เทศน์บนศาลา

ธรรมอยู่ที่ใจ

๑๑ ก.พ. ๒๕๔๑

 

ธรรมอยู่ที่ใจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หาบุญหากุศลใส่ตัว หาบุญหากุศลไง บุญคือความดี บุญคือความสุข บุญคือความสบาย บุญน่ะ อยากหาบุญ แต่มันก็น่าเห็นใจ เห็นไหม ของใครจะหาได้ขนาดไหน เขาหาได้มากได้น้อยก็แล้วแต่บุคคลนั้น “ศาสนา” อาจารย์ถึงบอกว่า ศาสนานี้เปรียบเหมือนห้างสรรพสินค้า มีตั้งแต่ของเล็กๆ น้อยๆ ถึงของชิ้นใหญ่ๆ

ทาน อามิส การบูชา บูชาด้วยอามิส เป็นวัตถุ เราสามารถสละออกได้ สามารถทำได้ บูชารัตนตรัย พระพุทธ...ด้วยธูปด้วยเทียน ด้วยดอกไม้ธูปเทียน แต่คราวนี้เราจะบูชาด้วยใจไง บูชาให้กิเลสมันหลุดออกไปเลยล่ะ ให้ใจพบความสงบ ความสงบนะ ทำไมเราปฏิบัติกันถึงไม่ถึงถึงความสงบ เครื่องยืนยันวันนี้ เครื่องยืนยันเลยล่ะ ๑,๒๕๐ องค์ เป็นพระอรหันต์ล้วนๆ นะ เราต้องมั่นใจว่ามรรคผลมีให้เราเข้าไปจับต้องได้นะ มรรคผลนะ

เราปฏิบัติกัน ปฏิบัติแต่ไม่แน่ใจไง มีไม่มี มรรคผลมีหรือไม่มี ทำได้หรือไม่ได้ เอาแค่สวรรค์นะ ว่าสวรรค์ไม่มี...มี สวรรค์ก็มี นรกก็มี สิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดไว้ไม่มีคำไหนปดเลย พูดสัตย์แหละความเป็นจริงทั้งหมด แต่เราก็สงสัย เราสงสัยตั้งแต่นรกสวรรค์แล้ว อย่าว่าแต่มรรคแต่ผลเลย ทุกอย่างมีแต่ความสงสัย มีแต่ความลังเลทั้งหมด เอาความลังเลเข้าไปจับ เอาความลังเลในหัวใจเข้าไปจับไง ความไม่แน่จริงของเรา ความไม่จริงไปจับของจริงได้อย่างไร

“อริยสัจจะ” สัจจะความจริงในโลกนี้นะ นี่อริยสัจเลย อริยสัจที่ใครจะเข้าถึงได้ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วเขาถึงพิสูจน์ได้ไง ว่าผลชักไปหาเหตุ “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” เห็นไหม อริยสัจ ของวางอยู่เลย วางอยู่ แต่การปฏิบัติของเราเข้าไปไม่ถึงไง เพราะความไม่แน่ใจ เป็นสูตรวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์นะ เวลากำหนดขึ้นมาเป็นทฤษฎีแล้วเราทำตามแบบนั้นๆ จะได้ต้องให้ผลเป็นออกมาเป็นผลเป็นไปตามสูตรทฤษฎีนั้นถึงจะเป็นวิทยาศาสตร์ ถึงพิสูจน์ได้ แต่การประพฤติปฏิบัติทำไมไม่เป็นแบบนั้นล่ะ

การประพฤติปฏิบัติพระพุทธเจ้าเปิดไว้ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง การทำความสงบ ๔๐ วิธีการจะเข้าไปหาความสงบ ทำไมไม่วางไว้เป็นหลักตายตัวแบบวิทยาศาสตร์เป็นสูตรสำเร็จเลยล่ะ? เพราะมันมีกรรมไง มันมีกรรม มีความฝังใจของแต่ล่ะบุคคล ความถนัด เห็นไหม บารมีธรรม ความเป็นบารมี “สมาธิ” การเข้าสมาธิ ความเป็นสุขของสมาธิ ถ้าผู้ได้สมาธิ เอาสมาธิมาพูดกันก็ยังเถียงกันในเรื่องของสมาธิ ว่าสมาธิระดับไหนถึงเป็นสมาธิ ความสงบขนาดไหนถึงเป็นความสงบไง

ความสงบ เห็นไหม จริงๆ แล้วความสงบก็คือความสงบ แต่คนจะเข้าเสพถึงความสงบได้ขนาดไหน ความสงบเหมือนน้ำในแก้ว มันจะเต็มแก้วแค่นั้นเอง น้ำเต็มแก้ว ในแก้วหนึ่งเราเอาน้ำเติมไปในแก้ว ๑ แก้วเต็ม นั่นคือสมาธิไง สมาธิมีผลแค่นั้น สมาธิ ผลของสมาธิ แต่จะทำให้อย่างนั้นต้องยกขึ้นวิปัสสนา ถึงจะชำระล้าง มันถึงจะเป็นความแน่นอน ถึงเป็นความจริงแท้ไง

ถ้าเป็นสมาธิ เห็นไหม เป็นสมาธิ ความเสื่อมมันก็มีอยู่ ๑.

๒. ที่ว่าเถียงกันเพราะอะไร เพราะความเข้าไปไง ความเข้าไปสัมผัส

ฌานเป็นอจินไตย ฌานคือความสงบ ฌานคือสมาธิไง

อจินไตย ๔ โลก ฌาน พุทธวิสัย กรรม สิ่งนี้มันเปรียบเทียบแขนงได้ทั้งหมด เปรียบเทียบได้ ความเปรียบเทียบความแตกแขนงออกไปไง เห็นไหม ถึงว่าบารมีธรรม ความเข้าถึง แล้วพอความสงบ แล้วเอาเทียบเคียงกัน ถึงบอกว่าเปิดไว้กว้าง ให้เข้าถึง ถึงว่าธรรม “ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” ด้วยบารมีธรรมของแต่ล่ะบุคคล ด้วยความเข้าถึงของแต่ล่ะบุคคล ถึงไม่มีสูตรใดสำเร็จ พระพุทธเจ้าวางไว้กว้าง ปัญญานี้กว้างขวางมาก วิธีการจะเข้าหาไง

นี่เพราะความไม่เชื่อมั่น เพราะความไม่เชื่อ เพราะความ...เราว่าเราเชื่อ แต่พอปฏิบัติเข้าไป ความลังเลสงสัยในใจเพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ จะต้องลังเลไปถึงที่สุด เพราะคนจะไม่หลงคือพระอรหันต์เท่านั้น นี่มันเป็นความจริงอันนั้นอยู่แล้วมันถึงว่าเอากิเลสมาพูดไง พระอรหันต์เท่านั้นถึงจะไม่มีความลังเลสงสัย ถ้าต่ำกว่านั้นต้องลังเลสงสัยทั้งหมด ความลังเลสงสัยคือกิเลส ถ้ามีกิเลสอยู่ต้องไม่เชื่อทั้งหมด

แต่ในเมื่อเราเป็นชาวพุทธไง เชื่อด้วยความเชื่อตามพระพุทธเจ้าสอน เชื่อผู้มีตาสว่าง เราเป็นคนตาบอด เราเป็นนักปฏิบัติตายังมืดบอดอยู่ คนมืดบอดนะ คนตาบอดคลำไปด้วยความบอด คนตาบอดมันจะมีความสงสัยแน่นอนเพราะตาบอด มือคลำไปนะ ความรู้สึกยังเป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะความรู้สึกจากมือ ความคาดการณ์ คาดหมาย เห็นไหม ถึงบอกความลังเลสงสัย ไม่ใช่ดูถูกกัน ไม่ได้ว่ากัน มันเป็นความจริงอันหนึ่ง ความลังเลสงสัยมันมีอยู่แล้วในใจทุกๆ ดวงที่เกิดขึ้น เพราะเกิดจากกิเลส เพราะตัวนี้ไง มันมาขวางกั้นในการเข้าถึงของเราไง ความลังเลสงสัย พอเกิดความลังเลสงสัย การทำความเป็นจริงมันไม่ถึงความจริงอันนั้นไง

ความเป็นจริงแต่ละบุคคลก็ไม่เหมือนกัน ความเป็นจริง แล้วบารมีธรรม ความเข้าถึง ผู้ปฏิบัติยากรู้ยาก ผู้ปฏิบัติยากรู้ง่าย ผู้ปฏิบัติง่ายรู้ยาก ผู้ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย บารมีธรรมไม่เหมือนกัน เห็นไหม ถึงบอกไม่มีสูตรตายตัว แต่อาศัยความจริงเด็ดขาดไว้ก่อน เป็นบรรทัดฐาน ความจะเข้าถึงความสงบอันนั้น เข้าถึงความสงบนะ ความสงบที่ว่าน้ำเต็มแก้วนั่นน่ะ เต็มแก้วไง พอเต็มแก้วแล้วมันก็ต้อง...สร้างขนาดไหนก็เต็มแก้ว เห็นไหม คำว่า “เต็มแก้ว” หมายถึงว่า มันจะได้ผลมากกว่านั้นไปไม่ได้ มันจะได้เป็นผล มันเต็มแล้วมันก็ต้องเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ถึงเข้าถึงความสงบแล้วต้องยกความสงบนั้นขึ้นวิปัสสนา

ทีนี้การเข้าถึงความสงบก่อน ถึงความเป็นจริงไง มีพื้นฐานของความสงบ ถ้าไม่มีพื้นฐานของความสงบ มันเป็นโลก ความคิดทางโลกเป็นความคิดผูกมัด เป็นความคิดเข้าข้างตัว ความคิดโดยธรรม ความคิดโดยธรรมเพราะไม่มีตัวตน คำว่า “ไม่มี” ไม่ใช่ไม่มีโดยไม่มีนะ ไม่มีกิเลสเป็นเจ้าอำนาจไง แต่ตัวตนเป็นความเป็นหนึ่งเดียวมี เพราะความสงบของกิเลสมันสงบ ความอยากมันสงบออกไป มันมีความเป็นกลางและความละเอียดที่อยู่ในหัวใจ...มี ตัวตนมีไปตลอด จนถึงเวลาสิ้น ถึงไม่มีตันตน ตัวตนมีไปตลอด เพียงแต่ตัวตนนี้ปล่อยหลีกให้โอกาสเราได้ทำงานไง

