เทศน์บนศาลา

ลอยกระทง ลอยกิเลส

๑๔ พ.ย. ๒๕๔o

 

ลอยกระทง ลอยกิเลส
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ ๑๕ ค่ำ เป็นวันธรรมสวนะ วันฟังเทศน์ วันพระ วันโกน ผู้ฉลาดหาสมบัติส่วนสมบัติพิเศษใส่ตน วันธรรมสวนะวันฟังธรรม วันเข้าวัดเข้าวา เข้าวัดนะ “วัดหัวใจ” “เข้าวา” วาไหน วันเพ็ญเดือน ๑๒ วันลอยกระทง ลอยกระทง เห็นไหม แต่เขาไม่ได้ลอยกิเลส

เราจะลอยกิเลส ลอยกิเลสให้ออกจากใจชั่วคราวก็ยังดี

“ลอยกระทง” พิธีกรรม ลอยกระทงเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีกับแม่น้ำ แม่พระคงคา เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที แต่กิเลสมันก็พาให้สนุกครึกครื้น พาให้สนุกครึกครื้น กิเลสมันแย่งเอาไปกิน ลอยเพื่อสะสมความมักมากไง อยากได้ใช่ไหม กระทงก็ต้องให้สวยใช่ไหม กิเลสมันพา มันแทรกเข้าไปในพิธีกรรมนั้น วัตถุสิ่งของใช่ไหม กระทงเราสามารถประดิษฐ์ขึ้นมาได้ แล้วเรา เราก็ไปลอยเพื่อความเคารพ เพื่อแสดงความกตัญญู แต่การกระทำนั้น ทำไปๆ จนเราเอาสิ่งนั้นให้กิเลสมันเดินออกไง งานนั้นต้องให้สนุกครึกครื้น ทั้งๆ ที่ความจริงมันเป็นสมบัติของใจ ความแสดงออกของใจถึงจะมีการกระทำอย่างนั้น แต่กิเลสมันปิดบังตรงนี้ไว้ การลอยกระทงมันก็ลอยเพื่ออะไรน่ะ เพื่อไปเที่ยว เพื่อหาสิ่งการละเล่น

แต่ถ้ามาลอยบาป ลอยกิเลส มันจะดัดแปลง มันจะต่อต้านกับสิ่งนั้นไง สิ่งที่เคยใจ กิเลสมันอยู่ที่หัวใจของมนุษย์ หัวใจนั้นมีกิเลส กิเลสมันต้องพาไปตามความคิดของมัน แล้วเราจะลอยให้มันออกไปจะลอยอย่างไร ลอยกิเลสออกจากใจ ลอยกระทงนั้นกิเลสพาทำ กิเลสมันใช้ให้ทำ กิเลสมันหาช่องออก หาความสนุกเพลิดเพลินของมัน

ความข้องติดอยู่ในโลก ความข้องติดอยู่ กิเลสมันเป็นแรงดึงดูดของโลก ของวัฏฏะ เป็นเจ้าวัฏฏะ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชานี้เป็นเจ้าวัฏฏะ เราอยู่ในวัฏวนนั้น ถึงคราวถึงครั้งหนึ่งมันก็พาให้สนุก แม้แต่รู้สึกสำนึกตัวก็ยังไม่รู้ แล้วยังให้กิเลสพาออกไปเวียนว่ายตายเกิด สนุกเพลิดเพลินกับสิ่งที่เป็นโลกๆ

วัน ๑๕ ค่ำวันธรรมสวนะ วันธรรมสวนะวันฟังธรรมของพระพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกแสวงหาโมกขธรรม กว่าจะได้ธรรมะมานี้เอาชีวิตเข้าแลก เอาความตายนี้เข้าแลก “เอาความตายเข้าแลก” ฟังสิ แล้วทำไมมันไม่ตาย แต่เราเพลิดเพลินอยู่ในกองกิเลสแล้วมันก็ตายซ้ำตายซาก ตายเพราะความเพลิดเพลิน ตายเพราะคนตาบอด บอดมืดกับความรู้ภายใน บอดมืดกับกิเลสให้กิเลสมันไสหัวไป พระพุทธเจ้าออกแสวงหา เอาความตาย เอาความมุมานะ เอาความเอาจริงเอาจังเข้าแลกมา ได้ธรรมะมา ธรรมะของพระพุทธเจ้าสวากขาตธรรม ธรรมตามความเป็นจริง ธรรมแท้ๆ ไง

แล้วเรา วันนี้วันฟังธรรม วันฟังธรรมก็ต้องเอาธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะเรายังไม่มี เพราะเรายังไม่มีธรรมแท้ เรามีแต่ “ธรรมความจำ” คือการศึกษาเล่าเรียนมา ธรรมความจำเข้ามา ก็เหมือนกับลอยกระทงนั่นล่ะ ลอยกระทงก็กิเลสพาทำ ฟังธรรมมา ศึกษาธรรมมาก็กิเลสพาศึกษา แล้วจะมาลอยกิเลส กิเลสมันหัวเราเยาะเอาว่า “เขาลอยกระทง เราจะลอยกิเลสออกจากใจ” กิเลสมันก็ขำ จะมาลอยอะไรมัน มันเป็นคนสั่งให้ทำอยู่ปัจจุบันนี้

ถึงว่า “การฟังธรรมของพระพุทธเจ้า” การฟังธรรม ธรรมะพระพุทธเจ้าเอาความจริงเอาความจังเข้าแลกมา เอาความจริงความจังนะ เริ่มตั้งแต่การทำความสงบ กิเลสมันยังลอยไม่ได้ก็ขอให้มันสงบยุบยอบตัวลง ไม่ให้มันเป็นเจ้าความคิดไปทั้งหมด ถึงต้องสงบกิริยา สงบกิริยาก่อน ทำใจให้สงบ พอทำใจให้สงบแล้วกิเลสมันเริ่มยุบยอบตัวลง มันไม่คึกคะนองเหมือนปกติ ปกติพอเราคิดก็ว่า “เราไง เราได้ทำอะไรสะใจที่เราคิด เราพอใจ เห็นไหม ฉันทำได้สะใจของฉัน ฉันเก่ง”

กิเลสมันหัวเราะเยาะ ๒ ชั้น เพราะมันใช้ให้ทำไปแล้วนะ ยังไปว่าตัวสำคัญว่าเก่งอีก นี่เราต้องให้ตัวนี้มันสงบลง ถึงต้องทำความสงบของใจ การทำความสงบของใจเริ่มจากการก้าวเดินมาจากความคิดมาแต่เริ่มต้น วันทั้งวันปล่อยตัวเองไปตามสภาพ จะคิดไปเรื่องใดร้อยแปดให้มันคิดเต็มที่เลย ถึงเวลามานั่งจะให้มันสงบ เห็นไหม ถึงว่าต้องมีทาน มีศีล มีภาวนา

“ทาน” ทานอย่างที่เขาลอยกระทงกันอยู่นี่ “ทาน” ทานวัตถุสิ่งของออกไป จิตใจมันก็ต้องตระหนี่ จิตใจมันก็ต้องเหนียว จิตใจมันก็ไม่อยากจะสละออกไป เห็นไหม เริ่มตั้งแต่ทำทานคือเริ่มลอย ลอยความเคยใจ ความเคยใจคือความเห็นแก่ตัว ความเคยใจคือการกว้านทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นของเรา เราจะสละให้กับคนเสมอกับเรา เราสละไม่ได้ เราต้องสละให้สัตว์เดรัจฉานอย่างนี้ เราทำได้เพราะอะไร เพราะถือว่าเขาต่ำต้อยกว่าเราไง ทำอย่างนั้นคือว่าการให้ทานใช่ไหม การทำบุญกุศล

วันศีล วันโกน วันพระ ได้ตักบาตรได้ทำบุญ นั่นคือทำบุญกับผู้มีศีล เนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญที่เราจะเพิ่มถึงบุญกุศลของเรา นั่นน่ะ การสละอย่างนี้มันถึงยอมสละ

นี่เริ่มฟังธรรม ความเข้าใจ พอความเข้าใจมันก็ยอมสละออก สละวัตถุออก สละวัตถุนั้นวัตถุที่สละออกไปคือบุญกุศลที่เราทำบุญออกไป มันลากความตระหนี่ถี่เหนียวออกไปด้วยไง ความตระหนี่ถี่เหนียวที่มันยึดไว้นั่นน่ะ นั่นล่ะ “ลอยกระทง” นี่ก็ลอยความตระหนี่ถี่เหนียว ลอยความยึดมั่นถือมั่น ลอยความมักมาก ลอยความเห็นแก่ตัว สละออกไปใจมันก็อ่อนลง ความอ่อนลง ความละเอียดของใจเริ่มต้น

