ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ราคาคุย

๒๒ พ.ย. ๒๕๕๘

ราคาคุย

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “ไม่มีคำถาม

นมัสการหลวงพ่อ จากการที่ลูกเคยไปวัดหาหลวงพ่อแล้ว  ครั้ง ทำให้เกิดศรัทธาและอยากไปอีก แต่ไม่มีโอกาสเลยเจ้าค่ะ แต่ลูกก็ได้เข้ามาฟังเทศน์ในเว็บไซต์อยู่บ่อยครั้ง จนทำให้มีความรู้สึกว่าฟังแล้วได้ใจความเข้าใจง่าย ทำให้ใครบางคนที่ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยเข้าวัด ต้องแอบมาฟังทุกๆ วัน

ตอนนี้ลูกกำลังท้อง เลยอยากให้ลูกในท้องมีความซึมซับเข้าไปในใจของเขาเมื่อเขาเกิดมา เขาจะได้เป็นคนดี เลี้ยงง่าย ไม่ยึดติดกับกรรมในชาติก่อนที่เขาจะมาแจ้งเกิดเจ้าค่ะ ถึงแม้ว่าลูกจะไม่มีโอกาสได้ไปกราบหลวงพ่อ แต่ลูกก็ได้ไปวัดข้างบ้าน และถ้ามีโอกาสก็กลับไปวัดหลวงปู่ลี

ตอบ : อันนี้มันเป็นวาสนาของเขา วาสนาของเขาคือว่า เขาเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เขายังเกิดมาแล้วเขายังมีที่พึ่งพาอาศัย ถ้าไม่มีที่พึ่งพาอาศัยนะ เราเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมามีหน้าที่การงานเหมือนกัน แต่ไม่มีที่พึ่งอาศัย เวลามันทุกข์ร้อนขึ้นมา มันทุกข์ร้อนในหัวใจมากเพราะอะไร เพราะหัวใจมันจะมีธรรมะเป็นที่พึ่ง

ดูสิ เวลาเราบอกว่าศาสนาเป็นที่พึ่งๆ แต่เราก็เห็นศาสนาเอารัดเอาเปรียบศาสนาเห็นแต่ผลประโยชน์ เราเข้าไปแล้วเราก็มีแต่ความทุกข์ความยาก

แต่ถ้าศาสนานะ ศาสนาที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระที่ดีนะ ท่านไม่เห็นแก่วัตถุหรอก วัตถุนั้นมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย พอเครื่องอาศัย พระเราไม่สะสม เช้ามา บิณฑบาตมาแล้วได้อาหารมาดำรงชีพพอแล้ว สิ่งที่เป็นยารักษาโรคต่างๆ มันเหลือเฟือ แล้วความเจ็บไข้ได้ป่วยมันธรรมดา ร่างกายมันชราคร่ำคร่าเป็นเรื่องธรรมดา

ถ้าเป็นพระที่ดีนะ ชีวิตของท่าน เราเห็นว่าท่านดำรงชีวิต เราสะเทือนใจแล้วว่าชีวิตนี้มนุษย์อยู่ได้แล้วแหละ แต่ของเรา เราปากกัดตีนถีบ เราก็อยากจะเอาแต่ความสมความปรารถนาของเรา มันก็มีความบีบคั้นในหัวใจ นั่นเป็นกิเลส แต่ถ้ามันมีคุณธรรม แค่เห็นพระเห็นเจ้ามันก็เป็นความสุขแล้ว มันเป็นความสุขว่า ชีวิตนี้ถ้าเราทำอย่างนั้นก็ทำได้ แต่ในเมื่อเราเป็นฆราวาสไง เขาบอกเคยมากราบหลวงพ่อ  ครั้ง เคยมากราบ  ครั้ง แล้วก็ไม่มีโอกาสไปอีกเลย มันไกลไง ฉะนั้น ถ้าไม่มีโอกาส เขาก็เลยไปฟังในเว็บไซต์เอา

ถ้าไปฟังในเว็บไซต์เอา มันเป็นประโยชน์ตรงนี้ ที่เวลาเราพูดไปๆ เพราะเหตุนี้ไง เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่น ท่านบอกว่าท่านเสียดายมาก สมัยหลวงปู่มั่นยังไม่มีเทป ยังไม่มีเทป ไม่มีสิ่งใดไง เวลาท่านเทศน์ ใครจดจารึกไว้ได้ ใครฟังไว้ได้ก็จำตามๆ กันมา

ท่านบอกท่านเสียดายมากในชีวิตของหลวงปู่มั่น จนหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว งานเผาศพหลวงปู่มั่นครั้งแรกมันถึงมีเทปมา เทปสมัยโบราณน่ะ เครื่องหนึ่ง โอ้โฮอย่างกับรถสิบล้อนั่นน่ะ ท่านบอกว่ามาในงานศพของหลวงปู่มั่น ท่านเคยเห็นครั้งแรกเลย ไอ้เทปเครื่องใหญ่ๆ เมื่อก่อน ไอ้ที่หมุนๆ ใหญ่ๆ นั่นน่ะ นั่นน่ะครั้งแรกมา ท่านบอกท่านเสียดายมาก เสียดายมากว่ามันไม่มีเครื่องอัดเทปไว้ถ้ามีอัดเทปไว้จะเป็นประโยชน์ นั้นสมัยโบราณ เทคโนโลยียังไม่เจริญ

แต่สมัยนี้มันเจริญแล้วไง พอมันเจริญแล้ว เราอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านอัดเทปไว้ๆ เราก็อัดของเรา อัดของเราเพราะว่าเราคิดว่าเราพูดธรรมะ ธรรมะนี้มันเป็นประโยชน์บ้าง ถ้าใครเห็นว่ามันไม่เป็นประโยชน์ นั่นก็เรื่องของเขา

ถ้ามันเป็นประโยชน์บ้าง มันก็เลยเข้าไปในเว็บไซต์ เขาบอกว่าเขาเคยมาหาหลวงพ่อ  ครั้ง แล้วไม่ได้ไปอีกเลย ฉะนั้น พอไม่มีโอกาสแล้วเขาเลยเข้าไปฟังในเว็บไซต์ พอฟังไปแล้ว ฟังแล้วมันเข้าใจดีขึ้น ฟังแล้วมีความเข้าใจง่าย มีความรู้สึกที่ดี ถ้าใครบางคนที่ไม่เคยฟังก็แอบ ถ้าไม่เคยไปวัดไปวานะ ก็ต้องแอบไปฟังทุกวันๆ ไปฟัง ไปฟัง เห็นไหม

เวลาหลวงตาท่านบอกท่านเทศน์ใส่เทปไว้ เวลาพระที่เอาไปฟัง เวลาพระที่ขี้เกียจ พระฟังด้วยความไม่เคารพ ท่านเอ็ด ท่านเอ็ดบอกว่าไม่เคารพในธรรม ไม่เคารพในธรรม ธรรมะคือสัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมคือสัจจะความจริงอันนั้น แล้วเวลาเราฟังด้วยความไม่เคารพ เราฟังด้วยความไม่เคารพ มันไม่เคารพคือมันไม่ตั้งใจ คือมันฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ฟังพอเป็นพิธี ฟังเป็นเพื่อนอะไรอย่างนี้

หลวงตาท่านเข้มงวด ท่านบอกว่า การฟังธรรมด้วยความไม่เคารพมันจะไม่ได้ประโยชน์ ถ้าฟังโดยเคารพ เราคิดว่าฟังโดยเคารพ ในสถานที่ ที่ไหนที่เราเคารพ สถานที่ผู้ทรงศีล เราเคารพบูชาของเรา เราไม่ส่งเสียงอึกทึกครึกโครม มันไม่สร้างเวรสร้างกรรมไง

