เทศน์บนศาลา

หลอกตนและผู้อื่น

๑๗ พ.ย. ๒๕๕๖

 

หลอกตนและผู้อื่น
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ฟังธรรมะ ฟังธรรมะเพื่อให้หัวใจร่มเย็น เราเกิดมาเป็นมนุษย์นะ การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก การเกิดเป็นมนุษย์มีสิทธิเสรีภาพเสมอกันแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์แตกต่างกับเราเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเดินได้ ๗ ก้าว เปล่งวาจาว่าเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายจะไม่เกิดอีก ของเราเกิดมาแล้วสติสตังไม่มีเลยล่ะกว่าจะมีสำนึกรู้ได้ พ่อแม่เลี้ยงดูมาขนาดไหนถึงจะมีความสำนึกรู้ได้

เห็นไหมการเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันสิทธิเสรีภาพเหมือนกัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมหาศาล ถึงเวลาเกิดมานะเดินได้ ๗ ก้าว นี่สิ่งที่เป็นไป เป็นไปด้วยอภินิหารด้วยบุญญาธิสมภารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเวลาพราหมณ์มาพยากรณ์ๆ ถ้าอยู่ในโลกนี้จะเป็นจักรพรรดิๆ เวลาถ้าออกบวชจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมาขนาดนั้นแล้ว โลกเขาว่ากันไปแบบนั้น

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลามีสิ่งใดที่เกิดขึ้น เวลายมทูตมาให้เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย สิ่งที่ยมทูตมาให้เห็นๆกระเทือนถึงหัวใจกระเทือนถึงบุญญาธิการที่สร้างมา สิ่งที่สร้างมาเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมาก็รื้อค้นด้วยใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ออกประพฤติปฏิบัติมาถึงเต็มที่นะเวลาเป็นมนุษย์แต่ว่าเวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว เวลาสิ้นกิเลสไปแล้วความที่ว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญญาธิการมหาศาลเวลาสั่งสอนลูกศิษย์แล้วตั้งเอตทัคคะ ๘๐องค์ ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตั้งเอง

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นกิเลสไป แล้วเวลาที่ตั้งสาวก๘๐ องค์เป็นเอตทัคคะ ก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่การเป็นพระอรหันต์ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคี่ยวเข็ญมาขนาดไหน เวลาประพฤติปฏิบัติมา มีครูบาอาจารย์นำหน้าไป ขนาดมีครูบาอาจารย์นำหน้าไปยังล้มลุกคลุกคลานขนาดนั้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ การที่ตรัสรู้เองโดยชอบโดยชอบธรรมโดยความชอบธรรมอันนั้น เห็นไหม มนุษย์เหมือนกัน เวลาสิ้นกิเลสแล้ว อัครสาวกก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่มันแตกต่างกันมหาศาลที่การทำบุญกุศลมา นี่แตกต่างกันมหาศาลด้วยอำนาจวาสนาบารมี

พุทธกิจ ๕มีใครทำได้ ใครทำไม่ได้หรอกใครทำแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เพราะว่าพุทธวิสัยมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ฉะนั้น มีหนึ่งเดียว ด้วยสัจจะ ด้วยความเป็นจริงอันนั้นเวลามนุษย์เหมือนกัน ถ้าทำเสร็จแล้วมันเป็นแบบนั้นไง ฉะนั้นเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มีศักยภาพของความเป็นมนุษย์ฉะนั้น ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา เราออกมาจากโลก เรามาบวชเป็นพระบวชเป็นพระนี่นักรบๆ เรารบกับกิเลสของเรา ถ้ารบกับกิเลสของเรา เราหากิเลสของเราไม่เจอก็หันรีหันขวางอยู่นี่แล้วเราจะต่อสู้กับกิเลสของเรา

เราออกจากบ้านจากเรือนมาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเราออกจากบ้านจากเรือนมาประพฤติปฏิบัติใช่ไหมหน้าที่ของเรา เราจะปราบกิเลสของเรา แล้วสิ่งสภาวะแวดล้อมความเป็นอยู่ทำไมต้องไปกระทบกระเทือนกันล่ะ สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ ทุกคนก็มีกิเลสทั้งนั้นน่ะ คนที่เขามีกิเลสอยู่เขาจะควบคุมกิเลสของเขา เขาจะประพฤติปฏิบัติของเขา นิสัยใจคอของเขาเป็นแบบนั้น มันก็เป็นเรื่องของเขา สิ่งที่เป็นหน้าที่ของเรา เราก็จะประพฤติปฏิบัติของเราเพื่อจะชำระล้างกิเลสของเรา ถ้าชำระล้างกิเลสของเรา

กิเลสมันน่ากลัวนัก พญามารมันครองใจสัตว์โลก อาศัยใจของสัตว์โลกเป็นที่อยู่อาศัย ขับถ่ายในหัวใจของสัตว์โลก แล้วมันก็บีบคั้นหัวใจเราให้ทุกข์ให้ยากนะ เรามีความทุกข์ความยากกันมาก เวลาความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากเพราะอะไร เพราะมันเป็นสัจจะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางอริยสัจไว้ทุกข์ สมุทัย นิโรธมรรค ทุกข์เป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้าทุกข์เป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้าเราหันหน้าเผชิญกับความทุกข์ของเรา เราหันหน้าเผชิญกับความจริงของเราแล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มีมรรคเห็นไหม ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ นิโรธ มรรคทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เราพยายามฝืนทนของเรา เราพยายามกระทำตามความเป็นจริงของเราขึ้นมา มันเป็นความจริงๆ ไง

แต่โลกเขาวิ่งหนี โลกเขาพยายามปฏิเสธเขาพยายามจะหาความสุขของเขาด้วยความเห็นของโลกไงกิเลสมันได้ช่องตรงนี้ ถ้ากิเลสมันได้ช่องตรงนี้ มันก็พาหัวใจของสัตว์โลกล้มลุกคลุกคลานไป นี่มันหาความสุขไงความสุขของโลกไง โดยทางวิทยาศาสตร์เขาว่าทุกข์นิยมพระพุทธศาสนาเป็นทุกข์นิยม ไม่น่ารื่นรมย์เลยศาสนาของเขาสิอ้อนวอนเอา ขอเอา ได้สมความปรารถนาทั้งหมดเลย มันเป็นความจริงไหมล่ะ มันเป็นความจริงไปไม่ได้หรอก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เทวดา อินทร์พรหมมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเขาจะไปอ้อนวอนขอเอาจากใคร คนที่มีกิเลสทั้งนั้น มีการเกิดอยู่ในวัฏฏะนี่คนที่มีกิเลสทั้งนั้นคนที่มีกิเลสเขาจะมีสิ่งใดมาชี้นำให้เราได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่เพราะด้วยศักยภาพของความเป็นมนุษย์ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกันแต่มีศักยภาพเวลาตรัสรู้เองโดยชอบ เราก็เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน คนที่มีความเชื่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็เชื่อมั่นในรัตนตรัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แก้วสารพัดนึกใครมีความรู้ความเห็นมากน้อยขนาดไหนก็พยายามทำคุณงามความดีของเราได้มากขนาดนั้น คนที่เขาไม่เชื่อเขาไม่เชื่อของเขาเขาอยู่นอกศาสนาเขาก็เชื่อของเขาตามความเห็นของเขา เขาอ้อนวอนขอของเขา แล้วเขาก็มองกลับมา เขาเยาะเย้ยถากถางอีกด้วยว่าเป็นทุกข์นิยมๆ

มันเป็นทุกข์นิยมมาจากไหน มันเป็นสัจนิยมต่างหากล่ะ มันไม่ทุกข์หรือ ใครบ้างไม่ทุกข์ แต่เพราะความปฏิเสธความแสวงหาความสุขทางโลกไง ความคิดของเราเองว่าสิ่งนั้นจะเป็นความสุข สิ่งนั้นจะเป็นความสมความปรารถนา โดยพญามารมันหลอกมันล่อไปเราก็วิ่งตามมันไป วิ่งตามมันไปแต่ก็ไม่มีใครย้อนกลับมาดูใจของตัวเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เพราะมีการกระทำอันนี้มันถึงมาตรัสรู้เองโดยชอบเพราะโดยสัจจะโดยความจริงอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

มนุษย์เหมือนกัน เวลาพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เป็นพระอรหันต์เหมือนกันแต่อำนาจวาสนาบารมีมันไม่เหมือนกัน แตกต่างกันมหาศาลเพราะว่าการสร้างสมมาแตกต่างกัน การสร้างสมมาแตกต่างกันเพราะว่าพุทธวิสัย ๔ อสงไขย ๘อสงไขย ๑๖อสงไขย การสร้างสมมามหาศาลนะความมหาศาลมันเป็นความทุกข์ไหม ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์เขาพอใจ สิ่งนี้เป็นทุกข์ไหม เป็น เป็นทุกข์ แต่ในเมื่อมีเป้าหมาย ทำขึ้นมาเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมี เขาทำได้ทั้งนั้นน่ะ เขาทำได้เพราะเขาเต็มใจทำ เขาเต็มใจแล้วเขาพอใจแล้วมีความสุขในการกระทำ

แต่ของเราเราทำขึ้นมาด้วยความเข้าใจผิดเข้าใจผิดว่าทำบุญต้องได้บุญทำบาปต้องได้บาป เราก็ทำบุญกุศลของเราแล้วจะให้สมความปรารถนาของเรานี่กิเลสมันหลอกนะ ถ้ากิเลสมันหลอก เห็นไหมหลอกตน มันหลอกเราก่อน พอหลอกเราแล้วมันไปหลอกผู้อื่นต่อไป ถ้ากิเลสมันหลอกตน มันหลอกอย่างไรล่ะมันหลอกเรา เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ มีศักยภาพเป็นมนุษย์ มนุษย์มีศักยภาพทุกคนแล้วมนุษย์ก็มีการศึกษา พอมีการศึกษาขึ้นมาแล้วมีปัญญา เราศึกษาของเราแล้ว เราก็ว่าเข้าใจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่กิเลสมันหลอก ถ้ากิเลสมันหลอกตน ก็หันรีหันขวางไง พอมันหลอกตน หลอกตนว่าเราไม่มีศักยภาพพอ เราให้กิเลสมันหลอกถ้าหลอกตนแล้วเราไปไหนล่ะ

เวลาศึกษามา ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมาจิตมันสงบมาไม่ได้ ถ้าจิตสงบมาแล้วมันยกขึ้นวิปัสสนาไม่เป็นถ้ายกขึ้นวิปัสสนาไม่เป็นมันก็หลอกอยู่นั่นน่ะ ธรรมะเป็นแบบนี้ แล้วตีความเข้าใจธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผิดพลาดไปด้วย

แล้วถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา ถ้ากิเลสมันหลอกตนกิเลสมันหลอกเรา เราเข้าใจไม่ได้ ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมอันนั้นไม่ได้ แต่ความรู้ความเห็นของเราให้กิเลสมันหลอกกิเลสมันหลอกเพราะว่าอะไรเพราะวุฒิภาวะมันอ่อนด้อย ถ้าวุฒิภาวะอ่อนด้อย สิ่งใดเกิดขึ้นมาจากเราความรู้สึกขึ้นมาจากเรา เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมแล้วเคลมให้ว่าเหมือนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันอันเดียวกันกับธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา แล้วมันเป็นจริงไหมล่ะ นี่มันหลอกตน ถ้าหลอกตนนะหลอกตนมันเป็นโทษอย่างไรหลอกตน เราประพฤติปฏิบัติไม่ได้ตามความเป็นจริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์แล้วมีศักยภาพด้วยในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เราก็เกิดเป็นมนุษย์ แล้วเวลาเกิดเป็นมนุษย์ เราประพฤติปฏิบัติของเราล้มลุกคลุกคลานอยู่นี่มันหลอกตนเวลาล่วงไป วันคืนล่วงไปๆเดี๋ยวมันก็หมดอายุขัยไป แล้วการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้มันได้สิ่งใดเป็นประโยชน์กับตัวเอง เพราะหลอกตน หลอกตนทำให้การประพฤติปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้า จะทำความจริงของเราขึ้นมาก็ไม่ได้ แล้วถ้าทำความจริงของเราไม่ได้ขึ้นมา มันขาดอะไรขาดรสแห่งธรรมความเป็นสัจธรรมไง

