ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

จริงไม่ขัด

๗ ธ.ค. ๒๕๕๗

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่องกราบเรียนหลวงพ่อด้วยความเคารพธรรมอย่างสูง

ลูกได้ศึกษาธรรมของครูบาอาจารย์มาพอสมควร แต่มีข้อสงสัยอยู่ ๒ เรื่อง

. ทำไมครูบาอาจารย์ที่เราเชื่อกันว่าถึงภูมิพระอรหันต์ในสายครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่นเรานั้นยังทะเลาะกันอยู่ มีตัวอย่างรอยร้าวในวงกรรมฐาน อาทิหลวงปู่บ้านตาดกับวัดอื่น

. ทำไมเรื่องความรู้ความเห็นภายในของครูบาอาจารย์นั้นเห็นไม่ตรงกัน บางองค์ก็ว่าอย่างนั้น บางองค์ก็ว่าอย่างนี้ (ภูมิธรรมเรื่องกายทิพย์) แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าองค์ไหนที่ท่านเห็นถูกต้อง

. เป็นไปได้หรือไม่ คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์กระดูกจะเป็นพระธาตุ

. พระนิพพานเป็นเมืองแก้วหรือไม่ เป็นดินแดน เป็นภพสภาวะหรือไม่ และเมื่อถึงจะเป็นอย่างไร

ลูกเห็นหลวงพ่อเป็นผู้เที่ยงตรงต่อธรรม จึงขอเมตตาลูกหลานผู้โง่เขลาด้วย

ตอบ : นี่เขาว่านะ นี้เอาข้อที่ ๑. เอาข้อที่ ๑. ที่ว่าทำไมครูบาอาจารย์ที่เราเชื่อกันว่ามีภูมิเป็นพระอรหันต์ในสายหลวงปู่มั่นจึงยังทะเลาะกันอยู่

จึงยังทะเลาะกันอยู่เรามองอย่างไรว่าทะเลาะกันอยู่ เวลาหลวงตานะ เวลาท่านประพฤติปฏิบัติ เวลาท่านมีความสงสัยขึ้นไป ท่านไปหาหลวงปู่มั่น ขึ้นไปที่กุฏิหลวงปู่มั่น ไปถามปัญหาธรรมะของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านจะสอน

เวลาหลวงปู่มั่นจะสอน หลวงตาท่านบอกว่าท่านเคารพหลวงปู่มั่นมากนะ ท่านเคารพหลวงปู่มั่นมาก แต่เวลาหลวงปู่มั่นพูดสัจธรรม พูดที่หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว แต่ท่านเคารพ เพราะท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านเข้าไปรู้ไปเห็นในใจของท่าน พอไปรู้ไปเห็นในใจของท่านขึ้นมาใช่ไหม ท่านบอกว่าเราพูดด้วยความเคารพ เพราะเราก็มีของเราอยู่

คำว่าคนที่ปฏิบัติเวลาจิตมันสงบ จิตเห็นนิมิต จิตไปรู้เห็นสิ่งใด เขาจะรู้เห็นของเขา ทีนี้รู้เห็นของเขาถูกหรือผิด เขาถึงไปหาอาจารย์ของเขา ถ้าเวลาเขาไปหาอาจารย์ของเขา เขาก็สอบถามอาจารย์ของเขา ให้อาจารย์ของเขาแก้ไขความเห็นของเขา

ทีนี้เวลาอาจารย์ท่านถูกต้องใช่ไหม หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ หลวงปู่มั่นท่านจะตอบด้วยความเป็นจริงของท่าน เวลาตอบมาด้วยความเป็นจริงของท่าน ทีนี้มันก็ไม่ตรงกับของเราสิ เพราะเราเห็นของเรามาอย่างนี้ มันก็ไม่ตรงกับของเรา

เพราะเรารู้เราเห็น เราปฏิบัติใช่ไหม เรารู้เราเห็นของเราขึ้นมา แต่ด้วยความเคารพ เราก็ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น แล้วก็ไปอธิบายถึงความเห็นที่ท่านพิจารณาของท่านให้หลวงปู่มั่นฟัง

หลวงปู่มั่นท่านก็แก้ของท่าน เวลาแก้ของท่าน ท่านบอกเลย เวลาแก้มานะ เราก็มีของเราอยู่ เรามีของเราอยู่ คือเรามีความสงสัยใช่ไหม เราเห็นของเรา เราจับต้องของเรา เราสร้างมากับมือ แล้วเราไปเสนอผลงานกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านเห็นว่าเราทำ

เวลาลูกเรานะ เอาผลงานมาเสนอเรา เราภูมิใจในความขยันหมั่นเพียร ในความขวนขวายของลูกเราไหม เราพอใจมาก แต่ลูกของเราทำถูกต้องหรือยัง เราก็อยากให้มันถูกต้องดีงามใช่ไหม ท่านก็ให้อุบาย ท่านให้อุบายในทางธรรมนะ

แต่ถ้าทางโลก ทางความเห็นของเราว่าท่านก็ด่า โอ๋ย! ท่านก็ด่าใหญ่เลย ท่านก็ด่าใหญ่เลย แต่ในกรรมฐานเขาเรียกว่าให้อุบาย ท่านให้อุบาย ท่านให้วิธีการ ท่านให้แนวทาง ท่านให้ความกระจ่างแจ้งกับเรา

แต่ทางโลกเขาบอกว่าโอ้โฮ! อาจารย์ด่าเละเลยวันนี้ อาจารย์ด่าเละเลยนี่ทางโลกเขามองว่าอย่างนั้น

แต่หลวงตาท่านบอกว่าเราก็มีของเรา ถ้าเรามีของเรา เราสงสัย เราทำมาด้วยความประณีต เราทำมาด้วยความเชิดชู เราทำมาด้วยความเต็มที่ของเราเลย เราขึ้นไป แล้วเวลาท่านบอกว่าไม่ใช่ เราเป็นคนทำมาเอง เราก็ต้องมีความตั้งใจ เรามีข้อมูลของเราไง เราก็ต้องพูด เราก็เถียง ว่าอย่างนั้นเลย

เวลาท่านให้อุบายมา แต่ไม่ถูกใจเรา ไม่ถูกใจเรา ถ้ามันถูกต้องมันก็ถูกใจเราใช่ไหม มันไม่ถูกใจเรา เราก็พยายามจะโต้แย้งเพื่อจะหาความจริงไง มันก็มีการโต้เถียงกัน อย่างนี้ทะเลาะกันไหม อย่างนี้ถือว่าเป็นการทะเลาะกันหรือเปล่า

มันอยู่ที่มุมมองของคนว่าอะไรที่ว่าทะเลาะกัน ถ้าทะเลาะกันนะ เป็นการหาความจริง เป็นการสื่อสารการจะหาความจริงอยู่นี่ เขาเรียกว่า ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็นมงคล เห็นไหม แต่พวกเราเวลาปฏิบัติไม่กล้า

ยิ่งสมัยปัจจุบันนี้ตอนหลวงตามีชีวิตอยู่ นักปฏิบัติทั้งหลายบอกว่า เวลามาถามปัญหาเราไง ถามปัญหาเรา เราก็เป็นผู้น้อยใช่ไหม

โอ๋ย! ครูบาก็เพิ่งบวชมาจะมีความรู้อะไร หนูก็มาถามอย่างนั้นน่ะ

แล้วเอ็งไปถามหลวงตามาหรือยังล่ะ

อู๋ย! ถามมาแล้ว

ถามอย่างไรล่ะ

เวลาไปที่ศาลาใหญ่ เวลาหลวงตาท่านเทศน์ หนูกำหนดจิตถาม แล้วท่านก็ตอบมาตรงเปี๊ยะทุกทีเลย”...นี่มันไม่กล้า

เราจะปฏิบัติเอาความจริงกัน แม้แต่เผชิญหน้ากับความจริงมันยังไม่กล้าเลย มันไม่กล้าเผชิญกับความจริงไง มันก็คิดเองเออเองไง แล้วเออเองไม่เออเองธรรมดา เออเองก็ยังไปแปะครูบาอาจารย์ อ้างครูบาอาจารย์ว่าได้ถามท่านแล้ว

ถามท่านด้วยอะไร ถามท่านด้วยการกำหนดจิต กำหนดจิตถามท่าน แล้วท่านก็ตอบมาตรงเปี๊ยะเลย

กำหนดจิตอย่างไรก็ได้ เวลาท่านพูดอะไรมา เราก็เคลมให้เป็นความเห็นเราก็ได้ มันไม่ได้เข้าไปเผชิญกับความจริง ธมฺมสากจฺฉา เวลาเราซักไซ้กันด้วยข้อเท็จจริงเลย นี่ขนาดซักไซ้กันด้วยข้อเท็จจริงนะ เวลาครูบาอาจารย์ เช่น หลวงปู่มั่นท่านมีญาณของท่าน ท่านรู้ได้ ท่านมาสอนในภาวนาได้ ถ้ามาสอนภาวนา เวลาธรรมมันเกิด เราก็เคลมเข้าตัวเราเองหมด

จะบอกว่า เราเข้าใจว่า ครูบาอาจารย์เราสายหลวงปู่มั่นที่ว่าเป็นพระอรหันต์ทำไมยังทะเลาะกันอยู่

ไม่ได้ทะเลาะกัน ถ้าเป็นจริงนะ ธรรมที่เป็นจริง เรื่องการทะเลาะกันไม่มี มีแต่ความเป็นมงคล แต่ที่มันจะมีความเห็นต่าง ความเห็นต่างเขาเรียกจริตนิสัย

เวลาหลวงปู่มั่นนะ เวลาหลวงปู่ชอบเข้าไปหาหลวงปู่มั่นครั้งแรก ท่านไล่หลวงปู่ชอบออกไปเลย แล้วพอท่านพิจารณาของท่านนะ ท่านให้พระไปตามหลวงปู่ชอบกลับมา

เวลาครูบาอาจารย์ไปแต่ละองค์ เวลาหลวงปู่มั่นท่านให้หลวงปู่อ่อน หลวงปู่อ่อนนี่ท่านไม่ให้กำหนดพุทโธนะ เราจำไม่ได้ ท่านให้กำหนดเป็นคำบาลียาวมากเลย เพราะพุทโธๆ เดี๋ยวมันตกภวังค์ มันอาจจะหลับได้ แต่คนคนนี้มันสมควรกับพุทโธ ท่านจะให้พุทโธ

เวลาครูบาอาจารย์มีความถนัดอย่างใด ท่านดูจริตดูนิสัย ดูอำนาจวาสนา แล้วท่านจะให้กรรมฐาน เขาเรียกว่าให้กรรมฐาน คือให้คำบริกรรมแต่ละองค์ๆ มันไม่เหมือนกัน ท่านให้ไม่เหมือนกันนะ ท่านสอน

แต่โดยหลัก โดยหลัก พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ นี่โดยหลัก สิ่งที่ท่านให้มา ท่านให้มาเพื่อประโยชน์กับคนที่ภาวนา ถ้าภาวนาแล้วให้จิตมันสงบเข้าไป ถ้าสงบเป็นความจริงแล้วมันจะเป็นความจริง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่ามันเป็นจริตเป็นนิสัย เป็นการภาวนา อันนี้ครูบาอาจารย์ท่านจะไม่ก้าวก่ายกัน ดูสิ เวลาหลวงตาท่านไปแก้หลวงปู่คำดี ท่านบอกเลย หลวงปู่คำดีเวลาพิจารณาเรื่องเสือนี่เหมือนเรา แต่คนละกาลคนละเวลากัน คนละกาลคนละเวลากัน

อย่างหลวงปู่คำดีท่านจะพิจารณากายของท่านมาตลอด ตั้งแต่กายอย่างหยาบ กายอย่างกลาง กายอย่างละเอียด กายอย่างละเอียดสุด

หลวงปู่เจี๊ยะท่านพิจารณากายต่อเนื่องกันมา

เวลาหลวงปู่ชอบพิจารณากาย

เวลาหลวงตาท่านพิจารณาเวทนา ขั้นแรกท่านผ่านทางเวทนา ขั้นที่สองผ่านเรื่องกาย เวลามันแยกดิน น้ำ ลม ไฟออกเป็นธรรมชาติของมันเลย แล้วพอขึ้นไปท่านไปเห็นกาย เห็นอสุภะ แล้วท่านไปเห็นจิต เห็นจุดและต่อม

นี่มันไม่เหมือนกัน พอไม่เหมือนกัน ความถนัดมันไม่เหมือนกัน ดูอาจารย์สิงห์ทองสิ เวลาอาจารย์สิงห์ทองท่านพิจารณาธรรมนะ ที่ว่าพิจารณาของท่านไปตลอด

เวลาคนพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม แต่มันไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยเวลามันเป็นผล เวลาเป็นผล เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เวลาพูดมันจะเหมือนกัน เหมือนกันเพราะอะไร เพราะหลวงตาใช้คำว่าขณะจิต ขณะที่จะเป็นไป

ดูสิ เราทำงานเสร็จ ถ้าเราไม่รู้ว่าทำงานเสร็จ เราจะถามกลับเลย โทษนะ เอ็งบ้าหรือเปล่าวะ เอ็งทำงานเสร็จ เอ็งไม่รู้ว่าทำงานเสร็จหรือ เอ็งทำงานเสร็จ ทำงานเสร็จตรงไหน แล้วทำงานเสร็จแล้วเสร็จอย่างไร

อย่างพวกเรา เช่น เราเอาเงินไปฝากธนาคาร เราโอนเข้าธนาคารก็อยู่ในธนาคารใช่ไหม แล้วโอนผิดที่มันก็ไม่ใช่ใช่ไหม เอาเงินจะไปฝากธนาคาร ไปทิ้งไว้ให้ไอ้พวกรักษาความปลอดภัยแล้วก็กลับ บอกว่าฝากธนาคารแล้ว มันจะเข้าธนาคารไหม...มันไม่ได้

ถ้าว่าทะเลาะกัน ทะเลาะกันเรื่องอะไร ถ้าทะเลาะกัน ทะเลาะกันเรื่องสัจจะเรื่องความจริง เราจะบอกว่า ถ้าจริงแล้วไม่มีทะเลาะ เพราะจริงก็รู้ว่าจริง

ดูสิ ดูหลวงตานะ หลวงตาท่านมีประสบการณ์เยอะมาก เพราะเวลาหลวงตา เวลาจะเข้าไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าให้ฟังตลอด บอกว่ามันจะมีพระสำคัญองค์หนึ่งเหมือนท่านเจี๊ยะ แต่ไม่ใช่ท่านเจี๊ยะ จะเข้ามาหาเรา

เวลามีพระองค์ใดเข้ามา หลวงปู่เจี๊ยะจะไปถามหลวงปู่มั่นว่าใช่องค์นี้หรือเปล่า ท่านเงียบไม่ใช่ๆใช่องค์นี้หรือเปล่าไม่ใช่พอหลวงตาเข้าไปท่านถามว่าใช่องค์นี้หรือเปล่า ท่านไม่ตอบเลย เฉย

ฉะนั้น เวลาที่ท่านภาวนาไป เวลาหลวงตาท่านบอก หลวงปู่มั่นพูดกับท่านนะว่า หลวงปู่มั่นท่านสร้างประโยชน์มามาก มีใครเคยคิดดำริอะไรหรือไม่

หลวงตาท่านบอกว่า อู๋ย! คิดตลอด จะเขียนประวัติ คือว่าเขียนผลงานของหลวงปู่มั่น ท่านระลึกตลอด แต่ตอนนี้งานของตนยังไม่เสร็จ

เออ! ใช่ๆ

แล้วเวลาท่านพูดนะ พูดกับพระด้วยกันว่า หลวงปู่มั่นเวลาท่านเสียไปแล้วจะพึ่งใครๆ

ให้พึ่งมหานะ มหาดีทั้งนอกและดีทั้งใน ดีทั้งนอกคือข้อวัตรปฏิบัติ ดีทั้งในคือในหัวใจ

ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านถึงเวลาเหมาะสมแล้วท่านจะเขียนประวัติหลวงปู่มั่น เวลาเขียนประวัติหลวงปู่มั่น เพราะเขียนประวัติหลวงปู่มั่น ท่านบอกเลย ตั้งแต่ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นมา สิ่งนี้ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นเอง ท่านสามารถเขียนได้ด้วยความชัดเจน แต่ก่อนที่ท่านยังไม่เข้าไปหาหลวงปู่มั่น มีครูบาอาจารย์ที่อยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วท่านพยายามจะไปหาข้อมูลจากครูบาอาจารย์ที่ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นมาแล้ว

หลวงปู่ขาว หลวงตาจะเล่าเรื่องหลวงปู่ขาวมาก เวลาท่านบอกว่าท่านไปหาหลวงปู่ขาวแล้วช้างมาหา ช้างเอางวงมาลูบกุฏิ เพราะท่านไปหาข้อมูลนี่แหละ ไปหาหลวงปู่ชอบ ไปนอนกับหลวงปู่ชอบ ครูบาอาจารย์ที่จิตท่านเป็นธรรมท่านทะเลาะกันที่ไหน ท่านสมานสามัคคี ท่านรักกัน ท่านเชิดชูครูบาอาจารย์ของท่าน

หลวงตาท่านจะเขียนประวัติหลวงปู่มั่น ท่านอยากจะเอาผลงานของหลวงปู่มั่นมาเป็นประโยชน์กับโลก ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมนะ ท่านส่งเสริม ท่านคอยบอกคอยชี้คอยแนะ แล้วถูกต้อง ใครอยู่กับหลวงปู่มั่นที่ไหน อยู่อย่างไร แล้วอยู่แล้วหลวงปู่มั่นพูดเรื่องอะไร พูดธรรมอย่างไร ท่านไปเก็บข้อมูลน่ะ เห็นไหม สิ่งที่เป็นธรรมๆ ท่านเชิดชู ท่านเห็นคุณประโยชน์

แต่คนที่ไม่เป็นธรรม อ้าว! ดูสิ ดูประวัติหลวงปู่มั่นเวอร์ชันของใครล่ะ

เวอร์ชันของหลวงตาท่านจะเชิดชูหลวงปู่มั่น แล้วพูดถึงถ้าเขียนแบบโลกๆ นะ หลวงปู่มั่นท่านออกจากอุบลฯ มา ทางฝ่ายปกครองเขาจะให้เป็นเจ้าคณะจังหวัด แล้วหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระปฏิบัติ ท่านหนี

ดูสิ เขาสั่งให้ทางฝ่ายบ้านเมืองจับ เรื่องอย่างนี้หลวงตาบอกว่าท่านไม่เอามาเขียนเลย ท่านบอกเลยนะ เขียนเพื่อประโยชน์ สิ่งใดเป็นประโยชน์ถึงเอามาเป็นประโยชน์ สิ่งใดที่เขียนแต่แง่บวก เขียนถึงแต่ผลงานของหลวงปู่มั่น เขียนถึงหลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติอย่างไร ท่านได้รื้อค้น ได้เข้าไปสัมปยุตกับกิเลสของท่านอย่างไร ท่านทำอย่างไรเพื่อประโยชน์ของท่าน เวลาท่านหลง เวลาท่านผิดพลาด ท่านผิดพลาดเพราะเหตุใด แล้วใครบ้างที่เคยเชิดชูท่าน ใครบ้างที่ได้ไปอาศัยเขา ใครบ้างที่ได้ร่วมพยายามบุกเบิกกันมา นี่เวลาท่านเขียน เห็นไหม คนที่เป็นธรรมไง นี่ไง พระอรหันต์สายหลวงปู่มั่นที่เป็นธรรมเชิดชูครูบาอาจารย์ เชิดชูความเป็นจริงไง

แล้วไปดูเวอร์ชันอื่นสิ ที่เขาเขียนถึงหลวงปู่มั่นน่ะ เขาเขียนถึงหลวงปู่มั่นเป็นเครื่องการันตีความดีของเขา เคยไปอยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่มั่นเป็นผู้การันตีความดีของเขา เขาเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เขาเป็นคุณงามความดี เขาเขียนประวัติหลวงปู่มั่นด้วยความมุมมองอย่างนั้นน่ะ ดูสิ อย่างนี้ทะเลาะกันหรือเปล่า

ในเมื่อว่าสายหลวงปู่มั่นทำไมทะเลาะกัน

มันไม่ได้ทะเลาะกันหรอก ถ้าเป็นธรรม เป็นธรรมมันเป็นคุณธรรมทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่ว่าทะเลาะกัน ที่มันมีการขัดแย้งกัน มันต้องมีความผิดสิ เพราะเวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ถ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีขัดไม่มีแย้งเด็ดขาด ถ้ามีการขัดมีการแย้งกันแสดงว่าต้องมีอันหนึ่งผิด

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่สมถะ ตั้งแต่วิปัสสนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปมันจะไม่มีขัดไม่มีแย้งกัน เพราะอะไร เพราะมันจะเริ่มต้น เหมือนการศึกษา ถ้าเรียนอนุบาลมาดี พื้นฐานมาดี พอเรียนประถมมันก็จะดีขึ้น ถ้าเรียนประถมมาดี วิชาการดีขึ้นมา จะเรียนมัธยมดีขึ้น พอดีขึ้น มันสอบติด จะเรียนอะไรก็ได้ เพราะอะไร เพราะพื้นฐานมันมาดีไง

ถ้าเป็นธรรมะนะ ไม่มีขัดไม่มีแย้งกัน ถ้ามีขัดมีแย้ง พวกเรามันไม่มีวุฒิภาวะไง เราไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดไง นี่คำว่าถูกว่าผิด

ถ้าหลวงตาท่านพูดสิ่งใดนะ ท่านพูดหวังเพื่อประโยชน์กับสังคม หวังเพื่อประโยชน์กับศาสนา คนที่วางพื้นฐานหรือชักนำให้แนวทางปฏิบัติมันบิดเบี้ยวไป เวลาท่านพูดท่านจะบอกว่าท่านพูดเรื่องธรรมะ จะไม่เกี่ยวกับบุคคล เห็นไหม อันนี้ไม่ใช่ขัดไม่ใช่แย้ง มันเป็นระหว่างความถูกกับความผิด

ระหว่างถูกกับผิด แล้วไม่ใช่ถูกผิดของหลวงตา ไม่ได้ถูกผิดของครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม มันจะถูกผิดของสังคมที่จะยึดแนวทางที่ปฏิบัติไปแล้วถูกหรือผิด ถ้าผู้ที่ยึดหลักปฏิบัติถูกหรือผิด มันก็เข้าไปตามกระแสช่องทางนั้น...น่าสงสารไหม น่าสงสารไหม

นี่มุมมองของครูบาอาจารย์เรา ถ้ามุมมองของครูบาอาจารย์เราที่เวลาท่านขัดท่านแย้ง ขัดแย้งไว้เพื่อให้คนที่จะเดินแนวทางใดก็แล้วแต่ได้ฉุกคิด ได้ฉุกคิดว่ามีคนเตือนแล้วนะ จิ้งจกเตือนเขายังฟังกันเลย แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์คอยเตือน เราจะฟังหรือไม่ฟังไง

การขัดการแย้ง มันไม่มีการขัดการแย้งถ้าเป็นธรรม แต่ถ้าเป็นการถูกและผิด คนที่ใจเป็นธรรม คนที่เป็นบัณฑิตเขาเบื่อหน่าย เขาไม่อยากไปคลุกด้วยหรอก อย่างเรานี่นะ ถ้าเรามีความสุขความสบายแล้ว เราอยากจะไปตากแดดตากฝนไหม เราไม่อยากหรอก

แต่ถ้าเราเห็นว่าคนที่เขาทำงานอยู่นั่นมันจะผิดพลาด เราอยากจะไปช่วยเหลือเขา เราต้องลงไปตากแดดตากฝน มันน่าเบื่อไหม เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ท่านไม่ปรารถนาอะไร ท่านไม่ต้องการหวังอะไรทั้งสิ้น แต่ท่านทำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง ทำเพื่อสังคมไง ทำเพื่อความถูกความผิดอันนั้นไง

เขาบอกว่า พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นที่ว่าเป็นพระอรหันต์ทำไมยังทะเลาะกันอยู่

มันถูกหรือผิด แล้วมันทำให้เราได้คิด แล้วเราคิดอยู่ อย่างเช่นว่า รอยร้าวที่ว่าหลวงปู่บ้านตาด

หลวงปู่บ้านตาด เพราะอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมีไง เวลาเรามีพระเพื่อนในกรรมฐาน เขาคุยกันในพระว่า ดูสิ เวลาหลวงปู่มหาเขียนท่านบอกเลยนะ ถ้าอยากเห็นหลวงปู่มั่นให้ไปบ้านตาด เพราะพวกเราเกิดมาไม่ทันหลวงปู่มั่น

ครูบาอาจารย์หลายองค์นะ ท่านบอกว่าถ้าอยากเห็นข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่มั่นให้ไปที่บ้านตาด ให้ไปที่บ้านตาด

สมัยที่เราบวชใหม่ๆ นะ ให้ไปฝึกไปหัด เพราะว่าท่านพยายามทรง พยายามรักษา รักษามัคโค รักษาข้อวัตร รักษาทางเอกอันนั้นไว้ให้ สิ่งนั้นเป็นทางเอก

ดูสิ เราจะขับรถมา เราต้องมีถนน ถนนไม่ดี เราบ่นทุกคนเลย ข้อวัตรปฏิบัติ แนวทางมันเหมือนกับหนทางที่จะให้จิตเข้าไป แล้วท่านรักษาไว้ให้กับพวกเราได้ดำเนิน พวกเราจะขับรถคือขับหัวใจ ขับหัวใจของเรา พยายามขับเคลื่อนไปให้ได้มรรคได้ผล แล้วท่านรักษาข้อวัตรนั้นไว้

ไอ้คนที่ไม่มีความเห็นอย่างนี้ก็บอกว่าอู๋ย! มันลำบาก อู๋ย! ท่านดุ ท่านคอยว่าคอยติคอยเตียน

ท่านรักษาเส้นทาง รักษามรรค รักษาข้อวัตรไว้ให้เราปฏิบัติ ให้เราเป็นจริงไง สิ่งนั้นที่ครูบาอาจารย์ท่านพูดอยู่

นี้พูดถึงว่า ถ้าพูดถึงหลวงปู่บ้านตาดกับแนวทางนั้นๆ นะ อันนี้ข้อที่ ๑.

. ทำไมเรื่องความรู้ความเห็นของครูบาอาจารย์นั้นไม่ตรงกัน บางองค์ก็ว่าอย่างนั้น บางองค์ก็ว่าอย่างนี้ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าองค์ไหนท่านถูกต้อง

เออ! เราจะทราบได้อย่างไร เราก็พยายามหลับตาแล้วกำหนดพุทโธ แล้วทำให้ได้จริง เราจะวัดได้เลยว่าอาจารย์องค์นี้แม้แต่สมาธิท่านยังทำไม่ถูกเลย แล้วท่านทำสมาธิยังไม่เป็นเลย แล้วท่านบอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วกระดูกท่านเป็นแก้วด้วย มันจะเป็นไปได้อย่างไร

อ้าว! ถ้ากระดูกเขาเป็นแก้ว เขาเป็นพระอรหันต์ แม้แต่สมาธิเขายังทำไม่เป็น เขายังทำไม่ถูก แล้วมันจะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร

นี่ไง ถ้าเขาบอกในแนวทางบางองค์ก็สอนอย่างนั้น บางองค์ก็สอนอย่างนี้

คำสอน ใครก็สอนได้ ทุกคนก็พูดพล่อยๆ พูดแค่เขาผีเจาะปากให้มาพูด แล้วมันรับผิดชอบคำพูดของเขาไหม ไอ้ที่เขาสอนๆ กันอยู่มันรับผิดชอบคำพูดของเขาไหม เวลาสอนคนแล้วให้คนปฏิบัติตาม ถูกผิดมันรับผิดชอบคำพูดของเขาไหม

แต่ครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาคนไปปฏิบัติที่ไหนก็แล้วแต่ผิดพลาดมา ท่านยังแก้ ท่านพยายามจะแก้ พยายามจะฟื้นให้กลับมาปกติ นี่ท่านพยายามแก้ไขอย่างนั้น

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าครูบาอาจารย์เห็นไม่ตรงกัน

กรรมฐาน ๔๐ ห้อง การทำความสงบของใจ ๔๐ วิธีการ ฉะนั้น ถ้ายังทำความสงบของใจ ๔๐ วิธีการ เพราะจริตนิสัยไง เราถึงบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา ท่านจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วคำว่าสัตตะผู้ข้องมันแตกต่างหลากหลายนัก จริตนิสัย ความชอบของคนมันแตกต่างหลากหลายนัก จึงมีแนวทางต่างๆ ให้ตรงกับจริต อย่างเช่นถ้าเป็นสัทธาจริต พุทโธๆ นี่ดีมากเลย เพราะมันศรัทธามันเชื่อ ถ้าเป็นพุทธจริต พวกปัญญาชน พุทโธไม่ค่อยได้หรอก เพราะว่าพุทโธไม่มีเหตุผล พุทโธมันกำปั้นทุบดิน มันไม่ยอมรับ พวกนี้ต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

ในการปฏิบัติมันเป็น ๒ แนวทางใหญ่ๆ ๒ แนวทางใหญ่ๆ คือว่าอัครสาวกเบื้องขวาคือพระสารีบุตร คือปัญญาวิมุตติ คือมีปัญญามาก เวลาสำเร็จนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาที่เขาคิชฌกูฏ เทศน์สอนหลาน เพราะหลานจะมาต่อว่าไง ว่าเอาญาติมาบวชหมด เอาตระกูลพระสารีบุตรมาบวชหมดไง ไม่พอใจๆ คือจะมาต่อว่าพระพุทธเจ้า แต่พูดอ้อมๆ

พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอนั้นก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง

ความคิดนี้เป็นวัตถุอันหนึ่ง ปัญญาชน นักปฏิบัติเขารู้ได้ว่าความคิดเปรียบเหมือนวัตถุเลย เป็นสสาร เป็นแร่ธาตุที่สามารถจับต้องได้เลย นี่พวกปัญญาวิมุตติเขาจะเห็นของเขาอย่างนั้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการหลานพระสารีบุตร พระสารีบุตรยืนถวายการพัดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ข้างหลัง ด้วยธรรมข้อนี้ พระสารีบุตร ปิ๊ง! เป็นพระอรหันต์เลย ปัญญาวิมุตติ

เวลาพระโมคคัลลานะนี่เจโตวิมุตติ เห็นไหม นั่งแล้วสัปหงกโงกง่วง เป็นพระโสดาบันนะ เป็นพระโสดาบันมากับพระสารีบุตร จากสัญชัยมาแล้วมาบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็นั่งสัปหงก นั่งสัปหงก มีฤทธิ์มากนะ นั่งสัปหงก

พระพุทธเจ้ามาโดยฤทธิ์เลยโมคคัลลานะ ถ้าเธอง่วงนอน ขอให้ตรึกในธรรมให้จิตมันสว่างไสว ถ้าเธอง่วงนอน ให้แหงนหน้าดูดาว ถ้าเธอง่วงนอน ให้เอาน้ำลูบหน้า ถ้าเธอง่วงนอนนะ แล้วถึงที่สุดถ้าเธอไม่หายง่วงนอน เธอก็นอนซะ นอนก่อน ตื่นแล้วค่อยภาวนา

ข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนี้ เวลาทำสมาธิ เจโตวิมุตติ พุทโธๆ เจโตวิมุตติ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ นี่แนวทางใหญ่ๆ

ฉะนั้น เวลาปฏิบัติไปแล้ว ที่ว่าขัดแย้งกันๆ มันขัดแย้งกันเรื่องอะไร ถ้าชอบฤทธิ์ชอบเดช ถ้ามีกำลังทำไปได้ก็ปฏิบัติไปตามเจโตวิมุตติ ทำความสงบของใจเข้ามาแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าเป็นปัญญาชนก็ปัญญาวิมุตติ ปัญญาวิมุตติก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาไล่ต้อนจิตให้จิตมันสงบเข้ามาให้ได้ เพราะมันเป็นโลกียปัญญา มันปัญญาสมถะ ปัญญาเพื่อความสงบร่มเย็น แต่เวลาจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา จะไปเห็นกาย เห็นเวทนาตามความเป็นจริง มันจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันเป็นวิปัสสนา เป็นปัญญาการรู้แจ้ง มันพิจารณาไป มันเป็นอย่างนั้น