แต่ถ้ามันไปสร้างเวรสร้างกรรม “เราทำเป็นสิทธิเสรีภาพ อ้าวก็นักพรตนักปฏิบัติก็ปฏิบัติไปสิ เสียงก็คือเสียง ไม่เกี่ยวกันน่ะ” แต่เราไปทำให้ท่านรำคาญ ไปทำให้ท่านปฏิบัติได้ยาก เราได้เวรได้กรรม หาบแต่เวรแต่กรรมไปโดยไม่รู้สึกตัวเลย แต่คิดโดยว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของตน

แต่ถ้าคนเขามีคุณธรรมของเขา ด้วยความเคารพ เคารพในธรรม เคารพในสถานที่ เคารพในที่อยู่ของเขา นี่ด้วยความเคารพไง ดูสิ ในสภา “ท่านประธานที่เคารพ” มันเถียงกันทั้งวันเลย มันบอกมันเคารพ “ท่านประธานที่เคารพ” แต่ของเรา เราเคารพของเราจริงๆ เพราะมันเป็นที่ทรงศีล ผู้ที่ทรงศีลเขาอยู่ด้วยความเคารพ เห็นไหม

เพราะเหตุนั้นเราถึงได้เทศน์ไว้ คิดว่ามันจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง พอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง เข้ามาในเว็บไซต์ แล้วคนเขาแอบฟัง มีคนเขาเขียนปัญหามาถามเยอะ บอกว่า “หลวงพ่อ หลงเข้ามา” คือหลงเข้ามาในเว็บไซต์เราไง

บอกว่า “หลวงพ่อ หลงเข้ามา” แต่พอหลงเข้ามาแล้วไปเห็นที่เราเทศน์ไว้ตกใจ มันเยอะมาก บอกว่า ตอนนี้หลงเข้ามา แล้วกำลังไปไล่ฟังของเก่า เขาบอกว่าเขาไปไล่ฟังของเก่าๆ ไง

พอเขามาเจอของใหม่ปั๊บ เขาก็ฟังจากเราก่อน พอฟังแล้ว เอ๊หลวงพ่อพูดนี่มีเหตุมีผล มีเหตุมันมาจากไหน เขาก็ไล่ไปฟังดู ฟังของเก่าๆ เขาบอกว่าเขาไปเก็บของเก่าก่อน เก็บของเก่าเสร็จแล้วมันก็เลยเอาของเก่าๆ มาถามเรา “หลวงพ่อนี่มันคืออะไร” มันก็ไปเอาเทศน์เรานั่นแหละ แล้วกลับมาถามเราอีก มันจะไปเก็บของเก่า แล้วก็เอาของเก่ามาถามคนตอบ

นี่พูดถึงว่า คนฟังถ้ามันได้ประโยชน์มันจะได้ประโยชน์อย่างนี้ ฉะนั้น สิ่งที่ว่าได้ประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์มันก็เป็นประโยชน์ ทำเพื่อประโยชน์ไง ถ้าทำเพื่อประโยชน์นะ เราฟังเทศน์ของเรา เข้าไปในเว็บไซต์ไปฟังเพื่อมีครูมีอาจารย์เป็นที่พึ่ง ฉะนั้น เขาบอกว่าตอนนี้เขาท้อง ท้อง  เดือน ก็อยากจะให้ลูกซึมซับ

ถ้าลูกซึมซับ มันก็เหมือนความคิดที่ดี ความคิดที่ดีทางโลก เห็นไหม เวลาเราตั้งท้อง ใครตั้งท้องแล้วเขาจะทำอารมณ์ให้อารมณ์เราดีงาม ให้อยู่กับความร่มเย็นเป็นสุขเพื่อส่งกระแสถึงลูกในท้อง นี่เขาก็คิดดีของเขา ตอนนี้ท้อง อยากให้ลูกได้ซึมซับเข้าไปให้ถึงใจเขา เวลาเขาเกิดมาแล้วเขาจะได้เป็นคนที่เลี้ยงง่ายเขาจะเป็นคนไม่ยึดติดในกรรม

กรณีนี้เป็นความคิดที่ดี แต่มันก็มีนะ ดูสิ อชาตศัตรู เวลาเกิดมา ท้องพระโรงอาวุธแวววาวหมดเลย เขาก็เลยพามาดู พามาดู นี่เขาจะฆ่าพ่อ แต่ด้วยความรักของพระเจ้าพิมพิสาร ถ้าจะฆ่าพ่อ เราก็จะเลี้ยงดูให้ดี จะเอาสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อจะไม่ให้เขาฆ่าพ่อ ก็ตั้งชื่อด้วยนะ อชาตศัตรู อชาตศัตรูคือไม่เป็นศัตรูกับใคร เป็นคนดี เป็นคนดี คนดีงามหมด เลี้ยงดูอย่างดีเลย

เขาก็เป็นเด็กดีจริงๆ นะ แต่เวรกรรมก็คือเวรกรรมนะ ถึงเวลาขึ้นมา พระเทวทัตอยากจะปกครองสงฆ์ ไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ให้ ก็คิดว่าเราจะหาพวกพ้องอย่างไรดีเพื่อจะตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นมา มองไปแล้วก็เห็นอชาตศัตรูเป็นวัยรุ่น เป็นราชกุมารกำลังเพิ่งเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ฉลาด ก็ไปยุแยงตะแคงรั่ว เป่าหูทุกวัน เป่าหูจนอชาตศัตรูก็ต้องคล้อยตาม บอกว่าให้ยึดอำนาจ

ยึดทำไม เดี๋ยวพ่อก็ให้

สมมุติว่าถ้าเอ็งตายก่อนพ่อล่ะ เอ็งก็อด

พูดอย่างนี้ อชาตศัตรูคลอนแคลนเลย สุดท้ายก็ยึดอำนาจ ยึดอำนาจ จะฆ่าพ่อ คนมันฝังใจมาก็ยังไม่ทำ เอาพ่อไปขังไว้ กรีดเท้าไม่ให้เดินจงกรม ไม่ให้อาหาร คือจะฆ่า ใจหนึ่งมันก็ยังฆ่าไม่ลง จะฆ่าพ่อ นี่ไง ที่ว่าอชาตศัตรู

นี่พูดถึงว่า ลูกของเรา เราก็อยากให้เป็นคนดี อยากทำให้เป็นสิ่งที่ดี มันเป็นความปรารถนาที่ดีทั้งนั้นน่ะ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมดีกรรมชั่วไงแต่ถ้ากรรมดีขึ้นมามันก็เป็นความดีของเรา เรามีความปรารถนาดี เรามีความรู้สึกที่ดี จะให้ลูกเป็นคนดี เราทำดีของเรา ทำของเรา ทำดีของเราถึงที่สุดนะ

ฉะนั้น เราทำของเราแล้ว เขาบอกว่าในโอกาสปัจจุบันนี้เขาบอกว่าไม่ได้ไปกราบหลวงพ่อ ก็ไปวัดข้างบ้าน

สาธุ ที่ไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ที่ความร่มเย็นเป็นสุข ที่ไหนก็ได้ที่เวลาเขาพูดสิ่งใดแล้ว เราฟังแล้วมันขัดหูขัดใจของเรา ถ้าเราอาศัยสถานที่นั้นเพื่อรักษาดูแลหัวใจของเรา สถานที่เรื่องหนึ่ง สัจธรรมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง กิเลสในหัวใจเราเป็นเรื่องหนึ่ง ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีคุณธรรมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่มันซับซ้อนในใจเรา เราก็ต้องแสวงหา ต้องขวนขวาย อย่าดูดาย เราจะเป็นคนดี เราต้องขวนขวายถึงจะเป็นคนดีได้ไง ความดีเราต้องมีการกระทำขึ้นมา มันไม่ลอยมาจากฟ้าหรอก เราทำดีของเรา

