเราทำตามความเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้าทำความเป็นจริง ศึกษาแล้วก็ต้องศึกษา การศึกษา ทุกคนก็ศึกษาทั้งนั้นน่ะ ศึกษาเป็นแนวทาง ศึกษาแล้ววาง

อย่าศึกษา ศึกษาแล้วถ้ามันยึดนะ ถ้ายึดเราก็ทดสอบ อย่างที่ว่าเวลาจิตสงบแล้วเราใช้ปัญญา มันเป็นการทดสอบ ทดสอบว่าใจของเรามันควรทำในทางไหน ถ้าจิตมันสงบแล้ว มันใช้ปัญญาแล้ว ถ้ามันพิจารณาของมันนะ ถ้าถูกทางของเรา มันจะเวิ้งว้าง มันจะปล่อยวาง ไม่ใช่เวิ้งว้างแบบที่ไม่มีเหตุไม่มีผลนะ มันเวิ้งว้างเพราะจิตใจมันพิจารณาของมัน มันมีเหตุมีผลของมัน มันเวิ้งว้างเพราะมีกำลัง พอเวิ้งว้างแล้วนะ สักพักหนึ่ง พอเวิ้งว้างมีความสุข พอความสุขแล้ว ถ้ากิเลสมันยังมีอยู่ มันก็คิดเหมือนเดิม มันจะหนักจะหน่วง จะถ่วงใจ มันปกติน่ะ เราก็พิจารณาซ้ำๆ นี่ฝึกหัดอย่างนี้ ถ้าฝึกหัดอย่างนี้ นี่จิตมันละเอียดเข้ามาๆ มันปลดล็อกมันมาเรื่อยๆ

ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันจับได้ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เราฝึกหัดขึ้นมาให้จิตมันเป็นเอกเทศของมัน พอจิตมันปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามา มันก็สะสมในตัวมัน นี่กำลังของไฟมันจะขึ้นมาถึงสุดสมบูรณ์ของมัน ๑๑๐ ๒๒๐ เต็มจำนวนของมัน พอเต็มจำนวนของมัน มันมีกำลังของมัน เพราะเราดูแล เรารักษา

ดูแลรักษานะ ถ้ามันจับ มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นี่ไฟเต็มกำลังนะ เข้าไปอุตสาหกรรมสิ่งใด อุตสาหกรรมสิ่งนั้นจะทำทุกอย่างประสบความสำเร็จ ทุกอย่างจะทำคุณงามความดีของมัน จิตมันพัฒนาของมัน พอมันจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรม นี่ไง มันจะสู่วิปัสสนา วิปัสสนาคือโรงงานไง วิปัสสนาคือการชำระล้าง ถ้าชำระล้าง อย่างนี้เป็นรหัสไหม

ถ้าปัญญาอย่างนี้มันเป็นสัจธรรม ถ้าไม่เป็นสัจธรรมนะ เพราะมันคนละมิติกับความรู้สึกนึกคิดของเราไง ถ้ามันเป็นความรู้สึกนึกคิดของสามัญสำนึกของเรา มันเข้ารหัสไว้ตั้งแต่อวิชชา แล้วศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เข้ารหัสล็อกอีกชั้นหนึ่ง อีกชั้นหนึ่งก็บอก “เป็นธรรมต้องเป็นแบบนี้ อย่างนี้เป็นพุทธพจน์” ถ้าเราคิดของเราเอง เราเป็นของเราเอง มันไม่เป็นสมบัติของเรา ทั้งๆ ที่เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานะ เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นทฤษฎี เป็นกรอบ เป็นแบบอย่าง คิดนอกกรอบๆ คำว่า “คิดนอกกรอบ” คือกิเลสของเรา

ครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาท่านพิจารณากาย หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่คำดี หลวงปู่บัว ท่านพิจารณากายเหมือนกัน แต่มันแตกต่างหลากหลาย มันแตกต่างหมายถึงว่าจริตนิสัย กำลัง กิเลสละเอียดขั้นไหน หยาบขั้นไหน บางองค์พิจารณาขั้นต้นได้ง่าย ไปติดขั้นข้างบน บางองค์ขั้นต้นลำบากยากเย็น แต่เวลาไปข้างบน มันสะดวกสบาย มันทำคล่องแคล่วกว่า เห็นไหม มันไม่มีสิ่งใดที่เป็นสูตรสำเร็จ ไม่มี

ฉะนั้น เวลาปฏิบัติขึ้นไป เวลาเราพิจารณาไปว่า “สิ่งนี้เป็นพุทธพจน์ๆ” จะล็อกเอาไว้เลย ต้องเป็นแบบนั้นๆ มันก็เลยกลายเป็นจินตมยปัญญา จินตนาการ จินตนาการโดยที่จิต โดยพลังงานมันไม่มี มันไม่มีสมาธิ เพราะบอกว่า “สมาธิมันจะไปมีพร้อมกัน พิจารณาไป เดี๋ยวสมาธิมันจะรวมตัวขึ้นไป มันจะไปพร้อมกันไป” แล้วมันจับต้องสิ่งใดได้ล่ะ มันเข้ารหัสไว้หมดเลย ธรรมะมืด ธรรมะไม่เกิดขึ้น

แต่พวกเราพิจารณาของเราใช่ไหม เราเข้ารหัสมาเหมือนกัน แต่เราเข้ารหัสมาด้วยคำบริกรรม เราเข้ารหัสมา พอมันถึงที่สุดแล้ว มันพิจารณา มันปล่อยวางๆ ขึ้นมา มันปลดล็อกมันมาๆ ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันตามความเป็นจริง ปัญญาที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เข้ารหัส มันเป็นมรรค

เวลามรรคมันเกิดขึ้นมา มันเป็นมรรคที่มันพิจารณาของมันไป สิ่งที่มรรค ดูสิ เวลาปัญญาที่เราพิจารณาของเรา เริ่มต้นปัญญาที่เราจะพิจารณาของเรา มันแสนยากแสนเข็ญ แต่พอเราพิจารณาของเราไป พอปฏิบัติของเราไป เวลามันมีความชำนาญ เพราะเราปลดล็อกของรหัสออกมาเรื่อย มันก็เป็นผลงานของจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นน่ะ มันเป็นสัจธรรมของจิตดวงนั้น

