เทศน์บนศาลา

ธงธรรม

๓o ส.ค. ๒๕๔๗

 

ธงธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๗
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะมาตรัสรู้แต่ละพระองค์ ต้องสร้างสมบุญญาธิการมาอย่างมหาศาล สร้างบุญญาธิการมานะ ยังต้องมาประพฤติปฏิบัติอีก เพราะการสร้างบุญญาธิการมานี่เป็นเรื่องของวัฏฏะ เรื่องของวัฏฏะคือการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว โดยสัจจะความจริงของเขา คนสร้างคุณงามความดีมามหาศาลต้องได้คุณงามความดีแน่นอน สิ่งที่ได้แน่นอนนั้น แต่ถ้าพูดถึงถ้าทำคุณงามความดี เห็นไหม กระแสมันส่งต่อกัน ถ้าทำคุณงามความดีต่อไปก็ต่อไป

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ได้รับพยากรณ์แล้วว่าจะต้องตรัสรู้ธรรม ถึงว่า ทำคุณงามความดีต่อไป แต่ก็ต้องประพฤติปฏิบัติจนถึงชาติสุดท้าย ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่บรรลุธรรม ถ้าไม่บรรลุธรรม จิตนี้ก็ต้องไปในวัฏฏะ ทำคุณงามความดี คุณงามความดีก็ต้องส่งต่อไปโดยสัจธรรมของเขา นี่คือสัจธรรมของเขาโดยสัจจะความจริง คือธรรมที่มีอยู่

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกับไก่ตัวแรกทะลุเปลือกไข่ของอวิชชาออกมาไง การทะลุเปลือกไข่ของอวิชชาออกมาอันนี้เป็นบุคลาธิษฐาน ไม่ใช่สัจจะความจริงอันนั้น การบรรลุธรรมเป็นตัวอริยสัจ สิ่งที่เป็นอริยสัจคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมาอย่างนี้แล้วถึงค้นคว้าออกมาจนเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ปักธงธรรมในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ว่าพ้นจากกิเลสทั้งหมด เห็นไหม ธงธรรมอันนี้ปักลงในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยกธงนี้ขึ้นแล้วไง

ธงนี้นอนอยู่ ล้มลุกคลุกคลานอยู่ แนบอยู่ไปกับดิน เห็นไหม สิ่งสัจจะมีอยู่ เหมือนกับสิ่งที่ว่าของในโลกนี้มีอยู่ แต่คนไม่เห็นคุณค่าของมันจะไม่เห็นคุณค่าของมันเลย แต่พอเห็นคุณค่าของมัน สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับโลก อย่างเช่น ถ้าสมัยโบราณ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น้ำมันจะมีคุณค่าไหม เพราะเครื่องยนต์กลไกยังไม่เกิดในสมัยนั้น สิ่งที่สมัยนั้น สิ่งวิทยาศาสตร์อย่างนี้ยังไม่เกิด น้ำมันก็มีอยู่ในโลกแล้ว แต่ไม่เป็นประโยชน์กับในสมัยพุทธกาล แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ พอมีเครื่องยนต์กลไกขึ้นมา น้ำมันจะมีคุณค่ามาก พลังงานอันนี้มีมาก สิ่งนี้มีอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครสามารถใช้ประโยชน์มันได้ เพราะไม่ใช่คราว ไม่ใช่เวลาของมัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทะลุออกมาจากเปลือกไข่ของอวิชชา ปักธงในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นสถานะไง เป็นสถานะคือภาวะของใจดวงนั้น สิ่งที่ภาวะใจดวงนั้น ปักธงอันนี้ขึ้นมาถึงมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับมีพระธรรม สิ่งที่มีพระธรรมนะ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ

สิ่งที่เทศน์ธัมมจักฯ เทฺวเม ภิกฺขเว ทางที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามค้นคว้าอยู่อย่างนี้ ๒ ข้าง กามสุขัลลิกานุโยค กับ อัตตกิลมถานุโยค สิ่งนั้นภิกษุไม่ควรเสพ นี่มีคนชี้นำอยู่แล้วนะ เวลาเทศน์ธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะมีความเห็น มีความรู้อย่างนี้ไง นี่ปักธงขึ้นมาได้ แต่ธงนี้ยังไม่ครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

เพราะว่าพอพูดถึง สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ สิ่งที่เกิดขึ้น สัจจะความจริงอันนี้เกิดขึ้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้ สิ่งที่เป็นสัจจะนี้คือภาวนามยปัญญา สิ่งที่จะเกิดภาวนามยปัญญานี้คือต้องค้นคว้าขึ้นมาจากหัวใจ นี่ภาวนามยปัญญา สิ่งที่มีอยู่คือสภาวธรรมที่เกิดขึ้นกระทบกับใจนี้ สิ่งนี้มีอยู่ ความสุข ความทุกข์มีอยู่ ความรื่นเริง ความเศร้าหมองผ่องใสในหัวใจนั้นมีอยู่ เพราะเขาสามารถทำสมาธิได้ เพราะจิตใจนี้มันเป็นสภาวะแบบนั้น สิ่งที่สภาวะแบบนั้นมันมีความเจริญ มีความเสื่อมของมันโดยธรรมชาติของมัน สิ่งที่เจริญแล้วเสื่อมโดยสภาพของมันนั้นมันไม่เป็นความจริงขึ้นมา

จนถึงว่า สัจจะความจริงเกิดขึ้นจากหัวใจดวงนั้น นี่ปักธงขึ้นมาส่วนหนึ่ง แล้วเทศน์อนัตตลักขณสูตรขึ้นมา ถึงพ้นจากกิเลสไง นี่พระปัญจวัคคีย์ก็ปักธงในหัวใจของพระปัญจวัคคีย์นะ เทศน์สอนยสะ แล้วก็เทศน์บริวารยสะ จนได้ ๖๐ องค์ใช่ไหม พร้อมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็น ๖๑ องค์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า พระที่พ้นจากกิเลสนี้พ้นบ่วงของมาร ทั้งๆ ที่ว่าเป็นทั้งของโลกด้วย เป็นทั้งของทิพย์ด้วย แล้วให้ออกเผยแผ่สัจธรรม เพื่อได้รื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์โลกนี้มีความเร่าร้อนมาก ต้องการที่พึ่งที่อาศัย ให้แยกออกไปคนละทาง อย่าไปซ้อนทางกัน เพราะการซ้อนทางกันจะเสียผลประโยชน์ของโลกเขา

เวลาพระออกเผยแผ่ธรรมในสมัยพุทธกาล จะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึก เพราะพ้นทุกข์ เพราะมีคนผู้ชี้นำ เพราะกระเสือกกระสนมาพอแรงแล้ว แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ทางให้ ถึงไม่สวนกระแสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เพราะมีธรรมในหัวใจ ธรรมในหัวใจนี้เกิดขึ้นมาจากความเป็นไปของสัจจะอันนั้นไง

สัจจะอันนั้นนะ พระอัสสชิไปสอนพระสารีบุตร “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า ธรรมทั้งหลายย่อมมาแต่เหตุ ถ้าจะดับผลของทุกข์นั้นต้องย้อนกลับไปที่เหตุ ดับที่เหตุนั้น” มันมีสัจจะ มีความจริงในหัวใจนั้น มันมีการกระทำไง สิ่งที่ในหัวใจนั้นมีการกระทำ การกระทำสิ่งนี้ใครจะบอกเราได้ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม จะเป็นไปไม่ได้นะ

ถ้าศาสนานี้ไม่มี จะมีพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องสร้างวาสนาบารมีมา ถึงจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะมีสร้างอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาคือการสละไง การสละ การสร้างบารมีธรรม บารมีไง อินทรีย์แก่กล้า จนยอมรับสภาวธรรมอันนี้ได้ ถ้าอินทรีย์ไม่แก่กล้า ความเห็นจากภายในจะไม่เชื่อสิ่งนี้นะ

สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมอยู่ เห็นไหม พระสาวกมาบวชในศาสนานี้มหาศาลนะ ผู้ที่เป็นธรรมก็จะเป็นธรรม ผู้ที่เป็นกิเลสก็จะสร้างแต่ความยุ่งเหยิงในศาสนา ดูอย่างพระโสณะนะ พระกัจจายนะออกไปเผยแผ่ธรรมอยู่ในชนบทประเทศ แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ รองเท้าชั้นเดียวไง มันเดินบนภูเขานะ หินปูนมันบาด ให้พระโสณะมาขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

ทำไมท่านเป็นพระอรหันต์ ทำไมท่านไม่ซ้อน ไม่ทำ? เพราะท่านฝืนธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ไง ท่านทำไม่ได้ เพราะหัวใจของท่านเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่ว่าใส่รองเท้าหนังชั้นเดียวแล้วเดินอยู่ในชนบทประเทศ ในภูเขา มันบาดเท้าก็ทนนะ แล้วขอให้พระโสณะมาขอพรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าในชนบทประเทศ ขอให้ใส่รองเท้าหลายชั้นได้ไหม แล้วขอเวลาที่จะบวชในชนบทประเทศ ศาสนาเผยแผ่ไปมันยังมีการบวชน้อย กว่าจะรอพระให้ครบ ๑๐ องค์นี่รอถึง ๓ ปีนะ กว่าพระโสณะจะได้บวช บวชเณรก่อน แล้วถึงมาบวชพระ กว่าจะบวชพระนี่ถึงบอกว่า ชนบทประเทศขอให้ ๕ องค์ก็บวชได้

เห็นไหม ไม่ฝืนนะ ไม่สวนกระแสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะใจเป็นธรรม ใจเป็นธรรมเพราะเห็นการกระทำของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมีการกระทำ มีสัจจญาณ กิจจญาณ มีกตญาณ ญาณหยั่งเกิดขึ้นในหัวใจนี้มันจะเกิดขึ้น มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์มาก สิ่งที่เป็นความลึกลับมหัศจรรย์ นี่กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมอยู่ในหัวใจดวงนี้ ในหัวใจดวงนี้จะฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้คือธรรมจักร คือภาวนามยปัญญาในศาสนาพุทธของเรานะ

แต่เวลาพระมาบวช เห็นไหม สิ่งที่เขามาบวชนั้น พวกฉัพพัคคีย์สร้างปัญหามาก สร้างปัญหานะ บวชเข้ามาในศาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัยเรื่องรองเท้านะ เดิมห้ามใส่รองเท้า แต่เพราะเรื่องพระโสณะถึงให้ใส่รองเท้า เพราะพระโสณะเหมือนกัน แต่คนละโสณะนะ นี่อยู่ในสมัยพุทธกาล เป็นลูกเศรษฐี แล้วเท้านี้บางมาก เวลาเดินจงกรม เดินจงกรมอยู่จนเลือดออกนะ ฝ่าเท้านี่เลือดแดงไปหมดเลย

จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกตรวจวัดไปเห็นเข้า “นี้ที่เชือดโคของใคร”

สิ่งนี้แดงไปหมดเลยนะ “นี่ที่เชือดโคของใคร”

พระโสณะเดินจงกรมอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกให้มัชฌิมาปฏิปทา ทำแต่ความสมควรของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติที่หัวใจ เพราะเกิดมามีอำนาจวาสนา ทำทางสายกลาง จนพระโสณะพ้นจากกิเลสได้เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าพระโสณะมีอำนาจวาสนาขนาดนั้น ถึงอนุญาตรองเท้าไง ให้ใส่รองเท้าได้นะ นี่เริ่มจากมีรองเท้าขึ้นมา