พอทำดีขึ้นมา ถ้าจิตใจเราดีจริง เราแยกได้เองว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง ถ้าสิ่งที่ไม่จริงก็วางไว้ เพราะวุฒิภาวะของเขาเท่านั้น เขารู้ได้แค่นี้ เขาก็พูดได้แค่นี้จิตใจของเราที่สูงส่งกว่า เราทำแล้วเราดีขึ้นมาแล้วเราแยกแยะได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก เราเอาแต่คุณงามความดีของเราขึ้นไป

เขาบอกไปวัดข้างบ้าน ที่ไหนมันใกล้ ไปที่นั่น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย เวลาเขาถามว่า “ควรทำบุญที่ไหน

ควรทำบุญที่เธอพอใจ

คือพอใจมันสะดวก มันสะดวก มันมีโอกาส รีบทำๆ ซะ แต่ถ้าจะเอาความจริง เออเอาความจริงมันต้องเนื้อนาบุญแล้ว เนื้อนาบุญ ถ้ามันเนื้อนาที่ดี เมล็ดพันธุ์พืชลงไปแล้วมันจะงอกงาม ถ้าเนื้อนาที่ไม่ดีก็อีกเรื่องหนึ่ง

แต่ถ้าเธอควรจะทำบุญที่ไหน ควรทำที่เธอพอใจ ถ้าทำที่เธอไม่พอใจ กิเลสมันขัดแย้ง พอกิเลสมันขัดแย้งนะ ที่นู่นก็ไม่ดี ที่นี่ก็ไม่ดี ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ ดีที่สุด ฉะนั้น ทำที่เธอพอใจ

นี่ก็เหมือนกัน ใกล้บ้านเรา ที่ไหนมันเป็นประโยชน์กับเรา เอาเลย ทำเลยเราทำของเรา เราดูแลของเรา แล้วเราคัดแยกของเราเพื่อประโยชน์กับเรา นี่เพื่อประโยชน์กับเรานะ

นี่พูดถึงว่า เขาบอกว่าไม่มีคำถามเลย เราก็ไม่มีคำตอบเหมือนกัน เราไม่มีคำตอบเลยนะ แต่อันนี้จะเป็นคำตอบ

ถาม : เรื่อง “ปัญญาอบรมสมาธิ

ผมขอลอกบทความนี้ ซึ่งบอกว่าเป็นของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนดังนี้ คนบางประเภทไม่ค่อยมีสิ่งแวดล้อมเป็นภาระกดถ่วงใจมาก เพียงใช้คำบริกรรมภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นต้น บทใดบทหนึ่งเข้าเท่านั้น ใจก็ได้รับความสงบเยือกเย็นเป็นสมาธิลงได้ กลายเป็นต้นทุนหนุนปัญญาให้ก้าวหน้าต่อไปได้อย่างสบาย นี่เรียกว่าสมาธิอบรมปัญญา

แต่คนบางประเภทมีสิ่งแวดล้อมเป็นภาระกดถ่วงใจมาก และเป็นนิสัยชอบคิดอะไรมาก อย่างนี้จะอบรมด้วยคำบริกรรมอย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น ไม่สามารถที่จะหยั่งจิตให้ลงสู่ความสงบเป็นสมาธิได้ ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองเหตุผล ตัดต้นเหตุแห่งความฟุ้งซ่านด้วยปัญญา เมื่อปัญญาได้หว่านล้อมในสิ่งที่จิตติดข้องนั้นได้อย่างหนาแน่นแล้ว จิตจะมีความรู้เหนือปัญญาไปไม่ได้ และจะหยั่งลงสู่ความสงบเป็นสมาธิได้ ฉะนั้น คนประเภทนี้จะต้องฝึกฝนจิตให้เป็นสมาธิด้วยปัญญา ที่เรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ

ตามชื่อหัวเรื่องนี้ที่ให้ไว้แล้วในเบื้องต้น เมื่อสมาธิเกิดขึ้นด้วยอำนาจปัญญาอันดับต่อไป สมาธิก็กลายเป็นต้นทุนหนุนปัญญาให้มีกำลังก้าวหน้า สุดท้ายก็ลงรอยเดียวกันกับหลักเดิมที่ว่าสมาธิอบรมปัญญา...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

หลวงพ่อ : นี่เขาเอาหนังสือหลวงตามายันก่อนว่าปัญญาอบรมสมาธิเป็นอย่างนี้ แล้วก็มีคำถาม

ถาม : เมื่อทำความสงบโดยเพ่งอารมณ์เดียวไม่ได้ ก็ใช้บทธรรมหรือข้อธรรมที่จำได้ หรือที่เคยได้สนทนามาตรึกหรือทบทวนโดยคิดเอาว่ากำลังอธิบายให้เพื่อนผู้ไม่รู้รับฟัง ถูกต้องหรือไม่ ทำเช่นนี้กลายเป็นฟุ้งธรรม (ส่งออกหรือไม่เพราะสามารถตรึกได้เป็นเวลานานๆ และยังตรึกต่อได้ทั้งวัน ผมพยายามแก้โดยตำหนิตัวเองว่ากิเลสหลอก แต่ในเวลาตรึกในธรรมนั้นก็มีปีติและมีความสุขน้อยๆตลอดครับ ขอวิธีปฏิบัติ

อาการฟุ้งธรรมกับธัมมวิจยะแตกต่างกันอย่างไร

การที่เราแกล้งตัวเอง เช่น ไม่ไปทำฟันที่ชำรุดเพื่อจะได้คุมการกินอาหารไม่ดูข่าวที่ทำให้จิตหมอง เป็นการแกล้งกิเลสตามที่หลวงพ่อสอน จะทำได้แค่ไหนครับ

มีความรู้สึกอยากจะคุยเรื่องธรรมะ คุยได้เป็นวันๆ ผมจะพยายามตำหนิตัวเองว่ายังโง่อยู่ แต่เวลาเจอกิเลสตัวนี้ คุมไม่อยู่ อยากอวด ขอวิธีแก้ไข

บทความข้างต้นของหลวงตา ขออธิบายคำว่า “ปัญญา” ขอบคุณครับ

ตอบ : อันนี้คือปัญญาอบรมสมาธิ แล้วเวลาไปเอาหนังสือปัญญาอบรมสมาธิมาเขียนให้เราอ่าน กูก็อ่านแล้ว ปัญญาอบรมสมาธิของหลวงตา อ่านจนเป็นร้อยๆ รอบแล้ว จนหนังสือจะผุแล้ว อ่านตลอด อ่านทบทวนธรรมะของหลวงตาอ่านทบทวนธรรมะของครูบาอาจารย์ หนังสือเราอ่านอยู่ตลอดเวลา

ฉะนั้น เหตุที่หลวงตาท่านพูด ไอ้ที่เขียนมานี่เราจำได้หมดแหละ แล้วมันมีเหตุมีผลด้วย เพียงแต่ว่ามันมีข้อเท็จจริงหรือไม่มีข้อเท็จจริงด้วย แต่ถ้าคนที่มีความเห็นผิดนะ เวลาจะเขียน เขียนบิดเบือนน่ะ บิดเบือนเอาแต่ตามใจตัว เขียนเริ่มต้นก็เป็นธรรมะหลวงตา แล้วมันก็บิดเบือนเอาความเห็นมันใส่เข้าไป แล้วก็อ้างว่าเป็นของหลวงตาเยอะแยะ

ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านพูดของท่านโดยหลักเกณฑ์ สมาธิอบรมปัญญาปัญญาอบรมสมาธิ พูดอย่างนี้พูดเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางการทำความสงบ ๔๐ วิธีการ คำว่า “๔๐ วิธีการ” เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณ ท่านรู้ถึงการเวียนว่ายตายเกิดของจิต จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีมหาศาล

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับเทวทัต เวลาเทวทัต เวลาอาฆาตมาดร้ายว่าจะจองเวรจองกรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาทุกภพทุกชาติ ตั้งแต่เอาทรายกำมือเดียวแล้วอธิษฐานเลยว่าจะจองเวรจองกรรมทุกภพทุกชาติ แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดมาเป็นคู่บารมีกันมาตลอดกับเทวทัต

นี่พูดถึงว่า ที่อนาคตังสญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีมากมายขนาดนั้น แล้วจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สาวกสาวกะ ไอ้ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีจริตนิสัยมาขนาดไหน แล้วจะบอกว่าให้มาพุทโธอย่างเดียวแล้วมันจะเป็นสมาธิได้ทั้งหมด ไอ้คนนี้ให้ธัมโมอย่างเดียว ไอ้คนนี้ให้มรณานุสติอย่างเดียว...มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะจริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกันความรู้สึกของคนมันแตกต่างกัน

ทีนี้ความรู้สึกของคนมันแตกต่างกัน แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ คือคนที่เป็นปัญญาชน เห็นไหม ปุถุชน กัลยาณปุถุชน คนที่เป็นกัลยาณปุถุชน ยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรค ยกขึ้นสู่วิปัสสนา แล้วคนที่จะทำใจพร้อมจากปุถุชนคนหนามาเป็นกัลยาณชนจะทำอย่างใด ถึงได้บอกการทำความสงบถึง ๔๐ วิธีการไง นี่บอกการทำความสงบ ๔๐ วิธีการ

แต่มันก็มีพระบางสำนักบอกว่า “ไม่ต้องทำสมาธิ สมาธิไม่สำคัญ สมาธิไม่มีความจำเป็น ใช้ปัญญาไปเลยไง แม้แต่ไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ก็ไม่ได้สอนสมาธิเทศน์ธัมมจักฯ ไปเลย

แต่ไม่ได้บอกว่าปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ปีน่ะ ไม่ได้ทำสมาธิเนาะ ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลยเนาะ ไม่ได้ทำอะไรเลย  ปี ไม่ได้ทำอะไรเลย

คนเวลาคิดเห็นแก่ตัวมันพูดเอาสีข้างเข้าถูข้างๆ คูๆ ของมันไป มันไม่รู้ถึงหัวใจเป็นอย่างไรไง ถ้ามันรู้ถึงหัวใจ คนเราคนมันหยาบ คนมันไม่เอาไหน มันทำอะไรมันทำแต่ผิดพลาดไปทั้งนั้นน่ะ แต่คนที่เป็นคนดีนะ ทำอะไรมันก็ตั้งใจทำดีของมันทั้งนั้นน่ะ

จิตใจที่มันไม่เคยทำสมาธิได้ จิตใจที่มันเป็นปุถุชนคนหนา อะไรกระทบไม่ได้เลย เดินเหยียบเงามัน มันก็อาฆาต มันจะไปทำร้ายเขา มองหน้ามัน มันก็จะฆ่าเขา ไปไหนคนเข้าใจผิด มันก็จะไปทำร้ายเขา เพราะจิตใจมันหนา

พอคนมันดีขึ้นมา เออเขาไม่ได้ตั้งใจเนาะ ทางมันคับแคบ เขาก็เดินมาชนเรานิดหนึ่ง มันจะเป็นอะไรไป นี่กัลยาณปุถุชน คนเบาบาง คนที่ไม่อาฆาตมาดร้าย คนที่ไม่กระทบกระเทือนใคร แล้วถ้ามันเป็นกัลยาณปุถุชน มันทำจิตเป็นสมาธิได้อะไรได้ ถ้าเทศน์ธัมมจักฯ มันก็เป็นประโยชน์แล้ว

นี่พูดถึงว่าปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง การทำความสงบ๔๐ วิธีการ ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านก็สอนของท่านนะ เวลาสอนหลวงปู่อ่อนท่านก็สอนถึงคำบริกรรมยาวๆ สอนหลวงปู่ฝั้น สอนครูบาอาจารย์เรา ท่านไม่ได้สอนตายตัว ท่านดูจริตของคน ถ้าคนมันท่องยาวไม่ได้ บางคนท่องสั้น บางคนให้อานาปานสติ นี่หลวงปู่มั่นท่านสอน ท่านสอนเฉพาะ

นี่ก็เหมือนกัน แต่โดยหลักแล้ว โดยหลัก โดยหลัก พุทธานุสตินี่อันดับหนึ่งพุทโธนี่อันดับหนึ่ง เพราะมันเป็นกรรมฐาน ๔๐ ห้อง การทำความสงบ ๔๐ วิธีการระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงศาสดา เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คุ้มหัวเราแล้ว ถ้าเราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะทำดีทำชั่ว เราก็ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่กล้าทำ

แล้วเราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกให้พุทโธจนมันเป็นพุทโธในหัวใจ จนมันนึกพุทโธไม่ได้ ตัวมันเป็นพุทโธเสียเอง ตัวเป็นพุทโธเสียเองก็ตัวเป็นสมาธิ สมาธิคิดไม่ได้ บอกไม่ได้ นึกไม่ได้ มันเป็นสมาธิแท้ๆ แต่เริ่มต้นเราก็พุทโธๆ ของเราไปก่อน นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๐ วิธีการ

ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านเคยดูจิตเฉยๆ แล้วเสื่อมไป ท่านบอกว่าท่านดูจิตเฉยๆ จิตเสื่อมไปปีกว่า เกือบตาย ดูจิตเฉยๆ ดูเฉยๆ ไม่ได้มีคำบริกรรม สุดท้ายท่านก็เลยกลับมาบริกรรมพุทโธๆ ท่านบอกขาดคำบริกรรม คือจิตมันขาดที่เกาะ จิตมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ ฉะนั้น พอจิตมันเสื่อม เวลาทำมันทำได้ยาก ท่านถึงบอกว่า อ๋อถ้ามันใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันจะเป็นแบบนี้

ดูจิต จิตเสื่อม เพราะมันไม่มีใครบำรุงรักษา ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันตรึกในธรรมแล้วมีสติปัญญาควบคุมการทำงานของจิต จิตมันด้วยเหตุด้วยผลพอเหตุผลมันเหนือกิเลส เหนือทุกอย่าง มันก็ปล่อย ปล่อยก็เป็นสัมมาสมาธิ นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ

สมาธิอบรมปัญญา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านวางกรรมฐาน๔๐ วิธีการ หลวงปู่มั่นท่านก็สอนของท่านให้แต่เฉพาะเจาะจง เฉพาะให้ตรงกับจริต

เวลาหลวงตาท่านมา ท่านเห็นว่าปัญญาชน เพราะหลวงตา ตอน ๑๔ ตุลาคมท่านเขียนเรื่องอันชนกชนนี เขาบอกว่าพ่อแม่ไม่มีบุญมีคุณ หลวงตาท่านเขียนอันชนกชนนีเพราะเหตุ ๑๔ ตุลาคม เพราะว่าเขาบอก ในสังคมนิยมเขาบอกว่ามันเป็นหน้าที่ มันไม่มีบุญมีคุณ

ท่านเขียนอย่างนั้นน่ะ ท่านเขียนอย่างนั้น ท่านทำอย่างนั้นน่ะ อันชนกชนนีของหลวงตา ไปเปิดดูได้ นั่นน่ะท่านเขียนที่ว่าศาสนาเป็นยาเสพติด เมื่อก่อนที่มันมีปัญหามา ท่านจะเชิดชูศาสนา

