ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เพ้อกับฝัน

๒๔ ส.ค. ๒๕๕๖

เพ้อกับฝัน

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๖

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่องอยากฟังชัดๆ เรื่องมโนมยิทธิ

กราบนมัสการหลวงพ่อ โปรดเมตตาศิษย์ผู้มืดบอด กระผมเองด้อยปัญญาไม่อาจวินิจฉัย ทราบมาว่าหลวงพ่อเคยผ่านไปศึกษาทางนั้นมาช่วงเริ่มต้น ประเด็นคือท่านองค์หนึ่ง มีพระหลายองค์บอกว่าท่านเป็นพระที่มีบารมีสูง หลายท่านว่ากันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ซึ่งพระที่บอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์ก็เช่นพระอีกองค์หนึ่งซึ่งหลวงตามหาบัวท่านก็บอกว่าเป็นเพชรน้ำหนึ่ง เกล้ากระผมจนด้วยปัญญา แล้วแต่หลวงพ่อจะเมตตาพิจารณาตอบหรือไม่ก็ได้ ตามเห็นสมควร กราบขอบพระคุณอย่างสูง

ตอบ : เรื่องมโนมยิทธิ พูดถึงตามสัจจะความจริงเลย มโนมยิทธิมันก็มี มีอยู่ในพระไตรปิฎก มโนมยิทธิ แต่มโนมยิทธิ มโนคือใจ มโนมยิทธิคือฤทธิ์ทางใจ ถ้าฤทธิ์ทางใจมันเกี่ยวกับการปฏิบัติไหมล่ะ มันเกี่ยวกับการปฏิบัติหรือไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ ถ้ามันเกี่ยวกับการปฏิบัตินะ คนที่มีปัญญาเขาจะรู้ของเขา แต่ถ้าคนไม่มีปัญญา อย่างเช่นพระองค์นี้มีบารมีมาก มีต่างๆ สิ่งนี้เวลาพระที่ปรารถนาเป็นโพธิสัตว์นะ มีบารมีแล้วทำสิ่งใด โอ้โฮ! จะมีประชาชนนับถือศรัทธาเยอะมาก แล้วพูดสิ่งใดเป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ด้วย วาจาศักดิ์สิทธิ์เพราะอะไร เพราะท่านทำบารมีของท่านมามาก

พระโพธิสัตว์แต่ละองค์แตกต่างกัน เช่น เริ่มต้นตั้งแต่สร้างบารมี หรือสร้างบารมีมามากขึ้นมาบารมีจะใหญ่มาก พอบารมีใหญ่ขึ้นมาเขาจะรู้ของเขา เขามีฌานโลกีย์ของเขา เขาจะรู้สิ่งต่างๆ รู้อย่างนั้นมันก็มีความผิดพลาด มีความไม่จริงรวมอยู่ด้วย เพราะยังมีกิเลสอยู่ คนมีกิเลสอยู่ จิตใจถ้ามันสะอาด จิตใจมีกำลังมันก็มองสิ่งนั้นได้ชัดเจน ถ้าจิตใจของเรางานพะรุงพะรัง สิ่งนั้นมันก็ไม่ชัดเจน นี่พูดถึงว่าผู้ที่สร้างบารมี ฉะนั้นถึงว่า ถ้าท่านมีบารมีมาก มีบารมีมากสิ่งนี้มันวัดกันไม่ได้ สิ่งนี้มันวัดกันถึงสัจจะความจริงไม่ได้ ถ้าวัดกันถึงสัจจะความจริง

มโนมยิทธิ มโนมยิทธิฤทธิ์ทางใจ ฤทธิ์ทางใจถ้ามีกำลัง ฤทธิ์ทางใจเปรียบเทียบ เปรียบเทียบฤทธิ์ทางใจของพระเทวทัต พระเทวทัตก็มีฤทธิ์ทางใจ ถ้าไม่มีฤทธิ์ทางใจจะเหาะเหินเดินฟ้าได้หรือ จะแปลงตัวเองไปเป็นงูไปพันหัวของอชาตศัตรูได้หรือ

แล้วเวลามโนมยิทธิของพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะก็มีฤทธิ์ทางใจเหมือนกัน แต่มีฤทธิ์ทางใจของพระโมคคัลลานะ เพราะพระโมคคัลลานะท่านได้ชำระล้างกิเลสของท่านไปหมดแล้ว ฤทธิ์อันนั้นก็เลยเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์เพราะอะไร เพราะจิตใจของพระโมคคัลลานะท่านส่งเสริมทำเพื่อศาสนา แต่เทวทัตทำเพื่อตัวเอง เพราะอะไร เพราะอยากให้คนเชื่อถือศรัทธา อยากให้คนรู้จัก ก็ด้วยกิเลส มโนมยิทธิ เห็นไหม

แต่พอเวลาพระเทวทัตปรารถนาจะปลงพระชนม์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฤทธิ์นี้หายหมดเลย พอฤทธิ์นี้หายหมดไปเพราะเสื่อมลาภ เทวทัตเสื่อมลาภ ให้ลูกศิษย์ของตัวเองไปขออาหารจากญาติพี่น้องมา แล้วฉันเป็นคณโภชนะคือฉันร่วมวง สมัยนั้นฉันร่วมวง ฉันร่วมวงก็ฉันเหมือนกับในสมัยชมพูทวีปเขากินอาหารกันอย่างนั้น แล้วมีคนเขาไปเห็น ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระเทวทัตเสื่อมลาภ ให้ลูกศิษย์ของตัวไปหาญาติพี่น้องเอาอาหารมากินกัน มากินกันเพราะอะไร เพราะเสื่อมลาภ เสื่อมไปหมดเลย พอปรารถนาจะปลงพระชนม์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทำสงฆ์ให้แตกแยก นี่ไง นี่ก็มโนมยิทธิเหมือนกัน เพราะเขามีฤทธิ์ทางใจเหมือนกัน

มโนมยิทธินะ ในหลักความจริงนะ มโนมยิทธิเข้าฌานสมาบัติได้เข้มแข็งมาก ได้แก่กล้ามาก แล้วน้อมใจนี้ออกไปพิจารณาอริยสัจ ถ้าน้อมใจไปพิจารณาอริยสัจนะ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ นั้นถึงจะเป็นมรรค

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับสุภัททะใช่ไหม สุภัททะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง บอกว่าเขามีปัญญามาก บอกว่าศาสนาไหนก็ดี แล้วในปัจจุบันนี้ลัทธิไหนก็ดี คำสอนใครก็ดี องค์ไหนก็สอนถูกต้องหมด ก็ไปถามครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง

ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เธออย่าถามให้มากไปเลย ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล

แนวทางปฏิบัติไม่มีมรรค ถ้าแนวทางปฏิบัติถ้าไม่มีมรรค ผลมันไม่มี มโนมยิทธิเป็นฤทธิ์ทางใจ แต่เข้าอริยสัจไหม มโนมยิทธิมันก็เหมือนกับอภิญญา ๖ ไง อภิญญาที่ ๖ รู้ว่ากิเลสสิ้นไป แล้วสิ้นอย่างไร

ถ้ามันไม่เข้าสู่มรรค ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ถ้าศาสนาไหนไม่มีมรรค มรรคคืออะไรล่ะ ปัญญาชอบ งานชอบ เพียรชอบ สติชอบ มรรค ๘ ถ้าศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล แต่มโนมยิทธิ อภิญญา ๖ มันเป็นฤทธิ์ทางใจๆ แต่ฤทธิ์ทางใจก็ต้องเข้าสู่มรรค เข้าสู่มรรค แล้วมรรคอยู่ไหน

สิ่งที่เป็นจริงอยู่นี่นะ สิ่งที่ว่าเป็นจริงๆ ดูสิ หลวงปู่มั่นมี เพราะหลวงปู่เจี๊ยะท่านถามหลวงปู่มั่นเอง เพราะหลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้เราฟังเอง บอกว่าอภิญญา ๖ มันแก้กิเลสได้ไหม หลวงปู่มั่นบอกไม่ได้ หลวงปู่เจี๊ยะท่านสนิทมากนะ เพราะท่านอุปัฏฐากอยู่ เหมือนพ่อกับลูกเลย เพราะหลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้เราฟังเองเลย แล้วหลวงปู่เจี๊ยะก็ถาม พอหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ปั๊บ ท่านเอ็ดปั๊บ หลวงปู่เจี๊ยะก็นวดเส้นไปก่อน พอสักพักหนึ่งก็ถามอีกแล้วถ้าอภิญญา ๖ แก้กิเลสไม่ได้ แล้วหลวงปู่มั่นทำทำไม

ท่านบอกว่าเอาไว้สอนคน เอาไว้เป็นเครื่องมือสอนคน เอาไว้เป็นเครื่องมือ

คำว่าเครื่องมือเพราะคนเขาอยากให้รู้ว่าเรารู้จักเขา เรารู้ความรู้สึกนึกคิดของเขา ทุกคนก็อยากให้ทุกคนรู้ว่าเราคิดอะไร เห็นไหม ท่านเอาไว้เป็นเครื่องมือสั่งสอนคน สั่งสอนเข้าสู่ไหนล่ะ สั่งสอนเข้าสู่ไหน สั่งสอนเข้าสู่มรรคไง