ฉะนั้น ที่ว่าองค์นั้นก็ว่าอย่างนี้ องค์นี้ก็ว่าอย่างนั้น

ใครว่าอย่างใดก็แล้วแต่ มันต้องมีเหตุผลความจริงรองรับ คำว่าเหตุผลความจริงรองรับคือได้ทำแล้ว ได้ทำแล้ว ได้รู้แล้ว ได้มีคนทำจริง

ดูสิ อย่างเช่นเขาบอกว่าพระกรรมฐานกำหนดพุทโธ พวกนี้สมถะจะติดนิมิต จะเกิดปัญญาขึ้นมาไม่ได้ จะบรรลุธรรมไม่ได้

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราปฏิบัติมา ปฏิบัติตามความเป็นจริงของครูบาอาจารย์เราเป็นพระอรหันต์มากมายเลย

แต่ของเขาทางโลกด้วยโลกียปัญญา ปัญญาสามัญสำนึก แล้วบอกว่า ใช้ปัญญา ปัญญารู้เท่า ใช้ปัญญารู้กำหนดการเคลื่อนไหวตลอด รู้ทุกอย่างพร้อมว่าเป็นวิปัสสนา เขาแนวทางปฏิบัติของเขา จำนวนผู้ปฏิบัติของเขามากมายมหาศาล แต่สิ่งที่เป็นผลขึ้นมา สิ่งที่เป็นอริยผลขึ้นมาไม่เคยเห็น เราไม่เห็นแม้แต่องค์เดียว ไม่เห็นเลย แล้วไปถามไม่ได้ด้วย ไปถามก็บอกพูดไม่ได้

แต่ของเราเวลาถามขึ้นมา ดูสิ หลวงตาขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น ถามเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไปเลย เป็นความจริงขึ้นมาไปเลย นี่ความจริง เพราะอะไร เพราะมรรคผลมันมีไง ผู้ที่สอน แล้วคนที่รับการสอนนั้นปฏิบัติขึ้นไปถึงคำสอนแล้ว แล้วมันเป็นอย่างไรต่อไป ผู้สอนต้องบอกให้ได้สิ ผู้สอนต้องสามารถยกขึ้นได้ ผู้สอนย่อมสามารถดึงขึ้นได้ ผู้สอนสามารถชักนำไปได้ นี่มันมีความจริงไง

มันมีความจริง ถึงบอกว่า ครูบาอาจารย์ของเราท่านมีความเห็นต่างกัน มันเป็นจริตเป็นนิสัย แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่จริง เหมือนพ่อแม่ครอบครัวหนึ่งมีลูก ๔-๕ คน พ่อแม่ไม่ได้สอนเหมือนกันหมดหรอก ลูกของเราจะฉลาดมากฉลาดน้อย จะชอบและไม่ชอบแตกต่างกัน

ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่จริงท่านจะสอนจำเพาะเลย สอนเข้าไปสู่จริต สู่นิสัย สู่การกระทำอันนั้น เพราะต้องการให้ลูกของเราแต่ละคนเป็นคนดี ให้ลูกเราแต่ละคนมีมรรคมีผล ฉะนั้น มันต้องตรงกับความชอบอันนั้นมันถึงสำรอกมันถึงคายของมันได้ นี่ครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง ครูบาอาจารย์ที่ดีนะ เขาไม่มีสูตรสำเร็จ สูตรสำเร็จไม่มี อริยสัจเป็นสัจจะ เป็นหัวใจ แต่วิธีการจะเข้าสู่ วิธีการจะเข้าสู่อริยสัจ วิธีการจะเข้าสู่วิปัสสนา แล้วแต่การกระทำของแต่ละคน แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงท่านสอนได้ ท่านบอกได้ เพราะท่านเคยผ่านมาก่อน นี่ไง

ฉะนั้นว่า คนนั้นก็ว่าอย่างนี้ คนนี้ก็ว่า

เขาว่า ก็วางไว้ เพราะเขาว่า มันยังไม่จริง ไม่จริงหรอก ไม่จริง เห็นไหม ในกาลามสูตรไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อนะ ถ้าไม่ให้เชื่อ

ทีนี้ใครว่าอย่างไรๆ

ประสาเรานะ ได้ยินแล้วมันขำๆ

หลวงตาท่านพูดอย่างนี้นะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านนิพพาน ท่านกำลังพิจารณาอสุภะเลยล่ะ ท่านบอกเลย ใจดวงนี้มันดื้อนัก มันไม่ยอมฟังใครหรอก แล้วเวลามันจะลงมันก็ลงหลวงปู่มั่นเท่านั้นน่ะ แล้วหลวงปู่มั่นนิพพานไปแล้ว แล้วเราจะฟังใคร เคยนะ เคยไป เวลาท่านลาหลวงปู่มั่นออกไปวิเวก ไปเจอครูบาอาจารย์ก็วางตนเป็นอาจารย์ทั้งนั้นน่ะ เวลาพูดออกมานะ ท่านคิดในใจเลย เฮ้อ! ความรู้แค่นี้จะมาสอนเรา

คือสิ่งที่ท่านพูดนะ เราได้ผ่านมาหมดแล้วไง สิ่งที่ท่านพูด คนที่ปฏิบัติมันจะรู้นะว่าสิ่งที่ท่านพูดมันพูดแค่ไหน แล้วพูดออกมาถูกหรือผิด บางคนพูดก็ไม่เข้าสู่สมาธิเลยนะ มันยังพูดเฉไฉไปของมันเรื่อยเฉื่อยนะ แล้วมันคิดว่ามันเป็น ผีเจาะปากให้มาพูดน่ะ ถ้าผีเจาะปากให้มาพูด พูดโดยไม่มีวุฒิภาวะ พูดโดยไม่มีสติปัญญา ก็พูดธรรมะพระพุทธเจ้า คิดว่าตัวเองเก่ง แต่คนที่ภาวนามาแล้วมันรู้เลยว่าอันนี้มันแค่เบสิก อันนี้มันแค่เริ่มต้นที่จะเข้าสู่ธรรมไม่เข้าสู่ธรรมเท่านั้นเอง แล้วถ้าไม่เข้าสู่ธรรม ตัวเองก็ฉ้อฉลพูดออกไปอย่างนั้นน่ะ

ท่านถึงบอกว่าอู๋ย! ปัญญาแค่นี้หรือจะมาสอนเราไม่ใช่เป็นอาจารย์เราได้นะ ถ้าเราฟังแล้ว ถ้าเรามีวุฒิภาวะ เราดูถูกอีกต่างหาก เราดูถูกไว้ในใจ ดูถูกออกมาข้างนอกไม่ได้ เดี๋ยวเขาเป็นอาจารย์ใหญ่ เขาจะเสียฟอร์ม เราคิดดูถูกเขาในใจเลยล่ะ

นี่ไง บอกว่า คนนู้นก็ว่าอย่างนี้ คนนี้ก็ว่าอย่างนี้

ก็ที่ไอ้คนว่าๆ มันปฏิบัติแล้วมันรู้หรือเปล่า มันเป็นจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นจริงมันจะแก้ไขสิ่งนี้ได้ นี่พูดถึงข้อที่ ๒.

. เป็นไปได้หรือไม่ที่ไม่ใช่พระอรหันต์แล้วกระดูกเป็นพระธาตุ

เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้

แล้วคำว่ากระดูกเป็นพระธาตุเราจะบอกว่าอย่างนี้ เริ่มต้นโดยพื้นฐาน แม้แต่การประพฤติปฏิบัติ พวกเรากึ่งพุทธกาลแล้วมรรคผลมันจะไม่มีนี่เวลาเขาอ้าง เขาอ้างกันอย่างนี้กึ่งพุทธกาลแล้วมรรคผลจะไม่มี แม้แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำก็ไม่ได้จริง มันไม่มีอยู่จริง เพราะว่ามันกึ่งพุทธกาลแล้ว พระอรหันต์ก็มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียว ในสมัยปัจจุบันนี้ปฏิบัติแล้วมันจะไม่มีหรอกมรรคผลน่ะ ปฏิบัติไปก็เสียเปล่าเขาพยายามเจาะยางกันอย่างนั้นน่ะ

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านสำเร็จของท่านมาแล้ว ท่านถึงมาวางข้อวัตร พยายามจะสร้างศาสนทายาท พยายามจะชักจูง ทีนี้ชักจูงขึ้นมา เวลาท่านให้การบ้าน ให้การบ้านว่าให้ทำอย่างนั้นๆ แล้วเวลาเราปฏิบัติไปแล้วมันเป็นอย่างนั้นน่ะ เราทึ่งกับอาจารย์เราไหม อย่างเช่นหลวงปู่ฝั้นกับหลวงปู่อ่อนขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ แล้วป่าเขามันดีก็อยากจะไปเที่ยวไง

แต่หลวงปู่มั่นท่านเห็นโอกาสว่า ถ้าควบคุมกันดีแล้ว หลวงปู่ฝั้นท่านจะสั้นเข้า ท่านจะได้สะดวกขึ้น อยากจะไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่ ท่านบอกว่า ไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่ดีเท่าเที่ยวที่นี่หรอก ไปเที่ยวที่ไหน คือจะวิเวกมันไม่ดีเท่าที่นี่หรอก ที่นี่ก็ป่าเขาอยู่แล้ว ก็วิเวกอยู่นี่

มันมีอะไรขัดใจ ท่านก็พิจารณาของท่าน พอถึงคืนหนึ่ง เวลาพิจารณาของท่าน พิจารณากายของท่าน มันพิจารณาจนสมดุลของมัน แล้วมันรวมลง มันสว่างหมดเลย พอสว่างหมดเลยนะ เช้ามา ธรรมดาเวลาตอนเช้าพระกรรมฐานเรามันจะมีกตัญญู จะรักครูบาอาจารย์มาก ก็จะไปเอาบาตรของหลวงปู่มั่นเพื่อจะมาบิณฑบาต ธรรมดาขึ้นไปเอาบาตร ท่านก็ให้เอาบาตร ท่านก็อยู่ในกลดนั่นน่ะ

วันนั้นท่านยืนอยู่ปากประตูเลยเป็นอย่างไร จะไปเที่ยวที่นั่นๆ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร จะไปเที่ยวที่ไหนอีกไหม

โอ๋ย! ท่านคุกเข่าเลยนะ มันซาบซึ้ง

นี่พูดถึงเวลาครูบาอาจารย์ท่านให้การบ้าน แล้วเราปฏิบัติแล้วมันทะลุทะลวงไป มันเคารพบูชาไหม มันซาบซึ้งไหม

หลวงปู่มั่นท่านสร้างศาสนทายาท ท่านสร้างขึ้นมาๆ แล้วสร้างขึ้นมาไปถึงจุดที่ทันกัน มันพิสูจน์กันในความเป็นจริงแล้ว พระอรหันต์มันจะมีไหม พระอรหันต์มันมี แต่สังคมเขาจะเชื่อไหม เพราะเขาบอกว่ากึ่งพุทธกาลไม่มีพระอรหันต์ๆ

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านเสียไปแล้ว เวลาเผาแล้วกระดูกเป็นพระธาตุ หลวงตาท่านถึงเอาเรื่องสิ่งนี้มายืนยันกับสังคม ท่านต้องการให้สังคมยอมรับ ท่านต้องการให้สังคมได้โอกาส ท่านพยายามให้สังคมยอมรับว่าการประพฤติปฏิบัติมันมีมรรคมีผล มีการกระทำไง

ทีนี้พอบอกว่า พระอรหันต์เวลาตายไปแล้วกระดูกเป็นพระธาตุ

ตอนนี้คนที่ยังไม่ตายเป็นพระธาตุเยอะแยะเลย ธาตุพลาสติก เขาไปซื้อเม็ดพลาสติกมาแจกกัน

นี่ไง เราจะบอกว่าครูบาอาจารย์ของเราท่านพูดเพื่อความดี พูดเพื่อหวังสังคม เพื่อให้สังคมมีโอกาส เป็นห่วงเป็นใยหัวใจของสัตว์โลกว่าสัตว์โลกมันจะมีการกระทำไหม สัตว์โลกให้มั่นใจแล้วจะได้กระทำ จะได้เป็นประโยชน์กับสัตว์โลก

ไอ้พวก ๑๘ มงกุฎมันก็ไปเอาเม็ดพลาสติก ไปซื้อเม็ดพลาสติกมาใส่ผอบแจกกัน แล้วบอกว่านี่เป็นพระธาตุของท่านใช่ไหม มันน่าเกลียดไหม

พระธาตุเวลาครูบาอาจารย์ท่านยืนยัน ยืนยันไว้ ยืนยันไว้ว่ามรรคผลมันมี ยืนยันไว้เพื่อประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์กับชาวพุทธ

แต่ถ้ามันไม่เป็นก็คือมันไม่เป็น ทำไมมันจะเป็นไม่เป็นต้องไปเอายืนยันมา ก็อยากจะให้เขารู้โดยอ้อมว่าคนคนนั้นมีมรรคมีผล อยากให้เขารู้โดยอ้อมไง แล้วเอ็งรู้ไม่เป็นหรือ

เราจะบอกว่า คนที่เขาเป็นจริงนะ เพราะสัจธรรม มรรคผลมันมีค่า มันเหนือโลก มันเหนือกว่าทรัพย์สมบัติในจักรวาลนี้ แล้วเอ็งทำไมจะต้องไปแสวงหาอะไรอีกล่ะ ถ้าเอ็งแสวงหา เอ็งประกาศตน แสดงว่าธรรมะเอ็งไม่มี เพราะอะไร เพราะเอ็งต้องการชื่อเสียง เอ็งต้องการลาภสักการะ เอ็งไม่ต้องการคุณธรรม

เพราะคุณธรรมมันจะหาได้โดยการวิปัสสนา คุณธรรมมันจะได้โดยการกระทำ คุณธรรมมันไม่ใช่หาด้วยการแจกเม็ดพลาสติก เม็ดพลาสติกไม่ต้องไปแจกกันหรอก โรงงานพลาสติกมันมีเยอะแยะ ทำไมไปซื้อมาแจกกัน ไปซื้อมา ไปเอามาแจก เอามาหลอกลวงกัน

ฉะนั้นบอกว่าเป็นไปได้หรือไม่ คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ กระดูกจะเป็นพระธาตุ

เป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้เพราะเห็นว่าทางวิทยาศาสตร์ เขาว่าในสิงคโปร์เขาใช้ความร้อนสูงมาก ใครมีพ่อมีแม่นะ เวลาพ่อแม่ตายแล้วเขาจะเอากระดูกพ่อแม่ส่วนใหญ่เอาไปเผา เขาจะเผา

เราจะบอกว่า มันก็แปลกนะ ทางวิทยาศาสตร์เดี๋ยวนี้เขาทำได้ กระดูกคนธรรมดาเผาให้เป็นแก้วได้ แล้วมีคนไปทำมาแล้วด้วย มีคนไปทำ เขาเอาพ่อแม่ของเขา เขารักพ่อแม่ของเขามาก เวลาพ่อแม่เขาตายแล้วเขาเอากระดูกไปที่สิงคโปร์แล้วไปเผาด้วยความร้อน เขาว่าความร้อนสูงมากนะ มันออกเป็นผลึกแก้วได้เลย คนเขาทำกันมาแล้ว อันนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์ไง เป็นความร้อนที่แผดเผา

แต่ถ้าพระอรหันต์ พระอรหันต์จิตมันฟอก ธรรมดาออกซิเจน เราหายใจเอาออกซิเจนเพื่อฟอกเลือดของเรา นี่ก็เหมือนกัน เวลาคุณธรรมของเรามันอยู่ในร่างกาย มันฟอกของมันอยู่ตลอดเวลา แล้วเวลาฟอกของมัน ถ้าเป็นเจโตวิมุตติหรือว่าเป็นพระอรหันต์มาตั้งแต่ดั้งเดิม คือว่าเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุยังน้อย สิ่งที่จิตมันอยู่ในร่างกายจะเป็นพระอรหันต์ได้เร็ว

เพราะเราอยู่กับหลวงปู่จวน หลวงปู่จวนเผา ๗ วันเป็นพระธาตุ หลวงปู่มั่นต้องกี่ปีถึงจะเห็นเป็นพระธาตุ ของหลวงปู่แหวนกระเด็นออกมาจากกองไฟเลย ของหลวงปู่แหวนน่ะ มันเผากันธรรมดานี่ไง กระดูกแท้ๆ นี่แหละมันเป็นพระธาตุได้ด้วยคุณธรรมในใจ