มันไม่มี เราจะไหว้วาน เราจะเอาสิ่งใดมาเป็นสมบัติของเรา ไม่มี ถึงจะฟังเทศน์ครูบาอาจารย์มา ฟังเทศน์มานะ เป็นธรรมๆ เป็นคติธรรม แต่ไม่ใช่เวลาปฏิบัติขึ้นมามันจะเป็นจริงกับเรา ถ้าเป็นจริงกับเราขึ้นมา เป็นความจริงอันนี้ขึ้นมา สิ่งที่เป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง มันเป็นมรรค มรรคญาณที่มันเกิดขึ้น มันถึงไม่มีรหัสตายตัวไง มันไม่มีรหัส ไม่มีกรอบ ไม่มีสิ่งใดที่ใครจะคาดหมายให้เป็นไปอย่างที่เราปรารถนา...ไม่มี

แต่เวลาเราตั้งนี่ สัจธรรม เราตั้งอธิษฐานบารมี เราตั้งเป้าไว้ว่าเราจะทำๆ ถ้าเราทำขึ้นไป ถ้ามันปฏิบัติขึ้นไปเป็นความจริง มันก็เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เวลาธรรมมันเกิดๆ เวลาพิจารณาไป อริยสัจมันเกิด พิจารณาไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันปล่อย ปล่อยวางๆ เห็นไหม ปัญญามันได้ทดสอบแล้ว ถ้าปัญญาได้ทดสอบ นี่มรรคมันเกิดแล้ว

ถ้ามันเกิดนะ ถ้ามันเป็นความจริง พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลามันขาด เห็นไหม ทำไมมันถึงขาดล่ะ มันขาด เวลามันมรรคสามัคคีไง ถ้าในมรรคสามัคคีมันมีอะไรบ้างล่ะ? มันก็มีงานชอบ เพียรชอบ สมาธิชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ ความชอบธรรมที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นกับที่ไหนล่ะ? มันเกิดขึ้นกับจิตดวงนั้น จิตดวงที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากน่ะ แต่ที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากตามความเป็นจริงขึ้นมา

นี่ไง “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” ถ้ามันสมควร เหมาะสมที่เป็นความจริง แต่ที่เราว่าเข้ารหัสกันนี่ มันไม่สมควร มันไม่เป็นความจริงไง มันไม่สมควร มันไม่เป็นความจริง ความจริงกับเรา แต่เราพยายามจะทำให้เหมือน ก็อปปี้มา จะทำให้เป็นสูตร นี่ทำครบสูตร ศึกษามาแล้วมันเข้ารหัสไว้หมดเลย นี่เป็นสูตร แล้วก็ทำให้ครบสูตร ทำให้ครบสูตรนั้น พอมันครบสูตรนั้น มันไม่มีผลเพราะอะไร

มันไม่มีผลเพราะจิตดวงนั้น มันไม่มีสถานะที่จะเป็นจริงไง มันไม่มีสถานะในการเกิดภาวนามยปัญญา การเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ไม่ใช่เกิดจากสุตมยปัญญา คือศึกษามา ไม่ได้เกิดจากจินตนาการ คือจินตมยปัญญามา มันเกิดจากการาภาวนามยปัญญา มันถึงไม่มีรหัสไง

ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย บัว ๔ เหล่าไง ถ้ามันเป็นจริง มันต้องเป็นจริงของมันอย่างนั้น ถ้ามันเป็นจริงอย่างนั้น มันเกิดมาจากไหนล่ะ? เกิดมาจากความโลเลของเรานี่แหละ เกิดมาจากเริ่มปฏิบัติมันจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย แต่มีครูบาอาจารย์เป็นหลัก

ถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นหลักนะ เราก็พยายามขวนขวายของเรา แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นหลักแล้วท่านจะคอยเผดียงนะ เพราะว่ามันจะบอกให้คนรู้นี่มันเป็นไปได้ยาก ถ้าบอกให้คนรู้นี่เป็นไปได้ยาก แต่คนที่ปฏิบัติมันมีความใฝ่อยากได้สมบัติ อยากได้ตามความเป็นจริง มันถึงต้องมุมานะ

ผิดก็คือผิด คนที่ปฏิบัติเริ่มต้นจะไม่มีผิดเลย ไม่มี ถ้าผิดขึ้นมาแล้ว ผิดแล้วใช่ไหม เพราะเราทดสอบเอง กาลามสูตร ไม่เชื่อใครทั้งสิ้น ก็ทำมาแล้วน่ะมันผิด ผิดหมายความว่ามันไม่มีผล มันทำแล้วมันไม่เจริญก้าวหน้า ไม่เจริญก้าวหน้า เราก็มีอุบายวิธีการที่เราจะพลิกแพลง พลิกแพลงทำให้มันดีขึ้นมา ถ้ามันดีขึ้นมา ผลลัพธ์ที่มันดีขึ้นนี่ถูก ถูก เห็นไหม มันเริ่มปลดล็อกแล้ว เพราะความเข้าใจ เพราะปัญญาทำให้เราฉลาด

ความฉลาดมันก็ปลดล็อกไปเรื่อยๆๆ เราก็ออกจากรหัสของกิเลส ออกจากรหัสของโลก ออกจากรหัสของโลกเพราะอะไร เพราะพญามารมันต้องการสัตว์โลกไว้อยู่ในอำนาจของเขา ถ้าอยู่ในอำนาจของเขานะ การต่อสู้มันต้องต่อสู้อย่างนี้ ต่อสู้นะ ถ้ามันเป็นปัจจุบัน เป็นสัจธรรม มันออกจากรหัสได้ ถ้าออกจากรหัสได้ มันเป็นไปได้ เห็นไหม ปัญญาอย่างนี้มันถึงเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาในศาสนา

แต่เวลาที่พุทธพจน์ เรากลัวว่าเราจะไม่เคารพ เราจะปฏิบัติแล้วไม่ได้ความจริง มันเข้ารหัสตายตัว แล้วจิตนี้มันเป็นนามธรรมที่มันเป็นได้หลากหลายนัก แล้วกิเลสมันมีอำนาจเหนือกว่า แล้วมันเอารหัสของกิเลสมาล็อกไว้ ล็อกไว้เลย แล้วเราทำไปนะ ทำไปล้มลุกคลุกคลาน ทำไปถึงที่สุด ปฏิบัติธรรมเพื่อปฏิบัติธรรม แต่ไม่มีความจริง ไม่มีผลจริง

