ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ทางสว่าง

๑๔ ก.ค. ๒๕๕๗

ทางสว่าง

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่องขอความอนุเคราะห์ครูบาอาจารย์เรื่องแนะความถูกต้อง และแก้ไขให้ลูกด้วยค่ะ

ลูกได้ปฏิบัติต่อเนื่องมา ๘ วัน นั่งครั้งละ ๒-๓ ชั่วโมง พักเป็นช่วงๆ ทำทั้งวัน ช่วงปฏิบัติทำความสงบของใจได้ยากขึ้น ทั้งๆ ที่เคยทำได้ง่ายและชัดเจน สมาธิเคยแรงดีมากๆ ก็มีพอมีพอกิน พิจารณาดูแล้ว เมื่อก่อนคงเป็นฌาน แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว ช่างมัน แต่ก็ฟังคำสอนที่ว่า ต้องซื่อตรงกับปัจจุบัน ทำต่อไป เพราะที่ผ่านมาหลวงพ่อบอกว่ามีสมุทัยซ้อนชัดๆ

ลูกทำอย่างตั้งใจ แต่ไม่ปรุงแต่งใดๆ แล้วปรากฏว่ามีเวทนา มีสัญญา และสังขารมา มันมีเวทนาจิตด้วย มันอยู่ติดกับจิตที่สุด แต่ไม่ใช่จิต อันอื่นๆ แยกห่างกันชัดเจนคนละมุมเลย ขันธ์มันมาแบบพร้อมกันบ้าง แล้วแต่อะไรชัดก็จับตัวนั้นพิจารณา

สิ่งที่จิตเรียนรู้พบว่า มันเป็นอนิจจัง เวทนากายพิจารณาจนหายปวด มันปล่อย แต่ไม่ขาด แต่ที่มันเปลี่ยนไปคือเมื่อปวด หายแบบขันติ มันไปด้วยกันกับจิต แต่ตอนนี้ปล่อยแบบไม่เกี่ยวกัน มันคนละส่วนกัน จิตมันสงบ และถ้าสติอ่อนเมื่อใด สัญญามันมาทีละหนึ่ง สอง สาม สี่อย่างมาพร้อมๆ กัน มันจุกและมึน เปรียบเหมือนโดนต่อยปากคอเจ่อ ต้องรีบเอาจับลมทันที เหมือนจะตาย เหนื่อยมาก สติอ่อนบ่อยๆ

แล้วถ้าพอแข็งแรง พิจารณาแต่กำลังดี จับได้ มันปล่อย หลายครั้งเรื่องสัญญา และก็มีกิเลสเกิด คนอื่นๆ เขามีธรรมเกิด ลูกมีกิเลสเกิด มันด่าขณะที่พิจารณาว่าเราเก๋าเจ๊ง

หลวงพ่อ : เขาว่านะ

ถาม : มันชัดมาก แล้วแปลทางความรู้สึกทันทีว่าอย่ามายุ่งกับกู กิเลสลูกร้ายมาก คาดว่าจัดกว่าคนอื่นแน่

แล้วมีครั้งหนึ่งช่วงพิจารณา จิตมันวูบดึงทุกอย่างลง สุดวูบ จิตก็กลับมาสงบมากกว่าเดิม เหมือนลูกรู้แล้วที่หลวงพ่อบอกว่าลูกมีสมุทัย คราวนี้ชัดเจนว่าแยกขันธ์กับจิต และจิตก็มีสิ่งปนในจิตที่แปรปรวนอยู่ ลูกยังขาดอยู่ แต่ปล่อยบ่อยพอสมควร ถ้าสติดีและเข้าใจสมุทัยที่หลวงพ่อสอน รีบมาเรียนเพราะกลัวว่าถ้าโง่อีก หลวงพ่อจะได้ตีมันกลับ กิเลสลูกร้ายกว่าใคร กลัวมันเลย กราบครูบาอาจารย์ถึงที่สุด เมตตาลูกด้วย

ตอบ : ไอ้นี่การภาวนามันก็ต้องภาวนาอย่างนี้ การภาวนามันเหมือนกับการฝึกฝน การภาวนา เห็นไหม ปริยัติคือศึกษามา ศึกษามาได้แนวทาง แล้วเวลาปฏิบัติ ปฏิบัติไปมันก็อยู่ที่จริตนิสัย จริตนิสัยหมายความว่า เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ ในพระไตรปิฎกเหมือนใบไม้ในกำมือ

ถ้าใบไม้ในกำมือกับใบไม้ในป่า ในป่ามันจะมีใบไม้ไปทั่วโลกเลย ในป่าทั่วโลก ใบไม้มันเยอะแยะไปหมดเลย ใบไม้ในกำมือ คำว่าใบไม้ในกำมือคือสิ่งที่สัจจะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามาพูดมันเป็นแค่ใบไม้ในกำมือ

แต่เวลาเราปฏิบัติไป จริตนิสัยของเรามันมหาศาลเลยที่มันจะแตกแขนงแยกย่อยออกไปอีกมาก ถ้าอีกมาก เราทำอย่างไรก็แล้วแต่ โดยหลัก โดยหลักอริยสัจมันต้องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา โดยหลักเราเข้ามาที่นี่ แต่อาการที่เป็น โอ้โฮ! มันจะแตกไปอีกมหาศาลเลย

ทีนี้แตกไปมหาศาล ตรงนี้ถ้ามันแตกไปมหาศาล เรารับรู้ เห็นไหม มันเป็นรสไง พอแตกมหาศาล รู้ที่ว่าหลวงปู่ดูลย์ท่านพูด นิมิตนี้เห็นจริงไหม จริง เราเห็นจริงๆ เรารู้จริงๆ มันแตกแขนงไป เรารับรู้ทั้งนั้นน่ะ มันเป็นความจริงไหม เป็นความจริง เรารู้จริงๆ เราเห็นจริงๆ แต่มันเป็นอริยสัจไหม ไม่เป็น มันไม่เป็นเพราะอะไร เพราะมันมีสมุทัยไง

