เทศน์บนศาลา

กำเนิดพุทธะ

๒๔ พ.ค. ๒๕๕๖

 

กำเนิดพุทธะ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้วันสำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะวันนี้เป็นวันวิสาขบูชา วันวิสาขบูชาเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดตรัสรู้ และปรินิพพาน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมานะเวลาแสวงหาเวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเห็นไหม เวลาเกิด เกิดในโลกก็อย่างหนึ่ง เกิดในโลก เกิดมาแล้วเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดในโลกมาก็มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนเรานี่แหละ แต่ความแสวงหาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมามันสำคัญมาก สำคัญมากเพราะว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล้มลุกคลุกคลานมา ๖ ปีศึกษามากับใครก็แล้วแต่มันมืดบอดทั้งนั้นน่ะ แม้แต่มีคนปฏิญาณตนขนาดไหนมันก็มืดบอดของมัน

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา หูตาสว่างนะ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา หูตาสว่าง สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เอกํนาม กิํ หนึ่งไม่มีสอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นความจริงทั้งหมด ถ้าสิ่งนั้นเป็นความจริงทั้งหมดเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับใครถ้าพูดกับใครนะ ในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับพวกคฤหัสถ์ก็พูดอย่างหนึ่ง เวลาพูดกับพวกนักปกครองก็พูดอย่างหนึ่ง แต่เวลาพูดกับผู้ที่เป็นนักปฏิบัติเวลาพูดกับพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เวลาพูดถึงธรรมๆเวลาพระโมคคัลลานะไปเที่ยวนรกสวรรค์มานะ ไปตรวจไปดูต่างๆมา มาถึงกรุงราชคฤห์ มาบอกว่า “ผู้นี้ตายแล้วไปเกิดที่นั่นผู้นั้นตายแล้วไปเกิดที่นี่” เวลาไปรู้ไปเห็นพระโมคคัลลานะก็ยังมีความเมตตา มีความปรารถนาดีกับสัตว์โลก มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมเป็นอย่างนั้นๆ

นี่เวลาหูตาสว่าง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรก็เป็นพระอรหันต์ สิ่งที่เป็นพระอรหันต์ภูมิของความสะอาดบริสุทธิ์มันไม่มีแง่มีงอนในใจ แต่เวลาพระโมคคัลลานะไปสวรรค์มาไปต่างๆ มา ก็ยังมารายงานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “บ้านนั้นเป็นอย่างนั้นคนตายที่นี่ไปเกิดที่นั่น แล้วทำไมบุญกรรมมันเป็นเช่นนั้น” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแจกแจงให้พระโมคคัลลานะได้เข้าใจแล้วสืบต่อกันมาๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนะนี่โลกนอก โลกนอกนะ สิ่งที่เป็นโลกใน ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ขึ้นมา ไม่มีสัจธรรมขึ้นมาในหัวใจจะเข้าใจสิ่งใดได้ล่ะ

เอกํนาม กิํ หนึ่งไม่มีสองๆ พูดสิ่งใดถูกต้องดีงามไปทั้งหมดแต่ความถูกต้องดีงามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ วางธรรมและวินัยนี้ไว้แล้วเราเกิดมาเป็นสาวกสาวกะ เกิดมาด้วยอำนาจวาสนาเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา วางธรรมและวินัยนี้ไว้ เวลาศึกษาวางธรรมและวินัยนี้ไว้ แล้วศึกษาขึ้นมาศึกษาด้วยสิ่งใดล่ะ เราศึกษาด้วยความรู้สึกนึกคิดของเราเราศึกษาด้วยความพอใจของเรา ถ้าความพอใจของเราสิ่งใดถูกต้องดีงาม เราก็ว่าอย่างนั้น จริตนิสัยของคนมันก็ไม่เหมือนกันเวลาใครแสดงธรรม ใครชักนำสิ่งใดก็เชื่อๆ เขาไป

กำเนิดพุทธะนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้สอนกรรมฐาน๔๐ ห้อง พุทธานุสติ ธัมมานุสติสังฆานุสติ เป็นพุทธภาษิตอยู่ในพระไตรปิฎกว่าให้ทำกรรมฐาน ๔๐ ห้องการทำความสงบของใจ ๔๐วิธีการ

เวลาบอกว่า เวลาความเข้าใจของเขานะ บอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิบัติพุทโธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดอานาปานสติ

มันก็เป็นความจริงเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดอานาปานสติเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลารื้อค้นมา ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ผู้ที่ว่าปฏิญาณตนขนาดไหนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปศึกษากับเขามาหมดแล้ว ดูสิ อาฬารดาบส อุทกดาบสก็ยังบอกว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความรู้เหมือนเรา สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาได้” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธปฏิเสธในหัวใจไง แล้วลา ลาแล้วไปรื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง

เวลาไปรื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ดูสิ ที่ไปศึกษากับเขาเขารับรอง เขาประกันขนาดไหน ดูสิ เข้าฌานสมาบัติ ๖สมาบัติ ๘ คำว่า“เข้าสมาบัติ” นี่ฌานโลกีย์ความสงบถ้ามันเป็นเรื่องของโลกๆ เรื่องอภิญญาก็เป็นเรื่องของโลกทั้งนั้น เรื่องของโลกที่เขารู้เขาเห็นกันต่างๆนั่นเรื่องอภิญญา แต่เป็นความที่มหัศจรรย์ โลกเขาตื่นเต้นกันไป แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปรารถนาไม่ต้องการทั้งสิ้น พอไม่ต้องการทั้งสิ้นมันไม่มีไง

บอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดพุทโธ

ก็มันยังไม่มีพุทโธ แล้วเอาอะไรไปกำหนดล่ะ ยังไม่มีใครรู้แจ้งขึ้นมา ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆก็ไม่มีใครรู้จริงขึ้นมา ฉะนั้นเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยอำนาจวาสนาบารมีนะ ย้อนไปอดีตว่าตอนเป็นราชกุมารไปอยู่ที่โคนต้นหว้าพระเจ้าสุทโธทนะพาไปแรกนาขวัญแล้วกำหนดลมหายใจเข้าออก

ขนาดว่าอดอาหารมา ทำทุกรกิริยามาขนาดไหน สู้กับกิเลสของตัวขนาดไหน มันก็ไม่มีหนทางออกทำอย่างไรมันก็ไม่มีหนทางออกระลึกเองด้วยบุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการสร้างสมบุญญาธิการมา ๔อสงไขย ๘อสงไขย ๑๖อสงไขย เวลาสร้างบุญญาธิการมาขนาดนั้นเวลาเกิดที่สวนลุมพินี เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะที่สวนลุมพินี “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย”

“เกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่น่ะก็ยังมีกิเลสอยู่ดูสิ พระเจ้าสุทโธทนะให้มีครอบครัวก็มีครอบครัว ถ้ามีครอบครัวไปแล้ว สิ่งที่ว่าจะได้ขึ้นครองราชย์ ออกไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่คนเจ็บ คนตายมันสะเทือนใจมาหมด

เวลาเกิดขึ้นมา “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” คำว่า “เกิดเป็นชาติสุดท้าย” ด้วยอำนาจวาสนาบารมี เวลาออกประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ไปทดสอบมากับเจ้าลัทธิต่างๆมันก็ทุกข์ยากมาหมดแล้วล่ะอดอาหาร กลั้นลมหายใจจนสลบไปถึง ๓ หนทำสิ่งใดก็แล้วแต่ กิเลสมันอยู่ไหนๆ หากิเลสไม่เจอน่ะ

ทีนี้ระลึกถึงบุญ ด้วยบุญอำนาจวาสนานะ ว่ากำหนดพุทโธๆ ก็ยังไม่มีใครสอน คนสอนก็สอนผิดๆทั้งนั้นน่ะ แล้วมันจะไปทางไหน เวลาไม่มีใครสอนได้ ก็ด้วยบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ด้วยบุญญาธิการว่าเราทดสอบมาหมดแล้ว ทดสอบมาต่างๆ หมดแล้วแล้วเราควรทำอย่างไร ระลึกถึงระลึกถึงว่าตอนที่เป็นราชกุมารไปอยู่ที่โคนต้นหว้า กำหนดลมหายใจ กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออกด้วยมีสติสัมปชัญญะจิตมันรวมลงได้เวลารวมลงมันมีความสุข มีความสงบ มีความระงับ มันแตกต่างกันกับทำทุกรกิริยาเวลาแตกต่างกัน การรื้อค้นมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ที่เขาทำกันอยู่นี่มันเป็นเรื่องโลกๆ ถ้าได้มามันก็ได้เรื่องฌานโลกีย์ ถ้าได้มามันก็ได้อภิญญา มันแก้กิเลสไม่ได้ มันแก้กิเลสไม่ได้พอมันแก้กิเลสไม่ได้ เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นมา มันเป็นผู้วิเศษ มันมีความเหนือมนุษย์ แต่มันก็แก้กิเลสไม่ได้มันจะไม่เข้ามาสู่สัจธรรมที่สามารถชำระกิเลส นี่มันหัวหกก้นขวิดแล้วมันไม่มีทางไปแล้วมันระลึกถึงไง ระลึกถึงว่าโคนต้นหว้านั้นความสุขอย่างนั้นกับความที่มันทุกข์ยากอย่างนั้นมันแตกต่างกันความสุขอย่างนั้น อาศัยความสุขนี้เป็นที่พึ่ง

กำหนดอานาปานสติพอจิตมันรวมลงเข้ามานะปฐมยาม บุพเพนิวาสานุสติญาณ พอจิตมันสงบเข้าไป โดยสัจจะนะ โดยสัจจะความจริงเวลาจิตสงบเข้าไป มันจะเข้าไปสู่จิตของเรา เข้าไปสู่จิตของเรา ถ้าเข้าสู่จิตของเรา ถ้ามีอำนาจวาสนาเพราะตั้งใจแล้ว กำหนดอานาปานสติตั้งใจแล้ว มันย้อนกลับเข้าไปเห็นอดีตชาติย้อนไปไม่มีที่สิ้นสุด

บุพเพนิวาสานุสติญาณมันไม่มีที่สิ้นสุดดึงกลับมา ดึงกลับมาด้วยสติน้อมใจกลับมาพอกลับมาทำความสงบมากขึ้นไปกำหนดลมหายใจมากขึ้นไป เวลามัชฌิมยามจุตูปปาตญาณเพราะมันยังไม่ได้ชำระกิเลส ถ้ามีเวรมีกรรมขนาดไหนมันก็ตามเวรตามกรรมนั้นไป คนทำบุญขนาดไหนก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม คนทำทุกข์ยากก็เกิดในนรกอเวจี นี่จุตูปปาตญาณเวลาถึงที่สุดดึงกลับมา เพราะนี่มันเป็นอดีตอนาคต ย้อนกลับมาๆ

ถ้าย้อนกลับมาทำความสงบมากขึ้น พอเข้าไปถึงฐีติจิตแล้วมีปัญญามากขึ้น ย้อนกลับเข้าไปด้วยอาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหมมันทำด้วยอะไรมันทำด้วยปัญญา เพราะกำหนดลมหายใจ จิตมันสงบเข้ามา มันเป็นมรรค“ศาสนาไหนไม่มีมรรคศาสนานั้นไม่มีผล” มรรคมันเกิดขึ้นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณมันทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดไปตรัสรู้ขึ้นมาตรัสรู้เองโดยชอบ ด้วยความชอบธรรม

เวลาไปอยู่กับอาฬารดาบส อุทกดาบส เขารับประกัน “มีความรู้เหมือนเรา เป็นศาสดาได้เหมือนเรา สอนได้เหมือนเรา” มีคนรับประกัน มีคนยกยอปอปั้นมีคนส่งเสริมมาตลอดเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธมาตลอด พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธสิ่งนั้นมา เพราะมันเป็นความจริงๆนี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเรื่องกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้นๆเพราะได้ประสบมาเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประสบกับเจ้าลัทธิต่างๆ มา ยกยอปอปั้นขนาดไหนมันก็ไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริงยิ่งยกยอปอปั้นแสดงว่าศาสดานั้นมีเลศนัยศาสดานั้นมีเลศนัยเพราะไม่พูดความจริงเพราะความจริงกิเลสเรามันไม่ได้ชำระล้างไปเลย ทำไมมายกยอปอปั้นกันอย่างนั้นว่ามีความรู้เหมือนเรา มีความเห็นเสมอเรา สอนได้ๆ