ไม่มีผลจริงเพราะจิตมันไม่มีกำลังไง กำลังของไฟมันไม่มี ๑๑๐ ๒๒๐ มันไม่เต็มจำนวนของมัน ถ้ามันเต็มจำนวนของมัน เวลาสมาธิชอบ เพียรชอบ งานชอบ ระลึกชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ ทุกอย่างมันสมดุลของมัน มันปฏิบัติของมัน นี่ไง พอมันเป็นจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นรหัสระหว่างโลกกับธรรม รหัสของโลกมันก็ครอบคลุมไว้ รหัสของธรรมไม่ได้เกิดเลย

แต่เราปฏิบัติของเราตามความเป็นจริงของเรา เวลาปัญญามันหมุนรอบหนึ่ง ตทังคปหานมันปล่อยวาง นี่รหัสของโลกได้ปลดล็อกออก รหัสของธรรมมันได้เข้าไปชุ่มชื่นในหัวใจของเรา ในหัวใจของเรานะ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” “รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง” รสสิ่งต่างๆ ได้สัมผัส ได้รับรู้ มันรื่นเริง มันอาจหาญ จิตใจดวงนี้ นิพพานอยู่แค่เอื้อม มันจะทำของมัน มันจะมีความมุมานะของมัน

ฉะนั้น ในวงกรรมฐานของเรา ถ้าจิตใจของคนที่ภาวนาดี เร่งความเพียรนี่เขาทำได้อุกฤษฏ์มาก แต่ถ้าเรายังไม่มีคุณธรรมในหัวใจ จะทำสิ่งใดนี่ละล้าละลังๆ ถ้ามันเป็นความเพียร ความมุมานะ มันก็เป็นเรื่องของทิฏฐิไปซะ แต่ถ้าเวลามันล้มเหลว เวลามันไม่สู้ขึ้นมานะ มันก็เป็นเรื่องของกิเลสไปซะ ถ้าเป็นทิฏฐิ ทิฏฐิมันก็เข้ารหัสไว้ ทิฏฐิมันกระด้าง ถ้ามันล้มเหลว มันก็อ่อนแอจนไม่เอาไหน ล้มเหลวจนที่เราไม่มีปัญญาจะสู้กับกิเลสของเราเอง

ฉะนั้น เวลาฝึกหัด ถ้ามันจะผิดพลาดอย่างใด มันเป็นประสบการณ์ ประสบการณ์แล้วเราหาทาง ทำให้มีความชำนาญ ทำให้มันมีประโยชน์ มีเหตุมีผลกับใจของเรา เหตุผลเท่านั้น เหตุและผลรวมลงเป็นธรรม เพราะเป็นธรรมขึ้นมา พอมันฉลาดขึ้น มันก็ปลดล็อกไปเรื่อยๆ จนมันเป็นจริงขึ้นมานะ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ มันเห็นผลนะ

เวลามันขาด ถ้ามันขาดขึ้นมา ทำไมมันถึงขาดล่ะ ถ้าเวลามันขาด เพราะ “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” มันสมเหตุสมผลของมันไง สิ่งที่มันขาดเพราะมันสมเหตุสมผล มันมีข้อเท็จจริงของมัน มันทำลายนะ ทำลายสังโยชน์ ทำลายอวิชชาขาดไปเลย สังโยชน์หลุดออกไปเลย นี่เวลามันปล่อยวาง มันปล่อยวางหมด นี่ไง ถ้าเห็นจริงอย่างนั้น

ถ้าผู้ที่เห็นจริง เห็นไหม ขณะจิตที่มันเป็นนะ ถ้าพอมันเป็นขึ้นมา สิ่งนี้เป็นอกุปปธรรม เวลาเป็นอกุปปธรรม มันถึงเห็นว่ากุปปธรรม อกุปปธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แล้วเราก็เป็นอนัตตา อยู่กับอนัตตานั่นน่ะ แต่เวลา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เวลาจิตมันเห็นอนัตตา มันปล่อย มันขาดออกไป แล้วมันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นอนัตตาไหม มันเป็นอนัตตาหรือมันเป็นธรรม

พอมันรู้จริงเห็นจริงขึ้นมา มันถึงซาบซึ้งไง พอซาบซึ้งนี่เรามีพื้นฐาน พอมีพื้นฐานขึ้นไปนะ โสดาปัตติมรรคมันก็ล็อกสมบูรณ์ของมัน ถ้าขั้นของโสดาปัตติมรรคนี่แค่นี้ ถ้าเป็นสกิทาคามรรคล่ะ โสดาปัตติมรรคนะ ถ้ามันยังเจริญแล้วเสื่อมๆ มันก็ยังไม่ถึงอกุปปธรรม แต่ถ้าเวลามันขาดแล้วนะ อกุปปธรรมนี่ผลของมัน แล้วเริ่มต้นไปล่ะ ต่อไปมันจะเป็นสกิทาคามรรค

ถ้าสกิทาคามรรค เห็นไหม โสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรคแตกต่างกัน แตกต่างกันเพราะคุณสมบัติแตกต่างกัน เวลาชำระกิเลส กิเลสหยาบละเอียดมันถึงแตกต่างกัน ถ้ากิเลสที่ละเอียดกว่า เราทำความสงบของใจให้มากขึ้น ถ้าใจมันสงบไปแล้ว พอเราย้อนไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง

ถ้าตามความเป็นจริง มันจะปลดล็อกจากรหัสกิเลสที่ละเอียดกว่า ถ้ากิเลสที่ละเอียดกว่ามันล็อกมันไว้ ล็อกคือว่าความลังเลสงสัย ถ้ามันล็อกแล้วมันสงสัย เอ๊ะ! มันทำอย่างไร แต่ด้วยจิตที่มันมีพื้นฐาน พื้นฐานจากโสดาบัน พื้นฐานจากจิตที่มันพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ที่มันปล่อย มันปลดล็อกมันมา มันเห็นของมัน