ทาน ศีล ภาวนา เราเสียสละกัน เราทำคุณงามความดี เข้าถึงเป็นความดีไหม เข้าสู่ความดี ความดีอย่างใด ความดีพื้นฐานของสังคมมนุษย์ใช่ไหม ความดีของพระอริยเจ้าใช่ไหม ความดีของพระโสดาบัน ความดีของพระสกิทาคามี ความดีของพระอนาคามี ความดีของพระอรหันต์แตกต่างกัน โสดาปัตติมรรค บุรุษ ๔ คู่ เป็นบุรุษ ๘ บุรุษ ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล นี่ไง มันก็แตกต่างแล้ว ความรู้ความเห็นมันจะแตกต่างมาก แล้วครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นความจริงขึ้นมา หลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ชอบ มีหมด สิ่งที่ว่ามี

แล้วพระองค์นี้ที่บอกว่ามโนมยิทธิเขามีฤทธิ์มีเดช เขามีบารมี เขาสอนอะไร เขาสอนอะไรล่ะ เขาพูดถึงเรื่องมรรคไหม มันไม่พูดถึงเลย ไม่พูดถึง แล้วบอกว่า พระองค์หนึ่งที่เขาว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แม้แต่หลวงตาก็ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ หลวงตาว่าเพชรน้ำหนึ่งๆ

เพชรน้ำหนึ่งโดยความเป็นจริงก็มี แต่สุดท้ายแล้วเวลาหลวงตาท่านชราภาพ เพชรน้ำสอง เพชรน้ำสาม ท่านพูดบ่อยๆ มันก็มี

ฉะนั้นบอกว่า อาจารย์องค์นี้หลวงตาท่านบอกเพชรน้ำหนึ่ง องค์นี้เราเชื่อ องค์ที่หลวงตาพูดถึงองค์นี้เราเชื่อ แต่ถ้าเราเชื่อขึ้นมา เพราะว่าความสะอาดบริสุทธิ์ของบุคคล ไม่มีบุคคลอื่นการันตีความสะอาดของบุคคลอื่นได้ ถ้าพระองค์ที่บอกว่าเขามีฤทธิ์มีเดช มโนมยิทธิ ถ้าเขามีความจริงของเขา เขาก็ต้องเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก รู้ตามความจริงของเขาว่าเขาสะอาดบริสุทธิ์ ถ้าเขาไม่สะอาดบริสุทธิ์ ใครจะพูดถึงว่าเขาสะอาดบริสุทธิ์ขนาดไหนมันก็สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาไม่ได้ เพราะความสะอาดบริสุทธิ์ของบุคคลคนนั้นต้องเป็นผู้ทำของคนนั้นขึ้นมาเอง

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพยากรณ์ใครว่าเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้วาระจิต มันมีพระสมัยพุทธกาลไปหาพระพุทธเจ้า จะไปให้พระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าเป็นพระอรหันต์ พอไปถึง พระพุทธเจ้าให้พระไปดักไว้หน้าวัดเลย บอกไม่ต้องเข้ามา ให้ไปเที่ยวป่าช้าก่อน ให้เข้าป่าช้าไปเลย

พอเข้าป่าช้าไปเลย พอเห็นซากศพ พอจิตใจเขาหวั่นไหว เขารู้ของเขาเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ด้วยอนาคตังสญาณเพราะบารมี พุทธวิสัยรู้หมด แล้วจริงไม่จริง แต่จริงไม่จริงนั่นอยู่ที่เขาใช่ไหม มันอยู่ที่เขาใช่ไหม ถ้าเขาเป็นจริงก็เป็นจริง นี่ก็เหมือนกัน ความสะอาดบริสุทธิ์ของบุคคล

ฉะนั้น เขาบอกว่า มันเป็นสิ่งที่ว่าเขาเป็นคนมืดบอด เขางงว่าองค์นั้นก็การันตีองค์นี้ องค์นี้ก็การันตีองค์นั้น

มันก็เรื่องของเขา มันเรื่องของเขา เราไม่มีความสามารถจะไปวัดได้ว่าเขาจริงหรือไม่จริง แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงท่านรู้ ท่านรู้ หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลาเมื่อก่อนนะ ในสังคมมีคนพูดอย่างนู้นพูดอย่างนี้ หลวงตาท่านบอกว่า ผู้รู้มีอยู่นะ ผู้รู้จริงมีอยู่ เวลาจะพูดเรื่องธรรมะกันให้อายผู้รู้จริงบ้าง

เพราะผู้รู้จริงเขารู้ว่าเราพูดเท็จหรือพูดจริงนะ เพราะผู้รู้จริงใช่ไหม ในสังคม คนรู้จริงมี ถ้าคนรู้จริงมี ไอ้คนที่พูดนั่นน่ะ ถ้าเขาไม่รู้จริงเขาต้องพูดความที่เขาไม่รู้จริงนั้นออกมา ธรรมะจะรู้ได้ต่อเมื่อแสดงธรรม ธรรมะจะรู้ได้เลยว่าคนคนนั้นมีธรรมหรือไม่มีธรรมขณะที่เขาแสดงธรรมออกมา แล้วถ้าเขาพูดออกมาโดยความไม่รู้จริงของเขา ไอ้คนที่รู้จริงมี

หลวงตาท่านเน้นย้ำบ่อยมาก ตอนเราอยู่กับท่าน สมัยอยู่กับท่าน ท่านจะบอกว่า ผู้รู้จริงมีนะ ผู้รู้จริงมี ให้อายคนที่รู้จริงด้วย จะพูดอะไรออกไปให้อายคนที่รู้จริง เพราะคนที่รู้จริงเขารู้ของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเขารู้จริงของเขา มันต้องมีใครไปการันตีเขาล่ะ มันไม่ต้องมีใครไปการันตีเขาหรอก

ทีนี้บอกว่า แม้แต่พระองค์นี้ไปชมพระอีกองค์หนึ่งว่าเขาเป็นพระอรหันต์ แม้แต่หลวงตาท่านก็ว่าพระองค์นี้เป็นเพชรน้ำหนึ่ง

ฉะนั้น สิ่งที่เวลาหลวงตาท่านชื่นชมใครมันก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่เวลาปัญหาสังคมมันก็มีเหมือนกันนะ เวลาสังคมขึ้นมา จะพูดสิ่งใดไปมันกระเทือนกัน หลวงตาท่านจะพูดบ่อยมาก ท่านจะพูดแต่เรื่องดี เรื่องไม่ดีท่านเก็บไว้ภายใน เรื่องสิ่งอะไรที่กระทบกระเทือนกันในสังคมท่านจะเก็บไว้ภายในของท่าน ท่านบอกว่าเวลาลูกศิษย์ไปถามปัญหาท่าน ท่านตบปากเลย ปากสกปรก ปากสกปรกหมายถึงพูดแล้วมันสะเทือนกระเทือนกัน มันพูดแล้วมันมีคนได้และคนเสีย ฉะนั้น สิ่งนี้เวลาจะพูดท่านจะบอกว่าจะพูดกันเป็นส่วนบุคคล ถ้าหลังไมค์ถ้าพูดกับท่าน ท่านจะชี้หมดเลยว่าอะไรเป็นอะไร แต่เวลาท่านพูดออกมาเป็นสังคมท่านบอกว่าเดี๋ยวตบปากเลย ปากสกปรก ปากเหม็น กลับไปต้องไปล้างปากเพราะมันสะเทือนกันไง มันสะเทือนคนอื่น มันมีได้มีเสีย

ฉะนั้น พอมีได้มีเสีย ใครๆ เขาก็อยากจะให้ว่าเพชรน้ำหนึ่งๆ ก็ไปทำอย่างนั้นให้ท่านพูดออกมา แล้วก็เอาสิ่งนั้นไปเป็นผลประโยชน์ของตัว ไปการันตีว่าหลวงตาท่านยังชมเราๆ เลย

เราถึงพูดไง หลวงตาท่านก็ชมไอ้ปุ้ม ไอ้ปุ้ย สมัยเราอยู่กับท่าน ไอ้ปุ้ยมันหมาฉลาดนะ ไอ้ปุ้ม ไอ้ปุ้ย โอ้โฮ! ท่านก็ชม เวลาท่านชมอย่างนั้น เวลาท่านพูด เขาบอกว่าหลวงตาไปหาใคร พระองค์นั้นเป็นพระดีหมดเลย

หลวงตาไปเลี้ยงปลาที่วัดไร่ขิง หลวงตาไปเลี้ยงปลาที่อภัยทานเยอะแยะ หลวงตาไปเลี้ยงช้าง ท่านซื้ออาหารไปเลี้ยงช้างเต็มเลย แล้วช้างไม่เป็นพระอรหันต์หรือ