ปฏิเสธสิ่งนั้นมาทั้งหมดพอปฏิเสธสิ่งนั้นทั้งหมด เสวยวิมุตติสุข เสวยวิมุตติสุขแล้วจะออกเทศนาว่าการ จะออกเทศนาว่าการนะเพราะปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วสัตว์จะมีความรู้อย่างนี้ได้อย่างไร สัตว์จะมีความละเอียดลึกซึ้งเข้าไปรู้ด้วยปัญญาญาณจากภายใน

ปัญญาทางโลก ปัญญาจากสมองปัญญาจากการศึกษา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปเรียนตักสิลามาเหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียนวิชาการทางโลกมาทุกๆวิชาการที่เขามีกัน เพราะเรียนมาเพื่อพร้อมที่จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ที่จะปกครองบ้านเมือง วิชาการทางโลกก็ได้เรียนมา เรียนมาว่าทางโลกเขาเรียนกันอย่างไร เขามีทางวิชาการอย่างไร เพื่อจะปกครองดูแลเพื่อเป็นวิชาชีพอย่างไร ก็ได้เรียนมา คนมีปัญญาเรียนจบทุกๆ แขนง วิชา๑๘ ที่ได้เรียนจบมา มาฝึกงานๆเป็นราชกุมารจะได้สถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์อยู่แล้ว สละสิ่งทางโลกมา

นี่โลกเขาแสวงหากันมา ปกครองมนุษย์มาปกครองคนมาดูแลคนมาว่าคนมีความแตกต่างหลากหลายอย่างไร นี่เป็นวิชาการทางโลก แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆความเห็นผิด ๖ปี ที่มีความเห็นผิดของสังคมสังคมปฏิบัติที่เห็นผิดกันอยู่นี้เขาทำอย่างใดอยู่ มันมีแต่ความเห็นผิดความเห็นผิดถ้าจะเดินเข้าไปสู่สัจธรรม เข้าไปสู่หัวใจของตัวเดินเข้าไปก็มีแต่ความเห็นผิดๆ ทั้งนั้น

แล้วพอตรัสรู้ขึ้นมา มันละเอียดลึกซึ้งตั้งแต่วิชาการทางโลกก็วางไว้แม้จะทำปฏิบัติขึ้นมาเป็นฌานโลกีย์ เป็นผู้วิเศษ นั้นก็ได้สละทิ้งมา แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมาด้วยความละเอียดอ่อนอย่างนี้ แล้วจะสอนใครได้หนอ จนทอดธุระนะ มันเป็นการเทียบเคียงไง เทียบเคียงว่า ถ้าเรารู้ได้ขนาดนี้ แล้วสังคมเขาจะรู้กับเราได้อย่างไรมนุษย์จะรู้กับเราได้อย่างไร นี่พูดถึงข้อเท็จจริงในใจเลยล่ะ แต่ขณะที่ว่าย้อนกลับมาว่า ก็เราปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ขนาดที่ว่าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์เชียวนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าทีปังกรเป็นผู้พยากรณ์แล้วสร้างสมบุญญาธิการมา ๔อสงไขย

คำว่า“สร้าง ๔อสงไขย แสนมหากัป” ผู้ที่เขาสร้างบุญญาธิการมาร่วมกันล่ะ เป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ที่สร้างบุญญาธิการมา พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรก็ได้สร้างบุญญาธิการมาคนที่สร้างมามันมีไง ถ้าคนที่สร้างมามี คนที่มีปัญญา คนที่มีเชาวน์ปัญญาที่สามารถจะสื่อได้ มี แต่น้อยนักน้อยนักเพราะอะไร เพราะการสร้างคุณงามความดี ธรรมและความดีๆ

เราเคยเห็นแต่ความดีที่เป็นวัตถุ เห็นความดีที่เป็นโลกธรรม ๘ เราไม่เห็นความดีที่การสร้างบารมีธรรม การสร้างบารมีธรรม การเสียสละ การทำต่างๆ มันเป็นการสร้างบารมีธรรม ถ้าสร้างบารมีธรรม ผู้ที่รู้ได้ มีถึงเทศนาว่าการ การเทศนาว่าการถึงวางธรรมวินัย นี่กำเนิดพุทธะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข วิมุตติสุขแล้วเวลาจะสอนล่ะ สอนทำความสงบของใจเข้ามาถ้าใจเขาไม่สงบ มันก็เป็นเรื่องโลก ถ้าใจเขาไม่สงบเข้ามา เป็นเรื่องโลกๆ ถ้าเป็นเรื่องโลก ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ท่านมีจริตนิสัยท่านก็บอกว่าใช้ปัญญาไปก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางกรรมฐาน ๔๐ห้อง ต้องทำความสงบของใจเข้ามาพุทธภาษิตต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจไม่สงบมันเป็นเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ คือความคิดของโลกความคิดของโลกมันเป็นความคิดจากกิเลส ความคิดจากการเห็นแก่ตัว แต่ถ้าจะปฏิบัติธรรมล่ะจะพ้นจากทุกข์ล่ะ

วันนี้วันสำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะวันนี้เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด ตรัสรู้และปรินิพพานเวลาวางธรรมและวินัยนี้ไว้ถึงว่ากำเนิดพุทโธไง กำเนิดพุทธะ พุทธานุสติ กำหนดพุทโธๆ ถ้าใครกำหนดทำพุทโธได้ มันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมาจากบุคคลคนนั้นอย่างเช่น อย่างหลวงปู่มั่นนะหลวงปู่มั่นท่านธุดงค์ไปทางเหนือ ท่านธุดงค์ไปทางมูเซอ แล้วในความเห็นผิดของชาวมูเซอเขาบอกว่า“อย่าเข้าไปใกล้หลวงปู่มั่นนะ” เพราะหลวงปู่มั่นท่านขึ้นไปกับมหาทองสุก“อย่าเข้าไปใกล้นะ นี่เสือเย็นๆ” นี่ความเห็นผิดของเขา ในเมื่อมีความเห็นผิดของเขา แต่เพราะผู้รู้ไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาวางธรรมและวินัยนี้ไว้ จะสอนให้กำหนดพุทโธๆ ให้กำเนิดพุทโธ พุทโธเป็นพุทธานุสติ เป็นชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย แต่ความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ถึงนิพพานไปแล้วมันเหนือนั้นอีกแต่นี้คำว่า “พุทโธ” เพราะพุทโธจะเอามาสร้างประโยชน์ไงถ้าพุทโธมันเป็นสมถะ เป็นสมถกรรมฐานกรรมฐาน ๔๐ห้อง เพื่อจะเกิดวิปัสสนา เพื่อจะเกิดปัญญา เพื่อจะเกิดให้จิตดวงนั้นได้ชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปในการประพฤติปฏิบัติมันต้องมีการชำระล้างกิเลสเป็นขั้นเป็นตอนเข้าไปไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราจะจินตนาการเราคาดหมายของเราเอง

หลวงปู่มั่นท่านวิเวกของท่านไปความเห็นผิดของชาวบ้านเขา เพราะความเห็นผิดของชาวบ้านเขา แต่เพราะใจของหลวงปู่มั่นท่านมีอำนาจวาสนาของท่าน ท่านรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของเขาได้ จึงบอกกับมหาทองสุกว่า“เราจะไปไหนไม่ได้แล้วล่ะ ถ้าเราจะไปไหนพวกนี้เขามีความเห็นผิดอย่างนี้ ถ้าเขาดับขันธ์ไป เขาต้องไปมีเวรมีกรรมของเขา”

เห็นไหมทั้งๆ ที่เขาเห็นผิด มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลยมันเป็นความเห็นผิดของเขาแต่เพราะหลวงปู่มั่นว่าความเห็นผิดนี้มันจะเป็นโทษกับเขาถึงอยู่จำพรรษาที่นั่น จำพรรษาจนกว่าเขามาคอยเฝ้าคอยดูว่าจะมีพิษมีภัยอะไรกับเขา ไม่เห็นทำอะไรพระ ๒ องค์ไม่เห็นทำอะไรเห็นแต่เดินไปก็เดินมา เดินเสร็จแล้วก็นั่งนั่งแล้วก็เดินวันๆ ก็ทำอย่างนั้น ไม่เห็นทำอะไรเลย จนทนไม่ไหวถึงเข้าไปหาท่านนะเข้าไปหาท่านว่า พระ ๒ องค์นี้มาทำไม “ตุ๊มาทำไม”

“มาหาภาวนา มาหาพุทโธ พุทโธๆหาย พุทโธหายพุทธะหาย”

พวกชาวเขา พวกมูเซอ“เราจะช่วยหาได้ไหม เราจะช่วยหาได้ไหม”

หลวงปู่มั่นบอก “ดีสิ ถ้ายิ่งช่วยหามันยิ่งได้เจอเร็ว”

เขาก็เดินจงกรมของเขา หาพุทโธของเขา เขาแสวงหาของเขา เขาทำของเขาด้วยความซื่อสัตย์ของเขาด้วยตามความเป็นจริงของเขาเขาทำของเขาเวลาจิตเขาสงบลงได้ จิตเขาสงบลงได้นะพอจิตเขาสงบลงได้ มันสว่างไสวไปหมด นี่กำเนิดพุทโธ กำเนิดพุทธะไง พอจิตสว่างไสวไปหมด เขากำหนดดูมาที่องค์หลวงปู่มั่นพอเช้าขึ้นมามาหาหลวงปู่มั่นนะ “ไหนว่าพุทโธหายๆ พุทโธตุ๊ไม่หาย พุทโธตุ๊สว่างไสวพุทโธตุ๊ไม่มีสิ่งใดในหัวใจเลยพุทโธตุ๊สว่างไสว ไหนว่าพุทโธหายไง” นี่เขาทำของเขาได้ นี่กำเนิดพุทธะ

กำหนดพุทโธๆแสวงหาขึ้นมาจนใจมันเป็นพุทโธ พอใจเป็นพุทโธ เขากำหนดใจของเขา เพราะเขาทำไร่ของเขามันมีหมูป่า มันมีสัตว์ป่าเข้ามากินพืชไร่ของเขา เขากำหนดจิตของเขานะพอกำหนดจิตของเขาเพ่งไปที่สัตว์นั้น สัตว์นั้นพอโดนกสิณไฟโดนความร้อนมันจะร้อง มันจะหนีไป แล้วเขาก็ไปดูว่ามีรอยจริงหรือเปล่าเขาไปรายงานหลวงปู่มั่นว่าเขากำหนดพุทโธแล้ว แล้วพอจิตสงบแล้วพุทธะ กำหนดเข้าไปป้องกันพืชไร่ของเขาไล่สัตว์ที่เข้ามากินพืชไร่ของเขาได้

หลวงปู่มั่นบอกว่า “ไม่ควรทำอย่างนั้นไม่ควรทำอย่างนั้น ควรเห็นใจเขา ควรเห็นใจสัตว์นั้น”

นี่สิ่งที่ไม่ควรทำไง กำหนดพุทโธๆๆจิตสว่างไสว มันส่งออกต่างๆมันไม่เป็นประโยชน์ แล้วสิ่งที่ควรทำล่ะสิ่งนั้นไม่ควรทำแล้วควรทำสิ่งใดล่ะ

ควรทำเห็นไหม ถ้าจิตมันสงบเข้ามาถ้ามีสติมีปัญญา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาถ้าพุทธะสว่างไสว พุทธะผ่องใส ควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สิ ถ้าควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำอย่างไรถึงเป็นประโยชน์ล่ะ

ถ้าจิตมันสงบนะ ถ้าพิจารณาเห็นกาย ความที่เห็นกายขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบแล้ว กำหนดพุทโธๆ จิตสงบเห็นกายกายขึ้นมา มันจะเห็นภาพกายขึ้นมา เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ให้พิจารณาอย่างนั้น