เวลามันขึ้นไปพิจารณาสกิทาคามรรค สกิทาคามรรค ถ้ามันจับขึ้นไป มันพิจารณาแล้ว เพราะกิเลสมันเป็นนามธรรม กิเลสมันก็มีความละเอียดลึกซึ้งของมัน มันก็ต้องทำให้เราหลงกล มันทำนะ มันหลอกลวงหัวใจไง หลอกลวงหัวใจที่ประพฤติปฏิบัติใช่ไหม นี่ที่เข้ารหัสของมันแล้วกิเลสมันล็อกของมันไว้อย่างนั้นน่ะ มันไม่ยอมให้เราเข้าไปรู้ ไม่ยอมให้เราเข้าไปเห็น ไม่ยอมให้เราเข้าไปถอดไปถอน

พอไปถอดไปถอน ก็ไปถอดไปถอน ก็ชีวิตของมัน ถอดถอนก็ตัวของมันไง มันก็ต้องมีเล่ห์กลของมันโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้วล่ะ ถ้ามีเล่ห์มีกลโดยธรรมชาติของมัน แล้วเราพยายามสร้างสมบุญญาธิกาขึ้นมา เวลาสร้างศีล สมาธิ ปัญญา ที่มันละเอียดลึกซึ้งเข้าไป จนไปจับต้องได้ เห็นได้ มันเป็นข้อเท็จจริงได้ เพราะกิเลสที่ละเอียดกว่าโสดาบัน แต่มันยังหยาบกว่าอนาคามี หยาบกว่าอรหัตตมรรคนะ มันยังละเอียดกว่านั้นอีก ฉะนั้น เราพิจารณาซ้ำเข้าไปๆ พิจารณาไป นี่การต่อสู้

ฉะนั้น เวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน จะล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ล้มลุกคลุกคลานเพราะกิเลสมันบิดเบือน กิเลสมันทำให้เราผิดพลาด เราจะต้องตั้งสติ สติของเรา ล้มลุกคลุกคลานนะ ถ้าล้มลุกคลุกคลาน เราก็ถอยออกมาทำความสงบของใจ สร้างฐานของเรา ฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติ เรามีครูมีอาจารย์ มีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง

เวลาเราใช้ปัญญา หรือกิเลสเวลามันสร้างภาพ กิเลสมันบังเงา เราหัวปั่นนะ มันนึกไม่ทันไง นึกก็นึกไม่ทัน นึกก็นึกไม่ออก เวลาทำขึ้นไปแล้วเราไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้ควรเดินหน้าหรือสิ่งนี้ควรถอยหลัง ในการประพฤติปฏิบัตินะ เวลาถ้ากำลังของสมาธิ กำลังของปัญญามันดี สิ่งนี้เราต้องเหยียบคันเร่ง เราต้องรีบรุกหน้าเพื่อเข้าไปทำลายกิเลส แต่ถ้าเราทำไปแล้ว เราใช้กำลังของเรามาก เราใช้ปัญญาของเรามาก มันเหนื่อยล้า พอเหนื่อยล้าขึ้นมา ถ้าเราไม่มีกำลังพอ กิเลสจะรุกกลับ ถ้ากิเลสจะรุกกลับ เราจะยับยั้งอย่างใด เราจะมาพักกับความสงบอย่างใด มันละล้าละลัง เห็นไหม

ในวิธีการ ในการประพฤติปฏิบัติ มันมีรุกและมีรับ ถ้าเวลาเราจะรับ เราจะรับอย่างไรที่จะไม่ให้จิตใจเราให้มันเสียฐาน ให้จิตใจของเราล้มลุกคลุกคลาน เราจะรับอย่างไร? ก็รับด้วยมีสติไง ถ้าเราผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาปฏิบัติต่อไป มันจะมีเหตุมีผล เพราะเราเคยผิดพลาด เราเคยเสียท่าในกรณีใด เราจะหาวิธีการที่เราจะรับให้ได้ ถ้ารับให้ได้ นี่ฝึกหัดอย่างนี้

สิ่งที่รหัสกิเลสที่มันได้ล็อกไว้ เราพิจารณาไป มันจะปลดล็อกไปเป็นชั้นเป็นตอนๆ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกัน คำว่า “เหมือนกัน” ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด เวลาเราพิจารณาไปนี่มันมีเล่ห์กลแตกต่างกัน พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงที่สุด ถ้ามันทำลายกันนะ สิ่งที่ว่ากามราคะ ปฏิฆะมันอ่อนลง โลกนี้ราบหมด คำว่า “ราบ” มันปล่อยวางไง ว่างมาก

เวลาทุกข์ ทุกข์จนแสนเข็ญนะ เวลามันมหัศจรรย์กับผลงานของเรา มันเวิ้งว้างไปหมดน่ะ จิตใจเบามาก ร่างกายเบา มีความแช่มชื่น มันอิ่มอกอิ่มใจ มันอยู่กับผลงานของเรา นี่ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน และครูบาอาจารย์รู้กับเราได้ เพราะครูบาอาจารย์ท่านเคยประพฤติปฏิบัติในการต่อสู้กับกิเลสแต่ละชั้นแต่ละตอน

กิเลสนะ มันเป็นนามธรรม กิเลส อวิชชา พ่อพญามาร พ่อของมันอยู่ในจิตใต้สำนึก มันอยู่กับใจนี้มาตลอด มันพาดวงใจดวงนี้เวียนเกิดเวียนตายมาตลอด ฉะนั้น เวลาเราเกิดมาในชาติปัจจุบันนี้ แล้วเรามีความมั่นใจในพุทธศาสนา เรามีความเชื่อในพุทธศาสนา เรามีการกระทำขึ้นมาในพุทธศาสนา แล้วเราได้ผลขึ้นมาในหัวใจของเรา

ถ้าเราได้ผลขึ้นมาในหัวใจของเรา อกุปปธรรมตั้งแต่ขั้นที่ ๑ แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมา กำลังพิจารณากัน กำลังแยกแยะกัน มันปล่อยวาง มันมีความสุข มันมีความแช่มชื่นของมันนะ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลามันขาด โลกนี้ราบหมด โลกนี้ราบ มันราบที่ไหน? มันราบเพราะมันถอดถอนอุปาทานไง กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง ถ้ามันอ่อนลง มันเป็นจริงอย่างนี้ไง นี่ไง จอของธรรมไม่ดำหรอก

