ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ทำใจให้ดี

๗ ธ.ค. ๒๕๕๖

 

ทำใจให้ดี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่อง “ขอวิธีแก้อาการตกภวังค์ หรืออาการซึมหลับในด้วยค่ะ”

 

กราบนมัสการพระอาจารย์ที่เคารพ กราบขอโอกาส ขอวิธีการแก้อาการตกภวังค์หรืออาการซึมหลับในด้วยค่ะ

 

๑. เวลานั่งสมาธิแล้วสังเกตได้ว่ามีอาการคอตก คอพับ กายน้อมลง รู้สึกตัวก็ยืดขึ้น แต่อีกไม่นานก็ก้มอีก ก็พยายามขึงคอไว้ให้กายตรง คอตรง แต่ก็ไม่หาย จึงปล่อยให้นั่งก้มกายน้อมต่ำอยู่อย่างนั้น แสดงว่าขาดสติใช่หรือไม่คะ ขอวิธีแก้ไขให้ผลถาวรด้วยค่ะ

 

๒. การที่เราทำความเพียรมาก ปฏิบัติมาก มีเวลาพักผ่อนน้อย นอนน้อย นอนดึกตื่นเช้า นอน ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ตื่นตี ๒ เพื่อลุกขึ้นมาเดินจงกรม นั่งสมาธิ ส่งผลให้เวลานั่งสมาธิมีอาการซึมหลับในใช่หรือไม่ มีวิธีแก้อย่างไร

 

๓. เมื่อปฏิบัติธรรมเข้าถึงระดับต้นๆ แล้ว ยังมีนิวรณ์เข้ามาครอบงำได้อยู่อีกหรือไม่ ข้อนี้ขอคำตอบชัดๆ ค่ะ

 

ตอบ : คำตอบชัดๆ เอาตั้งแต่ข้อที่ ๑ พื้นฐานโดยการนั่งสมาธินี่เราศึกษามา เราศึกษาแล้วเราเห็นผลนะ เราเห็นผล เพราะในปัจจุบันนี้สังคมโลก ทางวิทยาศาสตร์เริ่มเข้าใจแล้วว่าคนเรามันจะสุขมันจะทุกข์ มันอยู่ที่ใจ ถ้ามันสุขมันทุกข์อยู่ที่ใจ เขาเริ่มแสวงหากัน ในทางตะวันตกเขา เขามาศึกษาพระพุทธศาสนากัน เขาต้องการสมาธิ ต้องการทำความสงบของใจ

 

แล้วต้องการสมาธิ ดูสิ ดูทางโยคีเขาไปเผยแผ่ในทางตะวันตก เขาไปทำสมาธิกันๆ แล้วพระเราก็ไปเผยแผ่ซ้ำเขา ก็บอกว่าศาสนาพุทธจะทำสมาธิ ศาสนาพุทธต่างๆ แต่เขาลืมไป ลืมไปว่าศาสนาพุทธ ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีสมาธิแล้วเราจะฝึกหัดใช้ปัญญาต่อไปข้างหน้า ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาต่อไปข้างหน้า ปัญญาอันนั้นมันจะทำให้หลุดพ้นจากกิเลสไปได้เลย

 

ฉะนั้น คนเราถ้าไม่มีพื้นฐานในการปฏิบัติ ไม่มีพื้นฐานในการว่าเห็นคุณสมบัติของมัน ถ้าคนที่มีพื้นฐานการปฏิบัตินะ ดูสิ ดูอย่างโค้ชนักกีฬาที่เขามีความสามารถมากๆ เขาจะเริ่มต้นจากพื้นฐานก่อนเลย พื้นฐานว่าเด็กคนนั้นจะมีพื้นฐานมาไหม มีพรสวรรค์ไหม ถ้ามีพรสวรรค์แล้ว เขามีโอกาสแล้ว เขาจะวางรากฐานให้อย่างไร เด็กคนนั้นจะไปได้ไกลมากเลย

 

ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัตินะ ท่านก็จะย้อนกลับมาตรงนี้ ตรงที่เราจะทำความสงบของใจให้ได้อย่างไร เราทำสมาธิให้เป็นพื้นฐาน ให้มีคุณสมบัติได้อย่างไร

 

แต่โดยที่ว่า อย่างโยคีเขาไปเผยแผ่ไว้ว่า “คนเรามีความทุกข์เพราะขาดสมาธิ ถ้าทำสมาธิแล้วจะมีความสุข” พอพระไปเผยแผ่ซ้ำก็ไปสอนสมาธิซ้ำเข้าไปอีกว่า “นี่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ทำสมาธิอย่างนี้จะได้เป็นปัญญาอย่างนี้ๆ” นี่ไปซ้ำกับเขาไง

 

แต่ถ้ามันเป็นพระพุทธศาสนานะ โดยพื้นฐานคนเรามีความรู้สึกนึกคิด โดยพื้นฐานคนเรามีการศึกษา โดยพื้นฐานคนเรามีอาชีพ การที่เราคลุกคลีอยู่กับความสามัญสำนึกอย่างนี้จนเคยตัว จนเคยตัว จนมันเป็นสัจจะมันเป็นความจริง เพราะมนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ฉะนั้น พอเราทำความสงบของใจเข้ามา เราก็จะไปสร้างภาพว่า ถ้าทำความสงบของใจ เพราะเรามีปัญญาเรารู้ได้ เรารู้โจทย์ได้ เราก็พยายามจะกดทับ จะทำให้มันเป็นแบบนั้น มันก็เลยไม่เป็นไง ถ้ามันไม่เป็น มันก็เลยไม่เป็น พอมันไม่เป็น มันก็เลยไม่เป็นสัมมาสมาธิ ถ้าไม่เป็นสัมมาสมาธิ เวลาเขาไป ตอนที่ว่าพวกโยคีเขาสอนกัน เขาว่าเดินฝึกสติ เดินฝึกสติ เดินทำความสงบ เขาเดินของเขา ย่องกันไปย่องกันมาไง สงสัยเศษสตางค์หาย มันเดินหาเศษสตางค์กัน มันเลยหาเศษสตางค์ไม่เจอ

 

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราสอนนะ เห็นไหม เขาบอกว่าปฏิบัติธรรมแบบชีวิตประจำวัน ชีวิตประจำวันแล้วมีสติมีปัญญาอยู่กับชีวิตประจำวัน อยู่กับความเคลื่อนไหวของเราอยู่ในชีวิตประจำวัน นี่สติมันอยู่กับเรานะ พอสติมันอยู่กับเรา การทำสิ่งใด เรื่องที่ขาดตกบกพร่องน้อยลงแล้ว เพราะเรามีสติ ดูสิ คนขับรถ ถ้าเขามีสติปัญญาสมบูรณ์ของเขา รถจะไม่มีอุบัติเหตุ หรือจะมีอุบัติเหตุก็น้อยมาก แต่ถ้าคนเผอเรอ คนที่ไม่มีสติปัญญา เขาจะมีอุบัติเหตุเป็นประจำของเขา

 

นี่ก็เหมือนกัน ในชีวิตประจำวัน การเคลื่อนไหวเรามีสติปัญญา เพราะหลวงปู่มั่นพูดไว้ในมุตโตทัย การเหยียด การคู้ การดื่ม การกิน ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา มีสติอยู่กับมัน ถ้ามีสติอยู่กับมัน มีสติอย่างนี้เป็นพื้นฐาน

 

หลวงตาบอกว่า เราจะหาตัวโค เราจะตามรอยโคนั้นไป เราตามรอยโคนั้นไป พอไปเจอตัวโคแล้วรอยนั้นจะไม่สำคัญ เจอตัวโคแล้ว รอยโคนั้น เพราะเราเดินตามรอยเท้าโคนั้นไป ไปถึงตัวโคแล้วเราต้องไปที่รอยเท้าโคอีกไหม

 

ฝึกหัดในชีวิตประจำวัน การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เราต้องมีสติสัมปชัญญะตลอดไป นี้คือร่องรอยของมันเท่านั้นเอง เราไปอยู่ที่ร่องรอยของมัน ฤๅษีชีไพรเขาสอนอยู่กับร่องรอยนั้น ร่องรอยนั้นจะเป็นโคขึ้นมา ร่องรอยนั้นจะเป็นความจริงขึ้นมา อยู่กับร่องรอย เดินตามรอยไปเจอตัวโค...ไอ้นี่มันรอยเท้าโค มันไม่ใช่ตัวโค แล้วก็อยู่กับร่องรอย ย่องกันอยู่อย่างนั้นน่ะ หาเศษสตางค์อยู่นั่นน่ะ เขาปฏิบัติเพื่อจิตสงบ เขาไม่ได้หาเศษสตางค์