ถ้าสัจธรรมมันเกิดขึ้นมา ดูสิ เรามีสติยับยั้งขึ้นมาเวลาจิตใจของเรามันล้มลุกคลุกคลาน ถ้ามีสติยับยั้ง เรายังยับยั้งหัวใจเราได้ว่า การกระทำนี้มันไม่สมควรกระทำ สิ่งที่ทำนี้ให้โทษกับเราเรายับยั้งของเราได้เลย นี่ถ้ามีสติขึ้นมา มันก็ได้รับรู้อย่างนี้ ว่าเรามีศีลขึ้นมา ศีลคือความปกติของใจถ้าใจมีความปกติของเราขึ้นมา เวลาจิตใจเราสงบร่มเย็นขึ้นมาแหม! ทำไมมีความสุขขนาดนี้จิตใจของเรามันร่มเย็นเป็นสุข มันมีความรื่นเริงขนาดนี้ นี่รสของธรรมๆ แล้วถ้าเกิดทำขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถ้ามันมีสมาธิขึ้นมา มันมีสัจธรรม มันมีความจริงของมัน

แล้วถ้าเกิดยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันขนพองสยองเกล้ามันเห็นเลยว่าสิ่งที่เป็นกิเลส สิ่งที่ว่าถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นสิ่งนี้ เราจะไม่ได้รับรสอย่างนี้เลย ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นสิ่งนี้ ความสกปรกโสมมของกิเลสในใจของเรา พญามารที่มันครอบใจของเรา มันจะครอบครองใจเราตลอดไป แต่เพราะเราได้รู้ได้เห็น ถ้าเราได้รู้ได้เห็นขึ้นมา เราใช้ปัญญาของเราแยกแยะของเรามันจะล้มลุกคลุกคลาน ถ้าปัญญามันแยกแยะได้มันมีกำลังขึ้นมามันก็ทำของมันประสบความสำเร็จ เราก็ได้ลิ้มรสของความสงบร่มเย็น

แต่ถ้าเราใช้ปัญญาของเราล้มลุกคลุกคลานเพราะสมาธิมันอ่อนลง สติปัญญามันใช้ไม่สมบูรณ์ ปัญญามันก้าวเดินไปก็ล้มลุกคลุกคลานมันก็มีความลำบากลำบน มันก็มีความทุกข์ความยาก ปฏิบัติแล้วมันก็มีความหนักหน่วงในหัวใจ มันเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่เป็นเรื่องธรรมดา การต่อสู้มันเป็นอย่างนี้ไงนี่รสของธรรมๆ

ถ้ากิเลสมันหลอกนะ ถ้ากิเลสมันหลอกตน หลอกเรา มันไม่มีปฏิกิริยาอย่างนี้ มันไม่มีการกระทำแบบนี้มันไม่ได้เดินมรรคในหัวใจเราตามความเป็นจริง ถ้ามันไม่ได้เดินมรรคตามความเป็นจริง เรามีความรู้ขนาดไหนล่ะ ทำความสงบของใจได้ กำหนดพุทโธได้ พอพุทโธได้ ทำอย่างนี้มันเป็นพลังจิตๆ มันจะมีกำลังของมันแล้วมันปราบปรามกิเลสได้ทั้งหมดเลย เวลามันหลอกตนหลอกตนแล้ว แล้วยังไปหลอกผู้อื่นต่อ หลอกตนก็ทำให้ตนไม่มีมรรคมีผลตามความเป็นจริงเพราะหลอกตนกิเลสมันเกลี้ยกล่อมจนเราเชื่อพอเราเชื่อขึ้นมาเราก็สร้างเหตุสร้างผลของเราขึ้นมาเอง แล้วก็พยายามจะยัดเยียดให้เป็นว่า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คือนิพพาน สิ่งนี้คือสูงสุดของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นจริงไปไม่ได้หรอก

ดูสิ วัตถุสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ มันก็มีความแปรสภาพของมันเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา สิ่งใดก็แล้วแต่ถ้าสร้างขึ้นมา เราจะมีวัตถุสิ่งใดก็แล้วแต่ มันต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา มันต้องผุกร่อนกัดกร่อนเป็นธรรมดา แล้วมันมีสิ่งใดเป็นประโยชน์ขึ้นมาบ้างล่ะ เพราะมันไม่มีจิตไม่มีวิญญาณ ไม่มีสิ่งใดรับรู้

แต่ถ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รูป รสกลิ่น เสียงอันวิจิตรไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ สิ่งที่เป็นกิเลสๆ มันคือตัณหาความทะยานอยากในใจของเราต่างหากล่ะ ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา เราจะไปรู้สิ่งนี้ได้อย่างไร เราจะไปแก้ไขของเราได้อย่างไร

ถ้าเราแก้ไขของเราไม่ได้ ดูสิ เราประพฤติปฏิบัติของเราอยู่ เรามีกำลังขึ้นมาขนาดไหน พอมีกำลังขึ้นมาแล้วเขาว่าเป็นคนดี คนที่มีความทุกข์ความยากคือว่ามันมีความฟุ้งซ่าน มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำใจของเราอยู่ พอทำสมาธิขึ้นมาได้ใจมันมีกำลังขึ้นมา มันมีพลังจิตขึ้นมา นี่เป็นคนดีเป็นผู้วิเศษ ถ้าวิเศษขนาดไหนแล้ว สิ่งนี้ถ้าดูแลรักษาไป มันจะปราบปรามกิเลสของมันไป...นี่มันหลอกตน กิเลสมันหลอก

พอกิเลสมันหลอกแล้วด้วยความไม่เข้าใจ ก็เลยไม่เข้าใจเรื่องศาสนาเลย ไม่เข้าใจเรื่องมรรคเรื่องผล ไม่เข้าใจเรื่องเหตุแห่งการกระทำมันไม่มีเหตุมีผลขึ้นมามันจะไปสู่ที่ไหนล่ะ เพราะหลอกตนมันเสียหายไปหมดนะ นี่กิเลสมันหลอกๆหลอกตน แล้วเวลาหลอกตนแล้วหลอกผู้อื่นต่อไป หลอกผู้อื่นต่อไปนะ เวลาไปสั่งสอนเขา เวลาไปพูดแนะนำเขาเพราะธรรมดาของพระใช่ไหมธรรมดาของผู้อาวุโส อยู่นานไปแก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นาน ถ้าแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นานมีอายุขัยขึ้นมาแล้วเขาก็นับหน้าถือตา แล้วก็เอาธรรมแบบนี้ เอาสิ่งที่กิเลสมันหลอก แล้วก็ไปสั่งสอนผู้อื่น มันจะเป็นความจริงขึ้นมาจากไหนล่ะมันไม่มีความจริงขึ้นมาเลย ถ้าไม่มีความจริงขึ้นมามันเสียหายที่ใครล่ะ

ดูสิ เวลาสมัยของหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรานะ หลวงปู่ตื้อท่านอยู่ทางเชียงใหม่ เวลาท่านขึ้นไปวิเวกแล้วขึ้นไปสนทนาธรรมกับลูกศิษย์ จากภูเขา ขึ้นไปบนเขาแล้วท่านก็ลงมา ท่านระลึกได้ว่าคำพูดของท่านมีคำพูดอยู่คำหนึ่งที่มันอาจจะคลาดเคลื่อนได้ท่านถึงปีนเขาขึ้นไป ไปหาลูกศิษย์บอกว่า “สิ่งที่ผมพูดนั่นน่ะมันอาจจะคลาดเคลื่อนได้นะ ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น”

ลูกศิษย์ของท่านนะโอ้โฮ! กราบขมาลาโทษว่า “ท่านอาจารย์ไม่ต้องมาก็ได้ พรุ่งนี้เช้าบิณฑบาตถ้าลงไปเจอแล้วค่อยบอกก็ได้ ทำไมท่านอาจารย์ต้องขึ้นมาเดี๋ยวนี้ล่ะเพิ่งลงไป” เพราะลูกศิษย์มันเคารพบูชาไง

“ไม่ได้! เดี๋ยวเธอไปบอกคนอื่น มันจะมีความเสียหาย” นี่ไง ถ้าไปหลอกคนอื่น ทำให้คนอื่นเสียหาย คนที่มีคุณธรรมในหัวใจมันสังเวชนะ คนที่มีคุณธรรมในใจมันสังเวชมาก

เราจะไม่ให้คนอื่นเสียหายไปจากเราเลย แต่โดยธรรมชาติของกิเลสนะ แม้แต่แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน พอมีอายุพรรษามากขึ้นมา นี่ให้กิเลสมันหลอก หลอกตนเอง ได้แต่ว่าทำความรู้ความเห็นของตัวมันเป็นมรรคเป็นผลนี่ให้กิเลสมันหลอก แล้วขนาดตัวเองเป็นพระเป็นเจ้าบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาแล้วยังเป็นครูบาอาจารย์นะ เป็นพระปฏิบัติเสียด้วย มีครูมีอาจารย์มา มีชื่อมีเสียงด้วย แล้วฆราวาสญาติโยมเขาแล้วพระบวชใหม่ฆราวาสญาติโยมมีศรัทธาความเชื่อมาก็บวชพระบวชพระขึ้นมาก็อยากจะพ้นทุกข์อยากจะประพฤติปฏิบัติ แล้วเวลาบวชขึ้นมา แก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นาน พอเห็นว่าเป็นครูบาอาจารย์ก็เข้าไปศึกษา แล้วเข้าไปศึกษา ศึกษามันจะได้สิ่งใดมาล่ะศึกษาขึ้นมาแล้วแล้วเขามีวุฒิภาวะสิ่งใด

พระบวชใหม่นะ ในนวโกวาทบอกไว้เลย พระบวชใหม่เป็นผู้ว่ายากสอนยาก พระบวชใหม่ต้องให้ศึกษา ให้รู้จักข้อวัตร เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะบวชพระขึ้นมาท่านให้เป็นปะขาว ๓ ปี ๔ ปีเพื่อจะดัดนิสัยเพื่อจะดัดขึ้นมาให้ทิ้งนิสัยของฆราวาสมา ให้เข้าไปสู่นิสัยของสมณะ ถ้านิสัยของสมณะ เวลาความเป็นอยู่ ศีล จะรู้ได้ต่อเมื่อเราอยู่ด้วยกัน ธรรมะ จะรู้ได้ต่อเมื่อแสดงธรรม ธรรมะจะรู้ได้ต่อเมื่อเปิดอกมา เปิดอกว่าเราจะมีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหนถ้ามันไม่มีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหน พูดสิ่งใดมามันก็ซ้ำๆ ซากๆ อยู่นั่นน่ะ ไอ้คนฟังมันเบื่อหน่ายนะ ของพูดแล้วก็พูดอยู่นั่นล่ะ ไม่มีสิ่งใดเป็นเนื้อธรรมเลยเป็นเนื้ออรรถเนื้อธรรมขึ้นมาเพื่อจะให้ชำระล้างกิเลสเพื่อจะได้ข่มขี่กิเลสในหัวใจเราให้มันได้อาย

เวลาศึกษาธรรมเพราะวุฒิภาวะมันไม่มี เวลาครูบาอาจารย์ที่โดนกิเลสมันหลอกตนอยู่เวลาแสดงออกมา เขาจะรู้ได้อย่างไร เขารู้ไม่ได้หรอก เขารู้ไม่ได้ วุฒิภาวะมันอ่อนด้อยอย่างนั้น พอพูดมาสิ่งใดมันก็เชื่อไปมันเสียหายกันไปหมดเลย แล้วคนที่มีกิเลส คนที่มาประพฤติปฏิบัติก็อยากจะพ้นจากกิเลส อยากจะมีครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องดีงามแล้วครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องดีงามมาจากไหนล่ะ ครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องดีงามมันอยู่ที่ไหน

ครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องดีงามก็หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านซื่อตรงต่อธรรม ท่านมีสัจธรรม ท่านแสดงสิ่งใดก็มีอรรถมีธรรม จะไม่พ้นจากอรรถจากธรรมไป ไอ้พวกเรามีแต่กิเลสไง มีแต่ความเคยชินไง มีนิสัยของฆราวาสมีนิสัยของสังคมไงโฆษณาชวนเชื่อมีแต่กระแสสังคมเวลาไปเห็นอย่างนั้นเข้ามันขัดหูขัดตา มันขัดหูขัดตาเพราะอะไรเพราะท่านอยู่เหนือโลก ท่านอยู่เหนือโลก อยู่เหนือสังคม ท่านสั่งสอนสิ่งใดมามันก็แทงเข้าหัวใจเราทั้งนั้นน่ะ

พอมันแทงเข้าหัวใจ แทงเข้ากิเลสของเรา มันไม่บอกว่าแทงเข้าหัวใจนะ มันบอกว่า “ทำร้ายเราทำลายเรา ไม่เมตตาเรา ไม่อุ้มชูเรา” นี่กิเลสมันพลิกไปอย่างนั้นน่ะ ถ้ากิเลสมันพลิกไปอย่างนั้นถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดี เราอยากหาครูบาอาจารย์ที่ดีงาม ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจ เวลาเราได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณของท่านเราก็ระลึกถึงท่านเวลาเราจะเข้าไปศึกษา เพราะสัจธรรมมันเหนือโลก เหนือความจินตนาการ เหนือการคาดหมายแล้วเหนือการจินตนาการ เหนือการคาดหมายแล้วทำอย่างไรล่ะ

ถ้าเหนือการจินตนาการเหนือการคาดหมาย เราก็ต้องพยายามขวนขวายของเราสิ เพราะเราแสวงหาครูบาอาจารย์ใช่ไหมถ้าเราแสวงหาครูบาอาจารย์ขึ้นมา เราก็พยายามทำความสงบของใจเข้ามาก่อนสิถ้าทำความสงบของใจเข้ามา นั่นก็คือการปฏิบัติธรรม ตบะธรรมมันแผดเผาทำลายกิเลสทำลายกิเลสหยาบๆ ไอ้พวกลูกหลานเหลนของมันที่มันทำให้เรารำคาญยุงรำคาญๆ มันไม่มีเชื้อโรคกับใครนะ ยุงรำคาญมันก็กัดเท่านั้นน่ะ แต่ถ้าเป็นยุงก้นปล่องมันมีมาลาเรียนะมันกัดเข้าไปเดี๋ยวจะเป็นมาลาเรีย

นี่ก็เหมือนกัน ขณะที่ยุงรำคาญ สิ่งที่มันเป็นความฟุ้งซ่านในใจมันเป็นเรื่องยุงรำคาญทั้งนั้นน่ะ ถ้าเรากำหนดพุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิ เราพยายามปรับหัวใจของเราขึ้นมา แต่ไอ้แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน มันก็บอกว่า “นี่ทำความสงบเข้ามา มันเป็นพลังจิตมันมีกำลังของมันสิ่งที่มนุษย์เขามีความเบียดเบียนกันเพราะจิตใจเขาเป็นกิเลส เขาถึงเบียดเบียนกันพอทำใจสงบเข้ามาแล้วมันจะไม่เบียดเบียนกัน”

ไม่เบียดเบียนกัน นี่หลอกตนเอง พอหลอกตนเอง ไม่เบียดเบียนกัน ไปหลอกลวงชาวบ้านทำไม ถ้าไม่เบียดเบียนกัน ที่พูดอยู่นั่นมันหลอกลวงชาวบ้าน ตัวเองก็รู้เพราะมันไม่มีเหตุมีผลเทียบเคียงกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่มีธรรมเทียบเคียงกับธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา

ก็เป็นกรรมฐานทั้งนั้นน่ะ มีครูบาอาจารย์เหมือนกันทั้งนั้นน่ะเพราะอะไร เพราะมรรค ๔ ผล ๔ ไงถ้ามรรค ๔ ผล ๔อะไรเป็นมรรคอะไรเป็นผล สิ่งที่ก้าวเดินไปมันเป็นอย่างไร ทุกข์เหตุให้เกิดทุกข์ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ถ้ามันไม่มีวิธีการดับทุกข์ มันดับทุกข์อย่างไร ถ้ามันดับทุกข์อย่างไรอย่างเรา เราแสวงหากันอยู่นี่วิธีการดับทุกข์ก็แสวงหากันอยู่นี่มันยังล้มลุกคลุกคลาน มันไม่มีวิธีการดับทุกข์เสียทีไม่มีวิธีการดับทุกข์เสียที

ก็เราเกิดเป็นมนุษย์ไง เราเกิดเป็นมนุษย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดเป็นมนุษย์มนุษย์มีศักยภาพเหมือนกัน อำนาจวาสนาบารมีของคนมันแตกต่างกันถ้าอำนาจวาสนาบารมีของคนแตกต่างกัน แต่เราก็มีอำนาจวาสนาบารมี เราไม่ปล่อยให้ชีวิตล่วงไป เห็นไหมดูสิ คนที่ประสบความสำเร็จทางโลกเขาจะมีฐานะสูงส่งขนาดไหนเขาก็ตายทั้งนั้นน่ะ คนเกิดมา เกิดมาเป็นคนเหมือนกัน เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกันแล้วก็ดำรงชีวิตอยู่ชั่วคราว แล้วก็ต้องตายไปหมดเลย แต่เราจะเอาสมบัติทางไหนล่ะถ้าเอาสมบัติทางโลก เขาก็แสวงหากันอยู่นี่ไง

แล้วถ้าเราเอาสมบัติทางธรรมล่ะ สมบัติทางธรรม เราต้องทำหัวใจเราให้ได้ หัวใจเท่านั้นไม่ให้กิเลสมันหลอก ไม่หลอกตน เราไม่หลอกตัวเราเองเราซื่อสัตย์กับตัวเราเอง เรามีจุดมุ่งหมายของเรา เราว่าเราจะเอาจริงของเราๆ ถ้าเอาจริงของเรานะ คนที่มีวุฒิภาวะ ดูสิดูโปฐิละนะ เวลาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครูเป็นอาจารย์สอนปริยัติ คือสอนทางวิชาการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลูกศิษย์ลูกหา๕๐๐ นะ ไปไหนลูกศิษย์ลูกหาล้อมหน้าล้อมหลังหมดเลย เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “โปฐิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือ โปฐิละใบลานเปล่ากลับแล้วหรือ โปฐิละใบลานเปล่า”

จนได้คิดน้อยใจว่า เราก็ทำประโยชน์ แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน เราก็ทำประโยชน์ ดูสิลูกศิษย์ลูกหา๕๐๐ ไปไหนมีคนนับหน้าถือตาทั้งบ้านทั้งเมืองเพราะอะไร เพราะขณะที่ว่าบวชเป็นพระ เป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การโฆษณาชวนเชื่อในการแสดงธรรมธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เอามาสั่งสอนก็ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ธรรมของเราล่ะ ความจริงของเราล่ะ

เพราะเราเป็นมนุษย์กันใช่ไหม เราต้องการพ้นจากทุกข์ใช่ไหม เราต้องการสัจธรรมในหัวใจใช่ไหม เราต้องการเนื้ออรรถเนื้อธรรมความเป็นจริงในใจของเรา ถ้าเป็นศีล เป็นสมาธิเป็นปัญญา ก็ให้มันมีจริงในหัวใจของเรา แต่เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นปริยัติ มันเป็นแนวทางแนวทางที่ปฏิบัติมันเป็นความจำถ้าความจำไม่ใช่ความจริง

ถ้าความจำ เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม เราจะศึกษาขึ้นมาเพื่อประดับเกียรติว่าเราเป็นชาวพุทธเรารู้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษา ศึกษาเป็นแนวทาง แล้วมีสติมีปัญญาไหมสติปัญญาที่วันใดวันหนึ่งเราจะออกปฏิบัติไหม เหมือนกับยา ยาเราอ่านแต่ฉลากยา ในบ้านเราฉลากยาวางเป็นตั้งๆ เลยแต่ตัวยาไม่มีสักเม็ดหนึ่ง ยาเพื่อแก้โรคแก้ภัยไม่มีเลย เราจะเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าเราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย มันก็ยังไม่เห็นความจำเป็นวันใดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา มันจะเห็นความจำเป็นเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราเรียนปริยัติมาๆ เราเรียนทางวิชาการของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเพื่อความรับรู้ เพื่อความดีงาม แต่เวลาเราออกปฏิบัติล่ะ ถ้าออกปฏิบัติขึ้นมามันต้องเอาความจริงขึ้นมา แล้วออกปฏิบัติเอาที่ไหนล่ะ

เวลาทางโลกเขา สินค้าในตลาดเราต้องการสิ่งใด เราก็ไปหาซื้อได้ถ้าเรามีเงินทองไปซื้อเขามาเวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาศีล สมาธิ ปัญญามรรค ๘ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ อริยสัจสัจจะความจริงสติปัฏฐาน ๔ กายเวทนา จิต ธรรม รู้ไปหมด แล้วให้กิเลสมันหลอก พอหลอกตน มันรู้ไปหมด แล้วก็เทียบเคียงเอง สร้างจินตนาการของตัวเอง แล้วสร้างมโนกรรมของตัวเอง แล้วก็ว่ากันไป แล้วก็อ้างอิงไปหมดเลยว่าเป็นเหมือนคนนู้นเป็นเหมือนคนนี้นี่กิเลสมันหลอก

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนโปฐิละๆ“โปฐิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือโปฐิละใบลานเปล่ากลับแล้วหรือ” นี่มันได้คิดเห็นไหม ถ้าคนได้คิด ไม่ให้กิเลสมันหลอกไง ไม่ให้กิเลสมันค้ำคอไง เราเป็นคนมีศักยภาพ ไปไหนลูกศิษย์ลูกหา ๕๐๐ มีชาวบ้านนับหน้าถือตามหาศาล แล้วมันก็ตายเปล่าไงมีบุญกุศลตายไปก็เกิดเป็นเทวดาอินทร์ พรหม ก็เท่านั้น ในวัฏฏะไง ก็เกิดในวัฏฏะอยู่นั่นน่ะ

แต่เพราะมีอำนาจวาสนาเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนขึ้นมา ได้คิดไงทิ้งหมู่คณะ หนีไปโดยตัวคนเดียว ไปวัดปฏิบัติ มันมีชื่อเสียงไง วัดปฏิบัติ ล้มลุกคลุกคลานกันมาทั้งนั้นน่ะ ปฏิบัติขึ้นมาก็ปฏิบัติเพื่อชำระล้างกิเลส พอชำระล้างกิเลสแล้วก็มีความสุข มีความร่มเย็นเป็นสุข อยู่ที่ไหนมันก็มีความสุข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่โคนต้นไม้ก็มีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข พระปฏิบัติเขาอยู่ในป่าในเขาของเขา เขามีสติปัญญาทันกิเลสของเขา เขาไม่ใช่หลอกตนเขาทำลายกิเลสในหัวใจตน ถ้าทำลายกิเลสในหัวใจตนมันก็มีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหมเขาอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข อยู่โดยสัจธรรม ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่คิดจะหาสิ่งใด

หลวงตาบอกว่า ไก่มันยังมีหงอน หาหงอนไก่มาเสียบหัวไว้ไงอยากมีหัวโขนอยากให้คนนับหน้าถือตา นี่กิเลสมันหลอกหลอกตน ถ้าหลอกตนแล้วมันก็หลอกคนอื่นอยากให้เขานับหน้าถือตา ไก่มันอยากมีขน อยากมีหงอน มันมีของมันไง ถ้าไก่มันอยากมีขน มันก็ดิ้นรนของมันไป

แต่เวลาโปฐิละ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า“โปฐิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือโปฐิละใบลานเปล่าไปแล้วหรือ”