มันมีสมุทัยก็มีความเห็นของเรา มีความพอใจของเรา มีสรรพสิ่งของเรามันเจือปนไปด้วย แต่มันมีรสชาติไหม มีสิ มันมีรสชาติเพราะอะไร เพราะว่าเวลาจิตมันสงบ เห็นไหม เวลาจิตสงบมันก็ตื่นเต้นแล้ว แล้วพอมันฝึกหัดใช้ปัญญาไป มันยิ่งตื่นเต้นไปใหญ่ แต่มันมีสมุทัยเจือปนไปตลอดๆ มันถึงต้องกลับมาพุทโธ ต้องกลับมาทำความสงบของใจ เวลาภาวนาไปอย่างนี้มันภาวนาไปได้

มันก็เหมือนคนทำงานน่ะ คนคนหนึ่งมันมีทั้งดีและชั่ว คนจะดีตลอดทุกอย่าง หรือคนเลวตลอดทุกอย่าง ไม่มีหรอก ในคนคนหนึ่งจะมีดีมีเลวปนกัน ในการภาวนาเป็นอย่างนั้น มันก็มีธรรม ธรรมเวลาปฏิบัติมันเป็นธรรมก็เป็นขึ้นมา กิเลสใต้สำนึกมันมีอยู่ นี่สมุทัย มันสะอาดไปไม่ได้ไง มันจะมีขนาดไหนมันก็เป็นอย่างนี้ มันรู้ได้แค่นี้ แล้วถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์ที่ท่านแทงทะลุไปแล้ว ท่านรู้แจ้งไปแล้ว ท่านจะรู้เลยว่าต้องทำอย่างไร ก้าวเดินไปอย่างไร เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ความสะอาดบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

แต่ในโลกนี้ไม่มี ทองคำก็ไม่มี มี ๙๙.๙๙ มันไม่มี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรอก ไม่มี แต่ว่าถ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่มี ถ้ามี ต้องทำไปอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ปั๊บ เขาบอกว่าเขาเป็นทองคำ เราไม่ต้องหรอก เราเป็นนากก็ได้ เรามีนาก นากมันมีส่วนผสมของทอง ทองแดง ทองเหลือง มันก็มีส่วนผสมของทองเหมือนกัน เออ! เขาใส่ทองกัน อ้าว! เราใส่นาก ก็มีทองเป็นส่วนผสมนะ เออ! เหมือนกัน ก็มีทองอยู่ แต่มันไม่เหลืองๆ เหมือนเขาน่ะ มันออกแดงๆ เพราะมันมีส่วนผสมของทองแดง แต่มันก็มีส่วนของทอง

นี่ก็เหมือนกัน เราภาวนา เราก็มีความรู้ความเห็น มันมีส่วนผสมของทอง แต่มันก็มีส่วนผสมอย่างอื่นด้วย มันมีส่วนผสม มันไม่สะอาดบริสุทธิ์ไง ฉะนั้น เรารับรู้ได้ไหม คนที่เขาไม่มีอะไรเลย เขาไม่มีเครื่องประดับอะไรเลย เขาเอาใบไม้ใบหญ้า เอาเปลือกหอย เขาเอาไม้มาฉลุเป็นเครื่องประดับของเขา เพราะเขาไม่มี เขาไม่มีทอง เขาไม่มีเงินมีทองอย่างเรา แต่ของเรามี แต่เรามีมันก็ไม่บริสุทธิ์ ทำอย่างไรล่ะ เราก็มี แต่มันก็ไม่ใช่ทองคำแท้ มันมีส่วนผสมของอย่างอื่น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาไป มันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ใบไม้ในป่า คือความรู้ความเห็นของเรามันแตกแยกย่อยออกไป ไอ้อย่างนี้มันเป็นจริตนิสัย คือห้ามไม่ได้ เราจะบอกว่า ห้ามไม่ได้หรอก สิ่งที่มันจะเกิดกับเรา สิ่งที่ความรู้สึกจะเกิดกับเรา เราห้ามไม่ได้ แต่เราสามารถควบคุมได้ เราสามารถพัฒนาได้

สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันบอกว่าจะห้ามไม่ให้เกิดขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ มันมีของมัน แต่มันสามารถชำระล้าง สามารถผ่อนคลายมันได้ มันผ่อนคลายมันด้วยอะไร ผ่อนคลายมันด้วยสติ ผ่อนคลายมันด้วยสมาธิ ผ่อนคลายด้วยปัญญา เราพัฒนาของเรา เราทำของเราต่อเนื่องขึ้นมา

ฉะนั้น สิ่งที่มันเป็นจริง อย่างที่ว่า เมื่อก่อนบอกว่า มันเป็นสมาธิ สมาธิเราดีมาก

สมาธิเราดีมาก อันนี้มันต้นทุนเดิม ต้นทุนเก่า คนเรานะ บางทีคนเราสติดีๆ มันมีสติของมัน มันรับรู้อะไรต่างๆ ของเขาได้ แต่ปัจจุบันมันพัฒนาไหมล่ะ ถ้ามันพัฒนามันก็ต้องมาเข้านี่ เข้าศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าสมาธิมันดี ปัญญามันจะเกิดขึ้น อย่างเช่นที่ปฏิบัติ ครั้งหลังที่มันวูบลง มีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงที่พิจารณาอยู่มันวูบ มันดึงทุกอย่างลง

นั่นน่ะมันจะลง ถ้ามันวูบ อาการที่วูบลงอย่างนี้ อาการที่ว่าจิตมันจะลงสมาธิ บางทีมันไหลจากที่สูง วูบๆๆ ไม่มีวันที่สิ้นสุด ถ้าเรายิ่งสงสัย ยิ่งสติเกาะมันอยู่นะ มันจะวูบอยู่ทั้งวันทั้งคืนเลย

แต่ถ้าเรามาพุทโธๆ เอ็งจะวูบก็วูบไปสิ เดี๋ยวมันหยุดเอง พอมันหยุดปึ๊ก มันเข้าไปสู่สมาธิเลย เข้าไปสู่ฐานของมันเลย

นี่ก็เหมือนกัน ที่จิตมันจะวูบๆ เพราะมันมีเหตุ ไอ้วูบลงอย่างนี้วูบโดยตกภวังค์ วูบแล้วไม่รู้ตัว วูบแล้วหายไปเลย รู้ตัวอีกทีเหมือนคนตื่นจากนอน ไอ้นั่นตกภวังค์