สิ่งที่ควรทำ ควรทำเพื่อชำระล้างกิเลสควรทำเพื่อประโยชน์กับเรา เห็นไหม แต่สิ่งที่พอมันมีกำลัง มีฤทธิ์มีเดชส่งออกไปข้างนอก มันไม่เป็นประโยชน์มันไม่เป็นประโยชน์แล้วมันจะเป็นโทษด้วย แต่ถ้ามันเป็นประโยชน์ล่ะ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์นะกำเนิดพุทธะแล้วเอาพุทธะมาทำสิ่งใด เอาพุทธะมาทำประโยชน์กับเรา กับทำสิ่งใดแต่เรามันหาไม่เจอไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาที่สวนลุมพินีวันพอเกิดขึ้นมา“เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” แต่การเกิดมาชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายก็ยังอยู่ในโลก พระเจ้าสุทโธทนะดูแลรักษามาตลอดนี่การเกิดมาโดยไม่รู้จักพุทธะ ไม่รู้ไม่เห็น แต่เกิดมาแล้วเป็นมนุษย์เป็นมนุษย์โดยมีศักยภาพ ทำสิ่งใดก็แล้วแต่คนดีทำสิ่งดีก็สร้างอำนาจวาสนาบารมีศึกษาๆ เป็นคนดี เด็กดี เป็นคนหนุ่มที่ดี เป็นคนที่มีครอบครัวที่ดี ทุกอย่างดีไปหมด นี่ก็ดีของโลกไง ดีของโลก แต่ไม่รู้จักไม่เห็นจริงตามความเป็นจริง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆมันก็เป็นเรื่องโลกๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาถึงเห็นพุทธะตามความเป็นจริง เห็นที่มาที่ไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตถ้ามันไม่สิ้นกิเลส มันมาจากไหนย้อนอดีตชาติไป จิตมันมาจากไหน เวลาเกิดแล้วถ้ามันชำระล้างกิเลสไม่ได้ จิตนี้ยังต้องจุตูปปาตญาณจะต้องเวียนตายเวียนเกิดถ้ามีวิชชา ๓ชำระ อาสวักขยญาณในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้จบโลกนอกโลกในโลกนอกคือความหมุนเวียนไปของวัฏฏะโลกในคือโลกของกิเลส ชำระล้างกิเลส

ถ้าผู้รู้จริงแล้ววางพุทโธ พุทโธเป็นชื่อ แล้วเรากำหนดพุทโธๆ เรากำหนดพุทโธเป็นคำบริกรรม เป็นความจริงของเราขึ้นมา ฉะนั้นสิ่งที่เราจะรู้จักพุทโธของเราได้เราจะรู้จักความจริงของเราได้เราต้องมีการกระทำของเรามาถ้าเราไม่มีการกระทำของเรามา เราไม่รู้จักไง

ทีนี้เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม เราก็รู้จัก รู้จักแต่ชื่อรู้จักเพราะเราศึกษาทฤษฎีศึกษามาเป็นภาคปริยัติปริยัตินี้เป็นชื่อทั้งนั้นน่ะ มันไม่เป็นความจริงกับเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นชื่อขึ้นมา เราถึงไม่รู้จักตัวเราเองไงเราไม่มีพุทโธตามความเป็นจริงไง ถ้าคนที่ไม่มีพุทโธตามความจริง เรามาจากไหน เรามาจากไหน เรามาหยิบฉวยเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นสมบัติของเราๆเราไม่หน้าด้านเกินไปหรือ เราไม่หน้าด้านเกินไปใช่ไหมว่าเรารู้ธรรมะตามความเป็นจริง รู้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามความเป็นจริง มันไม่รู้จริงหรอก มันไม่มีความเป็นจริงในใจของเรา

ทีนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราถึงได้ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาจากที่ตักสิลาศึกษามาเพื่อความเป็นกษัตริย์ นี่วิชาการทางโลก เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริงแล้ววางธรรมไว้ตามความเป็นจริงเราศึกษามันเป็นโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางปริยัติ การศึกษานี้เป็นภาคปริยัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมาเป็นภาคปฏิบัติปริยัติ ปฏิบัติปฏิเวธ

พอเราศึกษามาเป็นภาคปริยัติ เรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา เราจะปฏิบัติของเราให้เป็นความจริง เรารู้มาโดยทฤษฎี เรารู้มาโดยความจำเราจะไม่มีความจริง ฉะนั้น เราถึงไม่รู้จักว่าจิตนี้มาจากไหนมาเกิดในครรภ์ของมารดา เป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่กัน มันมาจากไหน เราไม่รู้หรอก ถ้าเราไม่รู้เป็นความจริง เราก็มีกิเลสครอบงำในใจ ถ้าเรามีกิเลสครอบงำในใจ เราจะทำความจริงอย่างไร เราจะกำหนดพุทโธไหม ถ้าเรากำหนดพุทโธ มันก็เป็นชื่อเหมือนกัน เรากำหนดพุทโธ เพราะสัญชาตญาณธรรมชาติของมนุษย์เป็นแบบนั้น มีธาตุ ๔และขันธ์ ๕ ถ้ามีธาตุ ๔ และขันธ์๕

เราทางโลกนะ เราไปทำวิชาชีพ เราก็ใช้ปัญญาของเราใช้สมองของเราใช้วิชาการของเราเพื่อแสวงหาเรื่องผลประโยชน์กับเรานี่พูดถึงว่าเราทำงานทางโลกแต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติล่ะ เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดแล้ว ทีนี้เราจะปฏิบัติล่ะนี่ไง ถ้าเราปฏิบัติ เราเชื่อเราเชื่อมั่น มีศรัทธาความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ เราจะปฏิบัติให้ตามความเป็นจริงขึ้นมา ถ้าปฏิบัติตามความจริงขึ้นมา เรากำหนดพุทโธๆๆ กำหนดพุทโธ พุทโธเป็นคำบริกรรม กำหนดจริงๆ นะ

ถ้ากำหนดไม่จริงเวลาเราปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานกันอยู่นี่แล้วคนทุกคนก็เรียกร้อง เห็นไหม ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าถ้าใครปฏิบัติเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องดีงาม การปฏิบัติต่อเนื่อง๗ วัน ๗ เดือน ๗ปี อย่างน้อยได้เป็นพระอนาคามี

แล้วเราก็ตั้งมั่นกันเพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติ เราก็ว่าเราปฏิบัติถูกต้องๆ...ถูกต้องของกิเลสไง ถูกต้องของความรู้ความเห็นของเราไง ถูกต้องเราไม่มีขันติธรรม เราไม่มีความอดทนพอถ้าเรามีขันติธรรมนะ เราพยายามกำหนดพุทโธๆโดยธรรมชาติคนดิบๆ กิเลสเรามันยังหนาเรามาพุทโธๆมันทำไม่จริงไม่จังหรอก มันจริงจังก็จริงจังของโลก จริงจังโดยความเห็นของเรา ถ้ามันจริงจัง เพราะมันมิจฉาทิฏฐิความมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด ความเห็นผิด เพราะกิเลสมันชักจูงไป มันมีความเห็นอย่างนั้น

แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิล่ะ เราบอกว่าเราก็มีความเห็นถูก เพราะเราพยายามกลั่นกรองด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นสัมมาทิฏฐิพยายามทำให้ถูกต้อง วางใจไม่ให้เกร็งเกินไป ไม่ให้เคร่งเกินไป ไม่ให้เบียดเบียนตัวเองจนเกินไปวางใจให้เป็นกลางๆ แล้วกำหนดพุทโธๆ ไปกำหนดพุทโธไป

เริ่มต้นสติ พอเราเริ่มต้นกำหนดพุทโธชัดๆ เดี๋ยวมันก็จางลงๆ สติมันก็อ่อนไปเพราะอะไรเพราะกิเลสมันอยู่กับเราไงเพราะกิเลสมันอยู่กับหัวใจของเรา เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่เวลากิเลสมันนอนหลับ กิเลสมันยังไม่ตื่นขึ้นมา เราจะทำสิ่งใด เราตั้งใจเราไป เราปฏิบัติ เราจะทำให้มุมานะเราจะทำของเราให้เต็มกำลังของเรา พอทำแล้วสักวันสองวันมันเปลี่ยนแล้ว มันมีข้อต่อรองในใจแล้วกิเลสมันเริ่มงัวเงียนะ มันยังไม่ได้ตื่น ถ้ามันตื่นขึ้นมานะ มันจบเลย

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า อวิชชากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยู่ในหัวใจของเราแต่เรามีอำนาจวาสนาได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนา วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นการยืนยันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดวันนี้ตรัสรู้วันนี้ แล้วก็ปรินิพพานวันนี้ มีความจริงอยู่ที่นี่ กำเนิดพุทธะเกิดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้จริงขึ้นมาแล้ววางธรรมและวินัยนี้ไว้ให้เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราก็พยายามจะทำความจริงของเราขึ้นมาให้มันเกิดพุทโธพุทโธๆๆ ถ้าพุทโธถึงที่สุดนะมันพุทโธจนพุทโธไม่ได้ ถ้าพุทโธไม่ได้ นั่นล่ะตัวพุทธะ นี่ถ้าเราเจอพุทโธจริง

ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นท่านให้ชาวมูเซอช่วยหาพุทโธหาพุทโธ เขาก็หาของเขาเจอแต่หาของเขาเจอ อำนาจวาสนาของเขามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าอำนาจวาสนาของเขามีมากขึ้นมา เขาพยายามจะทำสัมมาสมาธิของเขาให้ยกขึ้นสู่วิปัสสนาถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าไม่ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่ประพฤติปฏิบัติมา ๖ ปี แสวงหาอยู่ ใครจะพูดอย่างไร ใครชักนำไปอย่างไร เราไม่มีความจริง เราก็ไม่เชื่อเขา แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันควรทำอย่างใดแต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาตามความเป็นจริงแล้ว ได้ทดสอบมากับความเห็นผิดมา๖ ปี สิ่งที่เจ้าลัทธิต่างๆ เขาดึงไป ๖ ปี ความที่เขาชักนำไปแต่เราไม่มีสิ่งใดจะโต้แย้งกับเขา แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันเห็นผิดหมดล่ะ สิ่งที่ทำมานี่รู้ว่าผิดรู้ว่าถูกหมดล่ะ แล้วสิ่งที่ถูก ถูกทำอย่างใด ถ้าถูกทำอย่างใดเวลาทำถูกขึ้นมา อะไรถึงถูกล่ะ แล้วถ้าทำถูกขึ้นมา มันมีสิ่งใดที่มันโต้แย้ง มันมีสิ่งใดที่ชักนำให้ลงต่ำล่ะ

ฉะนั้นหัวใจของสัตว์โลก จะรื้อสัตว์ขนสัตว์สัตว์โลก สัตว์โลกที่เขาน้อมใจเขาลงสู่ธรรม ถ้าน้อมใจเขาลงสู่ธรรม เขาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ปฏิบัติอย่างใด ถ้ายังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ เขาตั้งใจปฏิบัติขึ้นมา แล้วถ้ากิเลสมันได้การควบคุมดูแลการปฏิบัตินั้นมันก็มีโอกาสบ้าง แต่ถ้ากิเลสมันฟื้นตัวขึ้นมากิเลสมันมีกำลังมากกว่า ล้มลุกคลุกคลานอย่างใด

ฉะนั้นเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นสภาวะแบบนั้นถึงบอกว่า ถ้ากำหนดพุทโธ พุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ ไว้ มีสติสัมปชัญญะถ้าพุทโธๆๆ จนมันพุทโธไม่ได้ถ้าพุทโธยังพุทโธได้อยู่ แล้วจิตมันสงบระงับเข้ามา อันนั้นก็เป็นอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาของเรานะ ถ้าจิตสงบแล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาของเราเพื่อปัญญานี้จะกลับมาทำให้ความสงบง่ายขึ้น เพื่อให้ปัญญานี้กำหนดพุทโธ มันก็มีปัญญาคอยประคอง ถ้าพุทโธของเรานะพุทโธด้วยศรัทธา พุทโธด้วยความเชื่อพุทโธๆ ก็ล้มลุกคลุกคลาน

กำเนิดพุทธะ กำเนิดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำเนิดในใจของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ กำเนิดในใจของพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล แต่ถ้ามันจะกำเนิดกับเราล่ะ กำเนิดพุทธะนะ กำเนิดนั้นมันก็เป็นแต่ชื่อ มันกำเนิดมาแล้วมันก็เป็นทางทฤษฎี เป็นวิชาการ เป็นสัจจะความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่เป็นสัจจะความจริงกับเรา

