ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ศาสนาอยู่ไหน

๑๔ ธ.ค. ๒๕๕๗

ศาสนาอยู่ไหน

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

หลวงพ่อ : คำถามนี้มันไม่เหมือนคำถาม แต่เป็นคำถาม

ถาม : เรื่องศาสนาพุทธคืออะไร

หลวงพ่อคะ ศาสนาพุทธคืออะไรคะ (สำหรับคนที่ไม่เคยเข้าวัด เราจะอธิบายเขาอย่างไร และทำให้เขารู้สึกอธิบายแล้วอยากทดลองด้วยตัวเอง หนูไม่อยากเอาคำตอบจากพจนานุกรม และค้นคว้าจากเว็บไซต์ หนูว่าหนูไม่เชื่อคำตอบที่หามา)

หนูขอคำตอบจากหลวงพ่อเจ้าค่ะ จะได้ไม่ต้องคาใจหรือถามผู้อื่น ซึ่งหนูคิดว่าคำตอบอาจไม่ถูกค่ะ กราบขอบพระคุณ

ตอบ : นี่พูดถึงคำถามไง ศาสนาพุทธคืออะไรศาสนาพุทธคืออะไรคะ

ศาสนาพุทธ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเขาก็เป็นชาวพุทธ เขาก็นับถือศาสนาพุทธ เขาก็ว่าเขาเข้าใจในพระพุทธศาสนา แต่เวลาว่าศาสนาพุทธคืออะไร เพราะอะไร เพราะมันไปอธิบายให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ไง เราเข้าใจกันตามวัฒนธรรมประเพณีไง แล้วเราว่าศาสนาพุทธคืออะไรล่ะ

ศาสนาพุทธคืออะไรคะพอคืออะไรคะ เราก็เข้าใจอยู่แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเข้าวัด เราจะอธิบายเขาอย่างไร และทำให้เขารู้สึกอธิบายแล้วอยากทดลองด้วยตนเอง

เวลาเราว่าศาสนาพุทธนี้คืออะไร มันมองได้กว้างมาก มันมองได้กว้างมาก เพราะเรามองโดยวิทยาศาสตร์ไง ถ้าวิทยาศาสตร์ ในการทดสอบไง ในการทดสอบว่ามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงใช่ไหม เวลาเรามองไป เรามองเป็นวิทยาศาสตร์ เรามองเป็นโลกไง แล้วมองเป็นโลกไปแล้ว เรามองไม่เข้าถึงตัวศาสนาไง

ทีนี้ตัวศาสนา ว่าตัวศาสนาคืออะไร ก็แบบว่า พระที่มีการศึกษา พระที่บวชมาเป็นพระ แล้วศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าเวลาเขาศึกษามาเขาก็ศึกษาบาลี ได้เปรียญ ๙ ประโยค ถ้าได้เปรียญ ๙ ประโยค เขาก็ศึกษาเรื่องศาสนา แล้วพอศึกษาเรื่องศาสนาแล้ว ถามเขาว่าศาสนาคืออะไร เขาจะตอบว่าอย่างไรล่ะ

ถ้าศาสนาคืออะไร สิ่งที่ทางวิชาการเขาศึกษามาแล้ว เขาเข้าใจแล้วก็เหมือนกับเราไปเรียนวิชาชีพ เรียนวิชาชีพ เรียนต่างๆ เราเข้าใจ ใครเรียนวิชาชีพสิ่งใดก็จะเข้าใจทางวิชาชีพของตัวเอง ถ้าเข้าใจวิชาชีพของตัวเองนี่เป็นเรื่องโลก

นี่ก็เหมือนกัน พระเราไปศึกษาพระพุทธศาสนามันก็ศึกษาเหมือนเป็นวิชาชีพ วิชาชีพ อาชีพพระ ศึกษาพระพุทธศาสนา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แล้วจะอธิบายอย่างไรล่ะ เพราะอธิบายแล้วก็ยังเถียงกันอยู่ว่าอะไรเป็นหัวใจของศาสนา

ถ้าหัวใจของศาสนา พวกเรานักปฏิบัติเราว่าเรื่องอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคๆๆ มรรคนี่แหละตัวศาสนา ทีนี้ตัวศาสนา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคคือหลักของศาสนา

ทีนี้หลักของศาสนา เวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ศาสนาคืออะไร ศาสนธรรมคือคำสั่งสอน ศาสนธรรมคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมันมีรัตนะ ๒ คือมีพระพุทธเจ้ากับพระธรรม พระพุทธเจ้ากับพระธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ แสดงธรรมจนพระอัญญาโกณฑัญญะท่านมีดวงตาเห็นธรรม เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก ถ้าเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก มันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนตรัย

ทีนี้รัตนตรัยมันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทีนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พอมันเผยแผ่มาๆ มันเป็นวัฒนธรรมประเพณี พอเป็นวัฒนธรรมประเพณีมันก็เป็นตัวแทน เป็นตัวแทน ถ้าพระพุทธเจ้า เราก็มีพระพุทธรูปในวัดเป็นสมมุติว่านี่เป็นพระพุทธรูปเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระธรรมคือตู้พระไตรปิฎก พระสงฆ์ พระสงฆ์ก็เห็นๆ กันอยู่แล้ว

ทีนี้พอเรามองภาพเข้าไป มองเป็นวิทยาศาสตร์ไง แล้วศาสนาพุทธคืออะไรล่ะ ศาสนาพุทธคืออะไร เราก็มองภาพอย่างนั้น