ความสะอาดบริสุทธิ์มันเป็นของส่วนบุคคล ถ้าใครทำไว้สะอาดบริสุทธิ์แค่ไหน คนคนนั้นเขาอยู่ในหลักในเกณฑ์ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ตื้อ เพราะหลวงปู่มั่นท่านใช้หลวงปู่ตื้อเป็นผู้ที่ไปตรวจสอบสิ่งที่ท่านรู้ท่านเห็นนะ หลวงปู่ตื้อท่านมีความจริงของท่านเต็มหัวใจเลย แต่ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของท่าน หลวงปู่ตื้อเวลาเทศน์ หลวงตาท่านบอกว่าหลวงปู่ตื้อเทศน์ธรรมะสะอาดบริสุทธิ์ ธรรมะแท้ๆ เลย แต่โลกฟังไม่ได้ โลกฟังเทศน์หลวงปู่ตื้อกันไม่ได้ เวลาหลวงปู่ตื้อท่านเทศน์ธรรมแท้ๆ นะ โลกนี่ โอ๋ย! รับไม่ได้เลย นั่นน่ะของจริงเป็นอย่างนั้นน่ะ

แต่เวลาเป็นการตลาด โอ้โฮ! นุ่มนวลอ่อนหวาน องค์นั้นการันตีองค์นี้ องค์นี้การันตีองค์นั้น แล้วได้ประโยชน์อะไร

ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล

มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางจิต ฤทธิ์ทางใจ แต่ฤทธิ์ทางใจมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส พอฤทธิ์ทางใจแล้ว ฤทธิ์คือสมาธิ ฌานสมาบัติ ฌานสมาบัติแล้วเราจะกลับเข้าไปสู่มรรคอย่างไร เวลาคนที่มีฤทธิ์มีเดชขึ้นมาในใจนะ มันเป็นผู้วิเศษ พอผู้วิเศษ สำคัญตน พอสำคัญตนนี่ส่งออกหมด

แต่ถ้าคนที่มีสติมีปัญญานะ เวลาส่งออกนะ ครูบาอาจารย์ท่านตบเลย หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลามือใคร ลูกศิษย์ มือของใครจะไปหยิบของสิ่งใดไม่ถูก ท่านจะตบมือไว้เลยไม่ใช่ ไม่ใช่ตีมือไว้เลย ตีมือ ท่านใช้คำว่าตีมือตีมือคือว่าเสวยอารมณ์ ตีมือคือจิตมันยึด ตีมือคือใจมันส่งออก ใจไปหยิบสิ่งใดท่านจะตีเลย ตีเลย แต่พวกเราไม่รู้ เพราะจับแล้วมันดี จับแล้วมันมีความสุข จับแล้ว โอ้โฮ! ผู้วิเศษคือสำคัญตน สำคัญตนคือให้เขายอมรับไง ให้เขาอยากรู้อยากเห็นว่าเรามีฤทธิ์มีเดชไง แล้วมันเป็นสิ่งใดขึ้นมา นี่ฤทธิ์ทางใจ แล้วมรรคล่ะ มรรคอยู่ไหน

มรรคนะ ถ้ามรรคขึ้นมามันต้องสงบเข้าสู่ตัวมัน พอสงบ มันเสวย ที่มันฤทธิ์ทางใจที่มันออกไปรู้นั่นน่ะ ถ้ามันจะออกไปรู้ นั่นล่ะขันธ์ ความรู้สึกนึกคิดนี่ขันธ์ ถ้าจับได้มับ! อริยสัจเกิด อริยสัจเกิดเพราะจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริงแล้วพิจารณาแยกแยะขึ้นไป นั่นเป็นมรรค ถ้าเป็นมรรคขึ้นมามันแยกแยะไง แยกแยะ เห็นไหม สักกายทิฏฐิความเห็นผิดในกายนี้ กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕

แล้วปากเปียกปากแฉะว่าไม่ใช่ๆ ปฏิเสธกันนะเกิดมาต้องตายๆเกิดมาต้องตายแล้วจิตใจทำไมหวั่นไหวล่ะ เกิดมาต้องตาย ทำไมไปตะครุบสิ่งที่ไม่ใช่อริยสัจล่ะ ทำไมไปตะครุบสิ่งที่ไม่เป็นความจริงล่ะ

แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านทำเสร็จของท่านแล้ว อย่างเช่นหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ตื้อนะ ครูบาอาจารย์นะ เวลาไปอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นจะพูดเลยบอกว่าให้ท่านคอยจับขโมยให้ผมทีนะ ถ้าเวลาผมเทศน์ผมไม่ถนัด เพราะผมเทศน์อยู่ ให้คอยจับขโมยทีนะทีนี้พอเวลาท่านเทศน์ พระคิดอะไร นั่นขโมยออกแล้ว ขโมยมันลักของแล้ว มันส่งออกแล้ว พระองค์นั้นก็ อะแฮ่ม! ไอ้คนคิดสะดุ้งเลย

ท่านช่วยจับขโมยให้ผมทีนะนี่ไง เวลาหลวงปู่มั่น ผู้รู้กับผู้รู้ไง ผู้รู้มี ผู้รู้จริงมีนะ แต่นี่มันสังคมไทยไง สังคมพุทธเรา พวกเรา การปฏิบัติเราอ่อนด้อย แล้วเราก็ไปเห็นพวกที่เขาส่งออก พวกที่เขาทำฌานสมาบัติว่าสิ่งนั้นมีอำนาจวาสนา แล้วเราก็เชื่อกันไปไง มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์นะ ศาสนาแรกของมนุษย์คือศาสนาถือผี ถือผีถือสาง พอถือผีถือสางมันมีความกลัวของมัน พอใครมาทำอะไรให้เห็นมันตื่นเต้นไปกับเขา ถ้าเราเป็นชาวพุทธแท้ นั่นล่ะตัวร้ายเลยล่ะ นั่นโรคภัยไข้เจ็บเลย จิตมันจะส่งออกไปเสียหายเลย แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงนะ ท่านตบเข้ามาเลย

แล้วพอครูบาอาจารย์เป็นจริงแล้วบอกว่าโอ๋ย! ครูบาอาจารย์องค์นี้ท่านไม่มีวาสนาเลย ครูบาอาจารย์องค์นี้ท่านใช้ไม่ได้เลยแต่นั่นล่ะความจริง ความจริง หมายถึงว่า วินิจฉัยโรคได้ตามความเป็นจริง แล้วแก้ไขได้ตามความเป็นจริง แล้วเวลาผู้ที่ปฏิบัติตามความเป็นจริงอย่างนั้น แล้วพอชำระล้างกิเลสได้มันจะซึ้งใจมาก มันจะซาบซึ้งครูบาอาจารย์ที่สอนจริงมาก แล้วจะกลับไปตำหนิเลย ตำหนิครูบาอาจารย์ที่พาเหลวไหล

เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ที่พาเหลวไหล เราไม่รู้หรอกว่า การพาให้เหลวไหลนั้นถูกหรือผิด แต่ถ้าเมื่อใดเราไปเจอครูบาอาจารย์ที่ทำตามความเป็นจริง แล้วครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงท่านสอนเราให้เราเข้าสู่สัจจะความจริงนะ เราจะเห็นทันทีว่าที่เราเคยเหลวไหลมามันไม่ใช่ มันเหลวไหลนะ มันเสียหาย นี่ไง มันเสียหาย เพราะว่ามโนมยิทธิมันฤทธิ์ทางใจ มันไม่ใช่มรรค มันไม่ใช่มรรค

แล้วถ้ามีฤทธิ์ทางใจ ฤทธิ์ แล้วที่เขามีฤทธิ์มีเดชกัน โอ๋ย! ทำเรื่องฤทธิ์เรื่องเดชกันไป มันไม่มีใครอยู่ค้ำโลกหรอก ไม่มีใครอยู่เหนือโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องการคิดอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพูดถึง ให้ย้อนกลับมา ในปาฏิโมกข์เยอะแยะไป สามเณรที่เห็นผิด พระที่เห็นผิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์สั่งสอน พยายามดึงให้ความเห็นกลับมาถูกต้องถึง ๓ หน เขาไม่ยอมฟัง ไม่ยอมฟังปั๊บ พระพุทธเจ้าเทศน์ในปาจิตตีย์ไง ห้ามภิกษุคุยด้วย ห้ามภิกษุรับรู้ด้วย คือแยกเขาออกไปเลย ลงพรหมทัณฑ์เลย

ในสมัยพุทธกาลมี พระในปาฏิโมกข์มี มีความเห็นว่านิพพานคงที่ นิพพานไม่มีอยู่จริง มันมีหลายองค์คิดอย่างนั้น พอคิดอย่างนั้นปั๊บ เพราะเขารู้ของเขาอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรับอาบัติเลย ถ้าใครไปคุยด้วยปรับอาบัติๆ มันมีอยู่ในปาฏิโมกข์ มีเลย ฉะนั้น สมัยพุทธกาล แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ก็มีคนที่มีความคิดแตกแถวอย่างนี้

แล้วในปัจจุบันถ้ามีความคิดแตกแถวออกไป ทีนี้ความคิดแตกแถวเราก็อ้างมโนมยิทธิมีอยู่ในพระไตรปิฎก ธรรมกายๆ อยู่ในพระไตรปิฎก

อันนั้นเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมท่านขยายความ ขยายความไป ท่านจะพูดถึงให้เราเข้าใจได้ แต่ไอ้คนไปเอาคำพูดคำเดียว แต่ไม่เข้าสู่มรรค มันจะมีมรรคได้อย่างไร มรรคก็มรรค ๘สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผลแล้วอย่างนี้มันเป็นมรรคไหม