แต่ถ้ามันวูบๆ มีสติพร้อมไปนะ สติพร้อมมันไป พร้อมไปตลอด แล้วถ้ามันถึงที่สุด ให้มันถึงที่สุดเลย จะไปไหนให้ไป มันเป็นอาการ อาการที่คนจะได้ดี มันจะล่อ ไอ้นู่นดีกว่า ไอ้นี่ดีกว่าไง เหมือนคนจะไปเที่ยว จะไปทางไหนดีล่ะ ทางนู้นก็ดี ทางนี้ก็ดี ทางนู้นก็ดี ทางนี้ก็ดี มันแยกกันไปดี ไอ้นี่มันวูบๆ มันก็สงสัยอยู่นั่นน่ะ มันก็วูบอยู่นั่นน่ะ แต่ถ้าบอกว่า เราไม่ไปไหนเลย เราอยู่โดยตัวเรานี่ อาการนั้นดับหมด อาการวูบคืออาการ

ฉะนั้นบอกว่า อย่างนั้นถ้าลงสมาธิทุกคนต้องวูบใช่ไหม

ไม่ใช่ ไม่ใช่ มันจะเป็นจำเพาะบุคคล แล้วในบุคคลคนเดียวกันบางทีมันก็วูบซะแรงเลย แต่พอรู้เท่าแล้วมันไม่มีเลย อาการอย่างนี้ไม่เกิด แต่มันจะละเอียดเข้ามา ไอ้อาการที่ละเอียด จิตละเอียดมันจะรู้ทุกๆ คน เวลาพุทโธๆ มันจะละเอียดขึ้นมา มันจะละเอียดลึกซึ้งเข้ามา อย่างนี้ใช่

เพราะอาการวูบอย่างนี้มันลงสมาธิแล้ว ถ้าพ้นจากนี้มาแล้ว พอใช้ปัญญาไป ที่ว่านี่มันจะทะลุปรุโปร่งหมดเลย ทีนี้ให้มันทำอย่างนี้ไป มันเป็นหนทางของเราไง มันเป็นทางสว่าง ทางอริยสัจ ทางมรรค

แต่ถ้ามันเป็นทางของกิเลส มันลูบๆ คลำๆ แล้วทำไปแล้วมันมีความอหังการว่าฉันรู้ฉันเห็นไปหมดล่ะ แต่ให้พูดถึงธรรมะ พูดไม่ถูก พูดไม่ได้ พูดไม่จริง นี่มันเป็นทางของกิเลส แต่ถ้ามันเป็นทางของธรรม ทางของมรรคนะ เราพยายามทำของเรา

อย่างที่ว่าเวลามันปรากฏ มันพิจารณาไปแล้วขันธ์มันเป็นขันธ์ มันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร

ให้มันเปลี่ยนแปลงไป ถ้าเราศึกษาทฤษฎีมาแล้วมันจะเป็นอย่างนั้น เหมือนกับเราว่าเป็นอนัตตา มันต้องแปรสภาพอย่างนี้ แล้วเราต้องการให้มันเป็นแบบนี้ เรายึดว่าเส้นทางทางนี้ มันมีทางอ้อมก็ได้ เขาจะขุดอุโมงค์ไปก็ได้ เขาจะไปทางอากาศก็ได้ เขาขึ้นเครื่องบินไป

นี่ก็เหมือนกัน มันจะเกิดอะไรขึ้นให้มันเกิด ให้มันเป็นปัจจุบันไง เราทำอะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน เราอยู่ในสถานที่ที่ว่าไม่มีถนนหนทางเลย การคมนาคมเขาไปทางเครื่องบิน เราก็ต้องพยายามหาเครื่องบิน เพราะมันต้องยกขึ้นสูงพ้นจากป่านั้นไป แต่ถ้าเป็นหนทาง ดูสิ ดูทางรถไฟ พอเจอภูเขา เขาเจาะอุโมงค์ไปเลย เขาเข้าอุโมงค์ไปเลย

นี่ก็เหมือนกัน มันมีอุปสรรคอะไรข้างหน้า มันจะเป็นอย่างไรให้มันเป็นไปตามความเป็นจริง ไม่ต้องไปคาดหมาย เราอยู่ในพื้นที่ราบ ภาคกลางมันเป็นพื้นที่ราบ ถนนหนทางมันเชื่อมต่อกันหมดเลย เราก็ว่าทั่วโลกนี้มันจะเป็นแบบนี้ มันจะเป็นอย่างนี้ พอขึ้นไปทางภาคเหนือนะ ภาคเหนือบางทีเขาเจาะอุโมงค์ไป เขาต้องผ่านภูเขาไป อ้าว! ไม่กล้าเข้า เข้าอุโมงค์ไม่ได้ เดี๋ยวภูเขามันทับเอา

นี่เพราะเราไปจินตนาการ เราไปคาดหมายข้างหน้าไง แต่ถ้าเราปล่อยไปเลย เราทำโดยสัจจะความจริง สิ่งใดจะเกิดขึ้น ให้มันเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ทำตามนั้นไป

เวลาขันธ์มันจะเกิด มันจับเวทนาได้ มันจะเป็นสัญญาอะไร ตั้งสติไว้ แล้วมันจะพัฒนาของมันขึ้นไป เราจะไปสู่ทางมรรค เราจะไปสู่ทางคุณงามความดีของเรา เราจะเพื่อประโยชน์กับเราเนาะ ค่อยๆ ทำไป

เวลาพิจารณาไปแล้ว ดูสิ เวลาขันธ์มันเกิด มันแยกคนละส่วน เมื่อก่อนนะ เวลามันดับไป เขาบอกว่า ถ้ามันพิจารณาไปแล้วถ้ามันเป็นขันติ เวลาพิจารณาไปแล้วมันหายไปเลย มันหายไปหมดเลย นี่จิตเดิมเป็นเรา แต่ตอนนี้พิจารณาไปแล้ว เวลาขันธ์มันหลุดออกไป พิจารณาไป รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณมันดับ เหลือแต่ผู้รู้ มันคนละอันกัน อะไรไป อย่างนี้มันพัฒนาขึ้นไปแล้วมันจะรู้ มันจะพัฒนาของมันไป พัฒนาให้ดีขึ้น ทำให้ดีขึ้น ทำขยันหมั่นเพียรไป ถ้าขยันหมั่นเพียรไป

