เทศน์พระ

ต้นเหตุ

๔ มิ.ย. ๒๕๕๙

 

ต้นเหตุ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพราะเราบวชมาเราแสวงหาสัจธรรม เวลาเราจะบวชนะ มีศรัทธาความเชื่อ เรามีศรัทธาความเชื่อ เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วเราอยู่ทางโลก เห็นไหม คนเขาอยู่ทางโลกเขาต้องทำมาหากินของเขา เขาพยายามขวนขวายของเขา เขาก็ปรารถนาจะพ้นจากทุกข์ ปรารถนาจะพ้นจากทุกข์ แล้วเขาก็น้อยเนื้อต่ำใจว่าเขาไม่มีโอกาส ไม่มีโอกาส

แต่เราเป็นคนที่มีปัญญาเราถึงได้เสียสละ เราสลัดทิ้งนะ เราสลัดทิ้งความเป็นฆราวาสแล้วเราบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระ เห็นไหม บวชมาเป็นพระ บวชมาเป็นพระป่า พระประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราจะบวชมาเป็นพระป่าประพฤติปฏิบัตินะ เราเห็นภัยในวัฏสงสารไง ถ้าเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราแสวงหาสัจธรรมโดยข้อเท็จจริง โดยความเป็นจริง ไม่ได้แสวงหาสัจธรรมโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาแสวงหาสัจธรรมโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม ตั้งใจจะทำ ตั้งใจจะทำ แต่ทำแล้วมันไม่ได้ผลไง ไอ้นี่มันเพราะอะไร เพราะเรามีอวิชชา เรามีความไม่รู้ของเรา เราปฏิบัติพร้อมกับความไม่รู้ของเราไง

เราฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ฟังธรรมของครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ถ้าท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ท่านต้องพูดตามสัจจะความจริงอันนั้น ถ้าพูดตามสัจจะความจริงอันนั้น เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราเอาประสบการณ์ของเราเทียบเคียง เทียบเคียงแล้วมันจะลงกันได้หรือไม่ได้ ถ้าลงกันได้ เห็นไหม มันก็เป็นสัจธรรมอันเดียวกัน ถ้ามันลงกันไม่ได้ มันลงกันไม่ได้ มันต้องทดสอบ มันต้องแสวงหา มันต้องมีการพิจารณาว่ามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ถ้ามันไม่เป็นจริง เห็นไหม มันไม่เป็นจริงของใคร

ถ้ามันไม่เป็นจริง ไม่เป็นจริงของเรา เห็นไหม ไม่เป็นจริงของเราเพราะอะไร เพราะเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากคืออะไร นี่ไง ตัณหา เห็นไหม วิภวตัณหา สิ่งที่มันอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากผลักไสไม่ต้องการ ไม่ต้องการให้มันมีมันเป็น นี่ตัณหาความทะยานอยาก มันไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริงไง ถ้าไม่เป็นความจริง มันต้องลงอันเดียวกันได้ เห็นไหม นี่ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมเพราะครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาของท่านแล้วท่านมีสัจจะความจริงในใจของท่าน ถ้าท่านมีสัจจะความจริงในใจของท่าน ท่านพูดความจริงอันนั้น ถ้าคนไม่มีสัจจะความจริงในใจอยู่จริง เวลาพูดไปแล้ว พูดไปแล้วเดี๋ยวแก้ไขทีหลังไง มันน่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนั้น ผมพูดน่ะผมพูดผิดไป ผมพูดมันพูดไปแล้วมันพูดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

มันรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ยังไง มันไม่เป็นน่ะ เว้นไว้อย่างเดียวเท่านั้นน่ะ กลอนพาไป กลอนพาไปคือว่ามันพูดแล้วมันไปทางนั้น แต่มันไม่ไปเต็มตัว เวลากลอนพาไปคือคำพูด เวลาคำพูดพูดผิดพลาด กลอนพาไปคือการพูดผิดพลาด ไม่ใช่พูดออกมาจากสัจจะความจริงอันนั้น พูดไปแล้วมันผิดพลาดไปเพราะกลอนมันพาไป แต่ถ้าเป็นจริงๆ มันผิดพลาดไม่ได้ เพราะอริยสัจมันสัจจะความจริงอันนั้น มันไม่มีสิ่งใดพาให้ออกไปจากสัจธรรมไปสู่ทางโลกได้

เนี่ยฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพระพุทธศาสนา เกิดมาแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติตามความจริงของเรา ถ้าความจริงของเราเนี่ย ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้ทำความสงบของใจเพราะเหตุใด ถ้าทำความสงบของใจของเราเข้าไปสู่สัจจะความจริงในใจของเรา เห็นไหม ถ้าจิตเป็นสัมมาสมาธิ แค่ขอให้เป็นสัมมาสมาธิเท่านั้นล่ะ จิตเป็นสมาธิ นี่หลวงตาท่านพูดเอง ถ้าจิตของใครเป็นสมาธินะ พออยู่พอกิน พออยู่พอกินขึ้นมามีความสงบสุขในใจของจิตดวงนั้น ถ้าใครทำความสงบของใจเข้าไปสู่สัจจะความจริงในใจของตน มันพออยู่พอกิน เพราะมันเข้าไปสู่สัจจะความจริงอันนั้น ถ้าสัจจะความจริงอันนั้น สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เนี่ยแค่สัจจะความจริง แค่สัมมาสมาธินะ

แต่ที่มันเป็นปัญหากันอยู่นี่เพราะมันเป็นมิจฉาสมาธิ ไปรู้ไปเห็นบ้าบอคอแตกทั้งนั้น สิ่งที่ว่ารู้เห็นมามหาศาล ไอ้นั่นมันเป็นอภิญญา มันเป็นฌานโลกีย์ มันเป็นฌานโลกีย์ เห็นไหม ถ้ามันเป็นฌานโลกีย์มันไม่เข้าสู่สัมมาสมาธิ ถ้าเข้าสู่สัมมาสมาธิเนี่ยครูบาอาจารย์ท่านถึงสอนทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจ เห็นไหม เราจะทำความสงบของใจต้องเข้าไปสู่สัจจะความจริงในใจของตน ในใจของตนคือต้นเหตุ

เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเจ้าชายสิทธัตถะเวลาเกิดมาปฏิญาณตนว่าจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แต่เจ้าชายสิทธัตถะก็ยังไม่ได้ออกประพฤติปฏิบัติ จนเจ้าชายสิทธัตถะละถึงการจะครองราชย์สมบัติ ออกไปประพฤติปฏิบัติยู่ ๖ ปี ก็ยังไม่สู่สัจจะความจริงอันนั้น เวลาพระโพธิสัตว์เวลาจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณอันนั้นแล้ว ตั้งแต่นั้นมารู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง

รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ถึงบอกว่าตั้งแต่อดีตชาติย้อนตั้งแต่เป็นพระเวสสันดรไป นี่ไงสิ่งที่มันจะรู้จริงขึ้นมาได้ รู้จริงขึ้นมาได้เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมามันจะรู้จริง ถ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมามันยังเป็นเรื่องโลกๆ อยู่ เห็นไหม ขนาดเป็นเรื่องโลกอยู่น่ะ ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เขารับรองว่ามีความรู้เท่าเรา มีความเห็นเสมอเรา เจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ยอมรับเลย นี่ไงความรู้ความเห็นต่างๆ ความรู้ความเห็นต่างๆ ที่เราไปรู้ไปเห็นที่ว่าพอปฏิบัติแล้วรู้เห็นต่างๆ มันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้น มันเป็นเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องโลกทัศน์ เป็นเรื่องที่จิตรู้ จิตรู้คือโลก จิตของเรามันเรื่องโลกๆ เราไปรู้ไปเห็นอะไรมันมีอะไรเป็นความจริง มีอะไรบ้างที่เป็นความจริง แต่มันก็รู้ ถ้ามีครูบาอาจารย์ นั่นน่ะมันถึงบอกมันไม่ใช่สัมมาสมาธิไง

ถ้าเข้าถึงสัมมาสมาธิ เห็นไหม พออยู่พอกิน พออยู่พอกินคือมันไม่ออกรู้สิ่งใดทั้งสิ้น มันไม่พาดพิงสู่อารมณ์ใดทั้งสิ้น มันเป็นอิสระของมันเห็นไหม ในจิตของตนเอง ถ้าในจิตของตนเอง นี่ต้นเหตุ เวลาต้นเหตุ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณ เห็นไหม เวลาอนาคตังสญาณ เวลาพระที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไปเวลารู้เห็นสิ่งใดแล้วไปรายงานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ไม่ใช่เป็นแต่ชาตินี้ เขาเคยเป็นอย่างนี้มาอย่างนี้มาแต่ภพชาติใด

นั่นน่ะ รู้เห็นความเป็นจริงมาเป็นอย่างนั้น แต่ของเรามันรู้ไม่จริง พอรู้ไม่จริงขึ้นมา สิ่งที่เรารู้เราเห็น เห็นไหม ต้นเหตุน่ะ ต้นเหตุมันบิดเบี้ยว ต้นเหตุมันเป็นตัณหาความทะยานอยาก ต้นเหตุมันเป็นเรื่องมาร เรื่องอวิชชา เรื่องอยากดัง อยากใหญ่ อยากมีอำนาจวาสนา แล้วมันไม่มีอะไรเป็นความจริงสักอย่างหนึ่งเลย เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น

ถ้าเรื่องของธรรมนะ เรื่องของธรรม เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านไปอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านอ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน ท่านเคารพบูชาครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านเคารพบูชาครูบาอาจารย์ของท่าน เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะอธิบายให้ฟัง ว่าท่านสมบุกสมบันมาอย่างใดเพื่อเป็นคติ เป็นแบบอย่าง เวลาหลวงตาท่านฟังทีไรท่านบอกว่าท่านต้องหันหน้าเข้าข้างฝาแล้วร้องไห้ ร้องไห้เพราะมันสะเทือนใจ

คนมีกิเลสอยู่ คนยังมีความคิดความจินตนาการอยู่ เห็นไหม ทำไมท่านต้องสมบุกสมบันขนาดนั้น ทำไมต้องลำบากขนาดนั้น แต่การกระทำของท่านเพราะว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเหนียวแน่น ท่านก็ต้องทุ่มเทของท่านอย่างนั้น ถ้าที่ท่านทุ่มเทของท่านมันเป็นมรรค มันเป็นมรรคคือเป็นเหตุเป็นผลที่พยายามเผชิญ เผชิญกับสัจจะความจริงของท่าน ท่านทำด้วยความพอใจของท่าน ท่านทำด้วยสัมมาทิฏฐิความเห็นดีงามอันความถูกต้องของท่าน เพราะท่านต้องการคุณธรรม ท่านไม่ต้องการกิเลสไง แต่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังขึ้นมาต้องเบือนหน้าเข้าข้างฝาแล้วร้องไห้ แอบร้องไห้ แต่ไอ้คนเล่าๆ ด้วยสัจจะความจริง เล่าด้วยข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงเพราะท่านได้เผชิญความจริงอย่างนั้นมา เห็นไหม แล้วอย่างเราทำเนี่ยไม่ได้ขี้เล็บของท่าน แต่ก็พยายามกระทำๆ

นี่ไง ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ ท่านพูดออกมาจากความเป็นจริงของท่าน ท่านไม่ได้โอ้ได้อวด ไม่ได้พูดด้วยความอยากดังอยากใหญ่ ท่านไม่ต้องการให้ดังให้ใหญ่ เพราะท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน หลวงตาครูบาอาจารย์ที่แสวงหาสัจจะความจริงเนี่ยจะประพฤติปฏิบัติต้องเข้าไปแสวงหาหลวงปู่มั่นในป่าในเขา ท่านอยู่ในป่าในเขามันจะเอาอะไรมาดัง ความดังอยู่ในป่าในเขา