เราเอาความเป็นมรรคๆ พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ เอาความจริงตรงนี้ ถ้าตรงนี้มันจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา

มันเป็นฌานโลกีย์ มันเป็นเรื่องโลก อย่างอภิญญา ๖ รู้ว่าสิ้นกิเลส ถ้าอภิญญา ๖ สำหรับหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่มั่นมี เราเชื่อ แต่ถ้าเราไปบอกว่ามันจะมีอภิญญา ๖ จะมาฆ่ากิเลส มีรู้วาระต่างๆ แล้วจะไปรู้ว่ากิเลสสิ้นไป...แล้วรู้อย่างไรล่ะ คนรู้ถึงความผิดของตัวเองไหม

แต่ถ้าคนนี่นะ พยายามพิจารณาเปรียบเทียบเอาจากเรื่องอริยสัจ เรื่องสัจจะความจริง มันจะเห็นความผิดพลาดของเรา เห็นความผิดพลาดของจิตว่าจิตนี้มันไปยึดมั่นถือมั่นอย่างไร เวลามรรคมันเข้าไปชำระสะสางเข้าไปมันจะรู้ของมันเลยว่าอะไรถูกอะไรผิด นั่นน่ะมรรคสามัคคี เวลามรรคมันรวมตัว โอ๋ย! มันมหัศจรรย์มาก ถ้ามหัศจรรย์

นั่นน่ะถ้าพูดถึงว่าอภิญญา ๖ อภิญญา ๖ ต่อเมื่อสำเร็จแล้ว อภิญญารู้ว่าสิ้นกิเลส อภิญญา ๖ มี แล้วผู้ที่เป็นจริงก็มี แต่ถ้าเรากิเลสยังเต็มหัวอยู่เลย แล้วก็บอกว่าจะเอาทางนี้ เหมือนเกิดมา เราเกิดมา เราก็มีเป้าหมายตั้งไว้ว่าจะเป็นอะไร แล้วเราทำสมความปรารถนาไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาผู้ปฏิบัติทุกคนอยาก อยากจะมีอภิญญา ๖ ทั้งนั้นน่ะ แล้วพยายามจะทำตัวให้ได้อภิญญา ๖ แล้วมันก็สร้างภาพน่ะสิ สร้างอภิญญา ๖ ขึ้นมา แล้วมันเป็นอภิญญา ๖ จริงไหมล่ะ

หลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ชอบ ท่านทำของท่านจริง แล้วท่านได้ของท่านจริง แล้วคนที่ทำได้จริงเขาจะใช้สิ่งที่คุณสมบัติของท่านต่อเมื่อทำประโยชน์จะมาข่มขี่กิเลส กิเลสของพระ กิเลสของคนที่ทะนงตนว่าตัวเองรู้ ท่านจะใช้ตรงนั้น ท่านไม่เอามาใช้พร่ำเพรื่อ ท่านไม่เอามาใช้เพื่อการตลาด ท่านไม่เอามาใช้เพื่อผลประโยชน์หรอก ไอ้นั่นมันกิเลสทั้งนั้นน่ะ

แต่หลวงปู่ตื้อเวลาท่านใช้ท่านใช้ข่มขี่กิเลสของคนที่ไปอหังการต่อหน้าท่านน่ะ ทุกคนไปเห็นก็เห็นว่าโอ๋ย! พระองค์นี้ไม่สำรวม พระองค์นี้ไปเถอะ เจอทั้งนั้นน่ะ นั่นแหละของแท้ เวลาผู้ที่เขามีจริงเขาเอาอย่างนี้ไว้ข่มขี่กิเลสคน เพราะท่านมีจริง ท่านมีของท่านจริง ท่านใช้ประโยชน์ของท่านจริง เพื่อประโยชน์กับพระพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์กับสัจธรรม เพื่อให้เข้าสู่สัจธรรม ไม่ใช่ว่าเอามาเป็นการตลาด นี่พูดถึงว่านี่ความเห็นเราไง

เรื่องนี้มันเป็นเรื่องความเห็นของสังคมสงฆ์ แล้วถ้ามันพูดไปมันสะเทือนกัน แต่นี้เวลาบอกว่าชัดๆ ชัดๆ ถ้าชัดๆ ก็ชัดๆ ทีนี้ชัดๆ นี่ความเห็นของเรา ฉะนั้น ความเห็นของเรามันเห็นเรื่องมโนมยิทธิ เรื่องธรรมกาย เรื่องอะไร เพราะทุกคนอ้างว่ามันมีอยู่ในพระไตรปิฎก เราก็อ่านมา พระไตรปิฎกมันก็มีจริงๆ แต่มีต่อเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอธิบายธรรมะ

ท่านอธิบายธรรมะว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว แม้แต่จิตมันก็เป็นธรรม ธรรมธาตุ มันก็ทำให้ร่างกายนี้เป็นธรรมไปด้วย มันก็เป็นผลของการปฏิบัติที่ได้มรรคได้ผลมาแล้ว แล้วสิ่งที่มันมีอยู่ อย่างเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ในเมื่อท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ร่างกายของท่านอยู่กับตัวของท่าน ท่านบอกว่ากายนี้มันก็เลยกลายเป็นธรรมไปด้วย นี่เวลาท่านอธิบายธรรม ท่านอธิบายธรรม

มโนมยิทธิก็เหมือนกัน มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ ถ้าใจของใครที่มีฤทธิ์มีเดชขนาดไหน ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รู้เท่าอย่างนั้น แล้วไอ้คนที่มีฤทธิ์มีเดชมันก็เก่งกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ อ้าว! เวลาปฏิบัติไป ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ใครจะเก่งกว่าหลวงปู่มั่น เอ็งทำอะไรมาเถอะ หลวงปู่มั่นทำมาหมดแล้ว จะไปเที่ยวป่าไหนก็ไปเถอะ เราเคยไปมาแล้ว

ป่าไหนท่านสั่งให้ไป เพราะหลวงปู่มั่นท่านเที่ยวรอบประเทศไทย ท่านเข้าไปในพม่า ท่านเข้าไปในลาว เข้าไปในเขมร ท่านไปหมดล่ะ ท่านย่ำมาหมด ในป่าเขาบริเวณนั้นท่านย่ำมาหมดแล้ว ไปเถอะ ไปดมขี้เรา ไปดมขี้หลวงปู่มั่นไง เพราะหลวงปู่มั่นท่านไปขี้เอาไว้ ไปไหนท่านก็ไปขี้เอาไว้ ไอ้เราก็ไปดมขี้ ไปดมขี้หลวงปู่มั่น แล้วไม่ได้กลิ่นขี้หลวงปู่มั่นด้วยนะ ไปเอาฤทธิ์เอาเดช เอากิเลสมาครอบงำ ขนาดเดินตามรอยท่านยังไม่ได้กลิ่นขี้ของท่านเลย ถ้าเดินตามรอยท่านมันต้องได้กลิ่นขี้ของท่านมาด้วยว่าท่านไปขี้ไว้ที่ไหน แล้วตามไปดมกลิ่นขี้

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริง ท่านเป็นจริง ท่านทำเพื่อประโยชน์ ท่านมีจริง ท่านมีประโยชน์ แล้วเห็นโทษมันด้วย ถ้าใครไปมีก่อน ถ้าใครไปติดก่อน เสียหาย เสียหายกับการที่ตัวเองจะได้มรรคได้ผล ไปติด ไปติดไปยึดว่าสิ่งนี้เป็นความสำคัญ สิ่งนี้เป็นความดี แล้วมันก็เลยไม่เข้าสู่มรรค ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล การปฏิบัติไม่เข้าสู่มรรค ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ จะไม่ได้ผล

ถ้าไม่ได้ผล มีฤทธิ์ มีฌาน เดี๋ยวก็เสื่อม เสื่อมแน่นอน เทวทัตมีฤทธิ์ มีฌาน คิดจะปลงพระชนม์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวทัตก็มีฤทธิ์ แล้วคิดจะปลงชีวิตองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ฉะนั้น สิ่งนี้มันเป็นเรื่องฤทธิ์ทางใจ มันไม่เกี่ยวกับอริยสัจ ไม่เกี่ยวกับมรรค จบ

ถาม : เรื่องผลกระทบของความไม่รู้

กราบนมัสการหลวงพ่อครับ กระผมมีเรื่องเรียนถามอีกเล็กน้อย เนื่องจากผมทำงานวันละ ๑๖ ชั่วโมงเกือบทุกวัน ทำให้ผมต้องรีบนอนเพื่อพักผ่อนร่างกาย โดยปกติก่อนนอนผมจะกำหนดดูลมหายใจไปเรื่อยๆ จนจิตตกภวังค์และวูบหลับไป ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่ เพราะมันช่วยให้หลับเร็ว เพียงไม่กี่นาทีก็หลับแล้ว แต่ผมมีความกังวลใจ กราบเรียนถามหลวงพ่อดังนี้