เริ่มต้นจากการจะทำความสงบ นี่เราเริ่มตัดขามันไง ตัดขากิเลสอยู่ที่ใจนี่แหละ เราก็เอาความรู้ของเรา เอาใจเรานี่แหละเข้าไปตัดมัน ตัดไม่ให้มันสืบเนื่องดำเนินต่อไป ไม่ให้กิเลสมันเป็นเจ้าความคิด ไม่ให้กิเลสมันผลักไสอยู่ตลอดเวลา นี่ทาน

“ศีล” ศีลความขอบเขตของศีล พอมันมีทานขึ้นมามันสละออกไป เรื่องตระหนี่ออกไป มันก็เบาบางลง เบาบางลงแล้วขอบเขตอยู่แค่ไหน? ขอบเขตของความคิด “อกุศล” ความคิดที่คิดผิด “มโนกรรม” ความคิดที่เป็นมโนกรรม ความคิดที่ผิด ความคิดที่เบียดเบียนเขา มันก็เหมือนกับปาณาติปาตานั่นน่ะ ปาณาฯ เราไปฆ่าสัตว์ไปทำลายชีวิต แต่ความคิดที่เบียดเบียนมันทำลายอารมณ์ มันทำลายหัวใจ มันทำลายชีวิตๆ หนึ่งในการเกิดเป็นภวาสวะ ภพของใจไง เห็นไหม ศีลก็เริ่มเป็นขอบเขตเข้ามา จากทานอ่อนๆ อ่อนยวบยาบ อ่อนลง กับขอบเขตเข้ามาให้มันเป็นหนึ่งไง เวลาเรามาทำภาวนาแล้วมันถึงจะสะดวก เริ่มสะดวกขึ้น

เราเปิดช่องให้น้ำเดิน เราเปิดช่องให้หัวใจมันออก เราเปิดช่องให้จิตมันสงบ เราเปิดช่องมาตั้งแต่นั่น เห็นไหม “ทาน ศีล ภาวนา” เริ่มภาวนาเริ่มทำใจให้สงบ เริ่มทำใจให้สงบ สงบจากอะไร? สงบจากความฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านคือการเคยใจ ความกิเลสมันเคยพาคิด เราต้องต่อต้านให้มันสงบเข้ามา สงบเข้ามา สงบเข้ามา ความสงบคือกิเลสมันเริ่มยุบยอบตัวลง กิเลสที่มันเคยเป็นเจ้าความคิด มันเป็นตัวพลังงาน ตัวที่ขับไสออกไปนั่นน่ะ มันเจอธรรมะของพระพุทธเจ้า

“ศีล สมาธิ ภาวนา” เป็นธรรมะพระพุทธเจ้าที่แสวงหามาได้จากความเป็นจริง แล้วยืนยันในการเป็นไปในมรรคและผลนั้น ยืนยันในความเป็นไปว่า “เป็นไปได้จริง ของเป็นได้จริง” สมควรผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทำแล้วต้องได้เป็นความจริงอย่างนั้น ผู้ที่ได้ผลเป็นจริงอย่างนั้นแล้วเอามาสอน เอามาประกาศเป็นธรรมะ เป็นธรรมแท้ แล้วยืนยันในการเป็นผล

เราเป็นผู้ปฏิบัติ เราเป็นผู้เดินตาม พอเราเป็นผู้เดินตามเราก็ลังเลสงสัย เพราะกิเลสที่ในหัวใจเรานั่นล่ะ จากทาน จากศีล จากภาวนา

“ทาน” การให้มันทำได้ด้วยการเป็นวัตถุ

“ศีล” ศีลเป็นข้อปฏิบัติที่เราจำกัดขึ้น เราคิดขึ้น เราทำขึ้นว่าสิ่งนี้เป็นข้อยกเว้น เป็นข้อที่ไม่ควรทำ

แต่ “สมาธิ” ที่จะให้มันรวมตัวลง มันรวมตัวลงอย่างไรเราก็สงสัย ความลังเลสงสัย ความไม่เชื่อมั่นในความเป็นจริงในมรรคและผลนั้น นี่ก็คือกิเลส กิเลสมันยันไว้ไง มันยังยุบยอบจากความหยาบเข้ามา แต่ความละเอียดมันก็ยังสุขอยู่ในหัวใจนั่นน่ะ คอยต่อต้านสิ่งที่จะเข้าไปทำลายมัน

ใครเป็นเจ้าของ ใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น แล้วคนจะบุกรุกเข้าไปในบ้านหลังนั้น เจ้าของบ้านต้องหวง ต้องตระหนี่ ต้องต่อสู้ กิเลสมันเป็นเจ้าวัฏจักร มันนั่งอยู่บนหัวใจของมนุษย์ทุกๆ คน มันนั่งอยู่ มันเป็นเจ้าของ มันเป็นเจ้าวัฏจักร แล้วเราจะทำให้มันสงบ ให้มันขยับที่ให้ธรรมะเข้าไปแทรกในหัวใจมันจะยอมง่ายๆ เหรอ? มันก็ต่อต้าน

พอมันต่อต้านมันต่อต้านด้วยวิธีไหน?

“มรรคผลไม่มี การกระทำเสียเวลาเปล่า คนที่ปฏิบัตินี้เป็นคนที่งอมืองอเท้า คนที่ไม่สู้โลก” เห็นไหม นี่กิเลสมันออกทางนี้ไง ออกทางให้เราขาอ่อน ออกให้เราหมดกำลังใจ ออกให้เราไม่เชื่อมั่นในผลนั้น อันนี้เป็นผลของกิเลส ไม่ใช่ว่าธรรมะพระพุทธเจ้าทำให้เราลำบาก

ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นความจริง เป็นความจริงอันประเสริฐ เป็นความจริงที่ผู้เข้าปฏิบัติจริงตามความเป็นจริงจะได้ผลจริงตามนั้นไง แต่เราก็สงสัย นี่กิเลสมันค้ำไว้ตลอด พอมันสงสัย ความสงสัยอันนั้น ความลังเลสงสัย ความไม่มั่นใจอันนั้น ทำให้การประพฤติปฏิบัตินั้นอ่อนแอลง อ่อนแอลงก็เหมือนกับวัตถุสิ่งของนั้นไม่แข็งแกร่งพอ ไม่สามารถเข้าไปถึงจุดความมุ่งหมายได้ หัวใจที่ไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความเชื่อมั่นพอ ไม่มีความจงใจพอ มันก็เข้าไม่ถึงฐานของใจคือฐีติจิตไง

สมาธิแท้ ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดสมาธิถึงเกิดปัญญา เอาปัญญามาต่อสู้กัน ต่อสู้กับกิเลสตัวนี้

นี่กิเลสตัวนี้เพียงแต่มันเริ่มต้น เริ่มวางแผนให้เราไขว้เขวเท่านั้นเอง

เรามีความมุมานะ มีความจริงใจจะลอยกิเลสออกจากใจ จะลอยกิเลสออกจากใจมันก็ต้องมีความมุมานะ เพราะเชื่อมั่นธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้สอนมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เป็นผู้วางธรรมไว้ เป็นผู้ผ่านพ้นไปแล้ว แล้วประกาศธรรมไว้ เราเป็นคนตาบอด เราเป็นคนโง่ เราเป็นคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทำไมเราไม่ยอมรับความเป็นจริงของพระพุทธเจ้า นั่น! ปัญญาที่จะต่อสู้กิเลสไม่ให้กิเลสมันเป็นเจ้าใหญ่นายโตในหัวใจมากเกินไป นี่ธรรมะสิ่งที่ผลิตขึ้นมานี้คือธรรมะของเรา

ธรรมะพระพุทธเจ้าที่เราศึกษาเล่าเรียนมานั้นเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าการคิดค้นอย่างนี้เกิดขึ้นจากผู้ปฏิบัติ เห็นไหม เริ่มมีช่องว่างให้ธรรมนี่ผุดโผล่ขึ้นมากลางหัวใจของเรา ธรรมะจะผุดโผล่ขึ้นมาจากความที่เราเริ่มต้นจากการจุดประกายขึ้นมา พอความเชื่อนี่เข้าไปขยับเข้าไป นั่นน่ะ มันมีความไหวติงของกิเลสที่มันขยับช่องให้ธรรมได้เกิดขึ้นในใจของผู้ปฏิบัติแล้ว มันก็เริ่มมากขึ้นๆ ความมุมานะของเรา ความจริงจังของเรา ขยับมากขึ้นๆ จิตมันก็เริ่มสงบตัวลง

ความสงบตัวลงอันนี้ “โอ๋! จากไม่เคยพบเคยเห็น จากไม่รู้ จากได้ยินแต่ฟังแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า เคยศึกษาเล่าเรียนมา กับจิตของตัวเองเริ่มสงบเยือกเย็นลง กิเลส พอกิเลสมันเริ่มปล่อยวาง เริ่มให้หายใจได้ ความสุขจะเกิดขึ้นอย่างมหาศาลเลย”