ถ้าตัวตนนี้หยาบ มันออกมานี่มันจะคิดด้วยตัวของมันเองทั้งหมด ความหยาบอันนี้มันสงบตัวลง ความหยาบอยู่กลางหัวใจ แล้วความละเอียดที่อยู่ในใจอันนั้น ความหยาบอันนี้มันให้พื้นที่เราได้ทำงานไง ให้พื้นที่เราได้เริ่มออกไปเป็นโลกุตตระ จากเดิมเป็นโลกียะ จะออกเป็นโลกุตตระ

โลกุตตระ หมายถึง การชำระสะสางความลังเลสงสัยของเรานี่ไง ความลังเลสงสัยภายในนี่ล่ะ สวรรค์ไม่มี นรกไม่มี คนทำความชั่วได้เต็มที่เลย ทำตามความที่ว่าความอยากทำมันจะทำไป ถ้ามันมี เห็นไหม ความขยะ ความแหยงไง ความแหยง ความครั่นเนื้อครั่นตัว ความไม่กล้า เห็นไหม มันมีประโยชน์อย่างนั้น ความเชื่อว่านรกสวรรค์มีนี่ ตายไปต้องเกิดเด็ดขาด...มี มีจริงๆ มีเพราะการประพฤติปฏิบัตินี้มันยันได้ไง การประพฤติปฏิบัตินี่มันจะยันออกมาจากตามความเป็นจริง อย่าว่าแต่บัญญัติทฤษฎีเลย แต่ความเชื่อตามทฤษฎีข้างนอกนี้ ความเชื่อแบบพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าสอน

โตเทยยพราหมณ์ ตายจากพราหมณ์แล้วไปเกิดเป็นหมาไง อยู่ในพระสูตรนะ เพราะอะไร เพราะติดในสมบัตินั้นน่ะ ติดความมีสมบัติ ตายจากพราหมณ์นั้นไปเกิดเป็นสุนัข พระพุทธเจ้าบิณฑบาตไป แล้วหมานั้นออกมาเห่า พระพุทธเจ้าบอกว่า “โตเทยยพราหมณ์ เธอเป็นมนุษย์เธอก็ตระหนี่ เธอตายเป็นสุนัขเธอก็ตระหนี่”

คนใช้ได้ยิน ไปฟ้องลูกชายไง ลูกชายโกรธมาก เอาบริษัทบริวารตามไปต่อว่าพระพุทธเจ้าที่วัด พิสูจน์กันเลย นี่พิสูจน์กัน พอบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นให้กลับไปที่บ้านนะ” เพราะว่าชาติมันใกล้ไง ตายจากโตเทยยพราหมณ์ไปเกิดเป็นหมา “ให้กลับไปเรียกพ่อเลย แล้วลูบหัวให้ดีนะ แล้วเลี้ยงให้อิ่ม เสร็จแล้วให้เรียกพ่อด้วย แล้วให้ขอสมบัติ” ลูกชายทำตามหมดเลย หมานั้นวิ่งมาขุดหลุม มาคุ้ยหลุม ให้ขุดลงไป เจอสมบัติจริงๆ นี่อยู่ในพระไตรปิฎก

นี่คือการเกิดไง การเกิด ภพชาติมีแน่นอน นี่เชื่อตามทฤษฎี เชื่อตามพระไตรปิฎก เชื่อตามปัญญาของพระพุทธเจ้า แล้วพอประพฤติปฏิบัติเข้าไป เราประพฤติปฏิบัติกันมันต้องละตรงนั้นไง ถ้าไม่ละตรงนั้น มันเป็นเชื้อ เชื้อการเกิด ถ้าเราไม่ชำระเชื้อของการเกิด แล้วมันจะดับได้อย่างไร เราชำระเชื้อการเกิดจากใจ ใจนี้ไม่มีเชื้อไง แบบของที่แบบพันธุ์เมล็ดที่มันหมดเชื้อ ที่มันตายแล้ว มันลงดินมันก็ไม่เกิดใช่ไหม แต่เมล็ดพันธุ์เมล็ดผักทุกอย่างที่มันยังไม่ตาย มันลงดินมันต้องเกิดนะ ลงดินแล้วมีน้ำพรมอยู่ มันต้องงอก ต้องเกิดเด็ดขาด หัวใจทุกดวงต้องเกิดทั้งหมดไง

ฉะนั้น ถึงว่าไม่มีได้อย่างไรนรกสวรรค์ ไม่มีตรงไหน ลองปฏิบัติเข้าไปนะ มันไปดับที่ตรงเชื้อ ดับตัวที่พาไปเกิดไง มันดับตัวพาไปเกิด แล้วนรกสวรรค์เป็นผลของการไปเกิดตัวนี้ ทฤษฎีนั้นบอกถึงผล การประพฤติปฏิบัตินี้ไปชำระที่เหตุ แล้วเหตุผลมันก็ต้องมาเข้ากันโดยความเป็นจริง นี่มันไม่มีตรงไหน? พอมี ความเข้าใจ มีความเชื่อ มีความเชื่อในมรรค มีความเชื่อในผล มรรคที่เกิดขึ้นจากเรา เราต้องก่อขึ้นมานะ

“ภาวนามยปัญญา” สุตมยปัญญา การศึกษาเล่าเรียนมา การศึกษาทุกๆ อย่างนั้นคือการสุตะ สุตะคือการจดจารึก การศึกษาเล่าเรียนมา จินตะ การใคร่ครวญ การจินตนาการ เห็นไหม จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญานี้ เรากำลังภาวนากันอยู่นี้ ภาวนาจนจิตมันสงบ จิตสงบ เห็นไหม จิตสงบด้วยปัญญานะ ปัญญาการใคร่ครวญ ปัญญาการอบรมสมาธิ ปัญญาต้อน ต้อนให้วงแคบเข้ามา ต้อนความคิดให้แคบเข้ามาๆๆ แคบเข้ามามันก็ปล่อยเข้ามาๆ จนเป็นตัวมันเองนะ อันนี้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าใคร่ครวญเข้าไปลึกเข้าไปๆ มันจะตัดกิเลสพร้อมกับรวมตัวลง การรวมตัวลงอันนี้ก็เป็นภาวนามยปัญญา

ภาวนามยปัญญาไง ปัญญาที่เกิดขึ้นจาการภาวนา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากจิตค้นคว้าในจิต จิต ความรู้สึกค้นคว้าในตัวมันเองไง ห้องทดลองของวิทยาศาสตร์ การพิจารณาตัวเอง การพิจารณาตัวภพ ตัวชาติ ตัวพาเกิด ตัวจิตตัวพาเกิดไง ตัวจิต ตัวจิตวิญญาณ ตัวจิตปฏิสนธิด้วย วิญญาณตัวรับรู้ เห็นไหม ความรู้สึก เสียงกระทบหูรับรู้นี้ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณคือจมูกได้กลิ่น วิญญาณตัวรับรู้นี้เป็นอาการของใจ ไม่ใช่ตัวจิต เห็นไหม นี่มันวนเข้ามาๆ นะ พอมันวนเข้ามาๆ ปั๊บ จิตตัวในมันก็แก้อาการตัวนอก จิตตัวในนะ จิตตัวใน ความละเอียดของตัวในไง

เราเป็นเจ้าของบ้าน เราเช็ดถูบ้าน ถ้าเราอยู่นอกบ้าน บ้านนั้นของเรา เราต้องเข้าบ้านนั้น เราอยู่นอกบ้าน ความรู้สึกเราออก ออกไปหมดเลย ความรู้สึกเรารับรู้โลกทั้งหมดเลย ขณะนี้เกิดสงครามนอกประเทศ ขณะนี้เกิด...เรารับข่าวสารเขาทั้งหมด หัวใจเราออกจากบ้านไปทั้งหมด จิตก็ฟุ้งซ่าน จิตไม่มีความสงบ หัวใจเราออกจากร่างกายของเราไปรับรู้สิ่งอื่นทั้งหมด ไปรับรู้ข้างนอกน่ะ มันอยู่ที่ไหน

บ้านนั้นร้าง บ้านร้างแบบนี้ไม่ใช่บ้านร้างแบบมีคนอยู่ อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง บ้านร้างนี้ร้างแบบไม่มีสาระใดๆ เลย เกิดตายเปล่าๆ เกิดมาภพชาติหนึ่งมีแต่ความทุกข์ ตายไปพร้อมกับความทุกข์ แล้วก็ไปเกิดอีกพร้อมกับความทุกข์นั้น ทุกข์ที่สร้างขึ้นมา ไปเกิดในสถานะที่ไม่ดี ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ เราเข้าใจว่าเราจะหลบ หลบความทุกข์ในภพชาตินี้เพื่อไปเกิดในภพชาติใหม่ มันจะหลบไปไหนในเมื่อทุกข์พาไป ทุกข์พาตาย ทุกข์พาเกิด ทุกข์พาไปตลอด เริ่มต้นจากทุกข์แล้วมันจะเอาผลมาจากเป็นความดีตรงไหน เริ่มต้นจากความดีมันถึงจะได้ผลเป็นความดีตลอดไปสิ เห็นไหม เราต้องดับทุกข์ปัจจุบันนี้ไง

ทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุไร ทุกข์เพราะเราโทษไปทั้งหมดเลย ทุกข์เพราะนั้นๆๆ...ไม่ใช่ ทุกข์เพราะมีชาติ ทุกข์เพราะมีความเกิด เกิดตัวต้นของความทุกข์คือการเกิดเรานี่ล่ะ การเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นทุกๆ อย่าง คือการเกิดไปรับใช้ความทุกข์ เพราะการเกิดนี้ เริ่มต้นของการเกิด เริ่มต้นของการมี เริ่มต้นของการแสวงหา เริ่มต้นทุกๆ อย่าง

ทุกข์คืออะไร? ชาติปิ ทุกฺขา ตัวอันดับหนึ่ง ชาติการเกิดเป็นอันดับแรก แล้วทุกข์อื่นๆ มันตามมา พระพุทธเจ้าถึงสอนลงมาตรงนี้ไง สอนลงมาถึงว่าดับการเกิดนี้ให้ได้ ดับการเกิด ไอ้ปลายเหตุนั้นจะดับทั้งหมด เราวิ่งหาแต่ปลายเหตุ เราวิ่งออกไปข้างนอก เราเข้าใจว่าอันนั้นจะเป็นการเราจะไปดับทุกข์ไง มันเป็นการบ่ม เป็นการเพ้อหา พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ธรรมะไม่ได้ว่าอย่างนั้น