ฉะนั้น เวลาเรื่องปัญญาอบรมสมาธิ ท่านด้วยปัญญาของท่าน ท่านถึงทำไว้เพื่อเป็นหลักเกณฑ์ให้นักปฏิบัติมันมีทางเข้าหลายๆ ทางไง ฉะนั้น สิ่งที่ท่านพูดท่านทำมันถูกต้องทั้งนั้นน่ะ มันถูกต้องสำหรับคนที่ทำเป็นไง แต่มันจะผิดสำหรับคนที่ไม่เป็นนี่แหละ มันจะผิดก็ต่อพวกเรานี่ ไอ้พวกอยากทำนี่ แต่ทำไม่ได้นี่ แล้วมันก็ไปขโมยของเขามาไง อ่านของเขามาแล้วกูรู้กูเก่ง ไอ้พวกนี้เอาตัวไม่รอด ไอ้พวกเก่งๆ ทำไม่เป็นสักคน แต่ครูบาอาจารย์ท่านวางเป็นทฤษฎี วางเป็นแนวทางให้เราทำไง

ฉะนั้น สิ่งที่หลวงตาท่านพูด ท่านทำ ท่านเขียน ถูกต้อง เพียงแต่เราทำไม่ถึงเราทำไม่ได้ เราก็งง แล้วพอทำไม่ได้มันก็ข้างๆ คูๆ อ้างหลวงตาอยู่เรื่อย อ้างหนังสืออยู่เรื่อย อ้างนู่นอ้างนี่ แต่ตัวเองทำไม่ได้ผลน่ะ ทำไม่ได้ ถ้ามันทำได้ มันไม่ต้องอ้างใคร อ้างประสบการณ์นี่แหละ ต้องอย่างนี้ๆๆ แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ ก็กูทำอย่างนี้ กูทำได้ ทำไมล่ะ เออมันต้องอย่างนี้มันถึงจะเป็นปัจจัตตัง มันถึงเป็นความจริง อันนี้พูดถึงปัญญาอบรมสมาธิ

แต่นี้เป็นที่คำถาม คำถามว่า “เมื่อทำความสงบโดยเพ่งอารมณ์อย่างเดียวไม่ได้ก็ใช้บทธรรม แล้วข้อธรรมที่จำได้หรือที่ได้เคยสนทนา หรือตรึก หรือทบทวนโดยคิดเอาว่ากำลังอธิบายธรรมะให้ผู้ที่ไม่รู้เรื่องฟัง ถูกต้องหรือไม่ ถ้าทำเช่นนี้จะเป็นการฟุ้งธรรมส่งออกหรือไม่ เพราะสามารถตรึกในธรรม เวลานานไปมันจะตรึกในธรรม

เวลาพูดอย่างนี้มันเหมือนกับคนที่ภาวนาไม่เป็นเลย ถ้าคนภาวนาเป็นนะ คนภาวนาเป็นแล้วทำได้ผลนะ ทำได้ผล เวลามันคิด เวลาปัญญามันคิด ถ้าสติมันตามทัน มันหยุด แค่มันหยุดกับมันคิดก็ต่างกันแล้ว ถ้ามันหยุด มันหยุดเพราะอะไร หยุดเพราะมันมีเหตุผลไง เรามีสติปัญญา

เราตรึกในธรรมๆ เราก็ตรึก ตรึกในธรรม เราก็หาเหตุหาผลใคร่ครวญ พอใคร่ครวญ ใคร่ครวญด้วยเหตุด้วยผล การใคร่ครวญมันมีกิริยา คำว่า “กิริยา” คือจิตมันมีการกระทำ จิตมันเคลื่อนไหว แต่ถ้ามันพิจารณาจนด้วยเหตุด้วยผล จิตมันหยุด คือมันไม่เคลื่อนไหว มันทิ้งหมด มันสลัดทิ้ง พอสลัดทิ้ง มันก็เป็นสมาธิถ้าสลัดทิ้ง เป็นสมาธิ มันก็จะเข้าใจ

ไอ้นี่ไม่อย่างนั้นเลยน่ะ “อธิบายให้ผู้ที่ไม่รู้ฟัง ถูกต้องหรือเปล่าครับ

อธิบายให้คนไม่รู้ ไอ้คนนั้นไม่รู้ มันก็ขี้โม้ มันอยากแสดงตัวตนว่ามันเก่ง อู้ฮูปัญญามันก็...แล้วมันหยุดเมื่อไหร่ล่ะ

อันนี้เราจะบอกว่า ถ้ามันถูกต้องนะ หลวงตาท่านเน้นย้ำตรงนี้มาก ถ้ามีสติความเพียรนั้นเป็นความเพียรชอบ ถ้าขาดสติ ความเพียรนั้นไม่ชอบ ถ้ามีสติความคิดมันจะเท่าทันแล้วมันจะหยุด ถ้าไม่มีสติ มันคิดฟุ้งซ่าน คิดเพ้อเจ้อ คือคิดแล้วเก่งไง

อธิบายให้ผู้ไม่รู้ฟัง” แล้วผู้ไม่รู้มันเป็นใครล่ะ แล้วอธิบายให้ใครฟังล่ะ มันก็หมาไง หมาเวลามันแทะกระดูก มันเลียน้ำลายมันเองไง

นี่ก็เหมือนกัน “อธิบายให้ผู้ไม่รู้ฟัง” ไอ้ไม่รู้ก็อวิชชามึงนั่นแหละ ไอ้ตัวมึงคือไม่รู้ แล้วมึงอธิบายให้ใครฟังล่ะ ตัวเองก็ไม่รู้ แล้วยังอธิบายธรรมะอีก แล้วอธิบายให้ใครฟัง นี่มันส่งออกหมดไง

แต่ถ้ามันเป็นจริง เราจะบอกว่า ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันจะเป็นมิจฉาทิฏฐิไปตลอด ถ้าเป็นความผิดก็จะผิดไปตลอด ถ้าเป็นความถูกต้อง ถูกต้องเพราะอะไรถูกต้องเพราะมีสติ ถ้าสติเท่าทันเรามันทันเลย พอมันทันปั๊บ มันก็จะหยุด ถ้ามันทัน มันหยุด เพราะทันหรือไม่ทัน ทันอารมณ์ตัวเอง อารมณ์ตัวเองก็หยุด

ถ้าไม่ทันอารมณ์ตัวเอง “แต่ผมเข้าใจว่าผมอธิบายให้ผู้ไม่รู้ฟัง แล้วอธิบายได้เป็นวันๆ เลย

โอ้โฮเขาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญารู้เท่าความคิด ปัญญาในพระพุทธศาสนาคือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่งแล้วปัญญารอบรู้เท่าทันความคิด ความปรุง ความแต่ง

ไอ้นี่อธิบายให้ผู้ไม่รู้ฟัง โอ้โฮตายเลย ถ้าอธิบายให้ผู้ไม่รู้ฟัง มันก็มีทางออกไง คือกิเลสมันหาช่องออกไง มันก็อธิบายได้เป็นคุ้งเป็นแคว เพราะไอ้นั่นมันยังไม่รู้ แล้วมึงอธิบายชาตินี้มันก็ไม่รู้ เพราะไอ้คนที่ไม่รู้มันอยู่ไหนล่ะ แล้วไอ้คนที่ไม่รู้มันจะมาสารภาพกับมึงว่ากูรู้แล้วไหม