นี่ทิ้งหมู่คณะ ทิ้งหัวโขนทิ้งสิ่งที่สังคมเขานับหน้าถือตาสังคมเขานับหน้าถือตามันเป็นโลกธรรม ๘ มีลาภ เสื่อมลาภมียศ เสื่อมยศแล้วมันแก้ไขกิเลสของเราตรงไหน แล้วมันจะทำให้เรารู้แจ้งเห็นจริงตามสัจธรรมตรงไหนมันไม่มีสิ่งใดจะมารู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมอันนั้นทิ้งหัวโขนแล้วไปหาพระปฏิบัติ ไปหาพระป่า ไปถึงในวัด ตั้งแต่เจ้าอาวาสลงมา พระอรหันต์หมดเลยทีนี้พระอรหันต์หมดเลย จะไปกราบขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ไง ก็มีชื่อเสียงคับฟ้าไปที่ไหนก็มีคนนับหน้าถือตาทั้งนั้น แล้วมาสมัครเป็นลูกศิษย์

เจ้าอาวาสบอกว่า “เราเป็นคนอำนาจวาสนาน้อย เราอยู่ในป่าในเขา ไม่มีศักยภาพจะสอนได้หรอก” ผลักไปเรื่อยๆ “ถ้าเราไม่ได้ก็องค์ต่อไปเถอะ” องค์ต่อไปก็ผลักต่อไปจนถึงสามเณรน้อย สามเณรน้อยก็เป็นพระอรหันต์ นี่ถ้าไม่หลอกตน

ถ้าหลอกตนมันมีแต่หัวโขน มีแต่ศักยภาพทางสังคม เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง มนุษย์คือสัตว์สังคม สังคมถ้ารวมเป็นชุมชนขึ้นมามันก็มีศักยภาพ ใครมีความนับหน้าถือตาใคร คนนั้นก็มีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วชื่อเสียงมันเป็นอะไรล่ะ ชื่อเสียงมันเป็นประโยชน์อะไรกับการปฏิบัติล่ะ ชื่อเสียงไม่มีประโยชน์ในการปฏิบัติเลย แต่อยากมีชื่อมีเสียงไก่อยากมีหงอนอยากจะมีหัวโขนอยากให้คนรู้จักแล้วมันมีประโยชน์อะไรกับชีวิตเรา นี่หลอกตน หลอกตนมันหลอกอย่างนี้ กิเลสมันเสียบเข้ามาแล้วหลอกตน ทำให้ตนเสียหาย

ทั้งๆ ที่เราเกิดเป็นมนุษย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์เดินได้ ๗ ก้าวเปล่งวาจาเลย“เราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” แล้วท่านก็ปฏิบัติของท่านขึ้นมาตามความเป็นจริง พระอัครสาวกในสมัยพุทธกาลก็เหมือนกัน เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน ประพฤติปฏิบัติตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ไปเหมือนกันทั้งหมดเลย จิตใจมันเป็นความจริง นี่ไม่หลอกตน มันเป็นความจริง ความจริง รู้จริงเห็นจริงถ้ารู้จริงเห็นจริงตามความจริงขึ้นมามันก็เป็นประโยชน์ตามความเป็นจริงอันนั้น

นี่เราก็เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วเกิดเป็นมนุษย์ให้กิเลสมันร้อยมันรัด ให้กิเลสมันบีบคั้นของเราขึ้นมา แล้วเราแสวงหาครูบาอาจารย์ขึ้นมาครูบาอาจารย์ก็แก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นาน พอทำความสงบของใจเข้ามามันจะมีฤทธิ์มีเดช มันจะมีเหตุมีผล มันจะสิ้นกิเลสไปได้ มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้เลยมันเป็นไปไม่ได้มันเป็นไปไม่ได้นั่นเพราะมันเป็นไปไม่ได้

ดูสิ โปฐิละไปอยู่กับสามเณรน้อย สามเณรน้อยเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นพระอรหันต์ปราบทิฏฐิ “ถ้าอย่างนั้นเราก็จะลองสอนดู ลองสอนดูก่อน ลองดู” ลองดูก็ดูกิริยา“เราต้องการไม้ที่เป็นไม้ไผ่ ไม้ไผ่มันอยู่ในดงไผ่หนามไม้ไผ่มันก็มี ให้ห่มจีวรเข้าไปเอา” มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะห่มจีวรเข้าไป หนามต้องเกี่ยวแน่นอนพอเข้าไปใกล้ๆขึ้นมา ต้องทำ

พอลงไปทำ เพราะทิฏฐิมานะ เพราะเราก็คิด นี่ทางโลกไงมันเป็นไปได้อย่างไร ห่มจีวรเข้าไป จีวรก็ต้องขาด สามเณรน้อยทำไมมาไหว้วานของที่เป็นไปไม่ได้ ของที่ทำลายอย่างนี้ นี่มันก็คิดอย่างนั้นนะ แต่ด้วยเพราะว่า “โปฐิละมาแล้วหรือ โปฐิละกลับแล้วหรือ” สิ่งนั้นลดทิฏฐิมานะมา ให้ทำอย่างไรก็ทำ

พอเข้าไปใกล้ๆ บอก “ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้วพอแล้ว” เขาไม่ได้ต้องการเอาหรอกแต่เขาต้องการดูทิฏฐิมานะ เขาต้องการดูกิเลสมันหลอก กิเลสมันร้อยมันรัดขึ้นมาแล้วก็มีทิฏฐิมานะถือตัวถือตนไง “ไม่เอาแล้ว จะเอาน้ำๆ ให้ห่มจีวรลงไปเอาน้ำ” ถ้าตักน้ำ ห่มจีวร พอไปใกล้ๆ น้ำ บอก“ไม่เอา ไม่เอาแล้วได้แล้ว”

สังเกตสังเกตว่ามีทิฏฐิมานะ ถ้ามีทิฏฐิมานะ กิเลสมันจะหลอกคนคนนั้นถ้ามันมีทิฏฐิมานะเวลาสามเณรน้อยสอนก็ฟังไว้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ฟังไว้ คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ก็กองทิ้งไว้นั่น นี่มันฟังแล้วมันไม่เข้าใจไง หัวใจมันไม่เปิดรับภาชนะมันไม่หงายขึ้นมา ถ้าภาชนะไม่หงายขึ้นมา พูดธรรมะนะ พูดจนชินปากฟังจนชินหู แต่ใจมันด้าน ใจมันดื้อมันด้าน มันอวดตัวอวดตน มันจะจองหองพองขนมันจะขี่คอคน

มนุษย์ก็คือมนุษย์เท่ากันแต่เวลาปฏิบัติขึ้นมา ใจของใครเท่านั้นที่จะย้อนกลับเข้ามาในหัวใจ ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีสติปัญญา นี่ไง ที่ว่าหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านดุๆ ไง ท่านดุ ท่านก็ปราบทิฏฐิมานะของคนท่านปราบทิฏฐิมานะ กิเลสในใจของคนน่ะ แต่เวลาใครไปไหนก็จะให้โอ๋ๆ ไอ้นี่มันก็ไปอยู่กับแก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นานไง กระแสสังคมไงโฆษณาชวนเชื่อไง ไปไหนมีศักยภาพไง คนล้อมหน้าล้อมหลังไง แล้วมันมีความจริงไหมล่ะมันไม่มีความจริงเพราะอะไร มันเป็นไปไม่ได้

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่านความอยู่ในป่าในเขาของท่านท่านอยู่ด้วยความสงบระงับสิ่งที่อยู่ในสถานที่วิเวก คนที่จะปฏิบัติมันต้องสถานที่วิเวก กายวิเวก จิตวิเวกความวิเวกอันนั้นมันจะทำให้จิตใจเราสงบระงับเข้ามา สิ่งที่สงบระงับเข้ามา เราเองเป็นคนสั่งสอนเขาแล้วเราเองสั่งสอนเขา แล้วเราจะคลุกคลีกับหมู่คณะ เราจะทำตัวของเราให้เป็นแบบนั้น แล้วมันเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ ฟังท่านสอนนะ คำสั่งสอนของท่านเป็นประโยชน์หมดเลย แต่อย่าดูการกระทำของฉันนะ การกระทำของฉันไปอีกเรื่องหนึ่งเลย

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่ทำแบบนั้น ท่านใช้ชีวิตของท่านเป็นแบบอย่างเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธวิสัยนะ เวลานอนนอนสีหไสยาสน์นี่ชีวิตเป็นแบบอย่าง พุทธวิสัยพุทธกิจ ๕ ท่านทำของท่านตลอดจนถึงวันนิพพาน นี่ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านมาอย่างนั้น นี่ไง นี่มันไม่ให้กิเลสมันหลอกไง ถ้ากิเลสมันไม่หลอก ไม่หลอกตนเสียอย่างหนึ่ง แล้วเราพยายามทำความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงของเราขึ้นมานะ เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์กับเรานะ ถ้ามันเป็นความจริงเวลาสอน สอนพระโปฐิละจนถึงสิ้นกิเลสเลย

นี่เหมือนกัน ดูหลวงปู่ขาวสิหลวงปู่ขาวกับหลวงตาอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาวท่านทำสิ่งใดอยู่ ถ้ามีความผิดหลวงปู่มั่นมาแล้ว มาในนิมิตเลย “ทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง วางของไม่เป็นที่เป็นทาง” หลวงปู่ขาวท่านเล่าให้หลวงตาฟัง แม้แต่วางของไม่เป็นที่ไม่เป็นทาง หลวงปู่มั่นมาติเลย มาติเลย คำว่า “มาติ” นี่ถึงกันด้วยหัวใจ คนที่ถึงกันด้วยหัวใจนะ

หลวงตาท่านไปอยู่เมืองจันท์ เวลาออกบิณฑบาต หมู่คณะเดินทางไกลเวลากลับมาเดินสะพานไม้ลำเดียวตกจากสะพานนั้นคืนนั้นหลวงปู่มั่นมาเลย “นี่เป็นหัวหน้า เอาเปรียบลูกน้อง ให้ลูกน้องไปไกลๆ แล้วหัวหน้าเดินวนเวียนอยู่ข้างวัดน่ะ”

นี่คนที่เขาเคารพบูชา คนที่หัวใจเขาเป็นธรรม เขารับรู้ได้ถึงขนาดนั้น ถ้าเขารับรู้ได้ถึงขนาดนั้นนะ เวลาปฏิบัติขึ้นไปทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะเวลาปฏิบัติขึ้นไปอยู่กับครูบาอาจารย์ขึ้นมา มันด้วยความเคารพบูชา ด้วยใจเจตนาที่ดี ด้วยการประพฤติปฏิบัติที่ดี มันไม่มีทิฏฐิมานะไง

สิ่งที่ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ขึ้นมาแล้วเกิดมีทิฏฐิมานะ “ครูบาอาจารย์สอน สอนผิด เราเป็นลูกศิษย์ เราสอนถูกลูกศิษย์มีความรู้มากกว่าอาจารย์อาจารย์ทำอย่างนี้ ไม่ควรทำอย่างนี้ ควรทำอย่างที่เราแนะนำให้ทำ” นี่เกิดทิฏฐิมานะอย่างนี้

แล้วพอออกจากครูบาอาจารย์มา หลวงปู่ขาว หลวงตาท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเราชาวพุทธ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของสังคม ท่านช่วยเราทั้งสังคมด้วยความเมตตาคอยสั่งสอนให้เราเป็นคนที่ดีงาม พระปฏิบัติไปอยู่กับท่านท่านก็พยายามแก้ไขเรื่องทิฏฐิมานะ เรื่องกิเลสในหัวใจของตัว

แต่เวลาคนที่ไปอยู่กับครูบาอาจารย์แล้วเก่งกว่าครูบาอาจารย์ เห็นไหม“ทำอย่างนั้นไม่ถูก ต้องทำอย่างฉัน ทำอย่างฉัน” แล้วก็ออกมาอยู่กับสังคมเหมือนกัน อยู่กับสังคมก็ไปคลุกคลีคลุกคลีกับกระแสสังคมอย่างนั้นน่ะ แล้วมันเป็นจริงไหมล่ะ

ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นความจริงถ้าเป็นความจริงมันเป็นแบบนี้ไงเป็นความจริง สิ่งใดเป็นจริง สิ่งใดเป็นความจอมปลอม มันก็เป็นโลกธรรม ๘ เป็นเรื่องโลก โลกคือการโฆษณาชวนเชื่อถ้าการโฆษณาชวนเชื่อนี่หลอกตนแล้วก็หลอกคนอื่นหลอกคนอื่นที่ไหนล่ะ หลอกคนอื่น เห็นไหม