พระฉัพพัคคีย์ พอพระพุทธเจ้าอนุญาต เห็นไหม ทำรองเท้า ประดับรองเท้า ทั้งปิดหน้า ปิดหลัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องอนุบัญญัตินะ...สิ่งนี้ก็ห้าม สิ่งนี้ก็ห้าม ห้ามมาตลอด จนเหลือหนังชั้นเดียวไง ให้เป็นหูคีบ แล้วเหลือหนังชั้นเดียว จนพระกัจจายนะออกไปชนบทประเทศ มีปัญหาขึ้นมา พอมีปัญหาขึ้นมานี่จะขอพรก่อนว่า ถ้าชนบทประเทศ ขอให้เป็นอย่างนั้นนะ นี่ผู้ที่เข้ามาเป็นธรรม จะไม่สวนกระแส

แต่ถ้าผู้ที่ไม่เป็นธรรม นี่ห้อยโหนกระแสนะ ในเมื่อปักธงไม่ได้ ยังห้อยยังโหนกระแส ว่าจะปกป้องครูบาอาจารย์นะ...ปกป้องไปที่ไหน ในเมื่อหัวใจของตัวเองไม่มีธรรมในหัวใจ ถ้ามีธรรมในหัวใจนะ มันต้องฟัง จะฟัง จะไม่สวนกระแสนะ

เวลาร่มธงนะ รมธงของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะมีธรรมในหัวใจนะ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมมาขนาดนี้ เผยแผ่ธรรมมาเพื่อสัตว์โลก เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ ผู้ที่ซื่อตรงต่อตัวเอง ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติ กลับจะได้ธรรมอันนี้ขึ้นมา ได้ธรรมอันนี้ขึ้นมาเพราะสิ่งที่เป็นธรรมมันเหนือโลกนะ

โลกนี้เป็นเรื่องของโลกเขา สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเขาถวายทานกันนะ เป็นพระห้าพัน พระกี่พัน เป็นหมื่น เป็นแสน ก็รับบิณฑบาตของเขาได้ ผ้าผ่อนแพรพรรณ เวลาพี่สาวของพระปเสนทิโกศลตายลง ทรัพย์สมบัติทั้งหมดถวายพระทั้งหมดนะ

เขาว่า ครั้งพุทธกาลนี่ผ้าน้อย ครั้งพุทธกาลอัตคัดขัดสน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ระหว่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนี่โลกจะขาดแคลนได้อย่างไร คนมีบุญกุศลขนาดนั้นมาเกิดนะ สิ่งนั้นมีมากมาย มีมหาศาล แต่มันก็เป็นธรรมนะ เป็นธรรมเพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์เป็นธรรมจะให้สิ่งนี้เป็นธรรมเพื่อเจือจานกับในสังคมของสงฆ์ไง

สิ่งที่สังคมของสงฆ์ เห็นไหม ดูอย่างพระเทวทัตสิ พระเทวทัตก็มาบวชในศาสนาเหมือนกัน เป็นลูกกษัตริย์เหมือกัน สิ่งที่เป็นลูกกษัตริย์ขึ้นมานี่จะต้องการปกครองสงฆ์ อยากปกครองสงฆ์ อยากใหญ่ ความเป็นใหญ่เพราะอะไร เพราะธรรมเกิดไม่ได้ ในเมื่อเป็นโลกียะ ฌานโลกีย์ เหาะเหินเดินฟ้าได้ขนาดไหน มันไม่เกิดธงธรรมขึ้นมาในหัวใจ มันไม่สามารถหาที่ปักได้ไง

เวลาไม่สามารถหาที่ปักธงได้ ธงปักในหัวใจนั้นไม่ได้ มีกิเลส มีอวิชชาอยู่ ความคิด ความตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่เป็นความทะยานอยาก เห็นไหม สวนกระแสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ขอให้สงฆ์อยู่ป่าเป็นวัตร ขอให้สงฆ์ฉันอาหารมังสวิรัติตลอดไป ตลอดชีวิต สิ่งที่ตลอดชีวิตนี่มันก็เหมือนกับเรื่องของโลก โลกเขาเป็นอย่างนี้ โลกเป็นวัตถุ โลกเป็นสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เวลาตรัสธุดงควัตรมา เป็นสิ่งที่พระเทวทัตขออยู่ในธุดงควัตรทั้งหมด แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปิดกว้างให้กับคนที่มีจริต คนที่มีนิสัย คนที่มีอำนาจวาสนา คนที่มีอำนาจวาสนานะ หัวใจจะละเอียดอ่อนมาก เห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ กับเห็นสิ่งที่เป็นโทษ

แต่คนที่หยาบจะไม่เห็นเรื่องเป็นประโยชน์เป็นโทษเลย เห็นแต่ความสุข ความมักง่ายของตัว เห็นแต่ความอยากใหญ่ของตัว เห็นแต่ตัณหาความทะยานอยากปิดกั้นหัวใจนะ มันจะสวนกระแส มันจะยึดมั่น สิ่งนั้นเพื่อต้องการยกย่องตัวเองให้ตัวเองมีอำนาจวาสนาขึ้นมาไง สิ่งที่ยกย่องตัวเองมันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด

เราทำคุณงามความดี ดีคือดี ถ้าคุณงามความดีนี่กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรมมันหอมทวนลมนะ คนดีนี่เขาศรัทธา เขากราบไหว้ เขามีพอใจ เขาอยากฟังธรรมจากคนดีนะ เขาไม่อยากฟังธรรมจากผู้ที่มีกิเลสหรอก เพราะอะไร

เพราะในสมัยพุทธกาลนะ มีฤๅษีชีไพร เวลาฤๅษีชีไพรเขาบูชาไฟ เวลาเขาบูชาไฟนะ เขาบูชาไฟของเขา แล้วเวลาเขาต้องจากที่นั่นไป เขาให้ลูกศิษย์เขารักษาไฟไว้นั้นไง รักษาไฟนะ ลูกศิษย์รักษาไฟ เด็กนั้นรักษาไฟของฤๅษี เพราะเขาเคารพไฟ เขาบูชาไฟ อ้อนวอนเอาไง สิ่งที่บูชาไฟ แล้วเวลาต้องไปธุระ ให้ลูกศิษย์เฝ้า บอกนะว่าให้รักษาไฟไว้ให้ใส่ฟืนไว้ เด็กลูกศิษย์ก็เล่นเพลิน พอไฟดับ สิ่งที่ไฟดับ แล้วกลับมาเดี๋ยวอาจารย์จะเอ็ด พยายามจะจุดไฟก็จุดไฟไม่เป็น

ไฟ เขาเอาไม้มาสีกัน สีกันจนมันร้อน มันจะเกิดเป็นไฟ แล้วมีเชื้อไฟติดไฟนั้นเป็นไฟ นี่สีขนาดไหน เด็กมันไม่มีความสามารถ มันสีไม่ได้ไง แล้วไฟอยู่ไหนล่ะ ทำไมครูบาอาจารย์ติดไฟได้ ทำไมเราติดไฟไม่ได้ นี่ด้วยความไม่มีปัญญา เห็นไหม เอามีดมาผ่าไม้นั้นนะ หาไฟ จะหาไฟในไม้นั้น ว่าไฟอยู่ในไม้นี้ เกิดเวลาอาจารย์สีมันจะมีไฟขึ้นมา นี่เราสีก็ไม่มีไฟ แล้วไฟมันอยู่ไหน สงสัย เอามีดผ่าหาไฟ หาไม่เจอหรอก นี่มันไม่มีปัญญาไง

สิ่งที่เป็นปัญญามันจะไปรักษาอะไรได้ ในเมื่อรักษาไม่ได้ ในเมื่อปัญญาไม่เกิด มันก็เป็นฤๅษีชีไพร การเป็นฤๅษีชีไพร เห็นไหม ทำความสงบของใจเท่านั้น สิ่งที่ทำความสงบของใจ ถ้าฤๅษีชีไพรทำความสงบของใจแล้วก็อ้อนวอนรักษาไฟ เคารพไฟไง เพราะเคารพตัวเองไม่ได้ ในเมื่อหัวใจไม่เกิดธรรม สิ่งที่ธรรมนี้เกิดขึ้นไม่ได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วเผยแผ่มาตลอดนะ

ศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก เราเกิดในสมัยปัจจุบันนี่เราว่าวิทยาศาสตร์เจริญ ทุกอย่างโลกนี้เจริญ ศาสนาต้องเจริญแบบโลก...เราจะไปตื่นเต้นไปกับโลกเขาทำไม สิ่งที่เป็นเรื่องของโลกมันต้องมีการเกิดการตาย ใครจะเจริญรุ่งเรืองขนาดไหนมันก็เป็นเหยื่อของวัฏฏะทั้งนั้นล่ะ ต้องเกิดต้องตายในวัฏฏะทั้งนั้น เรายังเพลินไปกับวัฏฏะ เราก็ต้องอยู่ในวัฏฏะตลอดไป

แต่ถ้าเราสละออก นี่เนกขัมมบารมี เราพยายามค้นหาเวลาของเรา ค้นคว้าหานะ เวลาเป็นของเรา เราเกิดมานี่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ๒๔ ชั่วโมงนี้ก็เป็นของเรา แต่เราไปอยู่ในโลก เราก็ต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์กับโลก เพื่อหาสิ่งเป็นหน้าที่การงานของเรา หน้าที่การงานของโลก ถ้าเราอยู่กับโลกมันก็เป็นหน้าที่การงาน คนจะดีหรือเลวอยู่ที่ความรับผิดชอบ ถ้าอยู่ทางโลกรับผิดชอบ อยู่ทางโลกก็จะประสบความสำเร็จทางโลก

อยู่ทางธรรมนะ ความสำเร็จทางโลก เราเกิดมาแล้วเรามีสติปัญญา เราจะย้อนกลับมา นี่เนกขัมมบารมีเกิดจากตรงนี้ ถ้าเนกขัมมบารมีเกิดขึ้นมา เวลาการประพฤติปฏิบัติของเราก็จะมีขึ้นมา เรื่องของโลกเป็นแบบนี้อยู่แล้ว นี่ธรรมเหนือโลกนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปักธงธรรมจักรในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ครูบาอาจารย์ที่มีธรรมในหัวใจจะฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกราบธรรมด้วยเต็มหัวใจนะ แล้วเผยแผ่มาจนถึงที่สุด ศาสนามันก็เรียวแหลมไปธรรมชาติของกิเลสตัณหา ในเมื่อผู้ที่มีกิเลสตัณหาก็เอาความรู้ความเห็นของตัวว่านี่เป็นธรรม นี่โปฐิละๆ เวลาสอน เห็นไหม บาลีได้หมด จำได้หมดเลย “ใบลานเปล่าๆ” ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ มันก็มีใบลานเปล่าอยู่แล้ว แล้วสืบต่อกันมา สืบต่อกันนี่ศาสนาก็เรียวแหลมมา

ถึงจุดหนึ่ง เราเกิดท่ามกลางกึ่งกลางพุทธศาสนา องค์หลวงปู่มั่นพยายามค้นคว้า เวลาองค์หลวงปู่มั่นออกประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม มีศรัทธา มีศรัทธาเพราะสร้างอำนาจวาสนามา คนมีอำนาจวาสนา ถึงจุดหนึ่งแล้วมันจะต้องค้นคว้าเนกขัมมบารมีเพื่อจะค้นคว้าหาไง หาสัจธรรม จะหาสัจธรรมในหัวใจ

คนเกิดคนตายทุกคนเป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นทุกข์ ทุกคนก็อยากจะแสวงหาทางออก แล้วเราเกิดท่ามกลางพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนเรื่องพ้นทุกข์นะ ในศาสนาพุทธของเรานี้ “สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ในศาสนาไหนไม่มีมรรค ในศาสนานั้นไม่มีผลหรอก จะไม่มีรอยเท้าบนอากาศ สิ่งที่เป็นรอยเท้าต้องอยู่บนพื้นดิน”