 

ถ้าไปถึงตัวโคแล้วนะ ถึงตัวโค เห็นไหม ชีวิตประจำวัน การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน แต่พอจิตมันละเอียดขึ้นๆ มันรู้เท่าการเคลื่อนไหวของเรา รู้เท่าทันความเป็นอยู่ของเรา รู้เท่าทันความคิดของเรา มันก็ไม่คิดนอกเรื่องนอกราว คิดเฉพาะเรื่องของงาน พอจบเรื่องงานมันก็พัก พอจบเรื่องงานก็พัก แล้วพักแล้วทำอย่างไรต่อไป

 

ถ้าพัก เราเริ่มมีปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าพัก เราพุทโธต่อเนื่องกันไป พุทโธต่อเนื่องไป มีสติปัญญาต่อเนื่องไป ถ้ามันมีสติพร้อมนะ เวลาเป็นสมาธิจริงๆ มันมหัศจรรย์มาก แม้แต่สมาธินี้มหัศจรรย์มาก มันปล่อยนะ มีความสุข สมาธิคือตัวสมาธิ สมาธิให้ผลเป็นความสุข ความสุขคือใครปฏิบัติสมความปรารถนา

 

เราทำหน้าที่การงาน งานเสร็จ ทุกคนก็พอใจ แค่ทำงานเสร็จ เราก็อุ่นใจแล้ว งานเราเสร็จแล้ว สบาย ถ้างานไม่เสร็จนะ มันต้องละล้าละลังนะ งานยังไม่เสร็จนะ เราต้องมาทำใหม่นะ เห็นไหม แค่งานเสร็จมันก็จบแล้ว แต่นี่มันพุทโธๆ จนมันปล่อยวางของมัน มันยิ่งกว่างานเสร็จอีก ฉะนั้น มันจะมีผลของมันไง

 

นี่พูดถึงว่า ถ้าเราไม่ตามฤๅษีชีไพรว่า ทำความสงบของใจ ใจมันสงบไป แล้วพอสงบแล้วถ้าเราไม่มีสติปัญญา โดยพื้นฐานที่อ่อนแอ พอโดยพื้นฐานที่อ่อนแอ มันจะตกภวังค์ เห็นไหม พอเรากำหนดไปว่างๆ ว่างๆ แล้วไม่บริกรรมต่อไป ไม่บริกรรมต่อไปคือไม่เอาจิตเกาะสิ่งใดไว้ น้ำนะ ดูน้ำในหยดน้ำ โดยธรรมชาติของมัน มันต้องซึมไปในดิน ไม่ก็ระเหยไป จิตนี้ก็เป็นนามธรรม จิตนี้เป็นนามธรรม ถ้าไม่มีสติดูแลไป มันก็กระจายออกเหมือนกัน เหมือนกัน

 

แต่ถ้าเรามีสติ น้ำอยู่ในภาชนะ ภาชนะเราปิดฝาไว้ ถ้ามันจะระเหยของมัน มันก็อยู่ในภาชนะนั้น ถ้าเรามีสติดูแลจิตใจเราไว้ นี่ไง พอดูแลจิตใจเราไว้ ถ้าพอเราพิจารณาไปหรือเราใช้สติปัญญาไป มันปล่อยวางอย่างไร เราพุทโธต่อเนื่องไป อย่าทิ้ง

 

ถ้าพุทโธต่อเนื่องไป เพราะมันรู้ว่างๆ อยู่ ยังรู้อยู่ ยังมีสติปัญญาอยู่ แต่ถ้าสักพักหนึ่ง ถ้าต่อไปเรื่อยๆ นะ เพราะมันไม่มีที่เกาะไง น้ำต้องระเหยแน่นอน จิตมันต้องส่งออกไป โดยธรรมชาติเขาเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่เพราะมีสติมีปัญญา

 

ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ถ้ามีสติ ความเพียรนั้นถึงเป็นความเพียร ถ้าขาดสตินั้นเป็นมิจฉาหมด ไม่มีความเพียร

 

เราทำมาจนมันว่างๆ ว่างๆ นี่ว่างๆ เห็นไหม เขาถามว่า แก้ตกภวังค์อย่างไร เวลาเรานั่งสมาธิไปแล้วสังเกตได้ว่ามีอาการคอพับ นั่งน้อมไปข้างหน้า พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็ยืดขึ้น แล้วอีกไม่นานก็น้อมไปอีก ก็พยายามจะขึงไว้เพื่อให้มันกายตรง แต่ก็ไม่หาย จึงปล่อยให้นั่งกายน้อมต่ำไป แสดงว่าขาดสติใช่ไหม

 

นี่แสดงว่าขาดสติ ถ้ามีสตินะ มีสติ แล้วสติอยู่ที่ไหน สตินะ กายน้อมไป เรามีสติฝืนได้ ถ้ามันน้อมเอียงไป เราฝืนให้มันนั่งตรง เพราะถ้าท่านั่งที่นั่งตรงมันทำให้เลือดลมในร่างกายของเรามันผ่อนคลายที่สุด การนั่งท่าสมาธิคือการนั่งที่ได้นานที่สุด เราถึงว่าท่านี้เป็นท่ามาตรฐาน ถ้าท่ามาตรฐานของเรา ถ้ามันจะเอียง มันจะน้อมไป ถ้าจิตมันจะลง เราไม่ต้องไปกังวลกับมัน ไม่ต้องกังวลกับมัน เพราะเรานั่งสมาธิ เราทำใจเราให้ดี เราตั้งใจทำ เราต้องการเอาหัวใจ เราไม่ต้องการเอาร่างกาย เราไม่ต้องการเอาร่างกาย

 

ถ้านั่งตัวตรง แกะหุ่นยนต์ไว้หุ่นหนึ่ง ปั้นหุ่นก็ได้ แล้วตั้งไว้ มันไม่ขยับเลย อันนั้นก็เป็นดิน เราปั้นหุ่นขึ้นมาก็เป็นดิน มันไม่มีชีวิต แต่นี่เรามีชีวิตจิตใจ จิตใจของเราอยู่ในร่างกายนี้ เราจะบอกว่า ถ้ามันจะคอพับ คออ่อน ถ้าสติเราดี เราอยู่กับใจของเรา ปล่อยมันไป ไม่ต้องไปรับรู้มัน ปล่อยมันไป แต่ถ้าเรายังมีสติอยู่ มันกังวล คนเรามันมีความกังวล แล้วอย่างว่าเนาะ ถ้านั่งท่านี้แล้วเดี๋ยวจะผิด นั่งท่านี้แล้วเดี๋ยวมันจะไม่ดี นั่งท่านี้แล้วมันจะไม่ถูกต้อง นั่งท่านี้ มันเลยไปวิตกกังวลอยู่กับท่านั่ง มันก็เลยไม่จริงจังอยู่กับใจของเรา

 

เรานั่งสมาธิเพื่อให้ใจสงบ เรานั่งสมาธิเพื่อเอาหัวใจของเรา เราไม่ได้นั่งสมาธิเพื่อจะไปประกวดว่าใครนั่งสวยกว่าใคร เราไม่ต้องวิตกกังวลตรงนั้น ถ้าไม่วิตกกังวลตรงนั้น เรื่องนี้ก็เลยเป็นเรื่องปลีกย่อยไปเลย

 

เรื่องที่ว่าร่างกายเราถ้ามันจะก้ม การก้ม ถ้าก้มไปแล้ว มันนั่งไปแล้วมันแบบว่าเส้นเลือดมันกดทับอะไรต่างๆ เราก็ให้มันขึ้นมาตรงได้ บอกว่าไม่ต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้มันล้มลุกคลุกคลานไปอย่างนั้น ให้มันพอดี

 

“แสดงว่าขาดสติ”

 

สติถ้ามันอยู่ที่ใจนะ สติเราพร้อม ทุกอย่างมันพร้อม มันพอได้ สติ เพราะทุกอย่างถ้าเราไม่คิดก่อน เราทำอะไรไม่ได้เลย เพราะความคิดทำให้เรามีการกระทำ

 

ถ้ามโนกรรม มโนกรรมถ้ามันมีสติมีปัญญาของมัน มันก็อยู่ของมัน เห็นไหม ร่างกายก็ส่วนร่างกาย ถ้ามันทำได้มันก็ทำแบบนั้น นี่พูดถึงว่าถ้ามันจะคอพับคออ่อนไป ปล่อยไป ปล่อยไป เรานั่งของเราไว้

 

