เทศน์บนศาลา

ธรรมที่ไม่แซงหน้าแซงหลัง

๑๒ มี.ค. ๒๕๔๑

 

ธรรมที่ไม่แซงหน้าแซงหลัง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราชาวพุทธ เราตั้งใจฟังธรรม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ธรรมแล้วถึงเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ สละราชสมบัติออกมา แสวงหาโมกธรรม ปฏิบัติจนพบธรรมไง ถึงได้ปฏิญาณ เยาะเย้ยมารด้วย แล้วรู้ตามความเป็นจริงด้วยว่าอันนี้คือธรรมะ ธรรมแท้ๆ ที่สถิตในหัวใจของพระพุทธเจ้า

ฟังธรรมไง ธรรมที่เป็นขั้นเป็นตอน ธรรมที่ไม่แซงหน้าแซงหลัง ธรรมที่เป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป คนเราเกิดแล้วก็ตาย เกิดมาทุกคนต้องตายหมด เกิดมานะ การเกิดมาก็แสนทุกข์ เกิดมาใช้ชีวิตก็อยู่ในความทุกข์อยู่ในชีวิต แล้วก็ตายก็ต้องมีแต่ความทุกข์ เกิดมา ก่อนจะเกิด หมอตำแยก็ต้องมียามีสมุนไพร หมอทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องมียาตามการทำเด็กให้เกิดขึ้นมา เห็นไหม ต้องมียาทุกขั้นตอนไป ถึงทุกข์ก็พอจะสมานชีวิตนี้ให้พอเป็นไปได้ เพราะมียาเป็นขั้นตอนไป

ยาคือธรรมไง ธรรมที่ละเอียด ธรรมที่หยาบไง ธรรมเหมือนกัน เห็นไหม แล้วพอเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ทุกข์พอสมควร แล้วสละจากมนุษย์ออกมาประพฤติพรหมจรรย์เป็นพระ เป็นเณร เป็นผู้ปฏิบัติ แล้วก็ต้องตายเหมือนกับทางโลกเหมือนกัน เห็นไหม ตายไปแล้ว ชั้นไหนก็ตาย จะชั้นไหนก็ต้องตายถ้าต้องตายแล้ว ตายจากพระออกไปเป็นฆราวาสอย่างเก่า เพราะอะไร

เพราะว่าธรรมที่มันแซงหน้าแซงหลังสิ ธรรมที่ว่าอยากจะอวดไง มันกิเลสอวดเจือไปในธรรมนั่นไง หลวงปู่มั่นถึงได้บอก ทองคำอยู่ในร้าน ทองคำที่ออกมาจากเหมืองแล้วถึงเป็นทองคำแท้ ทองคำที่อยู่ในดิน ทองคำ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นทองคำแท้ แต่ธรรมะของผู้ที่แซงหน้าแซงหลังนั้นล่ะ คนที่แซงหน้าแซงหลังอยากอวดด้วยกิเลสไง มันอยากอวด อยากจะแซงหน้า อยากจะอวดเก่ง การอวดเก่งก็ต้องตายไปพร้อมกับกิเลสไง ธรรมแท้ๆ ถึงไม่แซงหน้าแซงหลัง

ดูอย่างหมอ หมอเรียนจบมาแล้วมาให้รักษาได้ไหม ในอำเภอโพธารามนี้มีหมอห้ามรักษาให้หมด เพราะอะไร เพราะอาจารย์ที่โรงพยาบาลเขายังอยู่ ต้องให้อาจารย์ที่โรงพยาบาลที่มหาวิทยาลัยหมอตายให้หมดก่อน แล้วหมอโพธารามถึงจะได้รักษาคนไข้ เป็นอย่างนั้นโพธารามจะอยู่ได้ไหม อำเภอโพธารามนี่ ถ้าไม่มีหมอ หมอไปอยู่ที่อำเภอโพธาราม ในโรงพยาบาลอำเภอโพธารามทั้งอำเภอเลย แล้วบอกให้หมอทั้งโรงพยาบาลทั้งอำเภอนี้ห้ามรักษาคน เพราะจะแซงหน้าแซงหลังอาจารย์ที่อยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล

ทำไมหมอที่โรงพยาบาลนี้ต้องรักษาคน เพราะว่าเขาได้เรียนจบมาตามหลักสูตรของนายแพทย์ เป็นธรรมแท้ไง จบหลักสูตรของหมอ ได้รับปริญญามาตามความเป็นจริง ถึงวินิจฉัยโรควิเคราะห์โรคได้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่หมอเถื่อน หมอที่ไม่มีการศึกษามา ถึงเวลาก็มาจับแมะๆๆ ต้องใช้ยานั้น ใช้ยานี้ อะไรมาก็ฉีดยาๆ ฉีดด้วยเตตรา ฉีดคุมไว้ไง นั่นถึงว่าเป็นการแซงหน้าแซงหลัง มันแซงเพราะมันไม่รู้จริง ความไม่รู้จริงของมันถึงได้แซงหน้าแซงหลัง

แต่หมอที่จบมาจากมหาวิทยาลัยตามวิทยาศาสตร์ เขาไม่แซงหน้าแซงหลัง เขาวิเคราะห์โรคเป็นโรคๆ ไป เขาให้ยาเป็นโรคๆ ไป หมอที่โรงพยาบาลนั้นเขารักษาคนแล้วเขาผิดตรงไหน เพราะเขาได้รับการศึกษามา จบมาเป็นหมอ เป็นปริญญา เป็นปริญญาของหมอ เขาถึงมารักษาคนไข้ถูกต้องตามวิชาการที่เขาศึกษามา แล้วคนไข้ก็หายมาเป็นคนๆ ไปที่พอที่จะหายได้

โรคที่มันต้องตายไป โรคเอดส์ โรคที่รักษาไม่ได้ต้องตายไป เพราะยังไม่มีทางรักษา เอดส์นี้ก็คือกิเลส พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นธรรมชั้นเอก ฆ่ากิเลสทั้งหมด แล้วธรรมอันนั้นทำไมถึงแพร่ออกมาทำไมถึงใช้ได้ล่ะ มันแซงหน้าหรือไม่แซงล่ะ...มันพูดด้วยความอยากอวด คนตาบอดไง คนตาบอดไม่รู้ก็อวด ว่าตัวเองเป็นหมอเถื่อน ความเป็นหมอเถื่อนถึงไม่เข้าใจว่าการเป็นหมอจริงเขารักษาวิธีการแบบใด

เห็นคนอื่นรักษาก็ตัวเองจะว่าเกินหน้าเกินตา ไอ้ธรรมจะแซงหน้าแซงหลังหรือว่าไอ้คนอิจฉาจะแซงหน้าแซงหลัง ความอิจฉา ความไม่ให้เป็นไปมันจะแซงหน้าแซงหลังไง ตัวเองเอาอะไรไปจับธรรม ตัวเองมีปัญญาตรงไหนเอามาจับธรรม? มีแต่ความมืดบอด เขาเอาความมืดบอดมา แล้วคนที่ตาสว่างก็ห้ามรักษาสิ นั่นเหรอเป็นความเป็นจริง มันไม่ใช่ความเป็นจริง

ถึงว่าฟังธรรมเป็นขั้นเป็นตอน ฟังธรรมที่ไม่แซงหน้าแซงหลัง ธรรมแท้ๆ ไม่แซงหน้าแซงหลัง เพราะมันต้องรักษาคนไข้ คนไข้จะปล่อยให้ตายต่อหน้าเรา อันนั้นจะเป็นความถูกต้องหรือ คนไข้อยู่ต่อหน้าเรา เราก็ต้องรักษาตามความเป็นจริง มีภูมิธรรมแค่ไหน เห็นไหม มีภูมิธรรมแค่ไหน ถ้าไม่มีภูมิธรรม ถึงบวชเป็นพระก็ต้องตายไป เพราะธรรมมันแซงหน้าแซงหลัง

ถ้าไม่แซงหน้าแซงหลัง อุปัชฌาย์ให้มานะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่ธรรมไม่แซงหน้าแซงหลัง เพราะอุปัชฌาย์บวชก็ต้องให้กรรมฐานมาก่อน การทำกรรมฐาน การแทงทะลุกรรมฐานอันนั้นไง รู้ตามความเป็นจริง เห็นไหม ไม่แซงหน้าแซงหลัง อันนี้มันลืมไง ลืมกรรมฐาน ๕ ไปเอาอะไรกันนั่นน่ะ? เอาสิ่งที่ว่ามันเป็นเล่ห์เป็นเหลี่ยมไง เป็นเล่ห์เป็นเหลี่ยม เป็นการแซงหน้าแซงหลัง เพราะมันแซงออกไป กิเลสมันออกหน้าไปก่อนแล้วธรรมมาไม่ทันไง มันถึงดับจากเพศสมณะไป เพราะกิเลสมันออกหน้า ธรรมมันมาหนุนไม่ทัน ถ้าไม่แซงหน้าแซงหลัง ธรรมแท้ถึงออกมาก่อนไง

พระกัจจยานะอยู่ชนบทประเทศ สั่งสอนพระโสณะจนพระโสณะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ให้กลับไปหาพระพุทธเจ้า จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ให้ขอกับพระพุทธเจ้าด้วยว่า ขอให้ชนบทประเทศใส่รองเท้าได้เกิน ๒ ชั้น ให้ชนบทประเทศ ๕ องค์ บวชพระได้ ถ้าพระกัจจยานะแซงหน้าแซงหลัง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม แล้วห้ามพระแสดงธรรม พระที่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าห้ามแสดงธรรม เพราะพระพุทธเจ้ายังอยู่ ศาสนาจะมาถึงปัจจุบันนี้ไหม