ถ้าเป็นสัจจะความจริงกับเรานะ เรากำหนดสิ เรามีสติสิ กำหนดพุทโธๆๆ แล้วมีสติ แล้วมีสิ่งใดเป็นอุปสรรคการปฏิบัติแล้วมันไม่สมประโยชน์สิ่งใดเราก็แยกแยะของเราสิ เราก็พยายามทำของเราสิ ถ้าเราใช้อุบาย เราใช้วิธีการแยกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกถ้าทำแล้วมันได้ประโยชน์ขึ้นมา

พุทโธๆๆด้วยความหยาบของเรา พอพุทโธๆ พอมันละเอียดขึ้น มันดีขึ้น เราด้วยการอยากได้ ด้วยความอยากให้มันประสบความสำเร็จ เราเองมันปฏิบัติไปแล้วสติอ่อนปัญญาอ่อนด้อย มันสงบแล้วมันร่มเย็นขึ้นมา ตื่นปล่อยวางซะพอปล่อยวางแล้ว แล้วบอกว่า “มันพุทโธไม่ได้ เพราะถ้าพุทโธแล้วจิตมันจะหยาบออกมาถ้าเรากำหนดพุทโธมันละเอียดแล้ว”

เพราะเราไม่เคยเห็นสมบัติ เราไม่เคยเห็นอริยทรัพย์ เราไม่เคยเห็นสมบัติที่มันมีคุณค่ามากกว่านี้ แค่จิตใจของเราหยาบกระด้างอยู่กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากแค่ปล่อยวางเป็นชั่วครั้งชั่วคราวมา เราก็ตื่นเต้นขนาดที่ว่าเราทำสิ่งใดไม่ได้ ทำสิ่งใดไม่ได้เลยหรือถ้าทำสิ่งใดไม่ได้ เวลาปฏิบัติจะล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้พอจิตเริ่มจะดีขึ้น เราก็ประมาทเลินเล่อซะ เวลามันเสื่อมไปนะ ทุกข์ร้อนๆมีแต่ความวิตกกังวล แล้วจะเอาให้ได้ๆ

แต่ถ้าเราไม่เคยเจอสิ่งใดเลย เราก็ไม่มีสัญญาจะให้มั่นหมาย แต่พอเราเคยจิตใจสบายๆ เราก็อยากได้สิ่งนั้นๆสิ่งนี้มันก็มารบเร้าใจเราตลอดเวลา ทั้งๆที่เวลาทำความเพียรมันก็ต้องตั้งสติ มันก็ต้องมีความเข้มแข็งอยู่แล้ว ทำนี่มันก็ลำบากพอตัวอยู่แล้ว ยังมีตัณหาซ้อนมาซ้อนมาอ้างเหตุอ้างผล อ้างว่าเราควรจะทำอย่างนั้น เราควรจะได้อย่างนี้ นี่มันซ้อนมา

ถ้าเราวางซะ เราต้องมีปัญญา ถ้าเราคิดอย่างนี้เราหวังอย่างนี้เราจะทุกข์ร้อนอยู่ตลอดไปแต่ถ้าเราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมมันมีอยู่จริงของมัน ถ้ามีอยู่จริงของมันถ้าเราทำความเป็นจริงตรงกับความเป็นจริงนั้น สัจธรรมนั้นจะเกิดเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในใจของเรา

ฉะนั้นสิ่งที่มันทำแล้วมันไม่ได้ผลก็วางไว้ แล้วตั้งสติของเรากำหนดของเรากำหนดของเราให้ชัดๆ ไว้อย่าให้สิ่งใดแทรกแซงมาคำว่า “ชัดๆ ไว้” เราก็จะไปยึดมั่นอีก มันแทรกแซงเข้ามา พุทโธๆ จนพุทโธละเอียดเข้าไป อย่าทิ้ง! จำไว้ อย่าทิ้ง! เกาะพุทโธเข้าไปจนถึงที่สุด พยายามตะโกนพุทโธมันก็ตะโกนไม่ได้ ถ้าตะโกนไม่ได้ มันจะเข้าไปสู่นั่นล่ะกำเนิดพุทธะ

ถ้ากำเนิดพุทธะเกิดขึ้นมานะ ถ้าใครมีอำนาจวาสนามันจะรู้สิ่งต่างๆมันเป็นสิ่งที่อำนาจวาสนาจิตของคนไม่เหมือนกัน คนที่สร้างอำนาจวาสนามามากมันจะผ่องใส มันจะสว่างไสว มันจะรู้สิ่งแปลกๆคนที่พุทโธๆ เข้ามาแล้วสงบเข้ามาเฉยๆ สงบนิ่งๆ เข้ามาโดยที่ไม่มีสิ่งใดเลย อันนั้นก็เป็นอำนาจวาสนาบารมีของเรา

เราไม่ได้ปฏิบัติพุทโธเราไม่ได้กำหนดพุทโธเพื่อจะมาอวดอ้างกัน เราไม่ใช่กำหนดพุทโธเพื่อจะมาประกวดกับใคร เราไม่ต้องการให้จิตของเราไปประกวดกับจิตของใครว่าจิตของใครมันจะดีงามกว่าของใคร จิตของเราก็คือจิตของเรากุศลของเราก็เป็นกุศลของเรา อกุศลในใจที่มันสร้างมาสิ่งใดมันเสวยก่อน ถ้าเป็นกุศลขึ้นมา จิตเป็นกุศล จิตที่เป็นธรรม มันได้เสวยความสุขก่อน แล้วเวลามันเสื่อมไปเวลามันทุกข์ร้อนไป อกุศลเกิดกับใจแล้วถ้าอกุศลเกิดกับใจนะ เราปฏิบัติเพื่อใจของเราเราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะเอาคุณงามความดีของเราไปประกวดกับใคร ถ้าเราไม่ประกวดกับใครนะ ใครจะสว่างไสว ใครจะผ่องใส ใครจะรู้เห็นสิ่งใด นั้นเป็นอำนาจวาสนาของเขา

แล้วถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยคุม คอยดูแลของเขา สิ่งนั้นคนไม่เคยรู้เคยเห็น พอรู้เห็นสิ่งใดขึ้นมาก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆทั้งๆ ที่มันเป็นหญ้าปากคอกเพิ่งจะเริ่มประพฤติปฏิบัติเพื่อให้รู้จักตัวตนตัวจริงของเรา ตัวจริงของเราคือตัวจิตของเรา จิตของเราเวียนตายเวียนเกิดไปในวัฏฏะ มันไม่รู้จักตัวของมันเลย เกิดชาติใดเกิดภพใดก็เข้าใจว่าภพนั้นชาตินั้นเป็นตัวตนของตัว เกิดภพใดเกิดชาติใดเพราะอำนาจวาสนาของเวรของกรรมทำให้เกิดภพนั้นชาตินั้น แล้วภพนั้นชาตินั้นได้สร้างบุญญาธิการ ได้สร้างบาปอกุศลกับภพชาตินั้นได้มากน้อยขนาดไหน มันไม่เคยรู้ตัวมันเองเลย

แต่กำหนดพุทโธๆ จนจิตสงบระงับเข้ามา เรารู้เราเห็นของเรา เห็นไหมกำเนิดพุทธะอย่างนี้เรารักษาพอรักษาขึ้นมาฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญานะน้อมไปสู่กายถ้ามีอำนาจวาสนามันจะเห็นกาย เห็นเป็นอวัยวะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เห็นแล้วมันก็มีความดูดดื่มมากขึ้น จิตสงบนี้มีรสชาติอย่างหนึ่ง เวลาจิตสงบแล้วมีรสชาติอย่างหนึ่ง ถ้าเราพยายามฝึกหัดใช้ปัญญา น้อมไปสู่กาย สู่เวทนา สู่จิต สู่ธรรม ถ้ามันน้อมไปไม่ได้มันก็มีความสุขในความสงบของใจ แต่ถ้ามันน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนาเห็นจิต เห็นธรรม ถ้ามันจับต้องได้ เราจะได้ทรัพย์มากขึ้นถ้าเราได้ทรัพย์มากขึ้นมันจะยิ่งมีรสชาติมากขึ้น มีรสชาติ มีรสชาติเพราะมันเป็นความจริง

แต่เดิมมา จิตของเราพอจิตของเรามันไม่สงบ จิตของเรา เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เราบอกว่าเราเป็นนักปราชญ์ เรามีความรู้ เรากำหนดได้ เรากำหนดกายก็ได้เรากำหนดเวทนาก็ได้ เรากำหนดจิตก็ได้เรากำหนดธรรมก็ได้เพราะมันมีอยู่กับตัวเรา สิ่งที่เรากำหนดนั้นมันกำหนดโดยกิเลส กำหนดโดยความเห็นผิดของตัว ถ้ากำหนดโดยความเห็นผิดของตัว มันก็เห็นสภาวะ มันเป็นวิชาการทางโลก มันเป็นเรื่องของโลกียปัญญา พอโลกียปัญญากำหนดสิ่งใดมันก็รับรู้ของมัน เพราะมันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ พอมันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง แต่เราจับของเราด้วยปัญญาทางโลกของเรา แล้วเราก็เอามาพิจารณา ถ้าเราพิจารณา มันเป็นตรรกะ มันเป็นตรรกะมันก็เข้าใจของมันมันก็มีรสชาติของมัน เราก็เข้าใจเอาเองไงว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเวลาพิจารณาไปแล้วผลของมันก็คือการปล่อยวางถ้ามันปล่อยวางนะ แล้วปล่อยวางแล้วทำอย่างไรต่อไป ปล่อยวางทำอย่างไรต่อไป

เพราะมันไม่มีกำเนิดพุทธะมันไม่มีจิตที่สงบมันถึงพิจารณาต่อเนื่องไปไม่ได้มันต่อเนื่องไปไม่ได้เพราะอะไรเพราะมันเป็นโลกียปัญญามันเป็นเรื่องโลก เรื่องโลกคืออะไร โลกคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันให้เรารู้ได้แค่นี้ไง แต่เพราะวันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางธรรมไว้ตามความเป็นจริง แล้วปฏิบัติจริง มันจะเข้าไปสะเทือนสู่กิเลสสะเทือนสู่หัวใจดวงนั้น

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ท่านถึงวางหลักเกณฑ์มาให้เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้ว ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา มันก็มีความสุขของมัน พอจิตสงบแล้ว มันมีพุทธะพอพุทธะแล้วเราเอาพุทธะนี้ไง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เบิกบานในอะไรล่ะ

สิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำ สิ่งที่ไม่ควรทำคือไม่ควรส่งออก ไม่ควรไปรับรู้เรื่องโลก แต่สิ่งที่ควรทำล่ะ สิ่งที่ควรทำ น้อมไป น้อมไปสู่กาย สู่เวทนา สู่จิต สู่ธรรม ถ้าคนมีอำนาจวาสนามันจะเกิดขึ้นเองถ้าเกิดขึ้นเองด้วยอำนาจวาสนานะอำนาจวาสนาของคน บางทีเกิดขึ้นเองครั้งสองครั้ง แล้วต่อไปมันก็ไม่เกิดบางคนเกิดขึ้นเอง มันจะมีความชำนาญขึ้นไป แล้วจับต้องขึ้นไปพิจารณาเข้าไปแยกแยะขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่ขิปปาภิญญา ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย

แต่ถ้าเราเวไนยสัตว์ล่ะ คนชั้นกลางล่ะ เราต้องหาอยู่หากินของเราเอง เราต้องตั้งสติของเราเอง เราต้องทำสมาธิของเราเอง เราต้องใช้ปัญญาของเราเอง เราก็ต้องมีสติปัญญาที่ละเอียดอ่อนประคองดูแลสถานะเราสถานะของจิตที่มันสงบ มันก็มีความสุขความสงบของมันความสุขความสงบนะ

เวลาจิตสงบแล้ว ผู้ที่มีอำนาจวาสนาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรมตามความเป็นจริงเขาก็จับของเขาแล้วพิจารณาของเขาไปดำเนินของเขาไป สิ่งที่ควรทำๆ

สิ่งที่ไม่ควรทำ จิตสงบแล้วออกรู้ต่างๆแล้วจิตสงบแล้วไม่รู้จักดูแลรักษา พอจิตสงบแล้วก็เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นมรรคเป็นผล เป็นมรรคเป็นผลแล้วก็เรียกร้องเอา ว่าเราปฏิบัติแล้วจะเรียกร้อง นี่สิ่งที่ไม่ควรทำ