เราว่าเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม แต่การกระทำของเราสวนกับความเป็นจริงทั้งหมด เพราะอะไร เพราะกิเลสความตัวในไง การปฏิบัติเรานี่ต้องฝืนกิเลสอันหนึ่ง ฝืนกับกิเลสนะ เพราะกิเลสมันเป็นเรา มันเป็นไส้ศึกอยู่ในตัวเริ่มต้น ตัวเริ่มต้นคือตัวในหัวใจไง มันเป็นไส้ศึกอยู่ในใต้ดินลึกๆ ในหัวใจเรา มันเป็นตัวเริ่มต้นหนึ่ง แล้วเราจะเข้าไปทำลายมัน เห็นไหม กิเลสมันมีการคัดง้างแล้วหนึ่ง แล้วเราจะเข้าไปทำลายมันนี่เป็นการต่อต้านอีกหนึ่ง

ถึงว่า ความไม่เชื่อ ความลังเลสงสัยนี้มันเกิดโดยธรรมชาติ จิตใต้สำนึกมันเกิดโดยธรรมชาติ ไม่ต้องให้ใครมาพูดว่า “ฉันไม่ลังเลสงสัย” ไม่ต้องพูด ในเมื่อมีกิเลสอยู่เป็นอย่างนั้นทั้งหมด เพียงแต่บอกวิธีการไง ที่พูดนี้พูดเพื่อวิธีการ พูดเพื่อความเข้าใจไง เข้าใจแล้วถ้าเราไม่รู้เหตุ เราก็ไปแก้ผลไม่ได้ ทำไมเราปฏิบัติถึงไม่เป็นผล เพราะเราไม่ทุ่มเต็มที่ เราไม่ทุ่มตามความเป็นจริง เราไม่ทุ่ม เราไม่ทุ่มไง เราว่าทุ่ม เราว่า เห็นไหม พอเราว่านี่กิเลสมันอยู่หลังเรา เพราะเราว่า กิเลสมันอยู่หลังคำพูดเราทั้งหมดเลย เพราะสังขารปรุง ใครปรุงก่อน? กิเลสพาปรุง ใครเป็นตัวคิด? กิเลสพาคิดทั้งหมด หันกลับมาดูตรงนี้ไง หันกลับมาดูตรงนี้

ถ้าหันกลับมาดูตรงนี้ความจริงเราเกิดขึ้น ความจริงเราเกิดขึ้น พอเกิดขึ้น เพราะเรารู้ไง ทำไมมันไม่เป็นผล เราเชื่อแล้วนี่ เชื่อตามทฤษฎีหนึ่ง ถึงการปฏิบัติจะไม่ได้ จะไม่ได้นะ ดูอย่างเมื่อกี้ที่ว่าเริ่มจากทาน ศีล ภาวนา การเข้ามาถึงเรื่องของการให้ทานนี่เพราะเราเชื่อมั่นแล้วหนึ่ง เพราะเชื่อมั่นแบบนั้น การยกขึ้นมา เวียนเทียน การควบคุมกิริยาไง นี่ศีล ภาวนานี้มันเป็นการเข้าไปจุดใกล้อำนาจใดๆ ทั้งสิ้น การเข้าไปใกล้อำนาจ การเข้าไปศูนย์ของกลางอำนาจใด การเข้าถึงนั้นยาก เพราะเขาต้องป้องกัน เราจะเข้าไปศูนย์อำนาจของกิเลสไง

การทำทานนี่กิเลสมันก็ต่อต้านพอเบาๆ เท่านั้นแหละ พอมีศีลมันก็ต้านปานกลางไง พอจะเข้าไปทำลายถึงศูนย์ของอำนาจศูนย์ของกิเลส การต่อต้านนั้นสุดๆ มันยิ่งยากขึ้นเรื่อย เห็นไหม แล้วมันเป็นนามธรรมด้วย การเข้าถึงศูนย์อำนาจของกิเลสไง การรักษาความปลอดภัยของมันขนาดไหน เราจะเข้าไปทำลาย แล้วไม่รู้ทำลายตรงไหนด้วย มันหลอกให้ตีที่ผิดด้วย แล้วมันวกกลับมาๆๆ ว่า ทาน ศีล ภาวนา ทำไมทำอย่างนั้นทำกันง่ายๆ

ก็เหมือนกับว่าเราเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยนี้มาก ตำแหน่งสูงขึ้นๆ นะ ยอดพีระมิดสูงขึ้น ตำแหน่งจะน้อยลงๆๆ การปฏิบัติ ดูสิ ทุกคนเป็นชาวพุทธทั้งหมด ทะเบียนบ้าน เวลาทำความดี เป็นกุศลเท่าไร แล้วบวกลบออกมา ปฏิบัตินี่เท่าไร เทียบมาเลย แล้วไม่เทียบแค่นี้นะ เทียบประชากรทั้งโลก กี่พันล้านคน นี่ถ้าเทียบเป็นกำลังใจก็ได้กำลังใจ เราเป็นหนึ่งในกี่พันล้าน แล้วเราเข้ามาใกล้นี้ นี่ปัญญาการพาตนออกจากกิเลสไง

พาตนออกจากกิเลสมันต้องมีการพลิกตลอด ใช้ของเดิมไม่ได้ วันนี้ทำอย่างนี้ได้ผล ได้ผลนะ พรุ่งนี้ทำอย่างนี้อีก โอ้โฮ! เมื่อวานได้ผลนะ วันนี้ทำตาม...หมด นี่กิเลสมันทันตลอดเลย กิเลสมันอยู่ข้างหลังการที่ออกมาประพฤติปฏิบัตินั่นล่ะ ถึงว่าต้องเป็นปัจจุบันธรรมไง ถึงจะซ้ำกัน ถึงจะเหมือนกันก็ให้เป็นปัจจุบัน ไอ้ที่เป็นเมื่อวานก็เป็นเมื่อวาน อันนี้ก็เป็นวันนี้ เช่น ข้าว ข้าวเมื่อวานนั้นก็หม้อนั้น วันนี้ก็หุงข้าวก็หม้อนี้ เห็นไหม ถ้าเป็นปัจจุบันมันใช้ได้ ปัจจุบันนี้เกิดขึ้นจากปัจจุบัน ถ้าเป็นสัญญา ถ้าเป็นความคาดหมาย อันนั้นมันใช้ไม่ได้ นี่มันมีตรงนี้ เราจะลังเลสงสัย เราจะว่าอันไหนเป็นปัจจุบันไม่ปัจจุบัน

ปัจจุบัน หมายถึงว่า มันคำนวณ มันคิดแล้วมันปล่อย นี่ปัญญา ปัญญาคือการใช้ความคิด ความคิดเป็นสังขารไง ถ้าความคิดแบบโลก กิเลสพาคิด อันนั้นทุกข์ แต่ก็ใช้ความคิดเหมือนกัน มันเป็นสังขารอันเดียวกัน แต่เพียงแต่ว่าเป็นธรรมะใช้หรือกิเลสใช้ ถ้าสมาธิมี ความรู้สึกเราพร้อม แล้วเราหมุนความคิดอันนั้นไป อันนี้เป็นธรรม ไม่ใช่ว่าถ้าคิดแบบโลก เราคิดไปนี้ อันนี้เป็นความทุกข์มากเลย แล้วพอจะไปปฏิบัติธรรม เราจะไปนอนเฉยๆ ให้ว่างๆ...ไม่ใช่นะ ก็ใช้ความคิดเหมือนกัน เห็นไหม ถึงว่าเป็น ภาวนามยปัญญา

เป็นภาวนามยปัญญา เพราะมันครบองค์ ๘ ของมรรคอริยสัจจัง ไง ดำริชอบ การดำริในงาน ดำริชอบ ดำริในวงภาวนา ดำริเชื่อในศาสนา เชื่อในวงกัน ความเพียรชอบเป็นการงาน สัมมากัมมันโต การงานชอบ...เลี้ยงชีวิตชอบ เลี้ยงชีวิตชอบนี้สำคัญที่สุดนะ เลี้ยงชีวิตชอบนี้ เพียงแต่เลี้ยงผิดเลี้ยงถูก เลี้ยงชีวิต เลี้ยงหัวใจไง ใจกินอารมณ์เป็นอาหาร ใจกินปัญญา กินความคิดนี้เป็นอาหาร กินอยู่ตลอดเวลา ถ้าคิดเป็นโลกมันก็เป็นโลกไป ถ้าคิดว่าเป็นธรรม เห็นไหม

แล้วตัวสุดท้ายคือว่า สัมมาสมาธิไง ความมีสมาธิชอบ ความมีสมาธิชอบนี้ เป็นองค์ ๘ ตัวนี้มันก็เป็นความคิด งานชอบ ความเพียรชอบ ชอบทุกอย่าง ความดำริชอบ ความคิดชอบ ชอบออกมาแล้วเป็นอย่างไร? ก็เลยกลายเป็นภาวนามยปัญญา เกิดจากตัวสมาธิ ตัวตัดจากแรงดึงดูดของโลกเป็นของธรรมเท่านั้นเอง

แรงดึงดูดของโลก ถ้าเราคิดโดยปกตินี้เป็นแรงดึงดูดของกิเลส แรงดึงดูดของกิเลสนี้เป็นเรื่องของโลกียะ ใช้สมาธิ ความว่าง ตัวตัดตัวแรงดึงดูดของกิเลส ตัวแรงดึงดูดของกิเลส ความคิดออกมานี้มันเป็นธรรม พอเป็นธรรม ตัวนี้ไง ตัวนี้คือว่าก็ใช้ปัญญา ใช้ความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดโดยธรรม ความคิดโดยธรรม คิดแล้วมันจะปล่อยๆ ปล่อยหมายถึงว่า หัวใจจะเป็นอิสระ เมื่อก่อนคิดแล้วกดถ่วงหัวใจ จะมีความทุกข์เกิดขึ้น

