เทศน์บนศาลา

ธรรมธุรกิจ

๒๖ มี.ค. ๒๕๕๖

 

ธรรมธุรกิจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่  ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเราประพฤติปฏิบัติธรรมธรรมะที่เกิดขึ้นถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ สิ่งนี้เป็นผลของวัฏฏะ สิ่งที่เป็นผลของวัฏฏะพยายามจะพิสูจน์กันว่าโลกนี้มีอายุประมาณกี่ปีโลกนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังเถียงกันได้ไม่จบว่า โลกนี้ ในเมื่อสสาร สิ่งต่างๆ พิสูจน์แล้วว่าโลกนี้อายุเท่าไร เห็นไหม ผลของวัฏฏะ เพราะโลกนี้เป็นอจินไตย สิ่งที่เป็นอจินไตยเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในอจินไตย ๔

๑. พุทธวิสัย

๒. โลก

๓. กรรม

๔. ฌาน

นี่เป็นอจินไตยอจินไตยคือว่ามันไม่มีที่สิ้นสุดมันยังคิดไม่จบคิดไม่จบเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเป็นอจินไตย สิ่งที่เป็นอจินไตยโลกนี้เป็นอจินไตย ฉะนั้นสิ่งที่เราจะเป็นความจริงขึ้นมาการประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมา สัจธรรมความจริงที่เราเข้าใจ เรารู้ของเรา ความเข้าใจในปัจจุบันนี้ เราว่าเราเข้าใจธรรมะ เข้าใจธรรมะเพราะเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนะ สละราชสมบัติออกมานั่นคือโลก สละราชสมบัติออกมาแล้วเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พยายามรื้อค้นอยู่ปัญจวัคคีย์ออกมาอุปัฏฐากอย่างนั้นก็เป็นโลกเพราะเป็นฌานโลกีย์ฌานโลกีย์ปฏิบัติแบบโลกมันก็ได้ผลเป็นโลกๆ มา แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมาถึงที่สุดแล้ววางสิ่งนั้นไว้ วางสิ่งนั้นไว้ว่ามันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้เรื่องโลกๆ ทั้งนั้นเลย แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าระลึกถึงตั้งแต่ว่าเป็นราชกุมารนั้น

เวลาเป็นราชกุมารนั้น สิ่งนี้คือบารมีธรรมบารมีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมคุณงามความดีมาการสร้างสมคุณงามความดีเป็นพระโพธิสัตว์ เสียสละมาทุกๆ ภพทุกๆ ชาติ การเสียสละมานั้นเสียสละมาเพื่อสร้างบารมี ถึงที่สุดแล้วบารมี๑๐ ทัศ สิ่งต่างๆอำนาจวาสนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงระลึกถึงว่าตั้งแต่ว่าเป็นราชกุมารนั้น นั่งอยู่โคนต้นหว้านั้นกำหนดอานาปานสติ

แล้วเวลามันมีความสงบร่มเย็น เราไปออกมาทุกข์ร้อนมากับเขามากนัก ออกไปกับโลก ศึกษามา ค้นคว้ามาขนาดไหน ฌานโลกีย์ทั้งนั้นเพราะเขาปฏิญาณตนว่าเป็นศาสดา เราก็ไปรื้อค้นมากับเขา ทรมานตนขนาดไหนเพราะกิเลสอยู่กับเราๆ ก็ทรมานร่างกายนี้ แล้วจิตใจล่ะจิตใจก็เข้ามาไม่ได้เพราะมันเป็นฌานโลกีย์ฌานโลกีย์มันส่งออกหมด มันรับรู้ไปหมด ทุกอย่างมันมีความเข้าใจเรื่องโลกไปหมดเลย นี่เรื่องโลก

สิ่งที่เป็นเรื่องโลก เวลาย้อนกลับมาถึงอำนาจวาสนาเป็นโลกไหมอำนาจวาสนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมา ๔อสงไขย ๘อสงไขย ๑๖อสงไขย นี่ก็เป็นโลกทั้งนั้นน่ะเพราะมันเป็นผลของวัฏฏะๆการสร้างสมบุญญาธิการมาแต่เพราะมีคุณงามความดีไงแต่เพราะมีอำนาจวาสนาเพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดที่สวนลุมพินีวันบอกว่า “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย”

เกิดมาเดิน ๗ ก้าวเปล่งวาจาเลย“เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจะไม่เกิดอีก” จะไม่เกิดอีก แล้วทำอย่างไรถึงจะไม่เกิดอีกล่ะ ไม่เกิดอีกก็มีอำนาจวาสนามา แต่ก็ยังต้องอยู่ครองเรือนมา ถึงที่สุดแล้วอำนาจวาสนาบารมีมันเร่งเร้าขึ้นมา อยู่ไม่เป็นสุข อยู่ไม่เป็นสุขหรอก มีแต่ความเร่าร้อนทั้งนั้นน่ะไปเห็นคนเกิดคนแก่ คนเจ็บคนตาย มันสะเทือนใจ ถามมหาดเล็กว่า“เราจะเป็นอย่างนั้นไหมเราต้องเป็นอย่างนี้ด้วยหรือเราต้องเป็นอย่างนี้ด้วยหรือ”

อำนาจวาสนามันสุกงอมมา เวลาออกไปรื้อค้นด้วยความสุกงอมก็ยังทุกข์ยากทรมานขนาดนั้น ต้องทรมานแบบโลกก่อน ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้พิจารณาสิ่งนั้นมา ไม่ได้ออกไปค้นคว้ามา ก็บอก “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาธรรมะมาจากไหน เอาธรรมะมาจากไหน” เวลาไปศึกษาค้นคว้ามา ใครจะพูดสิ่งใดก็ได้ ในเมื่อโลกที่เขาประพฤติปฏิบัติอยู่ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ไปทดลองตรวจสอบมาหมดแล้ว มันไม่มีทางไปหรอก แต่ด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่สร้างสมมา นี่เหมือนกัน ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราระลึกถึงตัวเราถ้าเราระลึกถึงตัวเรา มันมีสัจจะ มีความจริงขึ้นมา มันก็จะเป็นความจริงของเรา

นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาระลึกถึงโคนต้นหว้าโคนต้นหว้าเพราะอะไรเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลานั่งที่นั่นมันฝังใจไงความสงบร่มเย็นนั้นมันฝังใจ เราไปทุกข์ร้อนมามากพอแรงแล้วเวลาย้อนกลับมา ย้อนกลับมากำหนดอานาปานสติ พอจิตสงบระงับเข้ามา นี่ความจริงอำนาจวาสนามันแสดงตัวแล้วล่ะ

บุพเพนิวาสานุสติญาณจุตูปปาตญาณอาสวักขยญาณวิชชา ๓ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระล้างกิเลสมา สิ่งนี้จะเป็นธรรม ถ้าเป็นธรรม ธรรมสัจจะความจริงดูสิ เวลาเป็นธรรมขึ้นมาแล้วมีความเมตตาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่ด้วยความลึกซึ้งด้วยธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้งลึกซึ้งจนเราจะสอนใครได้หนอ จนทอดธุระนะ ทอดธุระเพราะมันเป็นความจริงของโลกไง ความจริงของโลกว่าคนที่จะรู้จริงอย่างนี้มันเอามาจากไหน มันจะมีมาจากไหนล่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการเป็นพระโพธิสัตว์มาแล้วอำนาจวาสนาบารมีเขาจะยกย่องสรรเสริญขนาดไหน ไปอยู่กับใครก็แล้วแต่เขายกย่องสรรเสริญว่า “มีความรู้เสมอเรามีความเห็นเหมือนเรา เป็นศาสดาได้ เป็นผู้สอนได้” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่หวังเชื่อใครเลย แต่เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาจะสอนเขา แล้วเขาจะเชื่อเราได้อย่างไรอีกล่ะเพราะอะไรเพราะสิ่งนี้มันลึกซึ้ง ลึกซึ้งเพราะอะไรเพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติเป็นธรรมมา บัญญัติธรรมและวินัยมาสุตมยปัญญาจินตมยปัญญาภาวนามยปัญญา

สุตมยปัญญาคือการศึกษาเรานี่แหละเป็นสุตมยปัญญาจินตมยปัญญาถ้าการจินตนาการ ถ้าคนที่จิตใจเขาละเอียด จิตใจเขามีอำนาจวาสนา เขาจินตนาการได้เพริศแพร้วขนาดไหน แล้วภาวนามยปัญญามันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อจินตมยปัญญามันเกิดขึ้น มันขวางกั้นอยู่แล้วมันจะละเอียดลึกซึ้งเข้าไปได้อย่างไร

“จะสอนใครได้หนอสอนใครได้หนอ” แต่ก็ด้วยอำนาจวาสนาเพราะการสั่งสมมา การสั่งสมมา จะเทศน์โปรดใครก่อน จะเทศน์โปรดใครก่อนก็ไปเอาปัญจวัคคีย์ปัญจวัคคีย์ ได้อัญญาโกณฑัญญะมาองค์หนึ่ง เทศนาว่าการถึงที่สุดมีดวงตาเห็นธรรมทั้งหมดถึงเทศน์อนัตตลักขณสูตรขึ้นมาเป็นพระอรหันต์หมดเลย พอเป็นพระอรหันต์ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์มันก็สมความปรารถนา วางธรรมและวินัยนี้ไว้

ในเมื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเรา เราเองก็เหมือนกันเราก็สร้างสมบุญญาธิการของเรามา ถ้าเราไม่สร้างสมบุญญาธิการของเรามานะเราจะไปทางไหน ทางโลกทางโลกเขามีการแข่งขัน ทางโลกเขาประสบความสำเร็จกันทางโลกใครๆ ก็หาได้ แล้วทางโลก ดูสิ มือใครยาว สาวได้สาวเอา ใครมีความรู้ ใครมีความสามารถขนาดไหน แต่ใจเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม ดูสิเขาประกอบธุรกิจทางโลกกัน เขาแข่งขันกันขนาดไหน

การแข่งขันอย่างนั้นการแข่งขันเรื่องโลกๆ แล้วเราก็อยู่กับโลกมาสิ่งนี้มันเป็นสภาคกรรม ถึงคราวถึงเวลาดูสิ สมัยที่ยังไม่เป็นอุตสาหกรรมมันก็เป็นภาคเกษตรกรรมทั้งโลกนี้แหละ มันจะมีใครเหนือใคร มันก็เป็นธรรมชาติไง แต่เวลาเขามีปัญญาขึ้นมาเขาคิดค้นของเขาขึ้นมานะ นี่เป็นอุตสาหกรรมถ้าอุตสาหกรรมขึ้นมา ใครมีเทคโนโลยีต่างๆ เขาก็ได้เปรียบกว่า ในเมื่อโลกมีการแข่งขัน เขาต้องแสวงหาต้นทุนที่ต่ำ เขาก็หมุนไปตามโลกนี่แหละ โลกมันเป็นอย่างนั้นถ้าโลกเป็นอย่างนั้น เราอยู่กับโลกมา จนขนาดที่ว่าถ้าใครศึกษาธรรมมา ศาสนานี้มันมีมาก่อน ถ้าศาสนามีมาก่อน เวลาศึกษาธรรมกัน ถ้าใครมีคุณธรรมขึ้นมาก็บอกว่าในการประกอบธุรกิจต้องมีธรรมาภิบาล ธรรมาภิบาลคือความซื่อสัตย์ไงความซื่อสัตย์การเห็นอกเห็นใจต่อกันธุรกิจนี้มันก็จะยั่งยืน

สิ่งที่ยั่งยืน ทางโลกเขายังเข้าใจได้นะว่าแม้แต่มีการแข่งขันก็ต้องมีธรรมาภิบาล แต่ขณะที่ว่ากิเลสล่ะกิเลสในหัวใจของคน ถ้ามันเป็นเรื่องโลกมือใครยาวสาวได้สาวเอามันก็มีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่ง มันก็จะเอารัดเอาเปรียบมันก็จะหาแต่ผลประโยชน์ของมันในหัวใจดวงนั้น แล้วหัวใจดวงนั้นมันเป็นหัวใจของเราหรือเปล่า ถ้าเป็นหัวใจของเรา เราต้องมาคิดแล้วว่ามันเป็นธรรมไหมมันเป็นธรรมไหม เพราะถ้ามันเป็นธรรมทำสิ่งใดมา มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงถ้าเป็นสัจจะความจริง เราพูดความจริงความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ถ้าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย เราทำสิ่งใดมาเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมาแล้ว เราพูดสิ่งใดก็ได้ ถ้าพูดสิ่งใด เราก็มีความสบายใจไง มันไม่มีอะไรตกค้างในใจ

แต่ถ้าเราพูดเป็นความเท็จล่ะเป็นความเท็จเห็นไหม ความลับไม่มีในโลกไม่มีในโลกกับใจของเรานี่แหละ เพราะเราเป็นคนทำเองเราเป็นคนสร้างของเรามาเองเราก็เผาหัวใจของเราเอง ถ้าหัวใจของเราเอง เราเห็นสมบัติพัสถานอย่างนั้นมันเป็นของมีค่าใช่ไหมถ้าสิ่งนั้นมีค่าขึ้นมา เราก็เหยียบย่ำหัวใจของเรา หัวใจเราเหยียบย่ำมัน เหยียบย่ำมันด้วยกิเลสของเราเอง ถ้ากิเลสของเราเราทำร้ายหัวใจของเราเอง แล้วอย่างนี้จะบอกว่าเรารักตัวเราเองได้อย่างไร