สิ่งที่ควรทำ ถ้าจิตสงบแล้ว มันก็เป็นความสุขของเราใช่ไหม เราไม่ได้ปฏิบัติมาเพื่อไปประกวดกับใคร เราไม่ได้ปฏิบัติมาเพื่อจะอวดใครเราปฏิบัติมาเพื่อพรหมจรรย์ของเรา เราปฏิบัติมาเพื่อความชำระล้างกิเลสของเราถ้าจิตสงบเข้ามา เราก็รู้จักตัวตนของเราถ้าเรารู้จักตัวตนของเรา เราเป็นชาวพุทธแท้ ชาวพุทธแท้

ชาวพุทธโดยทะเบียนบ้าน เขาก็ว่าเป็นชาวพุทธของเขา เขาก็ดำรงชีวิตของเขาแบบโลกๆแล้วเขาก็หาความสุขความสะดวกของเขาในทางโลก เราเป็นชาวพุทธแท้ชาวพุทธแท้เพราะอะไรเพราะเราเป็นพุทธที่หัวใจ เราไม่ได้เป็นพุทธที่ทะเบียนบ้านเราเป็นชาวพุทธที่หัวใจเพราะเรากำหนดพุทโธ เรากำหนดพุทธานุสติ เรากำหนดพุทโธๆ ของเรากำหนดพุทโธเพราะเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธภาษิต ให้ทำกรรมฐาน ๔๐ห้อง ให้ทำความสงบของใจ ให้ทำสมถะขึ้นมาสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน

วิปัสสนากรรมฐานเพราะเกิดจากสมถกรรมฐานถ้าไม่มีสมถกรรมฐาน มันก็เป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของโลก เรื่องจินตนาการ เรื่องการจินตมยปัญญา เรื่องของโลกๆ ที่พิจารณาของเราไป มันก็มีรสชาติแค่นั้นแหละ มันก็มีรสชาติแบบโลกนั่นแหละ ที่บอกว่าเราเข้าใจธรรมๆ นั่นแหละแต่จริงๆ แล้วไม่เข้าใจ ถ้าจริงๆไม่เข้าใจเพราะอะไร เพราะมันไม่รู้จักพุทธะ มันไม่มีกำเนิดพุทธะ มันไม่มีความจริงในหัวใจ

แต่ถ้ามีความจริงในหัวใจ เพราะจิตสงบมีความจริงในหัวใจ พอมีความจริงในหัวใจ เราน้อมไปๆ สิ่งที่ควรทำ เราน้อมไปสู่กาย สู่เวทนา สู่จิต สู่ธรรม พอน้อมไป มันจับต้องได้ พอปัญญามันจับต้องได้ มันพิจารณา ถ้ากำลังมันพอพิจารณาแล้วมันมีเหตุมีผลของมัน มีเหตุผลของมันหมายความว่าถ้าเห็นกายกายมันย่อยสลายไป กายมันแปรสภาพไป การแปรสภาพ ของที่มันเปลี่ยนแปลงต่อหน้า ของที่มันเปลี่ยนแปลงต่อหน้าเราไม่เห็นหรือ ดูตาของคนตาที่ไม่พิการนะเขาจะเห็นภาพของเขาชัดเจนของเขา นี่ตาเนื้อนะ ตาเนื้อเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ตาเนื้อเห็นได้แต่วัตถุ

ตาธรรมจกฺขุํ อุทปาทิาณํ อุทปาทิจักขุญาณมันเกิด ถ้าจักขุญาณมันเกิด ตาใจมันเห็น สิ่งที่แปรสภาพให้เห็นอย่างนี้มันเป็นไตรลักษณ์ถ้าเป็นไตรลักษณ์รสชาติมันเป็นอย่างไร สิ่งที่เราศึกษากันมามันเป็นวิชาการศึกษากันมาจนปากเปียกปากแฉะ ศึกษากันมา รู้ทุกอย่างเลย รู้ทุกอย่างเลย แต่ไม่รู้อะไรเลย รู้ทุกอย่างเลย รู้เพราะการศึกษา รู้เพราะการฟังธรรม แต่การปฏิบัติขึ้นมามันไม่มีความจริงในหัวใจเราสักชิ้นหนึ่ง

แต่จิตสงบเข้ามา มันก็มีผลงานของเราชิ้นหนึ่ง จิตสงบแล้ว นี่กำเนิดพุทธะแล้ว ถ้าใช้ๆปัญญาไป มันพิจารณาไปรสชาตินะ คนเวลาเราปฏิบัติเราทุกข์เรายากเราทุกข์เรายากเพราะเราปฏิบัติแล้ว สิ่งต่างๆ มีแต่อุปสรรค มีแต่ความทุกข์ พอจิตสงบขึ้นมามันมีความสุข เวลาฟังธรรมๆ นะ เวลาจิตสงบเข้ามาจิตดับ คำว่า“จิตดับถึง ๓ วัน” คือว่ามันไม่ออกรับรู้ มันทรงตัวของมันมันมีความสุขเดินไปไหนนะมันเหมือนลอยตัวนี้เบาไปหมดนะ นี่รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง มันมีรสของความสุขรสของธรรมมาเจือจานในหัวใจของเรา

แล้วจิตสงบแล้วมันเห็นกาย เห็นเวทนาเห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงพิจารณาแยกแยะ พอแยกแยะขึ้นมากำลังมันจะมีไปเพราะมีสติ มีสมาธิ มันถึงมีกำลัง พอมีกำลังพิจารณาไป มันจะเป็นไตรลักษณ์ มันจะแปรสภาพให้เราเห็นๆ แต่ถ้ากำลังเราอ่อนลง เราทำบ่อยครั้งเข้าๆเราใช้เชื้อเพลิงตลอดเวลา แล้วเชื้อเพลิงมันเบาลง เชื้อเพลิงมันอ่อนลง สิ่งที่เราจะทำต่อไปมันจะไม่สะดวกแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน เราพิจารณาไปแล้วคนถ้าพิจารณาไปแล้วนะ มันล้มลุกคลุกคลานเหมือนกันเวลาทำความสงบก็ทำความสงบแสนยากเวลามันใช้ปัญญามันยากกว่าอีก มันยากกว่าเพราะอะไรเพราะมันละเอียดอ่อนกว่า เราหาทุนนะ สมาธิคือทุนกำเนิดพุทธะพุทธะ เรามีวัตถุดิบของเราแต่เราจะมากอปรให้มันเป็นมรรคญาณประกอบขึ้นมาให้ธรรมจักรมันเคลื่อนธรรมจักร จักรสมดุลของมันมัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลของงานชอบ เพียรชอบระลึกชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ ความชอบธรรมมันเกิดเกิดเพราะว่าเราฝึกหัด เราใช้ปัญญาของเรา ถ้ามันชอบธรรม มันก็ปล่อย พอปล่อยแล้ว เราเคยทำได้ เราทำต่อไปอีก เราจะทำให้เหมือนเดิม ถ้าให้เหมือนเดิมมันก็ไม่เหมือน

ไม่เหมือนเพราะหนึ่ง พลังงานนี้แตกต่างกันกิเลสที่มันยังไม่รู้เท่า เราทำสิ่งใดไปเป็นธรรมขึ้นมา มันก็เกิดขึ้นเป็นสัจจะความจริงพอกิเลสรู้เท่ามันต่อรองแล้วมันอ้างอิงแล้วมันสร้างภาพให้ก่อนเลย “ทำมาอย่างนี้นะ แล้วมันก็จะปล่อยวางอย่างนี้นะ” แล้วปล่อยวางอย่างนี้มันก็เป็นสัญญา สัญญาแล้วเราก็จับ พอเป็นสัญญาแล้วผลมันก็จืดชืดพอจืดชืดขึ้นมาเราจะต้องให้เป็นปัจจุบัน

ปัจจุบันเราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าทำความสงบของใจเข้ามามากขึ้น แล้วเราย้อนกลับไปพิจารณา หมั่นคราดหมั่นไถในมุตโตทัย ในเทศน์ขององค์หลวงปู่มั่นท่านจะบอกเลยว่าทำนา ใครๆ ก็ทำนาลงที่ดินนั่นล่ะ ใครๆ ก็ทำที่นานั่นน่ะทำนาก็ได้ข้าวทุกปีๆ นั่นล่ะ ทำซ้ำทำซาก มันก็ได้ผลประโยชน์มาตลอด เพราะคนเราได้ทำนาๆทำนามาเพื่อข้าว ได้ข้าวมาเพื่อไปดำรงชีวิต

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติขึ้นไปก็ต้องสอนจิตๆ จิตมันกินทุกวัน กินแล้วกินเล่า กินธรรมไงสัจธรรม ให้จิตมันได้พิสูจน์ได้ตรวจสอบพุทธะๆ ให้มันได้แยกแยะ ได้ดูแลของมันพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ให้มีความชำนาญขึ้นมา ถ้ามีความชำนาญขึ้นมา จากกำเนิดพุทธะมันจะเกิดธรรมจักร เกิดสัจธรรม นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง นี่ไงวิปัสสนาญาณๆไง

บอกว่า“มันต้องเป็นวิปัสสนา ถ้ากำหนดพุทโธมันเป็นสมถะ มันจะไม่เกิดปัญญาๆ”

ไอ้ปัญญาๆ อย่างนั้นมันเป็นจินตนาการ มันเป็นตรรกะ มันไม่มีอยู่จริง มันไม่มีอยู่จริงหรอก เพราะมันเป็นเรื่องโลกโลกกับธรรมปฏิบัติโลกก็ได้โลก ปฏิบัติธรรมมันต้องเข้าถึงธรรม มันถึงจะเป็นธรรมปฏิบัติโลกมันจะเป็นธรรมได้อย่างไร ปฏิบัติโลกก็เป็นโลกไง

แต่ถ้าปฏิบัติธรรมปฏิบัติธรรมมาจากไหน ศีลสมาธิ ปัญญา

แล้วเขาบอกนะ “นี่ปฏิบัติโลกก็ศีลสมาธิ ปัญญาเหมือนกัน มันแตกต่างกันตรงไหน”

มันแตกต่างกันโดยความเข้าใจผิดไง มันแตกต่างกันโดยที่ไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำไง แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ชี้นำเพราะครูบาอาจารย์ท่านผิดอย่างนั้นมาก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆมาโดยที่ไม่มีธรรม นั่นเขาก็หลงผิดไป แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมจริงขึ้นมา ธรรมจริงขึ้นมา วางไว้ มันเป็นพุทธานุสติ สิ่งต่างๆที่ทำขึ้นมา

ถ้าเป็นปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามีครูบาอาจารย์ท่านพลิกแพลงออกมาเพื่อประโยชน์กับลูกศิษย์ลูกหาแต่มันต้องเป็นผู้ที่รู้จริง ผู้ที่คอยแยกแยะให้เราว่าอะไรผิดอะไรถูก ถ้าอะไรผิดอะไรถูกนะ เรามีครูบาอาจารย์อย่างนั้น

๑. จะทำให้เราไม่หลงทาง

๒. จะทำให้การปฏิบัติของเราสะดวกขึ้น แล้วพอทำไปแล้วมันอบอุ่นใจไง

เราทำด้วยความว้าเหว่นะ เราไม่มีครูบาอาจารย์ เราทำด้วยความว้าเหว่ แล้วพอว้าเหว่ กิเลสของเรามันก็เข้ามาต่อรอง กิเลสของเรามันก็สร้างภาพของเราให้เราล้มลุกคลุกคลานอยู่ตลอดไป แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์มันมั่นใจของเรา แล้วทำของเราได้

สมัยหลวงปู่มั่นท่านอยู่ ท่านบอกเลยนะ “แก้จิตแก้ยากนะ ให้หมู่คณะปฏิบัติมา ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ” แต่ในปัจจุบันนี้มีครูบาอาจารย์นะ ถ้าเราปฏิบัติถ้าเราไม่เชื่อใคร เราก็ดูประวัติหลวงปู่มั่นสิ ปฏิปทาของหลวงปู่มั่นสิ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาท่านรู้จริงของท่านท่านได้วางแนวทางของท่านไว้ให้เราได้ก้าวเดิน ถ้าไม่ฟังใคร