ฉะนั้น ถ้าพระอรหันต์ กระดูกท่านเป็นพระธาตุ แล้วจะเป็นช้าเป็นเร็วมันอยู่ที่ประเภทของพระอรหันต์ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ถ้าเจโตวิมุตติมันฟอกด้วยกำลังสมาธิ ถ้าปัญญาวิมุตติ พระอรหันต์มี ๔ ประเภท แล้วแต่ละประเภท สิ่งที่ทำมันหนักด้วยกำลังของจิตหรือหนักด้วยกำลังของปัญญา คือกำลังมันมีกำลังอันนั้นมันจะไปฟอก มันจะทำให้เป็นพระธาตุช้าหรือพระธาตุเร็ว แต่เป็น เป็นแน่นอน พระอรหันต์เป็นพระธาตุหมด แต่ช้าหรือเร็ว

แล้วร่างกายระหว่างส่วนที่เป็นส่วนบน ส่วนที่ว่าจิตมันจะเป็น ไม่เป็นทีเดียว เป็นเหมือนกันหมด ถ้าเป็นเหมือนกันหมดมันก็เป็นวัตถุ มันก็เป็นสิ่งที่เป็นธาตุไง แต่นี้มันเป็นโดยกำลังของจิต เป็นด้วยคุณธรรม มันเป็นด้วยคุณธรรม

ดูอย่างพระธาตุ ไปอยู่กับบางคน บางคนก็เป็น ไปอยู่กับบางคน บางคนก็ไม่เป็น บางคนไม่เป็นเพราะอยู่ที่เวรกรรม พระธาตุเป็นสิ่งที่มีชีวิต มันเป็นเรื่องของบุญของกรรม เรื่องของนี้ด้วย มันเข้ามาตรงนี้ไง นี่พูดถึงพระธาตุนะ

ถ้าคนไม่เป็นพระอรหันต์เป็นพระธาตุไม่ได้หรอก แต่ในปัจจุบันนี้อย่างที่ว่า เพราะเราดูอยู่ เขามาเล่าให้ฟังว่า มีเมืองไทยหลายคนเอาพ่อแม่ไปเผาด้วยความร้อนสูงที่สิงคโปร์ แล้วเขาก็ทำเป็นล็อกเก็ตแขวนคอ เพราะเขารักพ่อแม่ของเขา เขาเป็นแก้วใสเลย แต่เราก็ไม่เห็นนะ ถ้าเขาทำอย่างนั้นได้มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เราเอาความจริงของเรา วิทยาศาสตร์มันอีกเรื่องหนึ่ง

. พระนิพพานเป็นเมืองแก้วหรือไม่ เป็นดินแดน เป็นภพ เป็นสภาวะหรือไม่ และเมื่อถึงแล้วจะเป็นอย่างไร

เมื่อถึงแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านถึงแล้วท่านถึงเมืองพอก็จบไง ถ้าท่านถึงของท่าน

ทีนี้คำว่านิพพานเป็นเมืองแก้วหรือไม่

เวลาเราพูดเราก็เสียใจนะ คำว่าเสียใจเพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราเป็นชาวพุทธ เราเกิดมา เราเกิดที่โพธาราม วัดตามทั่วๆ ไปเวลาเขาสวดมนต์กันเขาจะสวดมนต์แปลว่านิพพานเป็นเมืองแก้ว เป็นสิ่งที่ปรารถนาของชาวพุทธ นิพพานเป็นเมืองแก้ว เราอยากจะสิ้นสุด เราอยากจะไปนิพพาน นี่พูดถึงว่ามันเป็นที่วัฒนธรรมความเชื่อ

ทีนี้ความเชื่อนะ นิพพานเป็นเมืองแก้ว เวลาสวดมนต์ ผู้เฒ่าผู้แก่เขาสวดมนต์กันว่าอยากจะเข้าสู่นิพพาน นิพพานเป็นเมืองแก้ว เป็นที่ปรารถนา นี่เป็นวัฒนธรรม

แต่ถ้าเป็นความจริง ถ้าเป็นเมืองแก้ว เป็นเมืองแก้วได้อย่างไรล่ะ

ถ้าเป็นเมืองแก้วนะ เราบอกว่าสมมุตินะ สมมุติเราเป็นแก้ว เราก็ต้องเอาผ้าไว้ผืนหนึ่ง ถึงเวลาก็ต้องคอยเช็ดฝุ่น เพราะฝุ่นมันจะจับ ถ้าเป็นแก้ว ถ้าเป็นแก้วมันก็มีวัตถุ มันก็จับต้องได้น่ะสิ มันจับต้องอะไรไม่ได้ มันจะเป็นแก้วหรือ ถ้าเป็นแก้วนะ ดูสิ ดูเทวดา อาหารเขาเป็นทิพย์ เขาเป็นทิพย์คือเป็นแสงของเขา วิญญาณาหารคือความพอใจ ถ้าเป็นพรหมล่ะ แต่ถ้าเป็นนิพพานล่ะ

นิพพานก็คือนิพพาน นิพพานนะ นิพพานสูงสุด พ้นออกไปจากวัฏฏะ ออกจากวัฏฏะ ไม่วนกลับมาวัฏฏะ เราจะบอกว่า ถ้าเป็นสมมุติ สมมุติมันสื่อสารได้ มันเป็นของคู่ ดีและชั่ว ขาวและดำ ถ้าลองสื่อปั๊บ มันมีตรงข้าม พอพูดออกไปปั๊บ มีตรงข้ามเลย อ้าว! นิพพานเป็นความว่าง แล้วว่างอย่างไรล่ะ นิพพานเป็นอะไรล่ะ ถ้าพูดมันเป็นของคู่

นิพพานเป็นหนึ่ง ไม่ใช่ของคู่ แล้วถ้าหนึ่ง เขาบอกว่านิพพานเป็นเมืองแก้วหรือไม่ เป็นดินแดนหรือไม่ เป็นภพหรือไม่เป็นภพ

ถ้าเป็นหนึ่ง เป็นหนึ่งก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่มีอยู่มันก็ย่อยสลายได้ อ้าว! เพราะอะไร เพราะว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

ผ่องใสคู่กับเศร้าหมอง เวลาหลวงตาท่านพิจารณาของท่านไป เวลาท่านพิจารณาท่านบอก โอ้โฮ! จิตนี้มหัศจรรย์มาก มันทะลุปรุโปร่ง ผ่านไปหมดเลย เวลามันเพ่งภูเขามันจะไม่มีวัตถุอะไรกันได้เลย มันจะทะลุหมด มันเห็นหมด โอ๋ย! มหัศจรรย์ๆ แต่ธรรมะมาเตือนเลยนะ แสงสว่างนี้เกิดจากจุดและต่อมมันต้องมีที่มาที่ไปไง พอย้อนกลับมา พอมาทำลายจุดและต่อม ทำลายอวิชชา ทำลายสิ่งที่ยังหลงไป นี่มันผ่องใสมันก็คู่กับเศร้าหมอง มันจะสูงสุดขนาดไหนมันต้องจบ มันไม่มีอะไรคงที่

ฉะนั้น เวลาท่านพิจารณาของท่าน เวลาผ่านไปแล้ว อ๋อ! สิ่งที่ว่ามหัศจรรย์ สิ่งที่ผ่องใสเหมือนกองขี้ควาย คำว่ากองขี้ควายคือไม่มีค่าเลย เห็นไหม เหมือนกองขี้ควายคือไม่มีค่าเลย แต่เมื่อก่อนขี้ควายนะ เทิดใส่ศีรษะไว้เลยนะ อู้ฮู! สุดยอดๆ เอาขี้ควายโปะหัว อู้ฮู! สุดยอดเลย แต่มันสละทิ้ง โอ้โฮ! ขี้ควาย ไม่เอาอีกแล้ว นี่ไง ผ่องใสไง เป็นภพ

เป็นภพก็ไม่ได้ เป็นสภาวะก็ไม่ได้ เป็นอะไรไม่ได้ ไม่ได้ทั้งสิ้น ถ้ามันจบนะ นิพพานคือนิพพาน นิพพานคือนิพพาน