ถ้าเราจะรักตัวเราเอง สิ่งที่ว่าใจเราเป็นธรรมๆ เวลาทางโลกเขา เขามีทาน มีศีล มีภาวนา ในเมื่อเขามีทานเพราะถ้าจิตใจมันเป็นธรรมมันก็เสียสละสิ่งนี้ได้ แต่ถ้าจิตใจที่เขาไม่เป็นธรรมมันเสียสละสิ่งนี้ไม่ได้พอมันเสียสละสิ่งนี้ไม่ได้ ยังมีทิฏฐิมานะนะว่าผู้นั้นเขาคิดกันอย่างไร เขาทำอย่างไร เขาทำของเขาได้ แต่เวลาทางโลกเขามีความชื่นชมกัน ก็สร้างภาพกันทำบุญกุศลก็สร้างภาพกัน นี่พูดถึงจิตใจที่มันไม่เป็นธรรมนะ แต่ถ้าจิตใจที่เป็นธรรมเวลาเขาทำบุญกุศลเขาแอบทำด้วย เขาไม่ให้ใครรู้ เพราะถ้ามีใครรู้มันมีแต่การกระทบกระเทือนกันไปทั้งนั้นน่ะ ถ้าจิตใจเขาเป็นธรรม

แล้วถ้าจิตใจของเราล่ะถ้าจิตใจเราเป็นธรรม เป็นธรรมเราต้องมีสติ ถ้ามีสติขึ้นมา มันระลึกรู้นะ จิตใจของคน ถ้ามันละเอียดลึกซึ้งมันจะเห็นคุณงามความดีที่ละเอียด แต่ความดีที่หยาบๆ ความดีที่หยาบๆ เขาทำของเขา ระดับของโลก โลกเขาก็ทำกันอยู่อย่างนั้นน่ะ ทำเป็นโลกอย่างนั้น แล้วคนที่มีธรรมเขายังบัญญัติขึ้นมาให้ธรรมาภิบาลๆ แล้วธรรมาภิบาล ถ้าจิตใจเราเป็นอย่างนั้น

เวลาศึกษาธรรมเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้ธรรมะเอามาเป็นธุรกิจกัน ธุรกิจธรรมๆ ถ้าธรรมธุรกิจ เขาก็ว่าเขาทำครบกระบวนการของโลกเขาเขามีการสื่อสารอย่างใดก็ใช้เพื่อประโยชน์ของเขาทั้งนั้นน่ะแต่ถ้าจิตใจที่เป็นธรรมล่ะจิตใจที่เป็นธรรม ถ้าสื่อมันเป็นธรรมนะ เราทำเพื่อประโยชน์เพราะด้วยสัจธรรม ด้วยให้มันเป็นธรรมหมายความว่าไม่มีการฉ้อฉลไม่มีการหลอกลวง ไม่มีสิ่งใดเพื่อประโยชน์ๆแต่มันก็อีกแหละ คนที่สื่อนั้นมีธรรมจริงหรือเปล่า ถ้าคนที่สื่อนั้นมีธรรมจริงความเป็นธรรมขึ้นมา ถ้าความเป็นธรรม จิตใจที่สูงกว่า เราจะโน้มน้าวจิตใจที่ต่ำกว่าให้พัฒนาขึ้นมาจิตใจที่เสมอกัน เราจะสอนกันอย่างใด ถ้าจิตใจเราเป็นโลกอยู่ โลกเขาก็รู้ทันกันได้ มันก็เป็นเรื่องโลกทั้งนั้นน่ะ แล้วสุดท้ายแล้วมันไม่ทวนกระแสกลับมาไง

ถ้ามันจะทวนกระแสกลับมา ดูสิเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราว่าเรามีความรู้ทั้งนั้นน่ะ เราก็เป็นคนคนหนึ่งนะเราก็เกิดมากับโลกนี้ ถ้าเราเกิดมากับโลกนี้เรามีอวิชชา เรามีความไม่รู้เท่าตัวเราเองทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราไม่รู้เท่าตัวเราเองถ้ากิเลสมันเป็นโลก กิเลส มือใครยาวสาวได้สาวเอา เวลากิเลสมันเกิดขึ้นมากับใจ มันปรารถนา มันต้องการสิ่งใดมันคิดว่ามันจะทำของมันได้มันทำของมันได้ มือใครยาวสาวได้สาวเอาแล้วมันสาวมาแล้วมันเป็นธรรมหรือมันเป็นโลกล่ะ มันเป็นโลก เป็นโลกก็คือกิเลสไง โลกียปัญญาโลกุตตรปัญญาแต่ถ้ามันเป็นธรรมล่ะ เป็นธรรมมันจะเกิดขึ้นมา

ดูนะ ดูพ่อแม่ของเราพ่อแม่ ใครเป็นพ่อเป็นแม่คนพ่อแม่ถ้ามีสติปัญญาจะเลี้ยงลูกมาจะเลี้ยงลูกมาอย่างใดคนที่เขามั่งมีศรีสุขนะ เขาจะเลี้ยงลูกของเขาเขาจะไม่ให้ลูกของเขาฟุ่มเฟือยจนเกินไปจนเสียนิสัยถ้าเราฟุ่มเฟือยเราให้ลูกเราด้วยความรักความผูกพันใช่ไหม เราจะให้ลูกเราอยู่สุขอยู่สบาย มีเท่าไรเราจะปรนเปรอลูกของเรา ลูกของเราจะนิสัยเสียไปเลย แต่ถ้าลูกของเราเป็นเด็กที่ดี เราจะปรนเปรอขนาดไหน เขาจะประหยัดมัธยัสถ์ของเขาเอง มันก็อยู่ที่ว่าเด็กคนนั้นมีอำนาจวาสนาขนาดไหน เด็กคนนั้นมีเชาวน์ปัญญามากน้อยขนาดไหน แต่คำว่า “เด็ก” มันไร้เดียงสา พอไร้เดียงสา ถ้าเราปรนเปรอด้วยความรัก ด้วยวัตถุสิ่งของข้าวของที่เรามี เราจะให้ลูกของเรามีความสุขสบาย มีความพอใจ เราจะเลี้ยงลูกด้วยเงินด้วยทองไหม

ในปัจจุบันนี้เขาพยายามจะบอกกันในทางวิทยาศาสตร์ในจิตวิทยา เขาจะบอกเลยว่าเลี้ยงลูกของเราอย่าเลี้ยงด้วยเงินด้วยทอง มันอันตราย มันอันตรายถ้าเด็กมันฝังใจของมัน มันทำสิ่งใดขึ้นมาแล้วมันจะมีผลต่อสังคมนะมันจะมีผลต่อสังคมทีเดียวแหละ นี่เขาจะเลี้ยงลูกของเขา

ในสังคมเรา เขายังต้องรู้จักประหยัดรู้จักมัธยัสถ์รู้จักให้ลูกของเราเห็นคุณค่าเห็นคุณค่าสิ่งที่เป็นเงินเป็นทองเห็นคุณค่าสิ่งที่เป็นข้าวของวัตถุถ้าเรามีมาก เราก็เผื่อแผ่เจือจานเพื่อนฝูงของเราถ้าขาดแคลนเราก็ดูแลเขา ให้เด็กรู้จักแบ่งปันให้เด็กรู้จักเป็นคนดีขึ้นมา โลกเขาเข้าใจได้เพราะอะไรเพราะความผูกพันว่าลูกกับเรามันสายเวรสายกรรม แต่เวลากับคนอื่นเราคิดอย่างนั้นไหม กับคนอื่นมันเป็นอย่างนั้นไหม ถ้ามันไม่เป็นเพราะอะไร เพราะว่ากิเลสมันบังตาไง กิเลสมันมีความรู้สึกได้เฉพาะว่าเป็นของเราไง ถ้าลูกของเรา ถ้ากลุ่มของเรา ถ้าเป็นคนอื่นล่ะถ้าคนอื่นนะ เราจะมีความเมตตาเขาไหมถ้ามีความเมตตา

แม้แต่การเลี้ยง การดูการแลมา ถ้าผู้ปกครองที่เป็นศีลเป็นธรรมเขาจะฝึกหัด มันต้องฝืนใจนะเราอยากให้ลูกเราได้ดิบได้ดีทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาเราจะให้เราจะดูแล เราจะตามใจเขาไปมันเสียหายถ้าขัดใจ ต้องขัดใจ ขัดใจเพื่อให้เขามีประสบการณ์ให้เขารู้ว่าอะไรควรและไม่ควรพอขัดใจ จิตใจเราเป็นอย่างไรสั่นไหวหมดเลยเพราะความรักของเรา เราก็รักเราก็อยากให้มีความสุข แต่ให้ไปแล้วมันจะมีผลกระทบอย่างใด เห็นไหม เราคิดของเราได้ถ้าใครเป็นพ่อคนแม่คน แต่เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติของเราล่ะ เราจะดูแลหัวใจของเราล่ะ มันเป็นธรรมธุรกิจหรือมันเป็นธรรมโดยสัจจะความจริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจจญาณกิจจญาณ กตญาณ ถ้าวงรอบ๑๒ นี้ยังไม่เกิดขึ้น เราจะไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์มีสัจจญาณ มีกิจจญาณ มีกตญาณ วงรอบของญาณที่เกิดขึ้น วงรอบของญาณที่เกิดขึ้นอย่างนี้ไม่ใช่ธุรกิจ อย่างนี้เป็นธรรม

ถ้าเป็นธุรกิจ ยังมีการต่อรองกันอยู่ยังมีการต่อรองมีการหมายมั่นปั้นมือว่าจะได้จะเอา จะเป็นแล้วมันจะไม่เป็นอย่างที่ตัวเองหวัง เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันออกหน้าไปก่อนฉะนั้น ถ้าธรรมะธุรกิจมันมีการคาดการหมายจิตใจของเรามันเป็นอย่างนั้นไหมมันเป็นโดยสัญชาตญาณมันเป็นไปโดยข้อเท็จจริงเลยแหละ มันเป็นของมันอย่างนั้นฉะนั้น พอมันเป็นอย่างนั้นเราถึงต้องทำความสงบของใจไงทำความสงบของใจ ถ้าใจมันลงสู่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันต่อรองกันไม่ได้มันไม่มีใครจะมาต่อรองว่ามันลงได้หรือลงไม่ได้ จะมีต้นทุนเท่าไร จะเป็นไปอย่างใด มันเป็นที่จริตนิสัยของคน มันเป็นไปที่จริตนิสัย ที่อำนาจวาสนาที่ความเพียรของเรา คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียรความเพียรความวิริยะความอุตสาหะ

เวลาเราออกมาเป็นทางธุรกิจ ในเมื่อมาตราชั่งตวงวัดมันก็ต้องเป็นแบบนั้นน่ะคนจนคนรวยซื้อของ มันก็ต้องมาตราชั่งตวงวัดตามแต่ที่เขาจะจำหน่ายของเขา ฉะนั้น เราก็คำนวณเอาว่าโดยธรรมะธุรกิจว่า ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว แล้วก็ต้องทำตามอย่างนั้น ต้องให้ได้เหมือนกันอย่างนั้น กำหนดพุทโธแล้วจะต้องได้ผลอย่างนั้น ปัญญาอบรมสมาธิแล้วจะได้ผลอย่างนั้น นี่มันเป็นโลกแล้วล่ะ เราจะทำธุรกิจกับตัวเองนะ จะได้จะเสียแล้วล่ะแล้วก็จะเสียตลอดไป จะเสียตลอดไปเพราะอะไร

จะเสียตลอดไปเพราะคนเกิดมามันมีพญามาร มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในหัวใจอยู่แล้วเพราะมันมีของมันอยู่แล้วโดยข้อเท็จจริง แต่เราไม่รู้จักตัวตนของมัน เราไม่เคยเห็นความผิดของเรา เราไม่เคยเห็นพญามาร ไม่เห็นหลานของมารลูกของมาร พ่อของมาร ปู่ของมาร เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ถ้าเราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ศึกษาธรรมมาก็ศึกษามาด้วยกิเลสด้วยตัณหาความทะยานอยาก ด้วยสัญญาอารมณ์ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราจะทำธุรกิจกัน เพราะบอกว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์มันเป็นข้อเท็จจริง