ฉะนั้น ข้อที่ ๒ “การที่เราทำความเพียรมาก ปฏิบัติมาก มีเวลาพักผ่อนน้อย นอนดึกตื่นเช้า นอน ๔-๕ ทุ่ม ตื่นตี ๒ ลุกขึ้นเดินจงกรม นั่งสมาธิ ส่งผลให้นั่งสมาธิมีอาการซึมหลับในใช่หรือไม่ มีวิธีการแก้อย่างใด”

 

เรานั่ง ความเพียรของเรา ถ้าเราทำต่อเนื่องของเราไปแล้วนะ สิ่งที่ว่าอาการซึมเพราะมันนั่งมากแล้ว แบบว่าทำให้ตกภวังค์นี่ไม่ใช่ เพราะเรานั่งนะ คนเรา คนที่เวลานอนพักผ่อนนอนหลับไม่ลึก นอนหลับไม่เต็มที่ นอนแล้วก็เหมือนไม่ได้นอน บางคนพักผ่อนนะ พักผ่อนไม่เต็มที่ พักผ่อนแล้วก็เหมือนไม่ได้พักผ่อน แต่ถ้าใครนอนหลับลึกๆ หลับทีเดียวนะ อู้ฮู! สดชื่นมาก

 

จิต จิตถ้ามันลงสมาธิ นั่ง จิตมันลงสมาธิ มันปล่อยวางเฉยๆ เท่านั้นน่ะ พอมันปล่อยวางนี่มันสดชื่นมาก มันไม่หลับใน มันไม่ซึม ไม่ต่างๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้ามันซึม แสดงว่ามันไม่ได้หลับ ไม่ได้พักผ่อนเลย ถ้าไม่ได้พักผ่อนเลย

 

ฉะนั้นที่ว่า “เพราะเรามีความเพียรมาก เราปฏิบัติมาก” ถ้าเราเพียรมาก เราปฏิบัติมาก แล้วทำไมผลมันไม่เป็นไปตามนั้น ผลมันไม่เป็นไปตามนั้นเพราะเราวิตกกังวล เห็นไหม เรานั่งเพื่อปล่อยวาง นั่งเพื่อไม่ต้องการเอากิเลส นั่งไม่ต้องการเอาเวลา ไม่ต้องการเอาการนั่งไปอวดกับใครว่าใครนั่งได้มากนั่งได้น้อย

 

คนนั่งน้อย ถ้าจิตเขาสงบ เขาได้ประโยชน์มากกว่า แต่คนที่นั่งได้มาก ถ้าจิตมันสงบยิ่งดีกว่า การนั่งมากก็เหมือนนักกีฬา นักกีฬาถ้าเขามีเวลามากกว่า เขาทำโอกาสได้มากกว่า นักกีฬาเวลาเขาแข่งขันกัน เวลาต้องเท่ากัน เท่ากันเพราะแพ้ชนะอยู่ในเวลานั้น

 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรานั่งมาก เวลาเราได้มากกว่า เราได้เปรียบอยู่แล้ว ทำความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เวลานี่เราต้องการมาก เราต้องการมากเราปฏิบัติของเราไป ทีนี้พูดถึงนั่งมากนั่งน้อยมันเป็นเรื่องหนึ่ง ผลจากการนั่งมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้น ถ้ามันนั่งมากแล้ว ถ้ามันเป็นความจริง อาการอย่างที่ว่าจะไม่มี

 

แต่อาการซึม อาการที่หลับใน คำว่า “หลับใน” เราคิดของเราอย่างไร ถ้าคำว่า “หลับใน” ข้างในมันไม่รับรู้เลยหรือ ถ้าข้างในไม่รับรู้ เราต้องรื้อเลย รื้อหัวใจของเราแล้วเริ่มต้นใหม่ วางให้หมด เพราะทำไปแล้วมันเป็นอย่างนี้ ทำไปแล้วทำไมไม่สดชื่น ทำแล้วอย่างนี้ วางให้หมดเลย แสดงว่าวิธีการทำนี้ถูกต้องหรือเปล่า แสดงว่าเราตั้งสติ สติเป็นสติจริงหรือเปล่า ไม่ใช่เราบอกเราตั้งสติ พอนึกว่าสติขึ้นมานะ เราก็ปล่อยเผลอไปหมดเลย แล้วก็บอกว่า “หลวงพ่อ หนูก็ตั้งสติแล้วนะ” อ้าว! ก็ตั้งตอนเริ่มต้นไง พอผ่านไปแล้วสติเป็นอย่างไรก็ไม่รู้

 

ถ้าเราตั้งสติแล้ว สติคือความระลึกรู้ คือรู้สึกตัว ถ้ารู้สึกตัว ถ้ามันรู้สึกตัวอยู่ พุทโธมันรู้สึกตัวอยู่ อายตนะมันรู้สึกตัวอยู่ แล้วทำต่อเนื่องไป พอต่อเนื่องไป เดี๋ยวสติมันก็อ่อนลง อ่อนลง เราก็พยายามฝึกของเรา ระยะเวลาของเรา ถ้าเราทำของเราไปอย่างนี้ ถ้าจิตมันพักได้นะ อาการซึม อาการหลับในต่างๆ นี้จะไม่มี อาการซึม นิวรณธรรม นี่ข้อต่อไป อาการซึม อาการนิวรณธรรมมันมีของมันอยู่แล้ว นี่พูดถึงว่าการปฏิบัติใหม่นะ

 

เพราะว่าเราจะพูดอย่างนี้ พูดว่า ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธินี้เป็นที่พักของใจ เราไม่ใช่เอาสมาธินี้เป็นเป้าหมาย แต่ถ้าหัวใจของเรา ถ้าเราไม่มีสมาธิ เราไม่มีกำลังของเรา เราจะทำสิ่งใดไม่ได้ ฉะนั้น ถ้าเอาสมาธิเป็นเป้าหมาย แล้วก็ย้ำคิดย้ำทำอยู่กับตรงนั้นๆ แล้วหัวใจวิตกกังวลไปทำไม

 

เราจะบอกอย่างนี้สิ เงิน เราทำสมาธิ เราทำงานหาเงินกันมา เงินเอามาทำไม เงินเอามาแลกเปลี่ยนเป็นปัจจัยดำรงชีวิต เงินเอามาเป็นปัจจัยสร้างบ้านสร้างเรือน เงินเอามาเป็นปัจจัยในการศึกษาวิชาชีพเพื่อให้มีปัญญามากขึ้น เงินเราหามาเพื่อประโยชน์กับเรา

 

สมาธิก็เหมือนกัน สมาธิเป็นพื้นฐาน สมาธิเป็นสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมาธิเราทำให้ใจเราเข้มแข็ง ทำใจให้ร่มเย็นเป็นสุข แล้วเราจะฝึกหัดใช้ปัญญาต่อไปข้างหน้า เราจะทำประโยชน์กับเรา เราจะวิปัสสนาของเรา ให้หัวใจดวงนี้ ไอ้ที่มันไม่เข้าใจ มันไม่รู้ มันไม่รู้คืออวิชชา คือมันมีอวิชชาของมันอยู่ ให้มันได้ถอดได้ถอนสิ่งนี้ขึ้นมา ถ้าเราคิดต่อเนื่องกันไปอย่างนี้ ครบวงจร วงจรการปฏิบัติของจิตมันยังก้าวต่อเนื่องไป ไม่ใช่ว่าเราทำสมาธิแล้วมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ๆ

 

ฉะนั้น หลวงตาท่านบอกว่า การปฏิบัติมันยากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น คราวเริ่มต้นล้มลุกคลุกคลาน เหมือนคนทำงานฝึกหัด คนฝึกงาน คนฝึกงานยังทำงานไม่ได้ พอฝึกงานเป็นแล้วมันจะก้าวหน้าของมันไป แล้วก็ยากอีกคราวหนึ่งคือคราวจบ คนฝึกงานฝึกงานก็แหม! ทำอะไรก็ผิดไปหมดเลย แต่พอชำนาญๆ แล้วมันไปได้แล้ว แต่ทำงานไปได้แล้วผลตอบแทนจะได้หรือเปล่าล่ะตอนจบ นี่มันยากอยู่ ๒ คราว การปฏิบัติมันยากอยู่ ๒ คราว คราวเริ่มต้นเราทำของเราแบบนี้

 