ธงจะปักที่ไหน ศึกษาธรรมขึ้นมานี่จิตนี้เป็นนามธรรม เกิดมามีกายกับใจๆ ในศาสนาว่าอย่างนั้น เราศึกษาธรรมมาขนาดไหนเราก็มีความลังเลสงสัย เพราะเรามีกิเลสในหัวใจ แล้วพยายามค้นคว้า เห็นไหม หลวงปู่มั่นพยายามค้นคว้าอย่างนี้ขึ้นมา ค้นคว้าธรรมนะ จะปรึกษาหารือกับใครทุกคนก็เปิดตำรา สิ่งทีเปิดตำรามันก็ตีความ สิ่งที่ตีความก็คือกิเลสตีความไปกับธรรมะอันนั้น ธรรมะนั้นไม่บริสุทธิ์หรอก

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ในเรื่องของปริยัตินะ วิชาการทางโลกเขาเจริญมากสมัยปัจจุบันนี้ เราบอกว่าเราต้องรู้วิชาการเพื่อเราจะสื่อความหมายกับโลก ขอให้เรามีธรรมในหัวใจเถิด เวลาสัตว์นะ สัตว์เดรัจฉานมันก็รู้สุขรู้ทุกข์นะ มันมองกันด้วยสายตา มันจะรู้ว่าสุขว่าทุกข์ มันจะพอใจและไม่พอใจ คนเราจะคิดเกรี้ยวกราด คนเราจะมีเมตตาหรือไม่เมตตา มันออกมาจากสายตา สัตว์มันรู้ว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรูกับมัน

นี่ก็เหมือนกัน ทำไมเราต้องไปห่วงเรื่องโลกล่ะ ถ้าไปห่วงเรื่องโลก ศาสนานี้จะต้องเจริญ ศาสนานี้ต้องเทียบเคียงทางโลก...โลกเป็นเรื่องของโลกเขา สิ่งที่โลกเจริญนั้นมันเป็นกาลเป็นเวลาของโลกที่มันแปรสภาพไป เป็นอจินไตย โลกนี้เป็นอจินไตยในอจินไตย ๔ โลกนี้จะแปรสภาพตลอดไป

เราจะหวังว่าเมื่อนั้นๆ มันจะสมกับการประพฤติปฏิบัติของเรา มันอยู่ที่เราแสวงหา มันอยู่ที่เราพอใจเราจะออกวิเวกหรือเปล่า มันอยู่ที่การเราออกวิเวก วิเวกจากภายนอก เห็นไหม วิเวกจากภายใน ใจเราวิเวกหรือเปล่า ใจเราเป็นธรรมหรือเปล่า เราบวชมาเพื่ออำนาจวาสนา เพื่อการประพฤติปฏิบัติ เพื่อชำระกิเลสในหัวใจของเรา หรือเราบวชมาเพื่อต้องการยศถาบรรดาศักดิ์อำนาจวาสนา

ถ้าเป็นปริยัติ ตีความกันไปอย่างนั้นนะ ใครจำได้มาก ใครท่องได้เก่ง แล้วก็จะตีความกัน สิ่งที่ตีความก็มีแง่มุมที่จะต้องให้โต้เถียงกันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีที่สิ้นสุด เพราะอะไร เพราะมันการส่งออก เราจะวิจารณ์อะไร แม้แต่ปัญหาปัญหาเดียวเราตั้งขึ้นมา มันจะมีแง่มุมของมันต่างๆ มหาศาลเลย สิ่งที่เป็นสุขเป็นทุกข์มันเป็นที่เรื่องของหัวใจต่างหาก ธรรมมันอยู่ที่นี่ไง

ความสำคัญของธรรมคือความเข้าไปแก้ปัญหาเริ่มต้นของการเกิดและการตาย สิ่งที่การเกิดและการตายนี้ ถ้าปักธงอันนี้ได้ เห็นไหม ปักธงอันนี้ได้ กิเลสมันต้องตาย ถ้าตรงกิเลสมันจะตาย มันตายมันก็ตายด้วยวิธีการใด สิ่งที่จะทำให้กิเลสตาย สิ่งนี้ต่างหากที่ค้นคว้าแล้วหาไม่เจอ สิ่งที่หาไม่เจอ นี่ถึงว่าต้องมีภาคปฏิบัติ ถ้าไม่มีภาคปฏิบัติ ศาสนานี้จะไม่แสดงตัวออกมา ศาสนานี้มีแต่วิชาการ มีแต่ทฤษฎีที่การคาดหมาย มีแต่แผนที่ดำเนิน แต่คนไม่สามารถอ่านแผนที่นั้นได้ทะลุปรุโปร่งเหมือนกับองค์หลวงปู่มั่นที่ได้ปักธงธรรมในหัวใจไง

หลวงปู่มั่นปักธงในหัวใจแล้วนี่ สิ่งต่างๆ นี้เป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของวัฏฏะ ความเป็นไปของโลกจะเป็นสภาวะแบบนี้ เรื่องของโลก เข้าใจไง ถ้าเข้าใจในหัวใจเรา เข้าใจของหัวใจเราจะเข้าใจทั้งหมด

โลกภายนอก โลกภายใน โลกนอก เห็นไหม นี่ความเป็นไปของโลก “รู้แจ้งโลกนอกโลกใน” ถ้ารู้แจ้งโลกในมันจะแจ้งตรงไหน มันมืดบอด สิ่งที่มืดบอดมันก็ไม่เห็นที่จะปักธงใช่ไหม แต่ถ้าทำสัมมาสมาธิเข้ามา จิตมันสงบ ที่ปักธงมันอยู่ตรงนี้ไง สิ่งที่มีความสงบขึ้นมา เราไม่ใช่ฤๅษีชีไพรนี่ เราจะต้องแต่ทำความสงบ เหาะเหินเดินฟ้า บูชาไฟ ไม่มีปัญญา สิ่งที่ไม่มีปัญญามันจะเกิดธงขึ้นมาได้อย่างไร มันมีแต่ด้ามธง แต่ตัวธงไม่เห็น ไม่มีตัวธง

ถ้ามีตัวธงขึ้นมานี่จะเกิดมัคคา มรรคนี้จะมีหมุนขึ้นมา ความมัคคา ความชำระกิเลสชำระอย่างไร ภาวนามยปัญญาเกิดอย่างไร? เกิดได้เฉพาะภาคปฏิบัติ เพราะมันเป็นสัจจะ มันเป็นปัจจัตตัง สิ่งที่เป็นปัจจัตตังเพราะความทุกข์ความสุขมันอยู่ที่ใจเรา เราจะแบกหามขนาดไหนมันก็เป็นความสุขความทุกข์ในใจของเรา ใครจะไม่มีส่วนแบ่งจากความสุขความทุกข์จากใจเรา เว้นไว้แต่มีแต่ส่วนเสริมไง

นินทาสรรเสริญอันนั้นมันทำให้ใจเราพองขึ้นมาได้ ทำให้ใจเราแฟบขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่เขาไม่มีสิทธิ์กับใจของเรานะ ใจของเรามันเป็นอิสรภาพของเรา เป็นเสรีภาพของเราที่เราจะรักษาใจของเรา ทำไมต้องเอาใจของเราไปให้เขาเหยียบย่ำทำลายล่ะ เอาใจของเราไปเหยียบย่ำทำลายเพราะเราไปแคร์กับความรู้สึกของเขา เราไปแคร์กับความรู้สึกต่างๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก การประพฤติปฏิบัตินี้ให้เหมือนนอแรด ไปเหมือนนอแรด ไปผู้เดียว เอาใจของใจไว้ในอำนาจของตนได้เมื่อไร นั้นน่ะเป็นผู้ประเสริฐ สิ่งที่เป็นผู้ประเสริฐ เห็นไหม สภาวธรรมประเสริฐ ประเสริฐตรงนี้ไง ประเสริฐในการภาคปฏิบัติ ถ้ามีการประพฤติปฏิบัตินี้ ศาสนาจะแสดงตัว ถ้าไม่มีการประพฤติปฏิบัตินั้น มันมีแต่เพลี้ย เพลี้ยนี้เกาะกินศาสนานะ ทำลายศาสนาจนเรียวแหลมมา จนพระจอมเกล้าฯ ต้องมาฟื้นฟู เพราะว่ามันทฤษฎีไปอย่างหนึ่ง การประพฤติปฏิบัติ การกระทำไปอย่างหนึ่ง

คนเรานะ ทฤษฎีอย่างหนึ่ง คือแผนที่ดำเนินชี้ไปทางหนึ่ง...

...แล้วเราลงไปทางใต้ เราจะเข้าถึงกรุงเทพฯ ไหม? มันเป็นไปไม่ได้หรอก กรุงเทพฯ นี่เราต้องขึ้นไปทางทิศเหนือ แต่เราจะไปกรุงเทพฯ เราหันหัวรถเราลงไปทางใต้ แล้วเราบอกเราจะไปกรุงเทพฯ นี่ในเมื่อแผนที่ดำเนินชี้ไปทางเหนือ พระจอมเกล้าฯ ถึงได้มารื้อค้นขึ้นมา แล้วหลวงปู่มั่นเอาสิ่งนี้เป็นเครื่องดำเนิน เพราะมีศรัทธา มีความเชื่อนะ สิ่งที่มีศรัทธา มีความเชื่อ แล้วพยายามค้นคว้า ค้นคว้าเพราะย้อนกลับไง

๑. จะเป็นคนที่มีอำนาจวาสนา อินทรีย์แก่กล้ารองรับสภาวะแบบนี้

แต่ผู้ที่จะโบกธงนะ ปักธงแล้วโบกธง โบกธงให้ผู้ที่มีธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโบกธงธรรม โบกให้อัครสาวกต่างๆ เผยแผ่ศาสนา เทวดาฟ้าดินต่างๆ แล้วได้รับผลประโยชน์จากศาสนา มีความร่มเย็นเป็นสุขนะ สิ่งที่ร่มเย็นเป็นสุขเพราะใจที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น มันไม่เบียดเบียนตนเอง จะเบียดเบียนคนอื่นได้อย่างไร มันจะเป็นสัจธรรม มันเป็นความจริงนะ

เรื่องของโลกมันเป็นเรื่องของปัจจุบันนี้เดี๋ยวนี้ แต่เรื่องของธรรมนี่มันสัมผัสไปในวัฏฏะ วัฏฏะ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนเข้าไปอดีตชาติ ชาติที่ก่อนจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระเวสสันดรนะ ย้อนกลับไป ๑๐ ชาติ แล้วย้อนกลับไปไม่มีที่สิ้นสุด นี่ผลของวัฏฏะมันเป็นแบบนี้

สภาวธรรมนี่อธิบายวัฏฏะ แล้วให้วัฏฏะเวียนมาจนเป็นจริตนิสัย จนแก้ไขสิ่งนี้ไง แต่โลกมีปัจจุบันนี้เท่านั้น แล้วเอาปัจจุบันนี้เป็นใหญ่ สิ่งที่เอาปัจจุบันนี้เป็นใหญ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรม โบกธงมาจนมาถึงปัจจุบัน แล้วโบกธงมาถึงคราวหนึ่ง มันเลือนหายไป นี่เป็นพันๆ ปีนะ สิ่งที่เป็นพันๆ ปี ยกส่งทอดมาเป็นชั้นๆ จากชุมชนชุมชนหนึ่งไปอีกชุมชนหนึ่งๆ เป็นประเทศ เป็นเขต เป็นแดนขึ้นมา