ดูสิ ดูหนังสือประวัติหลวงปู่มั่น ทั้งๆ ที่มันจะเป็นประโยชน์กับโลกทั้งๆ ที่มันจะเป็นประโยชน์กับโลกนะ ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติกับหลวงปู่มั่นมา ท่านได้ประโยชน์ของท่านมา ท่านเอาสิ่งนั้นเป็นตัวตั้งแล้วเอาสิ่งนี้ออกมาเพื่อประโยชน์กับสังคม

ไอ้แก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นาน มันเอาสิ่งนั้นมาเพื่อประโยชน์กับโลกธรรม ๘ มีลาภ เสื่อมลาภมียศ เสื่อมยศอยากได้ลาภอยากได้ยศอยากจะมีหัวโขนถ้าประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิตัวเองยังไม่เข้าใจ สมาธิตัวเองก็ทำไม่ได้แล้วเกิดปัญญาภาวนามยปัญญาก็ยังไม่เข้าใจอย่างนั้น ถ้าไม่เข้าใจอย่างนั้น จะเข้าใจคำสั่งสอนนั้นได้อย่างไรสัจธรรมอันนั้นมันเป็นเรื่องการปราบกิเลส ปราบทิฏฐิมานะในหัวใจของสัตว์โลก แล้วถ้าหัวใจของสัตว์โลก หัวใจของสัตว์โลกที่ยังไม่มีหลักมีเกณฑ์จะไปเข้าใจสิ่งนั้นได้อย่างไร

กระแสสังคมเขาสอนกันลัดสั้นๆ เขาสอนกันรักษากิเลสไว้รักษากิเลสไว้ให้อยู่ในเตาไฟ อย่าให้กิเลสมันแผดเผาไปข้างนอกแล้วก็ตั้งสติกันทำอย่างนั้น ไปตั้งสติทำแบบนั้นแล้วก็มาคุยโอ้อวด บอกว่าที่เราอยู่ได้ๆ อยู่ได้เพราะการปฏิบัติลัดสั้น มันทำให้อยู่ได้ๆ นี่ไง มันหลอกตนๆ แล้วมันหลอกตนอย่างนั้น พอมีทิฏฐิมานะ มีความเห็นอย่างนี้ขึ้นมา

ประวัติหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น มันเป็นการก้าวเดินไป เป็นอริยสัจเป็นบุคคล ๔ คู่โสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรคอรหัตตผล การก้าวเดินไปก็ไม่เข้าใจ การก้าวเดินไปก็ก้าวเดินไปไม่ถูก พอการก้าวเดินไปก็ก้าวไปไม่ถูก เพราะคนตาบอด คนตาบอดไม่มีหูมีตา มันไม่เข้าใจสิ่งใด ฉะนั้น เวลาไม่เข้าใจสิ่งใดยังหลอกตนแล้วหลอกคนอื่นตนเองก็ไม่รู้ตนเองก็ไม่เข้าใจ

แล้วประวัติครูบาอาจารย์ ประวัติของท่าน ธรรมะคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่นมันเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์ ดูสิ “โปฐิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือ โปฐิละใบลานเปล่าไปแล้วหรือ” เพราะอะไร เพราะจำมาเฉยๆ เป็นความจำ ไม่ใช่ความจริง นี่ก็เหมือนกันเวลาประวัติของครูบาอาจารย์มันเป็นความจริงจากการรจนาออกมาจากหลวงตา มันเป็นการรจนาออกมาจากครูบาอาจารย์หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ หลวงตาท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นที่หัวใจเคารพบูชาหัวใจที่ถึงธรรมในใจของหลวงปู่มั่น สิ่งที่เคารพบูชา สิ่งนี้ท่านเชิดชู ท่านเอามาเป็นประโยชน์กับเรา เอามาเป็นสดมภ์หลักของกรรมฐาน เอามาเป็นสดมภ์หลักของเราเพื่อประโยชน์กับชุมชน ประโยชน์กับสาธารณะประโยชน์กับสังคมสงฆ์ประโยชน์กับสังคมของชาวพุทธ

แต่เพราะว่ามันหลอกตนพอกิเลสมันหลอกตนเองเพราะตนเองมันโดนกิเลสหลอกแล้วก็บอกว่าเพราะกิเลสหลอก มันถึงปฏิบัติแล้วไม่เข้าใจสิ่งนี้ พอไม่เข้าใจสิ่งนี้ปั๊บ ตัวเองเข้าใจสิ่งใดล่ะ ตัวเองเข้าใจก็เข้าใจเรื่องกิเลสนี่มันหลอกตนๆหลอกตนจนตนเชื่อนะว่าตัวเองมีมรรคมีผล ก็เลยเอาความรู้ความเห็นของตัวเองเข้าไปวินิจฉัย พอเอาเข้าไปวินิจฉัยวินิจฉัยออกมาอย่างไรล่ะวินิจฉัยออกมาก็ผิดหมดล่ะ แล้วผิดหมด นี่หลอกคนอื่นหรือยัง

หลอกตนแล้วก็หลอกผู้อื่นผู้อื่นเขาไม่อยากให้หลอก ผู้อื่นเขามีหูมีตา เขาจะรักษาสิ่งนี้ไว้ ดูสิเวลาหลวงตาท่านศึกษาจนมาเป็นมหานะ แล้วท่านออกประพฤติปฏิบัติ อยากจะหาครูบาอาจารย์ ไปหาหลวงปู่มั่นหลวงปู่มั่นบอกเลย “มหา สิ่งที่มหาเรียนมาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนั้นประเสริฐมากเทิดใส่ศีรษะไว้เคารพบูชานะ สิ่งที่เป็นภาคปริยัติเป็นสัจธรรมธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเคารพบูชา เทิดใส่ศีรษะไว้นะเก็บใส่ลิ้นชักไว้แล้วลั่นกุญแจมันไว้ก่อน อย่าเพิ่งเอามาผนวกกับการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเอามาผนวกกับการประพฤติปฏิบัติมันจะเตะมันจะถีบกัน”

คือมันเป็นสัญญา คือมันเป็นจินตนาการเพราะเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่ใช่ของเรา ถ้าเรายึดมั่นถือมั่นมันก็จะหลอกตน หลอกตนในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาปฏิบัติไปจะเป็นอย่างนั้น“อ๋อ! นี่ไง นี่เป็นสมาธิอย่างนี้ไงอ๋อ! นี่ปัญญาอย่างนี้ไง นี่โสดาปัตติมรรคไง อ๋อ! นี่โสดาปัตติผลไง” นี่มันจะหลอกอย่างนี้

แล้วการปฏิบัติเรา เราปฏิบัติกัน ครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติมานะหลวงปู่มั่นท่านทุกข์ยากมามากท่านกระเสือกกระสนของท่านมา ทำสิ่งใดปฏิบัติไปแล้ว ลงมากรุงเทพฯ ก็มาปรึกษากับเจ้าคุณอุบาลีฯ เวลาอยู่ภาคอีสานก็ไปปรึกษากับหลวงปู่เสาร์หลวงปู่เสาร์บอกว่า “เราไม่มีความรู้อย่างนี้ ท่านต้องแก้ตัวท่านเอง”

ท่านกระเสือกกระสนของท่านมา ท่านเห็นความทุกข์ยากอย่างนี้มา ถ้าเห็นความทุกข์ยากอย่างนี้มาเวลาหลวงตาขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นเห็นไหม “สิ่งที่ท่านศึกษามาศึกษามาเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมากเทิดใส่ศีรษะไว้”

ไม่ใช่ดูถูกเหยียดหยามไม่ใช่เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะมีธรรมวินัยนี้มาได้อย่างไร ถ้าไม่มีธรรมและวินัยนี้มันจะมีศาสดาได้อย่างไร ถ้าไม่มีธรรมวินัย เราจะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือ เราจะมีรัตนตรัยได้อย่างไร เรามีรัตนตรัยอยู่ แต่ถ้ากิเลสมันหลอกมันหลอกตนอยู่นี่กิเลสเรายังมีอยู่นี่ เราจะเอาสิ่งนี้มาเคลมว่าเป็นสมบัติของเรา มันยังไม่เป็นสมบัติของเรา

เราเกิดมามีพ่อมีแม่ใช่ไหมพ่อแม่เลี้ยงเรามาใช่ไหม เราหาเงินหาทองยังไม่เป็นใช่ไหม เวลาเรามีการศึกษา เราโตขึ้นมา เรามีหน้าที่การงานของเราเราทำหน้าที่การงานของเราเองเราหาเงินหาทองได้เองใช่ไหม เราเลี้ยงตัวเองได้ใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษามาๆมีพ่อมีแม่ มีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก สิ่งที่เราศึกษามาแล้ว ศึกษามาเพื่อเป็นแนวทางแต่เรายังมีกิเลสอยู่ เรายังไม่ได้ปฏิบัติ

ถ้าเราจะปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติมาก่อนแล้ว ท่านถึงบอกว่า สิ่งที่เป็นคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่สูงส่งสิ่งที่น่าเชิดชู สิ่งที่น่าเคารพบูชาแต่เราควรจะเก็บเอาไว้ในลิ้นชักก่อน แล้วลั่นกุญแจมันไว้ อย่าให้มันออกมาออกมามันจะมาเตะมาถีบกับการปฏิบัติ จะให้ล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้แล้วท่านปฏิบัติไป พอปฏิบัติไปเดี๋ยวถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาแล้วมันจะเป็นอันเดียวกัน อันเดียวกันคือผลมันเป็นอันเดียวกันไง สิ่งที่มันเป็นอันเดียวกัน เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านเคารพบูชากันแบบนี้ไง แล้วถ้าปฏิบัติแล้วปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา

เวลาเป็นความจริงนะ พอทำความสงบของใจขึ้นมา หลวงตาท่านเล่าให้ฟังเวลาปฏิบัติเริ่มต้นจิตมันเสื่อม ทำสิ่งใดก็ทำไม่ได้เลยขึ้นไปหาท่าน “จิตมันเสื่อม ทำสิ่งใดก็ไม่ได้”

“อืม! จิตมันเหมือนเด็กๆเด็กๆ มันก็วิ่งเล่นของมันตามประสาของมันเด็กมันต้องมีอาหารของมันนะฉะนั้น เราอย่าไปสนใจกับเด็กนั้นเราควรจะดูแลอาหารของเด็กนั้น ถ้าเด็กมันหิวเดี๋ยวมันจะกลับมากินอาหารนั้นให้พุทโธๆ ไว้”

ท่านพยายามกลั้นใจนึกพุทโธตลอด พุทโธๆๆ จะทำอย่างไรก็พุทโธเพราะท่านเองท่านก็ดูจิตมาก่อนเหมือนกันท่านบอกว่าท่านปล่อยตามสบายพอปล่อยตามสบาย ทำสมาธิก็ทำได้ ไม่กำหนดพุทโธไง ไม่กำหนดแล้วปล่อยจิต แล้วก็มีสติตามไป มันก็ดีมันก็เลวอยู่อย่างนั้นน่ะ ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้นน่ะ เห็นไหมคนที่ปฏิบัติมาเขาปฏิบัติมาแล้วไอ้ลัดสั้นน่ะ แล้วปฏิบัติมาแล้ว เขาสลัดทิ้งมาแล้วแล้วตัวเองยังไปกำหนดอยู่อย่างนั้น เพราะอะไรเพราะมันมีอำนาจวาสนาทำได้แค่นั้น พอทำได้แค่นั้นแล้วก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ โดยให้กิเลสมันหลอกเอา หลอกตนๆหลอกตนจนตนเชื่อ หลอกตนจนตนมีความรู้ความเห็นแบบนั้น แล้วก็เอามาวินิจฉัย ตำรับตำราผิดพลาดไปหมดเลย