ถ้าฟังใคร สิ่งที่เราฟังมา ฟังธรรมๆฟังธรรมก็มาตอกย้ำเราตอกย้ำในหัวใจของเรา มันจะเสียเหลี่ยมเสียคมไปไหน ท่านพูดออกมามันก็เปิดอกมาน่ะ ดีเสียอีก ท่านจะได้เปิดออกมาว่าท่านมีจริงหรือไม่มีจริง พูดออกมา ถ้าไม่มีจริงมันก็เป็นเรื่องของจินตนาการทั้งนั้นน่ะ เรื่องจินตนาการ คนพูดเรื่องจินตนาการมันต้องมีความบกพร่องแน่นอน มันจบกระบวนการมันไปไม่ได้

แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราจริง เรามีครูบาอาจารย์ที่วางธรรมวินัยนี้ไว้แล้ว เรามีครูบาอาจารย์ที่วางข้อวัตรปฏิบัติให้เราก้าวเดินอยู่แล้วแล้วเราก็ปฏิบัติของเราขึ้นมาอยู่ในปัจจุบันนี้ถ้ามันพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรมได้ ซ้ำไปๆสิ่งนี้ปลูกต้นไม้เขารดที่โคนต้นต้นไม้มันจะเจริญงอกงามของมันไป

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็ปฏิบัติในใจของเรา เวลาผู้ที่ปฏิบัติเป็นนะคนภาวนาเป็นเขาจะสงวนเวลาของเขามาก แล้วเขาจะหาความสงบสงัดของเขาแล้วเขาจะเดินจงกรมของเขานั่งสมาธิของเขา ครูบาอาจารย์ของเรานะ ถ้าใครภาวนาเป็นนะท่านพยายามจะให้โอกาส เราอย่าเข้าไปกวนเขา เพราะสิ่งนั้นเขากำลังทำคุณงามความดีของเขาถ้าเขาทำคุณงามความดีเป็นประโยชน์กับเขา แล้วจะเป็นประโยชน์กับเราถ้าเขารู้จริงขึ้นมา

ฉะนั้นคนที่ภาวนาเป็นนะ กิริยาหรือการกระทำมันจะฟ้องเลยฟ้องว่าเขาสงวนรักษาความสงบของเขาอย่างไร เขาจะดูแลใจเขาอย่างไร แล้วพิจารณาของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันเป็นขึ้นมา ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เวลาสมุจเฉทปหาน มันขาด มันขาดทีเดียวเลย ปั๊บ! ขาด! แล้วขาดอย่างไรล่ะ เวลากิเลสมันขาดขาดอย่างไรขาดกลางหัวใจไง ถ้าขาดกลางหัวใจ เห็นไหม

สิ่งที่ว่ากำเนิดพุทธะพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ถ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันมีอะไรมันมีกิเลสมีตัณหาความทะยานอยากที่เป็นนามธรรมเหมือนกันอยู่ในหัวใจไง ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่า“น้ำใสจะเห็นตัวปลา” เราก็บอกว่า ถ้าเราทำจิตให้สว่างไสว จิตผ่องใสแล้วจะเห็นตัวปลา...นี่ความเข้าใจผิดรอไปเถอะ รอปลาไป

ถ้ามันไม่เห็นปลา มันต้องรำพึง มันต้องน้อมไป ถ้าน้อมไปนะ เพราะอำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกันฉะนั้น ถ้าจิตมันผ่องใสๆ มันคืออวิชชา ถ้าจิตผ่องใสโดยหยาบๆ สักกายทิฏฐิ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เวลาสมุจเฉทปหานสังโยชน์ขาด

สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิคือความเห็นผิดพอความเห็นผิดมันขาดไปมันเกิดความสงสัยไหม มันเกิดสีลัพพตปรามาสไหมมันไม่เกิด สิ่งที่มีการพิจารณาพิจารณากายพิจารณาเวทนาพิจารณาจิตพิจารณาธรรมตามความเป็นจริง พิจารณาตรงนี้ การพิจารณาอย่างนี้มันก็เกิดปัญญาขึ้นมา ในเมื่อปัญญาขึ้นมา เราพิจารณาเอง เราทำของเราเอง แล้วมันขาดต่อหน้าเราเอง เวลามันขาดต่อหน้าเราไป สิ่งที่สังโยชน์ขาดไป ขาดไปต่อหน้าแล้วเรารู้ไหม แล้วเราจะสงสัยไหม ถ้าเราไม่สงสัยแล้วทำอย่างไรต่อไปล่ะ

กำเนิดพุทธะ ถ้าจิตมันผ่องใส จิตมันสว่างไสว มันได้สำรอก มันได้คายวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้คายความลังเลสงสัยไปแต่มันยังมีความลึกซึ้ง นี่กิเลสอย่างหยาบกิเลสอย่างกลางกิเลสอย่างละเอียด มีหลานมัน มีลูกมัน มีพ่อมัน มีปู่มัน เห็นไหมความหยาบความละเอียดครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาท่านรู้ของท่านท่านถึงพยายามจะส่งเสริม ดูแลพยายามปลุกเร้าให้ผู้ที่ปฏิบัตินั้นมีกำลังขึ้นมา

ถ้ามีกำลังขึ้นมากำเนิดพุทธะให้มันละเอียดขึ้นไป พุทโธๆต่อเนื่องกันไปพุทโธต่อเนื่องกันไป ถ้าจิตมันสงบขึ้นไป พอมันออกรู้ออกเห็น มันก็จะไปจับกาย จับเวทนา จับจิตจับธรรมจากภายใน ถ้าจับกาย จับเวทนาจับจิต จับธรรมจากภายใน มันมีสติมีปัญญามากขึ้น

มีสติมีปัญญามากขึ้นโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรคแตกต่างกัน ถ้าแตกต่างกัน แตกต่างกันอย่างไรคนปฏิบัติแล้วเขาจะรู้ว่าแตกต่างกันอย่างไรแต่คนที่ไม่เคยปฏิบัติเลยน่ะมรรคคือมรรคพูดวนไปเวียนมาอยู่นั่นน่ะ มันก็อันเดิมๆ

ชื่อมันเหมือนกัน แต่ความหยาบความละเอียดมันแตกต่างกันกิเลสที่มันเป็นกิเลส กิเลสเด็กๆ กิเลสไร้เดียงสา ขนาดไร้เดียงสามันก็ล้มลุกคลุกคลานแล้ว นี่ขนาดกิเลสไร้เดียงสานะ แล้วถ้ากิเลสมันเริ่มมีวัยวุฒิขึ้นมากิเลสมันเริ่มมีอำนาจขึ้นมาเราจะปฏิบัติอย่างไร

ถ้าเราปฏิบัติอย่างไรเรากำหนดพุทโธของเราให้มันละเอียดเข้าไป เราจะต่อสู้กับมันเพราะมันละเอียดลึกซึ้งเราต้องมีความรอบคอบมากขึ้น พอรอบคอบมากขึ้น ถ้าจิตสงบแล้วมันจับของมันได้ ถ้าจับไม่ได้ก็พิจารณาซ้ำเพราะว่าเราภาวนาเป็นแล้วเราภาวนาเป็นแล้ว เราเคยแยกแยะอย่างไร ถ้าไปเห็นกาย เห็นกายแล้วพิจารณากายไปแล้ว กายมันแปรสภาพ มันเป็นไตรลักษณ์ขึ้นมา เราสมุจเฉทปหานกายขึ้นมา พอสมุจเฉทปหานกายขึ้นมามันก็เป็นโสดาบัน

เวลาเป็นโสดาบันขึ้นมากิเลสอย่างหยาบมันก็ออกไป จิตที่ว่าผ่องใสๆ มันเริ่มสะอาดมากขึ้นสะอาดมากขึ้นเพราะอะไรเพราะมันสำรอกคายกิเลสออกไปพอคายกิเลสออกไป พอจิตสงบ มันจับกายจับเวทนา จับจิตจับธรรมขึ้นมาจับกาย จับเวทนา จับจิตจับธรรมที่มันละเอียดลึกซึ้งขึ้นไป ถ้าพิจารณาซ้ำเข้าไปๆ

เวลามันพิจารณาไปแล้วจากที่ว่ากิเลสมันปล่อยวางๆกิเลสที่มันเป็นไตรลักษณ์ที่มันสู่สภาพเดิมของมัน แต่พอเราไปจับกายที่มันละเอียดลึกซึ้งขึ้น เวลามันปล่อยวางขึ้นไปมันสู่สถานะเดิมของมันนะ

ดูสิพิจารณาไปแล้วน้ำระเหยไปเป็นน้ำขึ้นไป น้ำคือน้ำเลือด น้ำลายน้ำต่างๆ ในร่างกายนี้ ถ้าพิจารณาสิ่งที่คมแข็งที่เป็นดิน มันก็กลับไปสู่สถานะที่เป็นดินของมัน ถ้าพิจารณาลม ลมก็คือลมในข้อลมในกระดูกมันก็สู่ลมของมัน พิจารณาธาตุไฟ ธาตุไฟก็อารมณ์ มันก็เป็นธาตุไฟต่างๆ พิจารณาธาตุ ๔ ถ้ามันคืนสู่สภาพของมันมันก็ปล่อยของมัน

พิจารณาซ้ำๆๆ ซ้ำขึ้นมาซ้ำขึ้นมาเพื่ออะไร ซ้ำขึ้นมาเพื่อฝึกหัดใจให้มันเข้มแข็งขึ้นมา เพราะเราไม่ใช่ขิปปาภิญญาที่พิจารณาง่ายรู้ง่าย ซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงที่สุดมันก็ปล่อยของมันๆปล่อยของมันแล้วมีสติปัญญาพร้อมนะถ้าปล่อยแล้วประมาท ปล่อยแล้วว่าสิ่งนี้มันจะเป็นจริงปล่อยแล้วว่า“เราทุกข์ยากมาพอแรงแล้ว ถ้าทำอย่างนี้แล้วมันก็ได้สมประโยชน์แล้ว”

การคาดการหมายใช้ไม่ได้ มันไม่เป็นปัจจุบัน ถ้าพิจารณาซ้ำเป็นปัจจุบัน พอถึงเวลามันขาด มันรวมลงนะ กายกับจิตนี้แยกออกจากกันแยกเลย กายแยกออกจากกัน พอแยกออกจากกัน ในการปฏิบัติ ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ท่านพยายามแสวงหาของท่าน มันหาไม่เจอๆ เพราะมันแยกออกจากกัน โลกนี้ราบหมด แล้วจะไปเจอสิ่งใด ดูสิเวลาเกิดภัยต่างๆ มันกวาดราบไปหมดเลยในโลกนี้ แล้วเราจะไปหาสิ่งใดล่ะ เราหาสิ่งใดไม่เจอเลยถ้าหาสิ่งใดไม่เจอ

เห็นไหมการปฏิบัติขึ้นมา การขุดคุ้ยหา นี่กำเนิดพุทธะแล้ว แล้วพุทธะจะทำอย่างไรต่อไปพุทธะถ้าไม่ทำต่อไป กิเลสมันมีอยู่ พุทธะ จิตสงบแล้ว จิตมันสว่างไสวแล้วแต่สว่างไสวนะจะค้นหาอย่างใด จะทำงานอย่างใด เราจะหาสิ่งที่มันซุกอยู่ในหัวใจ หาสิ่งที่มันหลบหลีกอยู่ในใจของเรา สิ่งที่หลานของกิเลสลูกของกิเลสแล้วพ่อของกิเลสล่ะ หลานของกิเลสมันก็ได้ฆ่าไปแล้วมันเป็นโสดาบัน ลูกของกิเลสมันก็ทำลายไปแล้วก็เป็นสกิทาคามี แล้วพ่อมันล่ะ พ่อมันล่ะ

กองทัพสิ่งที่จะออกต่อสู้ได้ มันต้องมีขุนพล สิ่งที่เป็นขุนพล ความโลภ ความโกรธ ความหลงสิ่งที่ความโลภความโกรธความหลง มันมีวัยวุฒิ เวลาไร้เดียงสา เราก็ล้มลุกคลุกคลาน มีอำนาจขึ้นมาหน่อย เราพิจารณาของเรา มันขาดไปแต่ถ้าจิตมันสงบขึ้นมาแล้วมันต้องแสวงหาออกรู้ออกเห็นออกพิจารณาออกรื้อค้น