แต่ทีนี้ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ต้องกลับมาสัมมาสมาธิ กลับมาความสงบของใจ กลับมาที่ต้นทุนเดิม กลับมาผู้ที่จะเป็นหูตาสว่าง ทำด้วยหูตาสว่าง พิจารณาด้วยปัญญาที่หูตาสว่าง ไม่ใช่ใช้ปัญญาไปโดยที่หูตาพร่ามัว ใช้ปัญญาไป ถ้าเป็นการคาดเดา ผู้ใดปฏิบัติด้นเดาธรรม ได้ธรรมะด้นเดา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันจะได้สัจจะความจริง เราทำความจริงของเรา ทำของเราไป

เริ่มต้นก็คาดก็หมายไป นี่ธรรมะคาดหมาย มันก็เป็นโดยความคาดหมาย ถ้าธรรมะเป็นความจริง มันก็เป็นความจริง ให้ขยันหมั่นเพียรอย่างนี้ พิจารณาอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ต่อเนื่องไป มันจะไปสู่หนทางสว่างเนาะ ไอ้นี่พูดถึงการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติแบบนี้ จบ

ถาม : เรื่องครอบครัวล้มเหลว

หลวงพ่อ : นี่หัวข้อเขาเขียนมาอย่างนี้จริงๆ

ถาม : แต่งงานโดยที่สามีให้เป็นแม่บ้าน รอมีลูกและเลี้ยงลูก ไร้งาน ไร้อาชีพค่ะ ตลอดเวลาอยู่กับสามี เขาเอาแต่ใจ ใช้กำลังรุนแรง อารมณ์ร้าย เกรี้ยวกราด ไร้เหตุผลกับเรามานาน ระยะหลังเขาขอเราแยกไปเช่าคอนโด เพราะงานมากมาย ต้องติดต่องานเวลาดึกๆ ติดงาน ต้องใช้สมาธิ ขอมีพื้นที่ส่วนตัวอยู่ บวกกับด้วยเราคิดว่าเขาจะดีขึ้น เมื่อเขาคิดได้ว่าความรุนแรงไม่ควรมีในครอบครัว

แต่แล้วกลายเป็นว่าเขาได้ชีวิตโสด เที่ยวไปบอกใครว่าเราเลิกกันแล้ว ทั้งที่เรายังคิดว่านี่คือการถอยคนละก้าว และแยกกันอยู่มานาน ๒ ปีกว่า แฟนมีกลับมาขอโทษ วนเวียนแวะเยี่ยมเรา พอได้ทานข้าวนอกบ้านครั้งสุดท้ายก็ไปมีหญิงใหม่ ลงทุนซื้อคอนโดราคาแพงอยู่ด้วยกันโดยปิดบังเรา จู่ๆ มาบอกให้เราตาสว่าง เพราะเลิกกันกับเรานานแล้ว ปัจจุบันไม่มีลูกด้วยกัน จนวันนี้เวียนครบ ๑๑ ปีของเรา เหตุการณ์เช่นนี้คืออะไรหรือคะ เขาคิดเองเออเองข้างเดียว แบบนี้โยมไม่ทราบว่าความจริงที่เป็นสาเหตุเบื้องหลังคืออะไร เราไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของปัญหา เพราะเขาไม่เคยให้โอกาสเราได้พูดคุยไถ่ถามใดๆ

เวลานี้จิตใจเราคงคิดทบทวน เพราะเขาทิ้งภาระหนี้ผ่อนบ้านเรือนหอที่ซื้อด้วยกันไว้นี้หลายล้านบาท เราขอให้เขาช่วยรับผิดชอบหนี้ดังกล่าว ก็เลี่ยงบอกแค่ว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว จบกันนานแล้ว เราควรใช้วิธีทางโลกคือฟ้อง หรือวิธีแก้ปัญหาอย่างไรเจ้าคะ

ตอบ : นี่พูดถึงว่าเขาถามถึงปัญหาชีวิต

ความจริงเว็บไซต์นี้ตอบแต่ปัญหาธรรมะ เว็บไซต์ไม่ได้สร้างเพื่อตอบปัญหาชีวิต แต่ในเมื่อมันมีปัญหาชีวิต เราจะตอบให้มันเป็นปัญหาธรรมะ เพราะปัญหาธรรมะมันก็คือปัญหาในครอบครัว ปัญหาในหัวใจนั่นแหละ

ฉะนั้น ถ้าสิ่งที่เป็นธรรมนะ มันเริ่มต้นต้องมีปัญญาไง มีปัญญานะ มีปัญญาแล้วเราหาที่พึ่งอย่างนี้ เราจะไปในทางสว่าง

นี้ดีมาก คำว่าดีมากหมายความว่า ไม่หลงไปในทางมืดบอด ไม่หลงไปในทางอวิชชา ไม่หลงไปนะ ถ้าคนมีความทุกข์ความยากอย่างนี้ มันมีความกดดันอย่างนี้ ก็ไปหาหมอดู หาหมอทำคุณไสย หาหมอทำให้เขากลับมารักเรา อย่างนี้มันยิ่งทำให้หมดเนื้อหมดตัวไปข้างหน้า มันจะไปโดนหมอหลอก มันต้องมีค่าใช้จ่าย

ตัวเองก็มีความทุกข์พออยู่แล้ว ตัวเอง ความทุกข์ของเรามันก็ทับถมในหัวใจพออยู่แล้ว แล้วถ้าไปในทางมืดบอด ไปในทางสังคมโลก ไปในทางไสยศาสตร์ ไปทางที่เขาคิดว่าทางนั้นจะเป็นทางแก้ไขของเขา ถ้าไปทางมืดบอดนะ เราจะต้องเสียเงินเสียทอง เสียเวลา เสียอารมณ์ความรู้สึก แล้วพอสุดท้ายขึ้นมา สมมุติว่าเขากลับมา สมมุติสามีกลับมาคืนดีกับเรา โยมคิดว่าโยมจะไว้ใจได้ไหม สามีเขาจะกลับมาหาเรา ตอนนี้สามีมาง้อเลย บอกคิดได้แล้ว จะมาอยู่กับเราอีก โยมคิดว่าโยมทำใจได้ไหม แล้วโยมไว้ใจเขาได้ไหม