. การทำให้จิตตกภวังค์และหลับไปอย่างนี้เรื่อยๆ จะมีผลต่อการปฏิบัติหรือไม่ครับ ขออนุญาตให้หลวงพ่อตอบแบบตรงๆ ชัดๆ ตรงๆ ชัดๆ ไปเลยนะครับ เพราะถามคำถามมาหลายทีแล้ว ตอนนี้ความรู้ที่อ่านมาตั้งหลายกระบุง ความภูมิใจเป็นนักเป็นหนา ตอนนี้ผมแทบไม่มีเหลือแล้วครับ จะเหลือแต่พุทโธๆ ชัดๆ ของหลวงพ่อนี่แหละครับ

ตอบ : สิ่งที่เวลาอย่างนี้ ฝัน ความฝันก็คือความฝัน สิ่งที่ว่าเพ้อฝันกันไปก็เพ้อฝันกันไป อย่างเช่นฟังให้ชัดๆ มโนมยิทธิ ไอ้นี่เพ้อเจ้อ ความเพ้อฝันไง เวลาเพ้อเจ้อ เพ้อเจ้อกันไปนะ เพ้อเจ้อว่าเป็นอย่างนั้น เพ้อเจ้อว่าเป็นอย่างนี้ กิเลสมันครอบงำนี่เพ้อ เพ้อยังไม่ตื่นเลย มโนมยิทธิ นี่ก็ความฝัน

ความฝัน ถ้าความฝัน ทำงานมาวันละ ๑๖ ชั่วโมง เวลานอน นอนพักผ่อนร่างกาย โดยปกติก่อนจะนอน ดูลมหายใจไปจนจิตตกภวังค์แล้ววูบหลับไป ทุกวันนี้วูบหลับไป

เพราะคำถามที่แล้วเขาว่าเวลามันวูบหลับไปแล้วมันเป็นความฝัน แล้วก็ฝันว่าตัวเองเห็นกาย ตัวเองเห็นต่างๆ นั้นเป็นความฝัน ไอ้เพ้อนะ มีสติอยู่ มโนมยิทธิก็เพ้อกันไป เพ้อเจ้อ เวลาอย่างนี้ก็มาฝัน พอฝัน ฝันมันไม่ใช่การปฏิบัติ ฝันมันไม่ใช่การปฏิบัติ สติ ถ้ามีสติอยู่มันหลับได้อย่างไร

เวลาจะบอกว่า เวลาทำงานมา ๑๖ ชั่วโมง แล้วกลับบ้านก็ต้องรีบพักผ่อนเพื่อจะหลับนอน แล้วถ้ากำหนดพุทโธให้มันตกภวังค์แล้วหลับไปเลย แค่ไม่กี่นาทีก็หลับเลย

สิ่งนี้ดี พุทโธ ดูสิ เวลาคนเครียด คนนอนไม่หลับ เขาไปหาหมอนะ หมอต้องให้ยา ให้ยานอนหลับนะ สิ่งนั้นเพราะอะไร เพราะปกติมันนอนไม่หลับ คนไม่นอนหลับไม่พักผ่อน ร่างกายทนได้อย่างไร ร่างกายของคนก็ต้องนอนหลับพักผ่อนเป็นธรรมดา

ฉะนั้น เวลาทำงาน ๑๖ ชั่วโมง ทำงานมาก็เหนื่อยล้ามาพอแรงแล้วล่ะ ฉะนั้น ถ้าจะมาหลับนอน ถ้ากำหนดพุทโธแล้วหลับไป อันนี้เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ว่าให้ได้นอนหลับพักผ่อน มันเป็นประโยชน์กับการดำรงชีวิตไง เป็นประโยชน์กับเรารักษาร่างกายนี้ไว้ ก็เหมือนรักษาร่างกายนี้ไว้ให้แข็งแรง สุขภาพกาย ถ้าสุขภาพกายดี ทำงานมันก็ประสบความสำเร็จใช่ไหม แล้วพอสุขภาพกายดี สุขภาพจิตก็ดี ถ้าคนนอนหลับ คนแช่มชื่นขึ้นมา ทำงานมันก็ปลอดโปร่ง ไอ้นี่มันเป็นคุณสมบัติ นี่ก็เป็นบุญแล้ว กำหนดพุทโธๆ ให้ตกภวังค์ไปแล้วหลับไปมันเป็นบุญ เป็นบุญกับการนอนหลับพักผ่อน มันเป็นเรื่องปกติของโลก แต่ถ้าเรื่องการปฏิบัติ ผิด

อ้าว! สัมมาสมาธิ แล้วหลับไปมันมีสมาธิอะไร ก็คนหลับไปมันก็หลับไป มันก็ฝันไปแล้วความฝันมันจะเป็นความจริง เวลาปฏิบัติ มีคำถามมาเยอะมากเลยบอกว่า ถ้าเขาฝัน เขาฝันเห็นกายเลยนะ กำลังฝันเห็น กำลังพิจารณากายเลยนะ...ก็มันความฝัน ฝันว่าเป็นพระอรหันต์ก็ได้ ฝันว่าเป็นพระอรหันต์ ๕ ครั้ง คืนนี้หลับไปฝันเป็นพระอรหันต์ ๕ ครั้ง ตื่นมาเป็นพระอรหันต์ ๕ องค์ ไม่มี

ความฝันมันเป็นลางบอกเหตุ สัมผัสที่ ๖ มันเป็นไปได้ บอกว่ามันจะไม่ฝันเลยมันก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าคนฝันมันก็ฝันของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ฝันแล้วก็คือฝันเพราะเรามีสติ เรารู้อยู่ว่าเราฝัน ถ้าเรารู้ว่าเราฝัน อืม! ฝันเรื่องที่ดีๆ ฝันร้ายกลายเป็นดี ฝันร้าย ฝันต่างๆ ฝันแล้วหัวใจพองเลย ตื่นขึ้นมาเหนื่อยมาก หอบมาก บางคนฝันนะ มาหานี่ไม่กล้านอน นอนแล้วเห็นทุกที จนไม่กล้านอน จนร่างกายอ่อนเพลียหมด เห็นไหม คนเราฝันร้ายก็มี ฝันดีก็มี

ความฝันมันเป็นจริตนิสัย อย่างเช่นในปัจจุบันนี้เวลาเราเป็นไข้ เราเป็นหวัดเป็นไข้ เราไอไหม เราก็ต้องไอ การไอผิดไหม อ้าว! ก็มันเป็นหวัดก็ต้องไอ จิตใจของคนถ้ามันจะฝันมันก็คือมันฝัน ถ้าจริตนิสัยของคนมันฝันนะ ถ้าฝัน เวลาเราไอ เรารักษาหวัดหายแล้วมันก็หายไอใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันฝันนะ เราตั้งสติของเราไว้ เราทำของเราไว้ เรารู้ว่าฝันมันดึงให้เราเหนื่อยมาก ฝันแล้วทำให้เรากระหืดกระหอบ ฝันแล้วมันไม่ดี เราตั้งสติไว้ มันก็จางไปๆ มันจางไป เราจะฝันก็ได้ไม่ฝันก็ได้ ไอ้คนที่ไม่เคยฝันก็ไม่เคยฝันเลย ไอ้คนฝันจะบอกว่าฝันแล้วผิด คนคนนี้ฝัน

ก็เหมือนในปัจจุบันนี้ ใครดูดบุหรี่นี่เป็นอาชญากรรมเลยนะ ดูดบุหรี่นี่โทษยิ่งกว่าฆ่าคนตายอีก เขาจับเลย อันนี้มันเป็นโลก ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ เขาบอกว่าการสูบบุหรี่มันทำลายสุขภาพก็จริงอยู่ แต่ทีนี้การดูดบุหรี่เขาก็ดูดกันมา ห้ามก็ห้ามกันไป เดี๋ยวนี้คนดูดบุหรี่เขาน้อยใจนะ ไปไหนยิ่งกว่าอาชญากรรมอีก ฆ่าคนตายยังไม่โทษหนักเท่าดูดบุหรี่ โอ้โฮ! สังคมตราหน้าเลยล่ะ คนคนนี้เป็นคนไม่ดี

ก็แค่ดูดบุหรี่ ดูดบุหรี่เป็นคนชั่วขนาดนั้นเชียวหรือ แต่ถ้าคนเขามีสติปัญญาเขาก็รู้ว่าการดูดบุหรี่ทำให้สุขภาพไม่ดี สุขภาพของเรามันโดนบั่นทอนไป ถ้ามีสติปัญญาเขาก็เลิกของเขาไป มันก็เป็นมุมมอง แต่ไม่ใช่ แหม! จะไปจ้ำจี้เป็นความโหดร้าย

นี่ก็เหมือนกัน ไอ้ที่ว่าฝันๆ จะว่าผิด มันเป็นจริตเป็นนิสัย แต่ถ้าเป็นความถูกต้อง...ไม่ใช่ ความถูกต้องในการภาวนานะ แต่ถ้าเป็นการดำรงชีวิต บอกให้ชัดๆ เลยล่ะ

. การทำจิตให้ตกภวังค์แล้วหลับไปอย่างนี้เรื่อยๆ จะมีผลต่อการภาวนาหรือไม่

ไม่ การทำให้จิตตกภวังค์แล้วหลับไปเป็นการพักผ่อนของร่างกาย ไม่มีผลกับการปฏิบัติเลย ไม่มี ทีนี้การปฏิบัติ เวลาเรานั่งสมาธิ ทุกคนเวลานั่งสมาธิ กรรมมันคลุกเคล้ากันไปหมดเลย เวลาเราจะนอนหลับพักผ่อนนะ เราอยากให้นอนหลับไวๆ เพราะเราต้องการเวลาพักผ่อนให้เต็มที่ นอนหลับให้ลึกๆ ตื่นขึ้นมาแล้วจะได้สดชื่น จะได้ทำงานได้ดี

แต่ถ้านั่งภาวนา กำหนดลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ หรือกำหนดลมหายใจอย่างเดียวเป็นอานาปานสติ หรือกำหนดพุทโธๆ อย่างเดียว นั่งๆ ไปมันเบาไปๆ นิ่งไปๆ แล้วก็ลอยไปเลย อย่างนี้ผิด นั่งๆ ไปแล้วหลับไง นี่ตกภวังค์ ตกภวังค์ขณะนั่งภาวนา ตกภวังค์มันก็เท่ากับนั่งหลับ

มันก็เหมือนกับนอน เวลานอนเรานอนเพื่อพักผ่อนร่างกายใช่ไหม เพราะเรานอน เราตั้งใจนอนใช่ไหม งานมันเป็นปัจจุบัน มันเป็นเฉพาะหน้าว่าเราจะนอนใช่ไหม แต่เวลาเรานั่งภาวนาเราไม่ได้นอน เราต้องการให้จิตสงบ ถ้าจิตสงบแล้วถ้าตกภวังค์อย่างนี้ผิด แต่ถ้านอน เราจะนอนนะ เรากำหนดพุทโธๆ เราจะนอน แล้วตกภวังค์หลับไปเลยนี่ถูก เพราะอันนั้นเราจะนอนหลับ เราจะพักผ่อนร่างกาย

แต่ถ้าเรานั่งภาวนา เราไม่ต้องการลงภวังค์ เราต้องการเข้าสู่สมาธิ ถ้าการเข้าสู่สมาธิ พุทโธๆๆ จะชัดเจนมาก เป็นขณิกสมาธิ พุทโธต่อเนื่องไปเป็นอุปจารสมาธิ พุทโธต่อเนื่องไป พุทโธจนพุทโธไม่ได้เลยมันจะเข้าสู่อัปปนาสมาธิคือมันพุทโธไม่ได้ ถ้ามีสติปัญญารู้เท่าทันของมัน นั่นน่ะเป็นอัปปนาสมาธิ แล้วมันลึกซึ้ง แล้วเข้าไปพักทีหนึ่ง ๓-๔ ชั่วโมง ออกมา โอ้โฮ! ตัวเบา โอ๋ย! มีความสุขไปมากเลย นี่เป็นสัมมาสมาธิ เพราะมีสัมมาสมาธิ ยกขึ้นวิปัสสนา ถ้ายกขึ้นวิปัสสนามันก็ไปใช้ปัญญาเป็นภาวนามยปัญญา

แต่ถ้าเราไปใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ปัญญาไตร่ตรองของเรามามันเป็นปัญญาโลกๆ นี่เป็นความฝัน ความฝันกับความจริงมันคนละเรื่องกัน มันก็เหมือนกับนักกีฬา นักกีฬานะ เวลาเขาจัดนักกีฬา เวลาทีมแข่งขันที่อ่อนด้อยกว่ากัน กับอีกทีมหนึ่งเข้มแข็งมาก เขาเรียกว่ากระดูกคนละเบอร์ ถ้ากระดูกมันคนละเบอร์ ประสบการณ์มันคนละชั้น มันไม่มีทางหรอกที่มันจะไปแข่งขันกันได้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาถ้าเราทำสมาธิของเรา ถ้าเราไม่มีสมาธิเลย กระดูกมันไม่มีเลย มันไม่มีประสบการณ์อะไรเลย แล้วบอกจะไปสู้กับกิเลส มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย นี่ความฝัน มโนมยิทธิก็เพ้อเจ้อกันไป เพ้อเจ้อจนไม่มีต้นไม่มีปลาย ไอ้นี่ก็เพ้อฝันกันไป มันเป็นไปไม่ได้หรอก

แต่ทีนี้เราทำหน้าที่การงานอยู่ เราก็ทำหน้าที่การงานของเราไป เวลานอนหลับพักผ่อนก็เป็นเรื่องหนึ่ง เวลาจะภาวนานะ อย่างเช่นว่าทำจิตให้ตกภวังค์ไปขณะที่หลับไปเรื่อยๆ อย่างนี้มันจะมีผลกับการภาวนาไหม

มันไม่เกี่ยวกับการภาวนา อันนั้นเราจะนอนหลับก็หลับไป เห็นไหม เรานอนหลับไป หลับแล้วตื่นขึ้นมาก็สดชื่น อันนั้นก็นอนหลับไป อันนั้นเป็นผลดี แต่เวลาจะมาภาวนา เวลาภาวนาทำอย่างนั้นไม่ได้ เวลาภาวนาต้องสติสมบูรณ์ พุทโธคำแรกๆ พุทโธชัดๆ มากเลย พอพุทโธไป พุทโธๆๆ หลับแล้ว นี่ตกภวังค์ อันนี้ผิด เพราะถ้าทำอย่างนี้แล้ว พอต่อเนื่องไปแล้วมันจะเคยตัว พอเคยตัว ดินพอกหางหมู กิเลสมันจะพอกเรื่อยๆ พอพอกเรื่อยๆ นะ ตอนหลังไม่ต้องพุทโธเลย พอเริ่มนั่งนานๆ หลับแล้ว เพราะมันเคยลง ถ้ามันเคยลงภวังค์นะ มันจะไปอย่างนั้นน่ะ นี่ขณะนั่งสมาธิ แต่หลับไม่เกี่ยว การนอนหลับนั้นดี พักไปเลย

แต่ถ้าเคยลงภวังค์แล้วนะ พอมาพุทโธๆ มันจะลงร่องนั้นน่ะ วิธีแก้ เราตั้งใจเลย เพราะเราเคยเป็น เราบอกว่าเราจะนั่งสมาธิโดยไม่เอาสมาธิ พุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธทั้งวันเลย พุทโธๆๆ พอมันจะเป็นสมาธิไม่ยอมเป็น ไม่ยอมให้ตกสู่ภวังค์ไง พุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธจนพุทโธไม่ได้ มันไม่ลงสู่ภวังค์แล้ว มันแก้ได้ เพราะเราเคยแก้ตัวเองมา เราเคยตกภวังค์มา

ตอนนั้นตกภวังค์ เข้าใจว่าภวังค์เป็นสมาธิ ยังมีทิฏฐิว่าเรานั่งสมาธิได้เก่งมากๆ จนวันหนึ่งออกจากภวังค์มา ทำไมนั่งอยู่ในร่ม ทำไมหน้าอกเปียกชื้นไปหมดเลย ฝนก็ไม่ตก แล้วนี่มันคืออะไร เอาขึ้นมาดม น้ำลาย วันนั้นถึงได้รู้ว่าตัวเองนั่งตกภวังค์ ถ้าให้คนอื่นมาบอก ต้องมีเรื่อง ไม่เชื่อ เพราะฉันนั่งสมาธิเก่ง ฉันนั่งทีหนึ่ง ๗-๘ ชั่วโมง นั่งได้สบายมาก ถือตัวถือตนว่าตนเองนี้เก่งมาก แล้วใครพูดนะ ก็ไม่มีใครเตือน เพราะไม่มีใครรู้กับเรา ก็เรื่องของเราคนเดียว แต่วันนั้นมันเป็นเพราะคงจะมีบุญ นั่งอยู่ในร่ม นั่งออกจากสมาธิมา เอ๊ะ! ทำไมหน้าอกมันมีอะไรเปียกๆ ฝนก็ไม่ตก เหงื่อก็ไม่มี แล้วนี่อะไร เอาขึ้นมาดม น้ำลาย มันยืนยันชัดๆ ว่านั่งหลับ

พอนั่งหลับก็เริ่มแก้ แก้อย่างที่เล่าให้ฟัง พุทโธๆๆ แก้ด้วยการผ่อนอาหาร แก้ทุกอย่าง กว่าจะแก้ได้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นมานาน มันเป็นมานานด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นสมาธิ ด้วยความทะนงตนว่าภาวนาเก่ง ทะนงตนว่าเรานั่งก็ได้ เราทำก็ได้ เราทำประสบความสำเร็จทุกที ทำทีไรได้ผลทุกที จนน้ำลายนั่นล่ะมันมาเตือน มันเลยแก้ออกมา

ตอนแก้นี่ทรมานมาก ทรมานมาก ต้องสู้กัน นั่งแล้วไม่ต้องห่วงเลยว่าจะลงภวังค์ นั่งพับ! ไปได้เลย แต่เวลาแก้นะ โอ้โฮ! ทุกข์ยากมาก เราเคยทำมา เราเคยเห็นโทษเห็นภัยของมันมา เราถึงเวลาเจอคนปฏิบัติ เราถึงกันไว้ก่อน บอกไว้ก่อน แต่มันเป็นโทษเพราะว่าของมันยังไม่เกิดขึ้น เราไปบอกเขาก่อนเขาไม่เชื่อ แล้วเขาหาว่าเราไปจับผิดเขา ใครมาก็ว่าคนนั้นไม่ดี คนนั้นไม่ถูก คนนั้นไม่เป็น