จะรู้ว่า “อ้อ! รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง” รสของสมาธิธรรมเดี๋ยวนี้เราได้ดูดดื่มแล้ว ธรรมแท้ๆ เลย หัวใจเท่านั้นเป็นผู้สัมผัสธรรม หัวใจเป็นผู้ทุกข์ยาก หัวใจเป็นผู้เร่าร้อน หัวใจได้สัมผัสความร่มเย็นของสมาธิธรรม ไม่ต้องให้ใครมาบอก ไม่ต้องให้ใครมาชี้แจง นี่คือสมบัติของเรา ปัจจัตตังรู้จำเพาะผู้ที่ได้เสพธรรมอันนั้น

ความสงบของใจเป็นสัมมาสมาธิเพราะเกิดขึ้นจาก ทาน ศีล ภาวนา เป็นสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่ว่าควบคุมมาเริ่มตั้งแต่ต้น ไม่ใช่สมาธิที่เป็นไปโดยมิจฉา โดยสมาธิเป็นแล้วมันจะออกเป็นทางดำไง สัมมาสมาธิควรจะเดินอริยมรรค เกิดความสงบ เกิดความชื่นใจ เกิดความเย็นใจ คนเย็น คนนิ่ง คนควรทำงานที่ละเอียดละออขึ้นไป ไม่ใช่คนหยาบ คนทำงานแต่โลก ทำงานแต่ใช้ฝ่ามือทำงานกับใช้หลังมือทำงาน มันระหว่าง “โลกียะ” กับ “โลกุตตระ”

งานของโลกคืองานผูกมัด การใฝ่หา การกว้านเข้ามา “เราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้เก่ง เราเป็นผู้รู้ทั้งหมด” มันกว้านเข้ามาเป็นทิฏฐิมานะที่เป็นสองในหัวใจ กับเรากับความคิดเป็นสอง สมาธินี้เป็นหนึ่ง สมาธินี้เป็นเนื้อในของจิต พอเนื้อในของหัวใจ แล้วมันความคิดวนกลับมาจากความดำริชอบ ดำริออกจากกิเลส ไม่ใช่ดำริตามกิเลส กิเลสมันหยาบสงบตัวลง แต่ความละเอียดเข้าไปมันก็ยังใช้อยู่ หลอกออกอย่างนั้น ความไม่ไว้วางใจ ความใคร่ครวญตนอยู่ตลอดเวลา ความคิดสิ่งใดเป็นความคิดที่บอกความเคยเกิดขึ้น นั่นคือความคิดของกิเลส

ความคิดในการจะค้น ความคิดในการจะเข้ามาดูด้วยสัมมาสมาธิ ด้วยความปล่อยวางของจิตที่เป็นหนึ่ง ไม่ใช่จิตอารมณ์สอง จิตอารมณ์สองนั้นเป็นจิตเป็นโลกออกไป จิตเป็นอารมณ์หนึ่งคือจิตในความคิดภายใน นี่มันจะวนกลับมาดูความเป็นไปของหัวใจ ดูความเป็นไปในการเกิดดับของจิตที่มันเริ่มเกิดขึ้น

แขกที่เข้ามาในหัวใจ แขกที่เข้ามาในความว่างนั้น สมาธินี้เป็นความว่างอยู่ แล้วความเกิดขึ้น ความแวบออกมาจากสัญญาที่จุดประกายขึ้นมาจากมโน มโนคือความคิดเริ่มต้น อันนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? จิตจะย้อนกลับเข้าไปดูว่าความเกิดดับ ความเกิดเริ่มต้น ความจุดประกายของความคิดเกิดมาจากสัญญาความรู้อันแรก “สัญญาความรู้อันแรก” ฟังสิ สัญญาคือการสืบต่อ เป็นข้อห่วงของระหว่างสมาธิกับความเริ่มคิด เป็นห่วงโซ่ห่วงแรกที่ความคิดจะเริ่มเดินออกมา จิตมันจะหันกลับไปดูเพราะมันมีความสงบพอ หันไปดูห่วงโซ่ ห่วงโซ่ความเกิด นี่สัญญา

พอมีเกิดสัญญาขึ้นความรู้สึกมันพร้อม พร้อมคือวิญญาณรับรู้ เวทนามันเกิดไปด้วย สังขารปรุงแต่งอันนี้ชอบหรือไม่ชอบ อันนี้ดีหรือไม่ดี มันจะปรุงแต่งออกมาเป็นอารมณ์ เป็นความรู้สึก ออกมาเป็นกิเลสพาทำ เพราะกิเลสมันอาศัยความรู้สึกอันนี้นอนเนื่องมาไง มันตามน้ำมา มันออกมาพร้อมกับความคิด เพราะความคิดนี้เกิดจากใจ ใจยังมีกิเลสอยู่เพราะกิเลสมันสงบตัวลง อันนี้เริ่มต้นการต่อสู้ไง

จากเดิม จากเดิมที่ว่าก่อนจิตสงบมันไม่เคยเห็นอย่างนี้ มันเห็นทุกสิ่งเป็นเรา เพราะเราเป็นผู้คิด เราเป็นคนใหญ่คนโต เรามีทิฏฐิมานะ เรามีศักดิ์ศรี เรา เรา เรา เราเท่านั้นเลย พอจิตมันสงบลงเกิดดูความคิดอันนี้ “อันนี้ไม่ใช่เรา อันนี้เป็นแขกจรมา อันนี้เป็นความคิดที่มันเกิดดับขึ้นมาจากตัวสัญญาห่วงโซ่แรก แล้วขันธ์ ๕ มันหมุนออกไปเป็นอารมณ์ความรู้สึก เราพอใจหรือไม่พอใจสังขารมันปรุงมันแต่งไป” กิเลสมันไสออกมาตรงนี้

เราย้อนกลับไป ย้อนกลับไปดู แล้วแยกมันออก แยกขันธ์ ๕ ออกว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นมามันเกิดจากสิ่งใด? ตัวไหนเป็นตัวสังขารที่ปรุงแต่ง? ห่วงโซ่หนึ่ง ไม่มีห่วงโซ่สอง ห่วงโซ่สาม ห่วงโซ่สี่ ห่วงโซ่เป็นขันธ์ ๕ มันหมุนไปไม่ได้อารมณ์เกิดขึ้นไม่ได้ ห่วงโซ่ต้อง ๕ ห่วงนี้มันก็หมุนไปเป็นอารมณ์ๆ หนึ่ง เป็นความพร้อมกับกิเลสที่มันไสมันอยู่ในนั้น

ถึงจิตสงบ ถึงความต่อสู้ด้วยอริยมรรค แต่ไอ้กิเลสที่มันอาศัยห่วงโซ่นั้นออกมา มันก็ยังมีกระแส มีเชื้อออกมา เราต้องการทำลายห่วงโซ่ความคิดอันนี้ เพื่อจะให้กิเลสที่มันตามห่วงโซ่เรามามันตกจากห่วงโซ่นั้นไป กิเลสที่ตามออกมามันตามห่วงโซ่นั้นออกมา มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันเป็นวิธีการเดินของจิตปกติ จิตปุถุชน จิตผู้มีกิเลสหนาต้องเป็นแบบนี้ทุกๆ ดวง พระพุทธเจ้าไม่มาตรัสรู้ธรรมจะไม่เห็นความเป็นไปอันนี้เลย

ว่าเราทำใจสงบ เราเหาะเหินเดินฟ้า ไอ้กิเลสความสงบตัวอยู่ในหัวใจนี้มันก็นอนเนื่องไปในหัวใจตลอด จิตสงบจนมีพลังงานขนาดไหน ไอ้กิเลสมันก็นอนเนื่องมาเพราะไม่ได้เดินอริยมรรคไง พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อันนี้ มาเห็นความเป็นไปอันนี้ ถึงวางธรรมเป็นความเป็นจริงให้เรา แล้วเราก็มาฟังธรรม เราก็มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วเราก็จะมาลอยกิเลสออกจากหัวใจ ถ้าเราไม่เข้าไปจุดนี้เราจะเอาอะไรไปลอยมัน เพราะกิเลสมันอยู่ตรงนี้ มันอยู่ตามห่วงโซ่นี้ มันออกมาจากนี้ ออกมาจากหัวใจ หัวใจที่มีกิเลสทั้งดวงนั่นล่ะ