นี่เหมือนกัน ถ้าไปทำคุณไสย ไปทำสิ่งใด คิดว่าเขาจะกลับมา เขาจะเป็นคนดีขึ้นมา เราคิดว่าเขาจะดีจริงหรือเปล่า เราคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเราไหม นั้นเป็นทางมืดบอดไง

แต่ที่บอกว่าถ้าเป็นทางสว่าง ทางสว่าง เรายอมรับความจริง เรายอมรับความจริง ตอนนี้เหตุการณ์มันเกิดขึ้นมาแล้ว เขาบอกว่า เหตุการณ์นี้เกิดมาครบ ๑๑ ปีแล้ว แล้วเขาก็ไปมีภรรยาใหม่ แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นมีดีกว่าเรา แล้วถ้ามีดีกว่าเรา เราขาดตกบกพร่องสิ่งใด เราขาดตกบกพร่องสิ่งใด

มันเป็นที่จุดเริ่มต้น เราคิดเป็นมุมกลับ เราเอากลับกัน เอากลับกันว่า โยมเวลาแต่งงานแล้ว โยมบอกว่าโยมจะออกไปทำงานนอกบ้าน โยมเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว แล้วให้สามีเป็นพ่อบ้าน โยมว่าเขายอมไหม เออ! อ้าว! กลับกัน กลับกันว่า โยมเป็นคนออกไปทำงานนอกบ้าน แล้วให้สามีเป็นพ่อบ้านอยู่กับบ้าน อยู่กับเหย้า เฝ้ากับเรือน เป็นคนทำงานบ้าน

เวลาอย่างนี้มันต้องคิดตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ต้น ถ้ามีข้อตกลง มันมีหลายครอบครัวที่เขามีข้อตกลงอย่างนี้ แต่เขามีข้อตกลงอย่างนี้ต่อเมื่อเขามีบุตร ถ้าเรามีบุตร เรารักด้วยกัน มันเป็นโซ่ทองคล้องใจ มันเป็นโซ่ทองของหัวใจทั้งสองหัวใจ ทุกคนมันก็จะสละได้ใช่ไหมว่าคนใดคนหนึ่งอยู่บ้านเพื่อเลี้ยงดูลูกของเรา เพื่อให้ลูกของเราเป็นคนดี ให้ลูกของเรามีความสุข ถ้าอย่างนั้นมันก็สมเหตุสมผล

ไอ้นี่เริ่มต้นก็บอกว่า พอแต่งกับสามีก็ให้อยู่บ้าน รอเลี้ยงลูก ลูกยังไม่มีเลย จะให้รอเลี้ยงลูก แล้วเขาก็ออกไปข้างนอก แล้วก็ไม่มีเหตุมีผล

อันนี้เขาถามว่า แล้วสิ่งนี้มันคืออะไร มันคืออะไร เขาไม่มีเหตุผลที่ได้อธิบาย เขาไม่มีเหตุผลจะได้อธิบายเลย

เวลาพูดถึงทางสว่างนะ ในทางสว่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าเวรกรรม กรรมเก่า กรรมใหม่ ถ้ากรรมเก่า ขณะที่กรรมบังตา เขาพูดอะไรก็เชื่อ เขาทำอะไรด้วยเหตุผลมันไม่น่าฟังขึ้น มันก็ฟังขึ้น มันยอมเขาไปทั้งหมด แล้วพอยอมเขาไปหมด เพราะเราคาดหมายว่าเขาเป็นคนที่ใช้อารมณ์รุนแรง เขาเป็นคนเกรี้ยวกราด เขาเป็นคนที่มีความโหดร้าย เราคิดว่าถ้าเขาออกไปแล้วเขาจะเป็นคนอารมณ์ดีขึ้น หวังว่าเขาจะดีขึ้น หวังว่าเขาจะดีขึ้น

ถ้าหวังว่าเขาจะดีขึ้น มันก็ต้องตกลง ต้องคุยกัน ถ้าคุยกัน มันมีปัญหาอย่างใด เราก็แก้ไขกันด้วยหนทางสว่าง คือหนทางของวิทยาศาสตร์ หนทางของทางธรรมะ

เห็นไหม บอกว่าวิทยาศาสตร์แก้กิเลสไม่ได้ แต่เวลาเราพูดกันหนทางสว่าง คือหนทางทางวิทยาศาสตร์ หนทางทางเหตุทางผล ถ้าเป็นธรรมะ ธรรมะที่สะอาดเข้าไปมันแก้กิเลส กิเลสคือความเป็นตะกอนความขุ่นใจในใจของแต่ละบุคคล ถ้าในใจของบุคคลมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในหัวใจ เราจะมีปัญญาอย่างไรเข้าไปชำระล้างกิเลสอันนี้ อันนี้ธรรมะที่จะแก้กิเลส แต่วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ ที่ทุกคนทำความเข้าใจได้ นี่หนทางสว่าง

เราคุยกันด้วยเหตุด้วยผลสิ ในเมื่อมันมีปัญหาขึ้นมา มันมีปัญหาขึ้นมา เขาผิดอยู่แล้วล่ะ เขาผิดอยู่แล้วเพราะเขาขอไปอยู่คอนโด แล้วเขาก็ไปซื้อคอนโดให้กับภรรยาน้อย นี่มันผิด มันผิดหลักครอบครัวไง ผิดเพราะเขามีเล็กมีน้อย ถ้าเขามีเล็กมีน้อย เขาผิดอยู่แล้ว

ถ้าเขาผิดอยู่แล้ว สิ่งที่ว่า หนทางสว่าง หนทางสว่างเพราะเขาถามว่า อย่างนี้ถ้าเราต้องการให้เขามารับผิดชอบเรื่องหนี้สินด้วย เพราะหนี้สินสร้างมาด้วยกัน แต่ตอนนี้หนี้สินยกให้เราคนเดียว แล้วเราจะทำอย่างไร