ถ้าศาสนาพุทธเป็นพระ พระดีก็มี พระดีไม่มีใครพูดถึง แต่พระทำผิด โอ้โฮ! ลงข่าวหน้าหนึ่งเลย ถ้าพระทำผิด อ้าว! ในเมื่อศาสนาพุทธก็เชื่อถือไม่ได้ ดูพระประพฤติปฏิบัติสิ พระกินเหล้า พระเมายา พระทำตัวเหลวไหล ถ้าเป็นศาสนาแล้วก็ต้องให้เป็นที่ไว้ใจได้เชื่อใจได้

ถ้าเป็นพระธรรม พระธรรมก็ธรรมจักร เวลาเขาทำธรรมจักรเป็นเครื่องหมาย เครื่องหมายของสัจธรรม ตู้พระไตรปิฎกเป็นพระธรรม

เราว่าพระธรรม พอไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ พระธรรมก็เป็นหินแกรนิตหรือ ขยายออกมาแล้วมันก็เป็นก้อนหิน มันจะเป็นประโยชน์อะไรล่ะ

เวลาตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธรูป เห็นไหม มันมีหลายครอบครัวมากที่มาหาเรานะ บอกว่าลูกชายเรียนมา เรียนสูง แล้วพ่อแม่เขาพาลูกไปวัด พอพ่อแม่กราบพระ ลูกมันก็ถามพ่อแม่ เพราะพ่อแม่กับลูกคุยกันได้สนิทแม่กราบอะไรน่ะ แม่กราบทำไม นั่นมันทองเหลืองเวลาไปไหว้พระบอกแม่กราบทำไมน่ะ มันเป็นอิฐหินทรายปูน แม่กราบทำไมนี่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไง

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ว่าเห็นพวกเราไปกราบพระพุทธรูป เอ๊ะ! เราไปกราบอะไรกัน เพราะทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์แล้ว เราหล่อมาด้วยทองเหลือง เราหล่อมา เราขึ้นรูปมาด้วยอิฐหินทรายปูน แล้วเราไปกราบทำไมล่ะ นี่เขาคิดทางวิทยาศาสตร์ไง

แต่เวลาเมื่อก่อนหลวงตาอยู่นะ เวลาใครไปบ้านตาด ท่านบอกว่าให้กราบพระ แล้วถึงพระไหม

ถ้ากราบพระนะ ถ้ากราบพระให้ถึงพระ ถ้ากราบถึงพระก็ถึงปัญญาคุณ ถึงเมตตาคุณ ถึงวิสุทธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเมตตาคุณ ปัญญาคุณ วิสุทธิคุณ ใครเป็นคนรู้สึกล่ะ หัวใจเราเป็นคนรู้สึก หัวใจเราซาบซึ้ง

เวลาเรากราบ เรากราบถึงพระ เรากราบถึงพระ กราบถึงพระพุทธเจ้า กราบถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไอ้สิ่งที่เป็นตัวแทน ตัวแทน พระพุทธรูปเป็นตัวแทน พอเป็นตัวแทน มันเป็นตัวแทน ตัวสื่อ สื่อเข้าไป สื่อถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเวลาตัวแทนไปสื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เราบอกว่า ศาสนาพุทธคืออะไร ถ้าเราบอกว่าศาสนาพุทธคืออะไร เวลามองเข้ามา เวลาเราไปคุยกับเพื่อน หรือเพื่อนที่ว่าเขาก็เป็นชาวพุทธนะ เพราะว่าเขาเกิดจากพ่อแม่ พ่อแม่ก็เป็นชาวพุทธ ในทะเบียนบ้านก็เป็นชาวพุทธ แต่เขาไม่สนใจ เขาไม่สนใจ เขาเห็นแล้วมันขัดแย้งกับความรู้สึกเขา

ถ้ามันเห็นแล้วขัดแย้ง เห็นแล้วขัดแย้งที่ไหน เห็นแล้วขัดแย้งที่ว่าโดยความรู้สึกของเขา วุฒิภาวะของใจใช่ไหม ทำไมพระฟุ่มเฟือยอย่างนั้น ทำไมพระที่มักน้อยสันโดษ ความเป็นอยู่ทำไมมันสูงส่งกว่าชาวบ้านเขา นี่เวลาเขาคิด เขาคิดอย่างนั้น เวลาเขามองภาพเข้ามา

เราจะบอกว่า เขาบอกว่าศาสนาพุทธคืออะไร

เราจะบอกว่า ศาสนาพุทธคือสัจธรรม พุทธธรรม สัจธรรม สัจธรรมคือตัวศาสนา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ธรรม เจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ได้ตรัสรู้ธรรม วันวิสาขบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐ ประเสริฐเพราะอะไร เพราะได้สร้างบุญญาธิการมา เกิดในวันวิสาขะ เพ็ญเดือน ๖ เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ ตรงตรัสรู้นี่ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนหน้านั้นเป็นพระโพธิสัตว์

ฉะนั้น ตัวศาสนา ที่ว่าศาสนาคือตัวสัจธรรม สัจธรรมคือสิ่งที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานในวันเพ็ญเดือน ๖ เหมือนกัน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม แสดงธรรมมันมี ๒ ประเด็น ประเด็นหนึ่ง พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพยาน แต่เทวดา อินทร์ พรหมที่เขาฟังข่าวต่อๆ กันมา เขาส่งต่อๆ กันไป เวลาจักรมันเคลื่อนแล้วๆ