การรื้อค้นนะ การปฏิบัติเราคิดว่าเราจะเจอกิเลสกิเลสมันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจกิเลสนี้มันเป็นสิ่งที่เราไม่พอใจกิเลสนี้เราจะมาชำระล้างอยู่แล้ว ฉะนั้น ถ้าเราบุกเข้าไปเราต้องเจอกิเลสแน่นอนกิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรากิเลสมันจะแสดงตัวออกมา แล้วเราจะได้เผชิญหน้ากับกิเลส แล้วได้ชำระล้างมัน...คิดผิด

กิเลสมันเป็นนามธรรมพอกิเลสมันเป็นนามธรรม มันพลิกแพลงเพื่อจะเอาชีวิตมันรอด ถ้าชีวิตมันรอด พอเข้าไปหามัน มันบอก“รู้จักไหม นี่มรรคตัวจริง ถ้ามรรคตัวจริงจะทำให้จิตใจดวงนี้เข้มแข็ง”...ไปยอมจำนนกับมันน่ะทั้งๆ ที่จะชำระล้างกิเลส พอไปเห็นกิเลส ไม่รู้จักกิเลสหรอกไม่รู้ว่าเป็นมันด้วย

“ปฏิบัติก็ทุกข์ยากมาพอแรงแล้วปฏิบัติมาขนาดนี้ก็เป็นนิพพานแล้ว ถ้าเป็นนิพพานแล้วก็เป็นธรรมแล้ว ก็อยู่แค่นี้แหละมันก็เป็นธรรมแล้ว ถ้าเป็นธรรมแล้วจะต้องขวนขวายไปทำไม ถ้าการขวนขวายนี้มันเป็นการกระทำมันไม่ใช่นิพพานหรอกนิพพานเขาไม่มีการขวนขวายไม่มีการกระทำ”...จบ ไม่ปฏิบัติต่อ ติดเลย นี่เข้าไปเจอมัน ให้มันพลิกแพลงออกมาเข้าไปเจอหน้ามันให้มันกล่อมหน่อยเดียว ล้มเลย นี่ไง คนภาวนาที่ติด ติดอย่างนี้ไง มันไม่เข้าใจของมันไม่ไปเห็นของมัน พอเข้าไปว่างๆ ว่างๆ ก็เป็นธรรมๆ

มันก็ว่างอยู่แล้วเพราะมันชำระล้างสิ่งที่หยาบๆ ออกมามันก็ว่างของมันในตัวของมันอยู่แล้ว แต่ถ้าเวลาเข้าไปเจอกิเลสที่ละเอียด กิเลสบอก “ฉันเป็นธรรมๆ” ก็ไปเชื่อมัน ถ้าเรามีสติมีปัญญาจับ มีสติมีปัญญาจับนะเวทนาอย่างหยาบ เวทนาอย่างกลางเวทนาอย่างละเอียด ความลุ่มหลง ความเข้าใจผิด ความที่เป็นสัญญาอารมณ์มันมีอยู่สิ่งที่มีอยู่ ถ้ามันจับต้องได้ ดูสิความคิดหยาบๆ มันก็มีความคิดอย่างละเอียดมันก็มีความคิดที่มันอ้อยสร้อยก็มีถ้าจับความคิดอ้อยสร้อยขึ้นมา จับมันได้ นี่ขุดคุ้ยหามัน ถ้าจับมันได้ ความอ้อยสร้อย มันอ้อยสร้อยเพราะอะไร อ้อยสร้อยเพราะมันหลอกเราได้อ้อยสร้อยเพราะมันเห็นเราอยู่ในอำนาจของมัน

แต่ถ้าเราไม่เชื่อ เรามีสติมีปัญญา เราจับมัน เราขุดคุ้ยหามัน พอจับหางมัน เห็นไหม มันดิ้น พอมันดิ้นขึ้นมา มันไม่อ้อยสร้อยแล้วล่ะ มันฟาดงวงฟาดงาใส่เลย พอฟาดงวงฟาดงาใส่ นี่ไงขุดคุ้ยหากิเลสการขุดคุ้ยหามันเป็นเรื่องยากมากนะ คนที่ภาวนามาเวลาภาวนาขึ้นไป เขาบอกว่า“มรรค ๔ ผล ๔พิจารณากายซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันก็สิ้นสุดออกไป”...มันเป็นจินตนาการน่ะจินตนาการพิจารณากายปล่อยวางหนหนึ่งก็เป็นโสดาบันพิจารณากายหนที่สองก็เป็นสกิทาคามีพิจารณากายหนที่สามก็เป็นอนาคามีพิจารณากายหนที่สี่ก็เป็นพระอรหันต์เลย

แล้วเวลาเรากำเนิดพุทธะมา เราเห็นกายมา เราพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าขนาดไหน ถ้าไม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่านะ กิเลสมันพลิกแพลง มันหลอกลวงการกระทำเราก็ได้ผ่านมาแล้วเราซ้ำขนาดไหนมันถึงได้ขาด กว่ามันจะขาด ทำแล้วทำเล่าๆ แยกแยะแล้วแยกแยะอีก เพราะอะไรเพราะต้องให้มันสมดุลของมัน พอสมดุลของมัน มรรคสามัคคี ถึงสมดุลของมันแล้วมันต้องสามัคคีสัจธรรมมันเป็นแบบนั้น ธรรมก็คือธรรม กิเลสก็คือกิเลส แต่เราทำด้วยกิเลสเราก็คิดของเราไป

สิ่งที่พอเป็นธรรมขึ้นมาถ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงที่สุดสมดุลของมันมันก็ขาด พอขาดแล้วมันก็เป็นความจริงมันก็เป็นพยานกับใจอยู่แล้วไงแต่เวลาเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว เวลาไปปฏิบัติ เวลามันละเอียดขึ้นไปๆไปเจอข้างบนไปเจอสิ่งที่กายอันละเอียด

พอกายอันละเอียด พอจับขึ้นมาพิจารณา มันจะปล่อยวางครั้งหนึ่ง ปล่อยวางครั้งหนึ่งก็เป็นโสดาบัน อันนี้มันเป็นเรื่องโลกๆ มันเป็นเรื่องโลกๆ มันเป็นเรื่องการปฏิบัติกันโดยโลก มันไม่มีกำเนิดพุทธะเพราะมันปฏิเสธพุทธะ ปฏิเสธการทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าปฏิเสธพุทธะ มันก็เป็นโลก เป็นโลกก็เป็นกิเลส กิเลสมันก็เอากิเลสมาหลอก พอกิเลสมาหลอกพอพิจารณาเสร็จแล้วก็เทียบเคียงกับทางทฤษฎีเทียบเคียงกับทางวิชาการ“อ้าว! ก็พิจารณาแล้วมันก็ปล่อยแล้วอ้าว! ปล่อยแล้วก็เป็นโสดาบันสิพิจารณาครั้งที่สองปล่อยแล้วก็เป็นสกิทาคามีสิ” เป็น ใครบอกเป็นล่ะ ใครบอกเป็น

ลุ่มหลงเพราะไม่กำเนิดพุทธะ ไม่มีชีวิตปฏิบัติแบบไม่มีชีวิตจิตใจตามความเป็นจริงปฏิบัติแบบขอนไม้ ปฏิบัติแบบเด็กใจแตก เด็กที่มันเรียกร้องเอาแต่ผล เด็กที่เรียกร้องเอาผลประโยชน์จากพ่อจากแม่พยายามจะเรียกร้องเอาผลประโยชน์จากพ่อจากแม่ รีดเอาความดีความชอบจากพ่อจากแม่ แต่มันทำอะไรไม่เป็น ไม่มีความจริงขึ้นมาเลยแต่ถ้าเป็นเด็กที่ดี เขาช่วยพ่อช่วยแม่ เขาดูแลพ่อแม่ เพราะเขาเกิดมาจากพ่อจากแม่ เขาดูแลพ่อแม่เพราะเขาซึ้งบุญคุณของพ่อแม่ แล้วเขาทำขึ้นมา เขาก็เติบโตขึ้นมาเป็นพ่อคนแม่คนเหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติตามความเป็นจริงกำเนิดพุทธะให้จริงขึ้นมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ตามความเป็นจริง เราก็ปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา มันเป็นจริงขึ้นมาถ้าจริงขึ้นมามันก็เป็นปัจจัตตัง มันก็เป็นสันทิฏฐิโก ปฏิบัติขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

พอละเอียดขึ้นไปๆพอจับต้องของมันได้ ขุดคุ้ยหามันเจอ พอหามันเจอ เราจับ กำลังมันพอ ถ้ากำลังพอ เริ่มจะจับได้มันจะเป็นมหาสติ มหาปัญญาสิ่งที่เป็นมหาสติเพราะจิตมันละเอียด ความสิ่งที่ว่าเราพิจารณาโดยสติโดยสัมปชัญญะของเรา พิจารณาของเราเป็นโสดาปัตติมรรค พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าขึ้นไปมันปล่อยถึงเวลามันขาดขึ้นไป สติเราละเอียดขึ้น ถ้ามันทำความสงบของใจเข้ามา พุทธะเราให้ชัดเจนขึ้น มันจับได้กายขึ้นมา พิจารณาต่อไป พิจารณาแยกแยะเข้าไปถึงที่สุดแล้วมันขาด มันขาดเห็นไหม ถ้ามันขาด สิ่งนี้มันละเอียดลึกซึ้งแล้วลึกซึ้ง ถ้าจะทำต่อไปต้องฝึกหัด

ใครปฏิบัติเข้าไป ถ้าจิตมีกำลังกำเนิดพุทธะที่ชัดเจนขึ้นมา มันจะเห็นว่ามหาสติเป็นอย่างใดคนที่ภาวนามาเขาจะรู้จักสติมหาสติ สติสติสัมปชัญญะสติที่ดี สติที่เป็นมรรค สัมมาสติที่พิจารณาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา แล้วเวลาพิจารณาขึ้นมามันชำระล้างกิเลสอย่างหยาบๆ ขึ้นไปแล้วกิเลสอย่างละเอียด สติปัญญาอย่างนี้จะใช้ได้ไหม ถ้าสติปัญญาอย่างนี้มันจะจับต้องกิเลสได้ไหม ถ้าสติปัญญาอย่างนี้เข้าไปหากิเลส กิเลสมันก็พลิกแพลงเอาว่ามันเป็นธรรมมันก็หลอกลวงเรามา ก็เชื่อมันไป แต่ถ้าเป็นมหาสติขึ้นมาเราฝึกหัดขึ้นมากำเนิดพุทธะจนชัดเจนขึ้นมาจนมันเป็นมหาสติขึ้นมา พอเป็นมหาสติมหาสติมันจับขึ้นมา ไอ้สิ่งที่พูดมานี้มันหลอกลวง สิ่งที่พูดมานี้พูดมาด้วยกิเลส ถ้าพูดมาด้วยกิเลสอย่างนี้มันจะเอาความจริงมาจากไหน

ถ้าใช้มหาสติ มหาปัญญาโดยความชัดเจนเข้าไป แล้วถ้าจับต้องได้ น้อมไป จับต้องได้ในกาย ในเวทนาในจิต ในธรรมมันจะเป็นอสุภะแล้วนะ ถ้าเป็นอสุภะขึ้นมา มันพิจารณาไป มันจะเยิ้มไหลเข้ามาในใจแล้วนะใจ นี่กามฉันทะ

เราว่ากามฉันทะมันเป็นเรื่องของการเสพกามๆไง แต่เราไม่เห็นหรอกว่ากามฉันทะมันจะเกิดจากปฏิฆะ กามราคะ กามราคะเพราะมันพอใจในตัวมันเองเห็นไหม ถ้าจิตมันพอใจในตัวมันเอง มันพอใจของมันความพอใจมันจะเกี่ยวเนื่องออกไปจากข้างนอก พิจารณาเข้าไป พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยมหาสติมหาปัญญาด้วยมหาสติมหาปัญญา มันพิจารณาซ้ำๆไป ละเอียดขึ้นไป ถ้าละเอียดเพราะอะไรเพราะมันเป็นมหาสติ มหาปัญญา แล้วทำของเรา ฉะนั้นเวลาปฏิบัติอย่างนี้แล้วมันจะอยู่กับใครไม่ได้แล้ว มันจะเริ่มหาที่หลบที่ซ่อน มันจะภาวนาต่อเนื่องมันไม่มีเวลาหรอก มันไม่มีเวลาจะเหลียวหน้ามองใครเลย ฉะนั้น คนที่ภาวนาอีกระดับละเอียดขึ้นมาเขาภาวนาของเขาด้วยความจริงจังของเขาด้วยความชัดเจนของเขาเขาจะไม่ตื่นเต้นกับอะไรเลยเขาจะไม่ตื่นเต้นเขาจะไม่วอกแวกวอแวกับสิ่งใด เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เกิดกับใจนี้มันเป็นปัจจัตตังมันเป็นการเผชิญหน้ากับความจริง