ศาสนานี้มาถึงปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นครูสอนเทวดา เป็นครูสอนมนุษย์ แล้วมาสั่งสอนปัญจวัคคีย์ ๕ องค์ สั่งสอนพระโสณะ พระยสะ ลูกศิษย์พระยสะครบ ๖๐ องค์ แล้วเธอจงไปอย่าซ้ำทางกัน เพื่อเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้า...แซงไหม? ถ้าแซงพระพุทธเจ้าบอกว่า เธออย่าสั่งสอนใคร ต้องให้พระพุทธเจ้านิพพานก่อนแล้วเธอค่อยสั่งสอนเขา อย่างนั้นถึงว่าไม่แซงหน้าแซงหลังหรือ ต้องเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าถึงไม่แซงหน้าแซงหลัง

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น คำว่า “แซงหน้าแซงหลัง” เพราะกิเลสมันแซงออกไป การเทศนาว่าการออกไป เอากิเลสออกไปอวดกัน ถึงว่าเป็นการแซงหน้าแซงหลัง

ธรรมะเป็นของประเสริฐ ยาเป็นสิ่งที่รักษาโรค ธรรมไม่มีในโลกนี้มีแต่ความเดือดร้อน ธรรมเผยแผ่ออกไป น้ำสมานโลกทั้งโลก มันจะไปแซงตรงไหน มีแต่ต้องการเรียกร้องหาธรรม แสวงหาทุกอย่าง แสวงหาธรรมทุกอย่าง มันว่าแซงหน้าแซงหลัง อะไรมันแซง มันไม่มีธรรมจะออกมาต่างหากล่ะถึงว่าได้แซง ลองธรรมออกไปมันจะเอาอะไรมาแซง

มันตาบอด ความเป็นตาบอด พระพุทธเจ้าไม่ได้ว่าอย่างนั้นเลย เห็นไหม ขนาดไปนี่อย่าให้ซ้ำทางกัน ถ้ามันซ้ำทางกัน มันจะเสียบุคลากรไปหนึ่ง ให้แยกทางออกไปเพื่อจะได้กว้างขวางออกไป

แต่ครูบาอาจารย์พูดอยู่...ถูกต้อง ว่าไม่ให้แซงหน้าแซงหลัง การแซงหน้าแซงหลัง ทำไมครูบาอาจารย์ถึงได้ดันพระออกมาให้ธรรมไหนก็ได้ออกมารับกิเลสของโลก ถ้าเป็นความจริงแล้ว ท่านดันออกมาเลย ท่านดันออกมาเอง ท่านต้องว่าเองว่าแซงหน้าแซงหลัง

นี่ครูบาอาจารย์ไม่ได้ว่า ไอ้คนตาบอดมันว่า ไอ้คนตาบอดมันอยากอวดดี มันเอาอะไรมาพูด ยานี้ไม่เป็นประโยชน์กับโลกเหรอ? เป็น ยานี้เป็นประโยชน์กับโลก ธรรมนี้เป็นประโยชน์กับหัวใจที่อยากแสวงหาธรรม ความอยากจะออกจากกิเลสมันก็มีแต่ความมืดบอด ออกไม่ได้ การออกไม่ได้ก็ไปหาแต่หมอเถื่อน หมอเถื่อนแนะนำมาอย่างไรก็เชื่อหมอเถื่อน พอมาเจอหมอจบจากโรงพยาบาลมา เป็นหมอวิทยาศาสตร์ที่เขาจะเสนอยามา...ไม่รับฟัง ไม่ยอมกินยานี้ เพราะความเคยชินของกิเลส กิเลสมันเข้ากับกิเลสไง

กระแสของโลก กระแสของกิเลส กระแสของพระ เห็นไหม พระที่ว่าบวชแล้วไม่ศึกษา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อยากจะได้หงอนไก่ อยากจะได้ตำแหน่ง แล้วก็ล่มไป เคยแต่อย่างนั้น เคยแต่ความเคยชิน เคยแต่การลุ่มหลง พอมาเจอของจริงเข้า งงเป็นไก่ตาแตก แล้วว่าแซงหน้าแซงหลัง

มันงง มันไม่เคยเจอของดีไง ดีเลิศ ดีจนไม่มีคุณค่า จนเทียบค่าไม่ได้ เลยกลายเป็นไก่ได้พลอยไง พลอยเม็ดหนึ่งสู้ข้าวสารเม็ดหนึ่งก็ไม่ได้ พลอยจะมีคุณค่าขนาดไหนก็ไม่มีคุณค่าสำหรับไก่ จะพลอยน้ำงาม จะมีคุณค่า ก็ขอข้าวสารเม็ดเดียว ขอแลกข้าวสารเถิด ขอข้าวสารเม็ดหนึ่งฉันก็ยังอิ่มท้อง พลอยนี่เอาไปแล้วกินไม่ได้ แล้วมาแซงหน้าแซงหลัง พอไก่มันได้พลอยมันจะไปรู้เรื่องอะไรล่ะ

มันแซงไม่จริง มันรู้ไม่จริง วงการของสงฆ์ วงการของพระติเตียนกัน ว่ากัน เป็นการว่าผู้ใหญ่เตือนเด็ก อันนั้นเห็นด้วย วงการของสงฆ์ วงการของพระ พระพูดกันได้ แต่วงการของคนตาบอด เอาอะไรมาเทียบเคียง เอาอะไรมา? ก็จงตาบอดต่อไป เพราะมันไม่มียารักษาตามัน จงตาบอดต่อไป

ก็ไม่ว่าไง แซงไปสิ แซงไป ในเมื่อเป็นจริงไม่จริง พิสูจน์กันได้ ต้องพิสูจน์ก่อน ในกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เทศนาว่าการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเองไว้ในพระไตรปิฎก แม้แต่ตัวท่านเองก็ยังไม่ให้เชื่อ แล้วจะเชื่อตามๆ กันมา ไม่ให้เชื่อ ให้พิสูจน์ แล้วพิสูจน์ได้ขึ้นมาหรือยัง? ก็ยังตาบอดอยู่ แล้วอันไหนมันแซงล่ะ ในเมื่อมันตาบอด

คนตาดีเข้ามาคุยกันสิ ให้ตาดีก่อน แล้วจะมารู้ว่าแซงหรือไม่แซง

อยู่กับอาจารย์มหาบัว อาจารย์บัวบอกเลยเวลาเทศน์ให้พระฟังน่ะ ไม่สน ถ้าท่านตายไปแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติตามถึงท่านจะต้องมากราบศพของท่าน มันมาอ๋อ! ทีหลังไง แต่ถ้ายังไม่ถึงบางอ้อ ไม่ถึงอ๋อ! ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ นี่เอาอะไรมาแซงหน้าแซงหลัง

ผู้ปฏิบัติ จิตนี้เป็นสมาธิ จิตนี้จะรวมลง ถ้าปฏิบัติ กำหนดพุทโธๆๆ กำหนดไว้ที่ลมหายใจกระทบปลายจมูกนั่นน่ะ กำหนดลมหายใจอยู่ ความจับเข้ามา เห็นไหม สติตั้งไว้พร้อม การฝึกฝนทั้งหมด สติตั้งพร้อม กำหนดลมเข้ามาๆ ให้จิตมันละเอียดเข้าไป จิตละเอียดเข้าไป ฟังสิ ละเอียดเข้าไปของจิตมันจะสงบตัวเข้าไปๆ การสงบตัวอันนี้มันถึงจะรู้ว่าตัวตนของจิตอยู่ที่ไหน การจะกำหนดรู้ตัวของจิต มันต้องมีความศรัทธาไง ความเชื่อมั่นในศักยภาพมนุษย์ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม

จิตของมนุษย์ อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ อาสวะสิ้นไป จิตนี้เป็นผู้วิมุตติ จิตมันอยู่ที่ไหน กายของเราจับไปมันก็กายทั้งตัว หัวใจในกายนี้อยู่ที่ไหน หัวใจในกายนี้ จิต สมาธิ สงบเข้าไปๆ ถ้าจิตนี้สงบถึงจุดหนึ่ง จิตนี้สามารถละกายได้ด้วยตามธรรมชาติของมัน ละอย่างไร ละหมายถึงว่า จิตนี้สงบเข้าไปจนไม่ยอมรับรู้เรื่องของกาย จิตนี้ไม่รับรู้เรื่องของกาย สงบนิ่งเลย กายส่วนกาย จิตส่วนจิตแยกออกจากกันชั่วคราว ไปเห็นสภาวะจิตไง เพราะจิตดวงนี้เกิดเป็นมนุษย์

การเกิดเป็นมนุษย์นี้มีคุณค่ามาก เพราะได้สร้างบุญกุศลมาถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา เพราะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประธานไว้ในโลก ประธานไว้ให้พวกเทวดาด้วย แล้วเราเกิดมาพบน่ะ พระพุทธศาสนานี้เลอเลิศไง เลิศจนกว้างแสนกว้าง ลึกแสนลึก เข้าไม่ถึง ต้องทำใจให้ศรัทธาก่อน เห็นไหม