ถ้าปัญญาเกิด มันคิดแล้วมันจะปล่อยวางๆ ปล่อยวางเรื่อยๆ แล้วความคิดนี้จะหมุนขึ้นเรื่อยๆๆ ความปล่อยวาง ความชำระออกด้วยๆ จิตนั้นจะเป็นอิสระขึ้นไปเรื่อยๆ ฟังสิ จิตนั้นเป็นอิสระขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะว่ามันชำระล้างออกไปตลอด จนถึงจุดหนึ่ง จิตนี้มันจะพลิกตัว ความสะอาดนะ ความชำระล้างอันนั้น มันจะชำระล้างขึ้นไปเรื่อยๆ ไง นี่ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันหมุนขึ้นไป หมุนอันนี้มันหมุนยังไม่เที่ยง หมุนยังไม่ลงพอดีไง

มรรคอริยสัจจัง มันสามัคคีไง มรรคนี้รวมกัน รวมตัวไง มรรคนี้รวมตัว เหมือนเราทำของ เราหมุน เราผสมส่วนผสมของสารเคมี มันผสมจนเข้ากันได้ที่เป็นเนื้อเดียวกันไง จิตนี้เป็นเนื้อเดียวกัน สมาธินี้ ความคิดนี้ สัจจะนี้ ความจริงทุกอย่าง มรรค ๘ รวมตัวไง รวมเป็นสามัคคี ชำระไง ตัดขาด ตัดขาดจากความเห็นผิด เมื่อก่อนความเห็นนี้กิเลสมันใช้ให้คิดผิดๆ พอมรรคตัดออกแล้ว ความเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่เรา ความเห็นว่าสิ่งต่างๆ โลกนี้เกิดดับโดยธรรมตามความเป็นจริง ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ ความเกิดขึ้น ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับทั้งหมด

พระอัญญาโกณฑัญญะ รู้ตรงนี้ไง พระพุทธเจ้าเปล่งอุทานเลย บอกว่า “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ’’ อัญญาโกณฑัญญะเหยียบเข้ากระแสของนิพพานแล้วไง สรรพสิ่งในโลกนี้เกิดขึ้นทุกอย่างต้องดับทั้งหมดเลย แต่ความเห็นของกิเลส สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นของเรา เราจะลูบ เราจะคลำ เราจะถนอมไว้ใช้กับเราตลอดไปไง สิ่งสิ่งนั้นเราจะยึดไว้กับเราไง แต่ตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงที่ทฤษฎีอย่างหนึ่ง ตามความเป็นจริงสอนใจของตัวจนเห็นตามสภาวะตามเป็นจริง ตามเนื้อแท้ จิตนี้กับความเห็นจะทำเป็นเนื้อเดียวกัน อะไรหลอกมันไม่ได้ไง

ความคลายออก ความคลายออกจากความเห็นผิด มันคลายออก มันสลัดทิ้งเลย นั่นน่ะถึงว่าเป็นขณะจิตที่อะไรก็หลอกไม่ได้ คนคนนี้ไม่ใช่เป็นมนุษย์ธรรมดา มนุษย์คนนี้เป็นมนุษย์ที่ว่าเหนือมนุษย์ ร่างกายมนุษย์ ความประพฤติปฏิบัติ คำพูดการกระทำ ทุกอย่างเหมือนมนุษย์ทั้งหมด แต่หัวใจดวงนั้นไม่เหมือนมนุษย์ เพราะว่าความเห็นในใจดวงนั้นมันเปลี่ยนไปแล้ว ความเห็นในใจดวงนั้นน่ะเปลี่ยนไปจากความเห็นตามโลกเขาเห็นเลย เปลี่ยนไปเลย เปลี่ยนไปตามความเป็นจริงนะ ไม่ใช่เปลี่ยนไปตามความเสกสรรปั้นยอของบุคคลใดก็แล้วแต่ โลกเขาประทานกัน เขาให้ปริญญากัน ต้องให้บุคคลคนอื่นรับประกันไง

ปัจจัตตัง ความรู้ตามความเป็นจริง จิตดวงนั้นรู้ตามความเป็นจริง เห็นตามเป็นจริง ธรรมะประทานให้ไง ธรรมแท้ๆ ประทานนะ เพราะใจนั้นเข้าถึงธรรม ธรรมกับใจดวงนั้นเข้าถึงกัน ประสานกันเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นตามความเป็นจริงน่ะ...ใครประทานให้? ถึงว่าเป็นปัจจัตตังไง ถึงเปิดกว้างนะ ศาสนานี้ถึงเปิดกว้าง แล้วทุกคนเข้าได้หมด

คนที่มีหัวใจ คนที่มีหัวใจไง เพราะหัวใจ ภาชนะที่จะรับธรรม ภาชนะที่จะสัมผัสธรรมคือใจเท่านั้น ตู้พระไตรปิฎกบรรจุหนังสือไว้ หนังสือนั้นพิมพ์เป็นตัวอักษร เป็นกิริยาออกมาจากหัวใจของพระพุทธเจ้า ธรรมะคือหัวใจของพระพุทธเจ้า แล้วอธิบายออกมาเป็นกิริยา แล้วจดจารึกกันมา แล้วหัวใจเราก็ศึกษากิริยาอันนั้น ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น แล้วประพฤติปฏิบัติเข้าไป ดันหัวใจเข้าไปถึงธรรมอันนั้นเหมือนกัน ถึงว่าภาชนะที่จะสัมผัส ที่จะเป็นภาชนะบรรจุธรรมคือหัวใจเท่านั้น หัวใจคือจิตเท่านั้นที่จะเข้าไปถึงธรรมดวงนั้นไง

นี่ย้อนกลับ เราย้อนกลับ...บ้าน เราอยู่นอกบ้าน เราอยู่ในบ้านนะ นี่ก็หัวใจเหมือนกัน หัวใจของเรา เราว่าหัวใจของเรา เราเข้าใจว่าหัวใจของเรา เราเป็นเจ้าของหัวใจ แต่ทุกคนไม่สงสารหัวใจของตัวเองเลย ทุกคนมองข้ามหัวใจของตัวไปหมด ทุกคนมองข้ามหัวใจของตัว เพราะเราไปยึดสิ่งเครื่องประดับของใจ ยึดสิ่งที่เกาะเกี่ยวอยู่ที่ใจไง เราไม่เคยนึกถึงหัวใจ ไม่เคยเห็นใจของตัวเลย มันถึงไม่รู้จักคุณค่า ไม่รู้จักคุณค่าของมนุษย์ ไม่รู้จักคุณค่าสิ่งที่จะบรรจุธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ มองข้ามสิ่งที่มีค่าที่สุดคือกลางหัวอกของมนุษย์ทุกๆ คน ทั้งๆ ที่มนุษย์คนคนนั้นเป็นผู้ปฏิบัตินั่นล่ะ มนุษย์คนที่ปฏิบัตินั้นก็ยังมองข้ามสิ่งที่จะไปบรรจุ ภาชนะที่จะไปบรรจุธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วเอาอะไรจะไปบรรจุ

ถ้าเห็นคุณค่าของภาชนะ เห็นไหม การประพฤติปฏิบัติ การจะคงเส้นคงวาในการประพฤติปฏิบัติมันต้องมี การคงเส้นคงวา ความมานะ ความมุมานะ ความอุตสาหะ ความจริงจังของเราต้องมี เพราะเราเห็นคุณค่า เหมือนเราเข้าป่าล่าสัตว์ เข้าไปในป่า วิ่งหาล่าสัตว์ หาสัตว์ ยิงสัตว์ ไม่เจอสัตว์ นี่ก็เหมือนกัน เราเข้าใจว่าเราๆๆ แต่เราไม่เห็นว่าหัวใจเราอยู่ตรงไหน เราไม่เคยจับต้องใจเราว่าอยู่ตรงไหน...นี่เหรอการปฏิบัติ

เรานี่ แล้วพอคิดอย่างนี้กลับมา นี่คือปัญญานะ อันนี้คือการให้ปัญญา ให้แนวความคิด แล้วเอาแนวความคิดนี้คิดออกมาเพื่อหัวใจดวงที่คิด เพื่อหัวใจดวงนั้น หัวใจดวงที่จะออกจากกิเลสไง หัวใจดวงที่จะเอาตัวเองพ้นออกจากทุกข์ หัวใจของตัวเอาพ้นออกจากทุกข์น่ะ วนกลับมาๆ เราไปโทษสิ่งใดๆ โทษทุกอย่าง โทษคนอื่นหมดเลย อันโน้นก็ไม่สมควร อันนี้ก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่เป็นความเป็นจริง อะไรก็ไม่ ไม่ดีทั้งหมด แล้วคนที่โทษเขาล่ะ? สิ่งที่ไปติเขาล่ะ เห็นไหม ถึงบอกเราไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ของใจทั้งหมดไง เราไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ของใจของตัว

สติ สติความระลึกรู้ สติคือการเครื่องดำเนิน เครื่องสอดส่อง สอดส่องความผิดความถูกจากความคิดของเรานั่นล่ะ สอดส่องดู การสอดส่อง การใคร่ครวญ แล้วจะเห็นจุดเห็นที่บกพร่อง เห็นจุดเห็นที่บกพร่อง การจะเข้าไปชำระล้างไง ต้องชำระล้าง เห็นไหม เปรียบเทียบเหมือนกับสิ่งที่รู้ตามความเป็นจริง กับสิ่งที่ว่าโดนกิเลสมันหลอก...กิเลสหลอกจริงๆ นะ ความเห็นของทั่วๆ ไปเห็นอย่างนั้น เห็นตามแรงโฆษณา ตามแรงประชาสัมพันธ์ไปทั้งหมดเลย

แต่ถ้าหัวใจถึงธรรม กับใจเป็นอันเดียวกัน อันสิ่งนั้นเป็นเรื่องโลก เราอยู่ในกระแส เรายอมรับ เพราะธรรมนี้ธรรมะละเอียดกว่าโลก ธรรมะไง กว้างขวางเหมือนสุญญากาศ บรรจุทุกๆ อย่างได้ทั้งหมด แล้วมันจะไปขวางโลกตรงไหน? มันไม่ขวางโลก แต่ถ้ามันขวางกิเลสนั้นอีกเรื่องหนึ่ง ขวางกิเลส หมายถึงว่า เป็นข่ายของปัญญาไง ข่ายนะ เป็นตาข่าย ตาข่ายเขาดักสัตว์ เห็นไหม อันนี้ข่ายของปัญญาไง ปัญญาที่เขาบอกว่าไม่ต้องการสิ่งจอมปลอมเข้ามาหลอกตัวเอง ไม่ต้องการสิ่งจอมปลอมใดๆ เข้ามาหลอกต้มให้เรานี้หลงตามกระแสโลก นี่ถ้าข่ายปัญญาอย่างนี้จริง

ธรรมะไม่ขวางโลก แต่ธรรมะรู้ทันโลก ธรรมะเป็นข่ายปัญญาคอยจับ คอยความเป็นไปของโลกไง เห็นไหม มันถึงไม่ขวาง เป็นไปไม่ได้ว่าผู้ปฏิบัติธรรมจะไปขวางโลก ไม่มีขวางโลก ไม่มี เพียงแต่ว่าจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ กาลอันนี้ควรเป็นแบบใด กาลอย่างนี้เป็นกาลขนาดไหน ถ้าเป็นเรื่องของโลกเราก็ไปตามโลก ถ้าเป็นกาลของธรรมนี้ เป็นกาลของธรรม อย่างเช่น ปัจจุบันกาลอย่างนี้ กาลของการสั่งการสอน การบอกวิธีการ การบอกต้องบอกโทษ เหมือนหมอนะ หมอรักษาคนไข้ไง เขาถึงบอก อันนี้เชื้อโรค...

...ร่างกายฟื้น ฟื้นขึ้นมาเพื่อจะ...สิ่งนั้นต้องส่งเสริม พวกวิตามิน พวกสิ่งส่งเสริมร่างกายให้ฟื้นจากเจ็บไข้ได้ป่วย เพื่อจะมาต่อสู้ไง อันนั้นต้องส่งเสริม หมอเขายังต้องทำแบบนั้น แล้วการประพฤติปฏิบัติมันละเอียดกว่าหมอ ละเอียดกว่าหมอตรงไหน? ละเอียดกว่าหมอมากๆๆ เหลือเกิน เรื่องธรรมนี้ละเอียด เพราะเรื่องหมอนี้เรื่องของโลกไง คนใดเป็นไข้ ลูกเราเป็นไข้นะ ลูกเราเป็นไข้เราไปให้หมอ ลูกเราไม่ต้องการกินยาเลย ลูกเรานี่จะต่อต้านทุกอย่าง ทำไมหมอเขาฉีดยาได้ล่ะ? เพราะเป็นเรื่องวัตถุใช่ไหม เพราะยามันเป็นวัตถุใช่ไหม มันฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อได้ใช่ไหม

ถ้าธรรมะนี้ ดูสิ ลูกของเรา คนในปกครองของเราไม่เชื่อฟังเรา เราพูดธรรมะ พูดจนหูฉีกมันฟังไหม เพราะอะไร เพราะธรรมะมันเป็นธรรม มันไม่ใช่วัตถุที่จะฉีดเข้าไปได้ มันเป็นวาสนาบารมีของผู้ที่จะมารับด้วย...ใจเปิดไม่เปิด ดูอย่างพระพุทธเจ้าเทศน์สิ เวลาผู้ที่ฟังแล้วเข้าใจนี้ “พระพุทธเจ้านี่ยอด เปรียบเหมือนกับผู้ที่เปิดของที่ปิดอยู่ เปิดของคว่ำอยู่หงายขึ้น ภาชนะที่ปิดอยู่หงายขึ้น เพื่อรับธรรมของพระพุทธเจ้า” เห็นไหม ธรรมะเป็นแบบนั้น ธรรมะนี้ไม่ได้บังคับ ไม่ใช่ขู่เข็ญ เพียงแต่เปิดใจไม่เปิดใจ ความเห็นตัวเองถูกต้องไม่ถูกต้อง มันถึงว่ายิ่งกว่าหมอ

สิ่งใดที่ควรจะกระทบใจ สิ่งใดที่บอกสะกิดใจ การสะกิดใจ การสะดุดใจ สิ่งนั้นนั่นนะ การสะดุด การสะกิด คือการเปิด การเคาะไง นี่ธรรมะเป็นแบบนั้น ธรรมะถึงต้องมีการทวนกระแส ทวนกระแสโลกเข้าไปไง ถึงว่าการเคาะ การบอก การแนะวิธีการ

แล้วเราถึงจุด วุฒิภาวะของใจ พระสมัยพุทธกาลกำลังวิปัสสนา จะไปถามพระพุทธเจ้าไง กำลังวิปัสสนาด้วยปัญญาหมุนติ้วเลย แล้วหาทางออกไม่ได้ จะไปเรียนถามพระพุทธเจ้า ไปถึงกุฏิไง พอดีเกิดฝนตก หลบอยู่ที่ใต้ถุน ฝนตกลงมา น้ำฝนตกลงมาเป็นตุ่ม เป็นต่อม แล้วแตก เป็นฟองแตกขึ้นๆ การที่ตัวเองวิปัสสนาอยู่ เห็นสิ่งกระทบเข้ามาไง เห็นฟองน้ำที่แตกเป็นต่อมๆ มันกระทบเข้าใจนะ กิเลสขาดเดี๋ยวนั้น มาถึงใต้ถุนจะขึ้นบันไดก็จะไปกราบเรียนถามพระพุทธเจ้า ไม่ขึ้น เดินกลับเลย เห็นไหม นี่เวลาปัญญามันหมุนไง แล้วสิ่งที่กระทบ แล้วเหตุการณ์แบบนั้นเราเห็นกันทุกวัน เราเห็นฝนตก เห็นทุกวัน เห็นฟองแตกทุกวัน ทำไมเราไม่ได้ ทำไมเราไม่เข้าใจตามนั้น? เราเข้าใจตามทฤษฎี

พูดถึงว่าใจไง วุฒิภาวะของใจ ขั้นภูมิ ภพภูมิของใจ จากที่ว่าเมื่อกี้นี้ จากที่ว่าจิตปกติ จิตเป็นโลกียะ เห็นสภาวะตามความเป็นจริง “สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับทั้งหมด สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไป สิ่งใดมี สิ่งนั้นต้องบุบสลายทั้งหมด โลกนี้ไม่มีอะไรคงที่ทั้งหมด” เห็นไหม นี่เพราะเข้าใจตามสภาวะตามความเป็นจริง เข้าใจเหรอ นี่คือคำพูดไง

แต่ความจริงไม่ใช่เข้าใจ มันสมุจเฉท มันชำระกิเลสได้สังโยชน์ถึง ๓ ตัว สักกายทิฏฐิไง ความเห็นว่ากายเป็นเรา ความลังเลสงสัยในธรรมะ ความลังเลสงสัย วิจิกิจฉา แล้วความเคลือบแคลงในศีล ในแนวทางปฏิบัติ สีลัพพตปรามาส ความเคลือบแคลงในศีล ความเคลือบแคลงในแนวทางปฏิบัติ มันข้ามพ้นไปเลยล่ะ ข้ามพ้นออกไป นั่นเห็นตามความเป็นจริง

แต่อันนี้ไม่นะ อันนี้ก็หมุนอยู่ หมุนอยู่เข้ามาๆ อันนี้ภพภูมิของใจสูงขึ้นมา พอสูงขึ้นมาแล้วความเห็นต่างกันแล้ว พอเห็นต่าง พอขึ้นไปข้างบนๆ เห็นไหม นี่การฟังธรรมนี้อยู่ที่ภพภูมิของใจ ภพภูมิของความคิด ภพภูมิของสมาธิ พื้นฐานที่แน่นในหัวใจ จิตนี้เป็นหนึ่ง จิตนี้แน่น จิตนี้เป็นหนึ่งนะ สมาธิ ทำความสงบเข้าไปบ่อย จิตจะเป็นสมาธิ สมาธิคือความมั่นคงของใจ ใจตั้งมั่น จิตตั้งมั่น จิตนี้เป็นหนึ่ง เห็นไหม จิตนี้เป็นหนึ่ง แล้วจิตนี้วิปัสสนาจนเข้าใจสภาวะความเป็นพื้นฐาน เป็นพื้นฐานที่ว่ามีการรองรับ เหมือนกับสถานีอวกาศ มีรองรับนักบินอวกาศอยู่บนอวกาศได้ นี่เหมือนกัน จิตมีภูมิ มีฐาน วุฒิภาวะของใจเป็นชั้นหนึ่ง ขั้นหนึ่ง ถึงบอกว่า ผู้ที่เหยียบกระแสของนิพพานความเห็นต้องต่าง พอเห็นต่างนี่ปัญญามันจะหมุนตามทันได้ นี่ฟังธรรมแล้วมันจะเข้าใจตามธรรม

เรานี่เห็นกันทุกวันๆ แล้วเราไม่เข้าใจ เราไม่กระทบเข้ามาถึงใจ เราไม่กระทบเพราะเราไม่ได้คิดอย่างนั้น เราคิดแบบโลกไง แล้วเราไม่มีวุฒิภาวะของใจที่จะรองรับตรงนี้ด้วยไง นี่ปัญญาๆ ปัญญาการมองออกไปถึงไม่เหมือนกัน ความรับรู้ก็ไม่เหมือนกัน คำพูดคำเดียวกัน พูดออกไปคำเดียวกัน วุฒิภาวะของใจต่างกันก็รับรู้ต่างกันแล้ว นี่ภาชนะที่จะรับรู้ธรรม ภาชนะเข้าไปเสพธรรมไง เสพธรรมนะ เสพธรรมจนเป็นอันเดียวกับธรรม เอโก ธัมโม จิตนี้เป็นหนึ่งเดียว จิตนี้เป็นธรรมทั้งแท่ง “เอโก ธัมโม” เอโก เป็นหนึ่งนะ ธัมโม หนึ่งที่เป็นธรรมด้วยไง มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เอโก ธัมโม ออกไปเป็นหนึ่งเดียว

ไต่เต้าขึ้นไปจากกิเลสเต็มตัวทุกๆ คน คนที่เกิดมา คนที่มีการเกิด คนเกิดทุกคนมีกิเลสหมด ไม่ใช่แค่เรานะ ไม่ใช่แค่พวกเรา แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะการเกิดนั้นมันเป็นธรรมชาติของการเกิด ต้องอาศัยตัวนั้นตัวเกิด คือตัวอวิชชา ตัวไม่รู้...ไม่รู้ในอะไร? ไม่รู้ในตัวเอง แต่มันรู้ในกระแสกรรม มันหมุนไปตามกรรม ปฏิเสธไม่ได้ เราปฏิเสธโลกนี้ไม่ได้ เราปฏิเสธกระแสการเงินของโลกไม่ได้ เราปฏิเสธใดๆ ไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะมันเป็นตามความเป็นจริง หัวใจที่ไปเกิดเหมือนกัน หัวใจที่มาเกิดทุกๆ ดวงเหมือนกันทั้งหมด มันเป็นไปตามกรรม มันเป็นไปตามสิ่งที่มันสะสมมาในหัวใจทุกๆ ดวง วาสนาแข่งกันไม่ได้

ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องเคืองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะที่มาเกิดๆ อยู่นี้ เพราะเราทำมาทั้งนั้น ทุกๆ คนสร้างกรรมมา สร้างกรรม กรรมตัวนี้พาเกิด เกิดเป็นมนุษย์แล้วมาพบพระพุทธศาสนา แล้วได้ประพฤติปฏิบัติ อันนี้บุญกุศลมหาศาล ดูการเกิดของสัตว์โลกที่เขาเกิดอยู่ทุกข์ๆ ยากๆ มหาศาลเลย นั่นกรรมเขาพาเกิดไปอย่างนั้นไง

นี่การเกิด การเกิดทุกดวงใจ สิ่งที่เกิดขึ้นมากิเลสทั้งหมด กิเลสทั้งหมด ไม่มีใครสูงใครต่ำกว่ากันในการเกิดการตาย เป็นญาติกันโดยธรรมไง การเกิดการตายนี้มีค่าเท่ากันทั้งหมด ต่างกันด้วยบุญกุศลของดวงใจแต่ละดวงที่ว่ากรรมอันนั้นต่างหากล่ะ มันถึงว่าเวลามาปฏิบัติ มาประพฤตินี่มันถึงไม่เหมือนกัน ถึงว่าธรรมะถึงได้เปิดกว้างไง ธรรมะ กรรม ทุกอย่างเข้ากันได้หมด เพราะพระพุทธเจ้าเป็นสยัมภู พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ผู้ที่มีธรรมในหัวใจเป็นพระอรหันต์ จะทำจะบัญญัติ จะวางกฎเกณฑ์ใดๆ ที่ไปขัดกัน...ไม่มี ต้องไปทางแนวทางเดียวกันทั้งหมด เปิดกว้างไว้ทั้งหมด

นี่มันเป็นความจริงที่ว่าเราเกิดมาในพระพุทธศาสนา เราเกิดมาตามความจริง บุญกุศลมหาศาล มหาศาลจริงๆ เพราะทางที่จะพาให้ก้าวดำเนิน มรรคอริยสัจจัง...ไม่มีหรอกถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ ไม่ตรัสรู้นะ ใครจะหาทางออกอันนี้เจอ ขนาดพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว วางหลักเกณฑ์ไว้แล้ว ครูบาอาจารย์มาตั้งแต่หลวงปู่มั่น ตั้งแต่ครูบาอาจารย์มา บอกชี้แนะจิ้มๆ ไชๆ อยู่ทุกวันเรายังทำไม่ได้เลย คิดดูสิ ดูถึงอำนาจวาสนา

แล้วย้อนกลับไปถึงว่าพระพุทธเจ้าไม่มีใครบอก ทำมาได้อย่างไร พระพุทธเจ้าไม่มีใครบอก สยัมภูตรัสรู้ด้วยตนเอง ไปเรียนมากับอาฬารดาบส อาฬารดาบส อุทกดาบส สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ ไปกับเขาทั้งหมด ลองมาทุกวิชาทุกสาขา ฌานไหน สมาบัติไหน เรียนมาทั้งหมด แล้วก็ชำระกิเลสไม่ได้ ชำระไม่ได้

พุทธวิสัย เป็นเรื่องอจินไตย ขวนขวายขนาดไหน ยังหา ยังไปศึกษามาก็ยังไม่ได้ แล้วเรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่เดี๋ยวนี้ไง อะไรแปลกมาปลอมมา...มับ คว้ามับๆ นะ สิ่งใดแปลกปลอมมานี่ในหัวใจชอบ ทางไหนลัด ทางไหนสะดวก ทางไหนสบาย ทางนั้นมันจะทางลงเหว มรรคอริสัจจังนี้ต่างหากไง

“สุภัททะ เธออย่าถามให้เสียเวลาไปเปล่าเลย ศาสนาใดไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผลหรอก ศาสนาไม่มีเหตุจะเอาผลมาจากไหน รอยเท้าบนอากาศไม่มี” รอยเท้าของสัตว์ รอยเท้าของมนุษย์อยู่บนกลางอากาศไม่มี รอยเท้ามันต้องอยู่บนดิน อยู่ที่บนรอยที่เราจะเห็นรอยเท้าเราได้ ถ้าไม่มีมรรค ไม่มีพื้นฐาน เอาผลมันมาจากไหน

นี่ย้อนกลับมาให้กำลังใจตัวเองไง ที่พูดนี่ให้ย้อนกลับมาให้กำลังใจตัวเองว่า การเกิด การเป็นมนุษย์ ศักดิ์ศรี สิทธิเสรีภาพเท่ากัน เสมอกันโดยธรรม แต่เรามีโอกาส มีวาสนามหาศาลเลย มหาศาลเลย สาวกะ สาวก สาวกะ สาวกผู้ได้ยินได้ฟัง ผู้ได้อบรมสั่งสอน สาวกะ เราเกิดท่ามกลางพระพุทธศาสนา ครูบาอาจารย์พร้อม แล้วมาเทียบถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สยัมภู นี่ถึงว่าศาสนา ถึงว่าธรรมะละเอียดอ่อนขนาดไหน ธรรมะนี้จรรโลงโลกขนาดไหน ธรรมะไง ธรรมะ ธรรมของพระพุทธเจ้า

ในโลกนี้สมบัติใดมีค่า สมบัติใดมีค่านะ พระพุทธเจ้าสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้วถึงได้ย้อนกลับมาดูนะ สมบัติใดโลกนี้ที่ว่ามีค่า สมบัติใด “รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง” รสของธรรมที่มีเศษในหัวใจของพระพุทธเจ้า นี่ชนะทั้งหมด ถ้าไม่ชนะมันจะสลัดรสของโลกไม่ได้ รสของโลกเขานี่ ที่โลกเขาติดกันอยู่นี่ ธรรมะต้องเหนือ รสของธรรมชนะทั้งหมดเลย สลัดโลกออกหมด สลัดกิเลสออกหมด สลัดออกทั้งหมด มันสุขขนาดไหน ที่ว่าเยี่ยม ที่ว่าดี รสที่เขาเสพกัน เขาว่าดีน่ะมันดีขนาดไหน แต่เวลาเสพธรรมที่มันเหนือขึ้นไปขนาดไหนถึงได้สลัดออกจากโลกทั้งหมด สลัดออกจากกิเลสทั้งหมดไง นั่นน่ะธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมนะ ธรรม เอโก ธัมโม จิตที่เป็นหนึ่งนั้น จิตที่เป็นหนึ่งนั้น จิตที่ยอดเยี่ยมอันนั้น

นี่การแสวงหา การแสวงหา การเข้าสู่ธรรมไง การเข้าสู่ๆ มันวกกลับมานี่ วกไปวกมา วกมาให้ฝึกคิด ให้วกมาเปรียบเทียบ ให้เปรียบเทียบ ให้เครื่องดำเนิน ให้กำลังใจไง มันมีทั้งจากประวัติมาจาก ๒,๕๐๐ กว่าปี เห็นไหม นี่มันยืนยันไง พอมันยืนยันอย่างนี้ เราก็เอาหัวชนเขาสิ หัวชนเขาเลย ชนภูเขาทั้งลูกนะ ว่าจะดันไปให้ได้ ก็พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ ตั้งสมัยนั้นนะ แล้วสมัยนี้ล่ะ สมัยปัจจุบันเรานี่ มรรคผลจะหมดไปแล้วหรือ

ถ้ามรรคผลหมดไปนี่ พระศรีอริยเมตไตรย...อีก ๕,๐๐๐ ปี ศาสนานี้หมด ศาสนานี้พระพุทธเจ้าวางไว้ ๕,๐๐๐ ปี แล้วจะเสื่อม จะเสื่อมไป ถึงคราวโลกสูญจากศาสนา โลกจะสูญจากศาสนาก็เลยเห็นแก่ตัวไง หัวใจจะไม่พึ่ง ไม่อาศัยกัน จะไม่คิดอะไร จะไม่มีแบ่งมีความเมตตากัน นี่มันจะทุกข์มากนะ จนกว่าโลกนี้จะปั่นป่วนไปทั้งหมด ถึงจุดหนึ่งนะ ปั่นป่วนถึงจุดหนึ่ง จนเอะใจไง ถึงว่า “เออ...เลิกเถอะ เลิกเถอะ เลิกๆๆๆ ทำลายกัน” แล้วโลกจะวิวัฒนาการกลับมาใหม่ วิวัฒนาการกลับมาใหม่แล้วพระศรีอริยเมตไตรยถึงจะมาตรัสรู้ไง แล้วมันเสื่อมตรงไหน ถ้าเสื่อมพระศรีอริยเมตไตรยเอาอะไรมาตัด

๕,๐๐๐ ปีนี้ก็เหมือนกัน ๕,๐๐๐ ปี คิดดูสิ ถ้าเรามาเอาเรื่องอย่างนี้มาเทียบกับตัวเองนะว่านี่ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว ศาสนา ปฏิบัติไปจะไม่ได้ผล เราก็ว่าสร้างบุญกุศลกันเพื่อเกิดขึ้นไปพบพระศรีอริยเมตไตรย แล้วปัจจุบันนี้ล่ะ พบพระศรีอริยเมตไตรยนะ อีก ๒,๐๐๐ กว่าปีถึงศาสนาหมด เราจะเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติ เราจะทุกข์อีกเท่าไร น้ำตานี้ยังมีที่ให้ร้องไห้อีกเหรอ จะเอาอะไรไปชุบน้ำตาเราอีก...เราเอาตัวนั้นมาเทียบสิ เวลาเราปฏิบัติไม่ได้นี่ กิเลสมันหลอกไง

กิเลสในหัวใจของเรานี่แหละ มันกลัวเราจะหลุดพ้นออกไปจากมัน เหมือนกับเราสร้างบ้าน เรากลัวคนจะมาลักบ้านของเราไป กิเลสมันเอาหัวใจเราเป็นที่อยู่อาศัย มันก็กลัวว่าเราจะทำลายบ้านของมันไง ถ้าหัวใจนี้เข้าถึง หัวใจนี้พ้นจากกิเลส เห็นไหม พ้นจากกิเลสเข้าถึงธรรม กิเลสมันไม่มีที่อยู่ที่อาศัย มันสงวนบ้านมันไว้ไง แต่เราไม่รู้ เราไม่รู้ เราก็เชื่อมัน “เออ! สร้างบุญกุศลไป ปฏิบัตินี้เราไม่มีโอกาส ไม่มีวาสนา”

เห็นไหม เราไม่มีโอกาส เราไม่มีวาสนา ๑.