สิ่งที่เขาพูดกันมามันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นอารมณ์โลก มันเป็นโลกธรรม ๘สิ่งที่สรรเสริญนินทาจากโลกมันไร้สาระ สิ่งนั้นใครๆ ก็ประสบได้ สิ่งนั้นทุกๆ คนก็เห็นได้ สิ่งนั้นใครๆ ก็อยู่ในวังวนของมัน แต่สิ่งที่ใจที่มันพัฒนาขึ้นมา ใจที่มันประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่มันเป็นจริงขึ้นมา ใครทำได้มันไม่มีใครทำสิ่งนี้ได้

แล้วสิ่งที่ทำได้ขึ้นมามันเป็นความจริงในใจ ถ้าความจริงในใจระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กัน ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติธรรมขึ้นมา เวลากิเลสต่อสู้กันเวลาพญามารองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพ้นจากกิเลสไป พญามารเอาเสนามาร เหล่าหมู่มารมาพยายามมาทำลายบัลลังก์ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ในใจของเรามันเป็นขึ้นมา มันมีความเพียรขึ้นมา มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นระหว่างกิเลสกับธรรมต่อสู้กันในหัวใจของเราเราจะไปฟังสิ่งใด แม้แต่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็หาที่สงบสงัดอยู่แล้ว แล้วเวลาปฏิบัติธรรมจริงขึ้นมา ธรรมมันเกิดในใจขึ้นมาแล้ว เราจะไปหวั่นไหวกับสิ่งใด มันไม่เคยหวั่นไหวกับสิ่งใด เพราะสิ่งที่เป็นธรรมเกิดขึ้นมาในหัวใจนี้มันประจักษ์กับใจพอประจักษ์กับใจ มีการกระทำขึ้นมาระหว่างธรรมกับกิเลสมันต่อสู้กัน พิจารณาซ้ำๆๆ มันละเอียดเข้ามาๆ

จากที่ว่ามันเป็นงาน ดูสิเรามีงานที่ไหนเราก็จะทำสิ่งนั้นขึ้นมา เอกสารต่างๆ ให้เป็นงานขึ้นมา แต่เวลามันละเอียดขึ้นมา มันจะเข้าไปสู่เนื้อแท้มันละเอียดเข้ามา พิจารณาซ้ำพิจารณากายขนาดไหน มันแยกแยะขนาดไหน มันละเอียดเข้ามา มันไวขึ้นพิจารณากายแล้ว พิจารณากายจากภายนอก มันจะเกิดขึ้นมาจากภายใน มันจะละเอียดเข้าไปสู่ใจ พอเข้าไปสู่ใจ พิจารณามันก็ปล่อยวาง มันมีเล่ห์มีกลของมัน เพราะอะไรเพราะมันเป็นพ่อ เป็นระดับพ่อของกิเลสแล้ว มันมีเล่ห์เหลี่ยมของมัน มันมีความพลิกแพลงของมัน พลิกแพลงละเอียดลึกซึ้งนัก

ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันกลืนเข้ามาสู่ใจนะ พอเข้ามาสู่ใจ มันทำลายตัวมันเอง ครืน! ในใจของตัวเองนะ มันปล่อยวางหมด พิจารณาซ้ำๆๆ เข้าไป สิ่งที่เหลือเป็นเศษส่วน มันทำลายออกหมด ทำลายด้วยอะไร ด้วยมหาสติ มหาปัญญา ถ้ามีมหาสติ มหาปัญญาทำลายถึงที่สุดนะ จิตมันว่างหมดเลย หาอะไรไม่เจอหรอกกำเนิดพุทธะ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสจิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลสจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

หลวงตาท่านไปอยู่ที่เมืองจันท์ฯตอนนั้นมีบุคคลคนหนึ่งเขาภาวนาของเขาดีมาก พอเขาภาวนาดีมากเขากำหนดจิตรู้หมดว่าจิตของใครสว่างไสวจิตใครเศร้าหมองขนาดไหน อาจารย์สิงห์ทองบอกให้ดูจิตให้ทีๆ

เวลาเขาดูจิตเขาบอกว่าจิตของอาจารย์สิงห์ทองสว่างไสวเหมือนกัน แต่ยังมีเศร้าหมองมีสิ่งใดตกค้างอยู่ในใจ แต่จิตของหลวงตาจิตของพระมหาบัวไม่มีสิ่งใดตกค้างในใจสว่างไสว สว่างจนครอบโลกธาตุ นี่จิตเดิมแท้ๆ นี่ไง ถ้าจิตเดิมแท้

แล้วผู้เฒ่าท่านปฏิบัติดีมาก หลวงตาท่านบอกผู้เฒ่านะ เวลาท่านเป็นลูกศิษย์หลวงตา มากราบหลวงตานะแล้วบอกว่า ผมมาพบหลวงตาช้าเกินไป ผมแก่เฒ่าแล้ว ถ้าผมหนุ่มๆ อยู่นะผมจะบวชตามหลวงตาไป แต่นี้เพราะผมแก่เฒ่า

ขนาดคนแก่เฒ่าเขาปฏิบัติของเขาใจเขายังกำหนดดูจิตของคนได้ ใจของเขา กำเนิดพุทธะของเขายังสว่างไสวกำหนดดูความสว่างไสวของจิตดวงอื่นๆ ได้แต่เขาก็ยังน้อยเนื้อต่ำใจว่ามาพบหลวงตาต่อเมื่อผู้เฒ่าแล้ว

หลวงตาท่านบอกว่า มันจะเฒ่ามันจะแก่ไปไหนล่ะ เฒ่าแก่มันก็อายุเท่านั้น แต่ถ้ามีความมุมานะ มีการกระทำขึ้นมามันก็เป็นความจริงของเราขึ้นมาเหมือนกัน

ถ้าความจริงขึ้นมา ขณะที่ว่ากำเนิดพุทธะถ้ามันสว่างไสว มันผ่องใสขนาดไหน มันผ่องใสดูสิ ชาวมูเซอเขาหาพุทธะๆจนเขาเจอ เขาเจอของเขา เขาเห็นพุทธะของเขา เขากำหนดดูใจของหลวงปู่มั่น โอ๋ย! มันสว่างไสว พุทธะมันไม่หายพุทธะมันไม่หาย พุทธะมันมีของมันอยู่แล้วพุทธะของเราต่างหากหาย นี่อุตส่าห์หามาเจอๆ หามาเจอแล้ว นี่เขาทำสิ่งที่ไม่ควร เขาเอาสิ่งที่เขารู้เขาเห็น เอาสิ่งที่เป็นพลังงานของเขาส่งออกไป

แต่เวลาผู้เฒ่า ผู้เฒ่าที่อยู่กับหลวงตาเขากำหนดของเขา เขาพุทโธของเขา เขากำเนิดพุทธะของเขา พุทธะของเขา เขาดูเขาส่องไป เขาดูพุทธะของหลวงตา ดูพุทธะของอาจารย์สิงห์ทอง เปรียบเทียบได้เลยเห็นไหม จิตเดิมแท้ๆ นี่ไง ของหลวงตามันข้ามพ้นไป ไม่ใช่จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้คือภวาสวะจิตเดิมแท้คือภพ ถ้าละเอียดอ่อนเข้ามา มันจะเข้าไปสู่พุทธะอันนั้นได้อย่างไร

สิ่งที่เป็นพุทธะๆ พุทธะภายนอกอย่างหนึ่งนะ พุทธะที่พุทธะอย่างหยาบๆ แล้วพุทธะอันละเอียดนะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไงจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส นี่อวิชชาทั้งนั้นน่ะ ถ้าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใสถ้าทำลายพุทธะอย่างไร เจอพุทธะที่ไหนก็ต้องทำลายพุทธะที่นั่น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วมันเบิกบานอะไรล่ะ มันเบิกบานมันก็ยังมีผู้บังคับบัญชามันอยู่ล่ะถ้ามันเบิกบานมันก็เบิกบานเพราะมันมีรสมีชาติของมันแล้วมันทำอย่างไรล่ะ

ถ้าทำอย่างไร ถ้าพิจารณา ถ้าเป็นสติอัตโนมัติ นี่ไงถ้าเป็นอรหัตตมรรคขึ้นมามันจะย้อนกลับเข้าไปจับภวาสวะ จับตัวภพอันนั้น จับตัวภพคือจับจิตเดิมแท้ไง ถ้าจิตเดิมแท้พิจารณาขึ้นไป ถ้ามันกลืนกินเข้าไปทำลายจิตเดิมแท้ขึ้นมาไง ถ้าทำลายจิตเดิมแท้ อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติจิตนี้สิ้นอาสวะไป อาสเวหิ อาสวะในจิตนั้นทำลายอาสวะในจิตดวงนั้นวิมุตติไป วิมุตติไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดวันนี้ที่สวนลุมพินีประกาศว่า “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางธรรมและวินัยนี้ไว้เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานนะ“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดาแม้แต่ชีวิตของตถาคตก็ต้องสิ้นในคืนนี้”

แม้แต่สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสิ้นในคืนนี้ สิ้นอะไรในเมื่อตรัสรู้ธรรมขึ้นมากิเลสมันสิ้นไปแล้ว สอุปาทิเสสนิพพานไงกิเลสมันสิ้นไปแล้ว

“ในบุญกุศลในพระพุทธศาสนามันจะมีบุญกุศลใหญ่อยู่ ๒ คราวคราวหนึ่งเราฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน อีกคราวหนึ่งเราฉันอาหารของนายจุนทะ เราถึงซึ่งขันธนิพพาน”

ภาราหเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้เป็นภาระๆ เวลามันชำระกิเลสไปแล้วมันจะมีอะไรตกค้างในใจ ถ้าไม่มีสิ่งใดตกค้างในใจ สิ่งนั้นกิเลสมันหลอกไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดจะมาลวงกับความสิ้นกิเลสได้ สิ้นกิเลสคือนิพพาน

นิพพานมันคืออะไรนิพพานมันเป็นจิตเดิมแท้หรือนิพพานเป็นพุทธะหรือ มันเป็นสิ่งใด

มันไม่มีสิ่งใดเลย เห็นไหม ไม่มีสิ่งใดเลย แต่มี มีสัจจะความจริงมีความจริงในความจริงอันนั้นมีธรรมธาตุในพระพุทธศาสนาของเรา

วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด ตรัสรู้ปรินิพพาน ถึงจะมีกำเนิดพุทธะ กำเนิดพุทธะเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สอนสอนให้กำหนดพุทโธๆ พุทธานุสติ แล้วพุทธะนี้เอามาสร้างประโยชน์ พุทธะนี้ทำสิ่งที่ควรไม่ใช่เอาพุทธะนี้ไปทำสิ่งที่ไม่ควร ถ้ามีพุทธะขึ้นมาจริงนะ

ถ้าคนที่ไม่มีพุทธะ ไม่มีสิ่งใดเลย เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาอยู่กับความเห็นของเขาเขาอยู่กับความหลงผิดของเขา เพราะมันเป็นเรื่องโลกๆ การใช้ตรรกะ การใช้ความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้นมันก็เป็นโลกียปัญญา เป็นเรื่องโลกๆ เพราะเขาไม่มีกำเนิดพุทธะเขาไม่มีจิตเดิมแท้เขาไม่รู้จักจิตของเขา ถ้าไม่รู้จักจิตของเขา กิเลสมันอยู่ที่ไหน กิเลสมันอยู่ที่ไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ หากิเลสๆ อดอาหาร อดเพราะคิดว่ากิเลสมันอยู่ที่เราอดอาหารไปนะ แต่ความจริงอดอาหารมันก็ตาย แต่กิเลสมันอยู่ที่ใจ นี่สลบถึง๓ หนนะ เวลามาฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วมาภาวนา“เราฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วเราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน เราฉันอาหารของนายจุนทะ เราถึงซึ่งขันธนิพพาน” เอวัง