จิตนี้หยาบ จิตนี้เข้าไม่ถึงธรรม จิตนี้เข้าถึงแค่วัตถุ จิตนี้เข้าถึงแต่หนังสือ จิตนี้เข้าแต่ตัวอักษร แต่ไม่เข้าถึงเนื้อของธรรม พอจิตเริ่มสงบ เพราะเราทำใจของเราให้สงบ พอจิตเริ่มสงบเข้ามาอันนั้นต่างหากล่ะ ตัวนั้นจะเป็นตัวสัมผัสธรรม ตัวสัมผัสสมาธิธรรมไง สมาธิที่โลกเขามีกันอยู่นี่ สมาธิที่เขาว่าจิตสงบๆ ที่มันเป็นความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ตรงไหน? ถ้ามันมหัศจรรย์ มันดีจริงดีเลิศ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ เคยไปเรียนกับดาบสมา ๒ องค์ นี่มันมีมาดั้งเดิม เพราะเขาไปเอาว่าสมาธิเป็นเราไง สมาธินี้เป็นเรา เรากับอารมณ์เป็นสมาธิ มันถึงเป็นอันเดียวกัน อารมณ์ที่มันเกิดมันจรมา สมาธินี้ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป สมาธิที่มีการเจริญขึ้นแล้วเสื่อมลง เห็นไหม ว่าจิตเสื่อมๆ เราจะเสื่อมตรงไหน เราไม่เข้าไปจับต้อง เราไม่เคยเจริญ เราไม่เคยมี แล้วอะไรมันเสื่อม แม้แต่เข้าไปจับต้อง เข้าไปสัมผัส ยังมีตั้งอยู่ เห็นไหม มีขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา มันจะเสื่อมไปเป็นธรรมดาเลย แต่เราไปยึดมั่นไงว่าเป็นเรา พอความยึดว่าเป็นเรา เห็นไหม จิตนี้สงบ พอเวลาจิตมันสงบ ความละเอียด

เราพูด เสียงกระทบหู ผู้ได้ยิน วิญญาณรับรู้ขึ้น อันนี้เราว่า จิตเราเห็นเรารับรู้ ความกระทบของจิตกับเสียง เห็นไหม โสตวิญญาณเกิดขึ้น รับรู้อยู่ จิตสงบเข้าไปๆ จิตละเอียด ฟังสิ คำว่า “จิตละเอียด” หมายถึงว่ามันละเอียดจากอารมณ์ที่อารมณ์ปกตินี้ เห็นไหม อารมณ์ที่เสียงกระทบหูนี่ อารมณ์ที่เรารู้สึกมันก็เป็นอารมณ์จรมา แต่มันละเอียดเข้าไปๆ จนมันเป็นเนื้อ เนื้อที่ไม่ต้องอาศัยกระทบ ถ้ามันอาศัยกระทบอยู่ จิตยังออกรับรู้อารมณ์ พอจิตมันสงบเข้าไป มันจะปล่อยวางอารมณ์อันนั้น ความสงบของตัวมันเองก็จิตละเอียดไง ความสงบของตัวมันเอง แล้วสติพร้อมขึ้นมา พอสติพร้อมอันนี้ มันจะรับรู้ตัวมันเองโดยไม่ต้องรับรู้เสียงกระทบ

เราจะให้เกิดเสียงขึ้นมา เราเอานิ้วเคาะกัน หรือเราเอาเหล็กเคาะกันจะเสียงดังขึ้นมา แล้วจิตปกติออกมาตามอายตนะ ก็เสียงกระทบมันถึงจะรับรู้ขึ้นมา แล้วมันก็ไปรวมสะสมลงที่มโนวิญญาณ มโนคือใจไง เห็นไหม รวมลงเป็นข้อมูลเดิมที่ว่ามันจะคอยขุดคุ้ยขึ้นมาใช้งานเวลาเราคิดขึ้นมาไง

ตัวนี้มันก็ไม่รับรู้ ละเอียดเข้าไป นั่นถึงเป็นสมาธิ ความเป็นสมาธิ เห็นไหม เราเข้าใจสมาธิ เรารับรสของสมาธิแล้วเราก็มีความสุข แล้วเราก็ไม่เพลินมัน เพราะเราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าจิตสงบเป็นสมาธิ เป็นสัมมาสมาธิ สมาธิในมรรคองค์หนึ่งเท่านั้น

แต่ถ้ามันแซงหน้าแซงหลัง มันจะว่าอันนี้เป็นผลไง ความสงบเข้าไประลึกรู้อยู่นี่มันเป็นผลไง พระอริยเจ้าเป็นผู้รับรู้ เป็นนิพพาน มันจะเข้าใจว่าอันนี้เป็นนิพพาน ความเป็นนิพพานแซงหน้าแซงหลังไหม? มันแซงธรรม มันเอากิเลสแซงธรรม เพราะสมาธินี้กิเลสล้วนๆ สมาธิกับกิเลสเป็นเนื้อเดียวกัน ความเป็นล้วนๆ อันนี้มันเป็นการคาดหมายของผู้นั้น ความคาดหมายของผู้ปฏิบัติไง นี่ถ้ามันแซงอย่างนี้ แซงด้วยความไม่เข้าใจ แซงด้วยความหลง ก็ยังดีนะ เพราะตัวเองได้สัมผัส ได้ปฏิบัติแล้ว แต่ยังเข้าไม่ถึงก็พูดไปก่อน ไอ้ตาบอดคลำช้างไง นี่สมาธิธรรม

ถ้าเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นชาวพุทธ มีครูบาอาจารย์คอยบอกไงว่าอันนี้มันเป็นผลของสมาธิ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมมันจะมีความสุขเจือจานขึ้นไป ไม่เหือดแห้ง เห็นไหม ผู้ที่ทำบุญทำทาน พอสละออกไป ความชุ่มเย็นกลับมาเป็นบุญกุศล มีบุญกุศลแล้วมีความศรัทธาได้ฟังธรรม

การฟังธรรม การรู้วิธีปฏิบัติ พอเริ่มปฏิบัติ จิตได้สัมผัสธรรมแท้ ไม่ใช่ธรรมตามตัวหนังสือไง ไม่ใช่ธรรมที่ว่าเป็นสิ่งประกอบ ไม่ใช่กระแสของโลกที่ตื่นกัน พิธีกรรมต่างๆ นั้น เป็นพิธีกรรมเพื่อจะเข้ามาตรงนี้ไง เข้ามาตรงจิตเข้าไปสัมผัสสมาธิธรรม พอถึงสมาธิธรรม ถึงบอก นี่! แล้วบอกว่าเริ่มต้นจะปฏิบัติเข้าไป

สมาธิไม่ใช่เรา เรากับสมาธิคนละอัน สมาธิเป็นสมาธิ เราเป็นเรา แต่เวลามันละเอียดเข้าไปนี่มันแยกไม่ออกไง มันเป็นเนื้อเดียวกัน พอเป็นเนื้อเดียวกัน มันก็ต้องหัด ยกออกมา เห็นไหม เวลาจิตมันสงบเข้าไปจนเป็นอัปปนาสมาธิ สนิทเข้าไปเลย จะนิ่ง นิ่งมีความสุขมาก เป็นผลหรอ? ไม่ใช่ เพราะมันคลายออกมา พอมันคลายออกมามันก็ทุกข์อย่างเก่า แต่มันคลายออกมา เราต้องเอาตัวนี้พิจารณาเลย ถ้ามีปัญญาทัน ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญารอบรู้ในความคิดของตัว

เวลาจิตถอนออกจากสมาธิมันมีพลังงานอยู่ เราใช้พลังงานนั้นวิปัสสนา ยกขึ้นวิปัสสนา กาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน ๔ ลองพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ แล้วนั่นถึงว่าเห็น เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงในขณะปฏิบัตินะ มันต้องเป็นปัจจัตตัง ต้องสมุจเฉทเข้าไปภายในอีก ไม่ใช่ตามความเป็นจริงแล้วจะถือว่าเป็นของจริงเลย...ยังไม่ใช่ความจริงแท้ เป็นความจริงของเหตุไง มันต้องหาเหตุ มันถึงจะมีผลใช่ไหม ต้องหาเหตุ เอาเหตุมาถึงว่าออกมา

จิตนี้เข้าไปในอริยสัจ พ้นกลั่นออกมาจากอริยสัจถึงออกมาเป็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วพอออกไปแล้วอะไรล่ะ? มันต้องผ่านกระบวนการของอริยสัจ ผู้ที่เห็นอริยสัจตามความเป็นจริง

ขณะเข้าไปในอริยสัจ กำลังหมุนกันอยู่นี้ กำลังคลุกกันอยู่ นักมวยกำลังต่อสู้กัน นักกีฬาจะอยู่ในเหตุการณ์ กำลังต่อสู้ กำลังเล่นกีฬากันระหว่างแพ้กับชนะ กำลังคลุกวงในกันอยู่ คนคนนั้นจะเห็นการกระทำของตัวไหม จนกว่ากีฬานั้นจะจบลง แล้วถึงว่ากรรมการตัดสินว่าแพ้หรือชนะ แล้วเรามาฟังผู้ที่ดูเราอยู่ หรือเราย้อนกลับไปดู เราจะเห็นว่า อ้อ! การกระทำช่วงไหนที่มันทำให้เราแพ้หรือทำให้เราชนะ จริงไหม

อันนี้ก็เหมือนกัน ในขณะกำลังพันตูอยู่กับกิเลส สมาธิถอนออกจากอัปปนาสมาธิ ออกมาวิปัสสนาไง ขณะคลุกวงในกันอยู่นี่ ให้เห็นกาย ให้เห็นเวทนา ให้เห็นจิต ให้เห็นธรรม ธรรมารมณ์ ไม่ใช่เห็นธรรมแท้นะ เห็นธรรม เห็นความแปรสภาพของขณะการต่อสู้ มันมีแพ้มีชนะ มีแพ้และมีชนะ ถ้าสติพร้อม ถ้าสมาธิเราพร้อม มันจะยกวิปัสสนา มันจะได้ชัยชนะ กิเลสมันจะไม่ขาดหรอก กิเลสมันเหนียวแน่น กิเลสมันเป็นแก่นกิเลส มันอยู่ในหัวใจของมนุษย์ หัวใจของผู้ปฏิบัติมาเนิ่นนาน มันสู้ไม่ไหว มันจะหลบซ่อนก่อน มันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

การที่ว่าวิปัสสนาจนกิเลสมันยุบยอบลง มันจะปล่อยวาง ว่างโล่งเลย แล้วไอ้ที่ว่า จิตเป็นสมาธินี้เป็นผลๆ กับความเวิ้งว้างอันที่มันพิจารณาแล้วปล่อยวาง มันจะต่างกันขนาดไหน ความเป็นปัจจัตตัง ธรรมแท้ๆ เป็นปัจจัตตังที่เข้าไป ไปสัมผัสกันจริงๆ แต่ถ้าไม่ได้สัมผัสกันจริงๆ มันจะแซงหน้าแซงหลังมาตั้งแต่สมาธิแล้ว แล้วก็จะมาแซงหน้าแซงหลังขณะวิปัสสนานี้ มันจะหลง

คำว่า “หลง” เห็นไหม เพราะกิเลสมันฉลาด แสนฉลาดมันฉลาดทุกๆ อย่าง แม้แต่การประพฤติปฏิบัติอยู่มันก็หลอกไง มันจะสงบตัวลง แล้วถ้าเราเผลอหรือเราภูมิใจในการประพฤติปฏิบัติเพราะเราไม่เคยพบ มันเหนื่อยนะ การจะต่อสู้ปฏิบัติต้องสู้กันสุดชีวิต แล้วพอผลเกิดขึ้นมานี่มันวูบแวบนี่เรารีบตะปบเลยว่าอันนี้เป็นผล เห็นไหม กิเลสมันจะยัดเยียดให้ด้วยว่า “ใช่แล้วๆ อันนี้คือกิเลสขาดแล้ว” นี่กิเลส

ถึงว่ามันฉลาดกว่าเราไง ถ้าไม่ฉลาดกว่าเรา มันจะหลอกเราได้หรือ มันหลอกเรานะ หลอกเราให้เชื่อว่าอันนี้เป็นผลแล้ว ผู้ที่เป็นนักปราชญ์จะต้องมีการทดสอบไง การทดสอบ การใคร่ครวญ การไม่เชื่อแม้สิ่งที่เราสัมผัส ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เชื่อจากการพิสูจน์ นี่ขนาดพิสูจน์อยู่มันก็ยังหลอกอยู่ในวงที่พิสูจน์อยู่นั้น เพราะอะไร เพราะกิเลสมันแซงหน้าแซงหลัง มันจะแซงเข้ามาว่าอันนี้เป็นผลไง

การใคร่ครวญ การตรวจสอบ การทดสอบด้วยตามความเป็นจริง ความเป็นปัจจัตตัง มันเป็นจริงๆ ตามนั้นน่ะ สมุจเฉทปหาน ปหานออกไป ในตำราบอกไว้ เห็นไหม “ดั่งแขนขาด” ดั่งแขนขาดเลยนะ ความที่หลุดออกไปดั่งแขนขาด หลุดออกไป เวิ้งว้างออกไป ออกไปตามความเป็นจริง ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ...ยถาภูตํ รู้ตามความเป็นจริง ยถาภูตํ รู้ว่าหลุดออกไป รู้ว่ากิเลสขาด แล้วยังรู้ว่าจิตที่หลุดออกไป เห็นไหม

มันไม่ใช่ว่าด้นๆ เดาๆ ลูบๆ คลำๆ แล้วว่าเป็นผล พิจารณากาย พิจารณากายตามความเป็นจริงหรือ พิจารณากายโดยที่กิเลสมันหลอกน่ะ เพราะการพิจารณาแล้วทีเดียวจะให้เข้าใจเลย ดูอย่างเรา เช่นเรา การศึกษาการทำงานของเราสิ อย่างการปรุงอาหารก็ได้ ครั้งแรกๆ มันจะอร่อยขนาดไหน ทำจนความเคยชิน จนหลับตาทำก็ยังได้เลย จะแกงไหนก็ได้ หลับตาทำยังได้เลย การวิปัสสนาต้องเป็นแบบนั้น เพราะการแกง เราแกงหม้อไหนหม้อนั้นก็คือแกง หม้อนั้นก็ได้กินอิ่มในมื้อนั้น ยังอุ่นกินมื้อต่อไปได้ เห็นไหม แกง

การวิปัสสนาก็เหมือนกัน พิจารณากายจนปล่อยวาง มันก็เหมือนแกงหม้อหนึ่ง มันเป็นผลงานไง ถ้าวิปัสสนาจนมันปล่อยวางมันเป็นความเป็นจริง แต่มันไม่ได้ขาด มันก็มีความสุขตามผลงานอันนั้นไง แล้วแกงหม้อต่อไปอร่อยไหม? มันก็ยังอร่อยต่อไป แล้วแกงหม้อต่อไปล่ะ แกงหม้อนี้จบแล้วแกงหม้อต่อไปไม่เป็นแกงเหรอ

จนกว่าเราจะชำระหม้อนั้นจนเกลี้ยง จนไม่มีอะไรที่จะมาติดในหม้อนั้นไง พิจารณากายจนเห็นตามความเป็นจริงว่าไอ้แกงนี้มันก็เป็นของโสโครก ไอ้แกงนี้เราหลงมากินมันอยู่ได้ทำไม เราไม่คว่ำทิ้งไปเสีย เก็บล้างเช็ดหม้อให้เรียบร้อยไป พิจารณากายตามความเป็นจริงสิ เห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งนี้มันยึดติดด้วยกิเลส อุปาทานยึดมั่นถือมั่นในตัวกิเลสนั้นไง

อุปาทานยึดมั่นถือมั่นในกายนั้นน่ะกิเลสมันหลอก ถึงจะเห็นตามความเป็นจริงก็เห็นด้วยหลอกๆ จนกว่ามันจะสมุจเฉท กายเป็นกาย จิตเป็นจิต มันแยกออกจากกัน แยกจริงๆ หลุดออกไปเลย กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ กายนี้ไม่มีอำนาจเหนือกับดวงจิตดวงนี้อีกแล้ว เห็นไหม ถึงได้ว่าเป็นพระโสดาบันไง พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิในกาย

ก็กายนี้เป็นเรา สิ่งที่เจือด้วยกายนี้เป็นของเรา แต่มันเป็นของอาศัยชั่วคราวไง เกิดเป็นมนุษย์ได้ร่างกายมา เกิดเป็นเทวดามันมีร่างกายหรือ? มันเป็นกายทิพย์ เกิดเป็นมนุษย์ได้ร่างกายมา เพราะได้ร่างกายมาแล้วจิตนี้อยู่ภายใน แล้วพบพระพุทธศาสนา สอนวิธีการไง ศาสนาพุทธนี้เป็นมัคคา มัคคาที่จะให้หลุดพ้นออกไป

เราได้มีมัคคา มีเครื่องดำเนิน นี่ถึงว่าเพราะพบพระพุทธศาสนา เพราะเห็นครูบาอาจารย์ เพราะเดินตามธรรมที่ไม่แซงหน้าแซงหลัง เพราะเดินตามธรรมเป็นธรรมความเป็นจริง เดินไปตามธรรม เดินไปตามขั้นตอนของธรรมแท้ๆ มันจะแซงหน้าแซงหลังต่อเมื่ออ้าปากพูด แต่ถ้ามันเป็นธรรมความเป็นจริง มันปัจจัตตัง มันรู้ตามเนื้อธรรม มันจะแซงไปไหน ถ้าแซงอันนั้นคือว่ามันไม่ถึงธรรม ถ้าถึงธรรม นี่ไม่แซง ไม่แซง เพราะมันแซงไม่ได้ เพราะถ้าแซงแล้วมันก็จะมรรคไม่สามัคคี มรรคไม่รวมลง มรรคไม่สมุจเฉท

มรรครวมลง มรรคสมุจเฉทปหาน มันเป็นไปตามธรรม มันเป็นภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่เป็นเอกเทศ เป็นปัญญาที่เป็นธรรมจักร ไม่ใช่ปัญญาโลกๆ ไม่ใช่ปัญญาตบแต่ง ไม่ใช่ปัญญาคาดหมายใคร่ครวญ...ไม่มี ถ้าแซงหน้าแซงหลังมันเป็นปัญญาโลก มันเป็นปัญญาของกิเลส มันเป็นปัญญาของเล่ห์เหลี่ยม ถ้าเป็นปัญญาตามธรรมมันสมุจเฉทตามธรรม ไม่มีสิ่งใดเข้าไปเจือได้เลย เป็นธรรมล้วนๆ เป็นเนื้อของธรรม มันเอาอะไรมาแซง

เวลาปฏิบัติอยู่ เวลาเราปฏิบัติ กิเลสมันก็หลอกไป กิเลสมันหลอกไปตลอด เพราะมันหลอก กิเลสนี้ดักหน้า มันก็แซงไปดักไง ป่วยขนาดไหนก็ไม่กล้ากิน เห็นยาอยู่ในตู้ไม่กล้ากิน เพราะอะไร เพราะมันกลัวแซงหน้าแซงหลัง ยาในตู้มี พระพระพุทธเจ้ามี ธรรมแท้ๆ ก็มี แต่ไม่กล้ากิน ไม่กล้ารักษา เจ็บก็ทนเอา ไอ้การทนอย่างนั้นหรือเป็นการแซงหน้าแซงหลัง การทนอย่างนั้นถือว่าเป็นการไม่แซงหน้าแซงหลังหรือ การทนเอา การเอาหัวชนเสาไว้ จะเจ็บปวดขนาดไหนก็กัดฟันทนอย่างนั้น อย่างนั้นใช่ไหมถือว่าไม่แซงหน้าแซงหลัง ถ้าเอายาพระพุทธเจ้ามาแล้วเปิดตู้มาแล้วกินเป็นการแซงหน้าแซงหลัง...ไม่ใช่ เพราะกิเลสมันยึดตัวนี้ไง

กิเลสมันทำให้เราเจ็บปวดอยู่แล้วในหัวใจของเรา มันทำให้เจ็บแสบอยู่ในหัวใจ แล้วจะกินยาก็ยังว่าแซงหน้าแซงหลัง ถ้ามันไม่มีตัวนี้มานะ เปิดตู้ หยิบยามา ลืม หายไม่หาย ทนเอา มันมีโรคข้างเคียง มันยังมีผลอยู่ ยาทุกชนิดมีผลข้างเคียง แต่ธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีหรอก ไอ้กิเลสต่างหาก กิเลสตัวที่มันต่อต้าน นั่นคือตัวมันต่อต้าน การต่อต้านเราก็ว่าอันนี้เป็นผลข้างเคียง...ไม่ใช่ คือว่า ธรรมให้ผลเป็นเป็นความสุข ธรรมให้ผลเป็นการปล่อย ธรรมให้ผลจะทำให้ตัวเองพ้นจากโรค แต่กิเลสมันไม่ยอม กิเลสมันยังไม่ยอมไง มันถึงว่ากินเข้าไปแล้วมันมีความร้อน มันทำให้ร่างกายนี้ ครั่นเนื้อครั่นตัว เห็นไหม มันก็ว่าอันนี้เป็นผลข้างเคียงของธรรม

แต่ความจริงคือว่าตัวโรคมันต่อต้านต่างหาก ตัวกิเลสมันโดนปราบปราม ตัวกิเลส ตัวความเห็นว่าอันนี้จะเป็นการชนะไง กิเลสต่างหากมันแซงหน้าแซงหลัง ไม่ใช่ธรรม นี่ตัวเป็นภายใน ความเห็นไม่จริงของเรา กิเลสตัวนี้น่าคิดมาก

ยาของพระพุทธเจ้านะ อุตส่าห์ตรัสรู้ อุตส่าห์วางนะ เมตตาสงสาร สงสารนะ สงเคราะห์โลก การสงเคราะห์โลก ธรรมเหนือโลกไง พิจารณากายตามความเป็นจริงมันก็เปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนความเห็นน่ะ จากพวกเรา จากนักปฏิบัติยังลุ่มๆ ดอนๆ มันก็แซงหน้าแซงหลังตลอด กิเลสน่ะ ลุ่มๆ ดอนๆ ไม่แน่ไม่นอน

พอพิจารณากายตามความเป็นจริง ละทิฏฐิในความเห็นผิด สีลัพพตปรามาส ถึงจะเป็นผู้ที่เป็นอจลศรัทธา ศรัทธานี้ไม่คลอนแคลนจากพระพุทธศาสนา จะมีใครยุแยงหรือจะมีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น หัวใจดวงนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง จะไม่ปล่อยจากพระพุทธศาสนาเด็ดขาด เพราะหัวใจมันเป็นสังฆะแล้วไง สงฆ์ที่หัวใจเป็นสงฆ์ตามความเป็นจริง เพราะเข้าใจไง ผู้ตรัสรู้ธรรม เดินเข้ากระแสของธรรม มันเป็นสงฆ์ในหัวใจ ความเป็นสงฆ์ในหัวใจถึงว่าไม่คลอนแคลนจากอันนี้ไป จุดของตรงนี้ไม่แซงหน้าแซงหลัง แต่จุดข้างหน้ายังแซงหน้าแซงหลัง เพราะทิฏฐิความเห็นกายว่าเป็นอันนี้ไม่มี ไม่มี

แต่ธาตุของกาย พิจารณาซ้ำเข้าไปจะเห็นตามความเป็นจริงว่า ธาตุของดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุ ๔ จากกายนี้ไม่ใช่เรา จากทิฏฐิในสักกายะ สักกายะคือกาย ทิฏฐิว่าเป็นกาย เห็นไหม เพราะมันรวมขึ้นไปเป็นรูป มีแขน มีขา มีหัว มีคอหยักๆ เห็นไหม เป็นคน ความเห็นกายระหว่างตรงข้ามไง ระหว่างตรงข้าม นี่ความเห็นตรงข้ามมองออกไป

นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน นางวิสาขายังมีการสมรสออกไป ยังได้มีบุตรขึ้นมาได้ สักกายทิฏฐิที่ว่าไม่ใช่เรา หัวใจนั้นประเสริฐ หัวใจนี้เป็นสังฆะ แต่หัวใจยังไม่ละกามราคะ หัวใจยังไม่ละความเป็นธาตุขันธ์ของกาย พิจารณากายซ้ำออกไป พิจารณากายลงไป เห็นไหม ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ธาตุ ๔ ไง ร่างกายของมนุษย์นี้รวมด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ ขันธ์ ๕ คืออารมณ์ความรู้สึก

ดิน เนื้อที่เป็นก้อนๆ สิ่งที่คมแข็งนี้ ถ้าเราตายไป ศพนี้ฝังไว้ ส่วนที่เป็นแขนนี้จะเป็นดิน ส่วนที่เป็นเลือดเป็นน้ำ ส่วนที่เป็นลม ลมหายใจเข้าออก ลมในโพรงกระดูก ลมในช่องท้อง ไฟ ธาตุไฟ เพราะจิตนี้ยังอยู่ จิตนี้คือตัวพลังงาน ตัวพลังงานตัวจุดไง เหมือนตัวแสงหลอดไฟ ตัวหลอดไฟ พอมันสว่างขึ้นมาออกมากระทบหลอด เห็นไหม นี่ ธาตุไฟ ธาตุยังอยู่ พิจารณาเข้าไปไง ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ แตกออกจากกัน เห็นตามความเป็นจริง

เห็น ไม่ใช่เห็นด้วยตาเนื้อ เห็น ไม่ใช่เห็นด้วยความคาดเดา เห็นเพราะจิตนี้เป็นสมาธิแล้วสมาธินี้ไม่ใช่เรา สมาธินี้หมุนออกมาเป็นการงานก่อน ถ้าสมาธินี้เป็นเรา เห็นไหม มันติดในความเป็นสุขนั้น ติดในความที่ว่าเราเป็นผลอันนั้น ผลอันนั้นยังคลอนแคลน ไม่คลอนแคลนในชั้นของสักกายทิฏฐิ แต่คลอนแคลนในชั้นสูงขึ้นไป เพราะสิ่งนั้นยังไม่คว่ำหม้อคว่ำไหอย่างที่ว่าเราแกงนั่นไง

การทำแกงจนเป็นความจริงแล้วเราเห็นตามความเป็นจริงแล้วเราคว่ำหม้อคว่ำไหหมดไปขั้นตอนหนึ่ง คว่ำหม้อคว่ำไหแล้วก็เอาหม้อทิ้งไว้นั่นเหรอ สิ่งที่เราเทลงไปในพื้นเราจะกองอยู่นั่นเหรอ สิ่งที่กายที่ว่าเป็นธาตุ ๔ ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ มันยังอยู่เกาะเกี่ยวกับไอ้หัวใจดวงที่อยู่ในหัวใจเรา หัวใจพิจารณาซ้ำตรงนี้ไง พิจารณาเข้าไปๆ มันจะเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ แยกออกจากกัน เป็นความจริงอันหนึ่ง หัวใจที่รู้ตามความเป็นจริงนะ มันแยกออกอีกส่วนหนึ่ง มันแยกออกมาระหว่างกายกับจิตแยกออกจากกันเลย ตามความเป็นจริง สมุจเฉทปหาน เป็นปัจจัตตังรู้ขึ้นมา รู้นะ รู้เห็น ประจักษ์พยานพร้อมกับเป็นธรรมที่ไม่แซงหน้าแซงหลัง

เพราะมันจะแซงไม่ได้ ถ้าแซงนั้นมันไม่รวมลงอย่างนี้ มันไม่สมุจเฉท มันไม่แตกออก มันไม่ใช่ออกระหว่างกายกับจิต มันแยกปลอมๆ มันแยกโดยสมมุติ มันแยกโดยเล่ห์ การอ่านตำรา การใคร่ครวญ แล้วการวิปัสสนาขึ้นไป มันจะหลอกไปตลอด กิเลสมันจะจูงหน้าไปเลย มันจะแซงไปก่อน แล้วมันจะดึงมาเลยว่าอาการแบบนี้จะเป็นแบบนั้น จะเป็นแบบนั้น มันเป็นการคาดหมายไปหมด มันแซงขึ้นไปแล้วก็ลากเราเข้าไปอีกด้วย อย่าว่าแต่มันแซงหน้าแซงหลังอย่างเดียว มันไปข้างหน้าก่อน แล้วมันยังดึงจมูกเราไปอีกต่างหาก

แต่ถ้าเห็นตามสมุจเฉท เป็นปัจจัตตัง เป็นธรรมแท้ๆ ไม่แซงหน้าแซงหลัง รู้ขึ้นมาตามความเป็นจริง รู้ขึ้นมานะ เพราะเราต้องสร้างขึ้นมา มรรคอริยสัจจังนี้เกิดขึ้นจากการเราสั่งสมขึ้นมาจากการวิปัสสนา จากการทำหัวใจไง จากการทำสมาธิธรรม จากการวิปัสสนา จากการค้นคว้าในธาตุ ๔ เห็นไหม มันเกิดขึ้นจากการเรามุมานะ เกิดขึ้นมาจากหัวใจของเราที่เชื่อในธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วเดินตามธรรม เดินต้อยๆๆ ตามธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครอาจหาญแซงหน้าแซงหลัง ถ้าแซงหน้าแซงหลังไป มันตกทะเลไปก่อน มันไม่เดินไปบนสะพานที่พระพุทธเจ้าวางมรรคอริยสัจจัง มรรคไง

เดินไปตามธรรม เดินไปตามมรรค ออกไป จิตกับกายแยกเวิ้งว้าง เวิ้งว้าง ตรงนี้เป็นตรงที่ว่า เริ่มระหว่างเกาะกับน้ำไง แยกออก แผ่นดินกับแผ่นน้ำ ดูสิทะเลมันกว้างขวาง เวิ้งว้างไปหมดเลย แล้วเราก็แหวกว่ายอยู่ในทะเล เราหาเกาะหาดอนไม่เจอ เพราะจิตแยกออกจากกาย อันนี้จะตะกายเข้าหาฝั่งยาก ส่วนใหญ่ตรงนี้จะพักกันอยู่นาน จะให้กิเลสมันแซงไปข้างหน้า แล้วก็บอกว่าอันนี้สิ้นแล้ว จริงๆ แล้วมันแซงออกไปเลยไง มันวาดภาพ มโนภาพทั้งหมดเลย ว่ากลางทะเลนี้คือแดนนิพพาน นอนลอยคออยู่กลางทะเลเลย แต่ฉันว่า ฉันเป็นนิพพาน จะจมอยู่นั่นตลอด

แต่ถ้าเดินตามธรรมของพระพุทธเจ้า มันต้องรู้ความเป็นไปว่าไม่ใช่หรอก ลงตรวจสอบนะ ลองพยายามตรวจสอบ พยายามทดสอบใจของตัว นักปราชญ์ ชาวพุทธ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้เชื่อ สิ่งใดมันเป็นสิ่งที่ข้องแวะ เราเอามือลูบไปบนแผ่นดิน ลูบไปบนไม้ที่เรียบๆ มีอะไรสะดุดมือเรา อันนั้นมันยังไม่เรียบจริง หัวใจของเรา เราเป็นนักปฏิบัติ เราลองลูบใจของเรา เอาใจลูบใจสิ ลองลูบเข้าไป ที่ว่ามันอยู่กลางทะเล มันไม่มีสิ่งใด มันมีแต่น้ำเวิ้งว้างไปหมด ไอ้นั่นมันอะไร มันอยู่ในโอฆะ มันอยู่ในน้ำกาม แต่มันยังไม่เห็นไง มันสุขอยู่ เพราะอยู่ในเป็นน้ำทะเล มันยังไม่เหนื่อย มันยังเพลิดเพลินอยู่ในนั้นไง

แต่ตรงจุดหนึ่งที่ว่าชาวพุทธต้องตรวจสอบ ต้องคอยทดสอบ พอทดสอบเข้าไป น้ำที่ชุ่มอยู่นี่มันเปียกปอน มันไม่ใช่ที่อยู่ของเราตามความเป็นจริงหรอก หัวใจไม่ได้พักตรงนี้ หัวใจอยู่นี่ได้ที่ไหน มนุษย์จะไปนอนอยู่ในน้ำได้อย่างไร ต้องว่ายอยู่ตลอดเวลา อันนั้นหรือที่ว่าเป็นเรือนอยู่ของเราน่ะ

การทดสอบ การใคร่ครวญมา มันจะรู้ว่าจิตนี้ไม่ใช่ ความเหนื่อยอ่อน ความที่เราต้องประคองตัวอยู่ อยู่ระหว่างในน้ำ ประคองตัวไว้ อันนั้นมันเป็นความทุกข์ แต่เริ่มต้นมันไม่เข้าใจไง มันเข้าใจว่าที่นี่เป็นนิพพาน ที่นี่เป็นที่อยู่ของหัวใจที่ประเสริฐ ประเสริฐของกิเลสที่มันแซงหน้าแซงหลัง มันแซงออกไปนึกว่าตรงนี้เป็นนิพพานไง เพราะมันแซงหน้าแซงหลัง มันถึงว่าตรงนี้เป็นที่อยู่ของมัน...มันไม่ใช่ ความตรวจสอบความใคร่ครวญนั้นถึงจะว่า อ๋อ! อันนี้ไม่ใช่ มันจะกระทบถึง

กายนี้แยกออกไป ธาตุแยกออกไป จิตแยกออกจากธาตุ ๔ พอจิตแยกออกไปอย่างนั้น กายนอกมันขาดไป แต่กายใน กายของจิต จิตที่มันเป็นกายเลย ตัวจิตที่เป็นกาย ตัวนี้คือตัวกาม ตัวกามราคะไง ความเป็นกามราคะ เห็นไหม แต่พอจะจับต้องได้เพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นรูปที่วิจิตร รูปของกายนี้มันเป็นวัตถุที่เรากระทบได้ กายที่เราจับต้องได้ แต่กายที่เป็นนามธรรม ที่เราจินตนาการ เราจินตนาการขึ้นมาสิ จะต้องการกายสวยขนาดไหน จะต้องการเทวดานางฟ้าที่เลอเลิศขนาดไหน เราจินตนาการได้หมดเลย

การจินตนาการของกายนั้นมันเป็นกายที่จินตนาการ มันเป็นกายใน ตัวกายในนี้มันเป็นตัวเริ่มต้นของความคิดที่กายกระทบกาย กายกระทบกายคือการคิดของกามกระทบกัน ความเห็นของกามอันนั้น เห็นไหม การพิจารณากาม กามที่เกิดขึ้นจากหัวใจ พิจารณากายนั่นละ มันจะรุนแรง ความรุนแรงที่ว่าจะผ่านข้ามโอฆะ ความรุนแรงอันนี้มันถึงว่าเข้าไปหาก็ยาก จับต้องแล้วยังต้องใช้ความต่อสู้แบบว่าสุดชีวิตจิตใจ ความประพฤติปฏิบัติตรงนี้มันรุนแรง แต่รุนแรงขนาดไหนมันก็ไม่ผ่านพ้น เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระอริยสาวกต่างๆ เดินไปแล้วไง แต่เดินไปด้วยความวิริยอุตสาหะโดยใช้ชีวิตทั้งชีวิตบุกบั่นสู้จนเต็มที่ไง

แต่พวกเรามันชุบมือเปิบไง ชุบมือเปิบตั้งแต่ว่านอนอยู่ในโอฆะก็ว่าอันนี้เป็นนิพพานแล้ว เพราะมันแซงหน้าแซงหลัง เพราะกิเลสมันแซงไปก่อน กิเลสมันแซงหน้าแซงหลังไปจินตนาการเอาไว้ แล้วพอมาเจอตามความเป็นจริง มันไม่เหมือนกับการจินตนาการของความคิดหรอก ธรรมะอย่างนี้จินตนาการไม่ได้ ความจินตนาการ ความคาด ความหมาย การศึกษาเล่าเรียนมาขนาดไหนก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่าเราศึกษาเล่าเรียนมา เราเป็นคนจำมา เราเป็นคนกำหนดทุกอย่างให้ตามสเป็คที่เราคิด ในความที่มันเป็นอย่างนั้นก็เหมือนกัน เพราะใจมันคิดออกไปตามแต่ที่กำหนดขึ้นมา ถ้าความกำหนดขึ้นมานี่มันแซงไปแล้ว นี่มันแซงจริงๆ แซงโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว เวลาที่มันแซงเรา เราไม่รู้ตัวเลย

แต่ถ้าเป็นความเป็นจริง มันแซงไม่ได้ มันแซงไม่ได้ตรงไหน? ตรงที่ว่ามันเป็นเนื้อเดียวกัน มันเป็นมหาสติ-มหาปัญญา ความเป็นมหาสติ-มหาปัญญา มันใคร่ครวญได้ดีกว่าสติปัญญาโดยธรรมปกติ เวลากายกับจิตที่เรากระทบไปข้างนอก เราว่ายังจับต้องได้ยาก แล้วที่ว่ามันเป็นการจินตนาการของหัวใจ คิดดูสิ กายเรามันเหม็น มันมีเหงื่อมีไคลไหม เราต้องอาบน้ำอาบท่า เราต้องชะล้าง เราต้องพรมน้ำหอมนะมันถึงจะหอม