๒. พระพุทธเจ้าว่าไว้แล้ว ๒,๕๐๐ ปีไปจะไม่มีพระอรหันต์

พระอานนท์ถามพระพุทธเจ้าเลยว่า “พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว เมื่อใดจะหมดยุคหมดเขตหมดแดน สิ้นพระอรหันต์”

“อานนท์เธออย่าถามอย่างนั้นเลย ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย’’

เพียงแต่ว่าเราปฏิบัติไม่สมควรแก่ธรรม เราปฏิบัติสมควรแก่กิเลสไง ถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แม้แต่พระพุทธเจ้าไม่มีนะ ก็เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมมันต้องเป็นธรรมโดยเฉพาะสิ เหมือนกับสูตรวิทยาศาสตร์ เห็นไหม วิทยาศาสตร์น่ะ เราทดลองตามทฤษฎี เราทำตามสูตรนั้นมันต้องให้ผลสิ ถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมมันต้องให้ผลเด็ดขาด ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันก็เหมือนสูตรวิทยาศาสตร์นั่นล่ะ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันต้องให้ผลเป็นธรรมสิ เห็นไหม ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แต่การปฏิบัติของเรานี่มันสมควรไม่สมควรล่ะ? มันไม่สมควรแก่ธรรมมันก็ไม่ให้เป็นธรรม

ไม่ใช่อยู่ที่เพศนะ ไม่ใช่ว่าพระเท่านั้น “อ๋อ! เป็นเพศเป็นพระถึงจะปฏิบัติได้เข้าถึงธรรม”

นางวิสาขา พระพาหิยะ พระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระเหรอ พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพ่อของพระพุทธเจ้านะ นี่เป็นพระอนาคา จนพระพุทธเจ้าไปเทศน์โปรดสุดท้ายสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพาหิยะยังไม่ได้บวช พระพุทธเจ้าเทศน์สอนเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าให้ไปหาบาตรก่อน เป็นคฤหัสถ์ทั้งนั้นนะ ไม่เกี่ยวกับเพศ ไม่เกี่ยวกับเพศ หัวใจไม่มีเพศ หัวใจเป็นกลาง หัวใจไม่มีหญิงไม่มีชาย สมาธิไม่มีหญิงไม่มีชาย ธรรมะไม่มีหญิงไม่มีชาย...ไม่มี ออกจากเป็นโลกโดยสมมุติมา สมมุตินี้แบ่งแยกเท่านั้น ธรรมไม่มีแบ่งแยก ธรรมเสมอภาค ภราดรภาพ เสมอกันโดยธรรม ธรรมเท่านั้นเสมอภาคทั้งหมด เห็นไหม เป็นธรรมไง เสมอกันโดยธรรม ความเป็นธรรม

เราเรียกร้องหาธรรม เรียกร้องหาธรรม ขอความเป็นธรรม แต่หัวใจไม่เคยให้ธรรมมันเลย หัวใจเอาแต่ความสกปรก เอาแต่เรื่องอบายมุขเข้าไปทับถมไว้ตลอด เอาแต่ความพอใจ เอาแต่นอนจมไง นี่เวลาเราเรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้องความเป็นธรรมข้างนอก แต่เราไม่รู้จักความเป็นธรรมจริง เราถึงไม่สามารถเอาธรรมเข้าถึงใจจริง ถ้าผู้ที่มีธรรมในหัวใจจริง เขาเข้าใจตามความเป็นธรรมจริงนั้น ใจเป็นธรรมโดยธรรมชาติอยู่แล้ว นั่นน่ะใจเป็นธรรมโดยธรรม ถ้าหัวใจเราเป็นธรรมโดยธรรม จะไม่มีทุกข์อื่นเลย สุขล้วนๆ สุขล้วนๆ นะ หัวใจดวงนั้น

เพราะเรากลัวการเกิดและการตาย เวลากิเลสสิ้นออกไปจากใจแล้ว มันสิ้นตั้งแต่วันนั้น มันไม่มีการเกิดการตายอีกแล้ว ผู้ที่กิเลสสิ้นออกไปจากใจ ถึงมีชีวิตอยู่...ตามพระไตรปิฎกเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นผู้ที่นิพพาน แต่ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีเศษส่วน “สะ” เศษส่วนของความรู้สึก เศษส่วนของขันธ์ เศษส่วนของสมมุติไง เวลาตายสลัดผลัวะออกเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน

สอุปาทิเสสนิพพานกับอนุปาทิเสสนิพพาน เห็นไหม พระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตไป พระอรหันต์ที่ตายไป ธาตุพระอรหันต์ที่ตายไป นั่นน่ะเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน คือว่าเป็นนิพพานโดยเนื้อหาสาระเลย แต่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เห็นไหม “สะ” เศษส่วน สอุปาทิเสสนิพพานเศษส่วน เศษส่วนคือขันธ์ ๕ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา

พวกเรานี่ ขันธ์เป็นเรา ความคิดเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรา พอเราเอาความคิด คิดว่าวันนี้ต้องออกจากบ้าน วันนี้ต้องออกจากวัด วันนี้ต้องทำนั้นๆ เห็นไหม ขันธ์นี้ใช้เรา ความคิดนี้ใช้เรา ความคิดนี้เป็นเจ้านาย แต่สอุปาทิเสสนิพพาน ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้เป็นภาระ ขันธ์นี้อยู่เนื่องด้วยกับหัวใจดวงนั้น เป็นอยู่ด้วยกันโดยธรรมชาติ รับรู้กันโดยความเป็นจริง รับรู้กัน เห็นไหม ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใคร ถ้าคิดเป็นประโยชน์ “เออ! เห็นด้วย ทำไป” ถ้าคิดอันนี้เป็นโทษ “ไม่มีทาง”

เพราะความดำริไง ความดำริ ความคิดเริ่มต้น “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเราเอง บัดนี้เราเห็นการเกิดของเธอแล้ว เธอจะเกิดจากใจของเราไม่ได้อีกเลย” ความดำริ ความคิดเริ่มต้น เห็นไหม ธาตุขันธ์เป็นภาระนี่มันไม่มีโอกาส มันไม่มีโอกาสจะเป็นเจ้านายความคิดอันนั้น มันไม่มีโอกาสในหัวใจเรา มันไม่เป็นเจ้านายในหัวใจเราไง

สอุปาทิเสสนิพพาน ถึงเวลาตาย ไม่มีสิ่งใดๆ จะมีค่า ไม่มีสิ่งใดๆ จะทำให้ดวงใจดวงนั้นหวั่นไหวได้ เห็นไหม นี่พูดถึงว่าการเกิดการตาย ถ้าลงชนะกิเลสแล้วไม่มีการเกิดและไม่มีการตาย เพราะกิเลสมันตายแล้ว ตายตั้งแต่สิ้น ตายตั้งแต่ชำระกิเลสออกจากใจทั้งหมด ถ้ากิเลสออกจากใจทั้งหมดการเกิดการตายถึงไม่มี การเกิดและการตายไม่มีอีกแล้ว เป็นธรรมล้วนๆ เป็นธรรมล้วนๆ เลย

แต่ถ้าเราตายนะ พวกเราตาย “พวกเรา” เห็นไหม พวกที่มีกิเลสอยู่ตาย ไม่ต้องตายจริง คิดแค่ตาย คิดถึงตาย คิดถึงพลัดพราก แค่นี้ใจก็เศร้าหมองแล้ว ห่วงไปหมดทุกอย่าง ห่วงไปหมด กังวลไปหมด แต่จริงๆ แล้วห่วงตัวเอง แต่กิเลสมันหลอกนะน่ะ ห่วงคนนู้นห่วงคนนี้ เพราะเราต้องไป เราต้องตาย เราต้องตายไป เรากลับเป็นห่วงกับคนอื่น แต่จริงๆ เวลาเราอยู่แล้วไม่เคยห่วงเลย เพราะอะไร นี่มันบังเงาไง กิเลสมันหลอกอีกชั้นหนึ่ง มันกลัวตาย แต่มันบอกว่าไม่ได้กลัวตาย ไปห่วงคนอื่นน่ะสิ ไปห่วงคนอื่น เพราะให้คนอื่นมาเป็นกังวลไปเป็นตัวห่วงเราไง นี่ตายไปพร้อมกับกิเลส ตายไปพร้อมกับความยึดมั่นถือมั่น แล้วมันเป็นธรรมชาติที่ต้องเกิดต้องตายแบบนั้นทั้งนั้น ยกเว้นแต่ว่าปฏิบัติถึงธรรม

พอถึงธรรมแล้วกิเลสตายตั้งแต่วันที่ถึงธรรมอันนั้น ความเข้าใจตามความเป็นจริงว่าโลกนี้แปรสภาพไปทั้งหมด เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราได้ร่างกายของมนุษย์มา ได้ร่างกายมา แต่หัวใจเป็นของเรานะ ได้ร่างกายมาแล้วเราเอาร่างการนี้มาประพฤติปฏิบัติ เอาร่างกายนี้เข้ามาในศาสนา ประพฤติปฏิบัติจนหัวใจนั้นผ่องแผ้ว หัวใจที่ผ่องแผ้วนั้นถึงได้ชำระล้างร่างกายนั้นตลอด