ถ้าข้อเท็จจริง ศีลสมาธิ ปัญญามรรค ๘ ก็คือดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบมันก็ต้องเป็นความชอบธรรมมัชฌิมาปฏิปทาก็พอดีตรงกลางระหว่างดีกับชั่วลงตรงกลาง ก็คาดหมายกันไปพอคาดหมายกันไป สิ่งที่มีอยู่แล้วคือมาร คือกิเลส คือตัณหาความทะยานอยาก แล้วเราก็มาศึกษากันด้วยความยึดมั่นถือมั่น ด้วยธรรมะ ด้วยโลกศึกษาธรรมะโดยโลก แล้วก็ยึดโลกไว้เป็นใหญ่ มันต้องเป็นมาตราชั่งตวงวัด ต้องเท่านั้นถึงจะเป็นขณิกสมาธิอุปจารสมาธิอัปปนาสมาธิเวลาเกิดปัญญาขึ้นมาก็เป็นปัญญาที่เราจินตนาการไปหมดเลย

ในเมื่อมีจินตนาการไปมันก็เป็นตัณหาซ้อนตัณหาตัณหาหนึ่งคือตัณหาโดยสัญชาตญาณตัณหาโดยธรรมชาติ คนเราเกิดมามีอวิชชาทั้งนั้นคนเราเกิดมามีกิเลสทั้งนั้น โดยธรรมชาติเลยว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ” กุศล อกุศล กุศลก็เป็นธรรมชาติอกุศลก็เป็นธรรมชาติ กิเลสก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง กิเลสธรรมะเป็นธรรมชาติ กิเลสก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งอยู่กับใจของเรา มันเป็นอกุศล ในเมื่อมันมีของมันอยู่แล้ว แต่เพราะเราไม่รู้จักตัวตนของมัน เราไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของมัน เราศึกษาเราได้แต่ชื่อมา เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษามา แล้วก็มาคาดกันหมายกัน แล้วเรามีปัญญา มีการศึกษาใช่ไหมเราก็มาคาดหมายกันทางวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์มันเป็นโลก มันเป็นธุรกิจนี่แหละ พอเป็นธุรกิจ ตัณหาซ้อนตัณหาเวลาปฏิบัติไปมันไม่ได้อย่างที่คิด มันเป็นจินตนาการทั้งนั้นน่ะ มันเป็นสัญญาอารมณ์ไปทั้งนั้นน่ะ ในเมื่อเป็นสัญญาอารมณ์มันมีได้มีเสีย เวลาจิตเราดี เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม นี่มีได้มีเสีย มันจะต่อรองกันแล้วล่ะ นี่ระหว่างกิเลสกับธรรมระหว่างโลกกับธรรม

ถ้าระหว่างโลกกับธรรมนะ กิเลสกับธรรมมันต่อรองกัน ถ้าต่อรองกัน ธุรกิจธรรม มันจะเกิดธุรกิจขึ้นมากลางหัวใจ ยิ่งใครมีนิสัยอย่างใด ใครมีความผูกพันอย่างไร ใครมีความยึดมั่นถือมั่นอย่างใด จะคาดหมาย จะคาดหมายตามความต้องการของกิเลสมันแล้วเวลาปฏิบัติธรรมไป ปฏิบัติธรรมมันเป็นอะไรล่ะ มันก็เป็นธรรมะคาดหมายทั้งนั้นน่ะมันเป็นการด้นเดาทั้งนั้นน่ะเป็นการด้นเดาไป ถ้าบอกด้นเดา...ไม่ได้ด้นทำจริงๆ มันก็เป็นจริงๆ ขึ้นมาจริงๆ เห็นไหม

ผู้ที่สูงกว่าจะชักนำจิตใจที่ต่ำกว่าขึ้นมาถ้าจิตใจที่ต่ำกว่า เขารู้เขาเห็นหมดแหละคนที่สูงกว่าเขารู้เขาเห็นหมดแต่เราก็ว่ามันไม่เป็นๆ ความยึดมั่นถือมั่นของเรา ทีนี้อยู่ทางโลกมันเป็นแบบนั้น ฉะนั้นคำว่า “จริตนิสัย” มันเป็นอำนาจวาสนาของคน ถ้าเราทำนะ เราศึกษาขึ้นมาโดยอำนาจวาสนามันเป็นไปได้ มันปล่อยวางได้ มันมีความร่มเย็นได้ ถ้ามีความร่มเย็นได้ เราก็คิดว่าธรรมะนี่เราทำได้ง่ายๆสิ่งที่เราทำมาเรายังเป็นไปได้เลย สิ่งที่เป็นไปได้นะ

คนเรานะเวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมทั้งหลายนี้เป็นอนัตตา คนเราถ้ามีความทุกข์นะ เวลาความทุกข์ ยึดมั่นถือมั่นกับความทุกข์นี่ทุกข์ยากแสนเข็ญ แต่ถ้ามันถึงคราวถึงเวลาของมัน มันนึกได้ มันมีปัญญาของมันได้ มันปล่อยวางได้ ถ้าปล่อยวางสิ่งนั้นได้นะความทุกข์นั้นก็เบาลง สัจธรรมมันก็เป็น เห็นไหม โดยข้อเท็จจริง โดยกิเลสมันก็มีจริงอยู่ในหัวใจของเราอยู่แล้ว โดยข้อเท็จจริง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาสภาวธรรมธรรมะเป็นธรรมชาติ มันก็แปรปรวนของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ เพียงแต่ใครมีสติ ใครมีสติก็ระลึกรู้ ใครมีปัญญาใคร่ครวญสิ่งนี้ขึ้นมาได้ ถ้าใครมีปัญญาสิ่งนี้ใคร่ครวญขึ้นมาได้ มันก็เข้าใจธรรมะขึ้นมาได้มันก็ปล่อยวางได้ของมันชั่วคราว พอปล่อยวางชั่วคราว เราก็ได้ลิ้มรสของธรรม ลิ้มรสของธรรม เราก็มีปัญญา เราก็สามารถจะทำได้ ก็มีความใฝ่อยากประพฤติปฏิบัติอยากทำความเป็นจริง พอเอาเข้าจริงๆ เข้ามาทำจริงๆ ไปไม่รอด ไปไม่รอดล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้นน่ะ เพราะมันคาดหมายของมันไปอย่างนั้นถ้ามีครูมีอาจารย์นะ ท่านจะให้ปล่อยวางให้หมด วางสิ่งนี้ไว้

เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่นเวลาหลวงปู่มั่นท่านเล็งญาณไปแล้วแหละว่าผู้ใดจะได้ส่งเสริมไป เพราะจิตนี้เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ สิ่งที่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ เวียนตายเวียนเกิดมันก็ได้สร้างสมบุญญาธิการมาใช่ไหม คนทำดีมาก็มี คนทำชั่วมาก็มี จิตใจที่มันทำดีทำชั่วมาในดวงเดียวกันก็มี ทำมากทำน้อย สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านมีอำนาจวาสนา ท่านรู้ของท่าน ท่านรอเวลาของท่าน

เวลาหลวงตาท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านศึกษา ท่านปฏิญาณตนของท่านว่าท่านเรียนถึงมหาแล้วท่านจะออกประพฤติปฏิบัติหลวงปู่มั่นท่านก็รอเวลาของท่าน เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น พอเจอกันครั้งแรกเวลาฟังธรรมครั้งแรก

“มหามหาก็เรียนมาจนถึงเป็นมหาสิ่งที่ท่านเรียนมา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เทิดไว้บนศีรษะ”

คำว่า“เทิดทูน” เทิดทูน ไม่ใช่ว่าปริยัติเราศึกษามาแล้ว สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องๆ เวลาศึกษามาก็ศึกษามา โลกที่เขาศึกษากันโดยทางโลกบอกว่าโลกนี้จะเจริญด้วยปัญญาๆ ต้องมีการศึกษา...ใช่โลกนี้เจริญด้วยปัญญา นี้มันเป็นปัญญาของโลก เพื่อให้คนไม่โดนหลอกเพื่อให้คนมีสติปัญญา เพื่อให้คนมีวิชาชีพ เพื่อให้คนอยู่กับโลก พัฒนาโลกขึ้นมาให้ทุกคนมั่งมีศรีสุข นั้นมันเป็นปัญญาทางโลก

สิ่งที่ว่าโลกนี้เจริญด้วยปัญญาๆ คนเราต้องมีปัญญาต้องมีการศึกษามันจะพัฒนาประเทศได้ก็ด้วยปัญญาปัญญาทางโลกมันก็พัฒนาได้เวลามันพัฒนาแล้ว เวลาพัฒนาไปแล้วเป็นอย่างไรล่ะพัฒนาไปแล้วก็มือใครยาวสาวได้สาวเอา ใครพัฒนา ประเทศชาติได้อะไรแล้วฉันจะได้อะไร ถ้าไม่ได้อะไร ประเทศชาติก็ต้องไม่ได้ด้วย วุ่นวายไปหมด เห็นไหม นี่เรื่องโลกๆ

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าศึกษามาแล้ว ถ้าศึกษามาโดยโลก ให้วางไว้ก่อนปริยัติ ถ้าปริยัติ

“มหาเรียนมา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทิดใส่ศีรษะไว้ เราเทิดทูนๆ นี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามามีปัญญามากแล้วใส่ลิ้นชักไว้นะ ใส่ลิ้นชักไว้แล้วลั่นกุญแจไว้อย่าให้มันออกมา ให้ประพฤติปฏิบัติไปก่อน ให้ประพฤติปฏิบัติไป ถ้าประพฤติปฏิบัติจนมันเกิดสัจจะความจริง” ข้อเท็จจริงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาจากใจของเรา สติก็เป็นสติจริงๆสมาธิก็เป็นสมาธิจริงๆเวลาเกิดปัญญาศีล สมาธิปัญญาที่มันเกิดกระบวนการของมันครบถ้วนของมันแล้วถ้ามันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันเคลื่อนออกไปธรรมจักร จักรที่มันเคลื่อนแล้วมันได้หมุนแล้วมันจะให้ผลกับจิตอย่างใด แล้วถ้าเราทำขึ้นมาเป็นข้อเท็จจริงมันจะซาบซึ้งธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไปแล้ว วางธรรมและวินัยนี้ไว้ให้เราก้าวเดินกันมา ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็หัวหกก้นขวิดพยายามศึกษากันไป ค้นคว้ากันไปด้วยปัญญาของสาวกะสาวกที่ได้ยินได้ฟัง ค้นคว้ากันไป

ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ให้เราศึกษาเป็นปริยัติ แต่เราอย่าไพล่ไปสิอย่าไปทำธุรกิจ อย่าไปมีได้มีเสียกับธรรมอันนั้นเพราะเราเป็นธุรกิจ เราพอใจก็ว่ามันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่พอใจก็บอกว่าไม่ใช่ อะไรที่มันขัดอกขัดใจ มันขัดอกขัดใจก็มันขัดกิเลสไงกิเลสในหัวใจของเรามันก็อยากจะให้มีคนเยินยอมันอยากให้คนเชิดชูมัน แต่ธรรมที่จะเกิดขึ้นมาในหัวใจมันไม่เห็นเกิดขึ้นมาเลยเพราะธรรมเกิดขึ้นมาแล้วมันจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข

สิ่งที่เป็นกิเลสขึ้นมามันมีแต่เผาลนใจแล้วเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ถ้าถูกใจก็บอกว่าอันนั้นเป็นธรรม ถ้าเวลาศึกษามาไม่ถูกใจก็บอกอันนั้นไม่เป็นธรรม วางไว้ก่อน อย่าเพิ่งว่าเป็นธรรมและไม่เป็นธรรมแล้วเราก็ประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาตามความเป็นจริง ถ้าเป็นสติก็สติจริงๆ สมาธิก็สมาธิจริงๆ

ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมาพอเกิดปัญญาขึ้นมา ถ้าปัญญามันได้ก้าวเดินออกไปแล้ว พอก้าวเดินไปแล้วถ้ามันจบกระบวนการครบวงจรแล้วไปศึกษาธรรมสิ่งที่เราศึกษามานี้ศึกษาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา มันซาบซึ้งๆ แล้วมันก็เห็นโทษด้วยเห็นโทษว่า ถ้าการศึกษาอย่างเดียว เราศึกษาอย่างเดียวศึกษามาเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราก็สงสัยมาตลอดนะ เราก็สงสัยมาตลอดว่ามันจะเป็นจริงได้หรือเปล่า ศึกษามาก็เชื่อ เพราะถ้าจิตใจมันเป็นธรรมมันก็เชื่อแต่เวลากิเลสมันฟูขึ้นมา มันก็น่าสงสัย ในเมื่อกิเลสมันสงสัย ถ้ากิเลสสงสัย มันก็สงสัย เพราะมันสงสัยขึ้นมา มันก็จะทำธุรกิจในใจเราแล้วล่ะยิ่งจริตนิสัยที่มันเคยมักง่ายที่มันเคยเอาแต่ได้ มันสวมรอยเลย

ฉะนั้นเวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เราต้องตั้งสติของเรา เรากำหนดพุทโธๆหรือปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา ในเมื่อเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา มันจะแว็บมาตลอดแหละ ไอ้นั่นเป็นธรรมไหม ไอ้นี่เป็นธรรมไหมสิ่งใดเป็นธรรมไหม มันจะแว็บมาตลอด เพราะอะไร เพราะพญามาร พญามารนะ มันสิงสถิตอยู่บนหัวใจของสัตว์โลก ตั้งแต่พรหมลงมามารทั้งนั้น มารคือความเห็นแก่ตัว มารคืออัตตา มารคือทิฏฐิมานะ สิ่งนั้นมันเป็นหมดแหละ ถ้ามันเป็นหมด