มันก็ต้องตามสิทธิ์ไง

เขาบอกว่า อย่างนี้ต้องฟ้องทนายไหม อย่างนี้ต้องอะไรไหม

มันต้องตามสิทธิ์ แต่ระวังให้ดี เขาจะต้องมีข้อมูล เขาต้องมีหลักฐานโต้แย้งเราอยู่แล้ว เวลาไป จะให้ตั้งทนายฟ้อง ทนายมันก็กินทั้งสองข้างเลยล่ะ ทนายที่ดีก็มี ทนายที่เขาหาผลประโยชน์ก็มี จะทำอะไรถ้าถลำไปแล้วมันมีแต่ผลเสียหายทั้งนั้นน่ะ แต่มันตามสิทธิ์ของเรา เราต้องรักษาสิทธิ์ของเรา เรารักษาสิทธิ์ของเรา เราทำตามความถูกต้องความดีงามของเรา มันเป็นธรรม แต่คำว่าเป็นธรรมความเป็นธรรม แต่เพราะความไม่เท่าทันกัน เราก็จะเป็นเหยื่อเขาตลอดไป

แต่ถ้าพูดถึงตามสิทธิ์ เขาต้องมารับผิดชอบเรื่องความเป็นหนี้ อันนี้เราเห็นด้วย เขาต้องรับผิดชอบความเป็นหนี้ แต่เขาก็อ้างว่า เราไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว สมบัตินั้นเป็นของเขาหรือของเราล่ะ นี่เราผ่อนบ้านจนจบนะ เดี๋ยวเกิดถ้าเขาโดนผู้หญิงคนนั้นเฉดหัวมานะ เขาจะมาขออยู่ด้วย เขาให้เราผ่อนบ้านจบ ผ่อนบ้านจบแล้วพอเขาได้ทุกข์ได้ยาก เขาจะมาอยู่กับเราอีก แล้วเราจะรับเขาได้ไหมล่ะ

คนเรานะ ถ้าจิตใจมันมีธรรม มันไม่ทำเสียหายอย่างนี้ มันต้องคิดถึงใจเขาใจเรา ตกลงด้วยกัน เป็นสามีภรรยากัน ซื้อบ้านด้วยกัน แต่งงานกัน แล้วอยู่ด้วยกัน แล้วเขาเอารัดเอาเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว แล้วเวลาถึงที่สุดแล้วทิ้งปัญหาไว้ให้หมดเลย แล้วเราก็มาทุกข์มายากอยู่ แล้วอันนี้กรรมอะไรล่ะ

กรรมนะ มันเป็นกรรมเก่า แต่กรรมปัจจุบันนี้ ก็เราเลือกเองไง เราเลือกเอง เรายอมรับเขาเอง เราแต่งงานกับเขาเอง แล้วเราแต่งงานกับเขาเอง แล้วมันมีปัญหาขึ้นมา มันเป็นปัญหาครอบครัว ถ้าเป็นปัญหาครอบครัว

เราชมอยู่อันหนึ่งเท่านั้นน่ะ เราไม่ไปตามกระแสโลกนะ ถ้ากระแสโลก คนถ้ามีปัญหาขึ้นมาแล้วเขาจะไปหาหมอยา ไปหาหมอเสน่ห์ ไปหาคุณไสย แล้วก็ดูสังคมสิ ในปัจจุบันนี้เราก็ทุกข์อยู่แล้ว เรามีปัญหาครอบครัวเราเต็มที่อยู่แล้ว แล้วเราพอไปอย่างนั้นมันไปเพิ่มปัญหาใหม่ขึ้นมา ไปเพิ่มปัญหาที่ว่าเราจะต้องไปเจอพวกหมอน่ะ จิตใจเขาจะบริสุทธิ์ จิตใจเขาจะตักตวงผลประโยชน์จากเราอีกมหาศาลเลย

ถ้าเราไม่ไปทางมืดบอด เรามาทางสว่าง ถ้ามาทางสว่าง เราถึงตอบปัญหา เพราะที่นี่เขาตอบปัญหาภาวนา ไม่ได้ตอบปัญหาครอบครัว แต่เราเห็นปัญหาอย่างนี้มันเป็นปัญหาที่ว่ามันชักเข้าสู่ธรรมได้ ชักเข้าสู่ธรรมได้ ให้เห็นว่า เวลาเราบอกว่า สิ่งนี้มันกรรมอะไร

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งใดทำแล้วเสียใจ สิ่งใดทำแล้วไม่ดี สิ่งนั้นไม่ควรทำเลย สิ่งนั้นไม่ควรทำเลย

แต่ภพชาตินี้มันยาวไกลนัก เราทำสิ่งใดมาก็ไม่รู้ เราถึงได้มาเจอผู้ชายคนนี้ เขาจะพูดสิ่งใด ทั้งๆ ที่ผู้ชายคนนี้ไปพูดกับใครก็ไม่มีใครเชื่อถือเลย แต่มาพูดกับเรา ทำไมเราเชื่อไปหมดเลย ทำไมเราเชื่อ เราเชื่อแต่ผู้ชายคนนี้ เรายอมเชื่อเขาไปหมดเลย แต่ทำไมเขาไปพูดกับคนอื่น คนอื่นเขาไม่คบเลย คนอื่นเขารู้ว่าคนนี้กะล่อน เขาไม่เชื่อถือเลย เอ๊! แต่ทำไมเรามันเชื่อล่ะ ทำไมจิตใจเรามันเห็นดีเห็นงามไปหมดเลย เห็นไหม

มันมี เวรกรรมของคนมันมี มันมี เราไปเชื่อถือเขาได้อย่างไร ถ้าเราจะเชื่อถือ เราก็เป็นคนที่มีปัญญา ถ้าเป็นคนที่มีปัญญา เราก็ต้องมีปัญญาใคร่ครวญ มันถูกหรือมันผิด มันจริงหรือมันไม่จริง ถ้ามันไม่จริง เราไปเชื่อเขาได้อย่างไร เราไม่ต้องไปเชื่อเขา ถ้าเราไม่เชื่อเขา ชีวิตเราก็เป็นอิสระใช่ไหม

แต่ถ้าชีวิตของเรา เราก็คิดว่า ชีวิตของเรา เราก็ต้องมีคู่ ชีวิตของเราก็ต้องเป็นฝั่งเป็นฝา เป็นฝั่งเป็นฝา เราก็หาเป็นฝาไม้ที่ดีสิ อย่าไปหาฝาผุๆ สิ ไอ้ฝาผุๆ ไอ้ฝามันจะพังอยู่แล้ว เอามาเป็นฝาของเราไม่ได้ ลมพัด ไม่ต้องลมพัดหรอก มันอยู่นี่มันจะผุ มันจะหลุดจากเสาอยู่แล้ว