เห็นไหม ดูสิ เวลาทางโลกเขาในปัจจุบันนี้มันกลับกัน เวลาพระปฏิบัติ พระป่าๆ เข้าป่าเข้าเขาไป เข้าป่าเข้าเขาไปก็เอาเสบียงอาหารเข้าไปตุนเอาไว้ ไปอยู่ไปสุขสบายกันไป เข้าไปทำไม เดี๋ยวนี้นะในการท่องเที่ยวน่ะธรรมชาติเขาไปอยู่แล้ว ไกด์มันพาเที่ยว ไกด์มันพาไปอยู่ป่ากัน การไปอย่างนี้มันมีประโยชน์อะไร เอ็งไปแล้วเพราะมันเป็นการแสวงหาของเรื่องโลก เรื่องธุรกิจ เรื่องธรรมชาติ เรื่องความสะอาดบริสุทธิ์ไง ทุกคนก็ต้องแสวงหา แล้วธุรกิจของเขา เขาเข้ามาเอาสิ่งนี้เป็นเรื่องธุรกิจ แล้วก็ไปกัน ไอ้พระบวชมาก็เลยเป็นเครื่องมือของโลกหากินกันไป แล้วก็ว่านี่ไงปฏิบัติป่า นี่ไงธรรมะเป็นธรรมชาติไง ธรรมชาติก็หาตังค์ไง นี่อยากดังอยากใหญ่ไง

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ท่านมีอะไรมาดัง ท่านทำด้วยมือของท่าน ของใช้สอยต่างๆ ไม่ได้ส่งเข้าไปทางจากเมืองจากโรงงานอุตสาหกรรมใดๆ ไม่มีทั้งสิ้น บริขาร ๘ ทำกันด้วยมือ สิ่งต่างๆ เราทำกันด้วยข้อวัตรปฏิบัติของเรา สิ่งใดอยากได้อยากมีก็ต้องฝึกหัด อยากได้บริขาร ๘ ทุกอย่างต้องฝึกต้องหัดต้องมีการกระทำ พอทำขึ้นมาเป็นการฝึกสติฝึกปัญญาไปพร้อม มันจะไปดังที่ไหน มันไม่มีอะไรดัง ท่านอยู่ของท่านๆ อิ่มเต็มของท่าน ท่านแสวงหาของท่าน ท่านไม่ต้องการการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ไม่ต้องการให้ใครมาเชิดชูบูชาทั้งสิ้น ท่านทำของท่านอย่างนั้น แล้วหลวงตาเราครูบาอาจารย์ท่านไปอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านไปแล้วท่านศึกษาแล้วท่านซาบซึ้ง เห็นไหม ท่านซาบซึ้ง ท่านเคารพบูชาของท่าน

การเคารพบูชาของท่านมันไม่มีสิ่งใด เห็นไหม ท่านก็แสวงหาของท่าน ท่านมีสิ่งใดท่านก็พยายามจะเอาไปให้ได้อุปัฏฐากอุปถัมภ์ครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านเคารพบูชาของท่าน แต่ครูบาอาจารย์ของท่านก็พูดเป็นคติธรรมๆ ไม่ใช่เรื่องอยากดังอยากใหญ่ อยากให้คนเชิดหน้าชูตา การเชิดหน้าชูตานั้นเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งสิ้น ต้นเหตุมันมาจากตรงนี้ ต้นเหตุเพราะมันต้องการให้คนเคารพบูชาไง จะเหยียบหัวเขาไปไง ถ้าเหยียบหัวเขาไป เหยียบหัวเขาไปแล้วใครจะยอมรับล่ะ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้

คนเขายอมรับความดีกัน ขอให้มีน้ำใจเถอะ ขอให้มีคุณงามความดี ถ้ามีความดีจริงแล้วมันไม่มีเล่ห์กล ไอ้ที่มันรับกันไม่ได้เพราะมันมีเล่ห์มีกลไง ทำสิ่งใดแล้วมันมีหน้าฉากหลังฉากไง มันมีหน้าไหว้หลังหลอกไง มันไม่มีความจริงไง ถ้าไม่มีความจริงขึ้นมา แต่นี่มันก็เป็นเรื่องสายบุญสายกรรมแล้ว ในเมื่อมีครูมีอาจารย์ เห็นไหม การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันก็มีการสับเปลี่ยนกันมา การเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมา มีสายบุญสายกรรม ถ้ามีสายบุญสายกรรมขึ้นมา เพราะมันเป็นสายบุญสายกรรมขึ้นมา มันต้องมีต้นทุนไปอย่างนั้น นี่ต้นเหตุ

ถ้าต้นเหตุมันเป็นอย่างนั้น ความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น การแสดงออกมันถึงบิดเบี้ยวไปหมดเลย แล้วก็กิเลสบังเงา บังเงาก็อ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อ้างแต่เรื่องข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติเขาทำเพื่อลดทอน เวลาเราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ เราทำ เห็นไหม เป็นเครื่องอยู่อาศัย ไม่ให้จิตมันแฉลบออกไปข้างนอก จิตของเรามันไปร้อยแปด เห็นไหม มีข้อวัตรปฏิบัติถึงเวลาแล้วเราต้องทำตามกติกา ให้จิตมันอยู่กับเรา จิตอยู่กับเรา ข้อวัตรปฏิบัติเอาไว้เพื่อให้เป็นเครื่องอยู่ของใจ ให้ใจมันอยู่นี่ ไม่ใช่ไปส่งเสริมกิเลส อ้าง! อ้างแต่ต้องทำอย่างนั้นๆ อ้างมาให้กิเลสมันได้

ขนาดว่าธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านบุกเบิกของท่าน ท่านทำของท่านขึ้นมา เวลาพระยังไม่มากขึ้นมา ก็ยังไม่ได้บัญญัติธรรมวินัยขึ้นมา เวลาพระอยู่มากขึ้นมา เห็นไหม บัญญัติธรรมวินัย ใครทำผิดพลาดขึ้นมา ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข้อต้องมีพระทำผิดมาแล้วทั้งสิ้น ถ้ามีพระทำผิด เห็นไหม ต้นบัญญัติ ต้นบัญญัติขึ้นมาแล้วก็บัญญัติไม่ให้ทำ ไม่ให้ทำ เพราะว่ามันมากคนก็มากความ ท่านบัญญัติไว้ไม่ให้ทำ ถ้าไม่ให้ทำเราก็ไม่ก้าวล่วงไง ถ้าเราไม่ก้าวล่วงมันก็ไม่เสียหายไง แต่ถ้ามันก้าวล่วงไปแล้ว ก้าวล่วงไปแล้วก็บังเงา เห็นไหม ว่าเราทำเพราะความดีๆ ความดีอย่างนั้นความดีเพื่ออะไรล่ะ

ธรรมและวินัย วินัยเป็นข้อกฎหมาย ข้อกฎหมายมันมีอย่างนั้น แต่ธรรม ธรรมมันกว้างขวาง ธรรมคือการเจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์ เจตนาที่ดี เจตนาที่เราจะเกื้อกูลกัน ถ้าเราเกื้อกูลกัน เห็นไหม ชี้อริยทรัพย์ ถ้าคนมีสิ่งใดผิด เราไปกระซิบบอกเขา เฮ้ย บอกทำอย่างนี้มันผิด มันผิด เรามีเหตุมีผลบอกเขา โอ๊ย ทุกคนจะเคารพบูชามากนะ ถ้าเคารพบูชา แล้วถ้าคนมันดื้อด้าน กระซิบบอกขนาดไหนมันก็ยังด้านอยู่นั้นน่ะ มันก็เชือดกลางศาลาเลย ถ้าเชือดกลางศาลา เห็นไหม ยิ่งมันดื้อมันด้าน มันก็ต้องแก้ไข เพราะว่าจิตใจของคนไม่เหมือนกัน

เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะใช้ของท่าน ท่านมีกระบวนการมีวิธีการของท่าน เพื่อจะหล่อหลอม หล่อหลอมให้เป็นศาสนทายาท เป็นธรรมทายาท ถ้าเป็นธรรมทายาทเขามีคุณธรรมในใจของเขา ถ้าไม่มีคุณธรรมมันไม่ใช่ทายาท มันเป็นกิเลส มันทายาทของมาร มารมันข่มขี่ มารมันเชิดชู พอมารมันเชิดชูมันก็ทำลาย ทำลายแม้แต่ตัวเองแล้วจะไปทำลายคนอื่น ต้นเหตุ ต้นเหตุมาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมีอยู่ในหัวใจแล้ว ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็มีอยู่แล้ว ดูสิ เวลาศึกษา เห็นไหม นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เปรียญธรรม ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ มันก็มีวุฒิภาวะขึ้นไปทั้งนั้น ใครเขาก็เรียนได้ แต่เรียนแล้วมันเป็นประโยชน์ไหม เรียนแล้วมาประพฤติปฏิบัติไหม เรียนแล้วเราจะมาแก้ไขเราไหม ปริยัติเขาศึกษาแล้วเรียนแล้วให้ประพฤติปฏิบัติไง เรียนแล้วรู้ เรียนแล้วปฏิเวธะมันไม่มี ความรู้อย่างนั้นเป็นความรู้ของสุตมยปัญญา สุตมยปัญญาใครก็ศึกษาได้ ใครก็เล่าเรียนได้ เล่าเรียนได้เนี่ยคนนี้เล่าเรียนได้แล้วเขามีเชาวน์ปัญญา เล่าเรียนแล้วมันไปสะกิดใจ เล่าเรียนแล้วมันเป็นคุณธรรม

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูด ท่านก็เรียนมหามาด้วยกัน แล้วเพื่อนนั่นก็เป็นมหาเหมือนกัน เวลามหาแล้วสึกไป เห็นไหม ไปเมาเหล้าเมายา ท่านไปเยี่ยมไง “เรียนก็เรียนนะ เป็นถึงเป็นมหา เวลาสึกแล้วทำไมมาหยำเปอย่างนั้น” มันก็เป็นเพื่อนกันก็พูดเล่นอีกล่ะ “เอ้า ก็ของมันมีในโลกก็กลัวมันจะหมดก็กินอย่างนี้” คนมันเรียนแล้วก็เป็นความรู้แต่ไม่ใช้ประโยชน์ ไม่ใช้ประโยชน์ เห็นไหม นี่ก็เหมือนกันเราเรียนแล้วศึกษาแล้วก็ต้องมาประพฤติปฏิบัติไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครก็พูดได้ ใครก็รู้ได้ทั้งนั้นน่ะ แต่รู้แล้วเวลาพูดสิ่งใดไปมันขัดมันแย้งกัน มันไม่เป็นในช่องทางเดียวกัน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นระดับขึ้นไป เห็นไหม บุคคล ๔ คู่ ตั้งแต่ปุถุชน กัลยาณปุถุชน ปุถุชน กัลยาณปุถุชนตรงนี้เอาให้ได้ก่อน ถ้ามันได้ขึ้นมาแล้ว เห็นไหม บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล อนาคามิมรรค อนาคาผล อรหัตมรรค อรหัตผล บุคคล ๔ คู่ จบแล้วก็นิพพาน ๑ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

แต่เวลาเป็นปุถุชนคนหนา คนพาล ถ้ามันจะเป็นปุถุชนคนพาล มันแก้ความพาลของใจไม่ได้ ถ้ามันแก้ความพาลของใจไม่ได้มันจะเป็นอิสระไม่ได้ ถ้ามันเป็นอิสระ เห็นไหม กัลยาณปุถุชน ถ้ากัลยาณปุถุชนมันรักษาได้ มันรักษาใจของตนได้ ไอ้ใจของตน เห็นไหม ดูสิพญามาร ครอบครัวของมารมันยุมันแหย่ มันคัน ไม่มีก็อยากแสดงว่ามี ไม่รู้ก็อยากอวดว่ารู้ เวลาพูดก็งูๆ ปลาๆ จะพูดว่างูก็จะว่าปลา ไอ้จะว่าปลาหรือก็ว่างู งูๆ ปลาๆ แต่อ้างธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วยิ่งมีครูบาอาจารย์อ้างครูบาอาจารย์ อ้างครูบาอาจารย์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันก็งูๆ ปลาๆ ขณะเขาพูดยังงูๆ ปลาๆ มันจะคุมหัวใจได้ยังไง

นี่ถ้าหัวใจยังไง หัวใจมันต้องแน่วแน่สิ สิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ถ้ามันเป็นสัจจะความจริง เห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นความจริงทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต่อหน้าก็เคารพบูชา ยิ่งลับหลังแล้วยิ่งเด่นชัดเลย ยิ่งเด่นชัด เพราะว่าครูบาอาจารย์สะเทือนตลอด เวลาหลวงตาท่านเล่าให้ฟังประจำ

“หลวงปู่ขาวจะไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ถ้าวางบริขารไว้ผิดที่ใด คืนนั้นนั่งสมาธิหลวงปู่มั่นมาทันที ท่านทำอย่างนี้ได้ยังไง แล้วทำอย่างนี้แล้วหมู่คณะจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง หมู่คณะมันคนที่ไม่รู้ไม่เป็นแล้วทำอะไรสิ่งต่างๆ เขาก็ล้วนไม่เป็นของเขาทั้งนั้น การเก็บ การวางบริขาร บาตรวางไว้ที่ไหน ผ้าพับยังไง พับแล้วควรวางตรงใด แล้วท่านทำของท่านไม่มีหลักมีเกณฑ์ แล้วหมู่คณะเขาจะเอาอะไรเป็นที่พึ่งล่ะ”

หลวงปู่ขาว เวลาท่านนี่ปฏิปทาธุดงค์กรรมฐาน หลวงตาท่านพยายามเก็บรวบรวมมา รวบรวมมาเพราะอะไร เพราะว่าเวลาหลวงปู่มั่น อยู่กับหลวงปู่มั่น “หมู่คณะรู้หรือไม่ว่าผมทำประโยชน์ไว้กับสังคม ใครคิดถึงบ้างหรือไม่”

หลวงตาท่านบอกว่า “โอ๊ย คิดถึงตลอดเวลา คิดอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้เรื่องส่วนตัว เรื่องของตนมันยังไม่จบ”

“เออ ต้องเอาเรื่องส่วนตัวของตนให้จบก่อน เพราะเรื่องส่วนตัวนั่นน่ะมันเป็นหลักเกณฑ์ ถ้าเรื่องส่วนตัวไม่จบมันเข้าข้างกิเลส มันพวกเขา พวกเรา” ถ้าคนไม่ใช่พวกเราก็ผิด ถ้าพวกเราก็ถูกไง จะต้องให้เรื่องของตนให้จบก่อน

แล้วเรื่องของตนจบก่อนแล้วท่านอุตส่าห์ไปเก็บรวบรวมมา รวบรวมมาอย่างนี้ รวบรวมมาเป็นมรดกตกทอด เป็นมรดกของหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น เห็นไหม ปฏิปทาธุดงคกรรมฐาน ไปเรียบเรียงข้อมูลมาจากหลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ฝั้น นี่ท่านไปเก็บๆ มา เก็บๆ มาเพราะอะไร เพราะเวลาครูบาอาจารย์ท่านอยู่ด้วยกันมา เวลาอยู่ด้วยกันมาน่ะประสาใจๆ คนที่มีความรู้ความเห็นอย่างใด เห็นไหม ดูสิ สมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย อัครสาวก เอตทัคคะทั้งนั้นนั่งล้อมรอบอยู่เลย เวลาพระอุบาลีถามขึ้นมาไง “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานหรือยัง ปรินิพพานหรือยัง” พระอนุรุธทะ “ยัง ตอนนี้เข้าสมาบัติอยู่” เนี่ยพระอรหันต์เหมือนกันทั้งนั้น แต่ความถนัดถนี่มันไม่เหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงตา เห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด ผมทำประโยชน์ไว้กับสังคมกับโลกไว้นี่ มีใครระลึกถึงบ้างหรือไม่ เวลาหลวงตาบอกระลึกอยู่เต็มหัวใจ ระลึกอยู่เต็มหัวใจ เต็มหัวใจๆ แต่เรื่องส่วนตัวยังไม่จบ หลวงปู่มั่นว่า ใช่ เอาเรื่องส่วนตัวให้จบก่อน เรื่องส่วนตัว เรื่องที่มันไม่ลำเอียง ไม่ใช่พวกเขาพวกเรา ถ้าเรื่องพอใจไม่พอใจ เอาเรื่องสัจจะ เอาเรื่องข้อเท็จจริง

เรื่องข้อเท็จจริงสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านทำเป็นจริงมา เวลาท่านจบของท่านแล้ว ท่านมาเก็บรวบรวม เห็นไหม เวลารวบรวมไปถึงหลวงปู่ขาว หลวงปู่ขาวเล่าให้ฟังทั้งหมด ทำสิ่งใด ทำสิ่งใด ถ้าทำแล้วผิดพลาดคืนนั้นนั่งสมาธิหลวงปู่มั่นมาทันที หลวงปู่มั่นมาทันที หลวงปู่ขาว นี่ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เห็นไหม ท่านยกย่อง ท่านเชิดชู ท่านบูชากันไง แล้วท่านลงกันที่หัวใจไง

ลงที่หัวใจ ลงที่ความจริงไง ไม่ใช่ผิวๆ ไอ้ผิวๆ นี่ตอแหล กระล่อน ไอ้พวกกระล่อน ไอ้พวกปลิ้นปล้อนเนี่ย มันกระล่อน มันก็ปลิ้นปล้อนเพราะกิเลสมันหนา พอกิเลสมันหนาแล้วอ้างอิงไง นี่ไงมันเสียดาย เสียดายที่เรามาบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระกรรมฐาน บวชเป็นนักรบ นักปฏิบัติด้วย ถ้านักปฏิบัตินะ มันต้องซื่อสัตย์สิ ถ้ามันซื่อสัตย์ขึ้นมา เพราะอะไร เพราะซื่อสัตย์มันดัดแปลงตรงนั้นมันเป็นประโยชน์นะ เหล็กเขาจะตีขึ้นมาเป็นมีด เหล็กขึ้นมา เห็นไหม เหล็กเขาจะมาสร้างโครงสร้างของสังคมได้ทั้งนั้นเลย เขาต้องมาหล่อมาหลอมทั้งนั้นน่ะ เวลาจุดเดือดของมัน เห็นไหม ดูสิ เวลามันหลอมละลายขึ้นไปแล้วเขาจะสร้างเป็นรูปร่างอย่างไรขึ้นมา

เนี่ยต้นเหตุ ต้นเหตุมันอยู่ตรงนั้น ต้นเหตุเราสัมมาสมาธิเข้าสู่ใจ ต้นเหตุ ต้นเหตุถ้าเข้าสมาธิได้ ยิ่งเหลาะแหละโลเล ยิ่งทำสมาธิไม่ต้องมาพูดถึง มันปลิ้นปล้อนตลอด ถ้ามันปลิ้นปล้อนอย่างนี้มันจะเข้าสมาธิได้ยังไง สมาธิมันยังเข้าไม่ได้เลยแล้วมันจะไปมีคุณธรรมตรงไหน มันก็เรื่องของการดินพอกหางหมูของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันซับ มันสม มันซ้อนเข้าไปนั่นน่ะ กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ดูสิ ดูคนมีการศึกษา ถ้าคนไม่มีการศึกษาซื่อสัตย์เขาก็ใช้ประโยชน์ได้แค่นั้น ถ้าคนมีการศึกษาสูงขนาดไหน ถ้าเป็นคนขี้โกง มันยิ่งโกงได้มากขนาดนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ศึกษากับครูบาอาจารย์มา ศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันท่วมหัว เวลามันพูดธรรมะมันอ้างอิงมันยิ่งกว่าเทวดาอีก แต่พฤติกรรมของมันเลวกว่าสัตว์ สัตว์มันก็ทำลายกันแค่ชีวิตของสัตว์ด้วยกัน ไอ้นี่มันทำลายโลกหมดเลย ทำลายศรัทธาไทย ทำลายความเห็นของสังคมทั้งหมดเลย นี่ไงมันเลวกว่าสัตว์ เลวกว่าสัตว์เพราะใจมันเลว

แต่ถ้าใจมันจริง เห็นไหม แล้วเวลาพูดถึงอ้างครูบาอาจารย์ทั้งนั้น อยู่กับครูบาอาจารย์มา ครูบาอาจารย์องค์ไหนมีคุณค่ามาอ้างครูบาอาจารย์มา แต่ความเป็นจริงในใจ เห็นไหม เนี่ยต้นเหตุมันอยู่ตรงนั้น ต้นเหตุมันอยู่ที่ความเลวของใจนั้นน่ะ ใจมันเลวมาพฤติกรรมมันแสดงออกมันเลวหมด แต่หมาห่มหนังเสือ เวลาสังคมไทย เวลาพระเรานี่ เห็นไหม เวลาพระทำผิดยกเว้นไว้เห็นแก่ผ้าเหลือง เห็นแก่ผ้าเหลืองไง เห็นแก่ผ้าเหลืองแต่คนน่ะ คนที่ห่มผ้าเหลืองไม่รู้จักคนใช่ไหม เห็นแก่ผ้าเหลือง เห็นแก่ผ้าเหลืองเพราะสังคมพุทธไง

นี่ก็เหมือนกันหมาห่มหนังเสือ สังคมไทยเขาเว้นไว้ให้พระ เว้นไว้ให้พระ แต่พระมันเลวเกินไป เขาประชาทัณฑ์พระก็มี ถึงเวลาเขาประชาทัณฑ์เลย เพราะอะไร มันรับไม่ได้ มันรับไม่ได้ไง ความรับไม่ได้อันนั้นมันเป็นจากความเห็นแก่ตัวของตัวคนเดียว คิดว่าสิ่งนั้นจะป้องกันตนได้ ถึงได้ทำความชั่วได้ขนาดนั้น ความชั่วทำออกไปเรื่อยๆ ทำออกไปเรื่อยๆ มันก็พอกเข้าไปเรื่อยๆ ทั้งนั้นน่ะ เนี่ยต้นเหตุ ต้นเหตุ พอต้นเหตุมันมาจากที่นั่น ต้นเหตุมันมาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ต้นเหตุนะ แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากด้วยความหนา เวลาความหนาของมันนะ ความหน้าด้าน ความหน้าด้านมันทำของมันด้วยความด้านๆ เพราะอะไร เพราะคนทำมันรู้ ไฟ ไฟอยู่ในที่แจ้งมันก็คือไฟ ไฟในที่ลับมันก็คือไฟ ไฟทำที่ไหนมันก็ไฟทั้งนั้น

นี่เหมือนกัน คนทำชั่วมันก็ต้องรู้ตัวมันว่ามันชั่ว ถ้าคนทำความดีมันจะชั่วอย่างนั้นได้ยังไง คนทำความดีมันออกมาเป็นความชั่วได้ยังไง ด้วยความเมตตาของคน เห็นไหม ดูสิ พระด้วยกัน พระด้วยกันเราเป็นสัทธิวิหาริกด้วยกัน เราถือว่าเราเป็นหมู่คณะกัน เราจะใช้สอยหรือถือวิสาสะกัน มันก็ใช้ได้ ถ้ามันมีน้ำใจต่อกันไง ถ้าคนมันดีมันดีต่อกันทั้งนั้น แต่ถ้าคนมันชั่ว มันทำลายได้ทั้งหมด มันทำลายนะ มันชักนำไปทำให้เสียหาย ทำให้เสียหาย เวลามันเสียหายไปแล้ว ถลำไปแล้วนะผิดศีลผิดธรรมขึ้นมาแล้วทำยังไง ถ้ามันอาบัติไม่หนักมันก็ปลงอาบัติซะ ถ้าอาบัติหนักมันก็เสียหายไปเลย ติดคุกติดตะรางอีกต่างหาก มันเสียหายไปทั้งนั้น ต้นเหตุมันมาจากที่นั่น แต่มันเป็นสายบุญสายกรรมไง