ที่พูดนี้พูดเพื่อให้กำลังใจ แล้วที่มันซึม มันหลับใน หลับในแสดงว่ามันขาดสติ หลับในแปลว่ามันตกภวังค์ไปแล้ว เพราะข้างในมันหลับ ถ้าหลับในแล้วเราก็วางไว้ เพราะคนหลับในแล้วนะ มันจะเคยตัว การตกภวังค์เริ่มต้นก็เล็กน้อย คราวนี้หลับ ๕ นาที คราวต่อไปนะ เดือนหน้ามันจะเป็น ๑๐ นาทีแล้ว ถ้าปีนี้ยังไม่ได้แก้ไขนะ มันจะหลับทีหนึ่งครึ่งชั่วโมง แล้วถ้าไม่แก้ไขต่อไป มันจะหลับทีหนึ่งเป็นชั่วโมงๆ แล้วเวลาจะแก้ยิ่งแก้ยาก เหมือนคนเจ็บไข้ได้ป่วยที่มันฝังเข้าไปในใจ

 

ฉะนั้น ถ้าเราแก้ คือไม่ให้หลับ พุทโธๆ ไว้ชัดๆ ชัดๆ พุทโธชัดๆ หรือกำหนดลมหายใจชัดๆ ชัดๆ นี่คือไม่หลับ พอไม่หลับ เห็นไหม เริ่มต้น ท่ามกลาง ที่สุด ถ้าไม่หลับนะ เดี๋ยวผลมันมา

 

ไอ้นี่พอไม่หลับแล้วนะ “โอ๋ย! มันหยาบไง มันต้องให้ละเอียด ละเอียดคือมันจะเคลิ้มๆ”...นั่นล่ะมันจะลงหลับตรงนั้นน่ะ เราเองเข้าใจผิดไง “โอ๋ย! ไอ้พุทโธชัดๆ นี่มันหยาบ มันต้องละเอียดสิ”...เออ! ละเอียดก็เอาหมอนมาไว้ข้างๆ ละเอียดเดี๋ยวมันก็จะหลับ

 

พุทโธชัดๆ นะ เวลามันลงนะ โอ้โฮ! มันตื่นเต้น มันมหัศจรรย์มาก จิตนี้มหัศจรรย์มากถ้าคนทำได้จริงนะ เอาชัดๆ แบบนี้ พูดเพื่อให้กำลังใจนะ

 

“๓. เมื่อปฏิบัติธรรมเข้าถึงระดับต้นๆ แล้วยังมีนิวรณ์มาครอบงำอยู่อีกหรือไม่ ข้อนี้ขอให้ตอบชัดๆ ครับ”

 

มี นิวรณ์อย่างหยาบ นิวรณ์อย่างละเอียด นิวรณ์มีเพราะอะไร เพราะพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรฟังธรรมพระอัสสชิได้เป็นพระโสดาบัน พระสารีบุตรไปบอกพระโมคคัลลานะ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แก้ที่เหตุนั้น พระสารีบุตรฟังธรรมของพระอัสสชิมาเป็นพระโสดาบัน ไปบอกพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลานะเป็นพระโสดาบัน

 

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะชักชวนหมู่คณะจากสัญชัยไปบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กรรมฐาน พระโมคคัลลานะรีบปฏิบัติใหญ่เลย นั่งพิจารณากายใหญ่เลย แล้วก็นั่งโงกง่วง นี่ไง มีนิวรณธรรมไหม

 

พระโมคคัลลานะเป็นพระโสดาบัน ยังนั่งหลับ นั่งโงกง่วง พระพุทธเจ้าไปโดยฤทธิ์ โดยฤทธิ์หมายความว่ายื้อแขนออกไป หดแขนเข้ามา นี่ไปแค่นี้ถึงแล้ว ไปโดยฤทธิ์ ไปต่อหน้าพระโมคคัลลานะ “โมคคัลลานะ ถ้าเธอง่วงเหงาหาวนอนให้ตรึกในธรรม ให้ตรึกในธรรมนะ ให้เอาน้ำลูบหน้า ให้แหงนดูดาว” นี่ก็แก้นิวรณ์ไง แก้นิวรณ์ของพระโมคคัลลานะ

 

“แล้วถ้าเธอทำ ๔ อย่างแล้วมันยังง่วงนอนอยู่ โมคคัลลานะ เธอจงนอนเสีย นอนพักผ่อนก่อน พักผ่อนเสร็จแล้วเดี๋ยวค่อยมาปฏิบัติใหม่”

 

นิวรณ์นะ ถ้านิวรณธรรมมันมีความสงสัย สงสัยตลอดไปตั้งแต่ขั้นเริ่มต้น ท่ามกลาง ที่สุด ท่ามกลางก็สงสัยเรื่องท่ามกลาง ที่สุดก็สงสัยเรื่องที่สุด ความลังเลสงสัย เพราะเกิดความลังเลสงสัยถึงได้เกิดย้ำคิดย้ำทำ เพราะความลังเลสงสัยทำให้เราวิตกกังวล เพราะความลังเลสงสัยทำให้เกิดนิวรณ์ นิวรณ์ก็เกิดไง ทีนี้พอเกิด

 

ฉะนั้น พอปฏิบัติเริ่มต้น นี่เราไปคิด นี่วิทยาศาสตร์ เห็นไหม เรามีความสกปรกที่มือ เราล้างแล้วก็สะอาดเลย หมดแล้ว ความสกปรกนี้หมดไปแล้ว นี่ก็เหมือนกัน เรามีนิวรณ์ เรามีความสงสัย แล้วเราศึกษาธรรม เราเข้าใจแล้ว จบแล้ว นิวรณ์ไม่มี ไปคิดแบบวิทยาศาสตร์ไง วิทยาศาสตร์เป็นแบบนี้ไง ทำอะไรทำจบแล้วคือจบ

 

ถ้ามันทำแล้วจบแล้วคือจบนะ เวลาเราโกรธใครนะ แล้วเราคิดได้ว่าเราเข้าใจผิดแล้วอย่าไปโกรธเขาอีกนะ เดี๋ยวมันก็โกรธอีก อ้าว! ก็เข้าใจแล้วทำไมโกรธอีกล่ะ มันก็ยังโกรธอยู่อย่างนั้นน่ะ อ้าว! เรื่องนี้รู้หมดแล้วทำไมยังโกรธอยู่ล่ะ ก็โกรธอยู่อย่างนั้น เพราะอาหารเก่าอาหารใหม่ไง อารมณ์ถ้ามันสดๆ ร้อนๆ มันก็ทำให้เราโกรธมาก แต่ถ้าอารมณ์มันเคยผ่านมาแล้วนะ พอเดี๋ยวมันผ่านไป ถ้าไปคิดใหม่ขึ้นมา ถ้ามันสดๆ ร้อนๆ ก็โกรธอีก นี่มันก็มีอารมณ์ความรู้สึกอีก นิวรณธรรม

 

ฉะนั้นบอกว่า “เมื่อปฏิบัติธรรมถึงระดับต้นๆ แล้ว นิวรณธรรมจะครอบงำได้อยู่อีกหรือไม่”

 

ได้ ถ้าเราปฏิบัติธรรมแบบต้นๆ แล้ว ถ้าเรามีสติปัญญา ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเหตุมันดี นิวรณ์ไม่มี บอกว่าสมาธิ สมาธิเป็นอนิจจัง สมาธิเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป สมาธิเกิดกับใจดวงไหน เดี๋ยวมันก็เสื่อมไป แล้วถ้าเรามีสติมีปัญญา ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเรารักษาเหตุของเราไว้ เรามีสติ เรากำหนดพุทโธไว้ เรามีอานาปานสติไว้ สมาธิมันจะเสื่อมไหม มันไม่เสื่อม ไม่เสื่อมเพราะอะไร ไม่เสื่อมเพราะมีสติมีปัญญา ไม่เสื่อมเพราะมีคำบริกรรม

 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าบอกว่า เรามาปฏิบัติเริ่มต้นแล้วเรามีความสว่างกระจ่างแจ้งในใจแล้ว ถ้าเรามีความกระจ่างแจ้งในใจแล้วนะ ถ้าเราใช้ปัญญารักษาไว้ แล้วให้มันมีปัญญาค้นคว้าไว้ไปตลอด เพราะมันสว่างกระจ่างแจ้งเรื่องนี้ แต่เรื่องที่ยังสงสัยอยู่ เรื่องที่ยังไม่เข้าใจมันยังมีอีกเยอะแยะเลย

 

เข้าใจเรื่องนี้ อ้าว! เข้าใจเรื่องข้าว ปลูกข้าว สีข้าว หุงข้าว ข้าวสุกในจาน แล้วกับข้าวล่ะ เออ! แกงอย่างไรล่ะ อ้าว! ไปเรื่องแกง แล้วผัดอย่างไรล่ะ มันมีไปหมด เพราะสิ่งที่ยังไม่เข้าใจนั่นแหละมันจะทำให้เกิดนิวรณ์ สิ่งที่เรายังสงสัยอยู่ทำให้เกิดนิวรณ์