จนในปัจจุบันนี้ ศาสนาจะเจริญที่นี่ไง เจริญในภูมิภาค ในภูมิภาคคือในสิ่งที่ว่าสมดุล มีฤดูกาล สิ่งต่างๆ สมบูรณ์ แล้วหลวงปู่มั่นค้นคว้านี่เพราะอะไร เพราะสร้างอำนาจวาสนาสิ่งนี้มาไง แล้วสร้างธรรมขึ้นมานี่ ค้นคว้าสิ่งนี้ขึ้นมาแล้วโบกธงนะ สร้างลูกศิษย์ลูกหานะ

หลวงปู่มั่นบอกกับครูบาอาจารย์มาว่า ถ้าหลวงปู่มั่นดับขันธ์นะ ให้พึ่งหลวงปู่ขาว

สมัยที่ว่าหลวงปู่มั่นโบกธงนี่นะ พระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติก็มีหลายองค์ ทำไมหลวงปู่มั่นฝากไว้กับหลวงปู่ขาว แล้วหลวงปู่มั่นบอกว่า “จะมีพระหนุ่มองค์หนึ่ง จะเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แล้วจะเป็นผู้ที่ทำประโยชน์กับศาสนามหาศาลเลย” นี่หลวงปู่มั่นโบกธง แล้วผู้ที่เดินตามหลวงปู่มั่นจะเป็นประโยชน์กับเรื่องศาสนา เรื่องศาสนาคือธรรมภาคปฏิบัติ เพราะธรรมภาคปฏิบัติจะเข้าใจหลักความจริงของศาสนา แล้วเอาศาสนานี้ขึ้นปักธงในหัวใจได้

ถ้าปักธงในหัวใจได้ เห็นไหม การโบกธงนั้น เราจะเชื่อฟังธงนั้นไหม ถ้าเราเชื่อฟัง ดูในกองทัพ เวลาเขารบ เขาจะดูสัญญาณธง ถ้าธงโบกทางไหน ผู้ที่เป็นแม่ทัพ ผู้ที่เป็นกองทัพจะไปตามธงนั้น จะเข้าใจสัจจะธงนั้น จะเข้าใจสัจจะธงนั้นเพราะเหตุใด เพราะว่าเข้าใจธงนั้นเพราะมีสัจธรรมในหัวใจ สิ่งที่มีสัจธรรมในหัวใจนะ ถ้าในหัวใจเรามีสัจจะ มีความจริง มีมัคคาที่เครื่องดำเนินชำระกิเลส สิ่งที่ชำระกิเลส

ไม่ใช่ลูกศิษย์ของฤๅษีชีไพรที่ว่าเฝ้าแต่ไฟไง ผ่าฟืนนะ ผ่าฟืนเพื่อจะหาไฟก็ไม่เป็น หาไฟ จุดไฟก็ไม่เป็น แล้วจะไปอ่านธงของหลวงตาที่โบกสะบัดเรื่องการรักษาธรรมและวินัยได้อย่างไร รักษาธรรมและวินัย ในเมื่อธรรมและวินัยนี้เป็นปักธงขึ้นมาในหัวใจ มันจะมีเคารพรักนะ แล้วครูบาอาจารย์ที่มีธรรมในหัวใจ มันจะเข้าใจเรื่องการโบกธงนั้นไง ถ้าธงนั้นเคลื่อนไปทางไหน กองทัพให้เคลื่อนไปทางนั้น เคลื่อนไปทางนั้น มันเป็นเป็นความราบรื่นกับศาสนา ถ้าศาสนาโบกธงแล้วธงนั้นจะราบรื่นไง

ไม่ใช่ทวนกระแสนะ ในเมื่อเราอ่านภาวะธงนั้นไม่ออก แล้วเราก็ยังเข้าใจว่าเราเป็นคนที่ว่าจะปกป้องครูบาอาจารย์นะ เราจะปกป้อง เราจะรักษาครูบาอาจารย์ มันจะเหนี่ยวธงนั้น มันจะทำลายธงนั้นนะ ธงนั้นมันจะเหยียบจนจมดินนะ จมดินเพราะอะไร เพราะตัวเองเป็นสิ่งที่ว่าเป็นไส้ศึก ตัวเองเห็นไหม กรุงศรีอยุธยาเสียเพราะอะไร? กรุงศรีอยุธยาเสียเพราะไส้ศึก เพราะเกลือเป็นหนอน สิ่งที่เกลือเป็นหนอนทำให้กรุงศรีอยุธยาต้องแตกนะ แต่กรุงศรีอยุธยา เวลาที่ว่ากษัตริย์ก็ธงไม่มั่นคง ธงก็คลอนแคลน ผู้ที่อ่านธงก็ไม่เข้าใจ มีไส้ศึกกัดกร่อนอยู่ในนั้นต่างหาก

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อใจสร้างศาสนา ในเมื่อจะปกป้องธรรมและวินัย ถ้าเราจะปกป้องธรรมวินัย ครูบาอาจารย์โบกธง ถ้าเราอ่านธงนั้นออก โบกด้วยวิธีอะไร? โบกด้วยการเทศนาว่าการ เห็นไหม ภัยของศาสนาเกิด สิ่งที่ภัยของศาสนาเกิดเพราะเขาจะเอาโลกมาเป็นใหญ่ เอาโลกมาครอบคลุมธรรม ให้ธรรมนี้อยู่ใต้อำนาจวาสนาของโลก แต่ผู้ที่เป็นโลกบวชมาในศาสนา แต่หัวใจเป็นโลก มีความเห่อเหิมไปตามกระแสโลกนะ

ศาสนาจะเจริญต้องมีการเผยแผ่ธรรมให้คนเขาเข้าใจ ให้คนเขาศรัทธาในศาสนาพุทธ

ศาสนาพุทธจะเผยแผ่นะ เดี๋ยวนี้ใช้เทคโนโลยีตัวเดียวก็ได้ มันไปได้ทั่วโลกอยู่แล้ว แต่เขาศึกษาจริง เขาศรัทธาจริง เขาจะค้นคว้า เขาจะหาเข้ามา แล้วค้นคว้าเข้ามาที่ไหนล่ะ ถ้าเขาศึกษาศาสนา เขาก็ต้องค้นคว้าเข้ามาที่ใจของเขา เขามีการศึกษานะ เขาเข้าใจสัจธรรมความจริง เขาไม่ต้องการธงเป็นศีลธรรมจริยธรรมหรอก

เวลาเผยแผ่ธรรม เห็นไหม เรื่องศีลธรรม เรื่องประเพณี เรื่องวัฒนธรรม สิ่งที่เป็นประเพณีวัฒนธรรมอยู่ในเมืองไทยนี่เขาอยากดูอยากเห็น เขามาเมืองไทยได้ เขาเห็นได้ แต่เวลาไปเผยแผ่ธรรมของเขา เขาต้องการความสงบของใจ เขาต้องการทำสัมมาสมาธินะ ฤๅษีชีไพรเขายังสามารถทำความสงบของเขาได้ เราเป็นผู้ที่เป็นพระไปเผยแผ่ธรรม เรารู้จักสมาธิไหม เรารู้จักความสงบของใจไหม เรารู้จักวิธีการของใจไหม เราเห็นธรรมจักรหรือเปล่า

ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปักธงเป็นธงธรรมจักร ถ้าธงธรรมศีลธรรม จริยธรรม มันมีอยู่แล้ว ธรรมมีโดยดั้งเดิม สิ่งที่สภาวธรรม ความสุข ความทุกข์มันมีอยู่แล้ว สิ่งที่มีอยู่แล้ว เวลามีความสุข เขาก็หาของเขาได้ ในลัทธิศาสนาต่างๆ เขาก็ว่าเขาก็มีธรรม แต่ธรรมของเขา ธรรมของผู้ที่มีกิเลส เห็นไหม ในเมื่อศาสดามีกิเลสก็เป็นการจินตนาการ เป็นการวางธรรมโดยจินตนาการอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องของโลก มันก็เป็นเหยื่อของวัฏฏะ สิ่งที่เป็นเหยื่อของวัฏฏะ

เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะปกป้องพุทธศาสนานะ เวลาโบกธงโดยเทศนาว่าการ เวลาเทศนาว่าการนี่โบกธงแล้วนะ โบกธงให้เราเข้าใจตามสภาวธรรมอันนั้น ทำไมเราไม่มีหูไม่มีตา ถ้าเราไม่มีหูไม่มีตา เราไม่เชื่อมั่นธรรมของครูบาอาจารย์เรา ๑ เราไม่เชื่อคำพยากรณ์ของหลวงปู่มั่น ๑

หลวงปู่มั่นบอก จะมีพระหนุ่มองค์หนึ่งมาประพฤติปฏิบัติ แล้วพระหนุ่มองค์นั้นจะเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับศาสนามหาศาล เพราะป้องกันศาสนาไง ต้องป้องกันธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

ในสมัยพุทธกาล พระนาคเสนแก้ไขมิลินทปัญหา พระเจ้ามิลินท์นี้เป็นกษัตริย์ แต่มีทิฏฐิมาก มีปัญญามาก จะโต้ตอบธรรมะนี่ไม่มีใครแก้สิ่งนี้ได้เลย เพราะอะไร เพราะพระเจ้ามิลินท์จะมีปัญญาต้อนนะ ต้อนเอาจนพระนี่จนตรอกหมด จนต้องไปเอาพระนาคเสนมาบวช แล้วพระนาคเสนจะมาแก้ไขสิ่งนี้ เชิดชูศาสนา จนพระเจ้ามิลินท์ศรัทธาในศาสนา ในเมื่อศรัทธาในศาสนาจะคุ้มครองศาสนา จะส่งเสริมศาสนา เห็นไหม ถ้าคุ้มครองศาสนา ส่งเสริมศาสนา มันก็เป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมมันก็เป็นประโยชน์ นี่ปักธงในหัวใจของพระนาคเสนได้ก่อน แล้วพระนาคเสนก็พยายามจะปักธงในหัวใจของพระเจ้ามิลินท์ เพราะสร้างสมสิ่งนี้ขึ้นมา

แต่ในปัจจุบันนี้มันเป็นกระแส มันไม่มีตัวตนนะ เป็นกระแสของโลกแล้วเราก็ตื่นไปกับโลก นี่โลกเขาเจริญ สหประชาชาติเขาให้ศาสนาพุทธนี้มีวันสำคัญในศาสนา เราก็ดีใจตื่นเต้นไปกับเขาว่านี่เป็นผลงานในการเผยแผ่ธรรม ในเมื่อเขาเป็นโลก สิ่งที่เขาเป็นโลก สหประชาชาติเขาจะตั้งกฎอะไรก็ได้ เวลาเขาทำบุญกุศลกัน เห็นไหม ผู้ลี้ภัย เวลาเขามีช่วยเหลือกัน ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม...สิ่งนี้เป็นธรรม แต่ธรรมของโลกเขา การช่วยเหลือ การเจือจานกันมันเป็นธรรมอยู่แล้ว

แต่เราเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราทำบุญจะต้องเนื้อนาบุญ เราเนื้อนาบุญ เนื้อนาที่ไหนมันมีคุณประโยชน์ เราหว่านข้าวไปเนื้อนา เราจะได้ข้าวมหาศาลเลย แล้วเราจะหว่านข้าวไปบนตึกสูงๆ เห็นว่าเขาส่งเสริมเรา เราส่งเสริม เราจะไปหว่านข้าวอย่างนั้น ทำไมเราไพล่ไปคิดอย่างนั้นล่ะ ว่าโลกเป็นใหญ่ เราจะเผยแผ่ธรรมเรื่องของโลก นี่ความเห็นของโลกมันจะเป็นกระแสไปอย่างนั้น แล้วไปเชื่อเขาได้อย่างไร นี่เหมือนกับลูกศิษย์ฤๅษีชีไพร ไม่ใช่ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า

ลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเน้นกลับมาที่เนื้อนาบุญ เพราะเราไม่เห็นเนื้อนา เราไม่เคยเห็นใจของเรา เราจะปักธงของเรา เห็นไหม ทำความสงบเข้ามานี่มันเห็นที่ปักธงตรงไหน? มันไม่เห็นที่ปักธง เพราะไม่มีสติ สิ่งที่ไม่มีสติ เพราะไม่มีสติก็ควบคุมใจไม่ได้ เนื้อนาบุญถึงไม่รู้จักเนื้อนาบุญเป็นอย่างไรไง

เกิดขึ้นมาก็มีกายกับใจๆ ก็ว่ามีกายกับใจ แต่ไม่เคยเห็นกาย ไม่เคยเห็นใจ เห็นแต่สภาวะเป็นสมมุติอยู่อย่างนี้ ธาตุ ๔ มันเป็นกายหรือ มันรวมตัวขึ้นมาเกิดจากครรภ์ของมารดาด้วยกระแสของกรรม เราก็ได้ร่างกายมาอันหนึ่ง แล้วกายกับใจก็ตีความว่ากายกับใจเป็นอย่างนี้ นี่มันเป็นโลกีย์ มันเป็นความเห็นของโลก เพราะความเห็นของโลกก็เป็นเหยื่อของโลก ทำคุณงามความดี ได้ช่วยเหลือสหประชาชาติ ได้ช่วยเหลือทั้งโลก เราบริจาคทานแล้วได้ช่วยเหลือโลกทั้งหมด โลกทั้งหมดมันก็เป็นทาน สิ่งที่เป็นทานมันก็ขับเคลื่อนตลอดไป

แต่ถ้าเราทำบุญ เวลาหลวงตาออกมาช่วยชาติ เราช่วยชาติ เห็นไหม หลวงตาบอกว่า ช่วยชาติด้วยต้องการหัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกทำบุญกุศลเข้าถึงหัวใจ หว่านไปเนื้อนาไง ในเมื่อปักธงธรรมในหัวใจของหลวงตาแล้ว หลวงตามีธรรมจักร ธงธรรมจักรเกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะว่าหลวงปู่มั่นบอก บอกว่า ถ้าพระผู้ใหญ่ให้พึ่งหลวงปู่ขาว เพราะหลวงปู่ขาวได้คุยธรรมกับหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่ขาวถึงเป็นพระผู้นำในพระที่ว่ามีอายุพรรษามาก

แต่พระที่มีอายุพรรษาน้อยให้ฟังหลวงตานะ เพราะหลวงตามีคุณธรรมดีทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกคือเรื่องของโลก เรื่องของโลกคือข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งที่ข้อวัตรปฏิบัตินี้ต้องเป็นผู้นำไง นำให้ประพฤติปฏิบัติมา สิ่งที่เป็นผู้นำนี้ภายนอก ภายในคือหัวใจ เพราะถึงที่สุดแล้วหลวงตาเอาตัวรอดได้ไง เอาตัวรอดได้ ปักธงอันนี้ได้

แล้วโบกธงอยู่นี่ทำไมมันสวนกระแสล่ะ ถ้าสวนกระแส แสดงว่าไม่เคารพธรรม ไม่เคารพนะ ไม่เคารพครูบาอาจารย์ของตัว ไม่เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปเคารพกระแสโลก ไปเคารพสิ่งต่างๆ ที่โลกเขาว่าสิ่งนี้เจริญๆ แล้วเราก็เจริญไปตามกระแสโลก

โลกมันออกกฎหมายได้ กฎกติกาของสหประชาชาติมันก็แก้ไขได้ ปัจจุบันนี้เขายกย่องขนาดไหน เขาจะเปลี่ยนแปลงเมื่อไรก็ได้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลง เห็นไหม แต่ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนแปลงได้ไหม? มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติธรรมวินัยไว้เพื่อจะให้เราก้าวเดิน ให้เราก้าวเดินไม่ขัดกับอดีตไม่ขัดกับอนาคตนะ ขัดกับอดีตอนาคต หมายถึงว่า ตั้งแต่อดีตมา แล้วอนาคตต่อไป นี่จะไม่ขัดกับสิ่งนี้ ไม่ขัดกับสิ่งนี้มันถึงพ้นไปจากกิเลสได้ทั้งหมด

แต่ถ้าเป็นโลก มันขัดไปทั้งหมด ขัดไปทุกๆ อย่าง เพราะว่าอะไร เพราะมันขวางไปหมด นี่เราสร้างกฎหมายเพราะอะไร เพราะปุถุชน คนเป็นปุถุชนเป็นเรื่องของคฤหัสถ์ แล้วเราจะไปฟังคฤหัสถ์ได้อย่างไร สิ่งที่คฤหัสถ์นะ มันความเห็นส่วนหนึ่ง เพราะเดี๋ยวนี้เป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคือว่าประชาชนเป็นใหญ่ ความเห็นของประชาชน ความเป็นสร้างกระแสขึ้นมา แล้วเราจะไปสวนกระแส สิ่งที่เป็นสวนกระแส เห็นไหม กฎหมายก็คือกฎหมาย แต่เราไม่ยอมรับความเป็นไปเพราะไม่เป็นธรรม สิ่งที่ไม่เป็นธรรมเพราะไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงอันหนึ่ง เพราะถึงกฎหมายก็เขียนกฎหมายเพื่อตัว

ทำไมไปเชื่อเขา ไปเชื่อเขาเพราะอะไร เพราะใจมันเป็นกิเลส ถ้าใจเป็นธรรมนะ สิ่งที่เป็นโลก เราก็เข้าใจเรื่องของธรรมและของโลกอยู่แล้วในหัวใจของเรา แล้วใจของครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม แล้วโบกธงด้วยคำเทศนาว่าการนะ ให้หมู่พระสามัคคีกัน ให้หมู่พระรักษาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้จนพวกเราปักธงกันได้นะ

หลวงปู่มั่นปักธง ธงในท่ามกลางประเทศไทย แล้วครูบาอาจารย์เราปักธงกันมาตลอดนะ ปักธงนี้มันอยู่ในการประพฤติปฏิบัติไง ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราจะหาที่ปักธงได้ ไปถามเขา ที่ปักที่ไหน เขาไม่เข้าใจหรอก แล้วเขาถามย้อนกลับมาพวกเราว่า พวกในวงปฏิบัติว่าปักที่ไหน

ถ้าใครไม่ทำสัมมาสมาธิ ไม่ทำความเห็นของใจเข้ามา จะปักที่ไหนล่ะ?

มันเห็นที่ปักไม่ได้ ในเมื่อปักธงไม่ได้ จักรมันก็ไม่เคลื่อน ในเมื่อจักรไม่เคลื่อน มันก็ถึงว่า ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป มันก็เป็นนกแก้วนกขุนทอง ผู้ใดเห็นทุกข์ล่ะ ทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร นี่ถ้าทุกข์เกิดขึ้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาพูดถึงการวางธรรมวินัย เวลาพระองคุลิมาลจะฆ่าแม่นะ ถึงจะฆ่าแม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยนี้เปิดช่องไว้ให้หมด นี่เปิดช่องไว้ แต่อนันตริยกรรม สิ่งที่เป็นอนันตริยกรรมจะปิดกั้นมรรคผล สิ่งที่ปิดกั้นมรรคผล...

...จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามายับยั้งก่อนนะ ให้องคุลิมาลไล่กวดจะฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะต้องการนิ้วมือไง จนองคุลิมาลตามไม่ทันนะ

“สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”

“เราหยุดแล้ว เธอต่างหากไม่หยุด”

องคุลิมาลฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโบกธง ทำไมองคุลิมาลยอมวางดาบ วางดาบเดี๋ยวนั้นเลย กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วขอบวชนะ พระองคุลิมาลเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง

ทำไมเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโบกธง ทำไมผู้ที่เขามีความคิดขนาดนั้นเขายังวางอาวุธได้ ยังสละทิฏฐิมานะของเขา เขายังกลับมา แต่ทำไมครูบาอาจารย์เราโบกธงอยู่ตลอดเวลาให้รักษาธรรมวินัย ทั้งๆ ที่ว่า องคุลิมาลนี้เป็นคฤหัสถ์ เป็นโจรป่า แต่ลูกศิษย์ลูกหาของครูบาอาจารย์เราเป็นพระนะ บวชเป็นพระ แล้วปฏิญาณตนว่าเป็นลูกศิษย์ด้วย แล้วจะปกป้องไง

การจะปกป้องครูบาอาจารย์ต้องทำสิ่งที่ครูบาอาจารย์ชี้นำ โบกธงแล้วเราทำสิ่งนั้นให้สมประโยชน์ ครูบาอาจารย์เราจะมีความรื่นเริง มีความรื่นเริงในธรรมนะ ความรื่นเริงเพราะว่าผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วจะไม่มีสิ่งใดไปเติมหรือไปลดพร่องสิ่งนั้น แต่การปกป้องแบบพระนาคเสนปกป้องศาสนานะ พระนาคเสนก็เป็นพระอรหันต์ ทำไมพระนาคเสนต้องมาโต้วาทีกับพระเจ้ามิลินท์ล่ะ? ก็โต้วาทีเพื่อให้ศาสนานี้เจริญรุ่งเรืองมาไง

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเราปกป้องศาสนาเพื่อวางแนวทางธรรมวินัยให้เราก้าวเดินไง ผู้ที่มีธรรมจะซึ้งในสิ่งนี้ๆ เพราะทุกคนเวลาป่วยไข้ขึ้นมาก็ต้องการยารักษาตัวเอง แต่นี่ยามันมีอยู่ แต่โรคจะครอบงำ สิ่งที่โรคครอบงำเพราะทำยานี้ให้ด้อยค่าลง

สิ่งที่ด้อยค่าลงเพราะว่ามนุษย์เกิดมาแล้วต้องเชื่อกฎหมาย ต้องเคารพกฎหมาย กฎหมายโลก สิ่งที่มันแปรปรวน มันแปรปรวนได้ตลอด มันเปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลง เห็นไหม ถ้าผู้ที่มีอำนาจ ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นของเขาเขาก็ทำลายตรงนั้นหมด ถ้าผู้มีอำนาจมีสัมมาทิฏฐิ ถึงมีสัมมาสทิฏฐิเขาก็ไม่เข้าใจเรื่องของธรรม เพราะเขาเป็นคฤหัสถ์ เขาเป็นโลก เขาจะมารู้เรื่องธรรมเป็นไปไม่ได้

สิ่งที่เป็นธรรม มันธรรมอยู่ในหัวใจของพระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต่างหาก ในเมื่อพระที่ประพฤติปฏิบัตินี้เป็นดวงตาของโลกนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์เป็นพระโสดาบันด้วย “ดวงตาของโลกดับแล้ว” เรายังมีกิเลสตัณหาอยู่ ต้องการผู้ชี้นำ เห็นไหม พระอานนท์ยังถึงกับร้องไห้หลั่งน้ำตาว่าต้องการผู้ชี้นำนะ แล้วเราจะไปให้กระแสของโลกชี้นำเรานี่ เราน่าสลดสังเวช น่าสลดสังเวชสำหรับผู้ที่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส พุทธชิโนรสที่ว่าจะปกป้องศาสนา