แต่หลวงตาท่านมีอำนาจวาสนาบารมีของท่าน เวลาท่านมีสิ่งใดขัดข้องหมองใจ ท่านมีสิ่งใดที่กระเทือนใจท่านมีสิ่งใดที่ท่านเอาชนะตนเองไม่ได้ ท่านเข้าไปหาหลวงปู่มั่นนะหลวงปู่มั่นท่านสั่งสอนนะ “จิตมันเหมือนเด็ก เด็กมันต้องกินอาหารเรารักษาอาหารมันไว้ เรากำหนดพุทโธไว้ๆ พุทโธจนจิตมันสงบได้”

เด็ก จิตใจที่เป็นเด็กมันก็เร่ร่อนของมันไปมันก็เที่ยวเล่นของมันไปตามอำนาจวาสนาของมันตามฤทธิ์ตามเดชของมัน พุทโธๆ พุทโธคือสติ พุทโธมีสติ มีคำบริกรรม คำบริกรรม พุทธานุสติ มีสติกำหนดพุทโธไว้ พุทโธๆ ถ้ามีสติกำหนดไว้ จิตที่มันเร่ร่อนไป ที่มันออกไปเที่ยวเล่น มันจะไปไหนล่ะ มันก็หดสั้นเข้ามาๆๆ หดสั้นเข้ามาจนพุทโธละเอียดมากขึ้นๆละเอียดจนพุทโธไม่ได้เลย นี่ไงเด็กมันกลับมากินอาหารไง เด็กมันกลับมาสู่พุทโธไง

เวลาสติมันเกิดที่ไหน มันเกิดที่จิต ถ้าเรามีจิต เรามีความรู้สึก ถ้าเราไม่กำหนดขึ้นมาจากความรู้สึก สติมันจะมีได้ไหม สติมันจะมีได้มันก็มีได้จากเราระลึกรู้ขึ้นมา เวลาพุทโธๆเวลาคำบริกรรมมันบริกรรมที่ไหนบริกรรมที่ใจเพราะใจมันนึกเอา พุทโธๆ ขึ้นมานี่อาหารของมันแล้วจิตที่มันเร่ร่อนไปเพราะมันเสื่อม ด้วยกิเลสมันขับมันไส พอกิเลสมันขับมันไสไปขึ้นไป มันขับมันไสโดยธรรมชาติของมาร มารมันอยู่กับใจอยู่แล้วมันเป็นอนุสัย มันก็ขับไสให้จิตใจเราเดือดร้อน

เด็กมันก็เที่ยวเล่นของมันตามประสาของมัน ถ้าเรากำหนดพุทโธๆ อาหารของมัน เดี๋ยวต้องมาที่นี่ เราพุทโธไว้ที่จิต เวลามันสงบเข้ามามันก็หดเข้ามาที่จิตเวลาจิตมันสงบขึ้นมา ท่านรำพันนะ เวลาไม่รู้ เวลาไม่รู้นะ สอนก็สอนเหมือนเด็กน้อยเลย เวลาเรียนมาจนเป็นมหา ทำอะไรก็ทำไม่เป็น สิ่งที่เวลาไปสอน ไปถามครูบาอาจารย์ครูบาอาจารย์ท่านอยู่ป่าอยู่เขาของท่าน แต่ท่านได้ล้มลุกคลุกคลานมาก่อนท่านได้มีเหตุมีผลมาก่อน เวลาท่านแนะวิธีการ นี่ไงปริยัติ ปฏิบัติไงเวลามันหดสั้นเข้ามาๆ เวลามันร่มเย็นเข้ามา มันก็ฟื้นคืนมา พอฟื้นคืนมานะ ตั้งแต่บัดนี้จะกำหนดพุทโธตลอด จะไม่ให้มันเร่ร่อนไปไหนเลย แล้วออกฝึกหัดใช้ปัญญาเวลาจิตมันสงบขึ้นไปแล้ว มันนั่งตลอดรุ่ง มันเห็นกายของมัน มันพิจารณาของมันเห็นไหม บุคคล ๔คู่ มันมีเหตุมีผลถ้ามันมีเหตุมีผลขึ้นมา มันถึงพัฒนาของมันขึ้นไป ถ้ากิเลสมันไม่หลอก

ถ้ากิเลสมันหลอก ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย ลัดสั้น ดูจิต รักษาจิตไว้ มันขี้เกียจ คนขี้เกียจ คนมักง่ายคนเกียจคร้าน มันจะเอาคุณงามความดีมาจากไหน เวลากิริยาปากก็พูดดี กิริยาท่าทางก็อยู่ภายนอก แต่หัวใจมันไม่ทำหัวใจมันไม่ทำหัวใจมันไม่ทำเพราะมันมีทิฏฐิมานะ เวลาลัดสั้นๆ ก็รักษาใจไว้แค่นั้น พอรักษาใจตัวเองไว้ได้ก็รักษาเพศไว้ได้รักษาใจของตัวไว้ไม่ให้มันส่งออกไปนอก เวลาออกมาเคลื่อนไหวก็ออกมาเคลื่อนไหว นี่หน้าที่ของสงฆ์ๆไอ้นี่โลกธรรม ๘ มีลาภ เสื่อมลาภมียศ เสื่อมยศ มันเรื่องของโลก มันไม่ใช่เรื่องของการปฏิบัติ

ถ้าเรื่องของการปฏิบัตินะหน้าที่การงานก็หน้าที่การงานนะถึงคราว ดูสิ ในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า“เว้นไว้แต่สมมุติ” ห้ามภิกษุทำนั่นๆๆ แต่เว้นไว้แต่สมมุติ หน้าที่การงานของสงฆ์เขายังเว้นไว้แต่สมมุติ สมมุตินี้เป็นผู้ควบคุมดูแลรักษา คำว่า “สงฆ์” มันมีหมู่มีคณะ มีการรับผิดชอบมันก็มีของมัน

ฉะนั้นเหมือนกัน หน้าที่การงานก็เหมือนกัน ถ้าเราทำหน้าที่การงานทางโลกมันก็เรื่องทางโลกแต่ถึงเวลาเราปฏิบัติ เพราะมันทรัพย์สมบัติของเรานะ มันเป็นอริยทรัพย์นะ ทรัพย์ของใครของมันนะ หน้าที่ของสงฆ์เราก็ช่วยเหลือสงฆ์ แต่เวลาหน้าที่ของสงฆ์เวลาทำไปแล้วมันก็เหนื่อยยากคนเรานะ เวลาทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำมันทุกข์ยากทั้งนั้นน่ะ คนอาบเหงื่อต่างน้ำมันต้องพักผ่อน มันก็ต้องมีอาหารกิน

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจที่มันออกทำหน้าที่การงานแล้ว ถึงเวลาปฏิบัติต้องมี ถ้าเวลาปฏิบัติมีขึ้นมา ปฏิบัติแล้วมันเป็นความจริงขึ้นมา อย่าหลอกตนอย่าหลอกว่ารู้ ถ้าหลอกว่ารู้แล้วนี่หลอกผู้อื่น ถึงทำให้เสียหายกันสิ่งที่จะเป็นสดมภ์หลักของกรรมฐาน ถ้าไม่รู้อย่าเพิ่งวินิจฉัยถ้าไม่รู้ อย่าตีความ ถ้าเราตีความ เราตีความเป็นเรื่องส่วนตัวของเราสิอย่าไปเอาทรัพย์สมบัติ เอาเพชรนิลจินดาของครูบาอาจารย์เราที่ท่านเก็บหอมรอมริบมาจากหลวงปู่มั่น

ท่านเก็บหอมรอมริบเพชรนิลจินดาไว้เป็นเครื่องประดับกับวงกรรมฐาน ถ้าใครมีอำนาจวาสนาบวชเป็นพระเข้ามาแล้วศึกษา แล้วประพฤติปฏิบัติแล้วทำให้จริงจังเขาจะได้เพชรนิลจินดาขึ้นมาจากหัวใจของเขา หัวใจของเขาถ้าเขาทำตามความเป็นจริง มันจะมีเพชรนิลจินดาขึ้นมาที่นั่น

แต่ด้วยการวินิจฉัยของเรา กิเลสมันหลอกตนแล้วยังหลอกผู้อื่น โดยเอามาวินิจฉัยทำให้มันด้อยค่าไป ต่อไปมันก็กลายเป็นเพชรอัด มันก็เป็นพลาสติก มันไม่มีเพชรจริงแล้วไม่มีเพชรจริงเพราะอะไรเพราะตำรามันสอนอย่างนั้นเพราะผู้หลอกตนแล้วหลอกผู้อื่นความหลอกมันจะมีความจริงมาจากไหนล่ะ ถ้าเป็นความจริงนะสิ่งที่เรายังไม่รู้แขวนไว้ก่อน วางไว้นั่น แล้วเราทำความจริงของเราเข้ามา อย่าหลอกตัวเอง ถ้าไม่หลอกตัวเองทำความสงบของใจให้ได้ ถ้าใจมันสงบเข้ามานะ

ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้แล้ว ถ้ามันฟุ้งซ่าน มันทุกข์มันยาก โดยสัญชาตญาณกิเลสมันทำหน้าที่ของมันอย่างนั้นธรรมที่มีรสมีชาติธรรมที่มีความสุขมีความสงบ มีความระงับ พุทธานุสติ ธัมมานุสติสังฆานุสติกรรมฐาน ๔๐ห้อง วิธีการทำความสงบของใจ ๔๐ วิธีการ ถ้าวิธีการทำความสงบของใจ ๔๐ วิธีการ เราก็ทำของเราสิ เราทำให้มันสงบเข้ามา ให้มันมีเนื้ออรรถเนื้อธรรม ให้มันมีข้อเท็จจริงกับใจเราขึ้นมา ถ้าเรามีข้อเท็จจริงกับใจเราขึ้นมานะ มันจะกราบแล้วกราบเล่า เวลาหลวงตาท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านกราบขนาดนั้นน่ะเห็นไหม ท่านกราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า มันซาบซึ้ง ถ้ามันซาบซึ้งนะ มันซาบซึ้งแล้วเราจะไปแก้ไขไหม เราจะวินิจฉัยไหมเราจะน้อมมาให้เป็นความเห็นของเราไหม

นั่นมันเพชรนิลจินดาของครูบาอาจารย์เราที่ท่านหามานะเพชรนิลจินดาที่ครูบาอาจารย์หามา ท่านประดับไว้เป็นเกียรติกับศาสนานะ ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เวลาเราปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้ามันสงบเข้ามา เรารู้เราเห็นของเรา ถ้ามันเป็นความจริง มันมีเนื้ออรรถเนื้อธรรม ถ้าเนื้ออรรถเนื้อธรรมในใจมันมี มันจะเข้าใจเนื้ออรรถเนื้อธรรมของครูบาอาจารย์หมดมันจะเข้าใจเรื่องเพชรนิลจินดาว่ามันสมควรอย่างใด

รูป รสกลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร แล้วเราจะทำอย่างไรให้หัวใจเราพ้นจากการบีบคั้นของมาร ถ้าเราพ้นจากการบีบคั้นของมาร ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาได้ เรารักษาใจของเราอย่างไร ถ้าเรารักษาไม่ได้มันก็เจริญแล้วเสื่อมเจริญแล้วเสื่อมเป็นเรื่องธรรมดาถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เรารักษาของเราไว้ เราพยายามทำของเราไว้ให้มันมั่นคงไว้ เอกัคคตารมณ์จิตตั้งมั่นๆ คนที่จิตไม่ตั้งมั่น คนที่ไม่มีกำลังจะไปทำสิ่งใด ถ้าจิตตั้งมั่นแล้วน้อมไปน้อมไปเห็นกายน้อมไปเห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรม ถ้าน้อมไป นี่งานของมันเกิดขึ้น

คนไม่มีหน้าที่การงานทำไม่อาบเหงื่อต่างน้ำ มันจะเอาผลตอบแทนมาจากไหน ถ้าทำความสงบของใจ พลังจิตๆ ทำความสงบของใจ พุทโธๆๆจนจิตสงบเท่านั้นนี่เคยทำได้แค่สมาธิ แล้วสมาธิก็ไม่เป็นสัมมาเสียด้วย ถ้าสมาธิเป็นสัมมา มันไม่เป็นฤๅษีชีไพร ในสมัยพุทธกาลฤๅษีชีไพรเขาทำสมาธิอยู่แล้ว เขาได้สมาบัติ ๘ อยู่แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธไว้หมดเลย กลับมากำหนดอานาปานสติ พอจิตสงบแล้วรำพึงออกไปเห็นกายเห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ให้เห็นกิเลส ให้ค้นคว้าหากิเลสถ้าค้นคว้าหากิเลส มันจะก้าวเดินไป บุคคล ๔คู่ มันก้าวเดินเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปมันเป็นมรรคเป็นผลของมันขึ้นมา