เพราะเราเคยเป็นมาก่อน เราถึงสงสารคนที่จะเป็น เพราะเวลาเราแก้ทุกข์ยากมาก แล้วต้องมีความเข้มแข็งมันถึงจะแก้ออกมาได้ ถ้าคนไม่มีความเข้มแข็งมันไม่แก้ออกมา หรือปล่อยเลยตามเลย พอปล่อยเลยตามเลยไปแล้วมันถึงทำภาวนาต่อเนื่องกันไปไม่ได้ มันถึงไม่ได้ผลไง

นี่พูดถึงความฝัน ถ้ามันเป็นความฝัน ถ้ามันลงไปสู่ฝันนะ มันผิดหมดแหละ เพราะนั่นเป็นความฝัน สติ ถ้ามีสติอยู่มันหลับไม่ได้ ถ้ามีสติมีปัญญาอยู่ ปัญญามันหมุน เวลาจักรมันหมุนยิ่งมหัศจรรย์กว่านี้อีก แล้วลงภวังค์ไป ภวังค์มันก็คือหลับ แต่ขณะที่ว่าจะนอนหลับมันคนละเรื่องกัน ขณะจะหลับ เราจะพักผ่อน เรื่องนั้นถูกต้อง แต่ภาวนาลงภวังค์ไม่ได้ ลงภวังค์คือมิจฉา มิจฉาสมาธิ มิจฉาสติ เป็นมิจฉา มิจฉาคือผิด แล้วความผิดมันจะเป็นความถูกได้ไหม

ต้นคด ปลายตรงไม่มี เริ่มต้นต้องต้นตรง สัมมาสมาธิ สัมมาสติ ทุกอย่างสมาธิถูกต้อง ถ้าต้นตรงมันจะถูกต้องดีงามต่อเนื่องกันไป นี่พูดถึงว่าถ้าการตกภวังค์เราทำจิตให้ตกภวังค์ขณะที่หลับไปเรื่อยๆ จะมีผลต่อการภาวนาหรือไม่

ไม่มี

ขออนุญาตให้หลวงพ่อบอกให้ชัดๆ เลยนะครับ เพราะถามมาหลายทีแล้ว

การถามมา เพราะว่าอย่างที่พูดเมื่อกี้ การปฏิบัตินะ เวลาปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานกันมาทั้งหมด แล้วเวลาคนปฏิบัติ เวลาเริ่มปฏิบัติขึ้นมา เราก็ทุกข์ยากมาขนาดนี้ แล้วพอถามหลวงพ่อไปหลวงพ่อว่าผิดๆๆ หมด

เราก็ปฏิบัติมาก่อน เวลาไปถามหาครูบาอาจารย์ ไปเจอครูบาอาจารย์ที่ไม่เป็น ท่านก็ตอบอ้อมค้อมไป เราก็เชื่อเขาไปตามเรื่อง พอเราไปเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องนะ เราย้อนกลับมาดูอาจารย์ที่สอนๆ เรามา ผิดหมดเลย แต่เมื่อก่อนเราก็ไม่มีวุฒิภาวะจะรู้ได้ว่าใครถูกใครผิด ทีนี้เวลาคนที่ปฏิบัติมา เราก็รู้อยู่ว่าคนปฏิบัติใหม่เขาไม่รู้ถูกรู้ผิดหรอก

ฉะนั้น ถามเรามา หลวงพ่อเหมือนกับมีอคติ ใครมาก็ผิดๆๆ ก็เลยโอ๋ โอ๋กันไปอย่างนี้ไง โอ๋กันจนต้องถามมาหลายที

ถามมาใหม่ๆ เราก็ไม่อยากจะพูดให้มันแบบว่าสะเทือนใจกัน อะไรที่พอบอกได้ก็บอกๆ กันไป ถ้ามันเพื่อประโยชน์ไง ฉะนั้น พูดถึงว่าอันนี้เป็นความฝันนะ ถ้าทำจริงก็เป็นอย่างนี้ นี่พูดถึงเพ้อกับฝัน

ถาม : เรื่องอยากให้หลวงพ่อพิจารณา

หลวงตาเทศน์ว่าให้เราพิจารณากิเลสให้ละเอียดเพิ่มขึ้นจนกิเลสมันม้วนตัว

ขอคำอธิบายว่าจนกิเลสมันม้วนตัวคืออะไร

ตอบ : กิเลสม้วนตัว เวลากิเลสมันม้วนตัว เวลาพิจารณาไป เวลากิเลสมันบังเงา เวลากิเลสมันอะไร มันมีทุกอย่าง ฉะนั้น เวลากิเลสมันม้วนตัว เวลากิเลสมันโดนธรรมะ ธรรมจักรมันหมุนเข้าไป กิเลสมันถอย พอกิเลสถอย เรานึกว่ากิเลสมันตายนะ ไม่ใช่ กิเลสมันหลบ พอกิเลสมันหลบนะ พอเราพิจารณาไป กิเลสนี้ร้ายนัก ไม่เจอมัน มันก็บอกว่านี่นิพพานๆ นิพพานแล้วนะพอไปเจอมัน มันก็ล่อมันก็หลอก โธ่! เจอกิเลส

ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านเทศน์ของท่านนะ เพราะประสบการณ์ของท่าน ทีนี้ประสบการณ์ของท่าน อันนั้นประสบการณ์ของท่าน ท่านรู้เวลากิเลสมันม้วนตัว กิเลสมันม้วนตัว มันม้วนมาเพื่อจะทำลายความเพียรเราก็มี มันม้วนมา ม้วนตัว มันหลบขณะที่สมาธิ กำลังปัญญามันแรง มันหลบก็มี พอมันหลบนะ พอหลบไม่มีนะ ที่หลวงตาท่านพิจารณาอสุภะไง พิจารณาอสุภะจนไม่มีเลย ไม่มีเลย เป็นพระอรหันต์แล้ว ทีนี้ไม่มีเลย แล้วมันไม่มีเหตุมีผล ทำอย่างไรล่ะ สงสัยนะ

ความสงสัย ท่านบอกปริยัติมีคุณค่าตรงนี้ พอสงสัย เพราะท่านก็เอาสุภะ คือเอาสวยเอางามมาแนบไว้ที่จิต ในจิตก็ไม่มีๆๆ ไม่เอา ไม่มี แนบไว้ ๓-๔ วันไง พอแนบไว้ ๓-๔ วันมันเริ่มรับรู้ไง รับรู้ หมายถึงว่า มันมีอารมณ์รับรู้สึก ไหนว่าไม่มีไง ท่านถึงเห็นไง เวลาพิจารณาๆ พิจารณาจนไม่มีเลยๆ ไม่มีเลยท่านไม่สมุจเฉทปหาน จบครับ เดี๋ยวมันก็มา กิเลสนี้ร้ายนัก

ฉะนั้น คำว่าม้วนตัวของท่าน มันเป็นที่ว่าเวลาท่านปฏิบัติของท่าน ท่านเห็นของท่าน ท่านรู้ของท่าน ฉะนั้น เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านเทศน์ ท่านก็เทศน์พุทโธผ่องใส พุทโธสว่างไสวนี่คือสไตล์หลวงปู่ฝั้น สไตล์หลวงปู่คำดีท่านก็ไปอย่างหนึ่ง สไตล์หลวงปู่ชอบไปอย่างหนึ่ง ถ้าสไตล์หลวงตา นี่สไตล์ของท่าน นี่คือวิทยานิพนธ์ไง นี่คือประสบการณ์จริงของท่านไง เวลาท่านปะทะกับกิเลส กิเลสมันต่อสู้กับท่านอย่างไรไง กิเลสมันทำอะไรท่านบ้าง กิเลสมันแสดงตัวอย่างไรบ้าง แล้วท่านก็อธิบายของท่าน

ฉะนั้น เราฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์แล้วมันก็เป็นประโยชน์กับเรา แต่เราไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ไม่ต้องไปกลัวว่าเราจะเป็นอย่างนี้ ไม่เป็น ไม่มีทาง ถ้าเป็นแบบนี้ ไปลักวิทยานิพนธ์ของหลวงตามา

วิทยานิพนธ์เขาให้ลอกมาได้ ๓ บรรทัด แล้วต้องบอกว่าเอามาจากไหนด้วยใช่ไหม วิทยานิพนธ์นั้นเขาถึงจะรับ แต่ถ้าเราไปลอกวิทยานิพนธ์ของหลวงตามาหมดเลยนั้นคือสัญญา นั้นคือจำธรรมะของหลวงตามา แล้วของเรากิเลสมันก็ครอบหัวไง ฉะนั้น วิทยานิพนธ์เขาให้ลอกได้ ๓ บรรทัด แล้วต้องบอกด้วยว่าลอกมาจากใคร