ฉะนั้น เพียงแต่ว่าเวลาคนเข้าไป เหมือนกับความเข้าใจผิด เราจะไปสถานที่หนึ่ง เราไปเห็นสถานที่หนึ่งแล้วอธิบายสถานที่นั้นผิดไป ถ้าคนไปได้นะ ฉะนั้น ที่ว่าไปเที่ยวนิพพงนิพพานน่ะ

เราจะซื้อตั๋วใบหนึ่งไปด้วย แล้วก็ไม่กลับเลย ไปเที่ยวนิพพานเนาะ เหมือนกับไปญี่ปุ่นแล้วไม่กลับ ไปเที่ยว เสร็จแล้วหนีเลย ไม่กลับ อยู่นั่นเลย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไปเที่ยวนิพพาน กูไปด้วยคน เสร็จแล้วเอ็งกลับกันนะ กูไม่กลับ กูอยู่นี่เลย ก็อยู่ไม่ได้อีก เพราะเราไม่มีสิทธิเข้าไป ไม่มีสิทธิอยู่ เราเข้าไปได้อย่างไรล่ะ อ้าว! ไปเที่ยวนิพพาน

นี่พูดถึงความเชื่อ ถ้าความเชื่อของเขา เขาบอกว่า ถ้าเป็นความจริงแล้วไม่ขัดกัน

ฉะนั้น คำถามเขาถามมาเพื่อให้เคลียร์ เพื่อจะไม่ให้มีขัดใจ แล้วไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อพูดไปอีกเรื่องหนึ่งเลย หลวงพ่อก็เป็นปัญหาอีกปัญหาหนึ่งแล้ว พระสายหลวงปู่มั่นเขาทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่นี่ แล้วถามหลวงพ่อมา หลวงพ่อพูดมา หลวงพ่อก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งทะเลาะกับเขาอีก ถามให้ไม่ทะเลาะเลยกลายเป็นทะเลาะกันใหญ่เลย อ้าว! ถามขึ้นมา ไอ้คนถามก็ไปสร้างอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นมา ความเชื่อของกลุ่มนี้

ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันถึงบอกว่าเป็นอำนาจวาสนานะ เราเกิดมาร่วมสมัย เกิดมาร่วมครูบาอาจารย์ เราขวนขวายของเรา แต่เพียงแต่ว่ามันเป็นความชอบไง มันเป็นความชอบนะ เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาท่านบอก เวลาท่านทำโครงการช่วยชาติ ท่านบอกว่า ถ้าใครยังช่วยเหลือเจือจานท่าน เขาเรียกว่าสายบุญสายกรรม ท่านพูดอย่างไรก็ยังเชื่อท่านอยู่

เวลาท่านพูดถึงธรรมะ เมื่อก่อนท่านยังไม่ออกมาโครงการช่วยชาติ ท่านพูดธรรมะเข้มข้นมาก แล้วท่านรังเกียจมากที่พระภิกษุ พระนักปฏิบัติไปคลุกคลีกับญาติโยม ท่านรังเกียจมากเลย ท่านรังเกียจมากในการคลุกคลี ท่านรังเกียจมากในการเปิดช่องให้กิเลสเข้า หลวงตาจะรังเกียจมาก

เวลาไปอยู่ที่บ้านตาดท่านบอกเลยนะ ใครมาอยู่บ้านตาดห้ามตีสนิทคุ้นเคยกับโยมนะ ถ้าเห็นใครคุยกับโยม ไล่ออกจากวัดเลย สมัยเราอยู่กับท่านนะ ถ้าอยู่กับท่าน ใครคุยกับโยมโดยที่ไม่มีเหตุผลนะ ท่านไล่ออกจากวัดเลย

แต่พอถึงเวลาโครงการช่วยชาติฯ ท่านบอกว่า ไอ้คนที่ไม่คุยกับโยมมาคุยหน่อย ไปเรียกโยมมา เอาทองคำ

มันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยล่ะ พอมันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว ถ้าคนยังเชื่อฟังท่านอยู่ เห็นไหม ตรงนี้สำคัญนะ ตรงที่เวลาหน้ามือ พฤติกรรมอย่างหนึ่งเลยนะ แล้วเปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่งเลย ท่านถึงพูดคำนี้ไง เวลาท่านพูดคำนี้เราสะเทือนใจทุกทีเลย ว่าถ้าใครยังเชื่อฟังท่านอยู่ เขาเรียกว่าสายบุญสายกรรม ยังเชื่อฟังกันมาตลอด

แต่คนที่สายบุญสายกรรมครึ่งหนึ่ง เชื่อฟังต่อเมื่อท่านยังปฏิบัติดี ปฏิบัติอยู่ในกรอบ เวลาท่านมาโครงการช่วยชาติฯ พวกนั้นทิ้งไปเลยนะ ไอ้ทิ้งไปเลย เรายังว่าพวกนั้นเป็นสุภาพบุรุษ ไม่เห็นด้วยเขายังแสดงตัว แต่ไอ้พวกที่ไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังเลียบๆ เคียงๆ ยังเกาะชายจีวรท่านอยู่อย่างนั้นน่ะ ยังหากินกันไปอยู่อย่างนั้น เห็นไหม

ท่านถึงบอกว่าคนที่ยังเชื่อยังฟังอยู่เป็นสายบุญสายกรรม เชื่อฟังท่าน แม้ท่านจะอยู่ในสภาพไหนก็ยังเห็นคุณงามความดีของท่าน ยังระลึกถึงบุญคุณของท่าน

แต่บางคนนะ เวลาท่านทำดีก็ว่าท่านดี เวลาท่านมาโครงการช่วยชาติฯ ก็ทิ้งท่านไปเลย แล้วยังบอกเลยว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ออกมานี้มาหาเรื่องเดือดร้อน สู้ภาวนาของเราดีกว่านี่มันจะดีกว่าอาจารย์แล้ว มันจะสอนอาจารย์มันแล้ว แต่ก่อนนั้นมันเชื่อฟังอาจารย์มัน เวลาอาจารย์มันจะมาช่วยโลกมันจะเทศน์สอนอาจารย์มัน

นี่ยังบอกว่า ถ้าเป็นสายบุญสายกรรม ยังเชื่อยังฟังกันอยู่ สิ่งที่ท่านทำคุณงามความดี เราก็เห็นว่าท่านทำคุณงามความดี ท่านก็หล่อเลี้ยงเรามา เวลาท่านเห็นความเป็นภัยของประเทศชาติ ท่านเสียสละ เราจะใช้คำนี้เลยนะ ท่านเสียสละอุดมการณ์ของท่าน ท่านเสียสละในการแบบอย่างที่ท่านจะเป็นพระป่าที่เป็นแบบอย่าง ออกมาแลกกับขี้ ท่านบอกท่านมาคลุกขี้ โลกธรรม ๘ ออกมาคลุกขี้ แบกโลกเพื่อประโยชน์กับโลก ท่านเสียสละตัวท่าน

แต่พวกเราไม่ได้มองถึงตรงนี้ไง บางคนก็บอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไม่ใช่เรื่องของเรา มันเป็นพระเล่นการเมือง

ท่านจะทำอะไรก็แล้วแต่ นี่พูดถึงเหมือนกับนินทาท่านนะ เพราะท่านนิพพานไปแล้ว นี่เรากำลังนินทาหลวงตากันนะ

ไม่ใช่นินทา พูดให้เห็นไง พูดให้เห็นว่าสังคมมันเป็นแบบนี้ แล้วเราบอกว่าพระสายกรรมฐาน พระสายหลวงปู่มั่นจะรักกันดีกัน ถ้ามันเป็นความจริง ถ้าจิตใจมันเป็นความจริง มันมีความรักมีความผูกพัน มันเป็นความดีทั้งนั้นน่ะ

จริงไม่ขัดไม่แย้ง สิ่งที่ขัดที่แย้งต้องมีถูกกับผิด สิ่งที่ขัดที่แย้งต้องมีถูกมีผิด ต้องมีเหตุมีผล แล้วเราเป็นคนที่รับฟังเหตุ รับฟังข่าวหลายๆ ทางแล้วใช้ปัญญาพิจารณาแยกแยะไป ถ้าปัญญาเราถึง เราจะเห็นถูกเห็นผิด ถ้าปัญญาเราไม่ถึง เราเห็นว่าเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ถ้าเป็นธรรมไม่ขัดไม่แย้ง เอวัง