ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

คือลบหลู่

๑ พ.ย. ๒๕๕๗

คือลบหลู่

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่องสติ

อยากทราบว่า ทำไมคนทำสมาธิถึงสติไม่ดีคะ

ตอบ :อยากทราบว่า ทำไมคนทำสมาธิถึงสติไม่ดี

มันก็เหมือนกับว่า ทำไมคนไม่ทำงานแล้วมันรวย

เออ! คนถ้าจะรวย คนจะรวย คนจะมีฐานะเขาต้องมีหน้าที่การงาน เขาทำสิ่งใดแล้วประสบความสำเร็จแล้วเขาถึงจะรวย คนมีฐานะเขาต้องมีงานมีการของเขา แล้วเป็นสุจริต สัมมาอาชีวะ ทำเสร็จแล้วจะไม่มีความผิดกฎหมาย ไม่มีผลเป็นอกุศล ทำความดีแล้วก็เป็นความดี ความดี ทำสิ่งที่เป็นสุจริต เป็นสัมมาอาชีวะ มันทำแล้วมันมีความสบายใจไง

ถ้าเป็นมิจฉาล่ะ ไปคดไปโกงเขามา ไปทำเขามา รวยไหม เออ! รวย แต่รวยแล้วมีความสุขไหม ไม่มีความสุขหรอก มีแต่ความทุกข์ ถ้ามีความทุกข์แล้ว เวรกรรมมันให้ผลด้วย

เวลาเวรกรรมมันมาทำไมมันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้”...ก็กรรมไง การกระทำไง ทำมาด้วยมิจฉา ด้วยความทุจริต เวลาให้ผลมามันเศร้าหมองทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้นถึงบอกว่า คนทำสมาธิทำไมสติมันไม่ดี

มันก็บอกอยู่แล้ว คนทำสมาธิก็คนทำสมาธิ

เขาบอกคนทำสมาธิต้องเป็นคนดี

ไปดูสวนญี่ปุ่นสิ ไปดูที่พุทธมณฑลสิ ไปดูธรรมจักรที่เขาวางไว้นะ ธรรมจักรเขาแกะหินแกรนิตเบ้อเริ่มเลย แล้วก็วางไว้ มันนิ่งเลย นั่นมันทำสมาธิหรือเปล่า ดูสิ ไปดูสวนญี่ปุ่นเขาจัดหินวางไว้ มีน้ำตกด้วย มันไหลซ่าๆ มันทำสมาธิหรือเปล่า

เราเห็นแต่กิริยาว่าทำสมาธิไง เห็นว่าเขาทำสมาธิ ทำสมาธิแล้วต้องสติดี ทำสมาธิ

อะไรเป็นสมาธิล่ะ สมาธิมันเกิดจากใครล่ะ

สมาธิมันก็เกิดจากจิต มันต้องมีจิต ต้องมีชีวิตไง มันต้องมีชีวิต มีความสุขความทุกข์ไง แล้วถ้ามันมีความทุกข์ จิตมันฟุ้งซ่าน ทำความสงบของใจเข้ามา สมาธิมันอยู่ที่ใจ ใจของคนทำสมาธิได้ สิ่งมีชีวิตมีวิญญาณครอง วิญญาณครองนั่นน่ะทำสมาธิได้

แล้วคนทำสมาธิทำไมสติมันไม่ดี

ก้อนหินมันตั้งอยู่เป็นปีเป็นชาติมันไม่มีสติเลย ก้อนหินมีชีวิตหรือเปล่า มันไม่มีหรอก ธรรมจักรที่วางไว้ตามแหล่งที่เป็นอุทยานต่างๆ ไปดูสิ เวลาไปตามอนุสาวรีย์ เขาทำของเขาไว้ โอ้โฮ! รูปปั้นเบ้อเริ่มเทิ่มเลย มันมีสมาธิหรือเปล่า มันยืนนิ่งเลย อนุสาวรีย์ยืนเฉยเลย มันทำสมาธิหรือเปล่า

นี้บอกว่า คนทำสมาธิทำไมสติมันไม่ดี

อ้าว! สติมันไม่ดีมันก็มิจฉาแล้ว เวลาคนภาวนาไปแล้วมันมิจฉา มันเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นธรรม มันควบคุมตัวมันไม่ได้ แล้วมีสติไหม เพราะขาดสติ

หลวงตาท่านพูดประจำ ถ้ามีสติ มีสติ การทำนั้นถึงจะเป็นสัมมา การทำนั้นถึงถูกต้อง มันถึงจะเป็นประโยชน์

ถ้าขาดสติ พอขาดสติไปแล้วนะ โอ้โฮ! ไปรู้ไปเห็นอะไร อู๋ย! โม้ปากเปียกปากแฉะ อู๋ย! ภาวนาเก่ง

คนภาวนาเก่งเขามีสติ อะไรควรไม่ควร เขารู้อะไรผิด มันกระทบกระเทือนหมู่คณะ กระทบกระเทือนหมู่คณะมันก็เบียดเบียนตนก่อนแล้ว ถ้ามันไม่เบียดเบียนตน เราจะไปทำอะไรกระทบกระเทือนคนอื่นไหม ถ้าไม่เบียดเบียนตน ถ้าเบียดเบียนตนนะ เพราะตนหลงผิด มันเบียดเบียนตนแล้ว มันเบียดเบียนตนแล้วก็เบียดเบียนผู้อื่น

ถ้ามันไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนตนแล้วก็ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เอาชนะตนแล้ว ทำประโยชน์แล้ว ชนะตนแล้วก็เป็นประโยชน์กับคนอื่น

ทำไมถึงไม่มีสติ

ไม่มีสติ มันบอกมาตั้งแต่ต้น มันผิดมาตั้งแต่ต้น มันบอกมาเลยว่าทำผิดมาตั้งแต่ต้น แล้วทำผิดมาตั้งแต่ต้น เวลาใครมาถามปัญหานะ ไอ้นั่นคืออะไร ไอ้นี่คืออะไร ยืนกระต่ายขาเดียวจะให้ถูกให้ได้ไง

ถูกหรือผิดมันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก ใจนั้นมันเป็นเอง ทีนี้เพียงแต่ว่ามันอยู่กับครูบาอาจารย์ ถ้าอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านมีคุณธรรม ก็ยังไม่กล้าแสดงออก

หลวงตาท่านพูดประจำนะ ตอนที่อยู่บ้านตาด ท่านบอกพระที่อยู่กับท่าน ถ้าท่านยังอยู่ มันยังเก็บเขี้ยวเก็บเล็บของมันไว้ เวลามันออกจากวัดของท่านไปมันจะไปกางเขี้ยวกางเล็บ เวลามันออกไปแล้วมันจะกางเขี้ยวกางเล็บเลย เขี้ยวยาวเท่าไรมันจะแสดงออก เล็บมีเท่าไรมันจะตะปบเขา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์มันไม่แสดงออก เงียบ แหม! สงบ โอ๋ย! มันรื่นเริง ภาวนาดี มันเก็บเขี้ยวเก็บเล็บมันไว้ เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ท่านมีสัจธรรม ท่านเหนือเขี้ยวเล็บอันนั้น กลัวไง กลัวเขาเห็นเราแสดงเขี้ยวแสดงเล็บ

เขี้ยวเล็บมันเขี้ยวเล็บของสัตว์ มันจะเบียดเบียนกัน มันจะทำร้ายกัน ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ใจตัวเองมีกิเลสไง ก็เก็บเขี้ยวเก็บเล็บไว้ สงบเสงี่ยม มีคุณธรรม มีคุณธรรมนะ มีคุณธรรม เวลาออกไปแล้วมันกางเขี้ยวกางเล็บนั่นน่ะ นั่นมันแสดงออกของมัน

ฉะนั้น เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ เวลาถามปัญหามันถึงว่า โอ๋ย! ดีไปหมดแหละ เวลาออกไปแล้วมันกางเขี้ยวเล็บ เอาตัวเองรอดไหมล่ะ

ถ้าเอาตัวเองไม่รอด นี่ไงทำไมคนทำสมาธิสติถึงไม่ดี

สติไม่ดีมันเป็นสมาธิได้อย่างไร สติไม่ดีก็ทำสมาธิไม่ได้ คนเราทำธุรกิจทำการค้า ถ้ามันไม่รู้จักรายรับรายจ่าย การค้าเขาอยู่ได้อย่างไร มันอยู่ไม่ได้ คนมันจะอยู่ได้มันต้องรู้ต้นทุนมันเท่าไร แล้วมันได้ทำผลิตสินค้ามานี่จะขายเท่าไร จะมีกำไรเท่าไร แล้วจะปิดบัญชีอย่างไร มันต้องมีสติสมบูรณ์ ทำธุรกิจการค้าเขายังมีสติสมบูรณ์อย่างนั้น แล้วมาปฏิบัติ

ทำไมคนทำสมาธิถึงไม่มีสติ

ก็โรงพยาบาลศรีธัญญาไง เวลาไปโรงพยาบาลศรีธัญญา ลองไปเยี่ยมสิ มึงน่ะบ้า เราเข้าไป มันชี้เราบ้าเลยนะ ไอ้คนในโรงพยาบาลศรีธัญญามันเต็มเลยล่ะ คนเข้าไปเยี่ยมไข้มันจะบอก โอ๋ย! คนบ้ามาแล้ว ไอ้คนที่อยู่ในโรงพยาบาลศรีธัญญามันบอกมันเป็นคนดีหมดเลย มันบอกมันเป็นคนดีนะ แต่ถ้าใครไปเยี่ยมไข้ คนเดินเข้ามา บ้า ไอ้บ้า ไอ้บ้า แต่มันเป็นคนดี

นี่ไง นั่นน่ะสติดี ทำสมาธิแล้วสติดีเป็นอย่างนั้นน่ะ อ้าว! ถ้ามันจะทำสมาธิมันต้องมีสติ ถ้ามีสติขึ้นมาแล้วมันเป็นไปตามข้อเท็จจริง ถ้ามันฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน ถ้ามันเครียดก็รู้ว่าเครียด แล้วเราพยายามกำหนดพุทโธ คำบริกรรมมันจะกรอง มันจะทำให้สะอาดบริสุทธิ์

แต่ถ้าเราไปกดไว้ เราไปเคลมของเราเอง เรานึกของเราเองว่าเราทำดี พยายามอวดเขา เห็นไหม คนปฏิบัติวันสองวันแหม! เมื่อก่อนผมเป็นคนขี้โลภมากเลย ผมเป็นคนที่ขี้โกรธมากเลย ผมเป็นคนขี้เหล้าเมายามากเลย เดี๋ยวนี้ผมหายหมดแล้วเยอะแยะ นักปฏิบัติใหม่ๆ น่ะแหม! เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ขี้โลภมากเลยนะ ผมเป็นคนขี้โกรธมาก ใครนี่สะกิดผมไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้ผมปฏิบัตินะ เดี๋ยวนี้ไม่มีเลย ขาดหมดเลย

ขี้โม้ทั้งนั้นน่ะ เพราะครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัตินะ แทบเป็นแทบตาย เวลาปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล มันถึงจะชนะความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วอวิชชาคือความหลงอันละเอียด คือความเคลิบเคลิ้ม อวิชชา นั่นอุปกิเลสอันละเอียด แต่คนที่จะละโลภ โกรธ หลงได้ อย่างน้อยต้องพระอนาคามี

แล้วเขาปฏิบัติ ๒ วัน เขาบอกว่า เดี๋ยวนี้เขาละความโกรธได้หมดเลย เดี๋ยวนี้เขาละความโลภ เดี๋ยวนี้สังคมนักปฏิบัติคุยกันแบบนี้ทั้งนั้นน่ะ แล้วก็เป็นการประชาสัมพันธ์ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ เอาคนที่มีสถานะทางสังคม มีชื่อเสียง แล้วก็พยายามสัมภาษณ์ แล้วก็พยายามส่งเสริมกัน แล้วก็ตีพิมพ์กันออกไป อวดอ้างกันไป คนคนนี้เมื่อก่อนเป็นคนขี้โลภ เป็นคนขี้โกรธ เป็นคนขี้หลง เดี๋ยวนี้เขาเป็นคนที่จิตใจใสสะอาด เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม

มันเป็นมารยาสาไถย เป็นการโฆษณาชวนเชื่อทั้งนั้นน่ะ มันไม่เป็นความจริงหรอก

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเขาละโลภ ละโกรธ ละหลง เขาต้องมาโฆษณาบอกใคร หลวงปู่มั่นเคยโฆษณาบอกใคร ครูบาอาจารย์ของเราเคยโฆษณาบอกใคร ท่านไม่เคยโฆษณาบอกใครเลย แต่ท่านทำหน้าที่ของท่าน

ศาสนทายาทเป็นทายาทโดยธรรม ท่านซาบซึ้งในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตาเวลาท่านบรรลุธรรมขึ้นมา ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า

คำว่ากราบแล้วกราบเล่ามันซาบซึ้งบุญคุณ ซาบซึ้งปัญญาคุณ เมตตาคุณ วิสุทธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจิตใจมันได้สัมผัสก็อยากจะเผยแผ่ อยากจะทำหน้าที่ ทำหน้าที่ให้คน นั่นน่ะท่านทำหน้าที่ของท่าน ท่านไม่ได้อวดว่าท่านละอะไรได้ ท่านไม่เคยอวด พระครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติไม่เคยอวด

ถ้าจะบอกกรณีหลวงตา กรณีหลวงตาก็กรณีโครงการช่วยชาติเท่านั้น ถ้าไม่มีโครงการช่วยชาติ ท่านไม่แสดงตัวออกมาหรอก

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า คนทำสมาธิทำไมถึงสติไม่ดี

ความจริงมันไม่ต้องถามหรอก ถ้าสติไม่ดี เขาก็ไม่มีสมาธิอยู่แล้ว ถ้าสติไม่ดี สิ่งที่ทำมามันก็บอกอยู่แล้ว เวลาเราเอาตัวเลขธนาคารมาอวด ของเรานี่สีแดงหมดเลย ในธนาคารเราตัวแดงหมดเลย แล้วตัวเลขเยอะด้วย เราจะบอกว่าเรารวยมากเลย เราก็โม้ของเราไปได้เนาะ

ในบัญชีของเรา โอ้โฮ! ตัวแดงเต็มเลยนะ แล้วเราก็ปลื้มใจว่า อู้ฮู! ฉันรวย ฉันรวยนะ เพราะตัวเลขฉันเยอะไง

ไอ้คนที่มันเป็นมันขำ ไอ้ตัวแดงนี่มันหนี้ทั้งนั้นน่ะ มันไม่ใช่เงินสด ไอ้ตัวแดง ตัวเลขมันเป็นหนี้ทั้งนั้นน่ะ

ถ้าในธนาคารเขานะ เขาไม่ใช่ตัวแดง เขามีตัวเลขเยอะๆ เออ! นั่นของเขาจริง ไอ้ของเราก็มีตัวเลขเหมือนกัน แต่สีแดงเถือกเลย ต้องกำหนดชำระเมื่อนั้น ต้องกำหนดชำระเมื่อนี้ ตัวเลขทั้งนั้นเลย แล้วมันคืออะไรนั่นน่ะ หนี้ทั้งนั้นเลย

นี่ไง ฉะนั้น ที่ว่าเขาไปแสดงออกกันๆ แสดงออกอะไร ถ้าเราบอกว่า ถ้าทำสมาธิแล้วสติไม่ดี มันก็บอกแล้ว ตัวเลขมันสีแดง จะต้องกำหนดใช้เขาเมื่อไหร่ ถ้ากำหนดไม่ใช้ เดี๋ยวเราล้มละลาย ถ้าล้มละลายขึ้นไปก็เข้าโรงพยาบาลไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าคนทำสมาธิสติไม่ดี มันก็บอกอยู่แล้วว่า ที่ทำมานั่นไม่ใช่ทั้งนั้น มันไม่ใช่ทั้งนั้น ถ้ามันใช่ สติต้องสมบูรณ์ ทุกอย่างต้องพร้อม ถ้าทำสมาธิแล้วสติไม่ดี สมาธินั่นไม่ใช่

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีเหตุมีผล ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุผลมันชี้ชัดอยู่แล้ว ถ้ามันชี้ชัดอย่างนี้ ถ้ามันป้ำๆ เป๋อๆ มันก็ไม่ใช่อยู่แล้ว ถ้ามันป้ำๆ เป๋อๆ แล้วบอกว่าพระอรหันต์

อืม! เอ็งไปกราบกันเถอะ กูไม่เอา หยิบจับอะไรหล่นไปหมด ป้ำๆ เป๋อๆ เออ! พระอรหันต์ของพวกเอ็ง เอ็งไปกราบกันเอง ไม่เกี่ยว คนภาวนาจะเป็นอย่างนั้นหรือ ไม่เป็นอย่างนั้น

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมาถึงที่สุดแล้ว ไอ้กรณีที่ว่าความสะอาดบริสุทธิ์นั่นอีกกรณีหนึ่ง แต่ถ้ามันอยู่ด้วยกันเขาจะรู้ได้ ถ้าเขารู้ได้ อย่างนั้นเป็นกรณีหนึ่งนะ

นี้พูดถึงว่า ทำสมาธิทำไมสติถึงไม่ดี

ถ้าอย่างนั้นมันฟ้องแล้วว่าสิ่งที่ทำมานั้นไม่ถูกต้อง

ถาม : เรื่องเหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม

กราบเท้าหลวงพ่อด้วยความเคารพด้วยเศียรเกล้า ผมฟังวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนคลื่นเอฟเอ็ม ๑๐๓.๒๕ ของหลวงตามหาบัว แล้วมีอยู่ตอนหนึ่งท่านเทศน์แสดงธรรมว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม

ทำให้ผมเกิดความสงสัยว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันนะ รบกวนหลวงพ่อช่วยอธิบายและขยายความข้อธรรมข้อนี้ให้กระจ่างชัดๆ ให้หายสงสัยด้วยครับ

คำถาม : ต้องเป็นพระหรือฆราวาสผู้ตั้งอยู่ในอริยบุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผลเท่านั้นจึงจะแสดงธรรมสั่งสอนนักประพฤติปฏิบัติและประชาชนได้ นอกจากนั้นสั่งสอนไม่ได้ ใช่หรือไม่ครับ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อมาก

ตอบ : อันนี้มันเป็นความเห็น มันเป็นทัศนะของหลวงตา แต่เราก็เห็นด้วย เวลาหลวงตาท่านพูดถึงคำนี้ เห็นด้วยมากๆ ทุกทีเลย บอกว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม

ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ศึกษาในภาคปริยัติ ถึงบอกว่าการแสดงธรรม แสดงธรรมตั้งแต่ต้น ท่ามกลาง และที่สุด แสดงธรรมไปโดยที่ไม่เบียดเบียนเขาและไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่แสดงธรรมเพื่อลาภ ไม่แสดงธรรมไป นี่พูดถึงเวลาศึกษาปริยัตินะ การแสดงธรรม พระพุทธเจ้าบอกวิธีการไว้มหาศาลเลย นี่การแสดงธรรม

ทีนี้พูดถึงแสดงธรรม ถ้าแสดงธรรมอย่างนั้น โดยแสดงธรรมอย่างนั้นด้วยความถูกต้องมันก็ถูกต้องใช่ไหม แต่ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ดูสิ เวลาเขาแสดงธรรมมันเหมือนการประชาสัมพันธ์ มันมีจริงหรือไม่มีจริงก็พูดกันไป แล้วมีจริงหรือไม่จริงก็พยายามจะพูดให้มันแปลก พยายามพูดให้มันดูไม่เหมือนคนอื่น แล้วมันเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ มันไม่เป็นจริงหรอก

ฉะนั้น การแสดงธรรม การแสดงธรรมในพระไตรปิฎกก็บอกไว้แล้ว วิธีการ เหตุแห่งการแสดงธรรม ไม่ใช่เพื่อหวังลาภ ไม่ใช่เพื่อชักจูงเขา ไม่ใช่เพื่อต้องการให้เขามาศรัทธา นี่การแสดงธรรมมันมีข้อปฏิบัติของเขาอยู่แล้ว

ฉะนั้น สิ่งที่เวลาหลวงตาบอกว่า เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม

ดูสิ คนเรานะ ถ้ามันรู้ว่าทำผิด อย่างเช่นถ้ามันผิดศีล เราผิดศีลอยู่ เราผิดศีล คำว่าผิดศีลเพราะว่าศีลกับธรรมคือตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของเราไง เป็นศาสดาโดยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเรา แล้วเราทำหยำเปกันแล้วแสดงธรรม อย่างนี้เหยียบหัวพระพุทธเจ้าหรือเปล่า

คนเรานะ เบื้องหน้าเบื้องหลังไง เวลาต่อหน้าก็บอกว่า เรื่องส่วนตัวไม่ต้องมอง เอาแต่ผลงาน ผลงานคือการวิจัย การแสดงธรรม แต่เบื้องหลัง อู้ฮู! นี่ไง เขาบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว มันเรื่องส่วนตัวๆ

มี เขาพยายามจะทำกัน แยกให้เป็นเรื่องส่วนตัวกับเรื่องผลงาน แล้วถ้าเรื่องส่วนตัวมันหยำเปอย่างนั้นน่ะ แล้วเรื่องผลงานมันจะมีประโยชน์อะไร นี่ไง เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแสดงธรรม เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแสดงธรรมคือว่าผิดธรรมผิดวินัยแล้วแสดงออกไป แล้วแสดงออกไปนะ ถ้ามันแสดงออกไป นี่ไง เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม

แต่ถ้ามันถูกต้อง เห็นไหม คำถามเขาถามว่าแล้วอย่างนี้พูดถึงว่าต้องเป็นบุคคล ๔ คู่ใช่ไหมถึงจะแสดงธรรมได้ นอกนั้นแสดงธรรมไม่ได้ ใช่หรือไม่ครับ

มันไม่ใช่ เวลาเราศึกษามาแล้ว เราเป็นพระ ศึกษามา เวลาเขาเทศน์ใบลานกัน เขาเทศน์ใบลาน ใบลานมาจากไหนล่ะ ใบลานที่เขาคัดลอกมาจากพระไตรปิฎกเอย เขาแต่งอะไรขึ้นมา ถ้ามันเป็นคุณงามความดี แสดงธรรมเขาก็อ่านใบลานกัน ถ้าอ่านใบลานกัน มันก็อ่านใบลานอันนั้นไป ถ้าอ่านใบลานอย่างนั้นมันสอนได้ไหมล่ะ มันก็สอนได้

คำว่าสอนได้หนึ่ง เราปรารถนาดี เราปรารถนาดี แต่คำว่า ปรารถนาดีคำว่าไม่ผิดไม่ได้ การปรารถนาที่ทำผิดก็มี เขาปรารถนาของเขา ถ้าเขาไม่มีหลักมีเกณฑ์ของเขา นั่นน่ะผิด แล้วแสดงธรรมออกไป

ถ้าเราปรารถนาดี ถ้าเรายังไม่มีสิ่งใด ถ้าเราไม่รู้ เราไม่ควรแสดงออกไป แต่ถ้าแสดงออกไป ก็พระไตรปิฎกก็มีแล้ว ตำรับตำรามหาศาลเลย ถ้าจะเทศน์ก็เทศน์ตามนั้น เวลาเขาจะเทศน์กัน เขามีใบลานไป ก็เทศน์ที่ไหนก็ได้ ถ้าอย่างนี้ อย่างนี้ก็จบ

แต่ถ้าเราแสดงของเราเองไง เขาบอกว่า เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม ทำให้สงสัย

สงสัย เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแสดงธรรม มันต้องอยู่กับพระด้วยกัน พระด้วยกันเขารู้ เขารู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปจริงหรือไม่จริง ถ้าไม่จริง ไม่จริงแล้วที่แสดงออกไปมันคืออะไร

พระพุทธเจ้าของจริงอยู่แล้ว แล้วถ้าพระพุทธเจ้าของจริง แต่เราพูดสิ่งที่ไม่จริงออกไป ไม่จริงตรงไหนล่ะ ไม่จริงตรงที่เราไม่รู้ไง เพราะเราไม่รู้ เราถึงพูดออกไป เราพูดออกไป ถ้าพระที่มีศักยภาพที่สังคมเขาเชื่อถือพูดออกไป เขาก็เชื่อนะ แล้วถ้าเชื่อ พอคนที่ปฏิบัติทำตามนั้นมันจะไปไหนล่ะ

เพราะอะไร เพราะเมื่อก่อนนั้นจะมีพวกปัญญาชนมาหาเยอะมาก แล้วก็บอกว่า ธรรมะเป็นอย่างนั้น เขาปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนั้น เขาเป็นอย่างนั้น

เราบอกเขา การทำสมาธิ การใช้วิปัสสนาอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง

เขาก็บอกว่า มันไม่ถูกต้องได้อย่างไร ก็ตำรับตำราทั้งนั้น ตำรับตำราที่เขาเขียนคือหนังสือ หนังสือทางวิชาการของพระที่เขาทำกันไว้ แล้วเขาก็ศึกษาสิ่งนั้นมา แล้วเขาก็ทำตาม แล้วเขาก็ติด เพราะเขาทำตามแล้วเขาก็ติดนะ พอติดแล้วเขาก็มาหาเราไง พอมาหาเรา เราก็อธิบายให้เขาฟัง เราจะอธิบายถูกอธิบายผิดนั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เราก็อธิบายให้เขาฟัง

พออธิบายให้เขาฟังไป เขาฟังคำอธิบายของเราแล้วเขายืนกระต่ายขาเดียว ยืนกระต่ายขาเดียวว่า ที่เขาทำนี้เขาทำตามหนังสือ ทำตามวิชาการที่พระเขาเขียนมา

เราบอกว่า พระที่เขียนคือใคร เพราะเขาไม่ยอมบอกว่าเป็นใครไง แล้วพระที่เขียนนั้นคือใคร แล้วพระที่เขียนมีวุฒิภาวะแค่ไหน พระที่เขาเขียนมาเขามีวุฒิภาวะแค่ไหน ถ้าไม่มีวุฒิภาวะ หรือเขาเขียนผิดได้ไหม

แต่ไอ้พวกที่เราเชื่อ เราไม่ได้เชื่อที่คนเขียนถูกหรือเขียนผิดไง เราเชื่อว่ามันเป็นวิชาการ เราเชื่อว่ามันเป็นตำรา แล้วพอเราเชื่อ เพราะปัญญาชนเห็นว่าเป็นหนังสือเป็นตำราแล้วมันต้องถูกหมด แล้วตำรามันถูกจริงหรือเปล่าล่ะ มันถูกไม่จริง

ฉะนั้น เวลาหนังสือธรรมะที่เขาจะเอามาให้เราแจกๆ เราไม่หยิบเลย ไม่ต้องหรอก ดูทางการเขียนเขาต้องมีคนเขียน ต้องมีนามปากกา เขาต้องมีคนรับผิดชอบว่าใครเป็นคนเขียน

แต่ในปัจจุบันนี้เลวร้ายกว่า เลวร้ายกว่าเพราะอะไรรู้ไหม เพราะคนที่จะไปทำหนังสือไม่มีวุฒิภาวะอะไรเลย ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไปเก็บเอาตำรา ไปเก็บเอามาๆ แล้วเอามาเรียบเรียงกัน ตอนนี้ไปเก็บของใครมาบ้างก็ไม่รู้ แล้วก็เอามาเรียบเรียงกัน แล้วก็บอกว่านี่เป็นบูรพาจารย์ เป็นบูรพาจารย์ เป็นสายของหลวงปู่มั่น แล้วก็ไปหยิบจับมาหยำเปไปหมดเลย เห็นไหม นี่เหยียบหัวพระพุทธเจ้าหรือเปล่า นี่เหยียบหัวครูบาอาจารย์ไง ก็ไปเก็บมาไง ครูบาอาจารย์องค์นั้น ครูบาอาจารย์องค์นี้ ท่านก็เทศน์อย่างนี้

ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ท่านเทศน์ พอท่านเทศน์เสร็จแล้ว ไอ้คนที่ไปนั่งฟัง นั่งฟังก็ตีความ ใครมีความเข้าใจอย่างไร เพราะคำพูดคำหนึ่งมันตีความไปได้หลากหลาย คนมานั่งอยู่เต็มศาลามันก็มีความเห็นฟุ้งไปเต็มศาลาเลย แล้วใครจับประเด็นไหนได้ก็ไปเขียนกัน

พอไปเขียนกันขึ้นมาก็บอกว่า อาจารย์องค์นี้ว่าอย่างนี้ อาจารย์องค์นี้ว่าอย่างนี้ แล้วเขาก็ไปจับมารวบรวมกัน แล้วตอนนี้ก็มาพิมพ์เป็นเล่มกันแล้ว แล้วจะมาแจก แล้วก็บอก ในกฐินนี่เขาก็จะมาฝากให้แจก

นี่ก็เหมือนกัน เอาหนังสือ บอกว่าเป็นของหลวงตาๆ

เราบอกว่า เป็นของหลวงตา มันสมบูรณ์ที่หลวงตาทำเสร็จแล้ว พวกเอ็งไม่ต้องมาเก็บเล็กผสมน้อยแล้วก็เอามารวมกันว่าเป็นของหลวงตาอีกหรอก เอ็งไม่มีความสามารถอย่างนั้นหรอก นี้เหยียบหัวครูบาอาจารย์ ไม่ได้เหยียบหัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาว่าเหยียบหัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยไง ธรรมวินัยที่มันมีอยู่นี่ ถ้าเรา ดูสิ ทำตัวหยำเปเลย ทำตัวหยำเป นี่เหยียบธรรมวินัยไหม ทำร้ายธรรมวินัยไหม ถ้าทำร้ายแล้วแสดงธรรมออกไป นี่ไง เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม

นี่พูดถึงว่า ถ้าเราทำผิดก็ยอมรับว่าผิดแล้ว พระเรานะ ถ้าเป็นอาบัติปั๊บ วงกรรมฐาน เวลาเป็นอาบัติเล็กน้อยขนาดไหนก็แล้วแต่ รีบปลงอาบัติทันที ถ้าไม่ปลงอาบัตินะ มันเกิดนิวรณ์ พอเกิดนิวรณ์แล้วภาวนาไม่ลงหรอก

เวลาพระกรรมฐานมันวัดกันที่ว่าทำสมาธิได้หรือทำสมาธิไม่ได้ พอทำสมาธิได้แล้วยกขึ้นวิปัสสนาได้หรือไม่ได้ ถ้าไม่ได้ เขาจะหาเหตุผลทันทีเลยว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ ทำไมมันเป็นแบบนี้นะ

เราอยู่ในวงการกรรมฐาน พระบางองค์ไปบวชมาจากอุปัชฌาย์ แล้วสงสัยในตัวอุปัชฌาย์ เขาสึกเลย แล้วเขาบวชใหม่ บางองค์นะ เวลาเขาสงสัยในตัวอุปัชฌาย์ สงสัยในสังฆกรรมนั้นว่ามันสะอาดบริสุทธิ์หรือไม่สะอาดบริสุทธิ์ เขาก็สึก เขาบวชใหม่เลย

บางทีบางองค์เขาสงสัย เขาทำทัฬหีกรรมคือบวชซ้ำ เขาบวชซ้ำนะ บวชซ้ำเพื่ออะไร บวชซ้ำเพื่อเดี๋ยวเราไปนั่งสมาธิ เราไปวิปัสสนา เพราะคนนั่งสมาธิได้มันจะมีความสุข แล้วคนวิปัสสนาได้มันจะเจริญก้าวหน้าไป แล้วเวลาคนเคยทำได้แล้วมันทำไม่ได้ มันติดขัดอะไร ถ้ามันติดขัดอะไร เขาจะตรวจสอบขึ้นมา นี่วงกรรมฐานเขาทำอย่างนั้นน่ะ

แล้วเวลาใครภาวนาแล้วติดขัด ติดขัดเวลาจะเข้าไปสู่หมู่คณะ แล้วจะปรึกษาหารือกันว่า เราทำอย่างนี้มันติดขัดอย่างนี้ มันทำอย่างนี้มันติดขัดอย่างนี้ มันจะปรึกษาหารือ มันจะมีการช่วยกันแก้ไข ถ้าช่วยกันแก้ไข ถ้ามันไปได้ก็ถือว่าไปได้

ถ้ามันถือว่าไปไม่ได้นะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านเคยเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า เวลาท่านสนทนาธรรมกับหมู่คณะ แล้วท่านพูดถึงประสบการณ์ของท่าน แล้วท่านกลับมาสนเท่ห์ เอ๊ะ! เราพูดไปนี่เราอวดมากไปหรือเปล่า