ความหมุนกลับด้วยปัญญา ด้วยมรรคคือองค์ ๘ “การงานชอบ” งานการใคร่ครวญ “ความเพียรชอบ” เพียรลงที่จะอารมณ์ความรู้สึกอันนั้น การขับดันไง ความเพียรชอบ ความอุตสาหะต้องหมั่นทำ หมั่นขยัน ต้องมีแรงดลใจจากเริ่มต้นที่ว่านั่นน่ะ มีความแรงดลใจ มีความมุมานะ มีความเชื่อมั่น มีความอาจหาญ มีความว่าเรามีวาสนา มีความเป็นไปว่าเราลูกศิษย์ตถาคต เราเป็นผู้เดินตามพระพุทธเจ้า เราต้องสามารถทำได้ นี่ความมุมานะกับพลังงานอันนี้ไง พลังงานจากความเราปลุกปลอบใจของเราขึ้นมา แล้วเราใช้ความเพียรของเราขึ้นไป เราพิจารณาของเราขึ้นมาตลอดเวลา

เข้าไปจับห่วงโซ่นั้นได้ ถ้าจิตมันเป็นขนาดนี้ พิจารณาใคร่ครวญออกไปจนห่วงโซ่นั้นแตกออกจากกัน สังขารเป็นกองหนึ่ง วิญญาณเป็นกองหนึ่ง เวทนาเป็นกองหนึ่ง สัญญาเป็นกองหนึ่ง จิตเป็นอีกกองหนึ่ง แต่ห่วงโซ่มันเกาะกัน “รูป” รูปของจิตเป็นอารมณ์ออกมา กิเลสมันยิ้มมาตลอด

อริยมรรคตัวนี้ อริยมรรคตัวนี้เข้าไปไง อริยมรรคนี้เกิดขึ้นจากเราทำนี่แหละ เป็นจิตดวงนั้นดวงที่ว่าง กับกิเลสเกิดจากดวงที่ว่าง “จิตแก้จิต” ความต่อสู้กันภายใน เพราะเมื่อก่อนมันออก เวลาความคิดมันพุ่งออกมา แต่ขณะที่คิดขึ้นมา คิดขึ้นมาก็พร้อมกับมรรคที่จับหัวแล้วคว่ำลง จับหัวของจิตแล้วพิจารณาอยู่ขณะนั้น จับอารมณ์ความรู้สึกคือการต่อต้าน คือการต่อสู้ การแยกแยะ การแยกแยะอันนี้ไง พอมันแตกออก พอแตกออกมันปล่อยวางอารมณ์อันนี้จะไม่มี หลุดออกไป จิตนี้สงบตัวลง รวมลงเลยนะ เพราะจิตมันไม่ไปรูปความคิดไง ขันธ์ ๕ มันไม่มี ขันธ์ ๕ แตกออกจิตก็ว่าง

เพราะขันธ์ ๕ แตกออกด้วยปัญญา ปัญญาญาณตีให้มันแตกออก แล้วสอดเข้าไปที่ละกองสิ กองสังขาร กองเวทนา กองวิญญาณ กองสัญญา นี่มันจะแตกออกกองใดกองหนึ่ง รูปของจิตมันจะแตกออกๆ พอแตกออกอารมณ์มันเป็นไปไม่ได้ ก็เหมือนกับว่าวัตถุสิ่งหนึ่งเราทุบมันแตกออก มันก็สลายออกหมด จิตนี้พอปัญญามันก็หมุนเข้าไปทัน มันจะแตกออก พอแตกออกมันไม่มีมันก็รวมลงเป็นความว่าง การทำต้องทำอยู่อย่างนั้น

วันนี้ใช้วิธีการอย่างนี้ ความคิดแบบนี้ไล่ต้อนทัน มันปล่อยวาง ว่าง พรุ่งนี้ใช้ความคิดเก่าไม่ได้แล้ว เพราะกิเลสมันรู้ทัน เมื่อวานมันแพ้ช่องนี้ มันจะหาทางต่อต้านเลย มันจะหาทางหลอกล่อ เราต้องใช้วิธีการอื่น วิธีการอื่น ความคิดอื่น คิดเปรียบเทียบในทางอื่น ปัญญาไง เป็นปัจจุบันธรรม ปัญญาต้องใคร่ครวญตลอด การใคร่ครวญตัวนี้ นี่การพลิกแพลงให้ต่อสู้ให้ทัน ให้เป็นปัจจุบัน ให้เกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น

พอเขาวิธีการคิดมาแบบนี้ ปัจจุบันก็ตอบโต้ไปอย่างนั้น พอตอบโต้ไป พลังงานของสมาธิคือจิตมันสงบพอ การทำงานพอดี มรรคสามัคคี มรรคอริยสัจจัง มรรค ๘ แล้วมารวมตัว รวมตัวสามัคคี คือว่าสามัคคีพอดี พอดีกับการรวมตัวของมรรคอันนั้น มรรคอันนั้นรวมกลับเข้าไป สมานกับจิตอันนั้นหลุดออกไป ถ้าหลุดออกไปด้วยมรรคอริสัจจัง ความสามัคคีของมรรคตัวนี้ขาดเลยนะ กิเลสที่ว่ามันตามออกมาจากห่วงโซ่นั้นน่ะ ขาดออกไปคือกิเลสตัวนี้โดนชำระออกไป สมุจเฉทปหานออกไป จิตนี้จะรวมลง กองขันธ์ ๕ แยกออกไป

ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ สักกายทิฏฐิ ๒๐ หลุดออกทันที ออกจากใจ กระเด็นออกไปเลย กองขันธ์เป็นกองขันธ์ กองจิตเป็นกองจิต ทุกข์ไม่มี รวมลงสมุจเฉทปหาน นี่เราลอยกองกิเลสไป ๑ กอง ลอยกองกิเลสนะ กิเลสลอยไป ๑ กอง ด้วยความมุมานะ ด้วยความเห็นคุณค่าในธรรม ด้วยความจริงจังของเรา ด้วยเราเป็นชาวพุทธ ด้วยการเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ด้วยความเชื่อมั่น ด้วยหัวใจ ด้วยเราไง ด้วยเพราะเราเป็นคน ด้วยเพราะเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เพราะเราพบพระพุทธศาสนา เราเป็นผู้ประเสริฐ

จากปุถุชนธรรมดา เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐขึ้นมา ประเสริฐขึ้นมาท่ามกลางธรรมะของพระพุทธเจ้าไง ใครเป็นผู้กระทำ เรามีวาสนาไหมล่ะ เราเป็นมนุษย์คนหนึ่งเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วได้ประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติจนได้ผลขึ้นมาตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าวางไว้ เราเป็นผู้ปฏิบัติตามแล้วได้ผลตามความเป็นจริง นั่นน่ะ เราผู้ปฏิบัตินั้นประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ

ประเสริฐขึ้นมาขั้นตอนหนึ่ง ผู้ที่ลอยกองกิเลสออกไป ๑ กอง เห็นไหม ลอยกิเลสมันประเสริฐมากมาย กับการลอยกระทงที่เอากิเลสนะ เขาลอยเพื่อเอากิเลส ไปสนุกครึกครื้น กับเราลอยกิเลสออกไป ลอยไอ้ตัวที่มันหลอกให้เราไปสนุกครึกครื้น ไปตามโลกวัฏฏะเขานั่นน่ะ แล้วเราชำระมันด้วยมรรคอริยสัจจัง ลอยไป ๑ กอง ประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ

ลอยออกไปเลย ด้วยความเพียรมุมานะอันแก่กล้า ด้วยความจงใจของเรา ด้วยความเชื่อมั่น เราเป็นผู้เดินตาม สาวกะ-สาวกของพระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้เดินตามอริยมรรคของพระพุทธเจ้า ธรรมะทุกขั้นทุกตอน ธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างมันถึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นความเป็นจริงแท้ ให้เราเชื่อมั่นในความเป็นจริงแท้อันนั้น เชื่อมั่นในความจริงแท้แล้วเราปฏิบัติตาม เดินตามความจริงแท้นั้นแล้วมันจะหลงทางไปไหน เราเดินไปบนเส้นทางของมรรคอริยสัจจังนั่นน่ะ อริยสัจของพระพุทธเจ้าแล้วมันจะไปลงที่ไหน มันจะไปลงที่ไหน? มันก็ต้องไปลงที่ผลซิ เหตุเราสร้างเหตุไว้เพียงพอ เราสร้างเหตุขึ้นมาจากตบะธรรมภายใน “ตบะ” ตบะเกิดขึ้นจากการเราสร้างเหตุ แล้วเหตุนั้นมันก็เผาผลาญไอ้กิเลสนั้นออกมาเป็นผล อริยสัจไง ความเดินเข้าไปอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

“ทุกข์” เกิดขึ้นจากความคับแค้นใจ

“สมุทัย” คือความไม่พอใจ ความไม่พอใจ ความพอใจ ความอยากได้ ความอยากที่เป็นการความฝัน อยากประสาโลกเขาฝันเอาไง หลับๆ ตื่นๆ ก็ฝันว่าข้านี่เป็นคนดี หลับๆ ตื่นๆ ก็ว่าฉันจะเป็นเศรษฐีใหญ่ อยากเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ...สมุทัยทั้งนั้นเลย