แต่ถ้าเราไม่มีมรรคมีผลขึ้นมา นี่พลังจิตๆแค่นั้น ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านั้นเพียงแต่ว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อว่ามนุษย์ที่ทุกข์มนุษย์ที่มีการบีบคั้นในใจ กับมนุษย์ที่มีความสุข เท่านั้นเอง พูดเท่านี้ แล้วบอกว่าต่อไปพลังจิตมันเข้มแข็งขึ้นไป มันจะปราบปรามกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป แล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ

หลอกตนหลอกตนแล้วก็หลอกคนอื่นทำลายคนอื่น นั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ไอ้พวกที่ไม่รู้สิไม่รู้แล้วเอามาทำลายเลย มันยิ่งน่าเกลียด ยิ่งน่าเกลียดมาก เพราะอะไร เพราะดูสิเวลาเข้าไปอยู่กับครูบาอาจารย์หลวงปู่ขาว หลวงตาไปอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาขนาดไหน

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราไปอยู่กับครูบาอาจารย์ ท่านเมตตา เมตตาทางอะไร ถ้าเมตตา เมตตาทางโลกนี่นะใครก็เมตตาได้เมตตาทางโลกดูรัฐสวัสดิการเขาดูแลยิ่งกว่านี้อีก แต่เมตตาทางธรรมๆเพราะต้องส่งเข้าไปสู่ใจ ถ้าใจมีหลักมีเกณฑ์มันจะเป็นประโยชน์กับบุคคลคนนั้น ถ้าใจมีหลักมีเกณฑ์มันมีอรรถมีธรรม มันมีเนื้อหาสาระ ถ้ามีเนื้อหาสาระขึ้นมา คนที่มีเนื้อหาสาระเป็นผู้นำได้ไหม

คนที่ไม่มีเนื้อหาสาระ ข้างในมันกลวง ข้างในมันว่างเปล่าสิ่งที่ว่างเปล่า แล้วทำอย่างไรล่ะ ถ้าว่างเปล่าแล้วสงบเสงี่ยมอยู่ในความว่างเปล่านั้น แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน มันก็ยังน่าเคารพบูชา เพราะอะไร เพราะมันเป็นอำนาจของวาสนา เป็นจริตนิสัยของใจอย่างนั้น แต่ข้างในมันว่างเปล่าแล้วอยากจะมีหัวโขนอยากจะให้คนเคารพศรัทธาไม่มีผลงานก็เอาสิ่งนี้มาเป็นผลงาน สิ่งที่มันดีงามอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำให้มันยุ่งวุ่นวาย ไม่ต้องเอาสิ่งที่เป็นเพชรนิลจินดาของครูบาอาจารย์ที่ท่านทำของท่านมาแล้ว ดูสิ เวลาพุทธวิสัย วิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะมีปัญญามากไปกว่านั้น นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นครูใหญ่ของเรา ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่แล้วมีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้คุณธรรมมาๆ ท่านก็มีคุณธรรมของท่านท่านก็มีความเป็นจริงของท่าน แล้วเราไม่มีความรู้เราไปวินิจฉัยได้อย่างไร เพราะเราไม่มีความจริงในหัวใจของเรา เราถึงเอาสิ่งนั้นมาเพื่อจะเป็นผลงานเพื่อให้สังคมเขายอมรับศรัทธาแล้วมันเป็นความจริงไหม มันทำเสียหายไปหมดเลย สิ่งที่เสียหายเพราะกิเลสมันหลอกนะ

คนเราทำสิ่งใดไม่ต้องการให้สังคมรู้ว่าเราโง่หรือฉลาด ทุกคนจะอวดว่าตัวเองฉลาด เป็นผู้รู้ๆแต่เพราะกิเลสมันหลอกตนเพราะตัวเองไม่รู้ถึงได้ทำออกไปถ้าเรารู้ เราจะแสดงความชั่วร้ายของเราออกไปให้สังคมเห็นไหม เว้นไว้แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆท่านทำเป็นอุบายถ้าท่านทำเป็นอุบายนะ อุบายให้คนเห็น ให้คนได้คิด ถ้าอุบายให้คิด นั่นน่ะครูบาอาจารย์ท่านประเสริฐประเสริฐอย่างนั้นเลย แต่ผู้ที่ไม่มีคุณธรรมในความเป็นจริง ทำสิ่งใดไปเขาเห็นหมดล่ะ

ธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่อแสดงธรรม ถ้ามีอรรถมีธรรม การแสดงธรรม การวินิจฉัยสิ่งใด การวินิจฉัยเรื่องมรรคเรื่องผล การวินิจฉัยเรื่องเส้นทางการดำเนิน เรื่องมรรค มันชัดเจนมาก แต่ถ้าคนเราวินิจฉัยผิดพลาดมาตลอด วินิจฉัยไปตรงไหนผิดทุกที วินิจฉัยไปตรงไหนผิดทุกทีแต่ก็ไม่มีใครอยากทำ ไม่มีใครอยากทำ ไม่มีใครอยากทำให้เสียหาย ด้วยหมู่ด้วยคณะเขาก็พยายามเตือนกันพยายามสะกิดบอกกัน แต่สะกิดบอกกันแล้วก็ควรจะหยุดสิ แต่นี้ทำไมทำลายต่อเนื่อง ทำลายสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นสดมภ์หลักของศาสนา เป็นสดมภ์หลักของกรรมฐาน ทำไมเราทำลายต่อเนื่อง แล้วทำลายต่อเนื่องแล้วมันผิดตรงไหนล่ะมันผิดตรงไหนไม่มีใครรับรู้ ผิดตรงไหน

เพราะมันหลอกตนไงเพราะหลอกตนถึงไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกไง เพราะไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก แล้วหลอกคนอื่นต่อไง คนที่วุฒิภาวะมันด้อยเขาก็เชื่อถือกันไปไง แล้วเชื่อถือน่ะ ในเมื่อตำรามันผิดแผนที่ผิด คนที่เดินตามแผนที่นั้นมันจะไปไหนล่ะ แต่ถ้าแผนที่เรารักษาให้มันถูกไว้ คนที่มีอำนาจวาสนา คนที่มีกำลังเขาเดินได้ เขาพยายามขวนขวายของเขาได้ เขาจะไปสู่เป้าหมายได้

แต่ถ้าคนเขาไม่มีอำนาจวาสนา คนที่เขาอ่อนแอ คนที่มักง่าย เขาก็นั่งอ่านแผนที่อยู่นั่นน่ะเขาก็วิตกอยู่นั่นน่ะว่าเราจะทำได้หรือทำไม่ได้แผนที่จนเน่าจนเปื่อยแล้วเขายังไม่ก้าวเดินของเขาเลย อันนี้มันก็เป็นอำนาจวาสนาของเขามันไม่เกี่ยวกับเรื่องแผนที่ใช่ไหม มันไม่เกี่ยวกับคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่น มันไม่เกี่ยวกับการสั่งสอนของประวัติที่ได้เก็บหอมรอมริบกันมา มันเป็นอำนาจวาสนาของเขา เราไม่ต้องไปสงสารเขาหรอกเพราะเราสงสารเขา เราพยายามจะตีความให้มันสะดวก ให้มันง่าย แล้วตีความตามความเห็นตีความตามความพอใจ ถ้ามีทิฏฐิมานะ เพราะกิเลสมันหลอกตน ตนมีวุฒิแค่นี้ตนมีความสามารถแค่นี้ ก็จะบอกว่าต้องเป็นอย่างที่ตนรู้ๆ นี่ไงแล้วแสดงออกไปมันก็เสียหาย มันเสียหายตรงไหนล่ะ มันเสียหายกับประชาชนทั้งหมดมันเสียหายกับผู้ที่ปฏิบัติทั้งหมดแล้วคนที่รู้ล่ะ มีครูบาอาจารย์ท่านเห็น ท่านถึงสังเวชไง ท่านสังเวชมาก พอสังเวชขึ้นมา พอจะแก้ไข แก้ไขก็บอกว่าไม่ไว้หน้ากัน

อ้าว! โจรมันจะปล้นบ้าน ไว้หน้าโจรใช่ไหมโจรมันปล้นอยู่นี่ไว้หน้ามันให้มันปล้นให้หมดใช่ไหม ถ้าโจรจะปล้นบ้าน เราก็บอกว่าโจรมันปล้น มันจะเสียหายตรงไหนล่ะ แล้วเสียหายแล้วเราก็มาซ่อมแซมบ้านเรือนของเราเอง ทรัพย์สมบัตินั้นเราก็หากลับมา แล้วใครใช้สอยเขาก็ใช้สอยของเขา นี่ถ้าไม่หลอกตน

การหลอกตน กิเลสมันหลอก น่าเห็นใจมาก ฉะนั้น สิ่งที่ทำสิ่งใด เราไม่ควรจะผลีผลามทำก่อน เราควรจะวินิจฉัยให้มันถูกต้องก่อน ถ้าวินิจฉัยให้มันถูกต้อง มันเป็นเรื่องจริงนะ เรื่องจริงคนที่ปฏิบัติ จิตใจที่มันยังไม่สูงส่งพอ มันสงสัยไปตลอดล่ะ ถ้าเรายังมีความสงสัย ยังไม่มีความแน่ใจเราทำลงไปทำไมเราทำลงไปทำไมถ้ามันยังสงสัยอยู่น่ะ

ถ้ามันสงสัยอยู่ เราพยายามแก้ความสงสัยของเราก่อนสิ เราพยายามกลับมาดูใจของเรากรรมฐาน ๔๐ห้อง ทำให้มันสงบลงมาให้ได้ถ้ามันสงบลงมาได้ สิ่งที่ตัวเองรู้ตัวเองเห็น ตัวเองที่รักษาใจอยู่ได้ ที่ลัดสั้น ที่ตัวเองทำอยู่นั่นน่ะจะรู้เลยว่าสิ่งนี้เป็นมิจฉา มิจฉาเพราะมันไม่ลงสู่ความจริง ถ้ามันลงสู่ความจริงนะสัมมาสมาธิ แค่สัมมาสมาธิมันระลึกรู้ ถ้าคนมีสัมมาสมาธิมันจะเข้าใจเรื่องเพชรนิลจินดามันจะรู้เลยนะ ถ้าสัมมาสมาธิ ถ้าเรายังก้าวสู่ไม่ได้ใช่ไหม เราก็เห็นร่องเห็นรอยถ้าเห็นร่องเห็นรอยนะ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” คนที่ปฏิบัติไป อริยสัจมันมีอันเดียว มันไม่มีสองมีสามหรอก อริยสัจมีหนึ่งเดียว ถ้าเราปฏิบัติขึ้นไปถึงหนึ่งเดียวนั้น เราจะเข้าไปสู่สัจธรรม ถ้าสัจธรรมนะ

ทำสมาธิได้ เราทำสมาธิได้ ถ้าทำสมาธิได้รักษาสมาธิไว้ ถ้ามันสิ้นอายุขัย มันก็ไปเกิดบนพรหมแล้วทำบุญกุศลปฏิบัติธรรมบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์“อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสแก่เราเลย”

แล้วเราปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานอยู่นี่ เราก็น้อยเนื้อต่ำใจว่าเราปฏิบัติแล้วเราจะได้มรรคผลเมื่อไหร่ ถ้าได้มรรคผลเมื่อไหร่ก็ตรงนี้ไง ตรงที่เราปฏิบัติบูชามันได้บุญกุศลมากที่สุด

พาหิยะฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวเป็นพระอรหันต์ เพราะเขาได้ขึ้นไปบนหน้าผาตัดในอดีตชาติของเขาไปปฏิบัติกันบนนั้น ๗ คน แล้วเขาถีบพะองของเขาทิ้ง มีผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ให้เหาะลงมาๆ เหาะลงมาได้ ๑ เป็นอนาคามี ๑ แล้วตายบนนั้น ๕ นี่พาหิยะเขาปฏิบัติบูชาๆ เพราะเขาปฏิบัติบูชา เขาได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีในใจของเขา เวลาเขามาเกิดในชาติที่มาพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็มีอำนาจวาสนาของเขา เขาเป็นพ่อค้าเรือแตกจากกลางทะเลเข้ามาสู่ฝั่ง คนนับหน้าถือตา เพื่อนของเขามายับยั้งกลางอากาศไง“เธอไม่ใช่พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดแล้ว ให้ไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวเป็นพระอรหันต์เลย

นี่เขาปฏิบัติง่ายรู้ง่ายแล้วก็เอามาอ้างมาอิงกัน แต่ไม่ได้บอกว่าเขาปฏิบัติบูชามาขนาดไหนแล้วเราเองถ้าเรามีสติปัญญา เราไม่ให้กิเลสหลอก เราไม่ให้กิเลสหลอกเรา แล้วเราก็ไม่หลอกคนอื่นด้วยฉะนั้น ถ้าเราไม่ให้กิเลสหลอกเราเราก็พิสูจน์ของเราสิ เราใช้เชาวน์ปัญญาของเราสิเชาวน์ปัญญาของเรามันเป็นสมบัติของเรา

เวลาใจนี้เป็นของเรานะปฏิสนธิจิตปฏิสนธิวิญญาณเวียนตายเวียนเกิดของเรา แล้วอวิชชาพญามารมันครอบงำอยู่ปัจจุบันนี้เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์เกิดเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกายกับใจ ถ้ามีกายกับใจ เราจะประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนี้ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติอยู่นี่ เราใช้ปัญญาของเราแยกแยะ เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พาหิยะฟังเทศน์หนเดียวนั้นเป็นอำนาจวาสนาของพาหิยะ ของเราเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นอำนาจวาสนาของพาหิยะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ อัครสาวกในสมัยพุทธกาลเป็นพระอรหันต์ เราก็อยากเป็นพระอรหันต์ เอาสมบัติของเขามาแล้วเป็นของเราไหมไม่

นี่หลอกตน หลอกตนเพราะไม่ใช่สมบัติของเราไงหลอกตนเพราะว่า สมบัติของคนอื่น แล้วเราพยายามจะมายัดเยียดใส่ในหัวใจของเรา มันเป็นไปไม่ได้ความสะอาดบริสุทธิ์เฉพาะตนๆ ต้องจิตของเราเอง จิตปฏิสนธิวิญญาณของเราถ้ามันประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันมีข้อเท็จจริง มีอรรถมีธรรมของมันขึ้นมา มันก็จะเริ่มสงบระงับเข้ามาเวลามันออกฝึกหัดใช้ปัญญามันใช้ปัญญาออกไป มรรคญาณมันเกิด ธรรมจักรมันเกิด ปัญญามันเกิด ภาวนามยปัญญามันเกิด มันก็เข้ามาชำระล้างในหัวใจของเรามันก็ชำระล้างกิเลสของเรา มันก็ถอดถอนกิเลสของเรา เวลาถอดถอนกิเลสของเราขึ้นไปกิเลสมันออกเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปเราจะไม่พูดหรือทำอย่างที่เขาทำกันเลย ถ้าเรารู้จริงเห็นจริง เราทำอย่างนั้นไม่ได้เราจะไปทำเป้าหมาย ทำเส้นทางดำเนินที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านดำเนินมาท่านได้สร้างวาสนามา

หลวงปู่มั่นท่านบอกว่าท่านปรารถนาพระโพธิสัตว์เหมือนกัน หลวงปู่เสาร์ท่านปรารถนาพระปัจเจกพุทธเจ้า คนที่ปรารถนามาอย่างนั้น คนที่มีอำนาจวาสนาอย่างนั้น ท่านถึงมีสติปัญญารักษาตัวท่าน รักษาหัวใจของท่านแล้วพยายามพาหัวใจของท่านฝ่าดงพงไพร คือกิเลสตัณหาความทะยานอยากของใจ ไม่ให้กิเลสมันหลอกในใจ ฝ่าดงพงไพรจากการธุดงค์จากชีวิตจริง แล้วเวลาภาวนาขึ้นมา มีศีล มีสมาธิมีปัญญา มีมรรคมีผลขึ้นมาในหัวใจ มีอรรถมีธรรมขึ้นมา ฝ่าดงพงไพรกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจ ท่านทำของท่านมาขนาดนั้น

ถ้าสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านมา สิ่งที่ทำมาเพราะท่านล้มลุกคลุกคลานมาท่านทำสิ่งนั้นมาเพราะมันมีเหตุมีผลตามความเป็นจริงของท่านขึ้นมา แล้วเราเป็นลูกศิษย์ลูกหา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราต้องทำความจริงของเรา ถ้าความจริงมันเกิดขึ้นมา มันเคารพบูชาๆเคารพบูชามากมันเห็นคุณไงเห็นคุณ

ดูสิ เราเดินทางกัน รัฐบาลเขาตัดถนนหนทาง ๔เลน ๘ เลน ๑๐ เลนแล้วให้เราเดินทางสะดวกสบายถ้ารัฐบาลไหนเขาโกงกิน เขาไม่ทำเขาคอร์รัปชันเอาแต่งบประมาณนั้นไปเป็นของตน ถนนหนทางนั้นจะชำรุดทรุดโทรมเราจะไม่มีหนทางให้เดิน เราคิดถึงใคร

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านดำเนินการมาก่อน ข้อวัตรปฏิบัตินี้คือถนนหนทาง ข้อวัตรปฏิบัติ คำสอนของท่านมันเป็นเหมือนถนนหนทางให้จิตมันก้าวเดินไป จิตมันก้าวเดินไป เวลาธุดงค์ไป ธุดงค์ไปป่าไปเขา เราธุดงค์ไปด้วยชีวิตของเราด้วยความเป็นอยู่ของเรา ถ้าจิตใจเราก้าวเดินไปนะ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญานะ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรคอรหัตตผล มันจะก้าวเดินของมันไปด้วยแนวทางด้วยถนนหนทางที่หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นที่ท่านได้บุกเบิกมาท่านได้วางไว้นะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์“อานนท์ เธอปฏิบัติบูชาเถิดอย่าอามิสบูชาเลย” ปฏิบัติบูชาก็ถนนหนทาง ด้วยมรรคด้วยผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยธรรมด้วยวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งได้สอนไว้ ด้วยบุกเบิกไว้ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ท่านก็สั่งสอนและอบรมของท่าน เวลาท่านนิพพานไป ก็มีครูบาอาจารย์ของเราเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาต่อเนื่องกันมาแต่ธรรมวินัยยังมีอยู่ๆ แต่ผู้รู้จริงยังไม่มี ถ้ามันมีอยู่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นไม่ต้องลำบากขนาดนั้นแต่มันก็เป็นเรื่องผลของวัฏฏะๆ มันเป็นเวรเป็นกรรมไง

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” เวลาเจริญขึ้นมา ใครจะเจริญ ทั้งๆ ที่มีธรรมวินัยนะ มีศาสดานะ มีธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสร้าง ท่านปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ไงท่านปรารถนามาท่านถึงมีเชาวน์มีปัญญา ไอ้พวกเราสาวกสาวกะได้ยินได้ฟัง เราต้องพยายามรักษาผลประโยชน์ของสังคม แนวทางปฏิบัติมันเป็นผลประโยชน์ของชาวพุทธเรา แล้วเรารักษาผลประโยชน์นั้นไว้กับสังคมของเรานั้นเป็นประโยชน์สังคม เป็นเรื่องข้างนอก เรื่องข้างนอกคือปริยัติ เรื่องข้างนอกคือทางวิชาการ ถ้าเราเห็นภัยตรงนั้นเราต้องรีบขวนขวายแล้วเห็นไหม ผู้ที่เป็นเจ้าของ

หลวงตาเพิ่งเสียชีวิตไป ๒ปี เขาทำกันได้ขนาดนั้น เขาทำลายกันได้ขนาดนั้น ให้คนได้สับสน งงๆสับสนปนเปว่าจะเชื่อสิ่งใด จะเชื่อทางไหน จะเชื่อสิ่งที่หลวงตาท่านรจนาไว้ ท่านทำของท่านไว้ หรือจะเชื่อสิ่งที่เขาเอาเข้ามาแอบแฝงเอาเข้ามาเจือปนเอาเข้ามาทำอย่างนั้น ให้เห็นภัยสิ แค่ ๒ ปีนะแล้วถ้าเราเห็นว่าเป็นแบบนั้น ตอนนี้เราก็พยายามจะช่วยเหลือกันพยายามทำให้มันชัดเจนขึ้นมา

แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือหัวใจของเรา สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือการภาวนาของเรา เราต้องทำของเรา นี่มันเตือนเราไง เตือนเราว่า แมวไม่อยู่หนูมันร่าเริงครูบาอาจารย์ของเราเพิ่งเสียไป ๒ ปี ไอ้พวกหนู ไอ้พวกหลงตนมันทำลายได้ขนาดนั้น แล้วถ้าต่อไปเราจะเอาอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์ล่ะ

ถ้าเป็นหลักเป็นเกณฑ์เพราะปัจจุบันนี้เพราะเรายังมีชีวิตกันอยู่ใช่ไหม เพราะเราเป็นลูกศิษย์หลวงตากันใช่ไหมเพราะเราได้เห็นได้ยินมา เราถึงรู้อะไรถูกอะไรผิดแล้วเขาทำต่อหน้า เราถึงได้รู้แล้วถ้าเวลามันผ่านไป ถ้าไม่มีใครรู้ใครเห็น มันจะไปไหนล่ะ

เอาสิ่งนี้มาเตือนตัวเราเอาวิกฤติของสังคมมาเตือนจิตใจของเราให้เข้มแข็ง เอาวิกฤติของสังคมมาเตือนตัวเราให้ขวนขวายอย่าชะล่าใจชีวิตนี้สั้นนักชีวิตนี้มีค่านักชีวิตนี้เราได้รู้ได้เห็น เราได้เห็นครูบาอาจารย์มาด้วยกัน แล้วครูบาอาจารย์ท่านก็ผ่านล่วงไปแล้ว ชีวิตนี้มีค่านัก ชีวิตนี้ต้องประพฤติปฏิบัติ เตือนหัวใจให้มันตื่นตัว อย่าขี้เกียจขี้คร้าน

ถ้าขี้เกียจขี้คร้าน ต่อไปถนนหนทาง คนจะทำให้มันล่มจม ถนนหนทาง คนจะทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน นี่ถนนหนทางมันยังไฮเวย์นะมรรคผลนิพพานยังมีอยู่ให้เราก้าวเดินนะ ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่งด้วยประวัติหลวงปู่มั่น ประวัติของครูบาอาจารย์ของเราเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เป็นถนนหนทางให้เรา มันเป็นภาษาปัจจุบันมันเป็นภาษาที่เราเข้าใจได้ง่าย เราศึกษาแล้วเราพยายามขวนขวาย เราพยายามทำของเราให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา

ประโยชน์เรา ประโยชน์ท่าน ประโยชน์เรานะ รักษาใจของเราให้ได้ก่อน ถ้าทำใจของเราได้นะ เราจะช่วยเหลือสังคมได้โดยที่ไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป แต่ถ้าเราก็ทุกข์เราก็ร้อนแล้วเราจะช่วยเหลือสังคมวิกฤติสังคม เราช่วยเหลือสังคมเราก็ทุกข์ร้อนไปด้วย อยู่กับสังคมโดยไม่ทุกข์ไม่ยาก อยู่กับสังคมดูแลเพื่อผลประโยชน์กับชาวพุทธ

สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ ครูบาอาจารย์ท่านสละชีวิตของท่านทำมาเพื่อสังคม เพื่อสังคมชาวพุทธ เพื่อหลักเพื่อเกณฑ์ของกรรมฐานเรา เราจะทำต่อไปเตือนหัวใจเราให้เรามีสติปัญญา อย่าประมาทกับชีวิต เอาชีวิตนี้ทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง