เทศน์บนศาลา

กิเลสตบตา

๒๔ มี.ค. ๒๕๔๘

 

กิเลสตบตา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๘
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจนะ เราตั้งใจ ทำคุณงามความดีจากภายใน คุณงามความดี เห็นไหม เขาทำกัน คุณงามความดี งานจากภายนอก เวลาทำงานกันต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานเพื่อดำรงชีวิต การทำงานของหัวใจ นั่งเฉยๆ ให้จิตมันสงบให้ได้ นี่การทำงานภายใน

เพราะเราเกิดมาพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางศาสนาไว้ เราถึงมีศาสนา ศาสนา เห็นไหม ศาสนธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องให้เราก้าวเดินตามธรรมอันนั้นไง เวลาเขาเกิดมา สัตว์มันก็เกิดเหมือนกัน สัตว์เกิดมาก็พบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน สัตว์เดรัจฉานมันเกิดมาพร้อมกับเรา ในปัจจุบันนี้สัตว์มันก็เกิด มันก็พบพระพุทธศาสนาของมัน มันทำอะไรได้ล่ะ มันไม่มีโอกาส เราเป็นมนุษย์ เราเกิดแล้วเราพบพระพุทธศาสนา เราพบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เรามีโอกาสไง

ในสมัยพุทธกาลนะ อัญญาโกณฑัญญะ เวลาเจ้าชายสิทธัตถะเกิด พยากรณ์เลยว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะต้องเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน นี่ปฏิญาณกันไว้นะ สัญญากันไว้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวชแล้วจะออกบวชตาม เห็นไหม เวลาไปเอาเข้าจริงๆ เหลือแค่ ๕ นี่ปัญจวัคคีย์ แล้วออกนะ ออกอุปัฏฐากเจ้าชายสิทธัตถะเพื่อธรรมอันนี้ไง

สมัยก่อนหน้าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรม จะไม่มีใครรู้หลักความจริงอันนี้ได้เลย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดอ่อนมาก ละเอียดอ่อนนะ แล้วไม่มีสิ่งใดสัมผัสได้ จะไม่มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เครื่องมือทางใดเข้าไปสัมผัสสิ่งนี้ได้เลย เว้นไว้แต่หัวใจของมนุษย์ หัวใจของสัตว์โลกไง หัวใจของสัตว์โลก ตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหมที่ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เป็นหมื่นเป็นพัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ นี่ถ้ามีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รื้อสัตว์ขนสัตว์ ได้เป็นหมื่นเป็นแสน

แต่ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เกิด อย่างที่เจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดา อินทร์ พรหมก็มี ผู้ที่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดาต่างๆ การสอนลัทธิต่างๆ ก็มี สิ่งที่เขามีอยู่ เขาเวียนวนไปในวัฏฏะของเขา ในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ประพฤติปฏิบัติ ความมั่นใจของเขาว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรมนะ เพราะเขาประพฤติปฏิบัติของเขา แต่หัวใจนั้นมีกิเลสมหาศาลเลย แล้วเขาก็ครอบงำสิ่งที่ว่าเป็นธรรมๆ อันนั้นไว้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษา ไปทดสอบมาทั้งนั้น สิ่งที่เขาปฏิญาณตนกันว่าเป็นศาสดา เป็นผู้ที่เป็นพระอรหันต์นั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปศึกษากับเขา จนได้รับการพยากรณ์จากเขาว่าเจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เสมอเรา ถ้าความรู้เสมอเรา ก็ต้องเป็นพระอรหันต์เหมือนเราสิ แต่ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ยอมรับ

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างมา พระโพธิสัตว์ พุทธวิสัย สิ่งที่พุทธวิสัย ความละเอียดอ่อนขนาดไหน สิ่งที่ทำให้เราหลงทางกัน สิ่งที่การประพฤติปฏิบัติแล้วทำให้เราออกนอกลู่นอกทาง ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะขนาดนั้น เราก็จะเชื่อเขา นี่มันมีสิ่งที่รองรับหลายสถานะนะ สถานะหนึ่งคือไปปฏิบัติกับเขา จิตมันก็ร่มเย็น ร่มเย็นเพราะอะไร เพราะมันเป็นสมถะ เป็นสมถะ เป็นสมาบัติ เป็นสิ่งที่เป็นสมาธิ เป็นสิ่งที่ว่าความสัมผัสของใจที่มันเข้าไปปล่อยวางอารมณ์ มันก็มีความมหัศจรรย์ สิ่งที่มหัศจรรย์นี่เราสัมผัสอันนี้หนึ่ง

แล้วยังมีเจ้าของศาสนา เจ้าของลัทธิเขายังพยากรณ์ ยังยอมรับสถานะว่าเจ้าชายสิทธัตถะมีความเห็น มีความรู้เสมอเรา เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา นี่มีสิ่งที่รองรับจะให้หัวใจนี้เห่อเหิมไปกับสิ่งที่โลกเขาเยินยอกัน สรรเสริญกัน ยกย่องกัน ยกย่องว่าสิ่งนี้มีความรู้เสมอเรา สิ่งนี้มีความเห็นเหมือนเรา สิ่งนี้อยู่สอนลูกศิษย์ลูกหาได้ แต่เจ้าชายสิทธัตถะไม่ยอมรับสิ่งนั้น เพราะสิ่งนั้นเวลาออกมานี่มันเป็นสมมุติไง

สิ่งที่เข้าไปสงบมันเป็นสมมุติ สิ่งที่สมมุติเป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจังมันเข้าไปสงบชั่วคราว เพราะมันมีกำลังของมันขึ้นไป เวลาเราทำ เราตั้งใจของเรา สิ่งนี้มันปล่อยวางเข้ามา จิตมันสงบได้ เพราะหัวใจที่เข้าไปตรัสรู้ธรรมหรือเข้าไปสัมผัสธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้มันเข้าไปสัมผัส สิ่งที่สัมผัส เวลามันคลายตัวออกมามันก็ทุกข์ มันมีความรู้สึก ในเมื่อสิ่งที่ในหัวใจมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในหัวใจ เหมือนเชื้อโรคที่ในร่างกายของเรา ถ้าร่างกายเราอ่อนแอ เชื้อโรคมันก็แสดงตัว แล้วถ้ามันมีของแสลง มันมีของที่เข้าไปกระทบกระเทือนมัน มันยิ่งแสดงตัวมากใหญ่เลย

นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อหัวใจมันคลายตัวออกมาจากความสงบ จากความที่มีสติสัมปชัญญะควบคุมมันไว้ เวลาออกมานี่มันสัมผัสได้ พอมันสัมผัสไป สิ่งนี้มันสัมผัส มันก็เห็นกิเลสตัณหา กิเลส “สิ่งนี้มันไม่ใช่” ถ้าไม่ใช่ เวลาเข้าไปสงบ มันอารมณ์ต่างไง อารมณ์ต่างขณะที่เราควบคุมได้ มันก็มีความสงบ ขณะที่มันออกมา เวลามันแสดงตัวขึ้นมา เพราะ ๑. ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรม มันไม่มีเครื่องมือเข้าไปประคอง เข้าไปสัมผัสไง

แต่ถ้ามันมีเครื่องมือเข้าไป สิ่งที่เครื่องมือเข้าไปจะทำลายมัน ในเมื่อธรรมยังไม่เกิด ยังไม่มี เวลามันเสื่อม มันถอยออกมาก็ถอยทั้งหมด เวลาออกมามันเป็นปกติไง เวลาสัมผัสสิ่งใดในเรื่องของโลก เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงแห่งมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร นี่ถ้าเรามีในหัวใจของเรา เราสิ่งที่มันเป็นอวิชชาอยู่ในหัวใจ

สิ่งที่มันไม่สามารถควบคุมได้ “อวิชชา” เห็นไหม พลังงานที่มีอยู่ สิ่งที่รับรู้อยู่ เหมือนกับสถานีที่มันเปิดรับสิ่งต่างๆ อยู่ แล้วสิ่งรูป รส กลิ่น เสียง มันเข้าไปกระทบกระเทือนใจ คนที่ไม่ชอบ ไม่มีจริตนิสัยอำนาจวาสนากับสิ่งนั้นมันก็ไม่ปรารถนา แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนา หรือมีจริตนิสัยชอบสิ่งใด สิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองพอใจ ลองสัมผัสที่ใจสิ มันจะแสดงตัวทันทีเลย สิ่งที่มันแสดงตัวทันทีขึ้นมา นี่กิเลสมันเกิดแล้ว

สิ่งนี้เห็น ถ้าคนเป็นสุภาพบุรุษมันจะเห็นความเป็นไปของใจว่าใจมันกระทบกระเทือนสิ่งใด กระทบกระเทือนสิ่งที่มันมีความพอใจ มันจะแสดงตัวของมันออกมา สิ่งที่แสดงออกมามันก็ฟุ้งออกไป มันก็ควบคุมมันไม่ได้ เพราะธรรมยังไม่มีจะเอาอะไรไปควบคุมมัน สิ่งที่ควบคุมมัน นี้คือกิเลส นี้คือความเร่าร้อนในหัวใจไง

สิ่งที่เร่าร้อนในหัวใจ เขาจะปฏิญาณตน ปฏิญาณขนาดไหนว่าเขาเป็นพระอรหันต์ เขาเป็นสิ่งที่เขาทำนี้เป็นมรรคเป็นผล นั้นเป็นคำพูดของเขา แต่เจ้าชายสิทธัตถะไม่ยอมรับสิ่งนั้น ถึงต้องมาค้นคว้าไง ถ้าค้นคว้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง นี่ปัญญามันเกิด เกิดอย่างไร ความชำระกิเลสชำระอย่างไร ปัญญาจะเกิดขึ้นมา เกิดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งแต่ ๑๐ ชาติ

เวลาสละออกไป พระเวสสันดรสละลูก สละเมีย มันสะเทือนหัวใจขนาดไหน คนที่สละสิ่งที่หวงแหน สิ่งที่รักที่สุด สิ่งที่สงวนรักที่สุด เห็นไหม แก้วแหวนเงินทองโลกเขารักกันเขาชอบกัน แต่เขาก็ยังสละได้ ถึงเวลาพลัดพรากจากกันนี่ต้องตายจากกัน มันก็ต้องพลัดพรากจากกัน เห็นไหม แต่ภรรยา บุตร สิ่งนี้มันสงวนขนาดไหน นี่เกิดตายๆ กันมานะ ในเมื่อปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เกิดตาย สร้างกุศลบุญญาธิการมาด้วยกันนะ สิ่งที่ด้วยกันนี่ความผูกพันของใจมันจะมีผูกพันขนาดไหน

เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เวลาเราถูกใจคู่ครองของเรา ปรารถนาเกิดกันขอให้พบทุกภพทุกชาติ เกิดมาขอให้มีความร่มเย็นเป็นสุขด้วยกัน ขอให้เกิดด้วยกัน นี่สิ่งนี้แรงอธิษฐาน สิ่งที่ปรารถนามันก็เป็นไป สิ่งที่เป็นไปนะ แต่มันอาศัยกรรมนะ ถ้ากรรมทำสมควร สมดุลต่อกัน มันก็จะไปเกิดร่วมกัน การไม่สมดุลต่อกัน กาลเวลาไง

คนเรา คนบางคนชอบอากาศร้อน บางคนชอบอากาศหนาว มันก็เกิดต่างกันแล้ว กาลเวลาก็ต่างกัน สิ่งต่างๆ ก็ต่างกัน การเกิดจะให้พบกันทุกภพทุกชาติมันจะเป็นไปได้หรือ ในเมื่อกรรมมันไม่เสมอกันไง จิตใจไม่เท่ากัน นิ้วคนเรายังไม่เท่ากันเลย แล้วหัวใจความชอบไม่เท่ากัน ความชอบ เจตนา ความรู้สึกอันนี้ชอบไม่ชอบ เข้าไปถึงสะเทือนใจ สิ่งนี้มันเก็บข้อมูลไว้ในใจทั้งหมดล่ะ ใจมันเก็บข้อมูลสิ่งนี้ไว้ รับสิ่งนี้ไว้ เห็นไหม ความหนักเบาของใจมันต่างกัน