ไอ้นี่มันข้ออ้าง ไอ้ที่อธิบายให้ผู้ไม่รู้ฟังคือข้ออ้าง ข้ออ้างที่กิเลสมันหลอก มันจะหลอกให้เราฟุ้งไปทั้งวัน แล้วฟุ้งไปได้ทั้งชาติ เพราะไอ้คนที่ไม่รู้มันอยู่ไหนล่ะมันเป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอย ข้ออ้างลมๆ แล้งๆ ข้ออ้างที่ไม่มีตัวตน แล้วเมื่อไหร่มึงจะรู้ตัวล่ะ เมื่อไหร่มึงจะรู้ตัว มันเป็นข้ออ้างของกิเลสไง ถ้ามันมีสติ ความเพียรชอบ ถ้าความเพียรชอบมันก็พร้อม

เขาบอกว่า เวลาปัญญาอบรมสมาธิของผมตรึกได้เป็นนานๆ ตรึกได้ทั้งวันเลย ผมพยายามแก้ด้วยการตำหนิตัวเองว่ากิเลสหลอก เออกิเลสหลอกนะ ถึงเวลาให้ตรึกในธรรม แต่มันก็มีปีตินะ มีความสุขน้อยๆ

มันมีตลอดแหละ มันมีความคิดต่างๆ มันก็มี แต่ตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้ ถ้ามันเท่าทันมันจบหมด ถ้ามันจบหมดนั่นคือปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันจบไม่หมดนะ มันก็เป็นการฟุ้งซ่านน่ะ

นี้มาข้อ . “อาการฟุ้งธรรมกับธัมมวิจยะต่างกันอย่างไร

อาการฟุ้งธรรมก็เหมือนคนบ้านี่ เห็นคนบ้าอยู่ศรีธัญญาไหม พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย โรงพยาบาลศรีธัญญาน่ะ พระอรหันต์เต็มโรงพยาบาลเลย มึงบ้า ไอ้คนบ้าก็ว่ามึงแหละบ้า ไอ้คนบ้าก็บอกมึงแหละบ้า พระอรหันต์ทั้งนั้นน่ะ นี่ฟุ้งในธรรมฟุ้งในธรรมก็ศรีธัญญาไง

แต่ถ้าเป็นธัมมวิจยะ ธัมมวิจยะมีสติ พอมีสติ ทำความสงบของใจ ใจสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา นั้นคือธัมมวิจยะ สัมโพชฌงค์ไง ธรรมวิจัยไง วิจัยในกายในเวทนา ในจิต ในธรรมไง แตกต่างกันคนละฟากฟ้า

ฟุ้งในธรรม ฟุ้งมันก็กิเลสแล้ว การฟุ้งในธรรมมันก็ส่งออกหมดน่ะ แต่ธัมมวิจยะมันจะต้องมีสติ ถ้ามีสติแล้ว เวลามีสติแล้วเรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันก็เป็นสมถะ ถ้าสมถะ จิตมันสงบเข้ามาแล้ว จิตสงบแล้ว จิตเห็นอาการของจิต จิตเป็นสัมมาสมาธิ จิตเป็นตัวตนของเรา จิตนี้เป็นปฏิสนธิจิตปฏิสนธิจิตคือเวียนว่ายตายเกิด จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตสงบเข้ามา จิตเป็นสัมมาสมาธิ จิตเป็นสัมมาสมาธิ ตัวสัมมาสมาธิยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาในจิตนั้นน่ะ

เวลาวิปัสสนาในจิต พิจารณาแล้วมันสำรอกมันคายของมันออก ถ้าการสำรอกคายออก ปฏิสนธิจิตมันสำรอกคายอวิชชาออกไป ถ้าจิตยังไม่สงบ มันฟุ้งในธรรมๆ ฟุ้งในธรรมเป็นความคิด ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดเกิดจากจิต ความคิด ที่ว่าสอนผู้ไม่รู้ๆ ไม่รู้นี่เป็นข้ออ้าง ข้ออ้างที่ไม่มีตัวตน ความคิดเกิดดับๆความคิดมันเลื่อนลอย มันไม่มีที่มาที่ไป แต่ไม่เคยรู้ที่มาที่ไปของมัน ไม่เคยเห็นที่มาที่ไปของมัน มันก็เลยไม่รู้ว่ามันมาจากไหน มันก็ว่าเป็นความคิดเป็นตัวตนของเรา ทุกอย่างเป็นตัวตนของเราเป็นความคิด ถ้าความคิดอย่างนี้ นี่ฟุ้งซ่านฟุ้งซ่านเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์

แต่เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิหรือว่าใช้กำหนดพุทโธ จิตสงบเข้ามา มันสงบจากความคิดเข้ามา สงบจากความคิดมาเข้าสู่จิต เข้าสู่จิตคือเข้าสู่ตัวเนื้อของจิตเนื้อของจิตก็ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตก็สัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิยกขึ้นสู่วิปัสสนามันก็เป็นธัมมวิจยะ ธัมมวิจยะก็สัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์ก็กลับมาชำระล้างกิเลสนี่วิธีการมันมีของมันน่ะ มันถูกต้องดีงามเพราะมันต้องมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา

แต่ไอ้ฟุ้งในธรรมนี่โรงพยาบาลศรีธัญญา โรงพยาบาลศรีธัญญา โอ้โฮพระอรหันต์เต็มเลย มึงน่ะบ้า ไอ้นั่นก็ว่ามึงแหละบ้า เห็นหมอมามันชี้เลย มึงแหละบ้ามันว่ามันเป็นพระอรหันต์ นั่นน่ะฟุ้งในธรรม มันต่างกันอย่างไร ก็ต่างกันอย่างนี้ถ้ามันต่างกันอย่างนี้ ต่างกันอย่างนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราไม่ได้ทำของเรา

ภาษาเรานะ เราจะบอกว่าวุฒิภาวะมันอ่อนด้อย ถ้าวุฒิภาวะอ่อนด้อย เพียงแต่ว่าเราสำคัญตนว่าเรามีสติมีปัญญาไง แต่ถ้าเรามีวุฒิภาวะ เรามีสติแล้วเราสังเกต เราสังเกตอาการของใจ สังเกตเวลามันฟุ้งซ่าน สังเกตเวลามันปล่อยวางถ้ามันปล่อยวาง มันมีเหตุผลอย่างไรถึงปล่อยวาง ถ้ามันฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านเพราะอารมณ์กับเราเป็นอันเดียวกันมันถึงได้ฟุ้งซ่านขนาดนั้น ถ้าฟุ้งซ่านขนาดนั้นมันถึงส่งออกไปขนาดนั้น แต่ถ้าเรามีสติปัญญา ความฟุ้งซ่านมันหยุดหมด ถ้ามันหยุดหมด มีสติมีปัญญา ให้สังเกตอย่างนี้ แล้วสังเกตแล้วหมั่นฝึกหัด มันจะพัฒนาขึ้นมา แล้วมันจะดีขึ้น

คำว่า “ดีขึ้น” เห็นไหม ปุถุชนคนหนา ใครมองหน้าก็ไม่ได้ เขาไม่มองหน้าก็จะวิ่งไปหาเรื่องกับเขา แต่ถ้าเรามีสติปัญญา มึงบ้าแล้วเนี่ย ถ้ามึงบ้าขนาดนี้ โลกนี้เดือดร้อน แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมานะ มันหายบ้า มันหายบ้าว่า เขาไม่ได้มีอะไรกับเราเลย เราบ้าอยู่คนเดียว นี่กัลยาณปุถุชน ไม่ใช่คนหนา ไม่ใช่ว่าเที่ยวจะหาเรื่องกับใครทั้งสิ้น ไม่ใช่เที่ยวจะไปคุยโม้โอ้อวดใครทั้งสิ้น มันพยายามจะหาตัวตนของเรา นี่กัลยาณปุถุชน แล้วถ้ายกขึ้นวิปัสสนานะ ไปนะ เดี๋ยวเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมามันจะชัดเจนขึ้นมา

นี่มันเป็นวุฒิภาวะ มันเป็นอำนาจวาสนาของจิตที่มันมีกำลังมากน้อยแค่ไหนไม่ใช่ว่า โอ้โฮอ้างธรรมะของพระพุทธเจ้า อ้างธรรมะครูบาอาจารย์แล้วก็ปากเปียกปากแฉะ...โรงพยาบาลศรีธัญญาน่ะ

การที่เราแกล้งตนเอง เช่น ไม่ไปทำฟันที่ชำรุดเพื่อจะคุมการกินอาหารไม่ดูข่าวที่ให้มันจิตหมอง เป็นการแกล้งกิเลสตามที่หลวงพ่อสอน

อืมเราก็คิดว่าเราไม่ได้สอนอย่างนี้นะ กูว่ากูไม่ได้สอน เอ็งว่ากูสอน กูสอนตรงไหนวะ ไอ้การแกล้งกิเลส ไม่ต้องไปแกล้งมันหรอก เอาจริงๆ ก็ได้ กิเลสน่ะกิเลส ไม่ต้องไปแกล้งมัน สับหัวมันเลย ถ้ารู้ว่ามันเป็นกิเลสไง

ไอ้อย่างที่เราพูด เราจำขี้ปากหลวงตามา หลวงตาท่านบอกเลย บอกว่า การฝืนตนก็เท่ากับฝืนกิเลส อยากไปก็ไม่ไป อยากกินก็ไม่กิน ไอ้นี่เป็นการฝืนกิเลสเพราะกิเลสมันอยู่กับเรา แต่เรายังหากิเลสไม่เจอ มันอยากได้อะไร เราก็ไม่อยากทำ มันอยากกิน เราก็ไม่กิน มันอยากเที่ยว เราก็ไม่เที่ยว มันอยากใช้สตางค์ เราไม่ใช้ อยากทำบุญ อยากทำ เอออย่างนี้เป็นการฝืน เขาเรียกว่าฝืนกิเลส ไม่ใช่ไปแกล้งกิเลส กิเลสยิ่งแกล้งมัน เดี๋ยวมันตีกลับขึ้นมาล่ะยุ่งเลย

ฉะนั้นที่บอกว่าเขาไม่ไปทำฟันเพราะว่ามันจะได้ควบคุมการกินอาหาร

ไม่ไปทำฟัน เดี๋ยวฟันมันก็ผุ พอไปหาหมอ หมอมันถามเลย “ทำไมมาตอนนี้

ก็แกล้งมันไง ก็แกล้งฟันน่ะ ไม่มา

กรณีอย่างนี้มันเป็นที่หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านไม่ยอมเข้าโรงพยาบาล หลวงปู่หล้าท่านเห็นหลวงปู่มั่นทำอย่างนั้น ท่านก็ทำของท่านบ้าง หลวงปู่แหวนเห็นครูบาอาจารย์ท่านเข้มแข็ง หลวงปู่แหวนท่านป่วยไข้ ท่านไม่ไปโรงพยาบาลเลย จนในหลวงจะต้องไปตั้งห้องปลอดเชื้อ ไปผ่าหัวเข่าหลวงปู่แหวนที่วัดดอยแม่ปั๋ง เพราะว่าด้วยความเคารพของในหลวงไง

เวลาเห็นครูบาอาจารย์ท่านทำด้วยสัจจะ ไอ้พวกเราลูกศิษย์ลูกหาก็อยากมีร่องมีรอย อยากทำตามแบบครูบาอาจารย์ให้เป็นผู้เข้มแข็ง เป็นผู้ที่ไม่ท้อแท้ เป็นผู้ที่ไม่เห็นแก่กิเลส ไม่ยอมจำนนกับมัน จะฝืนมันตลอด

หลวงปู่หล้าท่านเป็นแค่ไส้เลื่อน แค่ไปโรงพยาบาล เย็บแค่นั้นก็หาย ท่านไม่ยอมไป ไปบิณฑบาตกลับมา ไส้เลื่อนมันลงไปที่อัณฑะ ท่านต้องไปนอนที่ต้นไม้แล้วยกเท้าขึ้นให้ไส้มันไหลกลับเข้าไปในช่องท้องแล้วเดินกลับวัด ท่านทำอยู่อย่างนี้ แต่พวกนายแพทย์เขาเห็นแล้วมันของเล็กน้อยมากเนาะ ไส้เลื่อนนี่ไปแค่เย็บก็หาย เย็บไม่ให้ไส้มันไหลลงมา แต่ท่านไม่ยอม หลวงปู่หล้าน่ะ

ครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านเข้มแข็ง ท่านเห็นครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่างก็อยากสนอง อยากทดแทนคุณ อยากทำตาม เวลาทำตาม ครูบาอาจารย์ที่ดีๆนะ หลวงปู่หล้า หลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวน เข่าท่านเสียหาย ต้องมาโรงพยาบาลท่านก็ไม่ยอมมา จนในหลวงต้องไปสร้างห้องปลอดเชื้อที่ดอยแม่ปั๋งเพื่อไปผ่าตัดให้หนหนึ่ง นี่ครูบาอาจารย์ที่ดีไง ถ้าทำอย่างนี้มันต้องคิดไง

ไอ้นี่บอกว่าจะแกล้งกิเลส ฟันชำรุดก็ไม่ไปทำฟันเพื่อควบคุมการกินอาหาร

กินไม่ได้นะ เข้าไป เดี๋ยวท้องผูกด้วย เพราะมันไม่ได้เคี้ยว นี่เวลามันคิด มันคิดแปลกนะ อ้าวฟันชำรุด เราก็ไปซ่อมไปแซมมัน เวลากินเราก็ ปฏิสงฺขา โยฯพระฉันพอดำรงชีวิต อดนอนผ่อนอาหารด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เราทำของเรา

ไอ้นี่เย็บปากเลยสิ ไปหาหมอแล้วเย็บปากเลย จะไม่ต้องกินอาหาร แกล้งกิเลสไง เย็บปากติดกันเลย ข้าวก็ไม่ต้องกิน ให้ทางเส้นเลือด มันตรงข้ามน่ะ ไอ้การที่เรามีสติปัญญาดูแลเป็นการฝืนกิเลส การฝืนกิเลส ต่อสู้กับกิเลส ไอ้ว่าเป็นการแกล้งกิเลส มันคิดไปเอง เออไปเองหมดไง นี่ข้อ นะ

มีความรู้สึกอยากจะคุยเรื่องธรรมะ คุยได้เป็นวันๆ ผมจะพยายามตำหนิตัวเองว่ายังโง่อยู่ แต่เวลาเจอกิเลสตัวนี้ คุมไม่อยู่

ไอ้นี่ ครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่ให้คุย แม้แต่นักปฏิบัติด้วยกันนะ ถ้าไม่จำเป็นท่านไม่ให้คุยเรื่องอย่างนั้น ท่านให้เก็บไว้ในใจ เวลาจะพูดให้พูดกับครูบาอาจารย์ เพราะครูบาอาจารย์ท่านจะคอยแก้

แต่เวลาในวงกรรมฐานรู้ว่าใครภาวนาแล้วมีสมาธิ มีปัญญา มันอยากฟังอยากฟังคืออยากหาแนวทาง เวลาพระกรรมฐานเราหูไวมาก หูไว ตาไว ใครขยับหน่อยเดียวมันรู้ว่าไอ้นี่เป็นพระอรหันต์ รีบๆ ไปถามปัญหาเลย แต่ท่านก็ไม่ค่อยคุย ถ้าคนที่เป็นไม่ค่อยคุย