 

ฉะนั้น ตอบให้ชัดๆ ชัดๆ นะ มีไปตลอด เพียงแต่ว่าพอปฏิบัติไปแล้วนะ นี่เพียงแต่ว่าแล้วนะ นี่มันจะออกตัวแล้ว ปฏิบัติไปแล้วนะ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค พออนาคามิมรรคนี่มหาสติมหาปัญญา มหาสติมหาปัญญามันชัดเจนมาก

 

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบอกว่าเวลาไปติดอยู่ ๕ ปี เวลาหลวงปู่มั่นให้เอาออกแล้วนะ ออกไปเจออสุภะ พออสุภะแล้ว เห็นไหม “มันติดอยู่นี่ตั้ง ๕ ปี สมาธิมันแก้กิเลสไม่ได้ ต้องใช้ปัญญา”

 

ก็ใช้ปัญญาต่อเนื่องไป พอใช้ปัญญาต่อเนื่องไป มันสว่างกระจ่างแจ้ง นี่ใช้ปัญญา น้ำป่า มหาสติมหาปัญญามันรุนแรงมาก รุนแรงมากจนไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน นี่มันเกิดนิวรณ์ไหม

 

ถ้านิวรณ์มันก็ต้องง่วงเหงาหาวนอนใช่ไหม ง่วงนอนมันต้องคอพับคออ่อนใช่ไหม ไอ้นี่มันเต็มที่เลย มันจะเอาอย่างเดียว มันเต็มที่ไปเลย เสร็จแล้วมันไม่ไหวแล้ว ตัวเองแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ก็ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น “บอกให้ออกใช้ปัญญาๆ ตอนนี้ก็ใช้ปัญญาแล้วนะ ใช้ปัญญาจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน”

 

หลวงปู่มั่นบอกว่า “นั่นน่ะสมบัติบ้า”

 

“อ้าว! ถ้าไม่ใช้ปัญญามันก็แก้กิเลสไม่ได้”

 

“นั่นล่ะสมบัติบ้า”

 

นิวรณ์ไหม พอไปขั้นของมหาสติมหาปัญญา ขั้นของปัญญาอัตโนมัติมันไปอีกเรื่องหนึ่งเลย มันไปอีกเรื่อง เห็นไหม เวลาภาวนาไม่ได้ โอ้โฮ! ล้มลุกคลุกคลานเลย พยายามจะส่งให้มันขึ้นไป พอมันขึ้นไป พอจุดไฟติดแล้วนะ ไฟป่ามันติดแล้ว ไฟป่ามันเผาหมดเลย เผาบ้านเผาเรือน เผาทุกอย่างเลย ต้องดับไฟป่าให้ได้ ไฟป่าเผาเฉพาะสิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ไม่ให้เผาบ้านเผาเรือน ไม่ให้เผาสิ่งที่ดีงาม แล้วทำอย่างไรล่ะ

 

นี่ที่พูดถึงว่า ปฏิบัติต่อไปข้างหน้าเอาชัดๆ ชัดๆ ไว้อย่างนี้ ชัดๆ บอกว่า ถ้ามันเป็นนิวรณ์ มันมีของมัน แต่ถ้ามันละเอียดขึ้นไปล่ะ เห็นไหม ที่ว่าอุทธัจจะกุกกุจจะ สังโยชน์เบื้องต่ำ สังโยชน์เบื้องสูง อุทธัจจะกุกกุจจะ นิวรณธรรม รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา นี่ไง อุทธัจจะกุกกุจจะ นิวรณธรรม รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา นั่นไปอีกเรื่องหนึ่ง มันไปอีกเรื่องหนึ่ง

 

ฉะนั้น ธรรมะขั้นเริ่มต้นพื้นฐาน เราพยายามศึกษาให้เข้าใจก่อน ไอ้ธรรมะชั้นสูงไว้กันทีหลัง ถ้าพูดไป หนูปฏิบัติอย่างนี้หนูยังคอพับคออ่อนเลย แล้วหลวงพ่อจะให้ไปสู้กับเสือด้วยมือเปล่าๆ ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ ฉะนั้น เพียงแต่เขาถามว่า “เมื่อปฏิบัติธรรมเข้าถึงระดับต้นๆ แล้วยังมีนิวรณ์เข้ามาครอบงำได้อยู่หรือไม่ ข้อนี้ขอให้ชัดๆ”

 

นิวรณ์มันก็มีแต่เริ่มต้นเท่านั้นน่ะ นิวรณ์ เรานิวรณ์อย่างนี้ แต่ปฏิบัติไปแล้วมันมีความสงสัย มีอะไรอีกเรื่องหนึ่ง อันนั้นพูดถึงว่าเราพูดให้กำลังใจให้จบข้อนั้นไป

 

ถาม : เรื่อง “กรรมให้ผล”

 

หลวงพ่อ : อันนี้น่าสงสารมาก แล้วมันเป็นเรื่องที่ว่าทุกคนเจออย่างนี้หมดนะ

 

ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อที่ศรัทธายิ่ง หนูมีคำถามสงสัย รบกวนหลวงพ่อเจ้าค่ะ

 

๑. หนูขอสอบถามเรื่องแม่ของหนู ตลอดชีวิตของท่านพบแต่ความยากลำบาก หนูไม่เคยเห็นท่านมีความสุขเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่หนูเห็นมา (ไม่ได้ต้องการเอาบิดามารดามานินทานะเจ้าคะ)

 

แม่โดนพ่อทุบตีเกือบ ๑๐ กว่าปี จากนั้นก็มีอาการทางจิต กลัวคนมาทำร้าย และบั้นปลายของแม่ก็ประสบอุบัติเหตุ ท่านนอนนิทรามา ๔ ปี และเสียชีวิตในที่สุด ที่หนูสงสัยคือว่า ยามที่แม่หนูมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นคนดีมากๆ ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ทั้งยังช่วยคนตกยาก มีคนมาขอเงินท่าน ท่านสงเคราะห์ให้เสมอ ทำไมบุญที่ท่านสร้างไม่มาส่งผลเลยเจ้าคะ หนูคิดถึงท่านแล้วน้ำตาไหล ทำไมบุญที่ทำแล้วไม่มีผลในชาตินี้ มีแต่กรรมประดังเข้ามามากมายจนแทบรับไม่ไหวเจ้าคะ แล้วชาติหน้า กรรมที่ได้รับจะหมดไปหรือว่าต้องรับผลของกรรมเป็นโรคจิตอีกไหม หนูเป็นห่วงท่านมาก พยายามทำบุญแผ่เมตตาให้ท่านอย่างมากมาย จะพอช่วยได้ไหมเจ้าคะ หนูไม่อยากให้แม่ลำบาก เพราะท่านเป็นคนดีจริงๆ เจ้าค่ะ แต่กรรมประดังเข้ามาตลอดชีวิตท่านจนรับไม่ไหวเจ้าค่ะ

 

ข้อที่ ๒ คนที่พูดว่าจะบวชแล้วไม่ได้ทำ จะทำอะไรไม่เจริญรุ่งเรือง ทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จจริงหรือเปล่าเจ้าคะ

 

ตอบ : แล้วเขาก็มีข้อนั่นอีกข้อหนึ่ง ข้อเหตุผลที่ว่าบวชไม่บวช เอาข้อแรกนี้ก่อน เอาข้อแรกก่อนที่ว่า ชีวิตคู่นะ ชีวิตคู่มันมีคู่เวรคู่กรรม คู่สร้างคู่สม ถ้าเป็นคู่สร้างคู่สม เกิดมาจะมีความสุข เกิดมาแล้วทำสิ่งใดจะมีน้ำใจต่อกัน ทำสิ่งใดแล้วจะมีความสุขในครอบครัวนั้น นี่คู่สร้างคู่สม

 

คู่เวรคู่กรรม ถ้าคู่เวรคู่กรรม เกิดมา เห็นไหม คู่เวรคู่กรรมนี้ไม่ใช่ฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายนะ ฝ่ายหญิงก็ได้ ฝ่ายชายก็ได้ นี่พูดถึงเรื่องแม่ แม่โดนพ่อทำร้ายร่างกายมาเป็นสิบๆ ปี เราก็เห็นของเรา นี่ครอบครัวที่มีความรุนแรง พ่อเป็นฝ่ายทุบตีเป็นสิบๆ ปี แต่ถ้ามันเป็นบางครอบครัว ถ้าผู้ชายที่มีคุณธรรม เขาโดนฝ่ายผู้หญิงทำร้ายเหมือนกัน นี่คู่เวรคู่กรรมมันมีเวรมีกรรมต่อกันมา