เวลาเราพุทโธของเราเราตั้งสติของเราขึ้นมา เวลาจิตใจที่มันไปยึดมั่นถือมั่น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนไว้นะ“รูปอันวิจิตรเสียงอันวิจิตรกลิ่นอันวิจิตรรูป รส กลิ่นเสียงอันวิจิตรขันธ์ทั้ง ๕ สิ่งต่างๆ อันวิจิตรไม่ใช่กิเลสไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ตัวตนของเรา สิ่งที่เป็นตัวตนของเราคือตัณหาความทะยานอยากที่เราไปยึดมั่นถือมั่นมันต่างหากล่ะ”

แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากไปยึดมั่นมันอยู่ที่ไหนล่ะถ้ามันอยู่ที่ไหนเราถึงต้องตั้งสติของเรา ถ้าเราทำพุทโธๆหรือปัญญาอบรมสมาธิ มันจะแว็บขนาดไหน มันจะออกไปรับรู้ขนาดไหน รับรู้มาแล้วได้สิ่งใด ก่อนที่จะประพฤติปฏิบัติ เราก็คิดมาพอแรงแล้วแหละ คิดมาจนทุกข์ยาก จนเราไม่มีทางไป เราถึงจะออกมาประพฤติปฏิบัติกัน แล้วออกมาประพฤติปฏิบัติเราพยายามจะควบคุมใจเราสิ่งที่มันเคยใจอยู่นี่ สิ่งที่มันเป็นสัญชาตญาณอย่างนี้ เราก็ยังจะเชื่อมันอยู่หรือ ถ้าเราไม่เชื่อมัน เราต้องบังคับ ต้องบังคับ บังคับด้วยสติ ถ้ามีสติบังคับได้ บังคับให้ใจมันไม่ไปหยิบฟืนหยิบไฟไม่ให้ใจมันไปจับต้อง ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่มันเป็นฟืนเป็นไฟที่เคยเผาลนใจมาแล้วเวลากำหนดพุทโธๆ มันก็ไม่ต้องการเพราะมันเคยตัวอย่างนั้นมันบอก “จืดชืดไม่มีประโยชน์สิ่งใด ไม่มีประโยชน์สิ่งใด”

ในทางการแพทย์นะ เขาบอกว่าการรักษาสุขภาพนี้สำคัญที่สุด ถ้าใครรักษาสุขภาพเราออกกำลังกาย โรคภัยไข้เจ็บมันจะเกิดกับเราแต่น้อยแต่ตามธรรมชาติ โรคชรามันจะมีกับเราแน่นอนข้างหน้า ฉะนั้น สิ่งที่เราออกกำลังกาย โรคภัยไข้เจ็บมันจะน้อย นี่ก็เหมือนกันขณะพุทโธๆ จิตมันได้กำหนดพุทโธ มันมีคำบริกรรมของมันมันจะฟื้นฟูตัวของมัน แต่บอกว่าเป็นของเล็กน้อย มันไม่ยอมทำทั้งนั้นน่ะ มันไม่ต้องการทำสิ่งใดเลย มันจะประกอบธุรกิจขึ้นมา มันจะเอามรรคเอาผลโดยการคาดการหมายของมัน แต่เวลาความจริงขึ้นมาตัวเองไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของตนเลย

ถ้าจะเป็นสมบัติของตนเราต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามาทั้งนั้นน่ะ ปล่อยวางสิ่งต่างๆเข้ามาเป็นตัวของมันเอง ถ้าเป็นตัวของมันนี่จิตจริงแล้ว จิตที่เป็นสัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่นจิตมันเป็นของจริง จิตเป็นของจริง มันก็มีความสงบ มีความร่มเย็น มีความร่มเย็นเพราะมันเป็นข้อเท็จจริงที่มันปล่อยวางฟืนวางไฟเข้ามา สัญญาอารมณ์ ขันธ์ต่างๆ ความรู้สึกนึกคิด โดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันใช้

กิเลสตัณหาความทะยานอยากความคิดของเรา ขันธ์ ๕ วิถีแห่งจิต ขันธ์ ๕คือความรู้สึกนึกคิดที่เวลามันคิดออกไป นี่ขันธ์ สัญญาอารมณ์เกิดขึ้นเกิดจากอะไรเกิดจากจิต พอเกิดจากจิต จิตมันคืออะไร จิตคือภวาสวะ คือภพ มันก็มีพญามารอยู่ด้วยฉะนั้น เวลาขันธ์มันทำงาน มารมันก็ทำงานมาพร้อมกับขันธ์นั้นน่ะ

“มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกเลย”

เราดำริมีเจตนา มารมันมาทั้งนั้นน่ะฉะนั้น เวลาความรู้สึกนึกคิดที่เราคิดโดยสัจจะ โดยสัญชาตญาณของเรา กิเลสมันก็อนุสัย มันนอนเนื่องมาหมดแหละฉะนั้น เราศึกษาสิ่งใด เราคิดสิ่งใด มันมีมารปนมาหมดเลย มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากปนมาหมดน่ะ กำหนดพุทโธๆ พุทโธกิเลสมันก็ไม่ชอบ ปัญญาอบรมสมาธิเวลาเราตั้งสติเรามีความรู้สึกนึกคิดอะไรสิ่งใดขึ้นมา มันจับความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้คิดโดยมาร มันมีมารปนมาไหมคิดออกมาแล้วมันมีสิ่งใด ถ้าคิดแต่เรื่องดีๆคิดเรื่องธรรมะตรึกในธรรมะตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมไม่ตรึก

เห็นไหมสัจธรรมที่เกิดขึ้น น้ำขึ้นน้ำลงมันเป็นข้อเท็จจริงทางโลก สิ่งต่างๆ นี้มันเป็นข้อเท็จจริงทั้งนั้นน่ะ ทำไมเราไปดีใจเสียใจกับมัน สิ่งที่เวลาเกิดขึ้นมาเกิดประโยชน์ขึ้นมา เราก็พอใจ สิ่งใดที่เขาขัดแย้งกับเรา ทำไมเราไม่พอใจ มันเป็นเรื่องสัจจะเป็นความจริงอยู่แล้ว แต่ทำไมเราไปมีอารมณ์ร่วมไปกับเขาล่ะนี่สติปัญญามันตามสิ่งนี้ไปเพราะมารมันใช้อารมณ์ของเราไง มารมันก็ใช้ความรู้สึกนึกคิดของเราไปสร้างผลประโยชน์กับมัน ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมาสิ่งนี้มารมันก็อาย มารมันอายนะ กิเลสมันอายถ้าเรารู้ทันตัวเราเองนี่กิเลสมันอาย

พุทโธก็เหมือนกัน พุทโธๆ พุทธานุสติ พุทโธๆ เห็นไหม พุทโธสว่างไสว พุทโธผ่องใส พุทโธคือพุทธะ คือผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วมันเบิกบานไหม เวลาพุทโธมันเบิกบานไหม มันง่วงเหงาหาวนอน มันคอตก ทำไมมันไม่เบิกบานล่ะ พุทโธแล้วทำไมมันไม่มีความสุขล่ะ เขาบอกพุทโธ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี พุทธานุสติมันเป็นของประเสริฐ เห็นไหม เวลาคนตกใจก็พุทโธเวลาคนมีสิ่งใดเขาให้พุทโธ ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า เราจะไม่ตกไปในที่ต่ำ แล้วเวลาพุทโธทำไมมันไม่ทำล่ะ เวลาพุทโธแล้วทำไมมันทุกข์ล่ะ

พุทโธมันทุกข์เพราะกิเลสมันไม่เอาไง กิเลสมันขี้เกียจไง แล้วเวลาพุทโธไป พุทโธๆๆ เขาบอกพุทโธมันละเอียดขึ้นมากิเลสมันก็หลอกนะ พุทโธๆๆ จนหายไปเลย แล้วหายไปแล้วนะ พอหายไปแล้วกลับมานะ “แหม! มันว่างไปหมดเลย”...นั่งหลับยังไม่รู้ว่าหลับนะ ตกภวังค์ไปแล้วยังไม่รู้เลย

ถ้ามันเป็นความจริงตามข้อเท็จจริงมันเป็นสัจธรรมมันเป็นเนื้อหาสาระ มันไม่ใช่ธุรกิจต่อรองกันถ้าเป็นธุรกิจมันต่อรอง มันคาดมันหมาย จะเอาแต่ได้ สิ่งที่ตัวเองคิด ตัวเองเห็นว่าถูกต้องอันนั้นเป็นธรรมสิ่งที่ตัวเองขัดข้องหมองใจสิ่งใดที่ไม่สมประโยชน์ สิ่งนั้นไม่เป็นธรรมทั้งๆ ที่มันเป็นธรรมทั้งนั้น กุศลและอกุศลอกุศลคือฝ่ายผิด ธรรมะฝ่ายดำ แล้วฝ่ายขาวล่ะ ฝ่ายความถูกต้องล่ะ

ฉะนั้นในใจเรามันมีทั้งกิเลสใช่ไหมแล้วเราคิดดีทำดี มันก็มีธรรมขึ้นมาใช่ไหมเรามีสติปัญญาขึ้นมามันก็ถูกต้องดีงามใช่ไหม แต่เวลาเราพลั้งเผลอไปนั่นล่ะกิเลสมันขี่หัวแล้วล่ะ เราต้องสร้างสมของเราขึ้นมาถ้าเราพุทโธๆจนจิตมันสงบขึ้นมา ถ้าพุทโธได้ จิตสงบได้ถ้าพุทโธไม่ได้เราก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เราขยันเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

งานทางโลก จะประกอบสัมมาอาชีวะ จะการดำรงชีวิต ทุกคนก็ทำเหมือนกัน แล้วมันไม่มีสิ้นสุดหรอก มันไม่สิ้นสุด ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วพลัดพรากไปแล้วมันไม่สุดมันยังเวียนตายเวียนเกิดชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วมันก็เวียนตายเวียนเกิดไปต่อเนื่องแต่การประพฤติปฏิบัติธรรมมันตัดภพตัดชาติ มันเห็นคุณค่าของการตายและการเกิด ถ้ายังเกิดอีกก็ยังเกิดแบบมีบุญมีกุศล เกิดมาแล้วให้มีสติมีปัญญา ให้หันมาฝึกฝน ให้หันมาทำตั้งแต่ร่างกายเรายังเข้มแข็งอยู่

เราคาดเราหมายอย่างนี้ไป เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ๔อสงไขย ๘อสงไขย ๑๖อสงไขย ท่านก็สร้างสมของท่านมา เราในปัจจุบันนี้เราเป็นสาวกสาวกะ เราเป็นบริษัท ๔ เราได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมีสติมีปัญญาจะรื้อค้นเห็นไหม เขาทำนากัน เขาทำนาเพื่อเอาข้าวมาใส่หม้อ เพื่อเป็นอาหารของร่างกายนี้ เราพยายามจะรื้อค้นใจของเราเราจะทำมรรคทำผลให้เกิดขึ้นท่ามกลางหัวใจของเรา ในเมื่อเราเกิดมาเรามีปากมีท้อง เราต้องมีหน้าที่การงาน เราก็ต้องทำหน้าที่การงานเพื่อหาข้าวหาอาหารมาเพื่อให้ปากให้ท้องเราได้มีชีวิตอยู่แล้วเราก็มีสติปัญญา เพราะเวลาเรามี เราก็พยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นความจริงของเรา เขาทำนาเขาก็ต้องหมั่นคราดหมั่นไถทำนาของเขาเพื่อให้สมประโยชน์กับเขา ได้ประโยชน์กับเขา ได้สิ่งต่างๆ ที่เขาปรารถนา

เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็ต้องมีสติปัญญาหมั่นคราดหมั่นไถ หมั่นรักษาใจของเรา เราจะเอาศีล เอาสมาธิ เอาปัญญา ถ้าปัญญาเกิดขึ้นมาแล้วไม่ต่อรอง ไม่ต่อรองเพราะการต่อรองหัวใจนั้นมันจะเข้าข่ายธรรมธุรกิจ ถ้าธรรมธุรกิจ ธรรมะแล้วเอาธุรกิจมาต่อรอง เราเห็นโลกที่เขาทำกัน ถ้าเป็นศาสนา เขามีแต่การให้กัน เขามีแต่การให้อภัยต่อกัน เจือจานต่อกัน ดูแลรักษากัน มีน้ำใจต่อกัน นี้เป็นธรรม แต่ถ้าเขาทำเป็นธุรกิจของเขามันมีการแลกเปลี่ยน มีการซื้อขาย มีการต่างๆ สิ่งนั้นเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม นั่นเรื่องของเขาเรื่องโลกเราเห็นแล้วเรายังไม่พอใจ เรายังไม่ชอบใจเลยแล้วเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะให้กิเลสกับธรรมในหัวใจของเรามาต่อรองทำธุรกิจท่ามกลางในการประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราขาดสติขนาดนั้นเชียวหรือ