ความฝันไม่เอา เอาความจริง เอาความจริงด้วยมรรคมันก็เป็น “นิโรธะ”

ดับตามความเป็นจริงดับ เย็น ดับ เย็นๆ ดับตามความจริงด้วยมรรค “นี่อริยสัจ”

เราเดินตามอริยสัจของจริงพระพุทธเจ้าแล้วมันจะพ้นจากมือไปไหน มันอยู่ที่มือของผู้ปฏิบัติ อยู่ที่มือของเรา อยู่ที่มือที่จะไขว่คว้า นี่ให้กำลังใจ แล้วมันยิ่งได้ลิ้มรสได้มีความสุข สมาธิธรรมก็มีความสุขอันหนึ่ง ผลของเหตุที่การปฏิบัติอริยมรรคแล้วเป็นผลออกมา เป็นความสุขที่ไม่เสื่อมคลาย ไม่เป็นอนิจจัง เป็นอกุปปธรรม ยืนได้บนฝั่ง ขึ้นจากโอฆะในกลางทะเลในน้ำทะเลขึ้นมาเท้าแตะฝั่ง ผู้ที่ไม่ต้องใช้ตะเกียกตะกายอยู่ในโอฆะสงสาร ภพชาตินี้กำหนดวันสิ้นแล้ว จิตมันจะมีความสุขกับรสของสมาธิธรรมขนาดไหน ฟังสิ สมาธิธรรมมันมีความสุขคือความสงบอบอุ่นของใจ

จิตตั้งมั่นก็มีความสุขอันหนึ่ง แล้วกิเลสลอยไป ๑ กอง มีความสุขมากขึ้นเพราะมันเป็นอกุปปธรรม ความสุขที่คงที่ ความสุขที่ไม่แน่นอนกับความสุขที่คงที่ ความสุขที่ยั่งยืนน่ะ ต่างกันไหม?...ต่างกัน แล้วใครเป็นผู้รับรู้? ก็หัวใจดวงที่ประเสริฐนั้น เป็นปัจจัตตังเฉพาะใจดวงนั้น ดวงใจไง เป็นผู้ที่สัมผัสธรรม ธรรมะพระพุทธเจ้าสถิตอยู่ที่ดวงใจผู้ที่ปฏิบัติ สถิตอยู่ที่ดวงใจ ใจที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ใจดวงนั้นเป็นผู้รับผล

พอรับผลแล้ว เศรษฐีไง เศรษฐีผู้สร้างธุรกิจการค้า ลองกำไรเกิดขึ้นใครก็ต้องรีบตักตวง ชีวิตนี้ยังอยู่ การก้าวเดินไปยังมีอยู่ กิเลส...

(เสียงเทปขัดข้อง)

...บอกเล่าความรู้ที่เราฟังใครมา มันเป็นความรู้ที่เรารู้แล้วมันก็ลังเล รู้แล้วเราก็ยังใคร่ครวญยังไม่แน่ใจ แต่ความรู้ตามเป็นจริงที่เราได้ประสบมาน่ะ มันยืนยันแบบกังวานกลางหัวใจเลย พอมันกลางหัวใจความเชื่อมั่นอันนี้สุดๆ ความเชื่อมั่นเมื่อก่อนที่ว่าคลอนแคลนๆ พอลองเป็นอกุปปธรรม ธรรมที่แบบมันยั่งยืนในหัวใจแล้ว ไม่มีการหลอก มันไม่มีสีลัพพตปรามาส ความลังเลสงสัยในธรรมใดๆ ไม่มีเลย ความลังเลสงสัย ความไม่เชื่อ ความที่คิดว่าเมื่อก่อนหน้านี้ที่ว่าเรามีจะมีวาสนาหรือไม่มีวาสนา...ไม่เกี่ยว เพราะลองได้ลิ้มรสตามความเป็นจริงแล้ว ถ้าจิตเป็นอย่างนั้น หัวใจดวงนั้นเป็นอย่างนั้นจะเกิดความมุมานะ

ที่ว่าต้องสอน ต้องขับไสด้วยกัน ไม่ต้องแล้ว มันจะคว้า มันต้องการไง เศรษฐีเริ่มมีเงินมีต้นทุนแล้ว มันจะต้องลงทุนแบบมหาศาลเลย เพราะเห็นมองอยู่เลยว่ากำไรหรือผลประโยชน์อยู่ข้างหน้าอีกมหาศาล ก็เริ่มทำต่อไป เริ่มในการก้าวเดินไปบนอริยมรรคนั้นน่ะ ทางอันเอกของพระพุทธเจ้ามันต้องเดินต่อไป เราจะต้องลอยกองกิเลสออกไปจากใจเราให้สิ้น ไม่ใช่ลอยกองใดกองหนึ่ง แล้วเหลืออีก ๓-๔ กองยังทับถมใจอยู่ เป็นแผลทั้งตัวเลย แค่มือหายจากเป็นแผลจะดีใจได้อย่างไร เราเป็นขี้ทูตกุดถังทั้งร่างกายเลย แต่แขนข้างหนึ่งได้หายเป็นปกติ เห็นไหม มันก็ต้องอยากให้หายทั้งร่างกายใช่ไหม ก็ต้องคิดกันว่าไอ้แผลไอ้กิเลสที่มันเป็นต้นเหตุให้เกิดขี้ทูตกุดถังทั้งตัวนี้มันอยู่ที่ไหน เชื้อโรคที่จะทำให้เกิดอยู่ที่ไหน

มรรคอันแรกเราใช้กันเราใช้ประโยชน์รักษาแขนข้างหนึ่งหายไปแล้ว เราต้องเริ่มเดินใหม่ โดยทำใจให้สงบ ทำใจให้สงบนะ จิตมันเคยสงบมันเป็นพื้นฐานที่ยืนมั่นคงอยู่แล้ว มันไปสงบโดยธรรมชาติอยู่แล้วส่วนหนึ่ง แต่จิตที่ควรจะทำการงานต้องเพิ่มพลังงานให้มันสงบเข้าไปอีกเหมือนกัน พอจิตทำให้สงบเข้าไป จิตสงบเข้าไป จิตมันว่างจาก...มันหลุดออกมาจากขั้นหนึ่ง แต่มันก็จะไปกิเลสขั้นต่อไป ขั้นกิเลสที่ว่ามันยังกวนใจอยู่ ไอ้กวนใจอยู่นี่มันมีความขึ้นมาคัดค้านทำให้การงานนี้ไปไม่สะดวก ถึงต้องทำความสงบ เพราะกิเลสส่วนลึกมันเริ่มต่อต้านออกมา กิเลสส่วนในนั่นน่ะ ทำใจให้สงบแล้วพิจารณาหาจำเลย หาเชื้อโรคที่ว่าเป็นขี้ทูตกุดถังอยู่ตรงไหน อุปาทานจากหัวใจมันก็ยังติดอยู่ที่ พิจารณาจิตจนเข้าใจจนอารมณ์ที่มันยึดกายมันปล่อยแล้ว มันปล่อยจากความยึดนั้น

แต่อุปาทาน อุปาทานส่วนลึกมันมี ปล่อย ปล่อย ปล่อยว่างหมด แต่กระแสที่เกาะเกี่ยวมันมี กระแสเกาะเกี่ยวอันนี้พิจารณาซ้ำเข้าไป พิจารณาซ้ำตรงนี้เข้าไปอีก ถ้าจับกระแสเกาะเกี่ยวได้มันจะจับตรงนี้ไม่ได้ เพราะมันว่างเข้ามา ความว่างกับความว่าง แต่ความว่างมันมีเชื้อโรค กับความว่างที่ไม่มีเชื้อโรค ไอ้เชื้อโรคคือกระแสอันนั้นน่ะ จิตถ้าสงบแล้วหมุนกลับเข้ามา มันจับได้ มันจะจับได้ จับได้พิจารณา นี่เป็นธาตุขันธ์ ธาตุเป็นธาตุ ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ

หัวใจก็เหมือนกัน อารมณ์เกาะเกี่ยวก็เหมือนกัน ความเกาะเกี่ยวนี้มันเกาะเกี่ยวเพราะมีเชื้อ พิจารณาซ้ำเข้าไป พิจารณาซ้ำเข้าไป ซ้ำเข้าไปในความเกาะเกี่ยวในขันธ์นั้นน่ะ เพราะมันต้องพิจารณาในนามของขันธ์ เพราะถ้าเราไปจับใจทั้งดวง มันจับไปแล้วมันเป็นวัตถุก้อนใหญ่เกินไป มันเป็นภูเขาทั้งลูก ภูเขาทั้งลูกเราเอาค้อนไปทุบมันไม่แตก เราย่อยสลายภูเขามาเป็นหินเป็นก้อนๆ มาแล้วเราทุบมันเป็นก้อนเล็กลงไป มันจะสลายได้ มันสลายภูเขานี้ทั้งก้อนก็ได้ ทั้งภูเขาก็ได้ จากเราสลายออกมา แต่ภูเขาทั้งลูกเลยแล้วเราเอากำปั้นไปทุบมัน เชื้อโรค ความไม่เข้าใจ ความเกาะติดอันนั้น มันเหมือนภูเขาทั้งลูก ภูเขาทั้งลูกมันเห็นด้วยตาเนื้อ กระแสที่ว่ามันเป็นกระแสเชื้อนั้นมันเป็นนามธรรม มันต้องอาศัยตาภายใน ตาธรรมไง ตาธรรมคือตาของสมาธิธรรม ตาของปัญญาธรรมภายในเข้าไปจับต้อง การจับต้อง จับต้องได้แล้วพิจารณาภูเขานั้น

ทางในทำนองของขันธ์ ๕ ภูเขานั้นแตกสลายออก แตกสลายออกเลย ภูเขาเป็นภูเขา พื้นราบเป็นพื้นราบ ภูเขาราบออกหมด จิตนั้นปล่อยออกหมด ปล่อยว่างเลย จิตนี้เป็นจิต กายนี้เป็นกายหลุดออกไปเลย แยกออกจากกัน แยกออกจากกันไปเลย แยกด้วยอริยมรรค กายนี้มีค่าเท่ากับเศษใบไม้ ใบไม้ใบหนึ่งมันยังเป็นปุ๋ยนะ ใบไม้ใบหนึ่งพอมันตกลงดินมันเน่ามันยังเป็นปุ๋ย มันยังเป็นประโยชน์กับโลก ไอ้ร่างกายเน่าๆ ที่อยู่กับเรานี้มันมีประโยชน์อะไร

พอมันเห็นภูเขานี้ทำลายลง ภูเขานี้มันเป็นของหลอก เพราะเรายึดว่าภูเขานี้เป็นภูเขา ภูเขานี้เป็นนามธรรม มันแตกสลายออก มันไม่มีค่าใดๆ มันขยะแขยง มันขยะแขยงกายซ้ำไปอีก โอ๋ย! กายไม่มีค่าเท่าใบไม้ใบหนึ่งเลย จิตมันจะปล่อยแล้วรวมลงราบเป็นหน้ากลอง นี่ลอยกิเลสออกไปอีกกองหนึ่ง มันจะรับรู้ขึ้นมาจากภายในจิตนี้เป็นปัจจัตตัง ลอยไปเลย มันจะว่างออกไปอีกเพราะมันแยกออกจากกันแล้ว แยกด้วยมรรคนะ แยกด้วยทางอันเอก แยกด้วยการประพฤติปฏิบัติ

นี้เวิ้งว้างเลย จิตว่าง หาตัวอะไรไม่ได้ จับไม่ได้เลย เราก็มีความสุขนะ มีความสุข ผู้ที่ปฏิบัตินี่อิ่มเอิบพอใจ เคลิบเคลิ้มนะ พอใจไปนานอยู่ ถ้าปล่อยไว้ คนที่เขาหลงไปตามความไม่รู้ของตัว สักวันหนึ่งมันจะมีอาการแสดงออก แต่ผู้ที่ว่าเชื่อในธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติมา แล้วทดสอบ หาครูบาอาจารย์แล้วทดสอบกับธรรมะพระพุทธเจ้า ทดสอบกับพระไตรปิฎก มันจะเข้าใจตรงนี้ อันนี้เป็นจิตล้วนๆ แล้วจะแสดงออกในเรื่องของกามราคะ กระทงกองนี้เป็นกองใหญ่มาก กระทงมันมีเป็นชั้นๆ เป็นชั้นประดับชั้นเล็กชั้นบนลงมา ไอ้ตัวนี้ตัวฐานใหญ่เลย เป็นโครงสร้างใหญ่ของกระทง เป็นโครงสร้างใหญ่ของกิเลส กามราคะนี่เป็นเจ้าโลก โลกทั้งโลกตายเพราะไอ้กิเลสตัวนี้

ถ้าลอยกระทงตัวนี้ได้ กระทงตัวนี้ เรากิเลสในกระทงนี้เราลอยตรงนี้ได้มันเป็นที่น่าไว้วางใจได้ แต่ถ้าไม่ลอยตัวนี้มันก็ยังเวียนว่ายตายเกิดในกามภพ ถึงจะเกิดในสวรรค์ก็เป็นเทวดาผู้ไม่มีกิเลส เป็นเทวดาอยู่ เพราะยังไม่พ้นจากกามภพ ยังต้องเกิดตายในภพนี้อีก แต่จะตัดกามราคะตัวนี้ไง เพราะจิตมันสงบแล้วมันจะแสดงตัวออก ปิดไว้ไม่อยู่ มันจะรุนแรง มันจะอยู่ที่หัวใจนั่นล่ะ เมื่อก่อนผู้ดีเขาจะทำอะไรเขาจะสงวนท่าทีกิริยาท่าทาง เมื่อก่อนกิเลสมันมีอยู่ ๓–๔ ชั้น ไอ้ชั้นนี้มันเป็นอยู่ชั้นที่ ๓ มันจะแสดงออกมันก็เก็บกิริยาท่าทาง

แต่พอเราเพิกออกไป ๒ ชั้น เราลอยกิเลสไป ๒ กระทงแล้วมันจะเป็นโครงสร้างใหญ่ มันจะมองเห็น มันจะแสดงตัวแบบที่ว่าไม่มีใครมาปิดบังมันไง มันเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง แต่มันเอามาเปรียบเทียบมาเป็นรูป แต่จริงๆ มันคือความรู้สึก จริงๆ มันคือความคิด จริงๆ มันคือกิริยาภายในมันกิริยาของจิต อารมณ์แสดงออกของจิต แต่ผู้ปฏิบัติก็ต้องต่อสู้กันแบบเต็มที่ ผู้ปฏิบัติจนต้องหันกำลังพลังงานทั้งหมดเข้าไปหักห้ามตัวนี้ เพราะตัวนี้มันสั่นไหวมาก มันสั่นไหวถึงขั้วหัวใจเลย เพราะจิตตัวมันเองมันก็เสพกามในตัวมันเองได้ มันสร้างอารมณ์เองแล้วมันเสพเองเลยนะ เพราะมันเป็นกามอยู่ภายในหัวใจ เพราะใจเป็นกามล้วนๆ

แล้วถ้าสิ่งนี้มันเกิดขึ้น เราต้องเห็นภัย พอความเห็นภัยมันก็ต้องต่อสู้ ถ้าการพิจารณากายตรงนี้มันจะเป็นอสุภะ การพิจารณาอสุภะคือความไม่สวยไม่งาม คือพยายามทำให้ใจมันยอมรับว่าสิ่งที่เอ็งคิด เอ็งพยายามสัมผัสนั้นมันเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง มันเป็นก้อนเลือดสดๆ มันเป็นของสิ่งที่เน่าบูด มันเป็นสิ่งที่อยู่ของพวกตัวหนอน ไอ้ตัวหนอนพวกชอนไชมันชอนไชอยู่บนไอ้พวกของเน่านี่ ไอ้หัวใจมันก็กินอยู่ตรงนั้น ถ้าการพิจารณาจิต จิตมันก็เข้าตรงนั้นไง

พิจารณาซ้ำเข้าไป ไอ้ตัวนี้คือตัวขันธ์ภายในหัวใจ ตัวขันธ์ในไง ตัวขันธ์ ๕ ของจิตนี่ล่ะ ตัวนี้ล่ะ ตัวกามราคะนี่แหละ เพราะตัวสัญญาล้วนๆ เพราะใจมันเกิดตายเกิดตายมากี่ภพกี่ชาติ การเสพมาในชาติใดๆ ก็แล้วแต่ แต่มันซับอยู่ที่ใจ ใจตัวนี้มันเคยเยิ้มไปด้วยตัวนี้ไง การเกิดการตายก็เกิดตายจากกาม กามตัวพาเกิดพาตาย ตัวความเคยชิน แล้วตัวจะทำลายมัน