เวลาเกิด สิ่งที่ใจเบาก็เกิดสูง สิ่งที่ใจหนักมันก็เกิดต่ำ สิ่งนี้มันทำให้ใจนั้นเกิดตามแต่กรรมที่จะ...ในเมื่อมีกรรม มีแรงขับเคลื่อนอยู่ ยังมีอวิชชาอยู่ จิตต้องเกิดตลอดไป แล้วสิ่งนี้ซับสมมา เวลาพระโพธิสัตว์มันก็ซับสมสิ่งนี้มาไง แล้วต้องผูกพันกันมาขนาดไหน แล้วต้องสละออก นี่เวลาชูชกมาขอ มันเป็นไปตามวัฏฏะ เป็นไปตามพระโพธิสัตว์ที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์มาแล้ว นี่ถึงต้องสละลูก ต้องสละเมีย สิ่งนี้มันสะเทือนหัวใจ สิ่งที่สะเทือนหัวใจ สละชีวิต สละสิ่งต่างๆ มามหาศาลเลย เราสละชีวิตของเรา กับเราสละสิ่งที่เรารักของเรา สะเทือนใจของเรา สิ่งใดมันสละยากกว่ากัน

สิ่งที่สละชีวิต เวลามีเหตุเภทภัยขึ้นมา เราป้องกันภัยให้กับบุตรภรรยาของเราได้ทั้งนั้นล่ะ เราผจญภัย เราสละชีวิตเพื่อได้ทั้งหมดเลย แต่นี้เขาไม่เอา เขาต้องการให้สะเทือนหัวใจไง สิ่งที่สะเทือนหัวใจ ปัญญาเกิดจากไหน? ภาวนามยปัญญาเกิดจากใจ ไม่ใช่เกิดจากสมอง ไม่ใช่เกิดจากสิ่งที่เป็นเรื่องของสถิติทางโลกที่เขาจดจารึกกันไว้ เห็นไหม สิ่งที่เขาจดจารึกกันไว้ เขาก็สิ่งที่เกิดจากมนุษย์ทั้งนั้น เกิดจากสมมุติ เกิดจากการค้นคว้าของสัตว์โลก

แต่ภาวนามยปัญญาเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ต้องมาตรัสรู้นะ สิ่งที่ตรัสรู้ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ๆ ธรรมนี้มีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็จะมาตรัสอันนี้ ทุกข์อันนี้ ปัญญาอันเลิศที่สุด ภาวนามยปัญญา สิ่งที่สูงที่สุดคือสิ่งที่ปัญญาเข้าไปชำระกิเลส สิ่งที่เข้าไปชำระกิเลส มันทำลายกิเลส สิ่งนี้เป็นปัญญารองรับปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่เชื่อสิ่งที่จะชักจูงให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกนอกลู่นอกทางไปกับเจ้าลัทธิต่างๆ

เจ้าลัทธิต่างๆ พยายามจะชักนำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นผู้ที่สั่งสอนอยู่ในสำนักของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธ ปฏิเสธแล้วมาค้นคว้าเอง เพราะสิ่งที่เขาศึกษากัน เขาทำกันมานั้นมันไม่เข้าหลักเข้าเกณฑ์ มันเป็นเครื่องอาศัย เป็นเรื่องของโลก เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ของโลก โลกมาถึงสภาวะแบบนั้นได้ เรื่องกำลังของจิตมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของเขา แต่สิ่งนั้นเป็นไสยศาสตร์ เป็นสิ่งที่เรื่องของโลกเขามีประจำอยู่แล้ว

แต่ถ้าเป็นพุทธศาสน์ล่ะ พุทธศาสน์ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สิ่งที่พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพราะสิ่งนี้มันเป็นหลักของใจ เป็นสิ่งที่เป็นใจตัวที่พาเกิดพาตาย จิตนี้พาเกิดพาตายแล้วสะสมมา สิ่งที่สะสมมา เห็นไหม พระโพธิสัตว์ เวลามีอำนาจวาสนา สิ่งที่สร้างมาอยู่ที่ไหนล่ะ มันก็สร้างมาระหว่างภพชาติ ตั้งแต่พระเวสสันดรออกไป ๑๐ ชาตินั้น แต่ละชาติก็สร้างมา สร้างมาก็สะสมกลับไปที่ความรู้สึกอันนั้นไง เกิดชาติใดก็แล้วแต่ก็มีหัวใจ นั่นน่ะ สละออกไป มันจะสร้างบุญกุศลก็สะสมลงที่ใจ

สิ่งที่สะเทือนใจ ขณะสละออกไป มันเกิดปัญญาไง เกิดอำนาจวาสนา เกิดกรรม กำลังของใจ สิ่งที่จิตที่มันสร้างสมกำลังเข้ามา สิ่งใดรัก สิ่งใดสงวนที่สุด ที่มันสงวนที่สุด รักษาที่สุด ที่หวงแหนที่สุด มันต้องสละออกไป เห็นไหม กำลังมันเกิด นี่พระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีสิ่งนี้รองรับไง พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า มีสิ่งนี้รองรับ ถึงจะเกิดปัญญาอันละเอียดอย่างที่ว่ายอดเยี่ยมอันนั้นได้

ปัญญายอดเยี่ยมสิ่งนั้นเกิดขึ้นมา จิตต้องสงบเข้ามา ถ้าจิตไม่สงบเข้ามา ปัญญาเกิดขนาดไหน เป็นปัญญาของสมมุติของโลกเขา โลกนี่ โลกียปัญญา สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จะสูงส่งขนาดไหน นั้นเป็นเรื่องของโลกเพราะมีตัวตน มันเป็นกำแพงกั้นนะ ตัวตน อุปาทานเป็นกำแพงกั้นไม่ให้เข้าไปถึงตัวจิต สิ่งนี้ออกมาจากจิตแล้วผ่านสมอง แล้วสมองคิดออกไป จินตนาการออกไป นี่อาศัยพลังงานของใจกับสมองที่เรื่องของโลก เพราะเรื่องสิ่งต่างๆ ของโลกที่อาศัยทางโลกนี้เป็นพื้นฐาน แล้วพิสูจน์กัน คือการพยายามค้นคว้ากัน สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลก นี่ปัญญาอย่างนี้ โลกียธรรมอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นมา มันเข้าถึงกับทำลายกิเลสไม่ได้

ถึงต้องทำความสงบของใจ “อานาปานสติ” ทำความสงบของใจเข้ามา ทำลายกำแพงอันนี้เข้ามา ถ้าทำลายกำแพงอันนี้เข้าไป มันจะเข้าไปทำลายหัวใจตัวนั้นไง ทำลายหัวใจ เห็นไหม ขณะที่เข้าทำลายกำแพงสิ่งนี้เข้ามา เพราะกำแพง... “มิติ” มิติของมนุษย์ ๒๔ ชั่วโมง มิติของมนุษย์ก็คิดได้ถึงสิ่งที่เป็นเรื่องของมนุษย์ จินตนาการได้ในขันธ์ ๕ โดยของมนุษย์ สิ่งต่างๆ มนุษย์คิดขนาดไหน จินตนาการขนาดไหน เคยเกิดเคยตาย จากเทวดา อินทร์ พรหม ก็จินตนาการนรกสวรรค์ จินตนาการของมนุษย์ไง สิ่งที่มนุษย์จินตนาการขนาดนั้น นั่นเป็นจินตนาการของมนุษย์ที่เรื่องของปัญญา นี่ทำความสงบเข้ามา ผ่าอันนี้เข้ามา กำแพงอันนี้ที่เป็นสิ่งที่มันกีดกั้น เห็นไหม ถ้าผ่านนี้เข้ามา พอผ่านี้เข้ามา สงบเข้าไปถึงตัวของใจ

ถ้าตัวของใจ เกิดตายชาติหนึ่งก็สิ่งที่เป็นประสบการณ์ของชาติหนึ่ง ชาติหนึ่งเราก็สื่อสารกันในชาติหนึ่ง นี่มัน ๒๔ ชั่วโมงของมนุษย์ แต่เวลาจิตนี้ทำลายกำแพงเข้ามา เข้าไปถึงตัวของใจ จิตสงบเข้าไปถึงตัวของใจ ข้อมูลสิ่งที่สร้างสมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการมาว่า “เราเคยเป็นอย่างนั้น เคยเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่สมัยพระโพธิสัตว์ ตั้งแต่เป็นสัตว์ เป็นกวาง เป็นสิ่งต่างๆ มา” นี่ย้อนกลับเข้าไปถึงตรงนี้ไง

พอย้อนกลับเข้าไปถึงตรงนี้ นี่ข้อมูลสิ่งที่สะสมมา ทุกภพทุกชาติ การกระทำของกรรม สิ่งที่สร้างสมไว้มันต้องสะสมลงมาที่หัวใจนี้ ข้อมูล สัญญาสิ่งต่างๆ แต่ละภพแต่ละชาติ แต่นี้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ นี่มันสะสมเข้ามาตรงนี้

เวลารื้อทำลายกำแพงเข้าไป ย้อนไป พลังงานมันออก พลังงานส่งออกไป ไปอดีต บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนกลับไปอดีตชาติ ตั้งแต่พระเวสสันดรไปถึงที่สุด ไปตลอด ไม่มีต้นไม่มีปลาย...ย้อนกลับ นี่สิ่งนี้เกิดทำลายกำแพงเข้ามาแล้ว สิ่งที่ทำลายกำแพงมาแล้ว มันก็ยัง...นี่ตัวกิเลสตัณหาความทะยานอยากยังปลิ้นปล้อน ยังหลบหลีก “อย่างนี้ไม่ใช่” ย้อนทวนกระแสกลับมาถึงจิต เข้ามาถึงฐานของความคิด ฐานของข้อมูลเดิมนี้ที่ทำลายกำแพงเข้ามาแล้ว นี่ย้อนกลับไป จุตูปปาตญาณก็เหมือนกัน

จนย้อนกลับมาในปัจจุบันไง ในปัจจุบันที่มันละเอียดอ่อนมาก ละเอียดอ่อนที่ว่ามันสมดุลกันถึงที่สุดแล้ว ย้อนกลับเข้าไป ถึงจะเข้าไปเห็นอวิชชาไง ถึงไปเห็นพญามาร มารอยู่ตรงนี้ไง ถ้าทำลายเรือนยอดของมาร ทำลายออก สิ่งที่ว่ามรรคญาณเกิด อาสวักขยญาณ นี่เป็นอาสวักขัย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สะสมมา จิตนี้พาเกิดพาตายมหาศาล ทำลายตรงนี้ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอทำลายกิเลส เห็นไหม เสวยวิมุตติสุข สิ่งนี้ต่างหาก ถึงเวลาออกไปเสวยวิมุตติสุขแล้วออกไปสอนปัญจวัคคีย์ “เธอเคยได้ยินไหม อยู่ด้วยกันมา ๖ ปี ว่าเราสิ้นกิเลส เราเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นพระอรหันต์” ถ้าไม่เป็นความจริงก็ไม่เคยพูด แต่พอเป็นความจริงก็พูดตามความเป็นจริงนั้น แล้วชี้นำตามความเป็นจริงนั้น ธรรมนี้วางไว้ไง

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา เพราะเราพบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงส่ง มีคุณค่ามหาศาล มีคุณค่าสำหรับหัวใจของเรา ไม่มีคุณค่าสำหรับโลก สำหรับโลกเขา สิ่งนี้มันเป็นการชำระกิเลส โลกเขามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เขาต้องมีสิ่งที่ปรนเปรอ ปรนเปรอกิเลสต่างหาก ใครปรนเปรอกิเลสให้ได้มากที่สุด ในโลกธุรกิจต่างๆ ใครปรนเปรอกิเลสขนาดไหน คนนั้นจะมีศักยภาพทางโลก

แต่ถ้าเป็นธรรม นี่เราสละ เราต้องสละออก สิ่งที่สละออกนี้เป็นเรื่องของโลก โลกนี้ทำให้เราติดข้องไปกับมัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ ในเมื่อมันมีเชื้ออยู่ แล้วมันมีสิ่งที่เป็นแสลงกับมันไง มีสิ่งที่ว่ามันเป็นสิ่งที่มันแสวงหา นี้คือเหยื่อของมันนะ ถ้าเราป้อนเหยื่อกิเลสตลอดเวลา เราจะมีความสุขหรือความทุกข์ล่ะ? มันมีความทุกข์แน่นอน สิ่งที่เป็นความทุกข์