นี่ว่าศาสนาพุทธคืออะไร

ถ้าศาสนาพุทธ ศาสนธรรมคำสั่งสอนคือสัจธรรม นั่นคือตัวหลักของศาสนา

แต่มันเป็นประเพณีไง พอมันเป็นประเพณีแล้ว เวลาผู้บวชแล้ว เวลาเราเป็นฆราวาส เราก็ต้องมีปัจจัย ๔ มีเครื่องอาศัย พระบวชมาแล้ว พระบวชมาแล้วมันก็มีบริขาร ๘ นี่คือปัจจัย ๔ มีกลด กลดคือที่อยู่อาศัย มีเครื่องนุ่งห่มก็ผ้าจีวร ไตรจีวร อาหารก็คือบาตร ยารักษาโรคก็คือน้ำมูตรเน่า นี่เป็นยารักษาโรค ปัจจัย ๔ เหมือนกัน

แต่พออยู่แล้ว ครูบาอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา อนาถบิณฑิกเศรษฐีเอาเงินปูสร้างวัดให้ สร้างวัดคือที่อยู่ อาราม อารามของผู้ที่ไม่มีบ้านมีเรือนไง นี่ผู้ที่เขามีศรัทธาความเชื่อ เขาก็ทำของเขา

เราจะบอกว่า เวลาบอกว่าพระอยู่สูงส่งกว่าเขาๆ...มันสูงส่งหรือมันจะต่ำต้อยมันอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมี แล้วเวลาคนที่เขาเชื่อถือศรัทธา เขาสร้างของเขาให้ เขาสร้างของเขาเพราะสิ่งนั้น พระก็เป็นผู้รักษาของของสงฆ์ไง

ศาสนาคืออะไร

ถ้าศาสนา ศาสนาคือสัจธรรม

แล้วสำหรับคนที่ไม่เคยเข้าวัด เราจะอธิบายอย่างไรได้ อธิบายแล้วให้เขารู้สึกว่าอยากทดลองด้วยตัวเอง

ถ้าอยากทดลองด้วยตัวเอง เราจะอธิบายให้เขาได้อย่างไรล่ะ ถ้าเราอธิบายให้เขา ศาสนา สิ่งที่เราอยู่มันก็แค่พวกบรรพบุรุษของพวกเราเป็นผู้ฉลาดใช่ไหม เอาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ พอศาสนาประจำชาติ ศาสนานี้เป็นเครื่องหล่อหลอม ศาสนามันเหมือนน้ำ มันรวบรวมสิ่งใดให้เป็นเนื้อเดียวกัน เขาจะผสมปูน ผสมอะไร เขาต้องมีน้ำ มีสิ่งต่างๆ เพื่อผสม

ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เวลาชาติ ศาสนา ศาสนามันก็รวบรวม รวบรวมให้น้ำจิตน้ำใจของคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของชาติ ชาติจะเกิดขึ้นได้ด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อกัน ด้วยความผูกพัน ด้วยความสามัคคีกัน

เวลาศาสนา ดูสิ เวลาธรรมะของกษัตริย์ ทศพิธราชธรรม การปกครองโดยธรรม เวลาถ้าอธิบายศาสนาไป มันก็กว้างขวางไป อยู่ในสถานะของใคร ใครมีสถานะไหนจะได้ประโยชน์กับศาสนาชนิดใด

เวลากษัตริย์เขามีทศพิธราชธรรม เวลาเป็นขุนนาง เป็นผู้ปกครองดูแล เขาก็ต้องมีความเป็นธรรม ธรรมาภิบาล พวกเราพวกที่เป็นรากหญ้า พวกที่เป็นประชาชน ประชาชนเป็นน้ำ ประชาชนเป็นส่วนใหญ่ ประชาชนก็มีใจเป็นธรรม ประกอบสัมมาอาชีวะ นี่พูดถึงว่าความเป็นอยู่ของสังคมไง

ฉะนั้น เราจะอธิบายให้เขาเข้าใจได้อย่างไรล่ะ

เวลาอธิบายมันอธิบาย ถ้าอธิบายนี่เป็นเรื่องปัจจัตตังแล้ว เป็นเรื่องอตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม มันก็เป็นประโยชน์ของพระอัญญาโกณฑัญญะ

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา หลวงตาท่านพูดอย่างนี้นะ หลวงตาท่านบอกว่า เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเป็นคนที่มีบุญมาก หลวงตาใช้คำว่าถ้าคนไม่มีบุญจะไม่ได้พบพระพุทธศาสนา

ดูในโลกนี้ ในโลกนี้กี่พันล้าน แล้วคนนับถือพระพุทธศาสนามันกี่ร้อยล้าน แล้วพอประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ผู้ที่เข้าถึงธรรมมันมีกี่คน คำว่ามันมีกี่คนใช่ไหม ถ้าคำว่ามันมีกี่คนมันจะมีอำนาจวาสนาขนาดไหนล่ะ

ฉะนั้น ถ้าบอกว่า จะทำอย่างไรให้เขาทดลองด้วยตัวเขาเอง

ถ้าทดลองด้วยตัวเอง ในปัจจุบันนี้ ในการประพฤติปฏิบัติมันจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาจากที่ไหน เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เพราะแต่ก่อนพระที่ปฏิบัติก็แสวงหากันทั้งนั้นน่ะ แต่พอหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็ปฏิบัติของท่าน ท่านก็รู้ความเป็นจริงของท่าน แล้วท่านทำเป็นตัวอย่าง

แล้วเวลาใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันมีความรู้ความเห็นภายในใจ ไปถามท่าน ท่านตอบได้ก่อนด้วย ท่านเอาความเห็นของเรามาอธิบายให้เราฟัง ทุกคนมันถึงยอมรับ พอทุกคนยอมรับนะ เป็นความจริง ใครปฏิบัติขึ้นไปได้ด้วยความเสมอกัน