ถ้าเราไม่ขาดสติขนาดนั้น เราตั้งสติของเรา แล้วเราไม่ต่อรองกับใคร ถ้ามันต่อรอง มันเข้าไปเลยนะ นันทิราคะ ตัณหาภวตัณหาวิภวตัณหา มันจะเกิดขึ้นมาในใจของเรา ถ้าพอใจ มันก็อยากได้ มันก็ไม่ได้ดั่งใจมันไม่พอใจจะขับไสอย่างไร มันก็ไม่ได้ดั่งใจเราถึงมันจะอยู่เฉยๆ อย่างไรมันก็ไม่ได้พอใจเราทั้งนั้นไม่มีอะไรพอใจเราหรอก เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจังไม่มีสิ่งใดคงที่หรอก

ทีนี้ไม่มีสิ่งใดคงที่ จิตเราดี จิตเรามีฐาน มีที่พึ่ง มีต่างๆ เราก็ตั้งสติของเราไว้ชำนาญในวสีถ้าชำนาญในวสี หมั่นเข้าชำนาญในวสีคือทำความสงบเข้ามา ดูแลรักษาใจของเราเข้ามา ถ้าเราไม่ดูแลรักษาใจเข้ามา ธรรมะมันจะเกิดที่ไหน

ถ้าธรรมะไปเกิดอยู่ข้างนอกธรรมะที่เราตะครุบกันอยู่นี้มันไม่ใช่เป็นความจริงของเรา ถ้าธรรมะจะเกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่บนกองทุกข์ในหัวใจ เวลาครูบาอาจารย์ของเรานั่งสมาธิภาวนาไปเวลาใช้ปัญญาไป ท่านบอกว่าถึงเวลากิเลสกับธรรมมันต่อสู้กันในหัวใจ กิเลสกับธรรมมันต่อสู้ในกาย ในเวทนา ในจิตในธรรมที่พิสูจน์ตรวจสอบกันร่างกายนี้เหมือนแทบแตกสลายออกจากกันเลย แตกสลายเพราะอะไร เพราะเวลามันต่อสู้กับเวทนา มันต่อสู้กับสิ่งที่มารมันเอามาประหัตประหารกันกับความเพียรของเรา

ถ้าความเพียรของเราความเพียรแก่กล้าขนาดไหนความเพียรแก่กล้า เราทำถึงที่สุด ถ้าทำถึงที่สุด เราไม่ต่อรองอะไรทั้งสิ้นแต่เราอยากดูอยากดู อยากเห็น อยากเห็นข้อเท็จจริงว่ากิเลสมันจะปลิ้นปล้อนขนาดไหน มันจะเอาสิ่งใดมาหลอกลวงเราแล้วเราก็มีสัจจะมีความจริง จักขุญาณถ้ามันเกิด มันเกิดจากไหน มันเกิดจากสัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ มันจะเกิดขึ้นมาไหม

เขาบอกว่า ตานอก ตาเนื้อ เห็นด้วยตาสว่างๆ แล้วจักขุญาณมันอยู่ไหนจักขุญาณน่ะ ถ้าจักขุญาณมันเปิดออกมา นั่นเป็นสัมมาสมาธิจิตมันสงบระงับขึ้นมา ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรมตามความเป็นจริงเดินจงกรมอยู่มันก็เห็นแจ้งๆ นี่แหละ นั่งสมาธิอยู่นี่ หลับตาอยู่มันก็เห็นแจ้งๆอยู่นี่แหละ เห็นแจ้งๆ เพราะอะไร เพราะจิตมันเห็น จิตมันรู้

จิตมันทุกข์อยู่นี่ เวลาจิตมันเกิด เวลาปฏิสนธิจิตเวียนตายเวียนเกิดเราไม่รู้ว่ามันเกิดอย่างไร แต่ขณะที่มาฝึกหัดขึ้นมา ถ้าสมาธิเกิด มีสติ มีสมาธิ มีปัญญาเกิด เราก็รู้เห็นของเรา มันเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันเพราะอะไร เราระลึกรู้อยู่ เราไม่ทำธุรกิจ เราไม่ให้กิเลสมาล่อมาหลอกหัวใจของเรา ถ้ากิเลสมาล่อมาหลอกหัวใจของเราเวลาปฏิบัติไปล้มลุกคลุกคลาน ต่อรองแล้วต่อรองอีกอ้อนวอนขอเอาที่มันเป็นไปไม่ได้

ตั้งสัจจะคนมีสัจจะนะตั้งสิ่งใดแล้วพยายามทำตามนั้น ถ้าคนมีสัจจะมันจะประสบความสำเร็จ คือมันจะสงบระงับก็ได้ ไม่สงบระงับก็ได้ แต่มีสัจจะทำให้ถึงที่สุด ทำให้ตามที่ตั้งสัจจะไว้ ทำอยู่อย่างนี้ ถ้าทำอยู่อย่างนี้ ตั้งสัจจะวันนี้ได้ก็ไม่เป็นไร วันนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแต่ตั้งสัจจะของเรา ทำต่อเนื่องของเราไป ต่อเนื่องของเราไป

เห็นไหมผู้ที่มีสติปัญญาประพฤติปฏิบัติโดยความชอบธรรม ๗ วัน ๗เดือน ๗ ปีนะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าการประพฤติปฏิบัติ๗ วัน ๗ เดือน ๗ปี แต่เวลาเราปฏิบัติกัน เราก็ตั้งกติกาของเราแล้วเราทำได้จริงไหม เราตั้งไว้ ๗ ปี ๗ ปีแล้วเราพยายามค้นคว้าพยายามประพฤติปฏิบัติไป แล้ว ๗ ปีทนไหวไหมล่ะ อย่าว่า ๗ ปีเลย ๗นาทีมันก็ไม่เอาแล้ว ถ้าไม่เอา นี่จิตใจอ่อนแอ

แต่ถ้าจิตใจเราเข้มแข็งนะ งานทางโลก ใครๆ ก็ทำมาเยอะนะ เวลาเหนื่อยก็พัก ถึงเวลาเราก็ทำของเราอีก ทำของเราไป ถ้ามีอำนาจวาสนาเราทำของเรานะจะมีคนมาช่วยเหลือเจือจานเราถ้าเรามีความวิริยะ ความอุตสาหะ ถ้าเราขี้เกียจ เราทำของเราไปแล้วเราก็ตีโพยตีพายไปว่าเราก็ทำเหมือนเขาทำไมเราทุกข์เรายากล่ะ เราตีโพยตีพายไปมันก็มีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจเราเท่านั้นแหละ

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราทำของเราโดยข้อเท็จจริง เวลางานของเรานะเราไม่ต้องหวังพึ่งใครเลย โลกเวลาเขาทำสิ่งใดเขาต้องหวังพึ่งพาอาศัยกันเวลาเราปฏิบัตินะ เราคนเดียวเรากำหนดเวลากำหนดพุทโธๆ โลกนี้เหมือนไม่มี มีเรากับพุทโธเท่านั้น ถ้ามีเรากับพุทโธเท่านั้น แล้วตั้งใจ

แต่เวลามีเรากับพุทโธเท่านั้น จิตใจมันก็วอกแวก ถ้าผู้ที่ปฏิบัติใหม่ทำสิ่งใดล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้นน่ะ เพราะสิ่งที่ไม่เคยทำ ถ้าสิ่งที่ไม่เคยทำนะ เราก็ลองผิดลองถูก ลองผิดลองถูกขึ้นมาผิด เราก็วางไว้หาทางออกให้ได้ๆ การปฏิบัติเริ่มต้นมันล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้นน่ะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี ๖ ปีนะลองผิดลองถูกกับคนที่ไม่รู้ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็มาตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ตรัสรู้ด้วยอำนาจวาสนา ตรัสรู้ด้วยสัจจะ ทุกข์เหตุให้เกิดทุกข์ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ กิจจญาณ มันมีมรรคญาณ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา กำหนดชำแรกเข้าไปในทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์

เวลากตญาณ การรู้ไง มีกิจจญาณทำให้รู้แจ้ง พอมีกตญาณ ความรู้ รู้ในทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ วิธีการดับทุกข์ และมรรค นี่เวียนไปรู้จริงตามความเป็นจริงขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้น สิ่งที่กระทำมันทำจากภายใน ถ้าทำจากภายใน

เวลาพูดถึงธรรมะนะ ก็พูดบุคลาธิษฐานธรรมาธิษฐานจากสิ่งที่เป็นวัตถุที่เราเห็นได้ แล้วเทียบเคียงเข้ามาในหัวใจ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดชี้เข้ามาสู่ใจของเราถ้าชี้เข้ามาสู่ใจของเรานะ เราก็ตั้งสติขึ้นมา พอตั้งสติขึ้นมา มันก็เป็นสมมุติเวลานึกถึงพุทโธ มันก็เป็นสมมุติทั้งนั้นน่ะสิ่งที่เกิดขึ้นระลึกรู้ ทำให้รู้มันก็เป็นเรื่องโลกทั้งนั้นน่ะแต่ถ้ามันสงบเข้ามา เรารู้เราเห็นน่ะ เวลามันสงบนะ สงบมันร่มเย็นเข้ามาร่มเย็นแล้วรำพึง ถ้าทำความสงบมากเข้าๆ แม้แต่ทำความสงบคราวนี้ทำได้คราวหน้าทำไม่ได้ ก็เดือดร้อนแล้วล่ะ แต่ถ้าเดือดร้อนนะ เราก็ทำของเราไป

ถึงที่สุดถ้ามันชำนาญขึ้นๆ ชำนาญขึ้นทุกคนจะภูมิใจทุกคนจะดีใจดีใจเพราะอะไรเพราะเรามีอริยทรัพย์ เพราะเราได้ทรัพย์ เราได้เห็นใจของเราที่เราเกิดมาปฏิสนธิจิตที่เวียนตายเวียนเกิด เราไม่เคยรู้เคยเห็นเลย เราชำระล้างกิเลสเราก็ไม่เคยเห็นหน้ากิเลสเลยเขาว่ากิเลสๆ มีแต่ชื่อ แล้วตัวตนของเราความรู้สึกนึกคิดของเราสิ่งที่เราจะจับมาพิจารณาเหมือนไปหาหมอว่า หมอ นี่เป็นโรคอะไรให้หมอตรวจถ้าหมอเขาตรวจ เขาเป็นโรคสิ่งใด เราก็ว่าเราเป็นโรคสิ่งนั้น

นี่ก็เหมือนกันจิตใจมันจะตรวจตัวมันเองถ้ามันมีสติ มีสมาธิ มันจะตรวจหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรามันเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างใด ถ้าเราเห็นกาย เห็นเวทนาเห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นกายเห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมเพราะความรู้ความเห็น สติปัฏฐาน ๔ มันเกิดตรงนี้ ถ้าจิตมันไม่เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรม มันเป็นเรื่องสัญญาอารมณ์ ถ้าสัญญาอารมณ์มันก็เป็นสมบัตินอก มันก็ตะครุบเงา แล้วมันก็คิดว่านี่การศึกษา การศึกษามันจะทำธุรกิจแล้วนะธรรมะธุรกิจแล้วล่ะ เรารู้เราเห็นน่ะ มันมีพระไตรปิฎก มันมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องยืนยันว่ามันเป็นความจริงๆ

สาธุ! มันก็เป็นความจริงจริงๆ มันเป็นทฤษฎีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ มันถูกต้องทั้งนั้นน่ะ แต่มันชี้เข้ามาสู่ใจ ชี้เข้ามาสู่ใจ เราเป็นสัญญาอารมณ์เรามีการคาดหมาย เราก็พยายามจะเอาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นการยืนยัน มาการันตีว่าสิ่งนั้นถูกต้องๆ นี่มันทำธุรกิจกัน แล้วพอทำธุรกิจกันแล้วในเมื่อเราเป็นฝ่ายที่จะต้องเสียผลประโยชน์ตลอดเวลา มันจะได้สิ่งใดมาล่ะ มันเสียผลประโยชน์ให้ใครล่ะ ก็เสียผลประโยชน์ให้กิเลสเราไงกิเลสมันก็อ้างอิงไปอย่างนั้นตลอดเวลา

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามาถ้าใจสงบระงับเข้ามาแล้ว ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรมตามความเป็นจริงมันไม่ใช่พระไตรปิฎกแล้วนะพระไตรปิฎกธรรมวินัยชี้เข้ามา ทวนกระแสเข้ามาสู่ใจ แล้วพอใจมันจับต้องได้ มันจับต้องได้ อืม! ในพระไตรปิฎกสติปัฏฐาน ๔กาย เวทนา จิตธรรมว่าไว้อย่างนั้น แต่เวลาเรารู้เราเห็นจริงขึ้นมา อื้อหือ! ทำไมมันสั่นไหวไปถึงขั้วหัวใจเลยทำไมมันสะเทือนกิเลสขนาดนี้ ทำไมมันมีรสชาติขนาดนี้