แต่ถ้ามันเข้ารหัสไว้นะ จอของธรรมนี่ดำมืด ดำมืดเพราะอะไร เพราะมันเป็นอีกมิติหนึ่งที่จิตนี้มันจะไปรู้ได้ แต่มันไปยึดติดความรู้ของเรา ยึดติดสิ่งที่ครูบาอาจารย์ได้ล้างสมอง ได้ฝังหัวไว้ว่าเราปฏิบัติอย่างนี้มันเป็นวิปัสสนา มันเป็นวิปัสสนา

แต่เวลาถ้าเราจะเข้ารหัสขึ้นมาเพื่อสั่งสมนะ เวลาเข้ารหัสโดยคำบริกรรม เข้ารหัสโดยสมถกรรมฐาน เข้ารหัสโดยครูบาอาจารย์ที่ท่านสอน เข้ารหัสมาเพื่อให้มันมั่นคง เพื่อให้มันแข็งแรง เพื่อให้มันมีวุฒิภาวะ แล้วพอมันพิจารณาไป คนที่มั่นคง คนที่มีวุฒิภาวะ เวลาปฏิบัติไป เขาทำของเขาได้ เขาจะรู้ของเขาเองว่ามันสมควรเมื่อไหร่ที่มันจะปลดล็อกตัวมัน แล้วมันจะเป็นปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณที่เข้าไปชำระกิเลส มันเป็นอีกมิติหนึ่งไง

ถ้าเข้ารหัสไว้ตายตัว มันก็เป็นเรื่องโลกๆ มันไปไหนไม่ได้หรอก แต่เวลาเป็นเรื่องโลกๆ แต่โลกที่มีศักยภาพ โลกที่มีพลังงาน โลกที่รวมตัวเป็นเอกัคคตารมณ์ โลกที่มันตั้งมั่นขึ้นมา แล้วมันออกไปวิปัสสนาเพื่อมันจะล้างโลก มันจะทำลายโลก โลกคือโลกที่ในหัวใจของเรา มันทำของมันขึ้นมา เพราะอะไร เพราะมีครูบาอาจารย์เป็นคนชี้นำ

แล้วเวลาเราปฏิบัติไป เราเห็นจริง เวลาสังโยชน์ขาด มันรู้มันเห็นสังโยชน์ขาด ระหว่างความคิดโลกเป็นแบบใด แล้วเวลาสังโยชน์ขาด ปัญญามันลึกซึ้งอย่างใด ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมา ปัญญาที่มันเป็นมรรคญาณ ปัญญาที่มันเป็นสัจธรรม เวลาปัญญาที่เป็นธรรมจักร ที่ว่าเวลามันวนกลับมา มันหมุนกลับมา ปัญญาที่มันหมุนกลับมา มันไม่ใช่กงจักร มันเป็นธรรมจักรที่หมุนกลับมา หมุนกลับมาชำระล้างนี่ นี่มันแตกต่างอย่างใด

ปัญญาแบบโลกที่รหัสมันล็อกไว้ ใครก็รู้ได้ แล้วปฏิบัติไปมันตั้งแต่หยาบละเอียด อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด มันก็อยู่ในวงของโลกนั่นแหละ ในวงของโลก มันเข้าไม่ถึงธรรม นี่จอของธรรมถึงมืดบอด ถึงดำมืดไง แต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา จอของธรรมมันสว่างไสว มันรับได้ จอของธรรมมันจะเกิดขึ้นมาในจอของใจ เพราะใจเรามันเป็นขึ้นมา มันซาบซึ้ง พอมันซาบซึ้ง มันรู้ได้เฉพาะใจที่เป็น ใจที่ประพฤติปฏิบัติมา ที่รู้จริง มันจะรู้จริงเห็นจริงขึ้นมา

แต่ถ้าจิตใจที่มันยังไม่เป็นขึ้นมา มันก็ยังเชื่อตามๆ กันมา เห็นไหม เชื่อตามๆ กันมา เชื่อตามทิฏฐิมานะ ทิฏฐิที่ว่าสิ่งนี้เป็นพุทธพจน์ สิ่งนี้เป็นคุณธรรม สิ่งนี้เป็นความจริง มันเชื่อขึ้นมา เป็นพุทธพจน์ พระไตรปิฎก ธรรมและวินัยมันเป็นศาสดาของเราอยู่แล้ว แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันชำระล้างเข้าไปในหัวใจ เวลามันสำรอกกิเลสออก มันถึง “มันเหมือนกัน มันเหมือนกัน” โดยหัวใจที่มีคุณค่าเหมือนกัน

แต่ถ้าเราเชื่อของเรา มันเหมือนกันโดยกรอบ เหมือนกันโดยโลก เหมือนกันโดยรหัส แล้วล็อกกันไว้อย่างนั้นนะ แล้วภูมิอกภูมิใจกันมาก แต่เราปฏิบัติ คนปฏิบัติ ใจที่ปฏิบัติมันรู้มันจริง มันเศร้าใจ มันเศร้าใจนะว่า ถ้าเป็นความจริง มันเป็นแบบนั้น

เวลามันเป็นจริง โลกนี้ราบหมด มันรู้มันเห็นของมัน มันลึกซึ้งของมัน แล้วพูดกับโลกนะ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข “จะสอนโลกเขาได้อย่างไรหนอ จะสอนโลกได้อย่างไรหนอ” คำว่า “สอนโลก” นั่นคือความรำพึงขึ้นมาในใจ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอยู่ ท่านสอนอยู่แล้วล่ะ ท่านสอนด้วยอนาคตังสญาณของท่านว่าผู้ใดควรรู้ได้ขนาดไหน ถ้าควรรู้ได้แบบศีลธรรมจริยธรรมก็รู้แบบโลก รู้แบบโลกก็ให้เขาสร้างสมบุญญาธิการของเขาไป เพราะว่าเขาจะรู้ละเอียดมากไปกว่านี้ไม่ได้ แต่ถ้าผู้ที่จะรู้ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนาคตังสญาณ จะไปเอาองค์นั้นก่อน เพื่อให้ใจดวงนั้นได้สัมผัส ให้ใจดวงนั้นเป็นธรรมขึ้นมา ฉะนั้น สิ่งนี้เป็นคติธรรม

แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา โลกนี้มันราบ โลกนี้ราบหมด มันมีความสุขของมัน เห็นไหม ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ หรือไม่มีหลักมีเกณฑ์ เราเอง อำนาจวาสนามันจะก้าวเดินต่อไปอย่างใด ถ้ามันจะก้าวเดินนะ มันต้องตั้งสติ ให้สติ ให้สมาธิมันเข้มแข็งขึ้นเพื่อจะปลดล็อก ปลดล็อกจากสกิทาคามรรคสู่อนาคามรรค ถ้ามันปลดล็อกไม่ได้ มันจะก้าวล่วงขึ้นไป สิ่งที่จะก้าวล่วงขึ้นไป สิ่งที่สู่ความละเอียด ถ้าจะปลดล็อกได้ต้องเป็นมหาสติ มหาปัญญา

คำว่า “มหาสติ มหาปัญญา” เพราะขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด กายนอก กายใน กายในกาย กายในกายนี้เป็นกายอสุภะ ถ้าจิตมันละเอียดลึกซึ้ง มันจะเป็นอสุภะ สิ่งที่เป็นอุสภะนะ ถ้ามันจับได้ ถ้ามันจับไม่ได้ อสุภะอยู่ที่ไหน มันก็ว่างเปล่าอยู่อย่างนั้นไง มันก็เวิ้งว้าง จิตจะเวิ้งว้าง มีกำลังของมัน เพราะเราได้ทำลายอุปาทาน ทำลายสักกายทิฏฐิ ทำลายอุปาทานเข้ามา จิตใจมันถึงมีพื้นฐานให้มันเวิ้งว้าง เวิ้งว้าง

แต่เพราะกิเลสอันละเอียดมันได้ล็อกของมันไว้ ก็เลยเวิ้งว้างอยู่อย่างนั้นน่ะ มันหาไม่เจอ มันจะจับต้องอย่างใด เราจะบอกว่า กาย เวทนา จิต ธรรม ใครๆ ก็รู้ได้ รู้ได้โดยทฤษฎี รู้ได้โดยโลก แต่มันไม่รู้ได้โดยธรรม ถ้ารู้ได้โดยธรรมนะ เราทำความสงบ จิตใจเราสงบเข้ามาแล้วออกใช้ปัญญา ถ้าออกใช้ปัญญานะ ถ้าจิตสงบ มันจับกายได้ มันจะเป็นอสุภะ ถ้าจิตมันสงบแล้ว มันจับขันธ์ได้ คือมันเป็นนามธรรม มันเป็นกามราคะ

ถ้าเป็นกามราคะ มันจะพิจารณาอย่างใด ถ้ามันพิจารณา เห็นไหม มันล้มลุกคลุกคลานไง เพราะว่าอะไร เพราะกิเลสมันล็อกของมันไว้ ล็อกสิ่งที่กิเลสมันละเอียด มันล็อกของมัน ล็อกคือความเชื่อ ล็อกคือความรู้ ล็อกคือความเห็น เพราะมันมีอยู่แล้ว อวิชชามันมีอยู่แล้ว ความไม่รู้มันมีอยู่แล้ว มันล็อกของมันไว้ แล้วเราจะปลดล็อกอย่างไร

ถ้าเราปลดล็อก เห็นไหม มหาสติ มหาปัญญา ถ้ามันจับได้ มันพิจารณาแล้วมันแยกแยะของมัน แยกไป แยกซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ นะ สิ่งที่มันล็อกไว้ใช่ไหมว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เพราะเราคาดหมายว่าธรรมมันจะละเอียดลึกซึ้งอย่างใดก็แล้วแต่ มันจะว่างขนาดไหน ความว่างนี่ใครๆ ก็สร้างได้ นี่ข้างนอกมันว่าง แต่ใจไม่เคยว่างเลย ความรู้สึกนึกคิดว่าง ความรู้สึกนึกคิดปล่อย เพราะสติปัญญามันทัน

“สิ่งนี้มันเป็นความว่างๆ สิ่งนี้มันปล่อยแล้ว นี่เป็นธรรมแล้ว นี่เข้าใจแล้ว” สิ่งที่รหัสมันล็อกไว้มันเป็นอย่างนี้ มันมีอยู่แล้วไง มันล็อกสิ่งนี้ไว้เพื่อจะพยายามให้เราเชื่อ เพื่อพยายามให้จิตดวงนี้อยู่ในอำนาจของมัน เพื่อให้จิตดวงนี้ไม่ก้าวหน้าต่อไป

แต่ถ้ามีสติมีปัญญา เราพยายามฝึกฝน พยายามฝึกหัด เพื่อให้เป็นปัจจุบัน ถ้ามันเป็นปัจจุบัน มันจะเริ่มปลดล็อกมาเรื่อยๆ ปลดล็อกมาเรื่อยๆ ถ้ามันเป็นปัจจุบัน ถึงมรรคสามัคคี เวลามันรวมตัว มันสมุจเฉทปหาน มันขาด มันครืน! ในหัวใจ มันทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ? มันเป็นแบบนั้นเพราะเราได้ฝึกฝน เราได้ใช้ปัญญาแยกแยะ แยกแยะสิ่งที่เป็นกามราคะ

สิ่งที่เป็นกามราคะนะ ปฏิฆะ กามราคะมันอยู่ในหัวใจ มันมีของมัน เวลาเข้าไปเผชิญกับตัวมันเอง มันไปอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ถ้าเป็นปุถุชน เรื่องนี้ไปอยู่จิตใต้สำนึก มันมีความต้องการ มันมีความแสวงหาในใจของมันแล้ว มันออกมาเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์

แต่ถ้าเวลาเข้าไปแล้วน่ะ ตัวมันเป็น! ตัวมันเป็น! มันไม่ใช่สัญชาตญาณ มันไม่ใช่เรื่องของร่างกายเลย มันเป็นเรื่องของจิตใจทั้งหมด ถ้าเป็นเรื่องของจิตใจทั้งหมด เวลาพิจารณาเข้าไป เป็นอสุภะๆ อสุภะเพราะจิตใจมันเป็นธรรม จิตใจคือมีสมาธิ เวลามีสมาธิ จับอสุภะ จับกายในกายมาพิจารณา มันก็เป็นอสุภะ มันก็เยิ้มของมัน มันมีสิ่งใด มันสะเทือนหัวใจ มันสะเทือนนี่มันเป็นการฝึกหัดๆๆ จนถ้ามันปล่อยหมด ปล่อยหมด ปล่อยไปไหน นี่ไง รหัสที่ละเอียดนะ