พอด้วยความเสมอกัน สิ่งที่เสมอกันมันเสมอกันตรงไหนล่ะ

มันเสมอกัน มันถอดมันถอนอวิชชา ถอดถอนการเบียดเบียนหัวใจ ถอดถอนกิเลสที่มันครอบงำใจ มันถอดมันถอน ถ้ามันถอดมันถอน แล้วท่านทำของท่าน

เวลาเราปฏิบัติขึ้นไป เรามีปัญหาเราจะถามครูบาอาจารย์ใช่ไหม เหมือนคนเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ ถ้าหมอรักษาเราไม่ได้ เขาจะเป็นหมอได้อย่างไร คนที่จะรักษาได้ต้องเป็นหมอสิ หมอต้องบอกอาการของใจ ที่เราทุกข์เรายากมันมาได้อย่างไร ถ้ามันทำได้จริง

สิ่งที่ว่า ถ้าเขาจะทดลองด้วยตัวเขา

คำว่าทดลองในการประพฤติปฏิบัติเดี๋ยวนี้มันเข้มแข็งขึ้น มันแบบว่ามีคนเชื่อถือศรัทธามากขึ้น ศรัทธามากขึ้นเพราะครูบาอาจารย์ท่านทำเป็นตัวอย่างมา แล้วทำเป็นตัวอย่างมา เราปฏิบัติ บอกว่าใครมีความทุกข์ล่ะ แม้แต่เรามีความทุกข์นะ เราไปศึกษาพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนา ธรรมโอสถ ทุกคนมันวางได้ แล้วถ้าเขามีปัญหาในตัวของเขา เขามีความทุกข์ในหัวใจของเขา แล้วถ้าเขาบอกว่าเขาจะแก้ทุกข์ เรียกว่าเป็นอริยสัจ สัจจะความจริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ทุกคนมีความทุกข์ไหม ถามสิ ทุกคนมีความทุกข์ไหม ทุกคนมีความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ จะทุกข์มากทุกข์น้อย ทุกข์ในแง่มุมใด มีทั้งนั้นน่ะ ใครบ้างไม่มีความทุกข์เลย มีทั้งนั้นน่ะ

แล้วพระพุทธศาสนา ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ละเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วถ้ามันเกิดนิโรธ เกิดนิโรธ นิโรธคือความปล่อยวางได้ การปล่อยวางนั้นได้ แล้วปล่อยวางด้วยอะไรล่ะ

อ้าว! ถ้าเรายังไม่ปล่อยวาง ถ้าเราปล่อยวางโดยส้มหล่น เราก็ไม่รู้ว่ามันปล่อยวางได้อย่างไร แต่ถ้ามันปล่อยวางแล้วเราก็เห็นว่า เออ! มันมีช่องทาง มีหนทางที่ทำได้จริง ถ้ามีหนทางที่ทำได้จริง แล้วเวลาทำจริงทำด้วยอะไรล่ะ มันก็ต้องไปทำศีล สมาธิ ปัญญา สร้างมรรค พอสร้างมรรคขึ้นมา มันก็เห็นคุณประโยชน์แล้ว นี่เห็นคุณประโยชน์ของศาสนาแล้ว

เราไปบอกทีแรกเลย บอกว่า พระพุทธศาสนาสอนเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา

เขาบอกว่า ศีลอะไร สมาธิอะไร แล้วปัญญา ปัญญาก็ปัญญาทำมาหากินนี่ไง ปัญญาก็กำลังจะรวยอยู่นี่ ปัญญาน่ะ

เพราะคนมันมองคนละมุม ไอ้อย่างนั้นเขาเรียกว่าปัญญาเป็นปัญญาวิชาชีพ แต่ถ้ามันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา มันจะแก้ทุกข์ได้จริงๆ ไง แต่ถ้าปัญญาอย่างนั้นมันเป็นปัญญาวิชาชีพ เป็นปัญญาสิ่งที่เราเอาไว้สื่อสารกันในสังคม

เราบอกว่าจะทำอย่างไร จะบอกให้เพื่อนเข้าใจได้ แล้วจะให้เพื่อนได้ทดลองด้วยตัวเอง

ฉะนั้นบอกว่า เวลาเขาบอกว่าหนูไม่อยากเอาคำตอบจากพจนานุกรม

ถ้าพจนานุกรม ก็ถึงเขียนมานี่ พอบอกพจนานุกรมแล้วมาพูดเรื่องนี้ไง พูดเรื่องว่า ถ้ามองพระ มองเข้ามาในศาสนา พอเรามองเข้ามาในศาสนา เขามองพระก่อนนะ เพราะพระเป็นตัวแทน พระเป็นพระสงฆ์ พระสงฆ์เป็นคนที่สืบทอดศาสนามา

ถ้าพระสงฆ์เป็นผู้สืบทอดศาสนามา พระสงฆ์ดีๆ ก็เยอะมาก พระสงฆ์ดีๆ พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เป็นผู้ที่ทำสังคายนา แล้วจดจารึกไว้จนเป็นพระไตรปิฎกให้เราศึกษามา ๒,๐๐๐ กว่าปี ไม่ได้เห็นว่าพระสงฆ์ดีๆ ทำสิ่งที่ดีๆ เลย

แต่เวลาพระสงฆ์ทำไม่ดี พระสงฆ์ทำผิดพลาด โอ๋ย! คัดค้าน มีความเห็นผิด มีความไม่พอใจ ถ้าไม่พอใจแล้ว แล้วกิเลสมันก็ชอบด้วยนะ กิเลสมันชอบ เพราะกิเลสมันไม่ต้องการให้ใครควบคุมมันอยู่แล้ว