ความจินตนาการ จะจินตนาการขนาดไหนว่ายิ่งกว่านางฟ้า มันจินตนาการได้หมดเลย มันใกล้ชิดกับความรู้สึกอันนั้น ความรู้สึกคือตัวหัวใจไง ตัวที่จะเป็นเข้าไป อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ ตัวจิตที่มันกระทบไปเรื่อยๆ มันใกล้เคียงกัน ความจินตนาการมันถึงเกิดขึ้นได้ไง นั่นน่ะ พิจารณานะ เพราะมันใกล้เคียง มันก็เหมือนกับว่า เมื่อก่อนเราต่อสู้กับศึกภายนอก มันเข้ามาเป็นกองทัพระหว่างเรากับกองทัพเขา เห็นตัวเห็นตนต่อสู้กัน แต่ตอนนี้เป็นข้าศึกภายใน เราอยู่ในบ้านเรา เราไม่รู้หรอกว่าขโมยมันมาซุ่มอยู่ในบ้าน มันจะฆ่าเราเมื่อไหร่ก็ได้ มันอยู่ในห้องนอนเราเลย มันอยู่บนหมอนเราด้วย เพราะมันอยู่กลางหัวใจเรา แล้วเราจะเข้าไปชำระ เราจะเข้าไปต่อสู้กับกิเลสตัวนี้ ขนาดเรามีคนข้างนอก เห็นไหม เขายังตกทองเขายังหลอกลวงกัน แล้วนี่มันเป็นอารมณ์ของเราเอง มันทำไมจะไม่แซงหน้าแซงหลัง

มันแซงไปขนาดไหนก็แล้วแต่ เราต้องตรวจสอบ การวิปัสสนาตรงนี้มันรุนแรง รุนแรงนะ อย่าว่าแต่สู้ได้เลย เริ่มตั้งป้อมจะสู้นี่ล้มก่อนแล้ว เพราะมันไปโดนตัวมันเองไง อย่างเช่นเรานี่ เราเอามือตีเราสิ เราตีตัวเอง เรายอมตีไหม ใครเป็นคนเสียสติที่เอามือตีตัวเอง มีแต่เราทะเลาะกับคนอื่น เราตีคนอื่น

อันนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นเรื่องความคิดของเรา เราไม่กล้าตี เราจะส่งออกไง พออารมณ์มันออกไป “เออ! อันนี้เป็น อันนี้เป็นนิพพานๆๆ” หลอกตลอด เพราะออกไป ออกไปแล้วมันก็ปล่อยวาง พอปล่อยวางแล้วก็โล่ง โล่งก็ว่าอันนี้เป็นมันๆ มันอยู่ข้างหลังความคิดอันนั้น ย้อนกลับเข้ามาตรงนี้ไง ถึงว่ามันรุนแรง

ความรุนแรง น้ำป่าไหลหลาก ความเป็นน้ำป่าไหลหลาก ไหลหลากรุนแรงมาก เพราะมันเป็นการข้ามโอฆะ เป็นการตัดกระแสเลย ตัดกระแสกามภพ ภพที่หมุนให้หัวใจที่มาเกิดเป็นมนุษย์นี้ ภพที่มาเกิดให้เป็นเทวดา มันเป็นภพที่ให้อยู่อาศัย เราทำลายภพทั้งหมดไง ภวาสวะชั้นหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าอนุสัย ภวาสวะชั้นบน เป็นภวาสวะของกามภพ ไม่ใช่เป็นภวาสวะของจิต แต่ก็เป็นภพ เห็นไหม มันถึงว่ารุนแรงไง ความตัดอันนี้มันรุนแรงมาก

วิปัสสนา การต่อสู้ด้วยชีวิตจิตใจ การมุมานะ การวิริยอุตสาหะ วิริยธรรม ในสติปัฏฐาน ๔ ในวงอริยสัจ การต่อสู้อันรุนแรงนี้ไง จนถึงมัชฌิมาปฏิปทาตามความเป็นจริงนะ มันต้องเป็นมัชฌิมาตามความเป็นจริงของมันด้วย ไม่ใช่คาด ไม่ใช่หมาย ไม่ใช่การแซงหน้าแซงหลัง ต้องตามความเป็นจริง เป็นปัจจัตตังตัวนั้น โลกธาตุนี้ไหวหมด โลกธาตุนี้ครืนเลย เพราะไม่มาเกิดอีกแล้วในกามภพ

สังโยชน์ออกไป ๕ ตัว...กามราคะ ปฏิฆะ ออกไปอีก ๒ ตัว เป็น ๕ จิตนี้จะเวิ้งว้างหมดเลย เพราะว่ามันพ้นออกไปจากขันธ์ ๕ จิตนี้เป็นตัวของจิต สว่างไสว จิตนี้เวิ้งว้าง ก็แซงหน้าแซงหลังอีกล่ะ แสดงว่าอันนี้เป็นผล...ไม่ใช่ มันไม่ใช่ผลของมัน เพราะสังโยชน์เบื้องบน เห็นไหม รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

รูปราคะ อรูปราคะ ฟัง! สมาธิที่เรากำหนดนี้เป็นรูป รูปของสมาธิกับสมาบัติ สมาบัติที่ว่ากำหนดความว่างเป็นอารมณ์ ถึงจิตนี้จะเป็นสมาธิ จิตนี้จะเป็นสมาบัติ ก็เป็นราคะทั้งหมด เราแสวงหาสมาธิกัน เราทำจิตให้สงบกัน เราหวังความสงบ ความสุขนี้เวิ้งว้าง แต่พอขึ้นไป ถึงว่าจิตนี้สว่างไสว ความสว่างไสวนั้นมันเป็นสมาธิในตัวมัน มันมีผลของสมาธิ จิตนี้มันพ้นออกไปจากขันธ์ ๕ แล้ว ขันธ์ ๕ นี้มันกวนให้จิตนี้กระเพื่อม ขันธ์ ๕ มันจะคอยกวนไง สัญญา ความจำ ความคิด ความปรุง ความแต่ง มันจะคิด เห็นไหม คิดถึงกาย คิดถึงที่ว่าเมื่อกี้ ความหมายของกายที่กายวิจิตรพิสดาร นี่ขันธ์ ๕ มันกวนใจนี้ตลอดเวลา มันกวนใจให้ฟุ้งตลอด แล้วขันธ์ ๕ นี้ขาดออกไป ออกจากหัวใจ ความคิดไม่มีในใจ เวิ้งว้างไม่เวิ้งว้าง

ความเวิ้งว้างนี้เป็นราคะ รูปราคะ-อรูปราคะ ใจที่เป็นรูป ถึงว่าพระอนาคามีไปเกิดเบนพรหม ๕ ชั้นไง เป็นพรหม เพราะจิตนี้พ้นออกจากขันธ์ จิตนี้พ้นออกจากการปรุงการแต่ง จิตนี้พ้นจากขันธ์ ๕ ที่มันคอยยุคอยแหย่ คอยทำให้ใจนี้กระเพื่อม แต่มันก็เป็นรูปราคะ-อรูปราคะ มีมานะความยึดตัวถือตน มีความว่าฉันนี้ประเสริฐกว่าคนอื่น ฉันนี้เลอเลิศ เห็นไหม มีมานะ

มีอุทธัจจะ อุทธัจจะหมายถึงว่ามันก็คิดว่าทำงานของมันฟุ้งขึ้นไป เปรียบเทียบกับการงานว่าเหมือนกับเศรษฐีที่มีเงินมาก ก็นับแต่เงินไง นั่งนับสตางค์วันละกี่ใบ นับๆๆๆ อยู่นั้นแหละ นี่อุทธัจจะ

อวิชชา ความไม่รู้ในตัวความคิดอันนั้น ความไม่รู้ว่าจิตนี้พ้นออกจากขันธ์ ๕ นึกว่าพ้นไปแล้ว แต่ความจริงมันยังเป็นตอของจิตไง มันเป็น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันเป็นภวาสวะ เพราะมันเป็นภพตัวสำคัญ มันเป็นอนุสัย เห็นไหม ความนอนเนื่อง จิตนี้ที่มันหนุนด้วยอนุสัยตัวนั้น วกกลับมาพิจารณาตรงนี้ไง แต่การจะพบตรงนี้ แม้แต่จินตนาการระหว่างหัวใจจินตนาการถึงร่างกายเป็นทิพย์ อันนั้นเราว่ากายใน มันแสนจะว่าละเอียดแล้ว

จิตนี้เป็นรูปราคะ-อรูปราคะ ความเวิ้งว้างที่เป็นรูปและไม่เป็นรูป มันเป็นราคะๆ เห็นไหม คำว่า “ราคะ” ดูสิ ราคะมันเป็นของที่สะอาดหรือของที่น่าเกลียด ความเป็นราคะมันจะสะอาดได้อย่างไรในเมื่อเป็นราคะ รูปราคะ-อรูปราคะ ความมานะในราคะนั้นหรือว่าตนประเสริฐ มานะว่าตัวเองกับจิตเวิ้งว้าง อันนี้หรือประเสริฐ นับเงินอยู่นั่นน่ะ นับแต่เงิน นับแต่ความอุทธัจจะอยู่นั่น อันนั้นหรือประเสริฐ อวิชชาที่ไม่รู้สึกตัวตน อันนั้นหรือประเสริฐ