 

ฉะนั้น มีเวรมีกรรมต่อกันมา สิ่งนี้เราเป็นลูก เราเกิดมาแล้วเราก็สังเวช ทุกคนก็สังเวช ถ้าสังเวชขึ้นมา ถ้าสังเวชนะ เรามีสติมีปัญญานะ เราเอง ชีวิตเรา เราก็ต้องตั้งสติ แต่ถ้าเราสังเวช บางคนสังเวช มันเป็นปมในใจเลยล่ะ ถ้าเป็นปมในใจมันก็ทำให้เราสะเทือนนะ เห็นไหม นี่ผลของวัฏฏะ ผลของการเกิดการตาย ผลของการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเวียนว่ายตายเกิด

 

ฉะนั้น คำถาม “เห็นว่าท่านเป็นคนดีจริงๆ” เราเป็นลูก เราเห็นอยู่ว่าแม่ของเราดีจริงๆ แม่ของเราทำทุกอย่างจริงๆ แล้วทำไมแม่ทำบุญขนาดนี้ แม่ก็ยังสงเคราะห์ ทำไมบุญไม่ช่วยแม่เลยล่ะ ทำไมบุญไม่ช่วยแม่เราเลย แม่เรามีความทุกข์อย่างนี้ทำไมบุญไม่ช่วยแม่เราเลย

 

บุญนะ บุญเป็นเรื่องของปัจจุบัน บุญเป็นเรื่องของมีสติปัญญา มีสติปัญญารักษาชีวิตนี้ให้ไม่ทุกข์จนเกินไปนัก ฉะนั้น สิ่งที่เกิดมาคือวิบาก ถ้าวิบาก ได้สถานะมา นี่คู่เวรคู่กรรม คู่สร้างคู่สม สิ่งนี้เป็นวิบาก วิบากมันก็เหมือนเราติดคุก ติดคุกกี่ปี ติดคุก ๓ ปี ติดคุก ๕ ปี ติดคุก ๑๐ ปี ถ้าติดคุก ก็เวลาของการติดคุกนั้น ถ้าติดคุกนั้นนะ เริ่มต้นไง เริ่มต้นของภพชาติไง เริ่มต้นของภพชาติเรามีภพชาติอย่างนี้ วิบากกรรมมันเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ แต่เรายังมีสติปัญญา นักโทษในเรือนจำ บางคนก็ทำคุณงามความดี บางคนเป็นนักโทษชั้นดี บางคนเป็นนักโทษแล้วก็ยังเกเร บางคนเป็นนักโทษแล้วยังมีปัญหา

 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าแม่ของเราเป็นคนดี แม่ของเราเป็นคนดี เราทำความดี นักโทษที่ดีก็ทำสิ่งที่ดีๆ เขาก็จะได้เป็นนักโทษชั้นดี เขาจะได้มีการให้อภัยโทษต่างๆ อันนี้มันมีในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่สถานะ สถานะที่ว่าระหว่างครอบครัวสามีภรรยา ชีวิตนี้ทั้งชีวิตมีความเห็น ทิฏฐิมานะของคนเป็นแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนั้น เราทำความดี ทำดีนี่นักโทษชั้นดี นักโทษชั้นดีเขาทำแต่สิ่งที่ดีๆ นั้นเปรียบนักโทษชั้นดี

 

อย่างนั้นมนุษย์ล่ะ แล้วเราเกิดมาภพชาติมันก็ได้ภพชาติหนึ่ง ถ้าภพชาติหนึ่งมันได้ผลมาจากไหน ก็วิบาก คำว่า “วิบากกรรม” ถ้าวิบากมา ทีนี้วิบากมาแล้ว สิ่งที่มาเจอ เจอก็ส่วนเจอไป แล้วทำบุญล่ะ ทำบุญก็สิ่งที่ดี

 

เราเป็นทุกข์นะ เราสงสารแม่มาก คิดทีไรน้ำตาไหลทุกทีเลย แต่แม่เขาก็รู้สถานะของเขา เขารับสถานะ ทำความดีก็เพื่อปลอบใจแม่ เพราะแม่ไม่มีบุญกุศลนี้พึ่งพาอาศัย แม่ก็จะทุกข์กว่านี้

 

“มีความทุกข์มาตลอดชีวิต บั้นปลายชีวิตยังประสบอุบัติเหตุอีก เป็นนิทราอีก”

 

ถ้าอย่างนี้ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบอกเลย ที่มาที่ไป กรรมนี้เป็นอจินไตย คือมาจากไหน ทำอย่างใดถึงได้ผลแบบนี้ แต่นี้พวกเราพวกคนตาบอดก็ตอบได้แค่นี้ ตอบได้ที่ว่าสิ่งที่ผลที่เป็นอย่างนี้เป็นวิบาก คือตอบโดยอริยสัจ ตอบโดยสัจจะ ตอบโดยอริยสัจ เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตอบโดยอริยสัจจะ สัจจะมันเป็นแบบนี้ ฉะนั้น มันเป็นแบบนี้แล้ว แล้วบุญล่ะ แม่ทำอย่างนี้มาแล้วได้บุญมากน้อยแค่ไหน แล้วต่อไปแม่จะเป็นอย่างนี้อีกไหม

 

หมดจากนี้ไปแล้วก็จบ พอผลจากวัฏฏะ ผลการเกิดใหม่ ภพชาติใหม่ สิ่งที่ทำมา ทำบุญกันมา ได้ใช้เวรใช้กรรมแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมามันจะเป็นผลดีก็ได้ ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรานะ ถ้าคุณงามความดี เราทำของเรา อย่างแม่ที่ทำแล้ว ไปเรื่องแม่แล้ว

 

ฉะนั้น ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าพ่อแม่เราเสียไปแล้ว ถ้าเราคิดสิ่งใด คิดถึง ระลึกถึง อุทิศส่วนกุศลระลึกถึงพ่อถึงแม่ของเรา เจ้ากรรมนายเวร ผู้มีบุญมีคุณกับเรา เป็นแม่ของเรา ให้ชีวิตกับเรามา เราระลึกถึงได้ นึกถึงได้ ถ้านึกถึงแล้ว แต่นึกถึงแล้วต้องให้เห็นโทษของวัฏฏะ เห็นโทษว่าการเวียนว่ายตายเกิด แล้วเราล่ะ แล้วเรา เราจะหาที่พึ่งสิ่งใด

 

ถ้าหาที่พึ่งสิ่งใดนะ เราทำคุณงามความดีแล้วอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ ให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วทำคุณงามความดีเพื่อเรา ทำคุณงามความดีเพื่อเรา มีสติมีปัญญา อย่าใช้ชีวิตไปโดยที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุ เราจะใช้ชีวิตของเราด้วยคุณงามความดีไป มีหน้าที่การงานก็ทำหน้าที่การงานสิ่งที่ดีไป

 

คิดถึงพ่อถึงแม่ คิดถึงพ่อถึงแม่ได้ แต่ถ้าคิดถึงพ่อถึงแม่แล้วน้ำตาไหล มันมีความเสียใจต่างๆ อันนี้ให้เป็นคติธรรมไง เห็นไหม ธรรมสังเวช ให้สลดสังเวชถึงชีวิต ให้สลดสังเวชกับการเวียนว่ายตายเกิด ให้สลดสังเวช พอสลดสังเวชแล้วมันจะไม่ไปทางอื่น

 

เวลาคำบริกรรม นักปฏิบัติ มรณานุสติ คิดถึงความตาย มันไม่คิดนอกเรื่องนอกราวจนเกินไปนัก ถ้าเราไม่คิดถึงเรื่องนี้ มันคิดไปร้อยแปดพันเก้าเลย มรณานุสติก็คิดเหตุนี้

 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นชีวิตของพ่อแม่เป็นคติธรรม ให้คิดในแง่บวก คิดในคติธรรม นี่สิ ความรักความผูกพันของพ่อของแม่ ถ้าไม่มีความรักกันจะแต่งงานกันทำไม แล้วเวลาแต่งงานกันแล้วใช้ชีวิตคู่ ทำไมใช้ชีวิตคู่กันแบบนั้น

 

แล้วเราก็เกิดมาเป็นลูกอยู่ในครอบครัวนี้ เราได้เห็นสิ่งนี้มา ให้เป็นธรรมสังเวช ให้มันสะเทือนหัวใจของเราเพื่อประโยชน์กับชีวิตของเรา ถ้าประโยชน์กับชีวิตของเรานะ

 

แล้วเราก็เป็นห่วงนะว่าแม่จะลำบากๆ

 