พอถ้าเราเชื่อ เราจะประพฤติปฏิบัติ เราก็ต้องพยายามมีศีล ต้องมีสมาธิ มีขอบเขตกับในหัวใจของเรา มันก็จะโต้แย้ง ฉะนั้น มันก็จะพาลแล้ว พอมันพาล มันเห็นพระที่ทำผิดพลาด มันบอกนี่ไง เขาบวชเป็นพระเขายังทำไม่ดีเลย แล้วเราจะปฏิบัติได้อย่างไร เราไม่มีทางแล้วล่ะถ้ามันมองอย่างนั้นมันก็จบไง

แต่ถ้าเราพูดถึงพจนานุกรม บอกว่าหนูก็ไม่อยากเอาคำตอบจากพจนานุกรม หรือค้นหาในเว็บไซต์ เพราะหนูก็ไม่เชื่อในคำตอบนั้น เพราะหนูก็ไม่เชื่อคำตอบนั้น

อันนี้มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประพฤติปฏิบัติ มันเกิดมาจากอำนาจวาสนาบารมีนะ แล้วมันเป็นจริงขึ้นมา แต่เวลาบัญญัติไว้นี่ตัวหลักไง

แล้วเราไปศึกษา พจนานุกรม เราไปศึกษาในพระพุทธศาสนา นี่เป็นวิธีการทั้งนั้นน่ะ เราไปศึกษาแล้วก็วิเคราะห์วิจัยที่นั่น แต่สิ่งที่เราศึกษาทั้งหมดมันชี้เข้ามาในหัวใจนะ ชี้เข้ามาในหัวใจของผู้ที่ปฏิบัตินะ

เรามีศรัทธาหรือเปล่า เรามีความเชื่อไหม ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อ ความเชื่อมั่น ดูสิ สัทธาจริต ถ้าสัทธาจริตมีความเชื่อมั่น กำหนดพุทโธๆ พุทโธด้วยความเชื่อ ด้วยความเป็นเอกภาพ พุทโธๆ มันจะเป็นสมาธิได้

แต่ถ้าเราเป็นพุทธจริต เรามีปัญญามาก เรามีความสงสัยมาก เรามีความวิตกกังวลมาก พุทโธๆ มันบอกว่าพุทโธไม่มีปัญญา พุทโธแล้ว อย่างนี้ต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

แม้แต่การทำความสงบของใจมันยังมี ๔๐ วิธีการ เวลาทำอย่างไรเพื่อความสงบของใจ ทำไมต้องความสงบ

เพราะทำความสงบมันจะแก้ความสงสัยไง อย่างเพื่อนที่ทดลอง ถ้าจิตมันสงบนะ มันแปลกแล้ว พอจิตสงบมันเป็นการยืนยันแล้ว

เราศึกษามามันเป็นทฤษฎีทั้งนั้นน่ะ เวลาถ้าจิตมันสงบนะ โดยที่เราจะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ จิตมันสงบ มันแตกต่าง

พอจิตมันสงบ ทำไมถึงสงบล่ะ

เรามีความเครียด เรามีความฟุ้งซ่าน เพราะความฟุ้งซ่านทำให้จิตนี้ขุ่นมัว พระพุทธศาสนาก็สอนไง สอนอตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พระพุทธศาสนาสอนทวนกระแสเข้าไปสู่ใจของสัตว์โลกทุกๆ คนนะ

เราเกิดมาเราทำอาชีพ เราประสบความสำเร็จ เรามีสถานะทางทรัพย์สินและมีสถานะทางสังคม ในการประพฤติปฏิบัติ จิตใจของทุกคนมีความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าจิตใจของทุกคนมันเข้าไปทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจของใครสงบ นั่นสถานะของเขาเข้าใกล้ชิดพระพุทธศาสนามากขึ้น

แต่ที่เวลาเราศึกษาเราค้นคว้ากันฟุ้งซ่านไปหมด ความรู้ท่วมหัวแบกไว้เต็มที่เลย แต่ไม่รู้อะไรเลยนะ มันก็เหมือนกับเราใช้ความคิดมากๆ ส่งออกหมด ไปขวนขวายว่าเป็นสมบัติของเรา แล้วพะรุงพะรังไปด้วยสมบัติบ้า ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่จริง แต่ศึกษามาแล้วเขาให้วางไว้แล้วปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ทีนี้ถ้าเราบอกว่าเราอธิบายไม่ได้ พจนานุกรมใช่ไหม เราก็ไปศึกษา มันก็ยิ่งไปสงสัย ยิ่งไปเห็นต่าง ยิ่งไปบอกว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ มันทำอย่างนี้จะเป็นไปได้อย่างไร มนุษย์จะปฏิบัติอย่างนี้ได้อย่างไร มนุษย์จะรู้ลึกซึ้งแบบนั้นได้อย่างไร

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แล้ว แล้วบอกไว้แล้ว แล้วเราไปศึกษาเราก็ยิ่งงง เห็นไหม เราถึงต้องวางแล้วทำสมาธิ ทำความสงบของใจ ถ้าใจสงบแล้วมันเข้าไปสู่ฐีติจิต เข้าไปสู่จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้นั้นเป็นผู้เวียนว่ายตายเกิด จิตเดิมแท้จะเข้าถึงตัวศาสนาไง