เราพูดไป ทั้งๆ ที่เวลาคุยกันนี่คุยกันเพื่อประโยชน์ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ คือคุยธรรมะกัน แก้ไขกัน แล้วท่านเล่าให้เราฟังเอง พอพูดไปแล้วมันก็เกิดธรรมสะกิดใจขึ้นมา

ท่านเล่าให้เราฟังนะ ท่านปฏิญาณเลย ถ้าคืนนี้นั่งตลอดรุ่ง ถ้ามันเป็นไปได้ ถ้าจิตลงได้ เราถือว่าเราบริสุทธิ์ ถ้าจิตเราลงไม่ได้ ถือว่าเราผิด แล้วท่านก็นั่งของท่านเลย พิสูจน์กันว่าสิ่งที่ท่านทำถูกหรือผิด ท่านนั่งตลอดรุ่งเลย

ท่านบอกว่า นั่งไปนี่เวทนามันเกิด ท่านพิจารณาของท่านไป เพราะว่าท่านมีปัญญาของท่านอยู่แล้ว ท่านภาวนาเก่งอยู่แล้ว พอพิจารณาไปๆ ถึงที่สุดท่านบอกมันรวมลงหมดเลย สว่างโพลงหมดเลย สิ่งที่ว่าผิดหรือถูกในใจหลุดหมด ไม่มีอะไรคาใจเลย นี่วงกรรมฐานเขาทำกันแบบนี้

ฉะนั้น สิ่งที่เราคุยกัน เราปรึกษากัน เราเพื่อประโยชน์ไง ฉะนั้น เวลาปฏิบัติไปแล้ว สิ่งที่วงกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติ ไอ้ตรงนี้ที่ว่า เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป หรือเหยียบหัวครูบาอาจารย์ไป มันจะย้อนกลับมาเลยว่าเอ็งภาวนาได้หรือเปล่า

พวกเราบวชมา เรานักปฏิบัติ ชาวพุทธเราปฏิบัติ เราก็หวังมรรคผล แล้วเวลาปฏิบัติไป จิตมันเคยเป็นสมาธิ จิตมันเคยวิปัสสนา แล้วมันทำไม่ได้ มันติดขัด มันติดขัดอย่างไร

เหมือนของที่เราจะได้ เราจะหยิบฉวยได้แล้ว แล้วหลุดมือไป นี่เป็นของนะ แต่ถ้ามันเป็นมรรคเป็นผล โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์มาก แล้วมหัศจรรย์มาก เราจะทำอย่างไรให้มันได้ล่ะ แล้วแก้ไข อดนอนผ่อนอาหาร หาอุบาย พยายามทำไปให้ได้ แล้วบางองค์ที่ว่ามันไปแล้วมันไปไม่ได้ๆ เห็นไหม

ฉะนั้น ในวินัยถึงบอกว่า ถ้าเป็นอาบัติหนักไม่ให้เข้าร่วมสังฆกรรม ถ้าเข้าร่วมสังฆกรรมมันจะเกิดกรรมหนัก เห็นไหม ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ที่เราเชื่อว่าท่านมีคุณธรรม เราจะไม่เข้าไปร่วมสังฆกรรมนั้น

เพราะมันยิ่งสะอาดบริสุทธิ์ มันยิ่งทำให้กรรมเรามากขึ้น พอเขามีอาบัติปั๊บ เขาจะรีบไปแก้ไขของเขา เขาจะไม่ให้สิ่งนี้มาปิดกั้นมรรคผลของเขา

แล้วคนที่เขาเป็น คนที่เขารู้กันว่าเขาเป็น แล้วเขายังหน้าด้านเทศน์อยู่เรื่อย นี่ไง เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม นี่ไง เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม มันยิ่งสร้างเวรสร้างกรรมไปน่ะ

ทีนี้เราก็บอกกันว่า อันนี้มันเป็นการเผยแผ่ธรรมะนะ มันเป็นประโยชน์นะ

มันเป็นประโยชน์ ประโยชน์กับปากไง ประโยชน์กับลาภสักการะไง แต่ถ้ามันเป็นความจริง หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขา ทำไมคนดิ้นรนไปหาท่านล่ะ ทำไมครูบาอาจารย์ของเราท่านอยู่ของท่านด้วยความวิเวก ทำไมคนถึงแสวงหาไปหาท่านล่ะ ทำไมท่านไม่เห็นต้องเผยแผ่อะไรเลย

เวลาท่านจะทำ เราก็บอกว่า ท่านจะทำก็ทำตามหน้าที่ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติแล้วท่านจะทำตามหน้าที่ สิ่งใดที่มันเป็นความจริง คุณประโยชน์กับสังคม คุณประโยชน์กับโลก ท่านจะทำหน้าที่ของท่าน

แล้วผู้ที่ไปฟัง ไปฟังแล้ว ถ้าคนมีอำนาจวาสนาฟังแล้วมันเห็นช่องเห็นทาง มันฟังแล้วมันรื่นเริง มันอาจหาญ มันอยากประพฤติปฏิบัติ

แต่คนที่ไม่มีอำนาจวาสนานะ พอไปได้ยินได้ฟัง เข่าอ่อนเลย อู้ฮู! มันต้องลำบากขนาดนั้นเชียวหรือ โอ้โฮ! ทำไมมันต้องทำยากขนาดนั้นเลยเชียวหรือเห็นไหม คนที่อำนาจวาสนาไม่ถึง นั้นก็เป็นอำนาจวาสนาของเขา

แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนาเขาขวนขวายของเขา เขาไปได้ยินได้ฟังอย่างนั้นเขาชื่นใจของเขามาก ถ้าชื่นใจมันก็เป็นประโยชน์ นี่ส่งเสริม ไม่ได้เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม

การที่คำว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าแสดงธรรมคือว่า อย่างที่ว่า หนึ่ง เขาไม่รู้ ถ้าไม่รู้นะ ถ้าไม่รู้แล้วไม่มีในตน พูดออกไปมันอวดอุตตริเสียด้วย อวดอุตตริเสียด้วย

ทีนี้เขาบอกว่า หลวงตาทำได้ คนอื่นทำได้ ฉันก็จะทำ เขาไม่ได้อวด

หลวงตาท่านบอกว่าท่านมีของท่าน ท่านมีคุณธรรมจริงของท่าน แล้วท่านแสดงธรรมเพื่อประโยชน์กับผู้ปฏิบัติ

แล้วนี่พูดถึงว่า ถ้าไม่มีในตน ถ้ามีในตน จบ แล้วถ้าไม่มีในตนแล้วยังทำอาบัติอีก เห็นไหม

ฉะนั้น คำว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าแสดงธรรมหนึ่ง คำถามบอกว่าหรือต้องเป็นฆราวาสหรือเป็นพระที่อยู่ในบุคคล ๔ คู่เท่านั้นถึงจะแสดงธรรม

ถึงแสดงธรรม แม้แต่โสดาบัน สกิทาคามี ถ้าพูดถึงปฏิบัติอยู่ หลวงตาท่านบอกว่า เวลาท่านปฏิบัติอยู่ท่านไม่แสดง แล้วท่านไม่พูดเลย เพราะท่านต้องการเวลา

ทีนี้คำว่ามันถึงคราวจำเป็นไงคราวจำเป็น เราไปอยู่ในหมู่บ้านใด ถ้าเขามีกิจกรรม ไม่มีพระ เราต้องไปเพราะศรัทธาไทย ถ้าเราไป มันก็ต้องมีสวดมนต์ มันก็ต้องมีเทศน์ ถ้ามีเทศน์ก็มีการสั่งสอนเหมือนกัน พระเรามันอยู่ที่เหตุการณ์เฉพาะหน้า ถ้าทำอย่างไรเพื่อประโยชน์ เพื่อประโยชน์คือว่า รักษาหัวใจของเขาไว้ รักษาหัวใจของเขาที่ทุกข์ที่ยาก

เวลาไปอยู่ในหมู่บ้านใด ญาติของเขาเสียไป เขาต้องการทำบุญกุศล เราก็ไปสวดมนต์ เราก็ปลอบใจเขาด้วยการเทศนาว่าการ ไอ้นั่นมันเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อรักษาน้ำใจของเขา รักษาหัวใจของชาวพุทธไว้ มันทำอย่างนั้นเพื่อประโยชน์ไง

เขาไม่ได้ทำเพื่อมักใหญ่ใฝ่สูง เพื่อลาภสักการะ เพื่อต่างๆ เห็นไหม ไม่เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม แต่มันแสดงธรรมโดยเนื้อหาสาระ โดยข้อเท็จจริงที่ควรจะทำ เพราะเราเป็นบริษัท ๔ ด้วยกัน

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าต้องเป็นบุคคล ๔ คู่เท่านั้นถึงจะแสดงธรรมใช่ไหม

มันทั้งใช่และไม่ใช่ ถ้าใช่ ใช่เพราะเขารู้จริง เขาก็พูดได้ตามที่เขารู้ ถ้าไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะเขาก็ไม่ต้องการแสดงเหมือนกัน เขาต้องการเอาตัวเขารอดทั้งนั้นน่ะ

เราเชิดชูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต เราอยากไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์จริงๆ องค์ที่สมบูรณ์แบบ องค์ที่มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ในหัวใจ เราต้องการตรงนั้น ถ้าเราทำสิ่งนั้นให้จบสิ้นกระบวนการของเราก่อน แล้วเรามาเทศนาว่าการ ไม่มีแล้วที่ว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าแสดงธรรม ไม่มี เพราะไม่มีเจตนา ไม่มีภวาสวะ ไม่มีภพ ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น เหนือโลก ถ้าเหนือโลก ทำสิ่งใดไปเพื่อประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ ถ้าเพื่อประโยชน์นะ

แต่โลกก็ยังจับผิดกัน เห็นไหม แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลัทธิต่างๆ เขายังจ้างคนมาติฉินนินทา มากล่าวร้าย

ฉะนั้น ถ้าหัวใจของเรามันมีคุณธรรมจริง มันไม่ลบหลู่ สิ่งที่ว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรมคือการลบหลู่ การลบหลู่ เห็นไหม กิเลสมันพาหัวใจนี้ลบหลู่ ลบหลู่ เหยียบหัวครูบาอาจารย์ก็เที่ยวไปหยิบไปฉวย ครูบาอาจารย์ท่านพูดถูกก็ไปตีความให้มันผิด เพราะอะไร เพราะตัวเองหัวใจมันไม่มี ท่านพูดของท่านน่ะถูก นิวเคลียร์นิวตรอนของท่านถูก ไปแก้ไขเป็นกล้วยหอมกล้วยไข่กันน่ะ

หลวงตาท่านพูด เห็นไหม ของเราเป็นนิวเคลียร์นิวตรอนมันมหาศาลเลย ไอ้พวกนี้มันไปแก้ไขเป็นกล้วยหอมกล้วยไข่

นี่มันเหยียบหัวครูบาอาจารย์น่ะ เหยียบหัวครูบาอาจารย์ด้วย เหยียบหัวพระพุทธเจ้าด้วย เหยียบหัวกันไปหมด เพราะอะไร เพราะจิตใจมันบอดไง จิตใจมันบอดมันถึงลบหลู่ไง มันเป็นการลบหลู่ไง เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแสดงธรรมคือการลบหลู่ธรรมะ การลบหลู่วินัย มันลบหลู่ ลบหลู่ด้วยอะไร

ลบหลู่ด้วยความไม่รู้เท่า ลบหลู่ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัว นี่มันเป็นกิเลส แต่พลิกว่าเป็นคุณงามความดีด้วยความมืดบอด หัวใจมันมืดบอด มันลบหลู่ ลบหลู่โดยไม่รู้ตัวนะ แล้วเวลาใครเตือนไปใครบอกไปก็ไม่ฟังด้วยนะ ถ้าเตือนไปบอกไปก็หาว่าหมู่คณะไม่ให้ความร่วมมือกัน

ถ้าความร่วมมือกันน่ะ ถ้าไม่รู้ก็ภาวนาให้มันรู้เสียก่อนสิ ถ้าเรายังไม่รู้สิ่งใดนะ เราพยายามขวนขวายภาวนาของเราให้มันได้ของเรา ถ้าเราภาวนาได้ ทำได้ เราจะทำประโยชน์ได้มากเลย ถ้าเรายังภาวนาไม่ได้ สิ่งใดไม่ได้ก็ยังไม่ควรทำ แต่โลกเป็นอย่างนี้หมด

ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านพูด ท่านเทศน์ว่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรมท่านพูดบ่อย ท่านพูดบ่อยเพราะว่ามันเป็นธรรมสังเวช คนที่เขารู้เขาเห็น ที่เขาทำอะไรกันอยู่ เราเห็นคนที่ทำผิด เราเห็นคนที่ชักนำคนไปทางที่ผิด เราสังเวชไหม

เรา บนถนนหนทาง คนที่ขับรถอยู่ แล้วคนบอกทางเขาไปทางที่ผิด เราได้ยินได้ฟัง เราสังเวชไหม มันสังเวชนะ แล้วสังเวช ไปบอกเขา เขาก็ไม่เชื่อ เขาบอกเขารู้ เขาชี้ถูก ฉะนั้น คนที่มันเป็นกรรมของสัตว์ ถ้าเขาเชื่อกันอย่างนั้น เขาทำอย่างนั้น มันก็เป็นกรรมของเขา