มันสอยเอาล้มลุกคลุกคลานนะ เพราะมันเป็นตัวกองบัญชาการ มันเป็นตัวเจ้าที่จะทำให้ทุกชีวิตต้องอยู่ในอำนาจของมัน แล้วผู้ปฏิบัติจะเข้าไปทำลายมัน เอาอะไรไปทำลายมัน เอาค้อนธรรมดาไปทำลายมันเหรอ ค้อนเขาไว้ทุบไม้ทุบตะปูนี่ เพราะมันเป็นวัตถุ แต่ไอ้นี่มันเป็นการเกิดการตายนะ สิ่งใดๆ ในโลกนี้ สิ่งใดๆ มันจะสำคัญกว่าการเกิดและการตาย การเกิดมา เกิดมาพร้อมกับอำนาจวาสนา เกิดมาท่ามกลางกองมหาสมบัติคนนั้นก็มีวาสนา การเกิดมา เกิดมาในทุกข์คนเข็ญใจก็คือการเกิดมาจากกามทั้งนั้น ตัวนี้มันพาเกิด เพียงแต่เกิดด้วยวาสนาหรือเกิดแบบทุคตะเข็ญใจเท่านั้น แต่ก็ต้องเกิด การเกิดและการตายมีค่าเท่ากัน จะผู้ดี จะทุกข์เข็ญใจขนาดไหนการเกิดการตายคือทุกข์อันเดียวกัน มันเสมอกันตรงนั้นไง

ถึงว่าการเกิดการตายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะไอ้ตัวนี้เป็นตัวพาเกิด ตัวของเชื้อเกิดและตาย เกิดในกามภพนะ ตัวเชื้อของความเกิดและความตาย แล้วเราเข้าไปทำลายหัวเชื้อการเกิดและการตาย ฟังสิ มันทำไมไม่ขวางสุดๆ เพราะไอ้ตัวนี้มันเป็นกองบัญชาการ เป็นแบบน้ำป่า เป็นแบบการไหลเวียน เป็นการโถมเข้าใส่แบบของกองกิเลสนะ ของกองของกามราคะ มีกำลังเท่าไรต้องใส่ให้หมด

อย่างการที่ฝึกมาลอยไป ๒ กระทงนั่นน่ะ การเริ่มต้นมา ๒ กระทงนั้นมันเป็นวิธีการที่เราได้ผ่านศึกสงครามมา คนที่เคยผ่านศึกสงครามมามีประสบการณ์ของการต่อสู้ เคยชนะกิเลสมาแล้ว เคยลอยกิเลสแล้ว ๒ กอง กองที่ ๓ จะใหญ่ขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าเคยมีประสบการณ์มา แต่ประสบการณ์แบบคนอ่อนด้อย เพราะไอ้กองนี้เป็นกองทัพที่ใหญ่ ประสบการณ์อย่างนั้นมามันใช้สู้กับกองทัพอันนี้ไม่ได้ แต่มันก็มีประสบการณ์ ฟังสิ

มันถึงว่าเริ่มจากมีฐานไง ฐานของการเคยพิชิตมา เคยพิชิตกิเลสมาแล้ว เคยต่อสู้มาแล้ว ถึงทำไม่ได้ ถึงจะแพ้ก็จะสู้ เพราะเคยชนะมา ๒ หนเป็นสักขีพยาน การชนะมา ๒ ครั้ง การลอยกิเลสไป ๒ ครั้ง มันเป็นสักขีพยานว่าเราก็มีวาสนา เราก็เป็นผู้ที่ชนะได้ ตัวนี้แหละเป็นตัวที่ว่าเริ่มปลุกปลอบใจจากการที่ว่าเราแพ้มาไง พอหันหน้าเข้าไปหากามราคะนะ มันก็ทำให้เราเข่าอ่อน มันจะปั่นหัวจนปัญญาที่เข้าไปใคร่ครวญมันหลงทางหมด ปัญญาการจะเข้าไปมันหลงทางไง มันเป็นทางของกาม มันเป็นทางของความเยิ้ม มันเป็นทางของกาม ทางลื่น เป็นทางที่ว่าเราเดินเข้าไปไม่ได้เลย หกล้มลุกคลุกคลานไปตลอด

จนกว่าการมุมานะ การต่อสู้อย่างรุนแรง ถึงจะเริ่มตั้งตัวได้ เริ่มยันไว้ได้นะ จะเริ่มยันไว้อยู่ พอยันไว้อยู่ก็นั่น ยันกองทัพไว้อยู่ก่อน แล้วพิจารณาซ้ำๆ เข้าไปนะ พิจารณาเรื่องกามนี่แหละ มันจะรุนแรงๆๆ พอพิจารณาซ้ำจนมันขาด พอขันธ์อันนี้ขาดนะ ขันธ์ของใจนี้ขาด เพราะมันเป็นขันธ์ มันเป็นข้อมูลภายใน มันเป็นสัญญาตัวของใจ เป็นข้อมูลภายใน กับขันธ์ข้างนอกนี่เป็นข้อมูลภายนอก เป็นข้อมูลที่เราออกมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เราจะทำอะไรก็ได้เพราะมันเป็นกระดาษ แต่ไอ้ข้อมูลที่เป็นโปรแกรมภายใน ไอ้สัญญาตัวจำจากกามมาต่างๆ ตัวนี้เป็นข้อมูลภายใน เราต้องทำลายข้อมูลภายใน

พอทำลายข้อมูลไอ้สัญญาไอ้กามราคะที่เกิดตายเกิดตายที่มันซับมา มันระเบิดออก ขันธ์นี้มันหลุดออกไป โลกธาตุนี่หวั่นไหว ความเกิดตายของเราในกามภพไม่มีอีกแล้ว จะเกิดอีกก็พรหมอย่างเดียว เพราะพรหมไม่มีกามตัวนี้ไง มันเป็นจิตล้วนๆ ไง มันไม่เกี่ยวข้อมูลภายใน เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นโดนทำลายข้อมูลทั้งหมด เหลือแต่คอมพิวเตอร์เปล่าๆ ไง จิตมันก็ไปอีกรูปหนึ่งเลย นี่ลอยโครงสร้างของลอยข้อมูลภายใน ลอยกิเลสภายใน ลอยกิเลสกองใหญ่ เราต้องลอยกิเลสกองนี้ให้ได้ แล้วเป็นผู้ที่นอนใจได้ไง อย่างน้อยก็ไปเกิดที่พรหม ไม่เกิดอีก ไม่เกิดอีก มนุษย์และเทวดา ไปเกิดเป็นพรหมก็แค่พรหม ๕ ชั้นไม่ใช่พรหมธรรมดาด้วย พรหมที่เหมือนกับที่จะสุขไปข้างหน้า ถึงไม่ต้องปฏิบัติก็สิ้นอย่างเดียว เห็นไหม ถึงว่านอนใจได้ไง

แต่เกิดเป็นพรหมก็อีก ๘๐,๐๐๐ ปีอย่างต่ำ และ ๘๐,๐๐๐ ปีไปเป็นพรหมมันก็ไปเฉาอยู่ที่พรหมนั่นล่ะ เพราะเป็นพรหมมันก็มีสุขมีทุกข์ เพราะมันเป็นผัสสาหาร จิตนี้ยังกินอาหารอยู่ จิตนี้ยังสัมผัสอยู่ ว่างขนาดไหนมันก็มีความเฉาอยู่ภายใน กระทงอันนี้เป็นกระทงแก้ว เป็นกระทงว่างเป็นกระทงเปล่าๆ เห็นไหม เมื่อกี้เป็นโครงสร้างของกระทงใช่ไหม อันนี้เราลอยไปหมดแล้ว

ทีนี้มันเป็นภาพความจำของกระทง เราเห็นกระทงมา ลอยกระทงไปแล้ว แต่ไอ้ที่ว่าเราไปลอยกระทงไปแล้ว เรากลับมาเรานึกถึงภาพลอยกระทงสิ นี่มันเป็นความจำเปล่าๆ มันเป็นภาพภายใน ตัวอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา คือตัวพลังงานเนื้อๆ พลังงานที่ว่าไม่แสดงออกเป็นอย่างอื่นไป ถึงว่าอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทกับวิญญาณในขันธ์ ๕

“วิญญาณในขันธ์ ๕” คือวิญญาณรับรู้จากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

“วิญญาณในปฏิจจสมุปบาท” คือวิญญาณตัวปฏิสนธิ คือวิญญาณตัวนอนเนื่อง คือวิญญาณนอนในครรภ์ไง

ถ้าคนที่มีกิเลส คนที่ยังไม่ลอยกระทงมา ๓ กอง ตัวนี้คือตัวปฏิสนธิวิญญาณ มันคนละวิญญาณกับวิญญาณตัวขันธ์ ๕ วิญญาณขันธ์ ๕ นี้เลยเป็นวิญญาณที่หยาบที่เราชำระมาหมดแล้ว เป็นวิญญาณกองไง กองของวิญญาณ กองของสังขาร กองของเวทนา กองของรูป แต่ตัวนี้ไม่ใช่กอง ตัวนี้เป็นปัจจยาการที่มันเกิดจากอวิชชา เป็นวิญญาณอันละเอียด เป็นวิญญาณภาพเปล่าๆ เป็นวิญญาณโครงสร้างที่ว่าไม่มีข้อมูลภายใน เป็นวิญญาณตัวเกิดไง นี่เป็นเจ้าวัฏจักร เป็นเรือนยอดของกองกิเลส กิเลส ๓ กอง โลภ โกรธ หลง ขาดออกไปพร้อมกับการพิจารณากามราคะ