ศาสนามันอยู่ที่ไหน ศาสนามันอยู่ที่ไหนนะ

หลวงตาท่านค้นหาพระธุดงค์ แบกกลดแบกบาตรเข้าป่าเข้าเขาไป ธุดงค์ไป

เขาศึกษาศาสนาจากพระไตรปิฎก เขาเปิดตู้แล้วก็ค้นคว้าในพระไตรปิฎก พระป่าแบกกลดแบกบาตรเข้าป่าเข้าเขาแล้วบอกไปธุดงค์ มันจะไปทำไม มันจะมีความรู้ได้อย่างไร ไปแล้วมันจะเข้าใจเรื่องศาสนาได้อย่างไร ศาสนามันจะไปอยู่ในต้นไม้ อยู่ในภูเขา อยู่ในป่าได้อย่างไร ศาสนามันก็ต้องอยู่ในตู้พระธรรมสิ แล้วไปค้นหาได้อย่างไร

ศึกษาศาสนา ศึกษามาแล้ว หลวงตาท่านศึกษาเป็นมหา ท่านเป็นมหาแล้วท่านถึงได้ออกประพฤติปฏิบัติ ศึกษามาแล้ว ศึกษามาเป็นมหา พอเป็นมหาขึ้นมา ตู้พระธรรมแปลได้ แต่งเติมได้ทั้งหมด เขียนได้ แต่นิพพานก็ศึกษามาแล้ว แล้วมันมีจริงไม่มีจริง ถึงต้องมีคนยืนยัน ก็ไปหาหลวงปู่มั่นไง

นี่ก็เหมือนกัน พระกรรมฐานเราแบกกลดแบกบาตรเข้าป่าเข้าเขา อยู่โคนไม้ แล้วมันจะศึกษาได้อย่างไร มันจะรู้ธรรมได้อย่างไร ธรรมก็ต้องออกมาจากตู้พระไตรปิฎกสิ

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้ถือปริยัติ ศึกษามา ศึกษาแล้วให้วางไว้ ให้ปฏิบัติ

ถ้าศึกษาแล้ว แล้วปฏิบัตินะ มันเกิดจินตนาการ มันเกิดอุปาทาน มันเกิดการจินตนาการ มันเกิดการสร้างภาพ แล้วก็จะหัวหกก้นขวิดอยู่นั่นน่ะ ทั้งๆ ที่อย่างนั้นก็มหัศจรรย์นะ เพราะมันจะเกิดธรรม เกิดธรรมหมายความว่ามันเกิดธรรม แต่ไม่ใช่มรรค มันเกิดธรรม แล้วปฏิบัติไปมันจะเกิดสภาวะ

เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ การกระทำนั้นมันต้องมีผล กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ทำดีทำชั่วมา ถ้าทำถูกทำผิด จิตใจมันได้ปฏิบัติแล้วมันก็ได้ทดสอบของมัน แต่ได้ทดสอบขนาดไหนแล้วมันเป็นส้มหล่นไง ส้มหล่นคือสภาวะที่มันเกิด เขาว่าสภาวธรรมๆ

เราไม่ค่อยพูดเรื่องสภาวธรรม เราพูดเรื่องมรรค เรื่องความจริง เราเป็นคนจัดการ สภาวธรรมมันเป็นส้มหล่น ส้มหล่น ดูสิ เวลาเราเครียดมากๆ หรือว่าเรามีความทุกข์มากๆ ถ้าเรามีความอดกลั้น เดี๋ยวมันก็เบาลง

สภาวะคือความรู้สึกที่มันต้องมีอยู่ตลอดไป จิตมันต้องมีสถานะที่รับรู้ตลอดไป แต่ถ้าเราพุทโธๆๆ สถานะรับรู้มันสลัดทิ้ง มันสลัดทิ้ง สลัดทิ้งอะไร มันส่งออกมาที่ความคิดไง พอส่งออกมา ความคิด พุทโธๆ มันผ่านขันธ์ ๕ ผ่านรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เข้าไปสู่ฐีติจิต ฐีติจิต ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ

วิญญาณในขันธ์ ๕ มันผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย อายตนะกระทบ นี่วิญญาณทางโลก วิญญาณในสถานะ แต่ถ้าจิตมันสงบเข้าไปแล้วมันสู่จิตของตัวมันเอง

เวลาเราศึกษา เราศึกษาตู้พระธรรมๆ ใครเป็นคนศึกษา ความคิดศึกษา อายตนะศึกษา วิญญาณปัจจุบันนี้ศึกษา เวลาจิตมันสงบเข้าไปแล้วมันเข้าไปสู่ฐีติจิต ฐีติจิตนี่ตัวสมาธิ

ทำไมถึงต้องทำความสงบ นี่ไง ที่ว่าทำไมต้องทำความสงบ ทำไมต้องทำสมาธิ ทำไมต้องทำสมาธิ ถ้าทำสมาธิแล้ว ถ้าจิตมันเกิดสมาธิแล้ว ถ้าสมาธิมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นั่นล่ะมันถึงจะเป็นวิปัสสนา

ถ้าเป็นวิปัสสนา ในพจนานุกรมก็บอกไว้ ในวิสุทธิมรรค วิสุทธิมรรคนะ มรรคก็ส่วนมรรค วิสุทธิมรรค มรรคอันละเอียด มรรคอันยิ่งใหญ่ เขียนไว้หมด ไปศึกษาสิ ความรู้ท่วมหัวเลย อ่านได้หมด ทำวิจัยก็ได้ ทั้งแยกแยะ พิจารณาแยกแยะทำเรียงความให้มากขึ้นได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ความรู้จริงล่ะ ความรู้จริงมันอยู่ที่ไหน ถ้าความรู้จริง เห็นไหม