ความกระทบตรงที่ว่าค้นหาตัวนี้ ความตื่นเต้น ที่ว่าตนเองหลงไปอยู่ในอวกาศ แล้วไปจับต้องตนเองที่พ้นจากแรงดึงดูดในอวกาศ ในอวกาศ เราหมุนไปกลางอวกาศ เราขึ้นไปอยู่ในกลางอวกาศตลอด แล้วเราจับอะไรไม่ได้เลย หมุนไปอยู่กลางอวกาศ ไม่มีแรงโน้มถ่วง แล้วเราไปจับเราได้ “เฮ้ย! เฮ้ย! หยิบผิด” เราต้องยืนให้ได้ เราต้องตั้งตัวให้ได้เพื่อเราจะทรงตัวในอวกาศไง

การจับตัวอวิชชา การพบอวิชชาในราคะนั้น เห็นตัวนี้ ถึงบอกว่าตัวจุดและต่อมที่ต้นของความคิดที่เป็นปฏิสนธิไง ตัวที่ว่ามันจะแซงหน้าแซงหลัง ตัวที่มันจะขยับออกมาแล้วแซงไปแซงมา จับไอ้แซงหน้าแซงหลังนั้นตั้งให้ตรง แล้วฆ่ามัน มันจะแซงไปไหน ฆ่ามันแล้วน่ะ ฆ่าไอ้ตัวแซงหน้าแซงหลังที่เป็นอยู่กลางอวกาศ จับมันมา ตั้งให้มันให้ได้ การตั้งให้ได้ เห็นไหม ถ้าจับแล้วตั้งให้ได้ จะรู้มันตัวนั้นน่ะ ฆ่าตัวนั้นเสีย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกสาวกทั้งหลาย ไป อย่าไปทางเดียวกัน เพื่อให้ธรรมนี้ครอบคลุมไปในโลก ให้โลกนี้ได้ธรรม ให้โลกนี้ได้รับธรรมที่เป็นสาระ ไม่ใช่ธรรมแซงหน้าแซงหลังที่ทำให้แม้แต่เกิดเป็นมนุษย์ออกก็เกิดแล้วก็ตายไป มาเกิดจากมนุษย์ มาบวชเป็นพระ จนได้ชั้นเทพชั้นธรรมก็ต้องตายไป เพราะมันแซงหน้าแซงหลัง เพราะมันแซงหน้าแซงหลัง มันถึงต้องตายไปโดยการล้มคว่ำคะมำหงาย

การวิปัสสนาญาณ การเดินตามธรรมของพระพุทธเจ้า เริ่มจากเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จนเข้าไปถึงตัวจิตแท้ ตัวที่ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการจะเริ่มคิดออกมาไง ประหารมัน ทำตามพระพุทธเจ้าสอน เดินตามธรรมพระพุทธเจ้า เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะแซงหน้าแซงหลังไปไหน เอวัง

เพิ่มเติมท้ายกัณฑ์

ธรรมที่แซงหน้าแซงหลัง มันคิดเวลาพระพูดก็คิดอยู่ เวลาพระพูดมันก็อย่างว่า มันมีประโยชน์และมีโทษ ไอ้พระพูดก็ส่วนพระพูด พระที่มีคุณต่อกันไง เพราะว่าเราเคารพในครูบาอาจารย์ การเคารพในครูบาอาจารย์อย่างหนึ่ง ในเมื่อครูบาอาจารย์อยู่ ควรให้ครูบาอาจารย์นี้เป็นหลัก ใช่ไหม ถ้าเป็นตรงนั้น แต่ถ้าออกมาจากข้างนอกแล้ว อย่างที่ว่าหมอไปเจอคนไข้ คนไข้กำลังจะเป็นจะตายแล้วหมอไม่รักษานี่มันน่าเกลียดขนาดไหน เวลาจำเป็นต้องใช้มันก็ควรจะใช้ จำเป็นจะใช้ เห็นไหม นี่มีพระมาพูด แล้วมันอยู่ถึงทางชายแดนอย่างนี้ แล้วไม่ได้แสดงออกมาเลย ไม่ได้บอกให้ญาติโยมเขาฟังเลยอย่างนี้ แล้วพูดถึงนะ เขาควรจะได้ประโยชน์ไม่ได้ประโยชน์

นี่ถ้าพระพูดนะ แต่ถ้าโยมพูดนี่มันฟังไม่ได้เลย มันไม่ใช่สถานะของโยมที่จะมาพูดได้ เพราะโยมเอาอะไรมาเทียบ โยมไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดได้เลย มันเป็นคนละฝ่ายเลย เหมือนกับคนที่ว่าไม่ได้ทำงาน คนไม่ได้ทำงานจะไปติคนทำงานได้อย่างไร คนที่ไม่ได้ปฏิบัติไปปฏิบัติกับคนปฏิบัติได้อย่างไร

พอพูดออกมามันพูดด้วยกิเลสไง พูดด้วยว่า ถ้าปล่อยไป ยานี้ แบบเอดส์ ถ้าหายาเอดส์ได้ พอออกมานี่ใครๆ ก็ต้องแสวงหาใช่ไหม นั่นจะไม่ให้ออกมาไง แล้วให้คนที่เป็นเอดส์ตายไปเปล่าๆ อย่างนั้นหรือ

มันคิดอยู่ แต่ถ้าคิดว่าอย่างที่พระเตือน...ฟัง แล้วเราก็คิดอยู่ มันเป็นเพราะว่าถ้าพระมีกิเลส ถ้าพระอยากเอานี่ไปอวดตัว นี่อีกเรื่องหนึ่ง นี่เก็บมิดชิด ไม่ให้ใครรู้เรื่อง เพียงแต่เราเสนอตรงนี้ เราเสนอเป็นยาไง เป็นเนื้อของยา ความเป็นยานั้นเป็นยารักษาโรค ยารักษาโรค นี่ปฏิบัติเพื่อรักษาโรค มันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นหรอก ฉะนั้น ถึงว่าไม่ฟัง

ทีนี้เพียงแต่ว่า พอคิดอย่างนี้แล้วมันคิด มันคิดแล้วก็สู้ สู้ให้มันเป็นประโยชน์

การแซงหน้าแซงหลังมันต้องแบบว่าไม่จริงไง มันไม่จริง สิ่งนี้ไม่จริงหนึ่ง สิ่งที่เป็นธุรกิจหนึ่ง อะไรก็ได้ที่ทำเป็นธุรกิจ เพราะว่ามันไม่ใช่เนื้อธรรม มันเป็นการต้องการเงิน ต้องการธุรกิจ เป็นธุรกิจหนึ่ง ต้องการชื่อเสียง ธุรกิจมันก็รวมหมด รวมทั้งชื่อเสียง ลาภสักการะ รวมหมด เพราะอะไร เพราะมันเป็นธุรกิจไง อันนั้นถึงเป็นแซงหน้าแซงหลัง แซงออกไปเลย ไม่จริงก็แซง

แต่ถ้าจริงนี่ไม่ใช่แซง เพราะมันไม่มีตัวเพื่อประโยชน์ มันไม่มีตัวธุรกิจ ใจนี้เป็นธรรมนะ ไม่มีอะไรที่มาแอบแฝงหรอก ไอ้แซงหน้าแซงหลังคือการแอบแฝงไง ตัวแอบตัวแฝง ตัวเล่ห์เหลี่ยม ความเล่ห์เหลี่ยมแซงหน้าแซงหลัง แล้วถ้าไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยม มันเอาอะไรมาแซง เอาอะไรมาแซง

นี่มันเป็นกระแสทั้งนั้นล่ะ เวลาพระเตือน เวลากระแสกลับมาไง คำว่า “กระแส” หมายถึงว่า ถึงธรรมนั้นก็เป็นจริงอยู่ แต่ก็สร้างกระแสไว้ดักหน้า พอสร้างกระแสไว้ดักหน้าว่าตรงนี้เป็นความผิด นี่เวลาพระเป็น เป็นตรงนี้ไง เวลาเจอกระแส กระแสไม่ใช่ความจริง จริงไหม สร้างกระแสไว้ดักหน้า เออ! ถ้าพระพูดนี่ถูก แต่ถ้าโยมพูด โยมไม่รู้เรื่องหรอก กระแสที่ไปดักไว้อยู่ เออ! นี่แซงหน้าแซงหลัง

กระแสดักธรรม ธรรมเป็นของจริงก็จะเห็นถ้ากระแสขึ้นมา ธรรมไปไม่รอด เพราะความเป็นธรรมมันมีขนาดไหน เห็นไหม ถึงว่าธรรมเหนือโลก อาจารย์บอก ธรรมเหนือโลก มันถึงว่าต้องปรับตัว ถึงต้องเข้าใจไง เวลาพระเตือน เห็นไหม ต้องรู้สึกตัวด้วย ต้องเข้าใจว่าถ้าเป็นธรรมจริง มันต้องไม่ไป เจอกระแสอย่างนี้ใช่ไหม ก็ลอดพั๊บไปสิ ผ่านกระแสไม่สามารถคร่อมอยู่ไง กระแสไม่สามารถ เพราะธรรมมันเหนือกว่า ธรรมนี้เป็นอวกาศ เป็นที่ว่าง ที่ว่างจะเอาอะไรใส่เข้าไปก็ได้ มันไม่ใช่วัตถุ วัตถุนี้ใส่ไม่ได้ มันติด มันชน เห็นไหม ธรรมเวิ้งว้าง

ฉะนั้น กระแสนี้เป็นกระแสโลก ถ้าพระเตือนอันนี้เป็นกระแส ถ้าอย่างคนอื่นมาพูดนี่ไม่ได้ๆ ไม่ฟังหรอก มันเป็นเล่ห์ เล่ห์กระเท่