ธรรมถึงจะมีประโยชน์กับผู้ที่ปฏิบัติธรรม ธรรมถึงจะมีประโยชน์กับผู้ที่มีอำนาจวาสนา มีจริตนิสัย ต้องมีจริตนิสัยนะ ถ้าไม่มีจริตนิสัย เห็นไหม คนเกิดมาพบพระพุทธศาสนามหาศาลเลย แล้วเกิดมาเป็นชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน นี่ศึกษาธรรม อยู่กับโลกเขา อยู่กับโลกนะ ว่าเราเป็นชาวพุทธ เราทำมาหากิน เราอยู่กับโลก

มีพระ ศึกษา ชาวพุทธ มีพระไว้ทำพิธีกรรมไง ทำบุญต่างๆ เวลาจะตายนะ เวลาจะตาย กลัวว่าจะไม่มีพระสวดมนต์ให้ไง กลัวไม่มีพระบังสุกุล กลัวไม่มีพระสวดอภิธรรมให้ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ในเมื่อเราทำคุณงามความดีมา จะพระสวดหรือไม่มีพระสวด ไม่จำเป็นหรอก ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรานะ การสวดมนต์ การทำบุญกุศลนั้นเป็นบุญกุศล บุญของโลกเขา แล้วก็ติดกันแค่นี้ไง

เราเกิดมาพบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีคุณค่ามหาศาลเลย แล้วเราจะใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อแค่รอสวดตอนเราตายหรือ เราตายแล้วมีพระสวดอภิธรรมให้ เราจะได้เป็นบุญกุศล นี่เราจะอาศัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงเท่านี้หรือ

ถ้าเราไม่เพียงเท่านี้ เราศึกษาธรรมกัน เราปฏิบัติธรรมกัน ทุกคนปรารถนาความสุข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เราก็พยายามทำคุณงามความดีกันไง คุณงามความดีนะ เราทำคุณงามความดี เราประกอบสัมมาอาชีวะทางโลก แล้วเราก็จะออกหาหัวใจ หาบุญกุศลให้หัวใจได้พึ่งพาอาศัย นี่ศึกษาธรรม ประพฤติปฏิบัติธรรมกัน ถ้าประพฤติปฏิบัติธรรมทางไหนล่ะ?

การศึกษานะ เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าประเสริฐและสุดยอดมากนี่อยู่ในพระไตรปิฎก ธรรมและวินัย “ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งกับพระอานนท์ไว้ พระอานนท์สงสัย พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน สงสัยว่า ธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามาแสนยากนี่ มันจะมีกาลมีเวลาไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่มีกาล ไม่มีเวลา”

ไม่มีกาลนะ “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย” ไม่ว่างนะ เพียงแต่หัวใจเรามันเสื่อมทรามต่างหากล่ะ นี่ต่อไปคนจะเชื่อขนาดไหน เห็นแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ทางโลกนี้ นี่เป็นธรรม ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เอามลทิน เอากิเลสตัณหาความทะยานอยากเข้าไปศึกษา แล้วบอกธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมจากพระโอษฐ์ด้วยนะ ออกมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาออกมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาเราศึกษาเข้าไป อวิชชาเราก็มี อวิชชานะ มันไม่รู้สึกตัวมันเองเลย มันไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันก็กล่าวตู่ว่าสิ่งนี้เราเข้าใจ สิ่งนี้นี่ธรรมออกมาจากพระโอษฐ์นะ ธรรมต้องเชื่อนะ

เชื่อได้อย่างไร ในเมื่อกิเลสตัณหาความทะยานอยากของผู้ที่จดจารึกมันบิดเบือนน่ะ ถ้ามันบิดเบือน เห็นไหม น้ำไหลตามท่อ แล้วเราไปปิดก๊อก เราไปบิดเบือนให้น้ำไหลออกไปต่างนอกกระแสน้ำนั้น ถึงบอกว่า ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ปล่อยวางให้หมด อิทปฺปจฺจยตา สิ่งนี้มีถึงมีสิ่งนี้ ถ้าไม่มีพื้นฐานมันก็ไม่มีอะไรเลย มันก็เหมือนกับน้ำ เราสาดน้ำลงไป น้ำเราเก็บไว้มันจะระเหยไป เราสาดไปในที่แห้ง มันจะซึมซับหายไปหมดเลย หัวใจเป็นอย่างนั้นหรือ ในเมื่อถ้าเราปล่อยวางให้หมด เราปล่อยวาง เราปล่อยไป ปล่อยให้ไม่มีสิ่งสืบต่อ แล้วมันจะปล่อยวางไป ว่างไปๆ นี้เป็นนิพพาน

เป็นนิพพานได้อย่างไร น้ำระเหยไป แต่หัวใจมันเป็นน้ำใจ “ใจ” น้ำเราเก็บไว้เครื่องสุญญากาศ เวลามันระเหย มันก็วนอยู่ในสุญญากาศนั้น จิตนี้ก็เหมือนกัน มันไม่เหมือนน้ำที่สาดออกไปในอากาศแล้วมันระเหยออกไปในอากาศ พอระเหยออกไปในอากาศมันก็วนเวียนกลับไปในธรรมชาตินั้นเหมือนกัน จิตนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อถ้าเราปล่อยวาง ปล่อยไปทั้งหมด ปล่อยนะ ปล่อยให้มันว่างไป มันจะเป็นธรรมมาจากไหน นี่แล้วยังมีความเข้าใจนะ

ถ้ามีความเห็นผิดจากใจ ทำไมพระป่าต้องปฏิบัติกันรุนแรงนัก ทำไมพระป่าต้องทำกันแบบตามครูบาอาจารย์ที่ต้องถือธุดงควัตร ทำไมต้องทำให้ตนเดือดร้อนเปล่า ทำไมต้องทำกันขนาดนั้น ทำตามสบายๆ ทำตามปล่อยความสืบต่อไง สิ่งนี้ไม่มีก็ไม่มีสิ่งนี้ มันไม่มีไปจากไหน ในเมื่อมันปฏิเสธว่ามันไม่มี แล้วธาตุรู้มันมาจากไหน นี่ผู้ที่ไม่เคยทำสัมมาสมาธิ ผู้ที่ไม่เคยทำความสงบของใจจะไม่เข้าใจเรื่องของใจ ถ้าไม่เข้าใจเรื่องของใจ ใจเท่านั้นเป็นสิ่งที่สัมผัสธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราศึกษาด้วยสมอง ด้วยสัญญา ด้วยขันธ์ ไม่ใช่ศึกษาด้วยใจ ถ้าศึกษาด้วยใจ ต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าจิตสงบเข้ามามันเห็นอาการของใจต่างๆ เห็นอาการสงบจากขันธ์ ๕ เข้ามา แล้วมาถึงความสงบ นี้มันจะเห็นความต่าง ถ้าความต่างคือตัวความรู้สึกอันนี้ต่างหาก ตัวความรู้สึก ใจที่สัมผัสอันนี้มันถึงเป็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงในภาคปฏิบัติไง

แต่ถ้าเป็นสุตมยปัญญา การศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นปริยัติ สิ่งที่เป็นปริยัตินะ ศึกษาธรรม ศึกษาคือการอ่านแผนที่ การเอาแผนที่มาศึกษา อ่านแผนที่ ซีรอกซ์สิ่งนั้นออกมา ถ้าออกมาในหัวใจนี่มันเป็นสัญญาทั้งหมด แต่มันมีอวิชชาในหัวใจของเรา

ถ้าอวิชชาในหัวใจของเรา มันอยู่ที่การตีความไง ถ้าตีความ คนตีความธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าคนแบบเถรตรงนะ เถรตรง พยายามประพฤติปฏิบัติ พยายามประพฤติปฏิบัติธรรมตามสิ่งที่เราศึกษามาจากพระไตรปิฎก เห็นไหม เราเถรตรง เราพยายามให้ตรงกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันปฏิบัติไป ไปไม่รอดหรอก

เวลาอุปัชฌาย์บวชพระภิกษุบวชใหม่ เวลาให้กรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เห็นไหม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จะทำอย่างไร จะต่อสู้อย่างไร จะทำอย่างไรให้ทำลายสิ่งนี้ให้มันทะลุเข้าไปถึงหัวใจให้ได้ ให้หัวใจพิจารณามันปล่อยวางอย่างไร

แต่ถ้าเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ศึกษาแล้วเถรตรง คิดไปสภาวะแบบนั้นไง การประพฤติปฏิบัติอย่างนี้มันก็เป็นการประพฤติปฏิบัติแบบสุตมยปัญญา มันจะทำให้เป็นการเถรตรงไปอย่างนั้น ถ้าเราเถรตรงขนาดไหนแล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัตินะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีครูไม่มีอาจารย์ก็พยายามประพฤติปฏิบัติไปตามความเห็นของตัว ถ้าความเห็นของตัว ตัวมีกิเลสเต็มหัวใจ ในเมื่อเรามีกิเลสเต็มหัวใจ เราจะไปตีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจ เป็นไปไม่ได้

สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมันมีความเห็นต่าง ถ้าความเห็นต่างของหัวใจเรา ศึกษาไปขนาดไหน มันศึกษามามันมีแต่ความลังเลสงสัยนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้อย่างนี้ ให้สัมโพชฌงค์ ให้ธรรมวิจัย เราก็วิจัย เราก็ใช้ปัญญาของเรา ปัญญาของเราคิดใคร่ครวญของเรา แล้วเถรตรงด้วยนะ นี่คือปัญญาแล้ว ในพระไตรปิฎกบอกว่าให้ธรรมวิจัย ใช้ธรรมนี่วิจัย เราก็วิจัยแล้ว เราก็ใช้ความคิดแล้ว ความคิดนี้เป็นธรรมแล้ว

เป็นธรรมของเราไง เป็นธรรมของความเถรตรงของกิเลส กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันยึดมั่นถือมั่นตัวมันเอง ยึดมั่นถือมั่นตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกๆ อย่าง แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปข่มขี่ให้ความเห็นของตัวเหนือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดอยู่แล้ว แต่มันเอากิเลสตัณหาความทะยานอยากของมันเข้าไปตีความแล้วก็ไปเถรตรงกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในหัวใจของเรา เราจะไม่เข้าใจกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเราเลย เราเข้าใจว่าเป็นธรรมเพราะเราศึกษาธรรม เราศึกษาธรรมจากธรรมวินัย จากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็ตีความตามแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันเถรตรงไปกับธรรมอันนั้นไง ถ้ามันตีความไปตัณหาทะยานอยาก ไปกับธรรมอันนั้น มันก็ตีความไปโดยกิเลส แล้วมันจะเข้าไปในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นไปไม่ได้

สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็เข้าใจเอาว่า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดกาล หมดเวลา เห็นไหม “หมดกาลแล้ว หมดเวลาแล้ว เราประพฤติปฏิบัติขนาดนี้ เราทำขนาดนี้ เรายังเข้าใจไม่ได้ เรายังรู้ไม่ได้ ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติให้รู้จริงเห็นจริงไม่มีแล้ว ไม่มีแล้ว หมดกาล หมดเวลาไง”

หมดไปไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรมโดยสัจจะความจริงตั้งแต่สุตมยปัญญา ศึกษาแผนที่เครื่องดำเนินแล้วปล่อยวางมัน แล้วใช้วิปัสสนา ใช้ความสงบ จินตมยปัญญาเข้ามา แล้วมันจะเป็นภาวนามยปัญญาเข้าไป แล้วสิ่งใดมันเป็นสุตมยปัญญาล่ะ แล้วตรงไหนมันเป็นจินตมยปัญญาล่ะ แล้วตรงไหนมันเป็นภาวนามยปัญญาล่ะ มันก็เกิดความลังเลสงสัย

ถึงประพฤติปฏิบัติ ศึกษาธรรมกันนะ ประพฤติปฏิบัติธรรม ทั้งๆ ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราเกิดมาพบธรรมของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราพยายามค้นคว้ากันด้วยบุญญาธิการของพวกเรานะ ของสาวก-สาวกะที่ค้นคว้ากัน ถึงที่สุดก็ต้องวิจัยกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกใช้ปัญญา ก็ใช้ปัญญากัน ใช้ปัญญาเคลื่อนไหวโดยปัญญา สิ่งนี้เป็นปัญญา สิ่งที่ใคร่ครวญ

นี่ตีคำว่า “ปัญญา” มันตีคำว่า ปัญญาของใคร? ปัญญาของกิเลสพาใช้ก็ไม่เข้าใจว่าปัญญาของกิเลสพาใช้นะ ถ้าเราใช้ปัญญาของกิเลส แต่เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นมนุษย์ เราเป็นผู้ที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเป็นผู้ที่มีบุญ เราเกิดมาแล้วเราพบครูบาอาจารย์ ถ้าเราพบครู พบครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะพาเราประพฤติปฏิบัติ นี่มีคนชี้ช่องทาง มีคนชี้นำ ถ้าเราเจอครูเจออาจารย์ แล้วเราเชื่อครูเชื่ออาจารย์ของเรา ผู้ที่บุกเบิกไง บุกเบิกนะ

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๕,๐๐๐ ปี ผู้ใดเกิดมาใน ๕,๐๐๐ ปีแล้วประพฤติปฏิบัติ สาวกะทั้งนั้น สาวกสาวกะผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ขนาดสาวก เราเกิดมามีบุญขนาดนี้ เราเห็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบไว้กันทุกวันนะ ตู้พระไตรปิฎกนี่กราบไหว้กันทุกวัน ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ เราจะพ้นจากทุกข์

แล้วถามตัวเองว่าทุกข์ไหม ถามตัวเองนะ ข้าวของเงินทองจะมีขนาดไหน ถามตัวเอง ทุกข์ไหม ทุกข์จนเข็ญใจก็ถามตัวเองว่าทุกข์ไหม คนทุกข์จนเข็ญใจมันจะทุกข์เพราะว่าต้องแสวงหาการดำรงชีวิตด้วย แต่คนที่มั่งมีศรีสุขมันไม่ต้องแสวงหา แต่มันก็ทุกข์เพราะมันมีสมบัติมาก มันจะรักษาอย่างไรไง มันมีความทุกข์ต่างกัน สิ่งที่ความทุกข์นี้มันเป็นเรื่องสัจจะความจริง แล้วเวลาถึงที่สุดแล้วเราต้องตายไป เราต้องพลัดพรากจากชีวิตนี้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่าหวงแหนไหม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราสู้กับความตายด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสได้ไหม นี่มันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น สิ่งที่เป็นความทุกข์ต่อหน้าเรานี่ เราจะแก้ไขอย่างไร

สิ่งนี้เก็บไว้ในหัวใจ ซ่อนเร้นไว้ในหัวใจ แล้วก็ไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ปล่อยวางๆ เราก็ปล่อยวางหมดแล้ว เข้าใจ นี่ไปตื่นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วว่าสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของเรา ทั้งๆ ที่สิ่งที่เราซ่อนเร้นไว้ในหัวใจมันเป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นกาลเวลา ถ้าเราไม่ศึกษา เราไม่ประพฤติปฏิบัตินะ วันคืนล่วงไปๆ จะปฏิเสธไม่ปฏิเสธ เราถึงเวลา ถึงกรรมให้ผลแล้วเราต้องพลัดพรากจากชีวิตนี้แน่นอน ชีวิตนี้ต้องพลัดพรากเป็นที่สุด เราจะสู้ เราจะเผชิญหน้ากับมัน หรือจะหลบหลีกมันขนาดไหน มันก็เป็นไปตามอำนาจของมัน

แต่ถ้าเราเชื่อครูเชื่ออาจารย์ นี่สุตมยปัญญา การศึกษานั่นวางไว้ วางไว้นะ แล้วเราค้นคว้าของเรา ค้นคว้าสิ่งที่ว่ามันกลัวเป็นกลัวตายนี่ ย้อนกลับมาที่ตัวเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่เป็นคุณค่ามหาศาล ถ้าไม่มีสิ่งนี้เป็นเครื่องเทียบเคียง ใครจะมีความรู้สิ่งต่างๆ ที่เข้ามาเป็นปัจจัตตังในหัวใจได้ เป็นปัจจัตตังนะ กิเลสท่วมหัวใจ สิ่งต่างๆ ล้นหัวใจ มันก็ว่าเป็นปัจจัตตังของมัน เพราะมันปฏิเสธ มันปฏิเสธว่า “สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้มีความว่าง สิ่งนี้มีความสุข สิ่งนี้ปล่อยวาง สิ่งนี้คือนิพพาน”

ปฏิเสธไปขนาดไหน ถ้าลมหายใจขาดมันจะรู้จากใจว่ามันไปจุติที่ไหน มันไปเกิดที่ไหน มันจะเห็นตามความเป็นจริงของมันไง สิ่งนี้มหัศจรรย์ เพราะใจมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ มันถึงเข้าคุณค่ากับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ไง สิ่งที่มันเป็นสิ่งที่เป็นคุณค่ามหัศจรรย์ เพราะมันต้องมีการกระทำ เพราะมันต้องมีการค้นคว้า

ถ้าไม่มีการกระทำ ไม่มีการค้นคว้า มันจะสิ้นกิเลสไปได้อย่างไร ในเมื่อศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมันปล่อยวางไปตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปตื่นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเอาสิ่งที่เป็นอวิชชา สิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยากซุกไว้ในหัวใจนะ

แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนา ครูบาอาจารย์ของเรานี่พาบุกเบิก ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติพาบุกเบิกขึ้นมาก่อน มันมีเหตุมีผล นักกีฬานะ นักกีฬาเขาจะเล่นกีฬา อย่างเรานี่ เราเห็นเขาเป็นแชมป์โลกกัน เขาเป็นนักกีฬากัน เราก็อยากจะเป็นแชมป์โลก เพราะเรามีชื่อเสียง มีศักยภาพ ทุกคนจะให้คนนับหน้าถือตา เราอยากจะเป็นแชมป์โลก ในปัจจุบันอย่างนี้เราจะขึ้นไปเป็นแชมป์โลกได้ไหม? เป็นไปไม่ได้เลย เป็นไปไม่ได้เพราะอะไร

เพราะกว่าจะเป็นแชมป์โลกได้ เขาต้องมีทักษะของเขาในการแข่งขันกีฬามาแล้วมากมายมหาศาลจนยกระดับของเขาขึ้นไปถึงกับแข่งขันถึงเป็นแชมป์โลกได้ แล้วเราไม่มีทักษะสิ่งใดเลย เราจะขึ้นไปถึงเป็นแชมป์โลก เราจะทำอย่างไร

สิ่งที่เป็นแชมป์โลก เห็นไหม เริ่มต้นเราต้องสร้างก่อน สิ่งที่เป็นแชมป์โลก กิเลสมันเป็นแชมป์โลก มันล้มล้างทุกอย่างอยู่ในโลกของมัน อยู่ในอำนาจของมัน พญามารอยู่ในหัวใจของเรา ถ้าเราจะต่อสู้กับมัน แล้วเราเป็นนักกีฬาที่เป็นนักกีฬาเพื่อสุขภาพไง เขาเล่นกีฬากันเพื่อสุขภาพ เพื่อจะให้ร่างกายแข็งแรง เพื่อพ้นจากทุกข์โรคภัยไข้เจ็บ ไอ้นี่มันเป็นสมัครเล่น เป็นสิ่งที่ว่าเป็นเพื่อสุขภาพ

สิ่งที่สุขภาพ เห็นไหม ที่เราเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ แล้วเอานักกีฬาเพื่อสุขภาพนี่ไปลงแข่งขันกับแชมป์โลก มันมีโอกาสสู้กันไหม? มันเป็นไปไม่ได้เลย สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันต่างกันทุกอย่าง ต่างกันทั้งกำลัง ต่างกันทั้งแชมป์ ต่างกันทั้งนักกีฬาที่เล่นต่างกัน เห็นไหม ถ้าเราจะทำอย่างนั้น เราจะขึ้นไปหากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจได้อย่างไร

ถึงต้องมีความเชื่อในครูอาจารย์ ถ้าความเชื่อในครูอาจารย์ เห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัติมันจะเข้าทางไง ถ้ามันเข้าทางนะ ครูบาอาจารย์จะสอนให้ทำความสงบของใจก่อน สิ่งที่ทำความสงบของใจ เพราะเรื่องของโลก นี่โลกียปัญญา เราใช้ปัญญาขนาดไหน สิ่งที่โลกเขามีความเห็นผิด ความเห็นผิดเรื่องของโลก โลกเป็นใหญ่ เห็นไหม ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาอย่างที่ใช้อย่างนี้ นี่คือปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งต่างๆ โลกนี้ต้องต่อสู้กันด้วยปัญญา คนที่ชำระกิเลสก็ต้องมีปัญญา ปัญญาอย่างนี้ปัญญากิเลสพาใช้ไง ถ้าปัญญากิเลสพาใช้ สิ่งนี้มันมีอยู่ในทุกๆ คน ในสัตว์โลกเกิดมาต้องมีปัญญาอยู่แล้ว มีสมองอยู่แล้ว มีความคิดอยู่แล้ว

มีอำนาจวาสนา เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมีอำนาจวาสนาออกประพฤติปฏิบัติ มันก็ต้องมีปัญญาโดยธรรมชาติของมัน ถ้าไม่มีปัญญานี่เราจะแบ่งแยก เราจะชักนำให้ชีวิตของเราให้สนใจในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะมันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมเห็นไหม

ว่าเกิดตาย เกิดแล้วต้องตาย ตายแล้วต้องเกิด ทุกอย่างต้องเป็นไป สิ่งที่เป็นไปตามกรรม เห็นไหม แต่เกิดมานี้ ถ้าเราทำด้วยบุญกุศลของเรา เราเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา แล้วเราย้อนกลับเข้ามาทำลายกิเลสได้ เกิดชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้าย จะไม่ต้องเกิดอีกเลย แต่การตายนี้ต้องตายแน่นอน จิตนี้อยู่ในหัวใจของเรา ถ้าเราชำระกิเลสแล้ว แต่ร่างกายมันสะอาดไปได้ไหมล่ะ? ร่างกายมันเป็นสิ่งโสโครกโดยธรรมชาติของมัน มันต้องสละออกไป

ถ้าสิ่งนี้สละออกไป ถึงย้อนกลับมา ถ้าย้อนกลับมา เห็นไหม เราไม่ใช่นักกีฬาเพื่อสุขภาพ เราไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อสุขภาพจิตไง ถ้าเราปฏิบัติเพื่อสุขภาพ เพื่อทำความสงบของใจ กำหนดพุทโธๆ เพื่อความสงบ อันนี้เป็นเรื่องของแค่ปฏิบัติเพื่อสุขภาพจิตไง ให้เกิดมาแล้วประพฤติปฏิบัติ แก่แล้วนอนหลับ ถ้ามีความเครียดแล้วนอนไม่หลับ ก็ทำแค่เพื่อสุขภาพ

แต่ถ้าเราจะเป็นนักกีฬา เราจะชำระกิเลส เราต้องพยายามทำจิตของเราให้สงบเข้ามาให้ได้ ถ้าจิตสงบเข้ามาให้ได้ เห็นไหม มันต้องทำลายกำแพง กำแพงสิ่งที่ปิดข้อมูลในหัวใจนั้นน่ะ ถ้าเราทำกำแพงสิ่งนี้ได้ เราทะลุ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าเราทำลาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความที่มันฟุ้งซ่านออกไป สิ่งนี้ถ้าเรามีกิเลสตัณหาในหัวใจเต็มในปกติของปุถุชน นี่ขันธ์ ๕ นี้เป็นมาร “ขันธมาร” มันเป็นมาร นี่อยากได้สิ่งใด พอใจสิ่งใด มันก็เพิ่มเติม ย้ำคิดย้ำทำ ต้องการสิ่งนั้น แสวงหาสิ่งนั้น ทำให้เราต้องออกแสวงหาตามแต่อำนาจ ตามแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันต้องการ เห็นไหม ถ้าเราเป็นปุถุชน สิ่งที่ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้มันจะเป็นมาร นี่ขันธมาร สิ่งที่เป็นขันธมารมันเป็นมารอยู่แล้ว มันควบคุมใจเราอยู่แล้ว มันต้องแสวงหาเหยื่อมาเพื่อป้อนมัน เพื่อให้มันอิ่มหมีพีมันในหัวใจของเรา