คนไปเห็นอย่างนั้นแล้วชอบ เนี่ยลูบหน้าปะจมูก ถ้าใครเยินยอ ยกย่องสรรเสริญเยินยอแล้วชอบ ขอบไอ้ของยอๆ นั่นน่ะ ชอบไอ้ที่ของเขายกย่องกันนั่นน่ะ แต่ถ้าความจริงๆ เห็นไหม ไม่มีการลูบหน้าปะจมูก ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ใครทำผิดก็ผิด ใครทำถูกก็ถูก จะเป็นผู้ใหญ่เป็นเด็กผิดถูกทั้งนั้นน่ะ อยู่กับหลวงตานี่ครูบาอาจารย์ท่านบอกนะ เราเคารพบูชากันด้วยอาวุโส ภันเต แต่ให้ ๑๐๐ พรรษาด้วย แต่ถ้าไม่มีคุณธรรมมันก็ต้องยกไว้ เวลาจะกราบไหว้ กราบไหว้เป็นพิธี เนี่ยเราทำกันเป็นพิธีอย่างหนึ่งนะ เราทำด้วยหัวใจเราอีกอย่างหนึ่งนะ ถ้าเราเคารพบูชาเห็นไหม เคารพบูชาด้วยหัวใจของเราเนี่ย โอ๋ มันปลาบปลื้ม เวลาเห็นแล้วมันชื่นใจ แต่ถ้ามันเป็นแค่เป็นตามพิธีเพราะอะไร เพราะเราบวชแล้วเราต้องยอมรับธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเขากราบเราก็ต้องกราบ เวลากราบประธานสงฆ์เราก็กราบ แต่เอามือจิ้มขี้ ใจ ใจนี่กราบธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไอ้นี่เอามือจิ้มขี้

นี่ไง ถ้าพรรษาก็คือพรรษา แต่เราเคารพธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ครูบาอาจารย์ของเราถ้ามีคุณธรรมนะ มันอยากได้ยินอยากได้ฟัง อยากได้อยู่ใกล้ เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์นะ ท่านอยู่วัดอยู่วานะ รู้สึกว่าวัดวาเนี่ย แหม มันสงบร่มรื่น ถ้าท่านออกจากวัดไปไม่อยู่ในวัด มันเหมือนกับวัดร้าง เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ ถ้าท่านอยู่ด้วย เออ มันก็ร่มเย็น ถ้าท่านไม่อยู่มันเหงาทันที มันเศร้าสร้อยเลย นี่ไง เวลาเขาอยู่กันอย่างนั้น เวลาพระกรรมฐานไง มันอยู่ได้ด้วยน้ำใจ อยู่ด้วยหัวใจไง ถ้าต้นเหตุมันด้วยความอยากดังอยากใหญ่ อยากมีอำนาจ แล้วทำออกมาทำแบบโลกๆ แล้วโลกๆ มันมีสิ่งใดมันเป็นประโยชน์บ้างล่ะ เพราะโลกๆ ไง มันไม่ใช่คุณธรรมไง

ถ้าเป็นคุณธรรม เห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเป็นคุณธรรมนะ อย่างเช่น หลวงปู่ลี ครูบาอาจารย์ที่มีธรรม หลวงตาท่านพูดประจำ ขอให้อยู่คนเดียวเถอะอยู่ที่ไหนก็ได้ มันมีความสุข เนี่ยวิหารธรรมของท่าน ท่านอยู่ที่ไหนท่านมีความสุขของท่าน ก็ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันพิสูจน์ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วท่านมีดวงตาเห็นธรรมของท่านแล้ว ท่านมีความสงบสุขของท่านนะ แต่มันด้วยอำนาจวาสนา เห็นไหม ดูสิ หลวงตาท่านพูดประจำอยู่ที่วาสนาของสัตว์โลก ถ้าเขามีอำนาจวาสนา เขาก็มีหมู่มีคณะ มีผู้ที่จะดูแลเชิดชูกันต่อไป ถ้าวาสนาของเขาก็เพื่อตัวตนของเขา

ดูสิ พระอัญญาโกณฑัญญะตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วไปอยู่ในป่าตลอด จนท่านจะนิพพานก็มาลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก เป็นพระสงฆ์องค์แรกของโลกเลย พระอัญญาโกณฑัญญะน่ะ อยู่ป่าอยู่เขามาตลอดเลย นี่ก็วาสนาของท่าน นี่ไง มันอยู่ที่อำนาจวาสนาไง แต่ด้วยความเป็นจริงๆ ถ้ามันมีความจริงอยู่ในหัวใจแล้วมันมีความสงบสุขอันนั้นอยู่แล้ว ถ้ามีความสงบสุขอันนั้นอยู่แล้วธรรมอันนี้มันเลอเลิศ มันมีคุณค่า ของในวัฏสงสาร เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพูดกับพระอรหันต์ ๖๑ องค์ “เธอทั้งหลายพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน” ไอ้บ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์มันไม่เป็นเหยื่อไง อยากดังอยากใหญ่นี่บ่วงที่เป็นโลก บ่วงที่เป็นทิพย์ก็เทวดา อินทร์ พรหม ดูสิ อยากให้คนเขาเคารพนบนอบ อยากให้คนเขานับถือ

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเทวดามาฟังเทศน์ตลอด ท่านไม่เห็นต้องไปห่วงใครเลย หลวงปู่มั่นท่านไม่มีเวลาว่างเลย เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์ตลอด ฟังเทศน์ตลอด ไปเป็นบ่วงของเขาไหม ไปเป็นเหยื่อของเขาไหม เขาต่างหากมาหาผลประโยชน์ของเขา เขาต่างหากมาหาผลประโยชน์ของเขา ถ้ามันเป็นจริงๆ ไง ถ้ามันไม่เป็นจริงมันเดือดร้อน มันเดือดร้อนตั้งแต่อยู่ในหัวใจ มันเดือดร้อนในใจของตน แล้วทำแต่เรื่องความคิดของตนน่ะ บ่วงที่เป็นโลก อยากดังอยากใหญ่ อยากให้เขานับหน้าถือตา มันอยากไปทั้งหมดล่ะ พออยากไปทั้งหมด มันก็เล่ห์กลไปทั้งหมด มันต้องใช้อะไร มันต้องใช้เงินใช้ทองร้อยแปด ดิ้นเข้าไปอย่างหมาบ้า หมามันบ้า หมาขี้เรื้อน มันทำให้ตัวมันเน่ามันเหม็นไง มันเน่ามันเหม็นแล้วมันมีโทษไง