ทีนี้เวลาเราพูด หลวงปู่มั่นว่าอย่างนี้ นั่นล่ะวิทยานิพนธ์ของครูบาอาจารย์ เวลาเราจะเอาวิทยานิพนธ์ใครมา เราจะบอกว่าอันนี้ของหลวงปู่หลุย หลวงปู่หลุยท่านบอกว่าเวลาเราบ้วนเสลดไปแล้ว แล้วเราก็ไปเลียกินเสลดอยู่ เราไปเลียกินเสลดของเรา เวลาเราบ้วนเราคายเสลดไปแล้ว เราจะไปเลียมันไหม แล้วท่านบอกว่าอารมณ์ของเราเวลามันทุกข์ยาก เราก็สลัดมันทิ้งไปแล้ว แล้วเดี๋ยวก็ไปคิดอีก มันก็เหมือนกับเราเลียกินเสลดเรา อันนี้เป็นคำพูดของหลวงปู่หลุย นี่วิทยานิพนธ์ของท่าน เอาวิทยานิพนธ์ของใครมาใช้ เราต้องบอกด้วยว่าอันนี้เป็นของใคร

อันนี้ก็เหมือนกัน วิทยานิพนธ์ของหลวงตาก็เป็นของหลวงตาไง แล้วบอกว่าจะศึกษา จะให้เข้าใจ จะให้เกิดกับเรา...ไม่ใช่ จิตคนละดวง จริตนิสัยคนละดวง เวลาหลวงตาท่านชอบกินอาหารอะไรก็แล้วแต่ เราจะพยายามกินให้เหมือนหลวงตาว่าอร่อย ไม่อร่อยหรอก เราต้องกินแบบของเราถึงอร่อย

กิเลสของท่าน ธรรมะของท่านเป็นปัจจุบันของท่าน เราศึกษา เราฟังมาเป็นคุณประโยชน์มาก เป็นคุณประโยชน์ จิตใจที่สูงกว่า เราศึกษาธรรมของท่านแล้วเราพยายามปฏิบัติของเรา เดี๋ยวมันจะเกิดธรรมะกับเรา ไม่ใช่ธรรมะของหลวงตา

สาธุ! ธรรมะหลวงตา เราศึกษาของหลวงตา แล้วเราพยายามปฏิบัติของเรา แล้วมันเกิดเป็นความจริงของเราขึ้นมา สาธุ! ได้มากับเชื้อไข ได้มาจากธรรมะสารตั้งต้นจากหลวงตา แล้วเราพยายามปฏิบัติของเรา ปฏิบัติของเรา จนเราทำของเราขึ้นมาเป็นประโยชน์กับเรา มันถึงจะเป็นประโยชน์กับเรา ไม่ใช่ว่าเราไปเอาสารตั้งต้นของหลวงตา แล้วก็จะไปทำให้เหมือนหลวงตา

มันธรรมะของหลวงตา หลวงตาเป็นเศรษฐีธรรม เราจะมาพยายามปฏิบัติ เราศึกษาธรรมะของหลวงตานี่สุดยอดมาก ดีมาก แต่ศึกษามาแล้ว นี่สารตั้งต้น แล้วเราก็พยายามปฏิบัติ นั่งสมาธิภาวนาของเรา ฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา

เราก็ทำอย่างนี้ เราก็อ่านหนังสือหลวงตา เราก็พยายามขึ้นไปให้หลวงตาด่า ขึ้นไปให้หลวงตากระทืบ ยิ่งกระทืบยิ่งสดชื่น ยิ่งกระทืบยิ่งผ่องใส กระทืบแล้วมันมีกำลังใจไง ถ้าไม่กระทบแล้วคอตก นั่งอยู่นี่เศร้าเลย มันไม่มีงานทำ พอขึ้นไปหาท่าน ท่านกระทืบลงมา โอ้โฮ! มันชัดๆ ทางจงกรมเดินจนปลิวเลย เพราะอะไร เพราะโดนกระทืบมา มันได้ประโยชน์อย่างนี้มา เราอยู่กับครูบาอาจารย์มามันเป็นแบบนี้ เราเอาสารตั้งต้นนั้น แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา ทำของเราขึ้นมา

ฉะนั้นว่า กิเลสมันม้วนตัว กิเลสมันพลิกแพลงให้เราเห็น รู้ตามความเป็นจริงของเราขึ้นมามันจะเป็นความจริง ฉะนั้น เวลากิเลสมันม้วนตัว ท่านเห็นเวลากิเลสมันพลิก

พลิกไปแล้วเอาไม่ทัน หายไปแล้ว ทำอย่างไรต่อ จะตามหา ไม่เจอแล้ว อ้าว! สู้กับมันใหม่ เอากับมันใหม่ อู๋ย! ร้อยแปด ที่บอกว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ย้ำแล้วย้ำเล่าๆ เพราะคนทำมามันรู้ คนทำมามันเห็น แล้วเราทำของเราไปเถอะ

ฉะนั้นถึงบอกว่า เพราะอธิบายจะให้เข้าใจ เข้าใจมันจะได้ทองม้วนอันหนึ่งใช่ไหม เพราะของหลวงตาเป็นกิเลสม้วนตัว เราก็ทำทองม้วนอันหนึ่ง เราได้ทองม้วนอันหนึ่งกลับกุฏิแล้ว อร่อย กินเลย แต่กินกิเลส อันนี้ในเชิงปฏิบัติไง ในเชิงปฏิบัติก็เป็นกันแบบนี้ ทีนี้เราอธิบายให้เข้าใจ ฉะนั้น เราฟังเทศน์หลวงตาหรือถ้ามันกินใจ เอาตรงนี้เป็นสารตั้งต้น เอาเป็นประเด็น แล้วเราใช้ปัญญาตีให้แตก พอตีแตกนี่ของเราแล้ว ปัญญาคือว่าจับกิเลสมา กิเลสมันเป็นอย่างไร มันม้วนตัวอย่างไร

มันเป็นคำอุปมาอุปไมย ธรรมาธิษฐาน ธรรมาธิษฐานคือธรรมมันเกิดขึ้น แล้วท่านพยายามพูดออกมาให้เราเป็นรูปธรรม เป็นบุคลาธิษฐานให้เราจับได้ ฉะนั้น เราก็พยายามจะสร้างให้กิเลสเราเป็นแบบนั้นมันก็ไม่ใช่ เวลาเราไปเจอ เราไปเจอของเรา อ้าว! กิเลสของเราอาจจะเป็นวุ้นก็ได้ กิเลสของเรามันไม่ใช่ทองม้วน อ้าว! พอเจอกิเลสก็ไม่เอาอีก บอกไม่เหมือนกัน เจอกิเลสไม่เอากิเลสนะ จะไปเอาแบบหลวงตา ไม่ใช่นะ

ปัจจุบันของใครของมัน ปัจจุบันนะ สาธุนะ ของครูบาอาจารย์เรา สาธุ แต่ถ้าเราจะทำให้เป็นอย่างนั้น คิดว่ากิเลสมันเป็นอย่างนั้นตายตัว มันไม่ใช่ธาตุเหล็ก เหล็กเอามาหลอมอย่างไรก็เป็นเหล็ก เพราะมันเป็นธาตุ แต่กิเลสนี้เป็นนามธรรม แล้วเกี่ยวกับจริตนิสัย เกี่ยวกับตัณหา เกี่ยวกับผลกระทบ

เวลาใครติเตียนนี่กิเลสพองเลย ถ้าไม่กระทบนะ อยู่เฉยๆ มันไม่เห็นตัวมัน กิเลสเป็นนามธรรม พอกิเลสเป็นนามธรรม ถ้าเราไปรู้ไปเห็นของเรา ถ้าใครเห็นอะไร นี่ไง ผู้ที่มีองค์ความรู้ มีความจริง เวลาพูดออกมาพูดออกมาจากองค์ความรู้จริง แต่มันเป็นอย่างนั้นไหม เพราะท่านเปรียบเทียบออกมาเป็นธรรมาธิษฐานแล้ว

นี่ไง เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ หลวงตาท่านพูดบ่อย ธรรมแท้ๆ อยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระไตรปิฎกนี่กิริยาของมัน คืออธิบายให้สังคมเข้าใจ แต่ความจริงคือใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ความจริงก็เป็นใจของท่าน แต่ท่านเทศน์มาแล้วเราไปฟัง เราซาบซึ้งมา เราก็เอาไว้เป็นสารตั้งต้นของเรา แล้วเราก็จะหาของเราให้เจอ

ไม่ใช่ไปก็อปปี้อย่างนี้มา ถ้าก็อปปี้อย่างนี้มา เราจะไม่เจอกิเลสเราเลย แล้วพอเราเจอกิเลสของเรา เจอกิเลสจริงๆ ก็บอกไม่ใช่อีก ต้องเป็นทองม้วน ต้องให้เหมือนหลวงตา...อ้าว! มันคนละคน คนละคน คนละกิเลส มันไม่เหมือนกันหรอก นี่ปัจจุบันธรรม

ฉะนั้น ของครูบาอาจารย์เราสาธุ เคารพบูชา แต่ถ้าจะเอาปัจจุบัน เอาของเราเอง เราต้องทำของเรา ถึงจะไม่เป็นการเพ้อเจ้อเป็นการเพ้อฝัน เอวัง