แต่ถ้าเราพยายามใคร่ครวญ สิ่งนี้เรามีปัญญา เพราะเราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อครูบาอาจารย์ของเราว่า ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาพยายามทำลายกำแพงอันนี้เข้ามาให้ได้ จะต้องมีสติ ถ้ามีสติ เห็นไหม นี่การควบคุมใจ แล้วสิ่งที่มีสติพร้อมกับความคิด คิดขนาดไหน มันต้องมีความคิด ความคิดโดยธรรมชาติที่ว่าเราให้มันคิดออกมา เพราะมันมีแรงขับอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อยู่ในหัวใจนี่ อวิชชา พลังงานตัวนี้ พลังงานโดยไม่รู้สึกตัวของมัน มันต้องขับเคลื่อนตลอดเวลา สิ่งที่ขับเคลื่อนนี้มันต้องขับเคลื่อนผ่านขันธ์ สิ่งที่ผ่านขันธ์ออกมามันก็เป็นอารมณ์ความรู้สึกออกมายึดข้างนอก

ถ้าเราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ใช้สติควบคุมมัน เราย้อนมันกลับไง สิ่งที่ย้อนมันกลับ ถ้าย้อนกลับมีสติพร้อมเข้ามา ปัญญาคิดขนาดไหน สิ่งที่คิดนี้ เห็นไหม เราเกิดมาทุกภพทุกชาติ เราไม่ได้เกิดมาชาตินี้ชาติเดียวหรอก สิ่งที่โลกนี้เขามีความสุข เขามีความพอใจกันอยู่ มันก็มีสุขอยู่แค่นี้ ทุกคนได้สัมผัส

เศรษฐี มหาเศรษฐีเขาก็ใช้ชีวิตของเขา เขาสัมผัสเรื่องความสุขทางโลก เขาซื้อ เขาต้องการแสวงหาสิ่งที่เป็นสุขของเขา เขาหาของเขาทั้งนั้นน่ะ เขาทำบุญกุศลเพื่อบุญกุศลของเขา เขาสละทานของเขาเพื่อความสุขในหัวใจของเขา สิ่งนี้มันเป็นอามิสทั้งหมด จะทำให้ใจดวงนี้เกิดตลอดไป ทำเรื่องแสวงหาสุขทางโลกก็เป็นเรื่องของโลก แสวงหาสุขทางธรรมก็เป็นสุขทางธรรมที่มันแสวงหาโดยอามิส

แต่ถ้าเรามีปัญญาของเรา เราผ่านขั้นตอนสิ่งที่ประพฤติปฏิบัติ เรื่องของโลก สิ่งที่โลกทำบุญทำกุศลก็เรื่องของโลก โลกหมุนไปตามวัฏฏะ นี่เราพบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าเป็นชาวพุทธที่ทะเบียนบ้านก็แค่ให้ในศาสนาของเรานี้เป็นแค่พิธีกรรม เพื่อจะให้ชีวิตของเขาจบชีวิตนี้ไปโดยเป็นชาวพุทธโดยสมบูรณ์

ตั้งแต่เกิดก็ทำบุญ ทำบุญวันเกิด ทำบุญสิ่งต่างๆ ขึ้นมา แต่แล้วพอมีอำนาจวาสนาขึ้นมาก็ทำบุญ ทำบุญเพื่อจะให้หัวใจนี้มีบุญกุศลเป็นเครื่องอำนวยความสะดวก ถ้าเราศึกษาเข้าไป ศึกษาเข้าไปถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีหลักมีเกณฑ์นะ ถ้าเราเชื่อ เราเป็นคนที่มีศักยภาพ เราเป็นผู้ที่มีปัญญา เราจะเชื่อใจของเรา เราจะมีความเถรตรงกับอวิชชา เถรตรงกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วตีความจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก จากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเถรตรงไป เป็นกรอบ

สิ่งที่เป็นกรอบอย่างนั้น นี่กิเลสเอากรอบอย่างนี้ไปคำนวณธรรมอย่างนี้ เราจะอยู่ในกรอบอย่างนั้น นี่กรอบของกิเลส กรอบของอวิชชา กรอบของตัณหาความทะยานอยาก แล้วตีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะทะลุกรอบอันนี้ไปไม่ได้ มันจะชำระกิเลสไม่ได้ เห็นไหม เราก็จะไม่มีโอกาส เราก็ต้องเกิดตายๆ ไปในวัฏฏะนี้ เพราะเราไม่มีโอกาสเลย

แต่ถ้าเราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเชื่อครูบาอาจารย์ ต้องทำลายกรอบ ทำลายกำแพงอันนี้เข้ามา ปัญญามันเกิดขนาดไหนก็ใคร่ครวญเข้ามาๆ ใคร่ครวญสิ่งนี้ มีสติสัมปชัญญะพร้อมเข้ามา มันจะทำลาย ทำลายสิ่งที่ว่าออกไปหาเหยื่อนะ เพราะสิ่งที่เป็นเหยื่อมันให้ผลอะไรกับหัวใจดวงนี้

ในเมื่อออกไป รูป รส กลิ่น เสียง นี่มันบ่วงของมาร มันเติมเหยื่อให้มาร มันเติมเหยื่อให้หัวใจมีแต่ความฟุ้งซ่าน มีแต่ความทุกข์ในหัวใจตลอด แล้วเราคิดมา เราหลงกลมัน เราหลงกลให้สิ่งนี้จูงจมูกมานี่กี่ภพกี่ชาติ ทำไมไม่เศร้าใจ ทำไมไม่รู้จักหัวใจ เห็นไหม นี่มันเห็นเข้ามา มันจะสลดสังเวช

สลดสังเวชว่า เราเห็นว่าคนอื่นเป็นภัย เห็นว่าวัฏฏะเป็นภัย เห็นต่างๆ เป็นภัย เวลาศึกษาธรรม ทุกอย่างเป็นภัยๆ...ไม่คิดเลยว่าความคิดเรานี่เป็นภัย ว่า “ปัญญาๆ ปัญญาจะฆ่ากิเลส ปัญญาจะพาให้เราพ้นจากกิเลส” ก็ปัญญาเรานี่เป็นภัย ปัญญาเรามันทำให้เราฟุ้งซ่านอยู่นี่ เราทำไมไม่สงบเข้ามาล่ะ ถึงต้องมีสติไง สติควบคุมมัน ควบคุมไปเรื่อยๆ ธรรมออกไป ใคร่ครวญไป

สิ่งที่ว่าเป็นปัญญาๆ ปัญญาของกิเลสพาใช้ มันทำให้เราล้มลุกคลุกคลานไปตลอด ตลอดตั้งแต่ในวัฏฏะนี้นะ บุญกุศลขนาดไหนมันก็หมุนไป เพราะเราไม่ได้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ ถ้าพยากรณ์แล้วกลับไม่ได้ มันต้องเป็นไปข้างหน้า ต้องล้มลุกคลุกคลานไปขนาดไหน เพื่อบุญกุศลของเรา

แต่สิ่งนี้เราจะเกิดจะตายไปไหนไม่มีต้นไม่มีปลายนะ ถ้าระดับเราที่เรายังประพฤติปฏิบัติ ยังไม่เห็นธรรม ถ้าเห็นธรรม มันจะไม่มีต้นไม่มีปลาย ทั้งๆ ที่พบศาสนา พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัย พบครูบาอาจารย์ที่ชี้นำอยู่แล้ว นี่ถึงมีสติควบคุมสิ่งนี้เข้ามา ปล่อยวางเข้ามาๆ

ปัญญาที่เป็นพิษเป็นภัยก็มี ปัญญาที่กิเลสพาใช้นี่ แล้วปัญญาที่เป็นธรรมก็มี ถ้าเชื่อครูเชื่ออาจารย์ ถ้าเรามีสัทธาจริต เราเชื่อมั่น เรากำหนดพุทโธๆ สิ่งนี้เราไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อสุขภาพ สิ่งนี้เราปฏิบัติเพื่อเราจะล้มแชมป์ ล้มกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ เราต้องพัฒนาทักษะหนึ่ง เราต้องเพิ่มกำลังของร่างกายเราหนึ่ง ร่างกายที่เขาขึ้นไปแข่งขันกัน เห็นไหม คนที่มีกำลังมากกว่าเขาเสียดสี เสียดสีจนข้าศึกคู่ต่อสู้สู้เขาไม่ได้นะ

นี้กิเลสมันมีกำลังมหาศาล กิเลสที่เป็นนามธรรมนี่มันลึกลับมหัศจรรย์ มันอยู่ในหัวใจของเรา มันมีกำลังของมันมาก มันทำให้เราล้มลุกคลุกคลานนะ เวลาประพฤติปฏิบัติไป “อำนาจวาสนาของเราไม่มี เราปฏิบัติไปจะไม่ได้ผล ครูบาอาจารย์ท่านก็ปฏิบัติของท่าน หน้าที่การปฏิบัติมันเป็นเรื่องของนักบวช ไม่ใช่เรื่องของเรา”

เวลาเราจะทำคุณงามความดี ทำไมมันทำให้เราน้อยเนื้อต่ำใจ เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันต้องการนะ เวลาโกรธ เวลาไม่พอใจสิ่งใด มันเติมไฟเข้าไปนะ มันไม่เคยยับยั้งเลย มันไม่เคยต่อต้านว่า “สิ่งนี้ไม่ดีนะ อย่าคิด อย่าโกรธเขานะ” ไม่เคยบอก เวลาโกรธใครขึ้นมานี่มันใส่ฟืนใส่ไฟ ไปถึงที่สุดแล้ว โกรธจนพอใจแล้ว นี่สะใจ เพราะอยากว่าเรา มันยังตามมากระทืบซ้ำอีกนะ นี่กิเลสมันเป็นอย่างนั้น มันกระทืบจนขนาดที่ว่าเราก็ล้มลุกคลุกคลาน แต่ไม่รู้ตัว “สิ่งนี้เป็นศักยภาพ เรามีอำนาจวาสนา เขากลัวเรา เขายอมอยู่ในอำนาจของเรา” นี่กิเลสมันอยากใหญ่ กิเลสมันเบียดเบียนตนก่อนนะ มันเบียดเบียนหัวใจอยู่ในอำนาจของมัน เราไม่รู้ตัวเลย แล้วเรายังหลงมันไป

แต่ถ้ามีสติแล้วเราควบคุมมันเข้ามา สิ่งนี้ให้โทษมาตลอดเลย มันสลด มันสังเวชนะ สังเวชความคิดเรานี่ “ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมเรานี่หลงตัวเองขนาดนี้ ความคิดทำไมมันทำลายเราขนาดนี้” ทำลายเรานะ ไม่ได้ทำลายใครเลย ทำลายเราให้ไม่มีโอกาสได้เพิ่มทักษะ ได้เพิ่มกำลังขึ้นมาให้มีกำลังขึ้นมาที่เราจะลงไปแข่งขัน ลงไปแข่งขันนะ ถ้าธรรมเกิด ลงไปแข่งขันกับกิเลสตัณหา คือลงไปทำลายกิเลส นี่ถ้าเราทำความสงบเข้ามามันถึงจะมีโอกาสไง

การประพฤติปฏิบัติ ถึงว่า ถ้าอยู่ในกรอบของกิเลสนะ “ปล่อยวาง อย่างนี้ก็เป็นธรรมแล้ว ปล่อยวาง” คิดตามกรอบไง “ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ว่าง ปล่อยวางหมดเลย มันก็ว่าง มันก็ปล่อยวาง นี่นิพพาน” ติดกันอยู่อย่างนั้นนะ สิ่งนี้พากันติดพันไป แล้วเป็นสังคมที่ยอมรับกัน เพราะสังคมเชื่อกันอย่างนั้น

เชื่อไง เพราะ ว่าสิ่งนี้เป็นปัญญาๆ แต่ถ้าเวลาครูบาอาจารย์ของเราพูดนะ มันเป็นสิ่งที่ว่าโลกเขาไม่ค่อยเชื่อฟังกัน เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันลึกเกินไป มันลำบากเกินไป มันต้องทำแบบทุ่มทั้งความมุมานะของเรา ต้องทุ่มกำลังมหาศาลเพื่อจะเข้าไปไง “ทำไมมันทำมันทุกข์ยากขนาดนี้ ทำไมมันต้องทำขนาดนี้” มันทุกข์ยากสิ เพราะอะไร