เวลาปกป้องศาสนามันเป็นการเหนี่ยวรั้งทำลายศาสนาโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัวโดยที่ตัวไม่เข้าใจเลย เราจะไม่เข้าใจเรื่องกิเลสตัณหาของตัว เราเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นธรรม...สิ่งนั้นเป็นกิเลส ถ้าสิ่งนั้นเป็นธรรมนี่ธงอยู่ไหน จักรอยู่ไหน ความเข้าใจของครูบาอาจารย์ที่เวลาเทศนาว่าการคือการโบกธงของครูบาอาจารย์ เห็นไหม “สิ่งนี้เป็นภัยๆ” ถ้าสิ่งนี้เป็นภัย เราต้องปกป้อง เราต้องรักษา ถ้าเราปกป้องรักษา เราต้องร่วมมือการกระทำในสิ่งที่ว่าครูบาอาจารย์ชี้นำ

แต่นี้ทำไมเราขวาง ขวางครูบาอาจารย์ เราจะปกป้องครูบาอาจารย์โดยว่าครูบาอาจารย์นี้จะต้องฟังกระแสโลก ฟังกระแสโลก สิ่งที่ฟังกระแสโลก เวลาอภิวัตน์ไปตามโลกนะ กระแสโลกคือเรื่องของความเป็นไป เจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องของโลกมันเป็นเรื่องของกระแสโลก ถ้าเรื่องของกระแสโลก เราเกิดมาจากโลกไง เกิดมาจากครรภ์ของมารดานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาจากกาม เพราะเกิดมาจากครรภ์ของมารดา เกิดมาจากกาม กามที่อยู่ในโลกนี้ เกิดมาจากโลก แต่จะสละโลกนี้ออกไป

ไม่ใช่เกิดมาจากโลกแล้วคุกเข่ายอมจำนนกับโลก ยอมจำนนกับโลกว่าโลกนี้เป็นใหญ่ๆ โลกนี้เป็นใหญ่ไปไม่ได้ โลกนี้เป็นอจินไตย สิ่งที่เป็นอจินไตยมันจะแปรสภาพ มันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอด แล้วเราจะไปเอาโลกเป็นใหญ่ ในหัวใจทำไมไม่มีธรรม ในหัวใจไม่เป็นธรรมเลยหรือ ถ้าในหัวใจเป็นธรรมมันจะสะเทือนหัวใจมากนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ใจของผู้ที่เป็นธรรมนะ นี่สลดสังเวชมาก

แต่ใจของผู้ที่มีกิเลส “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนี่สมควรแล้วล่ะ เพราะอะไร เพราะจะได้ไม่มีคนคอยติคอยเตือนเราไง” นี่กิเลสมันอยากสะดวก กิเลสมันอยากสบาย กิเลสมันอยากจะสวนกระแสตลอด สวนกระแสแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนี่ของครูบาอาจารย์เราชี้นำอยู่อย่างนี้ แล้วมันสวนกระแสครูบาอาจารย์เราได้อย่างไร ถ้ามันสวนกระแสครูบาอาจารย์เรา แล้วเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ได้อย่างไร ถ้าเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์มันต้องเชื่อครูบาอาจารย์เพราะอะไร

เพราะทำไมครูบาอาจารย์เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยหัวใจ เวลากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบด้วยหัวใจ เพราะหัวใจเคารพรักมาก เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงได้มีศรัทธา เราถึงได้ทำบุญกุศลกัน แล้วมาเกิดพบพระพุทธศาสนา เพราะครูบาอาจารย์ของเรามีธรรมในหัวใจ สามารถชี้เหลือบ ชี้มุม ชี้สิ่งที่กิเลสตัณหามันแอบซ่อนอยู่ในหัวใจของเรา เราจะไม่เห็นกิเลสตัณหาของเราเลย เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา กิเลสตัณหามันจะซ่อนอยู่ตามเหลือบตามมุมในหัวใจของเรา แล้วก็สร้างภาพให้เราเห็นสภาวะของความเป็นไปของธรรม ของธรรมนะ มันไม่ใช่ของภาวนามยปัญญา

ถ้าของภาวนามยปัญญา เราจะเห็นสภาวะตามความเป็นจริงตลอด ความเป็นจริงของธรรมที่มันเคลื่อนไปโดยภาวนามยปัญญา นี่ในภาคปฏิบัติ ภาวนาเป็นแล้วจะซึ้งใจมาก แล้วจะกราบธรรมโดยความดูดดื่ม เพราะอะไร เพราะความเป็นไปอย่างนี้มันลึกลับมหัศจรรย์มาก ความคิดของเราเริ่มตั้งแต่...

...เป็นขั้นขั้นหนึ่งของอนาคา ผ่านขั้นของสกิทาคา ผ่านขั้นของโสดาบัน ออกมาถึงเป็นความคิดปกติ มันมีคัตเอาท์ให้ตัดตอนได้ถึง ๔ ขั้นตอน ความ ๔ ขั้นตอนนี่ความหยาบละเอียดของความคิดที่มันเลื่อนออกมาในความเห็นของเรา มันเห็นสภาวะแบบนั้น แล้วเวลาเหลือบกิเลสมันหลบซ่อน มันสร้างค่ายกลอยู่ในระหว่างประตูขั้นตอนที่ความคิดมันไหลออกมา นี่เราเห็นสภาวะแบบใด

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม นางตัณหา นางอรดี ไปบอกกับพ่อ ว่าพ่อทำไมคอตก เห็นพ่อทุกข์ยากมาก พญามารมีความทุกข์มาก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นจากมือไปแล้ว แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ จะพาสัตว์โลกพ้นออกไปจากวังวนของการควบคุมของมาร มารมีความทุกข์ร้อนมาก

นางตัณหา นางอรดี ถามว่า “พ่อทุกข์เพราะอะไร”

“ทุกข์เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะหลุดจากมือเราไป”

ลูกสาวบอกว่า “ไม่เป็นไร จะไปยั่วยวน จะไปดึงให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมาอยู่ในการครอบงำของมาร”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฆ่าแม้แต่พ่อนะ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา บัดนี้เธอจะเกิดจากใจของเราไม่ได้อีกแล้ว เราเห็นนายช่างผู้ที่สร้างเรือนอยู่ในหัวใจของเรา บัดนี้นายช่างนี้จะสร้างเรือนในหัวใจเราไม่ได้อีกเลย”

นี่ปักธงได้ขนาดนั้นนะ ความคิดความเห็นมันขนาดที่ว่าเลื่อนออกมาจากภายนอก แล้วความคิดความเห็นอย่างนี้ เราประพฤติปฏิบัติ เราเห็นเหลือบ เห็นมุม แล้วครูบาอาจารย์คอยชี้นำอย่างนี้ ทำไมเรากราบครูบาอาจารย์ ทำไมเราไม่เชื่อครูบาอาจารย์ของเรา ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเราชี้มุมขนาดที่ว่าเห็นเหลือบเห็นความคิดในหัวใจของเรามันซุกซ่อนมาอย่างไร

มาร ลูกของมาร นางตัณหา นางอรดี เห็นไหม ลูกของมาร หลานของมาร มันซุกซ่อนอยู่ในหัวใจของเรา นี้มันแสดงว่าไม่ได้ทำลายกิเลสเลย ไม่ได้เห็นมาร ไม่ได้ทำลายลูกหลานของมาร ไม่ได้ทำอะไรเลย ถึงไม่กราบ ไม่ฟังครูบาอาจารย์ ถึงสวนกระแสครูบาอาจารย์ได้ไง เพราะสวนกระแสครูบาอาจารย์ เพราะไม่เชื่อสิ่งนี้ ถ้าเห็นสภาวะความเป็นไปของลูก หลาน เหลนของมาร แล้วมันชำระมารมาแต่ชั้นเดียวนะ

แม้แต่พระอานนท์ยังสลดสังเวช แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ร้องไห้ ทุกข์ยากมาก “ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลกดับแล้ว” แต่นี้ครูบาอาจารย์ของเรายังอยู่นะ ครูบาอาจารย์เราพยายามชี้นำอยู่นะ ชี้นำนี่เราอยู่ใต้ร่มธงของครูบาอาจารย์เรา ใต้ร่มธงนี้จะปกป้องคุ้มหัวเราอยู่แล้ว ปกป้องคุ้มหัวเรา ถ้าเราปกป้องคุ้มหัวเรา เราจะทำสิ่งใด

เราจะไปตื่นเต้นกับสิ่งกระแสของโลก โลกมันเปลี่ยนแปลงตลอด อยู่ไม่นานหรอก นี้มันต้องแปรสภาพไป ไม่มีสิ่งใดคงที่ โลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมด สิ่งที่เป็นอนิจจัง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมในใจของเราก็เป็นอนัตตา สิ่งที่เป็นอนัตตามันเป็นอนัตตาโดยธรรมชาติของมัน แต่เราไม่เห็นความเป็นอนัตตาของมันเอง เราไม่สามารถใช้ประโยชน์กับความเป็นไปของสภาวธรรมที่มันเกิด สภาวธรรมนะ ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา ไม่ใช่อริยสัจ

ถ้าเป็นอริยสัจ มันถึงเห็นเหลือบเห็นมุมของมัน เห็นเหลือบเห็นมุมของมันที่ว่ากิเลสมันซ่อนอยู่ตรงไหน กิเลสมันผูกมัดอย่างไร สังโยชน์มันผูกระหว่างขันธ์กับจิต ระหว่างกายกับใจ มันผูกพันกันอย่างไร นี่แล้วเราก็ไม่เห็น เราเห็นสภาวะเกิดดับ แล้วมันก็สร้างภาพให้เรา แล้วครูบาอาจารย์จะคอยชี้นำตรงนี้ไง “สิ่งนี้นะ กิเลสมันอยู่ตรงนั้นนะ กิเลสมันอยู่ตรงนั้น ต้องทำลายมันอย่างนั้นนะ”

ครูบาอาจารย์เลี้ยงหัวใจเรามา ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงเรามา เราได้เจริญงอกงามมาจากครูบาอาจารย์ที่เลี้ยงหัวใจเรามา เราถึงเรียกกันว่า “พ่อแม่ครูจารย์” แล้วทำไมเราไม่ยอมฟังสัจธรรม ทำไมเราไม่ฟังการโบกสะบัดของธงอันนั้น ธงอันนั้นโบกสะบัดนะ โบกสะบัดไปตลอด ถ้าเราเข้าใจอย่างนั้น เราจะยอมรับสิ่งนี้ไง ถ้าเรายอมรับสิ่งนี้ เราจะกราบครูบาอาจารย์ของเราด้วยหัวใจ แล้วจะย้อนกลับมาทำลายกิเลสที่มันอหังการไง

กิเลสมันอหังการนะ มันเหยียบย่ำ มันทำลาย มันเหยียบย่ำแล้วมันทำลายด้วย ทำลายให้ธงนั้นล่มลง ถ้าธงนั้นล่มลง ธรรมและวินัยนี้ก็จะหมองเศร้า ความหมองเศร้าของธรรมวินัย เพราะไม่มีคนที่ปกป้องมันไง ถ้าเราปกป้องธรรมวินัยนี้ เราปกป้องนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต” นี่เป็นธรรมนะ เป็นธรรมเพราะอะไร เพราะว่าการเราเสียอวัยวะส่วนหนึ่ง แต่เรายังมีชีวิตอยู่ไง “เราต้องรักษาชีวิตเพื่อรักษาธรรม” เราจะสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมเพราะเหตุใด

เพราะถ้าเราสละชีวิตของเราไป เห็นไหม ธรรม สภาวธรรมคือสิ่งที่เป็นประโยชน์กับโลก สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับโลก ถ้าเราสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม กิเลสเวลามันสละชีวิตนี่มันต้องตายไป เพราะเวลากิเลสมันจะหลอกลวง มันจะอาศัยคำว่า “ตาย” ให้เรากลัวมัน แต่ถ้าเราสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมได้นี่มันจะสละกิเลสได้ ถ้าสละกิเลสได้ ในเมื่อเราสละกิเลสได้ แต่นี้เราไปหลงกิเลส เราไปเชื่อกิเลส เรากลัวแต่ว่าชีวิตเราจะโดนกระทบกระเทือน เราจะไปกลัวแต่สิ่งอำนาจวาสนาของเราจะกระทบกระเทือน แล้วเราไปเกาะกระแสโลกไง