จะเป็นฝั่งเป็นฝา มันสัญชาตญาณของมนุษย์เนาะ มนุษย์ก็ต้องมีคู่ครองเป็นเรื่องธรรมดา แต่มนุษย์ก็ต้องเลือก ต้องเห็นว่าเราพึ่งพาอาศัยกันได้จริงๆ ถ้าเราพึ่งพาอาศัยกันได้จริงๆ นะ บางคนนะ บางคนดีแต่ต้น น่าจะพึ่งพาอาศัยกันได้ แต่พอไปๆ แล้ว เขาไปติดการพนัน เขาไปเสียคนขึ้นมา มันก็เป็นเวรกรรมของเราเนาะ เวลาเลือก เลือกคนดี๊ดีนะ เวลาอยู่กันแล้วนะ ทำไมมันออกลายขนาดนี้ก็ไม่รู้

กาลเวลามันเปลี่ยนแปลงคนไปหมดเลย กาลเวลามันเปลี่ยนแปลงคนได้นะ เวลามันเปลี่ยนแปลงคนไป ถ้ามันเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้น เราก็เลือกแล้ว เราก็ทำแล้ว แต่นี้มันเริ่มต้นตั้งแต่ต้น เราถึงได้บอก สมมุติว่าให้กลับกัน ให้กลับกันว่า ให้เขาเป็นพ่อบ้านซะ เราออกไปทำงานข้างนอกล่ะ เขาอยู่ในบ้าน เขาก็เห็นเฉพาะในบ้าน ทำความสะอาดในบ้านนั้น เราก็ไปเจอกับสังคม แต่ก็ไว้ใจไม่ได้อีกแหละ เดี๋ยวนี้อยู่ในบ้าน ดูสิ เดี๋ยวนี้พวกแก๊งตกทองมันก็เข้าไปดูว่าบ้านนี้มีใครอยู่บ้าง มันมาหาถึงบ้านเลย

เดี๋ยวนี้โลกมันซับซ้อนขึ้นเยอะ ถ้ามันซับซ้อนขึ้นเยอะ มันต้องมีศีล ๕ ศีล ๕ กาเมสุมิจฉาจาร เราซื่อสัตย์ต่อกันในคู่ครองของตน เราซื่อสัตย์ต่อกัน ถ้าเราซื่อสัตย์ต่อกัน เห็นไหม จะไปทำงานที่ไหน จะไปรอบโลกที่ไหน มันก็ไว้ใจกันได้ไง แต่ถ้ามันไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน ศีล ศีลและธรรมมันจะทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ศีลและธรรมทำให้ครอบครัวนี้มั่นคง จะทำให้ครอบครัวไว้วางใจกันได้

ถ้าครอบครัวมันไว้วางใจกันไม่ได้ ไอ้นี่พูดถึงโดยคำถาม มันส่อแววตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ต้นก็บอกว่าให้เป็นแม่บ้าน พอเป็นแม่บ้าน พอเบื่อแล้วก็บอกว่ามีงานจำเป็นต้องไปเช่าคอนโดอยู่

มันเบื่อแล้ว มันเบื่อแล้วมันจะไปอยู่คนเดียว มันก็บอกว่าต้องมีงานมาก ต้องไปเช่าคอนโดอยู่ต่างหาก ไอ้เราก็ยังเชื่อเขาเนาะ อ้อ! เพื่อหวังว่าเขาจะดีขึ้น พอไปอยู่คอนโดคนเดียวมันก็เหมือนกับปล่อยจระเข้ลงน้ำ ไอ้เข้มันลงน้ำไปแล้วมันก็ไปหาเหยื่อของมัน พอไอ้เข้มันได้เหยื่อมาแล้ว ตอนนี้มันก็ทิ้งหนี้ไว้ให้แล้ว

เราจะพูดว่า เวรย่อมระงับด้วยความไม่จองเวร ตั้งสติ ตั้งสติแล้วแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าของเราไป แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า เขาสร้างเวรสร้างกรรมของเขา เขาทำลายหัวใจของเรา สักวันหนึ่งถ้าคนทำลายหัวใจของเขา เหยียบย่ำหัวใจของเขา เขาจะเจ็บช้ำน้ำใจของเขา

ในปัจจุบันนี้เขาเหยียบย่ำหัวใจของเรา เขาทำให้เราเจ็บช้ำ เขาเหยียบย่ำหัวใจของเรา แต่เรามีสติมีปัญญา มีศีลมีธรรม เห็นไหม เวรย่อมระงับด้วยความไม่จองเวร

คำว่าไม่จองเวรนี้ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลยนะ คำว่าไม่จองเวรคือเอาธรรมะชโลมหัวใจของเรา แต่ที่เราพูด ตามสิทธิ์ เราต้องหาช่องทางตามสิทธิ์ รักษาสิทธิ์ของเรา รักษาสิทธิ์ของเรา ถ้ารักษาสิทธิ์ของเรา เราต้องทำ ไม่ใช่ว่าเราจะงอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ การนั่งสมาธิภาวนาก็ต้องมีความเพียร มีความขยันหมั่นเพียร ชีวิตครองเรือนมันต้องมีอาชีพ ก็ต้องมีความขยันหมั่นเพียรทำเพื่อประโยชน์ของเรา

เราทำของเรา เราทำความเพียร ทำด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยความสุจริตชน มันสุจริต ต้องทำของเรา ถ้าทำอย่างนี้ ไปตามทางสว่าง ไปตามทางธรรมะ ไปตามทางธรรม

ทางธรรมบอกว่า ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราก็หาเหตุสิว่าเหตุมันเกิดเพราะอะไร ถ้าเหตุมันเกิดเพราะอะไร เราก็ต้องแก้ไขตามเหตุนั้น ถ้าแก้ไขไม่ได้ ก็เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราก็อโหสิกับเขา เวรกรรมเราไม่ผูกโกรธกันไป เรารักษาตัวเรา รักษาหัวใจของเรา เราดูแลหัวใจของเรา แล้วเราดูแลหัวใจของเรา เราก็ไม่มีความอาฆาตมาดร้าย ไม่มีความทุกข์ยากจนเกินไป ทั้งๆ ที่ไม่มีมันก็ยากนะ เพราะเขาทำกับเราขนาดนี้ มันไม่มีมันก็ยาก