เพราะการเกิดและการตาย เวลาไปเกิดในครรภ์ของมารดา นั่งขดอยู่ ๙ เดือน มันทุกข์กว่านี้อีก ความทุกข์อย่างนั้น แล้วความเจ็บปวดแสบร้อนของใจที่เกิดตายๆ มันมีน้ำหนักมหาศาลเลย ถ้าเราเอามาคำนวณนะ แต่เราไม่คิด

ว่า “สิ่งนี้เป็นธรรมชาติ คนก็เกิดมาอย่างนี้ แล้วก็ต้องตายไปอย่างนี้เป็นธรรมชาติ แล้วตายแล้วก็แล้วกัน” มันจะแล้วกันมาจากไหน ในเมื่อสิ่งที่ว่ามันพิสูจน์กันได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติเรานี่ ถ้าเราย้อนกลับเข้ามาในหัวใจ เราถึงมีกำลังใจไง มันจะทุกข์มันจะยากขนาดไหน ทุกข์ยากนะ ทุกข์ยากเพื่อจะพ้นจากกิเลส ทุกข์ยากเพื่อจะไม่ต้องกลับมาทุกข์อีกไง

แต่ถ้าเราจะทำสบายๆ นี่กิเลสมันหลอก หลอกให้เราต้องไปทุกข์ยากกับมันนะ สิ่งที่ทุกข์ยากกับมัน มันก็ทำให้เราวนไป นี่กิเลสมันหลอกนะ แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติ นี่ย้อนกลับมา ย้อนกลับมา จนมีหลักมีเกณฑ์ จิตใจเราพัฒนาขึ้นมา ถ้าพัฒนานี่มันจะเข้ามา ตัดรูป รส กลิ่น เสียง สิ่งที่เบียดเบียนตนก่อน ตัดรูป รส กลิ่น เสียงที่เบียดเบียนตนเข้ามา เพราะใคร?

เพราะมีครูมีอาจารย์คอยชี้นำ ถ้าไม่มีครูไม่มีอาจารย์คอยชี้นำ เราก็จะสวมว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ แบบเจ้าชายสิทธัตถะที่ไปเที่ยวปฏิบัติกับเจ้าลัทธิต่างๆ ไง แต่ครูบาอาจารย์ของเราจะคอยประคองเข้ามาให้กลับเข้ามาภายใน ถ้ามันกลับเข้ามาภายใน มันจะทำลายกำแพงนั้นเข้ามา ถ้าทำลายกำแพง นี่รูป รส กลิ่น เสียง ที่เป็นบ่วงของมาร มันปล่อยวางอันนี้เข้ามา ทำปล่อยเข้ามา ใครปล่อย?

รูป เวทนา...สังขาร วิญญาณ ปล่อยเข้ามา พอปล่อยเข้ามานี่มันก็เป็นตัวของมัน ถ้ายกไปวิปัสสนาได้นะ มีอำนาจวาสนา ครูบาอาจารย์คอยชี้นำ นี่มันจะไปเห็นกาย “กาย เวทนา จิต ธรรม” ถ้าวิปัสสนาไปมันปล่อย วิปัสสนาจับได้นะ แล้วมันมีอำนาจวาสนา ไม่มีอำนาจวาสนามันวิปัสสนาไปมันไม่ปล่อย ไม่ปล่อยเราต้องฝืนต้องทน ต้องพยายามสร้างกำลังของเราขึ้นมา

เหมือนนักกีฬาที่จะไปสู่ตำแหน่งแชมป์ มันต้องฝึกฝน เวลาดูนักกีฬาที่เขาเป็นแชมป์สิ วันหนึ่งเขาต้องฝึกขนาดไหน ตารางของเขา เขาต้องมีตลอดเวลา เขาต้องฝึกตลอดเวลา เพื่ออะไร? เพื่อจะไม่ให้ใครขึ้นมาเทียบเคียงเขาไง นี่กิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา มันฝึกมาตั้งแต่ภพชาติไหน มันฝึกมาตั้งแต่ในวัฏฏะนี่ ตั้งแต่ไม่มีต้นไม่มีปลาย มันสะสมกำลังมันมหาศาลเลย แล้วเราก็จะเข้าไปทำลายมัน เราจะต่อสู้กับมัน เราถึงต้องพยายามทำความสงบเข้ามาเพื่อให้กำลังมันพอสมดุลที่จะยกวิปัสสนาได้ ถ้ายกวิปัสสนาได้ เห็นสภาวะของกายแล้วมันปล่อยๆ ถ้ามันปล่อย เห็นไหม

ถ้ากิเลสมันตบตานะ ถ้ากิเลสมันตบตา ตบตานะ ตอนที่เราพยายามสู้กับกิเลสมา เราไม่เคยเห็นกิเลสเลย เราไม่เคยเห็นกิเลส เราให้กิเลสขี่หัวทำลายมาตลอดนะ กิเลสนี่ขี่หัวทำลายมา ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนกันมาตั้งแต่เจ้าลัทธิต่างๆ ที่เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษากับเขามา เจ้าชายสิทธัตถะไม่เชื่อเขา จนกว่าค้นคว้าของเจ้าชายสิทธัตถะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาเอง

นี้ก็เหมือนกัน เราเกิดมาท่ามกลางพุทธศาสนา แล้วเราก็ค้นคว้า เราก็ประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา นี่กิเลสมันหลอกมาตลอด อยู่ในกรอบของกิเลส อยู่ในความคิดของอวิชชา อยู่ในความคิดของกิเลสที่ควบคุมแล้วเราก็หลง เราก็ล้มลุกคลุกคลานมากับอำนาจของมัน แต่เพราะเรามีครูมีอาจารย์ เพราะครูบาอาจารย์ของเรา เริ่มต้นตั้งแต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเราปฏิบัติมาก่อน ถึงเห็นสัจจะความจริง เห็นสัจจะความจริงคือการกระทำไง คือเหตุ คือมรรคที่เกิดขึ้นจากใจของครูบาอาจารย์ของเราขึ้นมา สิ่งที่มรรคที่เกิดขึ้นจากครูบาอาจารย์ จากใจครูบาอาจารย์ มันมีการกระทำ มันมีเหตุมีผล มันสื่อความหมาย มันประคองเข้ามาได้ไง แล้วประคองขึ้นมาจนจิตของเราปล่อยวางขึ้นมา จนยกวิปัสสนาได้นะ

วิปัสสนา เห็นไหม ขณะที่เห็นกาย เห็นจิต มันจะมีความสะเทือนใจมาก สิ่งที่สะเทือนใจ นั่นคือเห็นกิเลส คือการได้สัมผัส ได้การต่อกรกับกิเลส ถ้าได้สัมผัสต่อกรกับกิเลส เราได้ขึ้นสนามสู้กับกิเลส ถ้ามีการวิปัสสนาแล้วมันปล่อยวางๆ นี่ถ้าโดนกิเลสหลอกมันก็ปล่อยวาง แล้วเสื่อมสภาพ สู้ไม่ไหว ท้อแท้ อ่อนแอ จนล้มลุกคลุกคลาน จนปฏิบัติใหม่ กว่าจะเข้าไปเห็นกายอีกแต่ละทีทำไมมันแสนทุกข์แสนยาก เวลามันจับจิตนี่แสนทุกข์แสนยาก เพราะกำลังเราไม่พอ เราก็จับสิ่งนี้ไม่ได้

แต่ถ้ากำลังเราพอ เราเข้าจับได้ ถ้าจับได้ แล้วถ้าต่อสู้กับกิเลส ถ้ากิเลสมันตบตานะ มันจะปล่อย แล้วมันก็เตลิดเปิดเปิงนะ กิเลสนี้ร้ายมาก ในการประพฤติปฏิบัติที่เราจะฆ่ากิเลส แต่ถ้ากิเลสมันตบตา มันจะสร้างสถานะของมันขึ้นมา สร้างสถานะว่าสิ่งนี้เป็นธรรม ถ้าสิ่งนี้เป็นธรรม มันก็จะเตลิดเปิดเปิง สิ่งนี้เป็นธรรม

ในการประพฤติปฏิบัติ เราจะทำทางวิชาการอย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งที่การกระทำ สิ่งที่ประสบ เราสร้างบ้านสร้างเรือน เห็นไหม การสร้างมีหลายวิธีการ สิ่งที่เป็นวิธีการ การสร้าง การก่อสร้างบ้านเรือนมันมีหลายวิธีการ มันมีหลายรูปแบบที่การกระทำ แต่ออกมาแล้วมันต้องเป็นบ้านที่อยู่อาศัยได้ สิ่งที่เป็นบ้าน เป็นที่อยู่อาศัย เห็นไหม

ในการประพฤติปฏิบัติ มรรค ๔ ผล ๔ มันหมุนเวียนไป มรรคญาณ เห็นไหม มีปัญญาวิมุตติ มีเจโตวิมุตติ สิ่งที่เจโตวิมุตติ แต่ถนัดไปทางไหนมันต้องสำเร็จออกมาเป็นบ้านไง สิ่งที่เป็นบ้าน เวลาวิปัสสนาไป วิปัสสนากายไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันไม่ยอมปล่อยวาง ขณะที่เราก่อร่างสร้างตัวนี่มันต้องมีการกระทำของมันขึ้นมา สิ่งนี้เราพิจารณาไปเรื่อยๆ

เพราะเรามีครูมีอาจารย์คอยชี้นำ ชี้นำนะ ถ้ามันเป็นสัจจะความจริง มันพิจารณาไปมันปล่อย มันปล่อย มันแปรสภาพ มันสิ่งที่คงที่ไม่ได้ มันเป็นไตรลักษณะ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีการคงที่ สิ่งที่ไม่คงที่เพราะอะไร เพราะเราซื่อสัตย์ไง เราซื่อสัตย์กับธรรมของเรา เราซื่อสัตย์กับตัวของเราเอง เราเป็นสุภาพบุรุษ เราจะไม่ให้กิเลสมันตบตา

ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ของเรา เรามีกิเลสนะ แล้วเรามีทิฏฐิมานะของเรา กิเลสมันตบตานะ ถ้ามันตบตานี่มันไม่เป็นความจริงหรอก ถ้าไม่เป็นความจริง มันปล่อยขนาดไหน ปล่อยเหมือนกัน คิดว่าปล่อย เวลาแสดงธรรมมาว่า “ต้องปล่อยอย่างนี้ๆๆ” ปล่อยอย่างนี้ แต่ไม่มีขณะจิต สิ่งที่ขณะจิตสมุจเฉทปหาน สิ่งที่สมุจเฉทปหาน อันนี้มันเป็นสัจจะความจริง นี่วิจิกิจฉา สีลพพตปรามาส ความลูบคลำในศีลมันไม่มีนะ

ศีล เราทำความผิดศีล ถ้ามันเป็นความผิดศีล ทำลูบคลำของมัน สิ่งที่ลูบคลำศีล สิ่งนี้สังโยชน์มันขาดไหม ถ้าสังโยชน์ไม่ขาด นี่กิเลสมันตบตา แล้วก็เตลิดเปิดเปิงนะ เตลิดเปิดเปิงไป สิ่งที่กามราคะ ปล่อยกามราคะ ปล่อยกายกับจิต ปล่อยหมด ทำลายหมด เห็นไหม ธรรมถึงธรรม ถ้าเป็นสภาวธรรมมันจะถึงเป็นสภาวธรรมนะ สภาวธรรม ขันธ์นี้ไม่ใช่จิต จิตนี้ไม่ใช่ขันธ์

ถ้าสภาวะไม่ใช่ธรรม ขันธ์ที่ว่าขันธมาร กับขันธ์ที่ว่าสิ้นกิเลส เวลาครูบาอาจารย์แสดงธรรมต้องแสดงออกมาจากขันธ์ ออกมาจากขันธ์ไหน มันออกมาจากใจ ขันธ์นี้เป็นเครื่องมือของใจ แต่ถ้ามันเป็นขันธมาร สิ่งที่แสดงออกมามันเป็นเรื่องของมารทั้งหมด