ทำไมเราทิ้งครูบาอาจารย์เราไปล่ะ ทำไมเราปล่อยทิ้งครูบาอาจารย์ให้เราทุกข์ลำบาก ทุกข์ลำบากด้วยกระแสโลกนะ ไม่ใช่ทุกข์ลำบากด้วยการรับสิ่งที่สะเทือนใจดวงนั้น เพราะใจดวงนั้นปักธงแล้ว ถ้าไม่ปักธง จะไม่รู้สภาวะของโลก โลกนอกและโลกใน รู้แจ้งโลกนอก โลกภายนอกคือกระแสของโลกมันพัดแรง ลมการเมือง ลมความเป็นไปของโลกมันพัดแรง เวลามันพัดกระแสโลกมานี่ สิ่งนี้เราไม่เห็นนะ

สังเกตได้ไหม เมื่อเราทำการเกษตรกัน เวลาสิ่งที่ว่าปุ๋ยวิทยาศาสตร์ออกมา เราว่าเราต้องการผลผลิตที่มีมาก เราต้องการความสะดวกต้องการสบาย เราต้องการสิ่งที่ว่ามันเป็นประโยชน์กับเรา เขาก็โฆษณาชวนเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ เราทำการเกษตรเราจะได้ผลมหาศาล นี่เขาเอาประโยชน์ไปแล้วรอบหนึ่งนะ จนถึงปัจจุบันนี้เขาเองต่างหากต้องการผลผลิตที่ไม่มีสิ่งเจือปน ต้องให้เป็นเกษตรอินทรีย์

เขาทั้งนั้นนะ กระแสโลกทั้งนั้นเลย กระแสโลกยุคหนึ่งก็บอกว่าการทำการเกษตรนี้ต้องใช้ปุ๋ยใช้ต่างๆ เพื่อให้การเกษตรนี้เลี้ยงตัวเองได้ ต้องการต่างๆ นี่ก็กระแสโลก แล้วพอถึงจุดหนึ่ง เขาอีกนั่นแหละบอกว่าต้องทำเป็นเกษตรอินทรีย์นะ เพื่อไม่ให้มีสิ่งเจือปนในสิ่งของเขา นี่เราจะเชื่ออย่างนี้ไปได้อย่างไร

ทำไมเราไม่เชื่อธรรมของเราล่ะ ทำไมเราไม่เชื่อครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเราเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม เราสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม รักษาธรรมอันนี้มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงอยู่ มันจะไม่มีสิ่งใดเข้ามาสะเทือนตรงนี้ได้เลย แล้วมันเป็นเรื่องของการเกิดและการตาย มันเกี่ยวกับศาสนา เกี่ยวกับวัฏฏะ เกี่ยวกับการเกิดและการตาย เกี่ยวกับระบบชีวิต

แต่โลกมันเป็นปัจจุบันนี้เท่านั้น ใครทำดีทำชั่วขนาดไหนไว้กับโลกแล้วก็ตายไป มันก็มีบุญและบาปตามจิตดวงนั้นไป แต่เรื่องโลกก็มีเท่านั้น เราทำประโยชน์ เราต้องการมีชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ เราต้องการสิ่งต่างๆ ไว้ให้เขาเคารพนบนอบเรา เราหลงไปกับกระแสโลก มันก็เท่านั้นน่ะ เพราะกระแสโลก เห็นไหม การเกิดและการตาย เวียนเกิดเวียนตาย ก็เราสิ่งที่เราสร้างไว้ เราสร้างไว้เลว เรามาเกิดในอีกชาติหนึ่งเราจะมารับผลเลวอันนั้น เราก็ไม่รู้เลยว่าเราสร้างของเราไว้นะ

แต่ถ้าเราสร้างคุณงามความดี จะเป็นสภาวธรรม “สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม” สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม เพราะสิ่งนี้มันเป็นเครื่องปฏิปทาดำเนินของหัวใจที่มันทำให้ใจดวงนี้ชำระกิเลสออกไปจากใจได้ นี่ศาสนามันอยู่ตรงนี้ ศาสนามันเรื่องของหัวใจ ศาสนามันเรื่องของธรรม สภาวธรรม สภาวธรรมคือภาวะความรู้สึก สิ่งที่ภาวะความรู้สึกอันนี้ แล้วเราเคลื่อนออกไปกระแสโลก ตามโลกไปทั้งหมดเลย การศึกษาก็ศึกษาเรื่องของโลก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดว่าพระออกธุดงค์นะ แล้วเอาเรื่องของต่างเมืองมาพูดกันในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ติรัจฉานวิชา” วิชาที่ทำให้เนิ่นช้า สิ่งที่ทำให้เนิ่นช้า เพราะกิเลสมันจะเข้มแข็งขึ้นมา

ในการประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เหมือนโลกเลย ถ้าคนมีไฟ การประพฤติปฏิบัติมันจะมีคุณค่าขึ้นมา ถ้าคนหมดไฟ เห็นไหม สักแต่ว่าทำ ถ้าสักแต่ว่าทำ ไม่มีสติ ถ้าขาดสติ การประพฤติปฏิบัตินั้นเป็นสักแต่ว่าทำ เห็นไหม นี่ต้องมีสติ มัคคามันเกิดเกิดตรงนี้ มัคคา ความเห็นชอบ สัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ ถ้ามิจฉาทิฏฐิมันยังเป็นมรรคที่เป็นมิจฉา ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิมันถึงจะเป็นปัญญาขึ้นมา แล้วเป็นฤๅษีชีไพรอีกต่างหาก เป็นผู้ที่ผ่าไม้เพื่อจะหาไฟ ไม่เข้าใจอะไรเลย

ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้มันจะเข้าใจเรื่องกระแสหลวงตาโบกธง ถ้าหลวงตาโบกธง เราเคลื่อนตามไปตามธงนั้น มันจะมีความเข้าใจ มันจะมีความซึ้งใจ นี่มันไม่ซึ้งใจแล้วมันต่อต้าน มันสวนกระแส มันทำลายสิ่งต่างๆ ทำลายความเห็น ความการกระทำนั้น สิ่งที่กระทำนั้นกองทัพนั้นเรรวนไปหมดเลย

ถ้ากองทัพเรรวนไปเพราะสิ่งที่ว่าบุคคลในกองทัพนั้นอ่านธง อ่านการเคลื่อนไหว อ่านการโบกของหลวงตาไม่ออก แต่ความจริงแล้วมันอ่านออก แต่มันตีความ มันต้องการ กิเลสมันก็ต้องการบีบบี้ บีบบี้ในเรื่องของกิเลส แต่ในสัจจะการกระทำอ้างว่าตัวเองปกป้อง เอาคำหวานไง บอกว่า เขาเอาคำหวานออกมาล่อเหยื่อ แล้วเราก็ติดในคำหวานของเขา เห็นไหม สิ่งนั้นหลอกลวงให้เราเข้าไปติดกับ แล้วเราก็จะต้องตายไปกับสิ่งนั้นไง นี่กระแสโลก

พระนาคเสนต่อสู้กับพระเจ้ามิลินท์เพื่อสัจธรรม แต่หลวงตาจะปกป้องศาสนานะ ปกป้องศาสนาจากกระแสโลก กระแสโลกจะกลบกลืน กลืนกินศาสนา กลืนกินด้วยการปกป้องให้ศาสนานี้เป็นแค่พิธีกรรม ถ้าในเมื่อศาสนาเป็นพิธีกรรม แค่ประกอบพิธีกรรมเท่านั้น นี้ก็เป็นศาสนาพุทธ ความเห็นของเขาเท่านั้นนะ แล้วเราก็มาใช้ปัญญากัน วิเคราะห์วิจัยกันตามกระแสโลก เห็นไหม โลกนี้จะเจริญ ปัญญาจะเจริญ

ปัญญาเจริญขนาดไหน กิเลสมันพาใช้ กิเลสมันเหนือปัญญาอันนั้น ปัญญาของโลกนี่กิเลสล้วนๆ สิ่งที่เป็นกิเลส ถ้าเป็นคนที่มีปัญญามาก มีการศึกษามาก ต้องโลกนี้ต้องเจริญ โลกนี้ต้องไม่มีการเบียดเบียนกันสิ

เวลากระแสของผู้ที่ด้อยกว่า เห็นไหม จะทำสิ่งนั้นผิดๆๆๆ ผิดหมด แต่ถ้าผู้ที่มีอำนาจทำเหมือนกัน ทำเหมือนที่ว่าเขาว่าผิดเลย แต่ตัวเองทำได้ นี่สิ่งความจำเป็นไง ความจำเป็นของพื้นที่ ความจำเป็นของสภาวกรรม สิ่งที่ว่าสภาวกรรมเกิดขึ้น ทุกคนเข้าใจทั้งนั้นน่ะ เพียงแต่ว่ากระแสของใคร หมัดของใครใหญ่กว่าไง แล้วเราไปตามกระแสนั้นได้ไหม ถ้าเราตามกระแสไม่ได้ เพราะนี้เรื่องของโลก เป็นการปกครอง นี้เป็นเรื่องของการเมืองเขา

แต่หน้าที่ของพระ หน้าที่ของพระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันต้องแสดงสัจจะความจริงไง แสดงสัจจะความจริงเรื่องของสภาวธรรมที่เกิดขึ้นกับหัวใจ ในเมื่อสภาวะเกิดขึ้นกับหัวใจ ในเมื่อธงนี้ปักอยู่ในหัวใจของผู้ที่เป็นบุรุษอาชาไนยที่กำลังปกป้องอยู่อย่างนี้ แล้วทำไมการแสดงออกของเรามันถึงขัดแย้งกัน ถ้าการแสดงออกมามันขัดแย้งกัน มันแสดงว่าความคิดเห็นมันต้องตรงข้าม ถ้าความคิดเห็นตรงข้าม มันเป็นธรรมไปได้อย่างไร มันก็เป็นกิเลสล้วนๆ

ถ้าเป็นกิเลสล้วนๆ แล้วสิ่งนี้มันมาทำลายกัน ทำลายในวงศาสนา ทำลายในการประพฤติปฏิบัติ ทำลายนะ ทำลายในการประพฤติปฏิบัติ เพราะว่ามันมีการประพฤติปฏิบัติแต่รูปแบบ แต่หัวใจนี้เป็นฤๅษีชีไพร หัวใจนี้เป็นลูกศิษย์ของฤๅษี แม้แต่ไฟก็ยังไม่รู้ว่ามาจากไหน แม้แต่ความสงบของใจยังทำไม่ได้เลย ในเมื่อความสงบของใจไม่มี ไม่รู้จักสภาวะของใจ แล้วมันจะไปรู้จักมรรคตรงไหน

มรรคมันจะเกิดขึ้นมาจากมีการพื้นฐานนี้ก่อน ถ้ามีพื้นฐานนี้ขึ้นมา เห็นไหม ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับอาฬารดาบส ได้สมาบัติ ๘ สิ่งที่เป็นสมาบัติมีความร่มเย็นเป็นสุขขนาดไหน สิ่งที่มีความร่มเย็นเป็นสุขขนาดนั้น มีความสุขมาก สุขขนาดไหนก็แล้วแต่มันเป็นโลกียะ สิ่งที่เป็นโลกียะ สุขขนาดไหนมันก็ต้องเสื่อม สิ่งที่เสื่อมมันก็เวียนไปในวัฏฏะ เห็นไหม วัฏฏะนี้เวียนไป มันถึงเป็นเหยื่อ แม้แต่การประพฤติปฏิบัติมันก็ยังมาเป็นเหยื่อ ในเมื่อมีขนาดว่ามีครูบาอาจารย์โบกธงไหวๆ อยู่ให้เราก้าวเดินนะ