เราบอกว่า ถ้าเขาจะทำอย่างไรให้เพื่อนเขาได้ทดสอบ

ได้ทดสอบ ถ้าเขามีอำนาจวาสนานะ เราจะบอกว่า คนเราถ้ามีอำนาจวาสนา เวลามีสิ่งใดกระทบกระเทือนหัวใจ มันทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนเลย ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงได้เลยถ้ามันมีความกระทบกระเทือนหัวใจ

แต่ถ้ามันไม่มีความกระทบกระเทือนหัวใจ หนึ่ง แต่จิตใจของเขา เขาได้สร้างบุญสร้างกรรมมาอย่างนี้ เขาสร้างบุญสร้างกรรม การเวียนว่ายตายเกิด คนเรามันได้สร้างเป็นกระแส สร้างบุญสร้างกรรมมา มันคัดค้านมาตั้งแต่ต้น คัดค้านมาตั้งแต่หัวใจ มันคัดค้าน หมายถึงว่า มันมีสิ่งใดที่มันทำให้ตัวเอง

ดูสิ เวลาคนเราในปัจจุบันนี้ เรารักใคร เราชอบใคร เราจะถามทุกคนเลย ขอให้เกิดพบกันทุกภพทุกชาติได้หรือเปล่า เวลาเราเกลียดกันนะ เราบอกว่าขอให้ไม่พบกันทุกภพทุกชาติได้หรือเปล่า ไอ้ตรงนี้ที่มันเวียนว่ายตายเกิดมานี่

ฉะนั้น สิ่งนี้ถ้ามันกระเทือน มันมีสิ่งนั้นกลับมา เขามีจิตใต้สำนึก เขาคัดค้านมา แล้วเราพยายามจะบอกว่าให้เขาทดสอบให้เขาทดลอง

เว้นไว้แต่ถ้าเขามีอำนาจวาสนานะ เขามีอะไรกระทบกระเทือนใจ เขาจะหาที่พึ่งอาศัย ถ้าหาที่พึ่งอาศัย อะไรที่มันจะให้หัวใจอาศัยได้นอกจากธรรมะ นอกจากธรรมะ พระพุทธศาสนาไง สัจธรรม พุทธธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันได้อาศัยสิ่งนั้น

ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนบอกว่า ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์สอน ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ให้เชื่อการประพฤติปฏิบัติตามความจริงของเรา

ถ้าประพฤติปฏิบัติตามความจริงของเรา ถ้าจิตมันสงบมันก็ได้สัมมาสมาธิ ได้เห็นเงาๆ แต่ถ้าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต นี่เข้าตัวธรรมแล้ว ถ้าตัวธรรม ตัวธรรมคือสัจธรรม

พระพุทธศาสนาคืออะไร

พระพุทธศาสนาคือสัจจะ คือความเป็นจริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ทั้งๆ ที่ปรารถนามาเป็นศาสดา ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์นะจะไปสอนใครได้อย่างไรเพราะมันคนละมิติไง

มิติทางโลก มิติทางโลกคือความสามัญสำนึกที่เราสื่อสารกันได้ทางวิทยาศาสตร์

มิติทางธรรม มิติทางธรรมเวลามันสำรอกมันคายกิเลสออก โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ แล้วยังมีนิพพาน ๑ แล้วถ้าคนที่มีมรรคมีผล คนที่มีการกระทำพูดสิ่งนี้ผิด มันเป็นไปได้อย่างไร

พูดสิ่งที่เป็นมรรคเป็นผล ถ้ามันผิดพลาดไป ถ้าคำพูดเป็นมรรคเป็นผล พูดอยู่ในปัจจุบันนี้เขาพูดในทางทฤษฎีไง พูดในทางทฤษฎี ในวิสุทธิมรรค ในสิ่งต่างๆ

ในครูบาอาจารย์ที่ท่านเทศน์สั่งสอนไว้ ในครูบาอาจารย์ที่ท่านเทศน์ไว้ ท่านเทศน์ไว้เพื่อประโยชน์กับเรานะ ถ้าเพื่อประโยชน์กับเรานี้เป็นแนวทางไง ดูสิ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแนวทาง เป็นการชี้นำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้นำ แล้วพวกเราบริษัท ๔ เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นผู้ที่ทำความจริงเราเป็นคนชี้ทางเท่านั้น พวกเธอต้องไปขวนขวายกันมาเอง

ถ้าเราขวนขวายเอง เราทำของเราแบบนี้ เราทำความจริงของเราแบบนี้ ถ้าทำได้ ถ้าเราทำได้ เราทำของเราจริงขึ้นมา มันเป็นจริง นั่นน่ะเราเข้าถึง แล้วจะบอกว่าศาสนาพุทธคืออะไร เราจะไม่สงสัยเลย เราจะรู้ว่าสัจธรรมมันมีคุณค่าขนาดไหน สัจธรรมสิ่งที่ได้มามันได้มามากน้อยแค่ไหน

ฉะนั้น ถ้าเราจะไปค้นพจนานุกรม ค้นในพระไตรปิฎก นั้นเป็นภาคปริยัติ เป็นภาคปริยัติให้ศึกษาให้ค้นคว้า แล้วเวลามาปฏิบัติ เราวางไว้แล้วปฏิบัติให้เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาแล้วเราเทียบเคียงเข้าไปนะ มันจะลึกซึ้งกว่านั้นเยอะเลย เห็นไหม ในมิติของโลก ในมิติของธรรม มิติของธรรม โสดาปัตติมรรค ถ้ามันพูดถึงมรรคไม่ถูกต้อง มันเป็นไปไม่ได้หรอก