ถ้ามันเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรม เห็นไหม ดูหลวงปู่มั่นสิ หลวงปู่มั่นนะ ท่านประพฤติปฏิบัติ ออกบวชจากหลวงปู่เสาร์ แล้วประพฤติปฏิบัติมา ล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน แล้วหลวงปู่มั่นกลับไปชี้นำวิธีการให้หลวงปู่เสาร์พยายามประพฤติปฏิบัตินะ แล้วขณะที่ไป หลวงปู่มั่นกับหลวงปู่เสาร์เจอกัน เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านจะเป็นเณรน้อยเลย ท่านจะประพฤติปฏิบัติ ท่านจะอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านจะไม่แสดงตนเลย ทั้งๆ ที่ว่าท่านมีศักยภาพ เห็นไหม นี่ธรรมถึงธรรม

ธรรมถึงธรรม เพราะสีลพพตปรามาส มันเป็นศีลไง ศีลวัตร อาจริยวัตร อาคันตุกวัตร สัทธิวิหาริก เห็นไหม สิ่งนี้จะเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรม ในการแสดงออกในธรรม ถ้าสิ่งที่แสดงออกในธรรม ธรรมมันจะมีแสดงออก มันสะเทือนใจ มันไม่กล้าฝืนธรรมไง

ถ้าฝืน เห็นไหม เวลาแสดงธรรม จิตออกมา จิต พลังงานของจิต พลังงานของจิตผ่านออกมาจากขันธ์ ถ้ามีความผิด จิตนี้มันมีอัตโนมัติ สิ่งที่อัตโนมัติ ถ้าแสดงออกมันเป็นเจตนา สิ่งที่เจตนามันเป็นคุณงามความดี สิ่งนี้มันจะไปตามธรรม แต่ถ้าสิ่งใดแสดงออกมามันเป็นอกุศล สิ่งที่เป็นอกุศลนี้มันเป็นอะไร? มันเป็นอวิชชา สิ่งที่เป็นอวิชชามันเป็นกิเลส ถ้ามันแสดงออกมาอย่างนั้น มันไปผ่านขันธ์ที่ไหน มันผ่านขันธ์ เพราะขันธ์อันนั้นมันก็ต้องเป็นขันธมารสิ แต่ถ้าอันนี้ ใจนี้มันเป็นธรรม นี่ธรรมถึงธรรมไง

ถ้าธรรมถึงธรรมนะ ดูสิ ในสมัยพุทธกาล มีพระองค์หนึ่งรับบิณฑบาต ไปบิณฑบาตในบ้านนะ บิณฑบาตไปฉันในบ้านของคฤหัสถ์ทุกวันๆ นัดกัน ถึงเวลาแล้ววันนั้นไปฉันอาหาร บ้านนั้นเขาเป็นช่างเจียระไน กษัตริย์เอาเพชรมาให้เจียระไน เขาเจียระไนเพชร แล้วมือ พอดีเขาเอาเพชรมาให้ แต่ช่างนั้นกำลังทำอาหารอยู่ มือเลอะเลือด ก็รับเพชรนั้นไว้แล้ววางไว้อยู่ นี่วางไว้แล้วทำอาหาร กลับมาเพชรหายนะ เพชรนั้นหายไปเพราะอะไร เพราะนกกระเรียนมันกิน เพราะมันมีเลือดไง เห็นเลือด กินเข้าไป พระท่านเห็นนกนั้นกินเพชรเข้าไป

แต่ในบ้านนั้นมีพระอรหันต์องค์นี้ แล้วก็มีนายช่าง แล้วก็มีภรรยา เห็นไหม นายช่างนั้นเขาก็ไปปรึกษากับภรรยาว่า รับเพชรของกษัตริย์มา เอามาให้เจียระไน แล้วหายไป แล้วบ้านนี้ก็มีพระองค์นี้ แล้วก็มีนายช่างกับภรรยาเท่านั้น นายช่างกับภรรยานี้ไม่ได้เอาแน่นอน เพราะสิ่งนี้เป็นของกษัตริย์ ถ้าเราทำของกษัตริย์นี้หาย ต้องโดนประหารชีวิตแน่นอน

ภรรยาของช่างนั้นบอกว่า “จะโดนประหารชีวิต จะตกนรกหมกไหม้ชั้นไหน ก็ไม่เชื่อว่าพระองค์นี้เอา” เห็นไหม ใจเป็นธรรมนะ แต่สามีไม่เชื่อ สามีบอก “เราอยู่กันเท่านี้ ถ้าพระองค์นี้ไม่เอา ใครจะเอาไป” จนถ้าตัวเองจะตาย ไม่ยอม ไม่ยอมตายไง ไม่ยอมรับความจริง ใจไม่ถึงธรรม ถ้าใจไม่ถึงธรรม ไม่ยอมรับความจริง จะเอาแต่ตัวรอดไง

พอเอาแต่ตัวรอด ถึงเข้าไปทำลายพระอรหันต์ บีบคอถามว่า “เอาเพชรไปไหนๆ”

“ไม่ได้เอา”

ก็ไม่เชื่อ บีบจนอาเจียนออกมาเป็นเลือด นกกระเรียนนั้นเห็นเลือดแล้วเข้ามากินเลือด เอาเท้าเตะนกกระเรียนนั้นตาย พอตายแล้ว พระองค์นั้นถามว่า “นกกระเรียนตายหรือยัง”

“ตายแล้ว”

“พอตายแล้ว ปล่อยก่อน จะบอก นี่นกกระเรียนมันกินไป”

ผ่าออกมาในกระเพาะมีเพชรเม็ดนั้น

นี่สิ่งที่ถึงธรรม แม้แต่ไม่รู้ก็เชื่อ สิ่งที่ไม่ถึงธรรม ไม่มีเหตุผลก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อสิ่งใดๆ เห็นไหม เวลาจิตที่มันแสดงออกมาเป็นอกุศล สิ่งที่เป็นอกุศลมันสะเทือนหัวใจนะ มันสะเทือน มันคิดออกมาไม่ได้ ถ้าจิตนี้ ครูบาอาจารย์ จิตเราเป็นจิตที่สิ้นจากกิเลส สิ่งที่คิดออกมาว่าจะโดนหลอก จะโดนครอบงำ สิ่งที่ครอบงำไม่ได้ ครอบงำไม่ได้เพราะสติเป็นอัตโนมัติ สิ่งที่เป็นสติอัตโนมัตินี่เวลาผิดพลาดออกไปจากภายนอก ผิดพลาดออกจากภายนอกเพราะสิ่งที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของคนคนนั้นเขามากล่าวตู่ คนคนนั้น เห็นไหม

พระอรหันต์หลงในสมมุติบัญญัติ สมมุติไง สมมุติคือโลก นี่โลกสมมุติ เห็นไหม พระอรหันต์เข้าโรงพยาบาล พระอรหันต์จะไปสั่งใช้ยาตัวนั้นๆ ได้ไหม พระอรหันต์เข้าโรงพยาบาล โรคนี้เป็นสมมุติ ยานี้เป็นสมมุติ สมมุติเขานี่ หมอเขามีความเห็นอย่างไร เขาจะรักษาอย่างไร ปล่อยเขารักษาไป แต่หัวใจของเราเขาแตะต้องไม่ได้ เพราะอะไร

เพราะร่างกายนี้เป็นเรื่องของโลกเขา เรื่องของสมมุติ นี่พระอรหันต์ถึงไม่เข้าใจเรื่องของสมมุติไง “บัญญัติ” พระอรหันต์เวลาสวดมนต์ผิด เห็นไหม พระอรหันต์สวดมนต์ผิดพลาด สมมุติบัญญัติ พระอรหันต์ผิดพลาดได้ สิ่งที่ผิดพลาดมันไม่สะเทือนหัวใจหรอก มันไม่สะเทือนหัวใจ

ถึงบอก จะครอบงำพระอรหันต์ไม่ได้ พระอรหันต์ไม่ได้เทศน์ออกมาจากขันธ์ พระอรหันต์เทศน์ออกมาจากจิต แต่อาศัยนั้นผ่านเข้าไป

ถ้าโดนกิเลสตบตา นี่มันตาบอด พอมันตาบอด มันไม่เข้าใจเรื่องของความเป็นไปของจิต ไม่เข้าใจเรื่องการเป็นไปของพระโสดาบันที่พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม แล้วปล่อยวางกาย เวทนา จิต ธรรม โดยตามความเป็นจริง

ถ้าปล่อยกาย เวทนา จิต ธรรม โดยความเป็นจริง สังโยชน์ เห็นไหม สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดในทิฏฐิตัณหา ทิฏฐิความเห็นผิดของตัวมันจะไม่มี พระโสดาบันจะไม่มีทิฏฐิความเห็นผิดที่จะสวนกระแสครูบาอาจารย์ เพราะการสวนกระแสครูบาอาจารย์มันเป็นสิ่งที่สีลพพตปรามาส มันเป็นสิ่งที่ลูบคลำ มันไม่เป็นความจริง ถ้ามันเป็นความจริง มันจะสวนกระแสไปอย่างนั้นไม่ได้ เพราะมันเป็นอกุศล

สิ่งที่เป็นอกุศลมันเป็นอกุศลจากหัวใจ มันจะเป็นธรรมไปได้อย่างไร ในเมื่อมันสวนกระแสออกไปอย่างนั้น นี่สิ่งที่สวนกระแส แล้วยังบิดเบือน บิดเบือนเพราะความไม่เชื่อใจของตัวเอง นี่กิเลสมันตบตานะ ถ้ากิเลสตบตา สิ่งที่กิเลสมันตบตา แล้วเราต้านกิเลส เราจะต้องอยู่ในบาปอกุศล

สิ่งที่สะสมมา เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ แล้วเราพบพระพุทธศาสนา ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ในการวิปัสสนาของเรา ในการที่เราพบครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราจะประคองนะ ประคองให้เราเติบโตขึ้นมา เพราะครูบาอาจารย์ของเราแต่ละองค์เกิดท่ามกลางศาสนา ศาสนานี่ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นจะได้มีความสุข ความสุขคือวิมุตติสุขของใจดวงนั้น ใจดวงนี้จะไม่เกิดไม่ตายไปกับกระแสโลกอีกแล้ว นี่เพราะเข้าถึงธรรม เพราะเข้าถึงธรรม นี่จะจรรโลง จะทะนุถนอม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปัญญาขนาดนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ แล้วผู้ที่เข้าถึงธรรมนี่ทำไมไม่สงวนรักษาธรรม แล้วใครจะสงวนรักษา เห็นไหม สิ่งที่สืบต่อได้ มีครูบาอาจารย์ จะพยายาม จะปกป้อง จะดูแล จะแก้ไข แล้วสภาวธรรมที่มันจะโดนบิดเบือน

สิ่งที่บิดเบือน เวลาประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของกิเลส มันก็ตีความผิด ตีความกิเลสตัณหาความทะยานอยากตามหัวใจของตัว นี้ไม่เคยเห็นกิเลสเลย ขณะที่เราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเห็นกิเลส จนเห็นครูบาอาจารย์ประคองเราขึ้นมา จนเรามีโอกาสก้าวเดินนะ ทำไมกิเลสมันตบตาได้ขนาดนี้ ตบตาแล้วเราก็เชื่อกิเลสของตัวเองนะ

พอเชื่อกิเลสของตัวเอง เห็นไหม ขี่หลังเสือ พอขี่หลังเสือขึ้นไป “ธรรมของตัวจะเป็นอย่างนี้ สภาวะของธรรมเป็นอย่างนี้” มันเป็นธรรมในกรอบของกิเลสพาใช้ทั้งหมดเลย แต่ถ้ามันเป็นสัจจะตามความเป็นจริง องค์หลวงปู่มั่นปล่อยให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามสัจจะความจริงของแต่อำนาจวาสนาของใจ ใจใครมีอำนาจวาสนาขนาดไหน เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ แล้วแต่อำนาจวาสนา ปัญญาอบรมสมาธิ หรือกำหนดพุทโธเป็นสัทธาจริต ย้อนกลับเข้ามาให้ใจดวงนั้นกำหนดเข้ามา แล้วถ้าผ่าน ถ้าวิปัสสนาแล้วผ่าน ทำแล้วผ่าน จะคอยประคอง คอยชี้นำ