มันถึงว่า เราเกิดท่ามกลางพุทธศาสนา เกิดท่ามกลางครูบาอาจารย์ที่ปักธงได้ เกิดท่ามกลางครูบาอาจารย์ที่โบกธงไหวๆ ให้เราก้าวเดินตาม มันต้องย้อนกลับมาว่าเรามีอำนาจวาสนาจริงหรือเปล่า ถ้าเรามีอำนาจวาสนาของเราจริง เราต้องมีความฉุกคิด เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ เราต้องมีความเห็นชอบ ความเห็นชอบของเรา ถ้าในหัวใจของเรายังมีกิเลสอยู่ เราจะต้องฟังครูบาอาจารย์ เราจะกราบครูบาอาจารย์โดยหัวใจของเรา ถ้าเราฟังครูบาอาจารย์ แล้วเราเดินตามครูบาอาจารย์ไป เห็นไหม นี่ผู้ชี้นำ สิ่งที่เป็นปฏิปทาเครื่องดำเนิน ถ้าปฏิปทาเครื่องดำเนินมีอยู่ สิ่งที่การประพฤติปฏิบัติมีอยู่

หลวงตาท่านห่วงมาก “ขอให้มีการประพฤติ ขอให้มีการปฏิบัติ” ถ้ามีการประพฤติ มีการปฏิบัติอยู่ มันจะมีผลไง ท่านถึงแบกโลกแบกหมู่คณะ แบกพระแบกเณรทั้งหมด ที่ไหนมีการประพฤติปฏิบัติ จะไปดูแล ที่ไหนมีการประพฤติปฏิบัติ ท่านจะส่งเสียปัจจัย ๔ ท่านจะดูแล แต่การดูแลของท่าน ดูแลของผู้มีธรรม ดูแลแบบใต้ดิน ดูแลแบบไม่ต้องการชื่อเสียง ดูแลแบบไม่ต้องการสิ่งใด

พระนาคเสนรักษาศาสนามาส่วนหนึ่ง หลวงตาจะรักษาศาสนาต่อไป ถ้ารักษาศาสนาต่อไป รักษาศาสนาด้วยการให้มีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มีเหตุ ผลมันมาเอง ผลมันจะเกิดขึ้น แต่ถ้ามันไม่มีเหตุ แล้วผลมันจะเกิดมาจากไหน ในเมื่อผลมันไม่มีที่เกิดมา แล้วศาสนามันจะอยู่ตรงไหนล่ะ นี่วงปฏิบัติถึงต้องพยายามสร้างที่ประพฤติปฏิบัติมาเพื่อจรรโลงศาสนา เพื่อสร้างเหตุ

หน้าที่ของเราคือการสร้างเหตุ สร้างปฏิปทาเครื่องดำเนิน แล้วให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติก้าวเดินตามนั้นไป ถ้ามีเหตุ สร้างเหตุอย่างเดียว ผลคือของเขา ผลก็คืออำนาจวาสนาของเขา ๑ ผลก็คือการเขาชำระกิเลส ทำลายกิเลสของเขาออกไปจากใจของเขา ๑ นี้คือผลงานของเขาทั้งหมด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับผู้ประพฤติปฏิบัติว่า ให้ประพฤติปฏิบัติ ไม่ต้องมีลับลมคมในกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ “อานนท์ ไม่มีกำมือในเรา” ในการประพฤติปฏิบัติ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้สมบูรณ์แบบมาก มัคคาในธุดงควัตร มัคคาในพระไตรปิฎกนี้สมบูรณ์มาก “เราไม่มีกำมือ ไม่มีความลึกลับ ไม่มีเคล็ด ไม่มีความเป็นไปของความเป็นส่วนตัวกับบุคคลผู้ใด ไม่มีความเป็นส่วนตัวกับบุคคลผู้ใด ไม่มีกำมือในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ธรรมมาสภาวะแบบนั้น

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไป มันมีเคล็ดที่ว่า ขณะที่ครูบาอาจารย์บอก ชี้นำที่ว่ามันอยู่ในเหลือบในซ่อน นั้นคือเคล็ด เคล็ดเพราะครูบาอาจารย์ท่านเห็นสภาวะแบบนั้นมาก่อน เหมือนกับคนเดินผ่านที่มืดไป แล้วเปิดไฟฉายไว้ให้เรา เราจะเดินตามไฟฉายนั้นหรือไม่เดินตามไฟฉายนั้น ถ้าในที่มืดนั้นเปิดไฟฉายให้เราเดินตาม เราเห็นความสว่างจากไฟฉายนั้น แล้วเห็นเคล็ดลับของมัน เคล็ดลับของมัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนี้ก็จริง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดในพระไตรปิฎกนั้นจะเป็นเหตุ เหตุคือมรรคทั้งหมด ผลคือให้ใจนั้นเป็นเอง ผลคือเกิดขึ้นมาจากใจนั้น นี่การประพฤติปฏิบัติ แล้วมันจะเคารพครูบาอาจารย์มาก

เคารพครูบาอาจารย์เพราะเราเกิดมาจากท่าน เราได้กำเนิดเกิดมาจากหัวใจ ถ้าใครปักธงได้นะ ใครปักธงได้จะเป็นอำนาจวาสนาของบุคคลคนนั้น บุคคลคนนั้นสามารถปักธงในหัวใจของบุคคลคนนั้นได้ จะเป็นสมบัติของบุคคลคนนั้น บุคคลคนนั้นจะมีความสุขความร่มเย็น ๑

บุคคลคนนั้นจะเกิด...จากวัฏฏะไม่มีที่สิ้นสุดจะหดสั้นเข้ามา จาก ๗ ชาติ จาก ๓ ชาติ จากชาติปัจจุบันนี้ จะไม่ต้องเกิดอีกเลย จะต้องเห็นสภาวะแบบนี้หมด เพราะมันเป็นภาวนามยปัญญา มันเกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติ มันถึงเห็นการปักธงไง เห็นธงปักลงไปที่ในภวาสวะ คือภพของใจ คือตอของจิต นี่ธงปักลงไปตรงนั้น

“ธงธรรมจักร” ธรรมจักรคือมรรคญาณ เวลาเป็นธรรมธาตุแล้ว พ้นจากธง พ้นจากทุกอย่าง พ้นไปทั้งหมด เพราะจิตดวงนั้นพ้นออกไปจากกิเลส แต่เวลาแสดงธรรมออกมานี่อาศัยสมมุติ อาศัยสิ่งที่เป็นขันธ์ สิ่งที่ว่าเป็นการสื่อความหมายกับกระแสของโลก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมกับพวกเทวดา นี่ภาษาใจก็มี ความระลึกรู้ นึกขึ้นมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเทศนาว่าการไปโดยไม่ต้องใช้เสียงเลย นี่เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เห็นไหม แต่ในสมมุติโลกเรา ภาษา สิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ จากสัญญา จากขันธ์ ความจำอันนี้ สมมุติอันนี้ ใช้สิ่งนี้ออกไป นี้คือกระแสโลก

โลกก็ยังมีอยู่ ในเมื่อยังไม่ตาย โลกมีอยู่เพราะมีขันธ์ มีธาตุมีขันธ์อยู่ ก็ยังสื่อความหมายไปกับกระแสโลกเขา เห็นไหม หลวงตาถึงต้องแบกโลก แบกโลกไว้เพื่อให้มีเหตุ แล้วผลผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะเป็นความจริงอันนั้น

แต่ในการประพฤติปฏิบัติต้องให้เป็นสัมมาทิฏฐิ อย่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิขึ้นมา เห็นไหม ในครั้งพุทธกาล ในครั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีพระที่ว่าเป็นสัมมาเป็นมิจฉา อยู่มาในสังคมหมู่ใดก็มี ในสังคมของหลวงปู่มั่นก็มี ในสังคมหลวงปู่มั่น เห็นไหม สิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็จะเชิดชูองค์หลวงปู่มั่น สิ่งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็แอบก็แฝงก็ทำลายมาตลอด

นี่ไง สมัยปัจจุบันนี้ก็มี ในเมื่อหลวงตาโบกธงปกป้องพุทธศาสนา โดยกระแสของโลก จะไม่ให้กระแสของโลกกลืนธรรมไป มันจะเป็นชั่วครั้งชั่วคราว ในกาลไหนก็แล้วแต่ เพราะศาสนานี้ ๕,๐๐๐ ปีก็จะหมดไป หมดไปจากความเข้าใจ หมดไปจากความเคารพความเลื่อมใสของสัตว์โลก แต่ธรรมไม่เคยหมดไป สิ่งนี้มีอยู่เพราะพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ธรรมอันนี้ต่อไปข้างหน้า ทีนี้ ในการปกป้องนี้ก็ปกป้องเพื่อสัตว์โลกเหมือนกัน

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เรามีความลังเลสงสัย เวลาประพฤติปฏิบัติไปมีความลังเลสงสัย มีความกระทบ มีความเป็นไปของใจ เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ...สิ่งนี้เป็นธรรม แต่ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา สิ่งที่เป็นภาวนามยปัญญาจะเกิดความเป็นไปจากใจ จะก้าวเดินออกไปจากใจ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ เวลาประสบจากวิมุตติสุขมาแล้ว เทศน์ธัมมจักฯ จักรนี้ได้เคลื่อนแล้ว แม้เทวดายังส่งต่อกันขึ้นไปๆ ธรรมจักรนี้ได้เคลื่อนแล้ว ไม่มีใครสามารถจะย้อนกลับได้ ไม่มีใครสามารถย้อนกลับได้เพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปักธงแล้ว ใครจะย้อนกลับสิ่งนี้ไม่ได้ เพราะใครประพฤติปฏิบัติแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้สภาวะทั้งหมด

เวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมา เห็นไหม ธงนี้ได้ปักแล้ว จักรนี้เคลื่อนกลับไม่ได้อีกเลย เป็นอฐานะ เป็นไปไม่ได้ที่สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วจะเสื่อม ถ้าเป็นสภาวธรรมนั่นน่ะ เกิดเจริญแล้วเสื่อมๆ สภาวะแบบนั้นเจริญได้แล้วเสื่อมได้ แต่ถ้าเป็นอกุปปธรรม สิ่งที่เป็นอกุปปธรรมคือปักธงแต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นไป สิ่งนี้ไม่มีวันเสื่อม เสื่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าเสื่อมแล้วสภาวะจิตมันก็ต้องเคลื่อนไปตามวัฏฏะสิ ในเมื่อสภาวะจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันจะไม่เสื่อม มันจะเคลื่อนไปในวัฏฏะไม่ได้ สิ่งที่เคลื่อนไปในวัฏฏะไม่ได้ เห็นไหม ตั้งแต่ ๗ ชาติหดสั้นเข้ามาๆ จนถึงที่สุด ไม่มีการเกิดและการตาย

สิ่งที่ไม่มีการเกิดและการตายจะเป็นประจักษ์ จะเป็นพยานกับใจผู้ที่ปักธงได้ สิ่งนี้จะเห็นขึ้นมาด้วยเป็นปัจจัตตัง เห็นเฉพาะ เห็นเต็มหูเต็มตาของใจดวงนั้น นี่ฆ่ากิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามาอย่างไร แล้วกิเลสตายอย่างไร นี้ถึงจะซึ้งในครูบาอาจารย์นะ กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจ กราบครูบาอาจารย์ของเราเต็มหัวใจ เอวัง