เวลาศึกษามา ศึกษามาก็ซาบซึ้งๆซาบซึ้งๆ ทางโลกนั่นล่ะ เวลาจิตมันสงบเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี มันก็มีความสุขความสงบอยู่ มีความสุขมีความสงบเราก็พยายามรักษาของเราตั้งสติของเราพอตั้งสติแล้วนะ ถ้ามีครูบาอาจารย์นะเดี๋ยวเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เจริญแล้วเสื่อม ทำไมถึงเสื่อมล่ะ เสื่อมเพราะการบำรุงรักษาเราไม่ดีเราประมาทเลินเล่อ เราทำสิ่งใดก็มั่นอกมั่นใจว่าเราเคยทำได้ นี่มันจะประกอบธุรกิจแล้ว มันบอกว่ามันเคยทำได้ของเราเคยเป็นของเราเคยมีทำไมจะทำไม่ได้...ไปทำอีกทีหนึ่งไม่ได้แล้วไม่ได้แล้ว ไม่ได้เพราะอะไรล่ะไม่ได้เพราะธาตุขันธ์ เวลาธาตุขันธ์มันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว กาลสถานที่มันก็เปลี่ยนไปแล้วทำอย่างไรล่ะ ล้มลุกคลุกคลานเลย

ถ้าล้มลุกคลุกคลาน มันก็ต้องอดนอนผ่อนอาหารแล้วจะต้องต่อสู้กันแล้ว กิเลส ในเมื่อเอาสัญญาอารมณ์ เอาสิ่งที่มีอำนาจเหนือกว่ามาฟาดฟันธรรมะของเราสิ่งที่เราทำมาแล้วล้มลุกคลุกคลาน เราก็ต้องหาทางพลิกแพลงแล้วถ้าหาทางพลิกแพลงนะ สิ่งที่มีกำลัง กิเลสคืออะไร กิเลสคือนามธรรม แล้วมันอาศัยอะไรอาศัยธาตุ ๔และขันธ์ ๕ ออกมาพลิกแพลงกับเรา เราก็ต้องอดนอนผ่อนอาหารให้สิ่งที่กิเลสมันใช้อ่อนตัวลง ให้มันเบาบางลง พอมันเบาลง พอเราหิว กิเลสมันก็หิวด้วย เราเหนื่อย กิเลสมันก็เหนื่อยด้วยเรากำหนดพุทโธๆ กิเลสมันก็เพลียด้วย พอกิเลสเพลียด้วยพอกิเลสมันเพลีย มันหนีหน้า มันก็ลงสงบอีกทีหนึ่งพอสงบ เออ! มันก็ทำได้ พอทำได้

คนทำล้มลุกคลุกคลานแล้วเวลาจะฟื้นฟูใจของเรามันต้องมีสติมีปัญญารักษา พอมีสติมีปัญญารักษาขึ้นมา พอจะทำ ชำนาญในวสี ถ้าทำบ่อยครั้งเข้ากิเลสมันจะมีลูกเล่นใหม่ๆ มาตลอด ไอ้นักธุรกิจพญามารมันมีชั้นเชิงของมันเยอะแยะเพราะมันอาศัยหัวใจนี้อยู่กับเราตลอดมามันมีเล่ห์เหลี่ยมของมัน มันพลิกแพลงของมันตลอดเวลา ถ้าเราชำนาญในวสี เราก็ต้องมีปัญญาของเราปัญญาของเราหลบหลีกปัญญาของเราพยายามทำใจของเราให้สงบถ้าใจมันสงบขึ้นมาแล้ว ถ้าสงบแล้วทำอย่างไรต่อไปเพราะคนอยากพัฒนา อยากก้าวหน้าขึ้นไปถ้าอยากก้าวหน้าขึ้นไปจิตสงบแล้วให้รำพึง รำพึงหากาย

ถ้าจิตรำพึงหากายไม่ได้ พอจิตมันสงบ นั่งสงบบ่อยๆ ครั้งเข้าถ้านั่งหลายชั่วโมงเข้ามันก็เกิดเวทนา ถ้าจิตมันสงบแล้วถ้ามันเกิดเวทนา มันก็จับต้องเวทนาได้ถ้าจิตมันไม่สงบเลย จิตมันยังเป็นจิตดิบๆอยู่อย่างนี้ เวลาเกิดเวทนามันก็โอดโอยขึ้นมาเวทนามันทับจิต มันก็ลุก มันก็ทนไม่ได้ แต่ถ้าจิตมันสงบแล้ว เวทนามามันก็จับต้องเวทนาด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เวทนาสักแต่ว่าเวทนาก็พลิกแพลงดูเวทนาขึ้นมาพิจารณา นี่ไง ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้ ถ้าข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้แล้ว ถ้าคนที่ภาวนามาแล้ว ถ้าในหัวใจมันมีข้อเท็จจริงนั่นล่ะมันจับต้องขึ้นมา มันอธิบายได้ มันพูดได้ มันมีข้อเท็จจริงในใจไง

แต่ถ้ากิเลสมันจะธรรมธุรกิจ มันก็บอกว่าพอสัญญาอารมณ์มันเป็นจินตนาการ มันก็อ้างอิงธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นๆ“เถียงไม่ได้นะมาจากพระไตรปิฎกนะห้ามเถียงนะ”

ไม่เถียงพระไตรปิฎกหรอก แต่เถียงกิเลสในใจของคนที่ล้มลุกคลุกคลานน่ะ มันไม่มีข้อเท็จจริงในหัวใจ สิ่งที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปริยัติ ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ แล้วถ้าปฏิบัติขึ้นมาแล้วต้องมีข้อเท็จจริงขึ้นมาอย่าให้กิเลสมันเอาไปทำธุรกิจกับเรา ถ้ากิเลสมันเอาไปทำธุรกิจกับเรา

เราปฏิบัติมานะ เราต้องการของจริง เราต้องการธรรมะที่ฆ่ากิเลส ธรรมะที่ทำลายกิเลสในใจของเรา เพื่อให้ใจของเรามีคุณธรรมขึ้นมาไม่ใช่ทำขึ้นมาเพื่อให้กิเลสมันทำธุรกิจมีได้มีเสียในใจ ถ้ามันมีได้มีเสียในใจสิ่งใดที่มันพอใจมันก็เคลิบเคลิ้มหลงใหลไปกับเขา แล้วมันไม่มีสติคอยคุมบำรุงรักษาใจของตัว เวลามันขาดทุน เวลามันเสียเปรียบ มันก็เอะอะโวยวาย“ปฏิบัติแล้วก็ไม่ได้ผล ทำมาขนาดนี้ยังไม่ประเสริฐสักที” มันไม่ได้ประโยชน์เลยถ้าจิตใจเราไม่มีหลักมีเกณฑ์ หลงใหลไปกับการได้การเสียในกิเลสที่มันเอามาล่อลวง

ถ้าเรามีสติปัญญา กิเลสมันจะมาล่อลวงขนาดไหน มารมันจะเอาสิ่งต่างๆ ในหัวใจของเรามาต่อรองกับเราขนาดไหน เราก็มากับมัน เราก็เกิดตายๆ มากับมันถ้ามันมีจริง เราก็ต้องดีขึ้นมาแล้วถ้ามันเป็นประโยชน์จริงเราจะเป็นเทวดาเลยเพราะเราก็เป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ทำไมมันทำแล้วมันไม่ได้ดั่งใจสักทีล่ะ

ไม่ได้ดั่งใจหรอก ผู้ใดปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรมถ้ามันสมควรแก่ธรรม ทำอย่างไรถึงสมควรแก่ธรรมล่ะ สมควรแก่ธรรม ที่บอกว่าแค่ไหนล่ะ แค่ไหนมันถึงจะเป็นวิทยาศาสตร์ ชั่งตวงวัดแค่ไหนล่ะ

ชั่งตวงวัดมันเป็นโทสจริต โมหจริตมันเป็นจริตนิสัยของคน คนขี้หลง ไม่ต้องให้เขามาหลอกหรอก วิ่งไปให้เขาหลอกเลย มีอะไรพอใจก็วิ่งตามกระแสไปหมดเลย นี่โลภะ โลภจริต โทสจริต ไม่มีสิ่งใดมันก็สะเทือนหัวใจไปทั้งนั้นน่ะ โมหจริต ลุ่มหลงไปทั้งหมดจริตมันมีของมันอย่างนั้นน่ะถ้าจริตมีของมันอย่างนั้น เราก็ต้องมีสติมีปัญญาของเรามากขึ้น แล้วรักษาใจของเรารักษาใจของเราถ้ามันทำขึ้นมาแล้ว ถ้ากิเลสมันเอามาต่อรองกับเราไม่ได้ มันจะเอาขาดทุนกำไรมาต่อรองกับเรา เราปฏิเสธแล้วเราพยายามทำของเรา เราตั้งสติของเรา ทำขึ้นมา มันจะรู้จะเห็น ถ้ามันจะรู้จะเห็น ชำนาญในวสี ชำนาญในวสีเกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากการล้มลุกคลุกคลาน เกิดมาจากการผิดพลาดของเราเกิดมาจากน้ำตาไหลน้ำตาร่วง ทุกข์ยากนี่ถ้าไม่ทุกข์ไม่ยาก ไม่มีกิริยาของใจ วิถีแห่งจิตมันไม่ได้พัฒนาของมันศึกษาธรรมศึกษามาเป็นสัญญา แต่วิถีแห่งจิตที่จิตมันพัฒนาการของมันขึ้นมามันไม่เป็นตามความเป็นจริง

ถ้ามันเป็นตามความเป็นจริง ความเป็นจริงมันก็เข้าสู่ความสงบไงการจะปฏิบัติขนาดไหน ถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องดีงามทำอย่างไรก็แล้วแต่ ผลของมันคือการปล่อย มันปล่อยอะไรล่ะ ก็ปล่อยสัญญาอารมณ์ไง ปล่อยขันธ์ถ้ามันปล่อยขันธ์เข้ามามันก็เป็นสัมมาสมาธิ

จิตเห็นอาการของจิตความรู้สึกนึกคิดนี้เป็นอาการของจิตทั้งหมด ความรู้สึกนึกคิดนี้เป็นอาการของมัน แล้วตัวของมันล่ะ ตัวมันอยู่ไหน ถ้ามันสงบระงับเข้ามาก็สู่ตัวมัน ถ้าตัวมันนะ ถึงตัวมันเวลามันทำงานของมัน มันก็ออกไปรับรู้อีกแหละ มันออกไปรับรู้ ออกไปแสวงหาของมันถ้ามันออกไปรับรู้ ออกไปแสวงหาของมันโดยสัญชาตญาณโดยสถานะของมนุษย์ มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ของมัน แต่พอจิตมันสงบ ทวนกระแสไง

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดทวนกระแสเข้าไปสู่ฐีติจิต ถ้าสู่ฐีติจิตนะ วิธีการปฏิบัติทั้งหมดมันก็ปล่อยวางถ้ามันปล่อยวางถ้าปล่อยวาง มีสติปัญญาขึ้นไปต่อเนื่องขึ้นไปไม่ให้ใครมาต่อรอง ไม่ให้ใครมาใช้ประโยชน์กับจิตดวงนี้ ถ้าไม่ให้ใครมาต่อรอง ไม่ให้ใครมาใช้ประโยชน์กับจิตดวงนี้ เราทำของเราขึ้นไป ถ้าเราทำของเราขึ้นไปสติ มหาสติ ถ้าเกิดปัญญามหาปัญญา ถ้าปัญญาต่อเนื่องมันต้องละเอียดเข้าไป

สิ่งที่ว่าพอจิตมันคิดส่งออก เราก็ว่าโอ้โฮ! จิตนี้มันละเอียดมาก มันไวมาก มันไปหาของมัน เราก็คิดว่าจิตนี้มันไวของมัน เวลาสิ่งที่มีสติขึ้นมามันยับยั้งหมด สิ่งที่เคลื่อนที่เร็ว สิ่งที่ไวมากๆ มันจะหยุดของมันหมดแหละ แล้วพอเราเห็น อู้ฮู! มันละเอียดมากๆ

มันละเอียดแค่ไหนมันยังหญ้าปากคอกอยู่นี่มันเพิ่งทำความสงบของใจเท่านั้น ถ้าใจมันสงบแล้ว ถ้าจิตมันสงบ มันพิจารณาของมันรำพึงไปให้เห็นกาย ถ้ารำพึงไปถ้าคนมีอำนาจวาสนา มันจะเกิดขึ้นทันทีนะอำนาจวาสนาดูสิ จริตของคนอำนาจวาสนาของคนมันสร้างมา มันจะเห็นของมัน รู้ของมัน แต่ถ้ามันไม่มีล่ะ อำนาจวาสนาของคนมันไม่เท่ากันไงเวลาปฏิบัติไปถ้ามันรู้มันเห็นขนาดรู้เห็นครั้งเดียวนะ ถ้ามันเห็น ถ้าครั้งต่อไปไม่เห็นแล้วพอจิตมันสงบไม่พอ ก็ต้องกลับมาทำความสงบของใจให้มากขึ้น ถ้ามันรำพึงไป มันเห็นของมัน ถ้าเห็นของมันนะ ถ้าจิตมีกำลังนะพิจารณาให้แยกแยะ รำพึงให้มันเป็นไปต่อหน้าเรา