มันละเอียดลึกซึ้งนะ รหัสที่ละเอียด มันเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาตีแผ่เลย แล้วบอกมันเป็นอย่างนี้ อสุภะมันปล่อยอย่างนี้ มันเป็นความจริงอย่างนี้ นี่รหัสที่มันล็อกลึกๆ ลึกๆ ที่มันล็อกไว้ มันก็มีความละเอียดลึกซึ้งของมัน แล้วมหาสติ มหาปัญญา ปัญญาใหญ่ ปัญญาที่ลึกซึ้ง ปัญญาที่กว้างขวาง ปัญญาที่จับกามราคะมาตีแผ่ ตีแผ่ให้มันเห็นตามความเป็นจริงไง นี่มันมีการฝึกซ้อมจนชำนาญขึ้น ละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น จับต้องสิ่งใด มันจับต้อง มันจะไวมาก มันจะพิจารณาของมัน แล้วมันละเอียดลึกซึ้ง ละเอียดลึกซึ้งจนมีความชำนาญ มีความชำนาญพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก

เพราะสิ่งที่ของหยาบๆ เราเข้าใจได้ง่ายๆ สิ่งที่ละเอียด เชื้อโรค มองด้วยสายตาไม่เห็น เขาจะใช้กล้องจุลทรรศน์พิสูจน์ นี่ก็เหมือนกัน มหาสติ มหาปัญญา จิตที่มันละเอียดลึกซึ้ง มันพิจารณาของมัน แยกแยะของมัน พิจารณาของมันจนชำนาญขึ้นๆ จนมันถึงที่สุด มันเข้ามาถึงตัวเรานะ จิตกับขันธ์ จิตกับทุกอย่างมันเป็นอันเดียวกัน แล้วมันอันเดียวกัน แล้วพร้อมกับมรรคญาณที่เข้ามา มันทำลายกันอย่างไร

ถ้ามันทำลาย เห็นไหม เวลากามราคะ ปฏิฆะมันขาดออกไปจากใจ เวลามันขาดออกไปจากใจ ครืน! ในหัวใจนะ ถ้าครืน! ในหัวใจ เวลาล็อกที่กิเลสมันล็อกความละเอียดนี้ไว้ มันทำลายด้วยสัจจจะ ทำลายด้วยปัจจุบันที่เข้ามาถึงใจพร้อมกัน ทำลายในดวงใจเดียวกัน มันเข้ามาถึงจุดศูนย์กลางไง พอจะเข้าไปถึงจุดศูนย์กลางได้ เข้าไปถึงตัวตนของกามราคะได้ แล้วทำลายตัวมัน

พอทำลายตัวมัน เห็นไหม ละเอียดกว่านี้อีกเยอะมาก สิ่งที่มันเป็นเศษส่วนที่เหลือ พิจารณาซ้ำๆๆๆ มันก็ปลดล็อกของมันไปเรื่อยถึงที่สุด ข้างนอกนี่ว่างหมด ปลดล็อกจนสิ่งที่ว่าเป็นเรื่องโลก กามราคะ ปฏิฆะต่างๆ ปลดล็อกมาหมดเลย เหลือแต่ตัวมัน เหลือแต่ตัวมันนะ ถ้าเหลือตัวมัน ไม่มีใคร เห็นไหม ดูสิ เวลารหัสที่เขาล็อกไว้เป็นพลังงานจากข้างนอก แล้วเราจะต้องสร้างสมของเรามาด้วยรหัส ให้กำลังไฟ ๑๑๐ ๒๒๐ ให้มันเต็มจำนวนของมัน แล้วเราก็ทำลายล้างเข้ามา

จนถึงที่สุด จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส กลับเป็นตัวเป็นพลังงานอันนั้น พลังงานนั้น ไฟฟ้าเราเข้าสู่โรงงาน มันถึงเกิดกิจกรรมอะไรขึ้นมา ฉะนั้น พอเราทำลายโรงงานต่างๆ ทั้งหมด ทำลายทุกอย่างหมดสิ้น มันเหลือแต่พลังงานไฟฟ้านั้นเท่านั้น “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เห็นไหม มันทำลายสิ่งต่างๆ เข้ามาจนเหลือแต่ตัวมันน่ะ เหลือแต่พลังงานอันนั้น

นี่ไง ที่ว่าเราเข้ารหัสล็อกกันมา แต่นี้มันเป็นตัวมันเองเลย ตัวมันเองเลย หลอกตัวมันเองเลย แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวมันเองอยู่ที่ไหน มันละเอียดอย่างนี้ไง สิ่งที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าถึงที่สุดแล้ว “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ” นี่มันละเอียดเข้ามาอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่าจะสอนได้อย่างใด

ฉะนั้น เวลาที่จิตใจของเรา ถ้าเราพัฒนาขึ้นมา เราปฏิบัติของเราขึ้นมา จอของธรรมสว่างขึ้นมาบ่อยครั้งเข้าๆ ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จอของธรรมทั้งนั้นน่ะ ระหว่างเรื่องโลก เราเกิดมากับโลก แต่ใจเราเป็นธรรมๆ ขึ้นมา เป็นชั้นๆ ขึ้นมา ธรรมสว่างไสว ธรรมขึ้นมา ว่างหมดๆ แล้วตัวจิตมันเป็นอย่างไร แล้วตัวจิตเดิมแท้นี่เป็นอย่างไร ปฏิสนธิจิตมันเป็นอย่างไร

ถ้าปฏิสนธิจิต นี่ไง อิทปฺปจฺจยตา สิ่งที่มันเกิด สิ่งนี้มันถึงมีสิ่งนี้ มันมีในตัวมันเองหมด ไม่ต้องสิ่งข้างนอกหรอก ตัวมันเองมีครบกระบวนการของมัน แต่มันไม่ใช่ขันธ์ มันเป็นพลังงาน แล้วพลังงานนี่ไง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ ปัจจยาการที่ที่มันมีของมัน มันมีตัวมันเอง ตัวเดิมแท้มันอยู่ในตัวมันเอง แล้วตัวมันเองมันก็หมุนโดยตัวมันเอง