ฉะนั้น เวลาท่านสิ้นไป เวลาท่านไปฌาปนกิจ เห็นไหม ไปทำพิธีกรรมศพ กระดูกถึงได้กลายเป็นพระธาตุไง กระดูกของพระอรหันต์ทุกคนแย่ง ทุกคนแสวงหา ทุกคนอยากได้ กระดูกของมนุษย์ที่ตายไปทุกคนกลัวผี ทุกคนจะวิ่งหนีไง นี่เพราะใจพ้นจาก...เราได้ร่างมนุษย์มา แล้วเราประพฤติปฏิบัติ จิตที่มันสะอาดมันจะฟอก มันจะเข้าเป็นธรรม ธรรมตัวนั้นไง ถึงว่าเป็นมนุษย์แต่ไม่เหมือนมนุษย์ปกติ มนุษย์ปกติมันมีแต่กิเลส มีแต่ความเห็นแก่ตัว แต่มนุษย์ มนุษย์ที่พ้นจาก...มนุษย์ที่ถึงธรรม ใจเป็นธรรม ใจเป็นธรรมมันจะฟอกร่างกายนั้น ทำให้ร่างกายนั้นเป็นประโยชน์ไง เป็นประโยชน์ของโลก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สั่งสอนเทวดา เป็นผู้สั่งสอนมนุษย์ เป็นผู้สั่งสอนทั้งหมด เป็นผู้สั่งสอน เห็นไหม ทั้งพระเป็นผู้สั่งสอน ชี้นำจนถึงกับว่าเอาลูกศิษย์ลูกหาพ้นไปจากกิเลสได้ เป็นผู้รื้อสัตว์ขนสัตว์ไง แล้วเราผู้ประพฤติปฏิบัติ ผู้ประพฤติปฏิบัติ ผู้ทำตามเป็นจริง ใจถึงธรรม ใจเป็นธรรม ผู้นั้นได้ประโยชน์ของตนเองก่อนเพื่อน พ้นจากทุกข์ไง พ้นออกจากทุกข์ หัวใจนั้นไม่เป็นทุกข์ ตัวเองได้ถึงธรรมก่อน เป็นที่พึ่งของตนก่อน ตนเอาตัวรอดได้ก่อน แล้วมันถึงจะเป็นประโยชน์แก่โลก เป็นประโยชน์ทุกๆ อย่าง เป็นเนื้อนาบุญด้วย เป็นที่พึ่งที่อาศัย มันไม่ถึงกับพระพุทธเจ้าเนาะ พระพุทธเจ้านี่เป็นดวงตาของโลก เป็นดวงตาของโลก เป็นผู้ชี้นำสังคมว่าอย่างนั้นนะ

สังคมนี้อาศัยกัน สังคมนี้เป็นคนตาบอด สังคมนี้เกาะเกี่ยวกัน แต่ผู้ที่เข้าใจตามความเป็นจริงสิ เข้าใจตามความจริง เข้าใจตามกิเลสไง เข้าใจ มันเข้าเอาแต่ความดี เอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ๆ สิ่งที่เป็นความดีมาช่วยเหลือกัน มาเจือจานกัน เข้าใจว่าใจควรเสพอะไร หัวใจควรจะกินอะไร...มนุษย์ ปากกินอาหาร แต่หัวใจของคนมันกินอารมณ์ไง เวลามันคิด มันเจ็บปวด มันมาจากไหน เวลามันมีความสุขทำไมมันชอบ มันอยากแสวงหา แล้วมันก็ไม่ได้อยู่กับเราคงที่คงวาไง แต่เวลาเจ็บปวด เวลาแรงเสียดสีเข้ามาถึงใจ เราอยากปฏิเสธ มันปฏิเสธไม่ได้ แต่เวลาสิ่งที่เข้ามาพอใจ สิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นความดีของเรา เราอยากจะให้มันอยู่กับเรานานๆ มันไม่อยู่กับเรา เห็นไหม นี่อารมณ์ กินอารมณ์เป็นอาหารไง

อารมณ์นี้ก็เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง หัวใจก็เป็นอนิจจังที่พึ่งไม่ได้ อารมณ์ก็พึ่งไม่ได้ เพราะเป็นอนิจจังทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดๆ พึ่งได้เลยใน ๓ โลกธาตุนี้

มีธรรมนี้แหละ ธรรมแท้ๆ ของพระพุทธเจ้านี่แหละ เพราะเข้าไปถึงธรรมแล้วมันชำระอารมณ์ทั้งหมด ชำระทั้งหมดนะ เพราะมันเป็นเปลือก มันเป็นแขกจรมา เวลามันเกิดมันก็มี แวบมันก็หายไป แต่ธรรมของจริงไง ธรรมของจริงสถิตอยู่ที่ใจ ภาชนะที่จะใส่ธรรม ภาชนะที่เป็นธรรมด้วย ภาชนะใส่ธรรมแล้วเป็นธรรมจริงๆ เป็นที่พึ่งของตนเอง เป็นที่พึ่งของตนได้ ถึงจะเป็นที่พึ่งของบุคคลอื่น เป็นที่พึ่งของทุกๆ คน “เป็นที่พึ่ง” ฟังสิ ฟังคำว่า “เป็นที่พึ่ง” แต่ปัจจุบันนี้เราพึ่งตัวเองได้หรือยัง นี่ย้อนกลับ ปัจจุบันพึ่งตัวเองได้หรือยัง ใจพึ่งได้หรือยัง ถ้าพึ่งได้เราจะมีความสุข

เราแสวงหาความสุข แสวงหาให้ถูกที่ ความสุขที่เราคิดว่าเราจะแสวงหากัน เราพยายามแสวงหา เราวิ่งเต้นนะ เราแสวงหา แล้วเราคิดดูสิว่าหัวใจอยู่กลางในตัวเรานี้ เราเข้าห้องที่ไหนก็ได้ แล้วเราปิดประตูอยู่ในห้อง อยู่ในที่สงัด อยู่ในที่ปฏิบัติได้ แสวงหาง่ายๆ เลย เห็นไหม

๑. ไม่เบียดเบียนคนอื่น

๒. ไม่ต้องใช้ต้นทุนใช้อะไรมากมายนัก

แต่จริงๆ แล้วถ้าว่าไม่ใช้ เราว่าใช้มาก เพราะอะไร เพราะมันใช้ชีวิตทั้งชีวิตเลย ลมหายใจเข้าออกไง หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย เห็นไหม นี่มันใช้ต้นทุนของไออุ่น ของชีวิตเราเลย นี่การปฏิบัติใช้ชีวิตเลย แต่ทางโลกไม่ได้เกี่ยวกับใคร หมายถึงว่าไม่มีต้นทุนทางโลกไง

เราตายนะ สมมุติถ้าเราตายไปโดยที่ปฏิบัติไม่ถึง ไม่ได้ผลประโยชน์ไปนี่มันน่าเสียดาย เพราะตายเปล่า แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติใช้ชีวิตนี้ เข้าใจชีวิต แล้วเอาชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ใช้ชีวิตแบบสุรุ่ยสุร่ายไง ใช้ชีวิต ใช้วันเวลาไปให้หมดไปวันๆ โดยที่ว่าเราก็ยังหาประโยชน์ใส่ตัวเองไม่ได้ไง นี่เราใช้ชีวิตเลย แล้วปิดประตู แสวงหาท่ามกลางใจ แสวงหาของเราเอง แล้วเป็นประโยชน์จริงๆ

ของที่แสวงหาจากใจของเรา แสวงหาจากร่างกายของเราภายใน เวลาเป็นประโยชน์ขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ตัวเองพึ่งได้ก่อน แล้วยังเป็นประโยชน์โลกด้วย ที่ว่าแสวงหาข้างนอกนั้น กระแสข้างนอกนั้นเรื่องของโลกเขา เรื่องของโลกเขา...เราตายไปหรือเรายังอยู่ มันก็เป็นแบบนี้

มีเรา เรารับรู้โลกก็มี เราเข้าอยู่ในป่าลึกๆ เลย ไม่รับรู้โลกเลย โลกมีไหม? มันก็มี มันก็เป็นอยู่อย่างนั้นนะ แต่เราไม่รับรู้เลย แต่นี่พอเรารับรู้ รับรู้ เป็นไป เราก็เศร้าหมอง เราก็ผ่องใสตามเขาไป นั่นให้เห็นโลก เห็นประโยชน์โลก เห็นประโยชน์เรา

ประโยชน์โลก เห็นไหม ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยเราต้องมี พระพุทธเจ้าบอกแล้ว ต้องมีเครื่องอยู่อาศัย แม้แต่ภิกษุ แม้แต่ผู้บวช เห็นไหม ปัจจัย ๔ บริขาร ๘ มีบาตรอันดับแรก บาตรเลี้ยงชีวิต เลี้ยงชีวิตเพื่อจะแสวงหาธรรม เลี้ยงชีวิตไว้เพื่อความเป็นไป เราก็ต้องแสวงหาทางโลก แสวงหาเป็นปัจจัย ๔ อันนี้เป็นธรรม การแสวงหาอย่างนี้ไม่เป็นกิเลส ฟังสิ “ไม่เป็นกิเลส” ไม่เป็นการมักอยาก ไม่เป็นการกว้านมาเบียดเบียนโลก เพราะมันเป็นหน้าที่ มีปากและท้องต้องการเป็นไป

แต่ที่ว่า “เป็นกิเลส” หมายถึงว่า เราอยากได้มากกว่านั้น เราทำเกินกว่าเหตุ เห็นไหม สิ่งที่ทำเป็นไปตามความเป็นจริงตามภาระหน้าที่ อันนั้นไม่เป็นกิเลส อันนั้นเป็นหน้าที่ ไม่ใช่กิเลส แม้แต่เราทำสิ่งนั้นกิจการเจริญรุ่งเรืองมากเลย แล้วมันเข้ามา...ก็หน้าที่ เพราะวาสนาบารมีของบุคคลคนนั้น โอกาส จังหวะ วาสนา ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเราจะปฏิเสธวาสนา ปฏิเสธโอกาส ปฏิเสธอะไรไม่ได้ มันเป็นตามความเป็นจริงอย่างนั้น นี่ถึงบอก ถ้าไม่เข้าใจแล้วมันจะบอกปฏิเสธว่าทุกอย่างเป็นกิเลสๆๆๆ หมดเลยไง กิเลสๆๆ อยู่ที่ใจเราทั้งนั้นเลย สิ่งที่ทำๆ ตามนั้น หน้าที่การงานนั้นไม่ใช่กิเลส เป็นหน้าที่การงาน

อวสานนะ อวสานของการเทศนา เอวัง