แม่ทำคุณงามความดีของแม่ แล้วแม่ก็เสียชีวิตไปแล้ว ถ้าเสียชีวิตไปแล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สิ่งนั้นจะต้องให้ผลตามผลนั้น แล้วเราอุทิศส่วนกุศลในการกระทำของเรา เอามาเป็นชีวิตของเรา ถ้าประโยชน์ตรงนี้มันเป็นแบบนี้

 

เขาบอกว่า ทำไมผลบุญมันไม่ให้เลย

 

เราว่าให้ ให้แม่ในหัวใจนั้นมีเครื่องอยู่ ให้เป็นไปได้ เพราะเรายังช่วยเหลือเขา ถ้ามีสติปัญญาที่ยังช่วยเหลือเขาได้ แต่ในเมื่อมันบีบคั้นมาจนเป็นขนาดนี้ น่าเห็นใจนะ สิ่งนี้เห็นใจ กรรมเป็นอจินไตย กรรมเป็นอจินไตยมาตั้งแต่คราวไหน นี่พูดถึงข้อที่ ๑

 

ข้อที่ ๒ “คนที่พูดว่าจะบวชแล้วไม่ได้ทำ จะทำอะไรไม่เจริญรุ่งเรือง จะทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จจริงหรือไม่เจ้าคะ”

 

เขาก็พูดถึงว่า สิ่งที่ว่าเขาเคยไปที่วัดสำนักหนึ่งแล้วบอกว่าต้องบวช แล้วไม่ได้บวช เขาบอกว่าจะมีเวรมีกรรม เพราะวิญญาณที่จะรับบุญจากที่เราบวชนั้นไม่ได้ ไม่ได้สิ่งนั้น อันนี้เป็นความคิดของเขา

 

ถ้าเราคิดอย่างนั้น เราตั้งใจทำดี เราตั้งใจทำดี เห็นไหม มีคนคิดมากเลย บอกว่านัดกันพรุ่งนี้ไปทำบุญนะ แล้วไม่ไป แสดงว่าถ้าไปทำบุญ วิญญาณนั้นเขาจะได้บุญ แสดงว่าเราก็มีกรรมเหมือนกันน่ะสิ

 

อ้าว! เราคิดว่าจะทำความดีแล้วเราไม่ได้ทำ เราไม่ได้ทำ พอเราคิดถึงความดี เขาอนุโมทนารออยู่แล้ว แล้วเราไม่ได้ทำ เราเป็นกรรมไหม มันก็เป็นกรรม

 

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า เราคิดว่าเราจะบวช แล้วเราไม่ได้บวช ทำอะไรแล้วจะไม่เจริญรุ่งเรือง

 

เราไม่ได้บวช ถ้าเราคิดว่าจะบวชแล้วเราไม่ได้บวช แต่เราทำสิ่งใดทำด้วยความจริงจังของเรานะ มันก็มีความเจริญรุ่งเรืองเหมือนกัน ถ้าเราจะบวช ถ้าเราบวชแล้วเราได้บวชจริงมันก็ดี ได้บวชเพราะอะไร บวชเข้าไปศึกษา ได้บวชแล้วก็จบ แต่ถ้าไม่ได้บวช ไม่ได้บวชก็ทำ เพราะเดี๋ยวนี้นะ เขาบวชใจกัน บวชใจ บวชใจไม่ต้องมาบวชเป็นนักบวช บวชใจเลย อยู่ที่สถานะไหนก็ได้ พยายามปฏิบัติหัวใจของเราให้เป็นจริงขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมา

 

ดูนางวิสาขาไม่ได้เป็นนักบวช เป็นพระโสดาบัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเชื่อมั่นในนางวิสาขา ถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นให้นางวิสาขาเป็นผู้วินิจฉัย เห็นไหม เขาไม่ใช่นักบวช เขาเป็นพระโสดาบัน เขาก็บวชใจของเขา

 

ไอ้เราว่าเราจะบวช บวชมาแล้วยังทำใจของเราไม่ได้เลย พอบวชมาแล้วก็ยังวิตกกังวลหมดเลย เราจะบอกว่า สิ่งที่เขาพูด เราไม่เชื่อว่าจะมีผล ถ้าเราบอกว่าจะบวช เพราะกรณีอย่างนี้มันมีกรณีที่ว่า อย่างเรา เราจะเอาใครบวชเราก็ไปพูดกับเขาว่าให้บวช ให้เขารับปาก จะเอาชีวิตของเขาทั้งชีวิตเลยมาเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์กับตัว มี มีบางที่จะเอาพระมาบวช พระมาบวชแล้วก็กักไว้ เหมือนกับฟาร์มเลี้ยงพระ เอาพระมาทำฟาร์ม

 

ฉะนั้น หลวงปู่มั่นนะ จะมีใครไปอยู่กับท่านนะ ท่านให้อยู่ห่างๆ ให้อยู่ข้างๆ แล้วจะบอกว่าให้ไปอยู่ที่นั่นๆ หลวงปู่มั่นไม่เอาพระไว้ข้างตัวท่านเลย ให้ไปประพฤติปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้วถ้าใครมีปัญหาขึ้นมาให้มาหาท่าน ท่านจะแก้

 

เรามารวมกันเหมือนปลากระป๋อง อัดไว้ในกระป๋องเลย เวลาเปิดกระป๋อง ได้กินปลากระป๋องนั้น เอาพระมาอัดกันไว้ อัดไว้ในวัดเยอะๆ แล้วพระก็อัดแน่นไปหมดเลย จะเดินจงกรมก็ไม่ได้ หัวมันจะชนกัน จะนั่งฉันอาหารก็หัวจะทิ่มกัน แล้วพระมันจะเป็นพระขึ้นมาไหม

 

แต่พระนะ พอบวชแล้วนะ อ้าว! ไปอยู่ที่นั่น ไปอยู่ที่นี่ แล้วปฏิบัตินะ ถ้ามันมีปัญหามาถาม มีปัญหามาแก้ไขกันไป นี่ครูบาอาจารย์ท่านอย่างนั้น

 

ไอ้นี่เหมือนกัน มี มีสำนักหลายที่ที่พระไปบวชแล้ว อู้ฮู! เหมือนกับทาส ทั้งๆ ที่ว่าการบวชเขาบวชมาเพื่อความอิสระ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า นักบวชเหมือนนกมีปีกกับหาง มีบริขาร ๘ ธุดงค์ไป บิณฑบาตฉันแล้วบิน เหมือนนกเก็บบริขารแล้วบินไป ไม่ติด ไม่ติดข้องที่ไหน ไม่ยึดติดสิ่งใดทั้งสิ้น ให้เป็นอิสระ

 

แต่นี้พอบวชมาแล้ว โอ้โฮ! ต้องลงทะเบียนนะ เหมือนโคเลย ต้องตีตราว่าคอกไหนไง คอกไหน พันธุ์ไหนเลยนะ นี่โคพันธุ์นี้อยู่คอกนี้ นี่เขาก็คิดกันอย่างนั้น มี เราเห็นเขาทำกันอยู่ ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว คำถามมันตรงนี้ไง “คนที่เคยพูดว่าจะบวช แล้วทำไม่ได้ ไม่ได้ทำ จะไม่เจริญ มันจะมีโทษไหม ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต”

 

อันนี้เหมือนกับทางโลกเขาว่านะ นรกสวรรค์ไม่มี เขาบอกนรกสวรรค์เขาเขียนเสือให้วัวกลัว นรกสวรรค์ไม่มีจริงนะ แต่เขาบอกว่าผู้ที่ไม่เชื่อไง เขาบอกว่านรกสวรรค์เขาเขียนเสือให้วัวกลัว คือเอานรกสวรรค์มาขู่ มาขู่ให้กลัว

 

แต่ถ้าเราเชื่อ เราเชื่อของเราด้วยเรามีครูบาอาจารย์ เรามีศาสดา มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่ามี นรกสวรรค์มีจริง เพราะนรกสวรรค์เป็นผลของวัฏฏะ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นรกสวรรค์ตั้งแต่พรหมลงมา จิตนี้เวียนตายเวียนเกิด มันมีของมันอยู่จริง ถ้ามันมีอยู่จริง ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ทำดีก็ไปเกิดบนสวรรค์ ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ทำชั่วก็เกิดในนรก นรกมันมีจริง แต่เขาบอกว่าเอานรกสวรรค์มาขู่ เขียนเสือให้วัวกลัว

 

มันมีอยู่จริง คนทำดีต้องได้ดี คนทำชั่วต้องได้ชั่ว มันมีอยู่จริง ไอ้นี่การบวชก็เหมือนกัน ถ้าการบวช ถ้าเราบวชมาแล้ว เราบวชของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา เราบวชมาจริง มันก็เป็นความดี