แต่ตัวเรือนยอด ตัวเรือนยอดของโลภ โกรธ หลง ตัวพลังงานที่ทำให้เกิดความโลภ ทำให้เกิดความหลง ตัวความเป็นโทสะ นั่นล่ะไอ้ตัวบนนี้ ตัวพลังงาน ไอ้ตัวโลภ โกรธ หลงนี้ยังหยาบกว่าไอ้กองๆ นั้น นี่ต้องลอยตัวบนนี้ด้วย แต่จะลอยอย่างไร เพราะมันเป็นภาพความจำ มันไม่ใช่กระทงที่เป็นรูปที่เราลอยไปง่ายๆ อยู่แล้ว อาศัยความจำภาพภายในนั้นจับต้องมัน จับต้องภาพความจำภายในนั้น แล้วคิดพิจารณาว่าภาพความจำนี้มันก็ไม่ใช่

ภาพความจำนี้ก็เป็นความจำ มันไม่ใช่วัตถุ มันเป็นภาพความจำ เราทำไมเราไม่สลัดทิ้งล่ะ ต้องสลัดภาพความจำอันนี้ออกไป กระทงนี้เป็นความว่าง กระทงนี้เป็นแก้ว กระทงนี้ไม่มีรูป ไปพลิกตัวในตัวนั้น นี่ล่ะคือลอยหมด ถ้าลอยกระทงตัวนี้ได้ นี่ลอย ๔ กระทง ลอยกิเลส กิเลส ๔ กอง ลอยออกไป ลอยออกไป ลอยกิเลสออกจากใจทั้งหมด กับที่เขาไปลอยกระทง ลอยกระทงเพื่อเอากิเลสเข้ามาเพราะกิเลสมันพาให้ลอย กับเราเอาธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องมือการลอยกิเลสออกไป ลอยกิเลสออกไปจากใจ ใจของเรานี่แหละ ลอยออกไปกิเลส หัวใจที่ลอยออกไปแล้ว

เมื่อก่อนหัวใจที่พร้อมกิเลส มันทุกข์มันร้อนมากนะ มันบีบบี้สีไฟให้หัวใจนี่เร่าร้อน หัวใจนี่เป็นขี้ข้ามันนะ มันพาเกิดพาตายในวัฏวนมาตลอด เห็นไหม กิเลสมันพาวน มันลอยวนมาในวัฏฏะ ในกามภพ ในรูปภพ ในอรูปภพ มันลอยเรามาตลอดนะ กิเลสมันพามันลอยเท้งเต้งมาในวัฏวนใน ๓ โลกธาตุ เราเอาธรรมะพระพุทธเจ้านี่ลอยมันออกไป ลอยกิเลสออกไปจนเหลือ ๓ โลกธาตุ เราหลุดออกมาจาก ๓ โลกธาตุเลย

ธรรมะพระพุทธเจ้าทำให้จิตวิญญาณตัวของเรา ตัวใจตัวเปล่าๆ ใจที่เปื้อนไปด้วยกิเลสนะ ใจที่เป็นกิเลสมันก็ลอยเท้งเต้งไป ใจที่ชำระลอยกิเลสออกไปแล้ว มันหลุดออกมาเป็นใจล้วนๆ เป็นจิตล้วนๆ เป็นธรรมทั้งแท่ง มันเหนือ มันมีความสุข มันพ้นออกไปจากการเวียนว่ายทั้งหมดเลย

หนึ่งเดียวเท่านั้น หนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง ความสุขยิ่งมหาศาลนะ ความสุขอันแท้จริง ความสุขอันประเสริฐ ความสุขที่คงที่ คงที่ยั่งยืนนาน คงที่เลย ไม่มีกับมาเวียนอีกแล้ว นี่ลอยกระทงกับลอยกิเลส

แล้วเราเป็นชาวพุทธ เราคิดว่าเรามีวาสนาหรือไม่มีวาสนา กับที่เขาครื้นเครงกัน ทั่วประเทศไทยนะ จนคนไทยไปอยู่อเมริกายังไปจัดที่อเมริกานะ ถ้าไปทั่วโลกยังได้เลย ลอยเอากิเลสมาไง ลอยเพื่อยึดมั่นถือมั่น ลอยเพื่อกลับบ้านแล้วร้องไห้คิดถึงกัน ลอยเพื่อกลับมาแล้วยังมาเศร้าสร้อยอยู่ในห้องนอน ออกไปลอยกระทงกลับมาแล้วก็มานั่ง มาตี มาทะเลาะกันอยู่ในบ้าน

กับลอยกิเลสออกไปนี่ มีส่วนน้อยก็เป็นเราเป็นผู้หนึ่งในส่วนน้อยนั้น เราลอยออกไปจากเรา ให้เรานี่เป็นผู้พ้นจากกองกิเลส เราลอยกิเลสออกไปจากหัวใจ ใจนี่เป็นธรรมทั้งแท่ง ใจที่เป็นธรรมทั้งแท่งเพราะได้ลอยกิเลสออกจากใจแล้ว

จาก “ใจที่เป็นกิเลสทั้งดวง” กับจาก “ใจที่ไม่มีกิเลสทั้งดวง” ลองเปรียบเทียบจากผู้ปฏิบัติเรา เราเท่านั้นเป็นผู้ประสบไง เวลามันทุกข์ร้อนไม่ต้องบอก ทุกหัวใจ ทุกดวงใจ มันเดินมา มันเกิดเวียนว่ายตายเกิดมา เลือดเยิ้มมาตลอด มาตลอดเส้นทางเลย เดินมา ลอยมานี่ เราผ่านมา เลือดมันลากมาจะเห็นรอยเลือดไปตลอด การเกิดการตายมันเจ็บปวดมาตลอด แต่เราไม่รู้เพราะกิเลสมันบังไว้ เราไม่เห็นเพราะเราว่ามีชาติเดียวไง “ชาติหน้าก็ไม่มี ชาติที่แล้วก็ไม่มี ตายแล้วก็สูญ” เห็นไหม กิเลสมันบังไว้หมดเลย เราไม่เห็น

หลับตาภาวนาจะเห็นเยิ้มมาหมด จะสงสารตัวเอง จะสมเพชตัวเองว่าเราทำไมโง่แสนโง่ พบพระพุทธศาสนาแล้วก็ยังเกือบหลุดมือ ว่าอย่างนั้นเลยนะ เกือบจะไม่ได้ปฏิบัติจริงสมดังธรรมะพระพุทธเจ้าที่วางไว้ ถ้าผ่านมาแล้วจะเสียใจ จะเสียดายโอกาส จะหนาวนะ จะหนาวเลย อู้หู! ทำไมเรามาสุดๆ เราเป็นคนสุดท้ายว่าอย่างนั้นเลย เราจะเกือบไม่ทันรถไฟ แล้วเรามาทัน เราเป็นผู้มีวิชชา เป็นผู้มีวาสนาหรือไม่มีวาสนา

เราต้องคิดว่าเราเป็นผู้มีวาสนา เราเป็นผู้ที่อยากจะลอยกิเลสออกจากใจ เราเป็นผู้อยากจะลอยกิเลสของเราออกจากหัวใจ เราต้องมุมานะ เราต้องตั้งใจ เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เราเป็นบริษัท ๑ ในบริษัท ๔ เราต้องจรรโลงศาสนา เราต้องช่วยตัวเอง สงสารตัวเองก่อน ทำตัวเองให้ได้ ทำตัวเองให้เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้ประเสริฐในท่ามกลางพระพุทธศาสนา

เราจะเป็นคนเกิดมาแล้วไม่เสียชาติเกิด เกิดมาพระพุทธศาสนาแล้วได้ผลประโยชน์จากพระพุทธศาสนา ในพระพุทธศาสนาเราเป็นคนคนหนึ่ง เป็นเพชรประดับไว้ในท่ามกลางของศาสนาไง เป็นเพชรเม็ดหนึ่ง จรรโลงศาสนาให้งดงาม ให้ศาสนานี้งดงามขึ้นมาจากเพชรในหัวใจเรา อย่าเอาเพชรที่นิ้วนะ เพชรที่นิ้วเดี๋ยวโจรมันแย่งออกไปแล้วมันจะเสียใจนะ เอาเพชรในหัวใจ เอาเพชรจริงๆ ตั้งใจจริงแล้วจะสมจริง เอวัง