ไอ้ที่โม้ๆ นั่นหมาบ้าทั้งนั้นน่ะ ไอ้ที่โม้ดีๆ หมาเห่าใบตองแห้ง ลมพัดมา เห่าใหญ่เลย โฮ่งๆๆ อันนั้นมันพระอรหันต์ ไอ้พวกหมาเห่าใบตองแห้งน่ะ แต่ของจริงเขาไม่เห่าหรอก ลมพัดอย่างไรก็ไม่เห่า นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ วงกรรมฐานเป็นอย่างนี้

แล้วเดี๋ยวนี้มันเป็นหมาเห่าหมด ใบไม้ไม่ต้องพัดหรอก มันจะไปเห่าในบ้านเขาเลย

ไอ้นี่พูดถึงถ้ากรรมฐานจริงนะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะหลวงตาท่านบอกว่าเวลาเขาไปถามหลวงตาว่าตอบปัญหาธรรมะนี่ตอบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไหม

ท่านบอกไม่หรอก ตอบ ๒๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นน่ะ เพราะโลกเขารู้ได้แค่นี้แล้วอีก ๗๕ เปอร์เซ็นต์ท่านไม่ได้พูดถึง ถ้าจะพูดถึง เวลาท่านพูด ท่านเดินไปเดินมา นิวเคลียร์อยู่ในย่าม นิวเคลียร์นิวตรอนอยู่ในย่ามไม่เคยใช้เลย เพราะมันไม่มีใครอยากใช้ ไม่มีใครอยากได้ มันไม่รู้จัก ท่านไม่ได้พูดหรอก ของจริงๆ พูดออกมา เขารู้กับเราไม่ได้หรอก คนที่จะรู้ได้ โสดาบันต้องโสดาบันด้วยกัน สกิทาคามีต้องสกิทาคามีด้วยกัน อนาคามีต้องอนาคามีด้วยกัน อรหันต์ต้องอรหันต์ด้วยกัน

ไอ้นี่มันปุถุชนทั้งนั้น กิเลสท่วมหัว เห่าทั้งวันเลยน่ะ “อรหันต์ๆ” หันอะไรของมึง มันบ้า คนจริงๆ เขาเป็นอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงนะ ถ้าท่านจะพูดจะพูดกับครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์พูดไปเท่าไรก็รู้

แล้วครูบาอาจารย์เวลาพูด พูดจริงๆ นะ หลวงตาท่านบอกพูดคำเดียวรู้ ของจริงๆ กลับไม่ต้องพูดมาก พูดคำเดียวนั่นน่ะ ผ่านอย่างนี้ๆๆ จบเลย ขณะจิตเป็นอย่างนี้ๆ จบ ของจริงพูดคำสองคำจบนะ

ไอ้พูดน้ำท่วมทุ่ง พูดทั้งวันทั้งคืนน่ะหมาบ้า หมาบ้า หมาเห่าใบตองแห้ง แล้วเวลาพูดไปแล้วมันเป็นโทษ มันเป็นโทษนะ พูดเสร็จแล้วมันกลับไปบ้านแล้ว เอ๊พูดไปวันหนึ่งมันเชื่อกูกี่คำวะ มันจับผิดกูกี่ล้านคำวะ วิตกกังวลน่ะ นิวรณธรรมทำให้ภาวนายากแล้ว ทุกอย่างมันเป็นโทษหมด มันไม่เป็นคุณเลย แต่ถ้าเราเก็บของเราไว้มันจะเป็นคุณ

นี่อย่างนี้รู้ ในวงกรรมฐานเขาจะรู้ ไอ้พวกหมาบ้ามันเห่าทั้งวัน ถ้าเป็นความจริงแล้วเขาไม่เห่า เขาเก็บของเขาไว้ในใจ แล้วเวลาจะใช้ขึ้นมา มีครูบาอาจารย์ท่านถามเลย แล้วครูบาอาจารย์ตอบคำเดียวเลย อย่างนี้ผิด อย่างนี้ถูก ควรทำอย่างนี้ๆ จบ แล้วทำต่อไป แล้วมีก็ไปหาครูบาอาจารย์ ก็รายงานผลๆ ท่านชี้ทางต่อเนื่องไปๆ นี้เป็นการสั่งสอนของกรรมฐานเรา ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนกันมาแบบนี้ ไม่ใช่ว่าพูดธรรมะเป็นวันๆ

แม้แต่เทป เวลาครูบาอาจารย์เทศน์เป็นกัณฑ์ละชั่วโมง เปิดฟังสักสองสามรอบมันจำได้ทั้งม้วนแล้ว ไอ้นี่พูดเป็นวันๆ เลยนะ โอ้โฮธรรมะมันไหล ธรรมะมันพรั่งพรู มีแต่ธรรมะทั้งนั้นเลย ไม่รู้ว่าอะไรของมัน ไอ้นี่พูดถึงว่าไม่สมควรน่ะ ข้อจบแล้ว

จากบทความข้างต้นของหลวงตา ขอคำอธิบายคำว่าปัญญา

ปัญญามันมีสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาของเด็กๆ เด็กๆ ถ้ามันมีการศึกษา มีความเข้าใจ นั่นก็ปัญญาของเด็ก ก็จบแล้วปัญญาของเรานะ ทำมาหากินใช่ไหม ปัญญาการใคร่ครวญวิจัยว่าควรทำตลาดอย่างไรๆ มันก็เป็นปัญญาประกอบสัมมาอาชีวะ แล้วถ้าเป็นปัญญารู้เท่าตัวเองก็เป็นปัญญาทำให้เราสงบ ปัญญาให้เกิดสัมมาสมาธิ นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ แล้วถ้ามันพุทโธ ถ้าเป็นสมถะแล้ว จิตสงบแล้วเราถึงยกขึ้นสู่วิปัสสนา นี่โสดาปัตติมรรค

โสดาปัตติมรรค ปัญญาของขั้นโสดาบัน ปัญญาของขั้นสกิทาคามี ปัญญาของขั้นอนาคามี ปัญญาของขั้นอรหันต์น่ะ แล้วปัญญาของพระอรหันต์ที่สิ้นสุดกิเลสไปแล้วนั่นอีกเรื่องหนึ่งเลย ปัญญาของขั้นอรหันต์ เพราะอะไร

เพราะมันมีอวิชชา อวิชชา เวลาอรหัตตมรรค ฉะนั้น ปัญญาของพระอรหันต์ปัญญาใคร่ครวญในอวิชชา ในความไม่รู้ของจิตนั้น แล้วสำรอกคายออก เวลาทำลายภวาสวะ ทำลายภพแล้วสิ้นกิเลสไป มรรค  ผล  บุคคล  คู่ นิพพาน พ้นจากอรหัตตมรรค อรหัตตผลไป ปัญญาอย่างนั้น นี่ปัญญาวิมุตติสุข ปัญญาเหนือโลก

ปัญญาของครูบาอาจารย์เราเป็นปัญญาเหนือโลก เหนือโลกเหนือสงสารแล้วอยู่ในธรรมธาตุอันนั้น เป็นครูบาอาจารย์ของเรา เป็นเจดีย์ธรรมของพวกเราพวกเราเคารพบูชาครูบาอาจารย์อย่างนั้น

ฉะนั้น สิ่งที่ถามมาๆ ย้อนกลับไป ถามไปถามมา คุยไปคุยมา มันก็เลยกลายเป็นราคาคุย ราคาคุย ราคาขี้โม้ ไม่มีเนื้อหาสาระ ถ้ามีเนื้อหาสาระมันจะเป็นความจริง ไม่ใช่ราคาคุย เอวัง