นี่เขาบอกว่ามัน ๑๑ ปีแล้วล่ะ ๑๑ ปีมันเป็นอดีตไปแล้ว เราแก้ปัจจุบันนี้ แล้วสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันเกิดขึ้นเพราะผลของกรรม ผลของวัฏฏะ บางคนเขาเป็นคนโชคดี บางคนเขามีสามีที่แหม! เป็นที่ทะนุถนอม สามีเขาดูแลของเขา โอ้โฮ! เขามีความโชคดีมาก เขามีความโชคดี ความโชคดี เขาว่าโชคดีก็คือดวง ในพระพุทธศาสนาไม่สอนเรื่องดวง เขาสอนเรื่องผลของกรรม เรื่องผลของวัฏฏะ แต่คำว่าโชคดีเขาทำของเขามา เขาได้ผลของเขา แต่เขาก็ต้องทำต่อเนื่องไป

อันนี้ของเรา เราเคยทำคุณงามความดีมาขนาดไหน เราเคยโชคดีมามากมายแล้ว แต่ในชาติปัจจุบันนี้ ในปัจจุบันนี้เรากำลังเจอวิกฤติ เราเจอวิกฤติในชีวิต เราต้องหาเงินใช้หนี้ เราต้องหาเงินมาผ่อนบ้าน เราต้องหาเงินหาทองมา ต้องทำ ต้องทำเพื่อดำรงชีวิต เพื่อดำรงชีวิตนี้ไว้ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นคติธรรมสอนชีวิตเราได้ เห็นว่า การเวียนว่ายตายเกิด เกิดจากพ่อจากแม่มาก็ทุกข์ยากพอแรงอยู่แล้ว เวลาเราจะมีครอบครัว มีเหย้าเรือน มันก็ยังมาทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนกับเราอีก

ฉะนั้น ตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้ จะมีอะไรเกิดขึ้นข้างหน้า เราใช้ปัญญาของเราแยกแยะ ใช้ปัญญาของเรา เรามีประสบการณ์แล้วเราจะไม่เชื่อใครง่ายๆ เราจะเชื่อน้ำมือของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะทำเพื่อประโยชน์กับชีวิตของเรา เราจะทำเพื่อใช้หนี้ใช้สินอันนี้ให้หมด แล้วชีวิตนี้เลือกเดินเอา เลือกเดินเอา จะเดินทางโลกก็ได้ จะเดินทางธรรม เราก็ประพฤติปฏิบัติ ไม่ต้องบวชก็ปฏิบัติได้ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ ชีวิตมันอยู่ได้ ชีวิตมันก็แค่ข้าวมื้อหนึ่ง มีปากมีท้อง เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพียงแต่คนเรามันติดที่ศักดิ์ศรีไง ติดที่เรายอมแพ้ไม่ได้ เราเสียหายไม่ได้ เราให้ใครเหยียบย่ำไม่ได้ อันนี้มันเป็นความทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนไง

อันนี้มันแล้วกันไป มันแล้วกันไปเพราะเราเลือกกันมาเอง แล้วเราเชื่อใจเขาเอง เขาให้อยู่บ้านก็อยู่ เขาให้ทำอะไรก็เชื่อ แล้วพอเขาทิ้งเราไป ตอนนี้ไม่เชื่อแล้ว ไม่เชื่อแล้ว เราจะมาเอาคืน

ก็เราเชื่อเขามาเอง เราเชื่อเขามาเอง ต้องโทษบอกว่า ทำไมเราเชื่อคนง่ายอย่างนี้ล่ะ ทำไมเราไม่มีเหตุผลต่อรองกับเขาเลยหรือ เราไม่ได้พูดอะไรกับเขาบ้างเลยหรือ แล้วพอเขาทิ้งภาระไว้ให้ ทิ้งภาระไว้ให้ แล้วก็อย่างว่า ถ้าจะฟ้องจะอะไรก็ว่ากันตามแต่หลักฐานเนาะ แต่เราห่วงว่าถ้าไปแล้วเขาจะบอกว่าสินสมรส อ้าว! ก็เรายกให้แล้ว มันไปสู้กัน มันเสียหายไปข้างหน้านะ แต่ถ้ามันเป็นสิทธิ์ที่เราจะแบ่งเบาภาระได้ อันนั้นเราเห็นด้วย แต่เห็นด้วย เราคิดว่าอย่าถลำ อย่าถลำไปให้มันทุกข์มากไปกว่านี้ ถ้าเรามีธรรมะไว้ชโลมหัวใจของเรา เรามีประโยชน์กับหัวใจของเรา

เราชมอันหนึ่ง เราชมอันหนึ่งว่า ไม่ไปทางมืด ไม่ไปทางมืดบอด ไม่ไปทางคุณไสย ไม่ไปทางทำเสน่ห์ยาแฝด ไม่ไปทำทางจะดึงให้เขาคืนมา เพราะเขาคืนมา เราจะไว้ใจเขาได้ไหม ถ้าทำเสน่ห์ยาแฝดกลับคืนมา เดี๋ยวต้องไปทำอีก ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง เดี๋ยวมันไปอีก

แต่ถ้าคุณงามความดีของเรา เรารักษาที่นี่ เราไปทางสว่าง ไปทางธรรมะ ไปทางเหตุและผล หาเหตุหาผล รักษาตัวเรา รักษาหัวใจของเรา แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติได้นะ มันทุกข์ ทุกข์อย่างนี้นะ หายใจเข้าให้นึกพุท หายใจออกให้นึกโธ ถ้ามีธรรมะในหัวใจ จะขอบคุณเลยนะ ขอบคุณสามีเลยนะ อุตส่าห์ทิ้งฉันไป เดี๋ยวนี้ฉันภาวนาเป็นแล้วนะ เมื่อก่อนมีสามีอยู่ ฉันภาวนาไม่เป็น ฉันทุกข์ฉันยากนะ เพราะสามีทำให้ฉันเจ็บช้ำน้ำใจ เดี๋ยวนี้ฉันหันมาภาวนา เดี๋ยวนี้ฉันมีคุณธรรมในหัวใจนะ คิดถึงคุณสามีนะ กลับคิดถึงคุณเขาอีกนะ เห็นไหม เราจะไปทางสว่าง เราไม่ไปทางมืดบอด เอวัง