แล้วมันไม่ต้องอาศัยใครเลย มันไม่อาศัยอะไรที่มันแสดงออกเลย ตัวมันเองแสดงออกตัวมันเอง เดี๋ยวก็เศร้าหมอง เดี๋ยวก็ผ่องใส เดี๋ยวก็เฉา เดี๋ยวก็เหงา เดี๋ยวก็...นี่ตัวมันเองอยู่กับตัวมันเอง แล้วรหัสอย่างนี้มันเป็นตัวมันเองอยู่แล้ว แล้วทำอย่างไร คลื่นอันนี้มันเป็นอย่างนี้ แล้วรหัสที่เราปลดล็อกๆ มาจากตัวคลื่น ตัวที่มันยังมีพลังงานของมัน ทำอย่างไร

ถ้ามันเป็นอัตโนมัติ คำว่า “เป็นอัตโนมัติ” มันเป็นอยู่ของมันอย่างนั้น ฉะนั้น มหาสติ มหาปัญญา มันชำระล้างกองทัพต่างๆ เข้ามา เจ้าวัฏจักรมันต้องสมบูรณ์ในตัวของมัน ถ้าสมบูรณ์ในตัวของมัน มันถึงจะย้อนกลับ ถ้ามันย้อนกลับตัวมันได้ พอมันจับได้ นี่อรหัตตมรรค สิ่งที่เป็นอรหัตตมรรค มันจะย้อนจับเข้าไปในตัวของมัน พอย้อนกลับเข้าไปในตัวของมัน สิ่งนี้มันจะนุ่มนวล มันจะละเอียดอ่อน มันใช้สิ่งใดที่หยาบ ใช้สิ่งใดที่เป็นรหัส เป็นต่างๆ มันหยาบเกินไปแล้ว

สิ่งที่เป็นพลังงานเฉยๆ แล้วพลังงานมันก็ย้อนกลับเข้าไปสู่ตัวของมัน มันทำลายในตัวมันเอง พอมันทำลายตัวมันเองโดยที่สิ้นสุด พลังงานนั้น มรรคนั้น สรรพสิ่งในนั้นดับไปพร้อมกัน อวิชชา ความไม่รู้จบสิ้น เพราะมันไม่รู้ตัวมันเอง มันถึงได้วุ่นวาย มันถึงได้สร้างสมทุกข์ๆ ยากๆ สร้างสมขึ้นมา แล้วก็มีเวรมีกรรม เวียนไปตลอด

แต่พอเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยข้อเท็จจริง ด้วยเรามีครูมีอาจารย์ ทำตามความเป็นจริง ในเมื่อสิ่งที่เป็นโลกมันก็มี สิ่งที่เป็นธรรมก็มี เราเกิดมาเราก็เกิดมาโดยโลก แต่เวลาปฏิบัติ เราปฏิบัติธรรม เรามีครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติที่ท่านได้พิสูจน์ตรวจสอบมาก่อนหน้าเรา ท่านมีหลักมีเกณฑ์ ท่านสามารถบอกเคล็ด บอกวิธีการ บอกการกระทำให้เราก้าวเดินของเราขึ้นมาได้ แล้วเราปฏิบัติขึ้นมา เราก็รู้จริงเห็นจริงขึ้นมา มันซาบซึ้ง

มันซาบซึ้งว่า ชีวิตนี้เกิดมาไม่สูญเปล่า การปฏิบัติของเรา ปฏิบัติแล้วมันไม่ใช่ปฏิบัติโดยที่ไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่ใช่ปฏิบัติแบบมืดบอด ไม่ใช่ปฏิบัติโดยที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แล้วปฏิบัติกันไปโดยให้อวิชชามันล็อกของมัน แล้วก็บ้าบอคอแตกไปกับเรื่องโลกๆ เขา แต่ถ้าเราทำขึ้นมา มันลึกซึ้งจนพูดกับเขาไม่รู้เรื่องหรอก แต่เราจะพูดกับครูบาอาจารย์ของเราได้รู้เรื่อง ถ้าจิตมันเป็นพลังงานของมัน เวลามันย้อนกลับขึ้นมา มันรู้ตัว รู้เห็นของมัน แล้วมันละเอียดลึกซึ้งของมัน

สิ่งที่เป็นมรรคญาณที่มันเข้าไปทำลายตัวมันเอง ทำลายถึงสิ้นกระบวนการของมัน จบสิ้น ถ้าจบสิ้นได้ เราจะรู้ เราจะเห็น แล้วเห็นกับโลกนะ เวลาโลกเขาทำกัน โลกที่เขาทำกัน อยู่ที่ว่าพุทธพจน์ๆ โดยเข้ารหัสของเขาไว้ แล้วเราจะรู้ว่าสิ่งนั้นมันถึงว่าเป็นโลก สิ่งที่เป็นธรรม เป็นธรรมต้องเป็นสัจธรรม สัจธรรมมีหนึ่งเดียว ถ้าสัจธรรมมีหนึ่งเดียวนะ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เขาจะเข้ามาสู่สัจจะความจริงอันนั้น ถ้าเข้ามาสู่สัจจะความจริงอันนั้น

เห็นไหม กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใคร ถ้าความจริงอันนั้นกับความจริงอันนั้นมันประสานกัน มันจะมีความโต้แย้งอย่างใด มันจะมีสิ่งใดที่เข้ามาโต้แย้ง สิ่งใดที่เข้ามาว่าสิ่งนั้นไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงมันก็คือความจริงไง ถ้าความจริงเกิดขึ้นมากับใจดวงนั้น แล้วมันพัฒนาของมันขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จนถึงสิ้นกิเลส

พอสิ้นกิเลสไปแล้ว กิเลสไม่อยู่กับใจดวงนั้น สิ่งที่เป็นธรรมธาตุอันนั้นจะเป็นประโยชน์ ประโยชน์เพราะเป็นการยืนยันว่ามรรคผลนิพพานยังมีอยู่จริง การประพฤติปฏิบัติ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เขาจะได้ผลของเขาจริงๆ ไม่มีกาล ไม่มีเวลา สิ่งที่เป็นจริงก็คือเป็นจริงอยู่วันยังค่ำ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย เอวัง