เราฟังมาเยอะ พระพูดกันนะ เวลามรรคปั๊บ เขาอธิบายถึงทางวิทยาศาสตร์ อธิบายถึงวัตถุ ถ้าอธิบายถึงวัตถุก็คือเปรียบเทียบ ทำไมเขาไม่พูดถึงความจริงของเขาล่ะ ทำไมไม่พูดถึงสิ่งที่เป็นมรรคล่ะ เวลามรรคมันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาอย่างไร

เขาบอกมรรค ศีล สมาธิ ปัญญา เวลามันเกิดขึ้น ถ้าพูดปั๊บ มันรู้ถูกรู้ผิดเลย ถ้ามันผิด มันอธิบายไม่ถึงสัจจะ ไม่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็แบบทางจินตนาการ ทางปรัชญา มันเข้าไม่ถึง

ถ้าเข้าถึงนะ คำเดียวจบเลย ถ้าจบปั๊บ เวลามันเข้าถึงปั๊บ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อันนี้พูดถึงสัจจะ พูดถึงพระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้นะ

คำว่าสอนอย่างนี้ฉะนั้นบอกว่า ถ้าสอนอย่างนี้แล้ว ขนาดนี้ เวลาหนูไปพูดกับเพื่อน เพื่อนมันยังไม่ฟังเลย แล้วจะพูดถึงมรรคถึงผลมันเกินไป ก็ถามว่า ศาสนาพุทธคืออะไร แล้วในพจนานุกรมพูดไว้อย่างนั้น แล้วในเว็บไซต์ต่างๆ หนูยังไม่เชื่อในเว็บไซต์นั้นเลย ฉะนั้น หนูขอคำตอบจากหลวงพ่อค่ะ จะได้ไม่ต้องคาใจ หรือไปถามผู้อื่นอีก

ถ้าถามเรา พระพุทธศาสนา ศาสนธรรมคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือสัจธรรม แต่ตัวธรรมจริงๆ ตัวธรรมจริงๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมจะสอนใครได้หนอมันเหนือโลก มันเหนือโลกหมายความว่ามันพ้นจากวัฏฏะ มันเป็นวิวัฏฏะ คำว่าวิวัฏฏะมันพ้นจากแรงดึงดูด พ้นจากทุกๆ อย่าง

แต่ถ้าเรายังเป็นปุถุชน เราว่าเราพ้นจากแรงดึงดูด เพราะอะไร เพราะเราคิดเอง แต่เรามีความรู้สึก เพราะเรามีความรู้สึก ความรู้สึกคือแรงดูด นั่นแหละคือตัวกรรม ปฏิสนธิวิญญาณ

เพราะเรามีความรู้สึก เพราะความรู้สึกมันมี ภวาสวะมันมี ภพมันมี มันจะไปไหนล่ะ มันก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดเป็นมนุษย์ เกิดในนรกอเวจี นี่วัฏฏะ ผลของวัฏฏะมันก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่มันมีของมันอยู่โดยดั้งเดิม

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมา เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีตรงข้าม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงแล้ว อาสวักขยญาณ ถอนอวิชชาความไม่รู้ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันรู้เท่ารู้ทันแล้วมันถอดมันถอนสิ่งที่จะเกิด จะแก่ จะเจ็บ จะตาย มันพ้นออกไปแล้ว เห็นไหม มันเหนือ มันเป็นวิวัฏฏะ พ้นออกไปจากวัฏฏะ พ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย สิ่งนี้คือตัวธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้สิ่งนี้ มันเหนือโลก แล้วจะสอนได้อย่างไร จะบอกได้อย่างไร ก็เลยสอนเลยบอกเป็นภาคปริยัติ สอนบอกวิธีการ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บอกถึงมรรคผลเลย บอกแต่เหตุ บอกแต่วิธีการ แต่ตัวผลเขารู้เอง ตัวผลเขารู้เอง

มีคนไปถามเยอะมาก พระถามมาก ถามพระพุทธเจ้า นิพพานคืออะไร ไอ้นี่คืออะไรถามเยอะมาก แต่ถ้าผู้ที่ปฏิบัติแล้วจะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าข้าพเจ้าปฏิบัติอย่างนี้ๆๆ ถูกต้องหรือเปล่าถ้าพระรู้จริงนะ ไปถามพระพุทธเจ้าอีกอย่างหนึ่งเลย ที่ปฏิบัติอย่างนี้ถูกต้องไหม ปฏิบัติแล้วผลเป็นอย่างนี้

พระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าใช่

ดูพระสารีบุตรสิ เวลาไปฟังพระสารีบุตร ไม่ต้องไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าเป็นเราพูด เราก็พูดอย่างนั้นน่ะ ถ้าเป็นเราตอบ เราก็ตอบแบบพระสารีบุตรแล้วนี่พระสารีบุตรตอบกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอบ ตอบเหมือนกัน มันอันเดียวกันหรือเปล่า มันก็อันเดียวกันไง นี่ถ้าคนรู้จริงแล้วมันก็จบไง นี่ตัวธรรม

ถ้าตัวธรรมจริงๆ เป็นธรรมแท้แล้วมันไม่มีขัดไม่มีแย้ง แต่ถ้ามันยังไม่ใช่ มันก็ขัดก็แย้ง

ศาสนาพุทธคืออะไร ศาสนาอยู่ที่ไหน เขาว่าอย่างนั้น ศาสนาพุทธคืออะไร

ศาสนาพุทธคือพุทธธรรม คือสัจธรรม นี้คือตัวศาสนา เอวัง