ถ้าไม่ผ่าน คืออำนาจวาสนามีเท่านั้น สิ่งที่มีเท่านั้น เวลาประพฤติปฏิบัติ ขิปปาภิญญาจะผ่านโดยความคล่องตัว แต่ถ้ามันเวไนยสัตว์ ต้องพยายามต่อสู้ พยายามปฏิบัติขึ้นมา ให้นักกีฬาของเรา...เราต้องเพิ่มทักษะของเราขึ้นมา ต้องหมั่นฝึกซ้อมขึ้นมา นี่ธาตุของเรา อย่างนี้มันเป็นอำนาจวาสนาของใจ เรามีจริต มีนิสัย ถ้ามีจริตนิสัย เราเข้ามาถึงถูกทาง อันนี้เป็นสิ่งที่สุดยอดแล้ว สุดยอดนะ ถ้าทำได้ไม่ได้ ภพชาติสั้นเข้านะ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้เราไม่สามารถชำระกิเลสออกเป็นชั้นเป็นตอนได้

ถ้าเราชำระกิเลสเป็นชั้นขึ้นมา อย่างเช่น ผ่านพิจารณาเห็นสักกายทิฏฐิ ไม่เห็นสัจจะความจริงว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรา ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในทุกข์ ทุกข์ไม่มีในขันธ์ ๕ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นสัจจะความจริง ต่างอันต่างจริง นี่อีก ๗ ชาตินะ สิ่งนี้อีก ๗ ชาติ แล้วก็อีก ๗ ชาติ คนเราได้สิ่งนี้มา ไม่ต้องเกิดตายไปตามวัฏฏะ นี่มันสะเทือนหัวใจตลอดนะ สติพร้อมหมด ถ้ามีสติ จะทำความผิดพลาดนี่สติมันจะเตือนตลอด เพราะอะไร

เพราะมันเห็นคุณประโยชน์ข้างหน้าไง ถ้าเห็นคุณประโยชน์ข้างหน้านะ ขนาดเราเห็นสภาวะแบบนี้ นี่ความเห็นต่างจากโลกเลย โลกเขาเห็นคุณสมบัติ สมบัติของเขา เห็นคุณสมบัติในโลกธรรม ๘ การสรรเสริญ การนินทา เขามีสิ่งนั้น ถ้าได้หัวโขนด้วย มีตำแหน่งหน้าที่ด้วย ได้ต่างๆ ด้วย จะมีศักยภาพมาก มีความพอใจมาก มีคนนับหน้าถือตา

แต่ถ้าเป็นพระโสดาบันนะ สักกายทิฏฐิไม่เห็นตามโลกเขา สักกายทิฏฐิ กายนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าเราต้องรับภาระ แล้วเราจะอยู่กับโลกเขาได้อย่างไร ในเมื่อโลกมันเป็นภาระทั้งหมดเลย แล้วเราต้องการเวลาเพื่อจะพยายามจะค้นคว้า พยายามจะต้องการเวลาเข้ามาประพฤติปฏิบัติ นี่มันจะหาที่หลีกเร้นนะ

เวลาประพฤติปฏิบัติไม่เป็น เราจะติดครูติดอาจารย์มากเลย เพราะครูบาอาจารย์จะเป็นผู้ชี้นำเรา แต่ขณะที่เราปฏิบัติแล้วมันติด มันจุดไฟติดไง คือจุดวิปัสสนาขึ้นมาได้ มันจะหลีกเร้นนะ จะอยู่กับหมู่คณะ แล้วหมู่คณะมันก็เป็นภาระรับผิดชอบ แล้วทิฏฐิความเห็นของหมู่คณะ คนนั้นก็พูดอย่าง คนนี้ก็พูดอย่าง แล้วถ้าจิตเรายังโลเล คำพูดนั้นมันก็เหนี่ยวรั้งให้จิตนี้มันต้องไปกังวลสิ่งต่างๆ นี่ถ้าเป็นโลก ต้องการสรรเสริญ ต้องการหัวโขน ต้องการตำแหน่ง ต้องการหน้าที่

ถ้าเป็นธรรม จะหลีกเร้นเข้าที่สงัด เข้าที่ควรแก่การงาน เข้าที่ชำระกิเลส เพราะสิ่งนี้มันอยู่ในหัวใจเรา มันบีบบี้สีไฟในหัวใจเรา ถ้าเราทำลายสิ่งนี้มันจะเป็นความสุขของเรา มันจะเป็นสิ่งที่เราพ้นภัย ถ้าเราพ้นภัยได้เมื่อไหร่ มันมีธรรมในหัวใจนะ

ถ้าคนมีธรรมในหัวใจ มันจะบอกวิธีการในการทำสิ่งที่กิเลสในหัวใจหลุดออกไปเป็นชั้นเป็นตอน มันมีวิธีการ มีภาคปฏิบัติ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ มันจะหมดไปเฉยๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่เราคุมใจไว้เฉยๆ แล้วกิเลสมันจะหมดไปเอง นี่มันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเชื้อโรค ไม่มีสิ่งต่างๆ เข้าไปทำลาย มันเป็นไปไม่ได้หรอก

แต่ถ้ามันมีกิเลส มันมีสิ่งที่ว่าเป็นกิเลสในหัวใจ เราเข้าใจตามสักกายทิฏฐิ ตามความเป็นจริงแล้ว เราวิปัสสนาขึ้นไป เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันไปติดอยู่ ติดที่ว่ากายกับจิตมันยังมีอุปาทานอยู่ ถ้ามันปล่อย ปล่อยแล้วมันจะขึ้นไปเห็นกามราคะ วิธีการเห็นกามราคะเห็นอย่างไร วิธีการจะจับกามราคะ วิธีการที่จะเห็นสิ่งที่นางตัณหา นางอรดี นี่เป็นลูกของพญามาร เราจะเข้าไปเห็นพญามารได้อย่างไร

พญามาร สิ่งที่เป็นพญามาร เห็นไหม ถ้ากิเลสตบตานะ มาร ในอรรถกถา มารนี่แปลงกายเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระในสมัยนั้นยังต้องกราบ นี่เพราะอะไร เพราะความหลงไปไง หลงว่านึกว่าเห็นความรูปงาม กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ตัวมารเองมันยังแสดงตัวเป็นพระพุทธเจ้าได้เลย นี่ตัวในใจ ถ้ากิเลสมันตบตานะ มันจะทำลายตัวมันเอง ทำลายหัวใจของมันเอง ทำลายโอกาสที่มันจะไปหาที่หลีกเร้นอย่างนี้ไง

ที่หลีกเร้น ที่เป็นสัปปายะ ที่ควรแก่การงาน ที่ควรแก่ชำระกิเลส เห็นไหม นี่ขนาดเห็นแก่นางตัณหา นางอรดีที่เห็นกาม เห็นกามแล้ววิธีการจะฆ่าจะทำลายนางตัณหา นางอรดี จะทำอย่างไร จะทำอย่างไร วิปัสสนาทำอย่างไร ซ้ำอย่างไร มันปล่อย มันฆ่านางตัณหา นางอรดีแล้ว เศษส่วนของมัน สิ่งที่เป็นเศษส่วน เห็นไหม อนาคามี ๕ ชั้น จะทำพยายามอย่างไร จะปลดลดอย่างไร สุทัสสา สุทัสสี...นี่ ๕ ชั้น วิปัสสนาเข้าไป

ติดอีกเหมือนกัน แม้แต่ทำถูกต้องขึ้นไป มารมันก็ทำลายตลอด มันปิดกั้นตลอด มันบิดเบือนตลอด เห็นไหม นี่มันบิดเบือนนะ มันตบตา มันทำลาย มันทำลายโอกาสของหัวใจของเรา ทั้งๆ ที่เราเกิดมาพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยไง

ครูบาอาจารย์ท่านสงวนท่านรักษาธรรมวินัยเพราะอย่างนี้ไง

๑. สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ยาก

๒. ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติเข้าไปถึงสัจจะความจริงยิ่งแสนยาก

แสนยากเพราะครูบาอาจารย์ที่เข้าถึง สิ่งที่แสนยากเพราะเป็นงานอันละเอียด งานของอาชาไนย งานของบุรุษและสตรีอาชาไนย เพราะภิกษุ ภิกษุณี ปฏิบัติได้เหมือนกัน สิ่งที่ปฏิบัติเหมือนกัน ถึงที่สุดแล้วเข้าไปจะเห็นมารได้อย่างไร นี่เห็นแค่ลูกของมาร การทำลายลูกของมาร เศษส่วนที่ลูกของมาร แล้วจะย้อนกลับเข้าไปอย่างไร

วิธีการอย่างนี้ครูบาอาจารย์เป็นคนคอยชี้นำ ครูบาอาจารย์จะให้อุบาย ถ้าชี้นำ มารมันจะเอาธรรมของครูบาอาจารย์เรานี่พลิกกลับมา ตบตาน่ะ ตบตาว่า “นี่เป็นอย่างนั้น นี่เป็นอย่างนี้” นี่มารมันร้ายมาก กิเลสในหัวใจนี้ร้ายมาก มันตบตาเราไปทุกอย่างเลย แล้วเราก็ล้มลุกคลุกคลานไปกับกิเลส

แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้ได้ นี่ความเห็นต่าง เห็นต่างเพราะอะไร เพราะธรรมของเรามันอยู่ใต้ของพญามารไง ธรรมของเรา ธรรมของเรานี่มารมันยังแปลงกายเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แล้วธรรมของเรามันเป็นธรรมของมารทั้งหมด แล้วเราก็โต้แย้งกับสัจธรรม ธรรมถึงธรรม แต่กิเลสมันจะไปถึงธรรมที่ไหนล่ะ มันก็โต้แย้งไง

สิ่งที่โต้แย้งธรรม นั่นล่ะคืออวิชชา นั่นล่ะคือมาร สิ่งที่มารมันโต้แย้ง มันโต้แย้ง มันไม่ถึงธรรม มันเป็นธรรมไปไม่ได้หรอก เพราะมันไม่ถึงธรรม มันไม่เป็นธรรม มันถึงต้องตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส สิ่งที่อำนาจของกิเลส มันถึงทำลายไง ทำลาย ถ้าเป็นธรรมจะไม่ทำลาย

หลวงปู่มั่นคิดถึงหลวงปู่เสาร์ จะอ่อนน้อม จะถ่อมตน จะทุกอย่าง สิ่งที่เป็นเรื่องของโลก เรื่องของโลก กิริยาหรือความเป็นไปขอโลกนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้ากิริยาภายในหัวใจ มันทันหมดน่ะ เพราะมันขยับออกไปนะ เวลาจิตมันเคลื่อน มันก็ขยับออกไป นี่ขยับออกไปมันรู้ทันหมด เพราะมันเป็นอัตโนมัติ เคลื่อนออกไปแล้วถึงต้องเป็นมโนสัญเจตนาหาร ต้องสร้างตัวขึ้นมา วิมุตติ สิ่งที่จิตที่มันอ่อนนุ่มอยู่ของมัน ธรรมชาติของมัน เห็นไหม มันเป็นอีกมิติหนึ่ง เป็นวิมุตติ

แต่เวลาจะแสดงออกมาเพื่อสื่อกับสมมุติ สื่อกับลูกศิษย์ลูกหา มันต้องสร้างตัวมันขึ้นมา พอมันสร้างตัวขึ้นมา นี่มโนสัญเจตนา มีเจตนา เริ่มอย่างนี้ สติมันทันอย่างนี้ แล้วมันจะไปโดนหลอก มันจะไปผิดพลาดตรงไหน แล้วมันออกไป ออกผ่านขันธ์ สิ่งที่ขันธ์นี่แสดงธรรมก็แสดงโดยขันธ์ออกมา เพราะสังขารปรุง สังขารแต่ง แต่งโดยขันธ์ที่เป็นภาระ ขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ใช่ออกมาโดยขันธมาร

ถ้ากิเลสมีอวิชชาในหัวใจ นี่มาร มารมันมีอยู่ในหัวใจ มันเป็นอวิชชา แล้วมันผ่าน มันก็ผ่านขันธมาร ขันธมารกับขันธ์บริสุทธิ์ มันจะไปกันได้อย่างไร ขันธ์ที่เป็นมารกับขันธ์ที่บริสุทธิ์มันก็ขัดแย้งกัน ถ้าขัดแย้ง ธรรมถึงไม่ถึงธรรมไง ถ้าธรรมถึงธรรม จะเป็นอันเดียวกัน เอวัง