 

แต่ถ้าเราไม่ได้บวชเพราะเรามีความจำเป็น หรือเรามีความจำเป็น แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะบวช เราจะบวชอนาคตข้างหน้าก็ได้ เราบอกว่าเราจะบวช แต่ตอนนี้เรายังมีภรรยาอยู่ เราจะบวชข้างหน้าก็ได้ ทำไมต้องเอาเรื่องความประสบความสำเร็จมาขู่กัน ไอ้นี่เขาถือว่าขู่ แต่นรกสวรรค์ เขาเอานรกสวรรค์มาขู่ มันมีจริงนะ เขาเอามาขู่

 

นี่ก็เหมือนกัน มันก็มีจริงเหมือนกัน มันจะไม่ประสบความสำเร็จ มันมีเวรมีกรรม เพราะมีจิตวิญญาณ อันนั้นเอามาขู่กัน เอามาขู่กัน

 

เราไม่บวช แต่เราปฏิบัติดีกว่านักบวชก็ได้ เราไม่บวช เราทำคุณงามความดี จิตสงบแล้วอุทิศส่วนกุศลดีกว่านักบวชอีก เราไม่บวช วิญญาณที่เขาจะขอส่วนบุญ เรานั่งสมาธิ เราอุทิศส่วนบุญนี้ให้วิญญาณ วิญญาณนั้นเขาบอก สาธุ ท่านไม่บวชนี่ดี๊ดีเลย เพราะท่านไม่บวชแล้วท่านทำสมาธิได้ ท่านส่งมาให้มันมากกว่านักบวชให้มาตั้งเยอะเลย อ้าว! เอามุมกลับเลย มันมุมกลับก็ได้

 

มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันไม่เป็นอย่างที่เขาว่า ว่าถ้าไม่ได้บวชแล้วมันจะมีปัญหามากเพราะเราเคยพูดว่าจะบวช

 

ทุกคนคิดว่าจะทำดี แล้วทำความผิดกันเยอะแยะเลย ทุกคนบอกว่าจะทำแต่คุณงามความดี แต่ก็ยังทำผิดกันมหาศาลเลย แล้วอันนั้นเวรกรรมจะให้ผลมากไปกว่านั้นอีกไหม

 

ฉะนั้น ที่ว่า “คนที่เคยพูดว่าจะบวชแล้วทำไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่เจริญรุ่งเรือง จะทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จจริงหรือไม่”

 

ถ้าไม่เจริญรุ่งเรือง ไม่ประสบความสำเร็จเพราะเราขาดสติ ไม่เจริญรุ่งเรือง ไม่ประสบความสำเร็จเพราะเราประมาท ไม่เจริญรุ่งเรือง ไม่ประสบความสำเร็จเพราะเราไม่ใช้ปัญญาให้รอบคอบ

 

เราใช้ปัญญาให้รอบคอบ เรามุมานะทำความจริงของเรา ถ้าทำได้ ทำความจริงของเรา มันอยู่ที่อำนาจวาสนาเหมือนกัน อำนาจวาสนาโดยส่วนหนึ่ง อำนาจวาสนาเขาเรียกว่าพรสวรรค์ พรสวรรค์กับพรแสวง พรสวรรค์เราต้องขยันหมั่นเพียร มีพรสวรรค์ไม่ทำอะไรเลย พรสวรรค์ช่วยอะไรไม่ได้หรอก

 

พรสวรรค์ก็คือพรสวรรค์ พรสวรรค์คือบุญอันหนึ่ง แต่ถ้ามีความขยันหมั่นเพียร มีการกระทำ พรสวรรค์นั้นก็ช่วยส่งเสริมด้วย กรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมใหม่นี่สำคัญ กรรมปัจจุบันนี้สำคัญ ฉะนั้น ถ้าเราทำของเรานะ พิสูจน์สิ โยมพิสูจน์เลย ตอนนี้ทำให้มั่นคงแข็งแรง ทำให้ดีจริงเลย แล้วทำให้ประสบความสำเร็จเลย แล้วโยมกลับไปบอกสำนักที่บอกว่าจะเป็นอย่างนั้น ไปบอกเขาเลยว่า นี่ไง ฉันไม่ได้บวช ฉันรวยขนาดนี้ ฉันไม่ได้บวช ฉันประสบความสำเร็จขนาดนี้...ทำได้ ฉะนั้น สิ่งที่ประสบความสำเร็จไม่ประสบความสำเร็จนั้นมันเรื่องโลกๆ

 

ทีนี้คำว่า “บวช” บวชแล้วถ้าประพฤติปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง มรรคผล อัตตสมบัติมันสำคัญ มันเป็นความสำคัญ แต่ชีวิตของคน แต่ผลของวัฏฏะแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนกัน มันอยู่ที่จังหวะและโอกาสของคนคนนั้นทำได้มากได้น้อยแค่ไหน ถ้าได้มากได้น้อยแค่ไหน มันก็เป็นผลอย่างนั้น

 

แต่ชีวิตของเรา เรามีสติมีปัญญา เรามีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เราอย่าให้ใครมาขู่ เราอย่าให้ใครเอาเรื่องบุญเรื่องกุศลมาขู่เรา อย่าให้ใครเอาเรื่องบุญเรื่องกุศลมาข่มมาขู่ อย่าให้เขามาขู่ มาหลอกลวง

 

เรามีสติปัญญา กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ไม่ต้องไปเชื่อใครทั้งสิ้น ทำคุณงามความดีของเราเพื่อประโยชน์ของเรา ถ้าเป็นความจริงของเรา เราทำได้นะ มันเป็นความจริงของเรา เราทำจริง เห็นไหม ทำเพื่อประโยชน์ เพื่อประโยชน์กับตัวตน เพื่อเป็นความจริงของเรา ทำใจเราให้ดี

 

ปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่อใจ ทำคุณงามความดีก็ทำความดีเพื่อใจ เพราะใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจทำให้เราเกิดมา เรามีหัวใจในร่างกายนี้ เวลาปฏิบัติขึ้นมา ถ้าไม่มีหัวใจเป็นคนรับผล บุญกุศลมันตกที่ไหน ถ้าไม่มีใจให้รับผล โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ มันเกิดที่ไหน มันเป็นอย่างใด อะไรรองรับมรรคผลอันนี้ อะไรเป็นคนรองรับอัตตสมบัติอันนี้

 

มันมีอยู่จริง ใจเราก็มีอยู่จริง สรรพสิ่งก็มีอยู่จริง แต่โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทามันกรอกหูทุกวัน ธรรมะเก่าแก่ เราจะไปเชื่ออะไรกับโลกธรรม ๘ สรรเสริญนินทา นินทากาเล การนินทากาเลกัน การกล่าวร้าย การให้ร้ายมันมีประโยชน์อะไร

 

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา การกล่าวร้าย การให้ร้าย ใครว่าสิ่งใด เราเอาสิ่งนี้มาเป็นคติ เอาสิ่งนี้มาแยกแยะว่าเขาพูดมา เอามาเสริมกำลังใจ ใครพูดสิ่งใดเอามาหนุนเรา เอามาให้เรามีกำลังใจ ให้ชีวิตเรามีกำลัง มีการกระทำ การกล่าวร้ายเอามาทำเพื่อประโยชน์ อย่าเอามาเป็นโทษ

 

ไอ้นี่มันเป็นเรื่องโทษ มันเรื่องโลกธรรม มันไม่ได้ทำจริงๆ ถ้าทำจริงๆ นะ เขาจะเห็นใจเรา เขาจะช่วยส่งเสริมเรา เขาจะแก้ไขให้เรา อ้าว! ถ้าบวชได้ก็บวช อ้าว! ถ้าบวชไม่ได้ บวชไม่ได้ก็บวชใจ

 

ครูบาอาจารย์ที่ดีท่านจะเป็นหลักชัยที่ดี ท่านจะคอยส่งเสริมเราที่ดี ท่านจะทำให้ชีวิตเราดีๆ ท่านทำแต่สิ่งที่ดีให้เรา ท่านไม่มาขู่มาเข็ญอย่างนี้ ดูสิ พ่อแม่ก็ทุกข์ยากขนาดนี้ ตัวเองก็ทุกข์ยากขนาดนี้ แล้วยังมาขู่อีกว่าถ้าไม่บวชแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ ไอ้เราก็ไปทุกข์อยู่ในหัวใจ

 

ไม่ต้องทุกข์ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีเพื่อความดีของเรา เอวัง