ที่ว่าไตรลักษณะๆ เขาว่ามันจะเป็นไปมันเป็นไปอย่างไร ถ้าจิตไม่รู้ไม่เห็นขึ้นมา มันอ้างอิงไปตลอดแหละ พออ้างอิงขึ้นมามันก็เป็นธุรกิจแล้วอ้างนู้นอ้างนี่อ้างเล่ห์ไปหมดเลย ถ้าอ้างเล่ห์ขึ้นไปมันจะเป็นจริงไหม

ถ้ามันเป็นจริง “แม้แต่หรือว่า” ต่างๆไม่ได้ทั้งนั้น ถ้า“หรือว่า” แสดงว่าเราไม่มั่นใจความไม่มั่นใจความไม่เป็นเอกภาพ มรรคสามัคคีได้อย่างไร มันก็มีได้มีเสียใช่ไหมสิ่งที่มีได้มีเสียนั่นน่ะมันทำธุรกิจของมันอยู่มันล้มลุกคลุกคลานอยู่ มีได้มีเสีย มีได้มีเสียมันไม่มัชฌิมาปฏิปทา

ถ้ามันจะมัชฌิมาปฏิปทาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เราจะทำนาในใจเราจะสร้างมรรคสร้างผลขึ้นมา ถ้าเราสร้างมรรคสร้างผลขึ้นมาเราต้องสร้างที่ใจของเรา สร้างที่ใจของเรา เราก็หมั่นคราดหมั่นไถของเราหมั่นคราดหมั่นไถด้วยมรรคญาณ เห็นไหมดูสติปัญญาขึ้นมา พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ถ้ามันปล่อย ปล่อยก็เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าปล่อยแล้วเราก็อยู่กับความสงบระงับอันนั้น มันมีกระบวนการของมันนะอริยสัจมีหนึ่งเดียวเท่านั้น สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราจะประพฤติปฏิบัติขนาดไหน วิธีการอย่างใดก็แล้วแต่ มันจะลงสู่สัจจะความจริงสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณมันจะเข้าสู่ความจริงอันนี้

มันมีกิจจญาณ มีการกระทำของมัน ถ้าไม่มีการกระทำของมัน เราจะพูดขนาดไหนเราจะไปเอามรรคเอาผล เอาธรรมของครูบาอาจารย์มาพูดขนาดไหน นั้นเป็นคำพูด มันพูดไม่ครบองค์ประกอบของมันหรอก มันมีความบกพร่องเพราะเราไม่รู้ไม่เห็นด้วยใจของเรา แต่ถ้าเรารู้เราเห็นด้วยใจของเรา ถ้ามันบกพร่อง ก็เราล้มลุกคลุกคลานอยู่นี่ไงแล้วถ้าพิจารณาซ้ำพิจารณาซากเวลามันขาดล่ะเวลามันขาดขึ้นมาขาดอย่างไร

ถ้าเวลาขาดขึ้นมา กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ เวลามันปล่อยมันก็ปล่อย ปล่อยมีความสงบมีความร่มเย็นเวลาทำสมาธิขึ้นมา ถ้าจิตสงบมีความสุขมาก เวลาพิจารณาแล้วมันปล่อย มันสำรอกมันคายออก มันเบากว่านั้นเยอะ มันทั้งเบากว่า มันทั้งมีรสชาติมากกว่าแต่มีรสชาติขนาดไหนก็รสชาติของมันนั่นแหละ แต่เวลามันขาดล่ะเวลาขาดมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นอีกอย่างหนึ่งเพราะมันสิ้นกระบวนการของมันไง

ถ้าสิ้นกระบวนการของมัน กายเป็นกาย จิตเป็นจิตทุกข์เป็นทุกข์แล้วมันรวมลงรวมลงอย่างไรจิตมันปล่อยอย่างไร มันสำรอกคายออกอย่างไร ถ้ามันคายออกไปแล้วสังโยชน์มันขาดออกไป นี่อกุปปธรรม ถ้าเป็นอกุปปธรรม ผลประโยชน์อันนี้มันไม่เป็นธุรกิจแล้ว นี่ธรรมเนื้อแท้ อกุปปธรรมของแท้ๆ อกุปปธรรมนะ

เวลาอจินไตย ๔ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคาดการณ์ไม่ได้เลย สิ่งที่ว่าพุทธวิสัยกรรม ฌาน โลกอจินไตยปัญญาพุทธวิสัยกว้างขวางจนเราจินตนาการไม่ได้ เราคิดอย่างนั้นไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราพิจารณาไปเป็นกุปปธรรมสพฺเพ ธมฺมาอนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกอย่างเป็นอนัตตา เราบอกเป็นอนัตตา มันก็มีอยู่แล้ว มันก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว นี่กุปปธรรม

กุปปธรรมไงพระพุทธเจ้าสอนเรื่องอนัตตา...ใช่สอนเรื่องอนัตตา สอนไม่ให้มีอัตตา ไม่ให้มีความยึดมั่นถือมั่น มันจะเห็นไตรลักษณะมันจะคายตัวของมัน แล้วเห็นอย่างไรล่ะอะไรเป็นอัตตาอะไรเป็นอนัตตาเราก็ถึงมีอัตตาของเราไง เรารู้เราเห็น เราแน่เรายอด เราเก่งนี่อัตตาทั้งนั้นน่ะ

แล้วถ้าเป็นอนัตตาทำไมถึงเป็นอนัตตา

มันจะเป็นอนัตตาได้ต่อเมื่อมันมีสภาวธรรม ถ้าสภาวธรรมขึ้นมา มันเป็นอนัตตา กายเวทนา จิต ธรรมเป็นอนัตตาต่อหน้าให้เรารู้เราเห็น ถ้าเรารู้เราเห็น ถ้าสรรพสิ่งเป็นอนัตตากระบวนการของมันเกิดขึ้นกระบวนการเกิดขึ้นถึงที่สุดมันปล่อยๆๆ ตทังคปหานฝึกหัดฝึกฝนของเรา เราจะสร้างมรรคสร้างผลขึ้นมาในใจ

เวลามันขาด สิ่งที่เป็นอนัตตา สพฺเพธมฺมา อนตฺตา กุปปธรรม แล้วอกุปปธรรมล่ะมันพ้นจากอนัตตาไปอย่างไร สิ่งที่มันพ้นอนัตตาไปเพราะถ้าเป็นโสดาบันแล้วเกิดอีก ๗ ชาติอย่างมาก แล้วพระอานนท์เป็นพระโสดาบันแล้วประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ไป พระโสดาบันปฏิบัติต่อเนื่องขึ้นไป ถ้าต่อเนื่องขึ้นไปถึงที่สุดแห่งทุกข์มันไม่ไปอีก ๗ ชาติเลย ชาตินี้ แล้วชาตินี้เราพยายามจะสร้างมรรคสร้างผลขึ้นมาจะรื้อภพรื้อชาติ จะทำความจริงของเราขึ้นมาไม่ให้กิเลสมันมาต่อรอง ไม่ให้กิเลสมันเอาความรู้ความเห็น เอาความพอใจ เอาความต้องการมาต่อรองกับเรา ไม่ต้องไปโทษคนอื่น ไม่ต้องไปมองจากที่ไหน มองจากใจเรานี่ มองจากการกระทำของเรานี่ ถ้ามันทำจริงเห็นจริงขึ้นมามันจะเป็นความจริง ถ้าความจริงขึ้นมาเป็นอย่างนี้แล้วมันจะไปหวั่นไหวกับใครล่ะมันจะไปหวั่นไหวกับใครแล้วไม่หวั่นไหวกับใครนะ มันมีความมุมานะสิ่งที่ทำขึ้นมาล้มลุกคลุกคลานแสนทุกข์แสนยากนะ แต่เราทำของเราขึ้นมาจนได้มรรคได้ผล ถ้าได้มรรคได้ผล

คนทำงานไม่เป็นก็เป็นเรื่องอย่างหนึ่ง ถ้าขณะที่ว่าเป็นอกุปปธรรม สิ่งนี้เขาเรียกว่าภาวนาเป็นแล้ว เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะประสบการณ์ที่เราทำ เรารื้อเราค้นของเราขึ้นมา เราทำงานของเราจนเป็นผลงานของเรา ถ้าผลงานของเรานะมีสติปัญญามันจะต่อเนื่อง มันจะทำความสงบของใจมากขึ้นทำความสงบของใจมากขึ้นแล้วพยายามรื้อค้นกายเวทนา จิต ธรรมที่ละเอียดขึ้น ถ้ารื้อค้นกายเวทนา จิต ธรรมที่ละเอียดขึ้นเวลาพิจารณากายๆ เวลาสมุจเฉทปหานไปแล้วมันเป็นไตรลักษณะ ทำลายหมดเลย แล้วมันจะเหลือกายสิ่งใดล่ะ

กายนอกกายใน กายในกาย สิ่งที่ว่าเป็นกาย คำว่า “เป็นกาย” เพราะความยึดติดของจิตที่ละเอียดมันแตกต่างกัน พอเวลามันยึดติดกายข้างนอก ดูสิเราเห็นกายนอกเลย เวลาเขาไปเที่ยวป่าช้า นี่กายนอก เพื่อให้มันสลดสังเวช ให้มันหดสั้นเข้ามาเป็นตัวเรา นี่กายนอก เวลาจิตสงบแล้วเวลาเราเห็นน่ะ ไปเห็นกายนอกมันไม่มีประโยชน์แล้วมันต้องเห็นกายของเราเอง ถ้าเห็นกายของเราเอง ใครจะเห็นล่ะ

ถ้าเราใช้ตาเนื้อเห็น เราก็เห็นเพื่อทำความสะอาดร่างกายนี้เท่านั้น แต่ถ้าตาของใจมันเห็นตาของใจ เวลาทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบขึ้นมาถึงอัปปนาสมาธิ มันปล่อยวางกายได้ มันไม่รับรู้เรื่องกายเลยเห็นไหม เวลาจิตมันปล่อยวางกาย แต่ปล่อยวางด้วยสมาธิเพราะปล่อยวางชั่วคราว เดี๋ยวมันออกมา มันแผ่ซ่านมามันก็เหมือนเดิม

แต่ถ้าเวลาเราพิจารณา จิตมันสงบแล้วมันมีความสงบ มันเห็นกายจากภายใน เห็นกายจากภายในมันพิจารณาซ้ำพิจารณาซากเวลามันสมุจเฉทปหาน มันขาดขาดเพราะอะไรเพราะธรรมเพราะไตรลักษณ์ที่พิจารณาแล้วกระบวนการของมันแปรสภาพให้เห็น บ่อยครั้งๆ จนมันขาด พอขาดแล้วมันเป็นอกุปปธรรมแล้ว

ทีนี้เราทำความสงบของใจให้มากขึ้น เพราะโสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผลสกิทาคามิมรรคสกิทาคามิผลนั่นเป็นโสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผลกระบวนการบุคคล ๘ จำพวกบุคคล ๘ จำพวกบุคคล ๘ กลุ่มบุคคล โสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผลสกิทาคามิมรรคสกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล สมณะ๔ เหล่า บุคคล ๘จำพวก เพราะมันมีเหตุกับผลถ้ามีเหตุกับผลเหตุผลกระบวนการบุคคลคู่แรกมันได้จบไปแล้ว ทีนี้พอจบไปแล้วอย่างมากถ้าไม่มีการเจริญไปข้างหน้ามันก็อีก๗ ชาติ แต่ถ้าเราพยายามเจริญก้าวหน้า มันจะเป็นบุคคลที่ ๓-๔เห็นไหม นี่คู่ที่ ๒

คู่ที่ ๑ผ่านไป คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ระหว่างเหตุกับผล ถ้าเหตุกับผล จิตสงบมาล้มลุกคลุกคลานมา ให้กิเลสมันต่อรองมาตลอด ถ้าเราทำมาด้วยความเข้มข้นของเรา ด้วยความมุมานะของเรา มันพัฒนาของเราขึ้นมาจนพ้นมาจากบุคคลคู่แรก พอคู่แรกเหตุที่ ๒ เราต้องทำความสงบของใจมากขึ้นมันพิจารณาไปแล้วมันก็เป็นอริยสัจเหมือนกัน สัจจญาณกิจจญาณ กตญาณ สัจจะสัจจะความจริงทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ นี่คือสัจจะถ้าเห็นสัจจะ มันก็เห็นทุกข์

บอกว่าเกิดมาชาตินี้อยากจะฆ่ากิเลส อยากจะต่างๆ แต่ไม่เคยเห็นหน้ากิเลสเลย ไม่รู้ว่ากิเลสเป็นตัวอย่างไร แต่เวลาพิจารณาเข้าไปในสัจจะมันก็เห็นทุกข์เหตุให้เกิดทุกข์ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ กิจจะๆกิจจะคือกระบวนการที่จะเกิดขึ้นกระบวนการที่จะเกิดขึ้นตามความเป็นจริงของมันขึ้นมา นี้กระบวนการเวลาแยกแยะแยกย่อยออกมาแต่ความจริงเวลามันเกิด มันเกิดพร้อมกัน มันเกิดขึ้นมาด้วยจิตดวงเดียวด้วยอารมณ์อารมณ์เดียวแต่การกระทำมันเกิดขึ้นขณะนั้น พอมันพิจารณาซ้ำๆๆถ้ามันปล่อยวาง มันต้องฝึกหัด มันต้องพยายามหมั่นสร้างมรรคสร้างผลของเราเราจะทำสัจจะทำเหตุทำผลขึ้นมาในใจ บุคคลคู่ที่ ๒ แยกแยะอยู่อย่างนั้นน่ะซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ

ซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ เวลาความคิดเราเร็วไหม เวลาเกิดศีล สมาธิปัญญาขึ้นมาปัญญามันจะหมุนเร็วไหม มันหมุนเร็วมาก ทีนี้คำว่า “ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” เพราะพิจารณาแล้วมันปล่อยเดี๋ยวนั้นมันจับเดี๋ยวนั้นพิจารณาต่อเนื่องเดี๋ยวนั้นมันว่องไวมากมันคล่องตัวของมัน มันจับขึ้นมาก็เป็นมรรคเป็นผล เวลาล้มลุกคลุกคลานขึ้นมาจากเริ่มต้นปุถุชน กัลยาณปุถุชน ทุกข์ยากมาก เพราะความสงบของใจ คนมันดิบ คนมันหนา กิเลสมันดิบๆ กิเลสมันมีกำลังเต็มที่ แล้วเราฝึกหัดใหม่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดฉะนั้น สิ่งนี้มันจะทุกข์ยากมากพอพิจารณาขึ้นไปจนถึงบุคคลคู่ที่ ๑ ผ่านไป พอคู่ที่ ๑ ผ่านไปนะการทำความสงบของใจมันจะง่ายขึ้น ง่ายขึ้น หมายความว่า รู้วิธีการ รู้การรักษาใจ รู้เหตุแห่งการกระทำ

ทีนี้เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านถึงจะเข้าป่าเข้าเขาของท่าน ท่านถึงพยายามแยกแยะของท่าน ท่านพยายามอยู่คนเดียวของท่านการอยู่คนเดียวกินก็น้อย นอนก็น้อย แต่ต่อสู้กับกิเลสตลอดเวลามีแต่สติปัญญาฟาดฟันกับกิเลสไม่ให้กิเลสมันมาทำธุรกิจในใจ

ธรรมะแท้ๆ ไม่ใช่ธรรมะธุรกิจถ้าธรรมะธุรกิจมันเป็นการต่อรอง มันเป็นการคาดหมายผลเป็นการเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสื่อสารแต่ตัวมันจริงไม่มีสิ่งใดตกค้างในใจเลย ไม่มีสิ่งใดเป็นผลประโยชน์กับใจดวงนั้นเลยแต่มีแต่ธุรกิจเต็มหัวใจเลยมีแต่อ้างอิงทั้งนั้นเลย

ถ้าจิตเราละเอียดขึ้นมาแล้วมันจะว่องไวของมันมันจับต้อง มันพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันทำแล้วมันมีเหตุมีผล มีผลงานขึ้นมา คนเราทำงานแล้วไม่ได้ผลงานมันก็ท้อแท้ แต่คนยิ่งทำยิ่งสนุก ยิ่งทำยิ่งเพลิดยิ่งเพลิน ยิ่งทำแล้วยิ่งได้มรรคได้ผล มันขยันหมั่นเพียรนะขยันหมั่นเพียรนี่เวลาปัญญามันจุดติดไงเวลาปัญญามันจุดไม่ติด เวลามันล้มลุกคลุกคลานมันก็ทุกข์ก็ยากของมันแต่เวลาปัญญามันจุดติดขึ้นมามันจะเผาไหม้ไป นี่ภาวนาเป็นภาวนาเป็นมันก็มีความมุมานะมีกำลังของมันขึ้นมา มีการกระทำ สติ มหาสติมันจะเกิดเป็นซ้ำเป็นซ้อนขึ้นไป ปัญญามันจะละเอียดลึกซึ้งขึ้นไป นี่จับต้องทั้งๆ ที่เมื่อก่อนว่ามันเร็วที่สุดมันไปที่สุด มันรวดเร็ว

เวลาพูดเหมือนเด็กเลยเด็กเก็บของให้พ่อให้แม่ พ่อแม่ตบมือให้ก็ดีใจ แค่นี้แหละแค่เก็บของมาให้ แค่เก็บของเข้าที่ จะไปเอาคุณงามความดีจากพ่อจากแม่แล้ว เหมือนเด็กไร้เดียงสาเลยแต่เด็กน่ะ นี่ก็เหมือนกันจิตใจที่มันล้มลุกคลุกคลานอยู่นี่ ทำสิ่งใดก็แหม! มันทุกข์มันยากไปหมด มันลำบากลำบนไปหมดเลย แต่พอมันพัฒนาขึ้นไปแล้วนะ เราไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาแล้ว เราเป็นบุคคลวัยทำงาน เรากำลังทำงานได้เนื้องาน เราทำสิ่งใดได้แต่ผลประโยชน์ มันอยากทำ มันทำแล้วมันได้ประโยชน์ ทำแล้วเราจะมั่นคงในชีวิตทำแล้วมันจะสุดยอด

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันภาวนาของมันได้ มันเริ่มภาวนาเป็นปัญญามันเกิดขึ้นมา มันจับต้องของมัน มันพิจารณาของมัน พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่านะซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะแก่นของกิเลส กิเลสในหัวใจของสัตว์โลกมันสงวนที่อยู่อาศัยของมันแม้แต่เป็นพระอนาคามีมันก็ไม่ปล่อยไปหรอกมันไม่ปล่อยง่ายๆ ถ้าเป็นพระอนาคามีแล้วไม่มีคนชี้นำนะ มันก็ไปเกิดบนพรหมอีก ๕ ชั้น นี่กิเลสละเอียดละเอียดสุด มันรอเราอยู่ข้างหน้านะ เราจับได้แต่ลูกแต่หลานมันเท่านั้นน่ะ แล้วจับลูกหลานขึ้นมาต่อสู้ มันก็เป็นการฝึกหัดๆไป จิตดวงนี้มันพัฒนาได้ จิตดวงนี้ถ้าพัฒนาแล้วมันจะมีวุฒิภาวะ มันทำของมันไปพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าไม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันไม่ผ่าน เว้นไว้แต่ขิปปาภิญญา ขิปปาภิญญาปฏิบัติง่ายรู้ง่ายปฏิบัติแล้วมันผ่านพ้นไป แต่โดยข้อเท็จจริงมรรค ๔ ผล ๔บุคคล ๘จำพวก ๔ คู่ จิตดวงนี้มันเป็นไม่ใช่เนื้อหนังมังสาเราเป็นไม่ใช่มนุษย์เป็น แต่จิตเป็นถ้าจิตเป็น มันต้องมีเหตุผลรองรับในการพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วถ้ามันขาด เวลาขาดคือขณะจิตถ้าขณะจิตที่มันเปลี่ยน จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชนเราก็เข้าใจได้เรารู้ได้

คนที่มีการเปลี่ยนแปลง จิตเขาพัฒนาไปแล้ว แต่เวลาพิจารณาโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล คู่ที่ ๑เขาผ่านของเขาไป เขาทำงานของเขาจบแล้วเขาจะอธิบายถึงการกระทำของเขาได้ถูกต้องแต่เวลาเขาอธิบายสิ่งที่เหนือกว่าเขาขึ้นไป เขาอธิบายไม่ได้ แต่ถ้าเขาอ้างอิงทางวิชาการ ทางธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็อ้างอิงของเขาไป แต่เขาก็สงสัย เขาพูดจบกระบวนการของเขาไม่ได้แต่เขาไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆเวลามันขาดบุคคลคู่ที่ ๒โลกนี้ราบไปหมด โลกนี้ราบไปหมดนะ แล้ววิธีการต่อเนื่องไป ถ้าต่อเนื่องขึ้นไป วิธีการที่จะจับล่ะ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๓ มันจะจับอย่างไร

ถ้ามันจับขึ้นมา ดูสิ ถ้าจิตละเอียดขึ้น ไม่ละเอียดมันก็ติดของมัน เพราะเวลาติดของมันมันจะต่อรองต่อรองด้วยธุรกิจ “นี่นิพพานแล้วล่ะนิพพานแล้ว” มันเหมาหมดเลย เหมาแล้วให้นิพพานไปเลย มันเหมากิเลสมาใส่หัวเรานะ

แต่ถ้าเรามีสติ ปัญญามหาสติ มหาปัญญา มันจับของมันได้ กามราคะมันต้องจับได้ การจับนะเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะไปหาครูบาอาจารย์ประจำว่า “มันว่างๆแล้วทำอย่างไรต่อ มันปล่อยแล้วจะทำอย่างไรต่อ” เพราะการจับนี้ไม่ใช่ของง่ายนะ การขุดคุ้ยหากิเลส วิธีการที่เราจะชำระล้าง วิธีการที่เราจะหาผู้กระทำผิดต้องหาให้ได้ต้องหาให้เจอสุดท้ายแล้วการหา พอเราเจอมันก็เจอกายเจอเวทนา เจอจิต เจอธรรม แต่ส่วนใหญ่แล้วจิตเราจะบอกว่า “เราผ่านมาแล้ว เราปล่อยวางมาแล้ว มันไม่มี มันไม่มี มันไม่มีที่ไหนเลยเราค้นหาจนไม่มี” ทั้งๆ ที่มันพูดอยู่นั่นน่ะตัวมัน ไอ้คนพูดนั่นน่ะมันชัดๆ เลยล่ะ แต่มันบอกว่า “ไม่มี หาแล้วหาอีกหาไม่เจอไม่มีเลย”

ครูบาอาจารย์ท่านต้องใช้อุบายวิธีการให้เขาสำนึกของเขาให้ได้แล้วย้อนกลับมา ทวนกระแสกลับ ถ้าทวนกระแสกลับมา การจับต้องได้ ถ้าจับต้องได้นี่กามราคะ กามราคะกาย เวทนา จิตธรรมเหมือนกันแต่พิจารณากาย กามราคะกามฉันทะ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เทคนิคเล่ห์เหลี่ยมของพ่อมัน วัยทำงาน โอ๋ย! สุดยอด สุดยอดจนทำให้หัวใจเราคนที่ปฏิบัติล้มลุกคลุกคลาน แทบจะกระอักนะ แต่ก็มีแรงปรารถนาจะทำ เพราะมันเหมือนอยู่ชั่วเอื้อม อยากได้มรรคได้ผล มีการกระทำแยกแยะพิจารณาซ้ำพิจารณาซากถึงที่สุดเวลามันขาด ทุกอย่างต้องขาด คำว่า“ขาด” หมายถึงสมุจเฉทปหาน

ตทังคปหานชั่วคราวๆถ้ามันสมุจเฉทปหาน สมุจเฉทปหานมันคืออะไร สมุจเฉทปหานก็คือชื่อไง แต่เวลามันสมุจเฉทปหานในหัวใจ มรรคญาณ มรรคสามัคคีมันรวมตัว มันชำระล้างครืน! อย่างนี้ มันคืออะไร ถ้าคนไม่เคยรู้เคยเห็นมันจะเอาอะไรมารู้มาเห็นล่ะถ้ามันเห็นขึ้นมาจริงมันก็เป็นจริง

พิจารณาซ้ำๆๆ ขึ้นไปจนมันว่างหมด สิ่งที่มันเป็นสิ่งที่ตกค้างในใจพอตกค้างในใจ มันทำความสะอาดหมด จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสผ่องใสนี่ตัวอวิชชา ตัวพ่อมัน ตัวปู่แล้วจากฆ่าพ่อก็ถึงปู่ ถ้าปู่ ต้องใช้ความละเอียดลึกซึ้ง ปัญญาญาณนะ กตญาณ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้าไม่มีกิจ ๑๒ อันนี้เราจะไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์” แล้วจะปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์มันเกิดขึ้นมากิจจญาณ สัจจญาณ กตญาณที่มันจะเกิดขึ้นจากการกระทำวงรอบของมันถ้าวงรอบของมันย้อนกลับมาทำลายวงรอบนั้น กตญาณไงรู้ว่าสิ้นสุดกระบวนการแล้ว ถ้าสิ้นสุดกระบวนการ ทำพิจารณา จับแล้ว พิจารณาซ้ำ ถึงที่สุดมันทำลายอวิชชา

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลสจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้จะเป็นผู้ข้ามพ้นกิเลสทำลายจิตเดิมแท้นี้กระบวนการของมัน นี่กตญาณ รู้ว่าได้ทำลายแล้ว ถ้าทำลายแล้ว สิ้นสุดของการกระทำ ถ้าสิ้นสุดของการกระทำนะ มันไม่มีให้ทำอีกแล้วมรรค ๔ ผล ๔บุคคล ๔ คู่ ได้พัฒนาขึ้นไปถึงที่สุด มรรค ๔ผล ๔ นิพพาน ๑เอวัง