แต่ถ้าใครมีอำนาจวาสนา มันกาลามสูตร ฟังแล้วมาวินิจฉัยว่ามันใช่หรือไม่ใช่ แล้วถ้ามันไม่ใช่ เราก็พยายามหลีกเลี่ยง แล้วถ้ามันมีทางไหนที่ใช่ เราไปทางนั้น นี่ถ้าคนมีอำนาจวาสนานะ

ถ้าคนไม่มีวาสนา จิตใจมันอ่อนแอนะ พอจิตใจอ่อนแอ คนที่โอ้โลมปฏิโลมเอาอกเอาใจสังคม เจริญพรๆ คนไปเยอะ ก็มองกันตรงนั้นน่ะ มองว่าคนเชื่อถือศรัทธา คนเยอะ คนที่เขาไปกัน

แต่ที่ไหนที่มันเป็นความทุกข์ความยาก มันเป็นความจริง คนต้องตะเกียกตะกาย ต้องขวนขวาย คนมันน้อย ของจริงมันน้อย ขนโคกับเขาโค

พอคนมันน้อยขึ้นมาอืม! เราจะมาทุกข์ยากอยู่ที่คนน้อยๆ ทำไม ทางที่คนเยอะ คนสบาย เขาสะดวกสบาย โอ้โลมปฏิโลมกัน เราไปทางนู้นดีกว่าเห็นไหม คนที่อำนาจวาสนามันอ่อนด้อย

ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนา เราใช้ปัญญาของเรา ใช้สติปัญญาของเราแยกแยะ แล้วถ้าถึงเป็นเขาโคมันจะน้อย แต่ถ้าเป็นความจริง เราควรทำแบบนั้นเพื่อประโยชน์ของเรา

นี่เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม แต่ถ้าไม่เหยียบหัวนะ แม้แต่ว่าไม่ใช่บุคคล ๔ คู่ เป็นปุถุชน แต่จิตใจด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ เวลาเทศน์ เวลาเราจะแสดงธรรม เราก็พระไตรปิฎก อ่านสัจธรรมอันนั้นด้วยจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยความเมตตา ด้วยบุญกุศลของสังคม อันนี้ด้วยเจตนา

แต่นี้คำว่าเจตนากิเลสของคนมันมี โปฐิละ เริ่มต้นก็เทศน์ไปก่อน พอคนเชื่อถือศรัทธาขึ้นไปก็คิดว่าตัวเองมีคุณธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกใบลานเปล่าๆ

แล้วมันมีที่พระสมัยโบราณ ทีแรกก็เทศน์ธรรมะของพระพุทธเจ้า พอคนฟังๆ เยอะขึ้น เห็น นึกว่าเขาเชื่อไง ก็เอาความเห็นตัวเองใส่เข้าไป ความเห็นของตัวๆ เหยียบพระพุทธเจ้านี่ความเห็นของตัว ตายไปตกนรกอเวจี หมดจากนรกอเวจีขึ้นมา มาเกิดเป็นปลา เกล็ดเป็นทองคำ

แล้วที่ในมคธ คนเขาไปตกปลา ชาวประมงเขาได้ปลามา ได้ปลาตะเพียนทองคำมา พอปลาตะเพียนทองคำ เพราะสังคมมันแคบใช่ไหม เอาไปก็กลัวจะเป็นโทษ ก็เลยไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล เขาเอาไปอยู่กลางราชวังเลย กลางท้องพระโรงเลย มันอ้าปากมานะ อู้ฮู! เหม็นไปทั่วเลย

พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นแล้วก็สงสัย ก็ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะสมัยนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงชีพอยู่

เวลาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ไอ้ปลาตัวนี้อดีตชาติกาลโพ้นมาแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน เขาได้บวชเป็นพระ แล้วทีแรกเขาก็แสดงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอแสดงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมีสัจธรรมใช่ไหม ทุกคนก็ศรัทธา มีความเชื่อ โอ้โฮ! มีความเคารพเลื่อมใส

ทีนี้ด้วยความเคารพเลื่อมใส ทำให้เขาหลงตนเอง พอเขาหลงตนเอง หลงตนเองปั๊บ เขาก็เอาความเห็นเขาเติมเข้าไป เขาแสดงธรรม เขาแสดงธรรมด้วยทิฏฐิด้วยความเห็นของเขา ด้วยความผิดของเขาไง คนก็ยังเชื่อถือศรัทธาเพราะมันมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้คนเชื่อมั่นเขาแล้ว นี่เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม ตายไปตกนรกอเวจีนะ ตกนรกอเวจี

ตกนรกอเวจีเพราะอะไร เพราะกล่าวตู่พุทธพจน์ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแสดงความผิดพลาดอันนั้นไป ตกนรกอเวจี พ้นจากนรกอเวจีขึ้นมา เขาบวชเป็นพระ เขาส่งเสริมๆ จนมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นปลา เกล็ดเป็นทองคำเพราะว่าเวลาบวชพระได้สร้างคุณงามความดี นี่เกล็ดเป็นทองคำ เวลาอ้าปากนี่ปากเหม็นหมดเลย เหม็นทั้งท้องพระโรงเลย นี่กล่าวตู่พุทธพจน์ นี่ไง เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม

มันมีอยู่ในพระไตรปิฎก มันมีอยู่ทั่วไป เพียงแต่ว่าคนจะศึกษาใส่ใจแล้วเอามาเป็นคติสอนตัวเอง สอนตัวเองว่าตัวเองพฤติกรรมเลือกเอาจะทำสิ่งใด สอนตนเอง ไม่ได้สอนใคร สอนตนเอง ไม่เหยียบหัวพระพุทธเจ้า เคารพบูชาพระพุทธเจ้า กตัญญูกตเวทีกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

หลวงปู่มั่นท่านนั่งอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้ามีตัวอักษร ท่านไม่นั่ง ท่านยกให้สูงขึ้น ท่านบอกว่าสื่อสารธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

แต่โดยภาคปริยัติบอกว่า กรรมฐานตั้งแต่หลวงปู่มั่นมาไม่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่ศึกษาปริยัติ เขาว่าอย่างนั้นนะ

เคารพมาก ปริยัติแล้วปฏิบัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติให้มันรู้จริงเห็นจริง แล้วเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก แม้แต่อักษรทุกภาษา หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง ถ้าวางไว้ที่พื้น ท่านจะไม่ยอมนั่ง ท่านจะต้องยกให้สูงขึ้น แล้วท่านถึงจะนั่งที่พื้น เหตุผล เหตุผลเพราะอักษรทุกชนิดสื่อสารธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เอวัง