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ในเมื่อมันมีเหตุมีผลขึ้นมาแล้วมันมีความถูกผิดขึ้นมา มันก็ต้องตัดสินกันไปตามโลก แต่ถ้ากฎหมายตามไม่ทันมันก็เป็นเรื่องของเวรของกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำคุณงามความดีต้องได้คุณงามความดี แม้แต่ทำคุณงามความดีในโลกปัจจุบันนี้ จะโดนเขาถากเขาถางขนาดไหน ถ้าด้วยคุณงามความดี แต่เวลาถึงที่แล้วหัวใจของท่านมีความสงบระงับ มีความดีของท่าน ท่านมีจุดยืนของท่าน คนที่ทำความดี เห็นไหม คนโดนใส่ไคร้โดนจนต้องโทษต้องคดีกันไป ถ้าเป็นของดีนะ เพราะว่าทางโลกเขาอิจฉาตาร้อน ดีขนาดไหนเขาก็ใส่ความใส่ไคร้ อันนั้นก็เป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์ ทำคุณงามความดีมันก็มีคนใส่ร้ายใส่เวรใส่กรรมเหมือนกัน นั่นเพราะอะไร เพราะไปขัดหูขัดตาเขา

แต่ถ้ามันพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและทิพย์นี่ไร้สาระ พวกนี้เป็นเรื่องของไร้สาระ เพราะมันไม่ออกไปสร้าง ตัวเองไม่ได้ทำ ตัวเองไม่ได้สร้างแต่เขาใส่ไคร้ แต่ถ้าตัวเองสร้างมันเลวทราม มันเลวทรามไปทั้งนั้น เพราะความเลวทรามของตน ตนทำความเลวทรามอย่างนั้น เพราะทำความเลวทรามอย่างนั้น เห็นไหม เพราะมันการกระทำ แล้วถ้ามันให้ผลมาแล้ว ผลมันก็เรื่องของเขา เรื่องของสัตว์โลก ถ้าใครทำใจไม่ได้มันก็สะเทือนหัวใจของศรัทธา มันก็ไปสะเทือนหัวใจของเขา อันนั้นมันก็เป็นความโง่ความฉลาดของคนอีกล่ะ เพราะความโง่ความฉลาดของเขา

ถ้าคนที่มันฉลาด เห็นไหม คนที่ฉลาดเขาก็มีสติมีปัญญาของเขา ถ้ามีสติปัญญาของเขา นี่ต้นเหตุ ถ้าเราเห็นเหตุแล้ว เราเห็นต้นเหตุแล้ว เราก็ต้องรักษาใจของเรา ต้องกลับมาดูของเรา เป็นพระป่า เป็นนักปฏิบัติ เวลานักปฏิบัติสิ่งใดที่เกิดขึ้นมันเป็นเหตุเป็นผล ถ้าเป็นเหตุเป็นผล เห็นไหม เวลาเขาทำ เขาทำแล้วได้ผลอย่างนี้ เวลาเราทำเราทำได้ผลยังไง เราได้ผลยังไง เราทำของเราสิ มันให้ผลอย่างนั้น หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง สองบวกสองเป็นสี่ นี่เหมือนกัน ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เราทำดีของเรา มันมีผลบวก ไอ้นี่มันลบตลอด หนึ่งบวกหนึ่งเหลือหนึ่ง หนึ่งบวกหนึ่งเหลือศูนย์ สองบวกสองไม่มีเลยหายหมดเลยเป็นศูนย์หมดเลย มันเป็นยังไง

นี่ไง ทำความดีของเรา ความดีของเรา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านสอนประจำ ใครจะดีจะชั่วเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีว่ะ เราจะทำคุณงามความดีว่ะ แล้วทำคุณงามความดีเพื่อเราด้วย ทำคุณงามความดีแบบทิ้งเหวด้วย ทำคุณงามความดีแบบไม่ให้ใครรู้ด้วย อยู่กับครูบาอาจารย์มานะ ก่อนหน้านั้นท่านทำความดีไม่ให้ใครรู้เลย ความดีต้องอวดใคร นั่งสมาธิภาวนายังไม่ให้ใครรู้เลย แล้วเวลาเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา คนที่ภาวนาเป็นเขาเม้มปากเลย จะรู้ได้ต่อเมื่อครูบาอาจารย์ของเราเท่านั้น แต่ถ้าไปพูดกับหมู่คณะให้เขารับรู้นะ มันคนนู้นก็อยากจะถาม คนนี้ก็อยากจะถาม ไอ้ของดีๆ ใครๆ ก็อยากได้ แล้วตัวเองทำไม่ได้ แต่คนอื่นทำได้ก็อยากจะได้ยินได้ฟัง นี่มันทำให้การภาวนานั้นติดขัดไปหมดเลย

นี่พูดถึงคนที่ในวงการปฏิบัติเขาจะรู้กัน ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติเป็น ปฏิบัติได้ เขาจะเงียบ ถึงเวลาจะถามครูบาอาจารย์ของท่าน อย่างนี้มันถูกหรือผิด แล้วถ้าถูกหรือผิดเห็นไหม ดูสิ ทางการแพทย์ถ้าใครเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาประวัติคนไข้มันต้องมีอยู่แล้ว ฉะนั้นคนไข้อะไรก็แล้วแต่เวลาเขาเจ็บไข้ได้ป่วยเขาจะไปหาหมอประจำของเขา เพราะอะไร เพราะเขามีประวัติการรักษากันมา

นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์พอพูดคำเดียวอาจารย์ก็รู้หมดแล้ว ต่อไปมานี่ต่อได้เลย ประวัติคนไข้อยู่นี่ ประวัติการภาวนาอยู่ที่นี่ ถ้าประวัติการภาวนาอยู่ที่นี่ เอ็งทำแล้วดีขึ้นหรือเลวลง ไอ้นี่ประวัติภาวนาอยู่ที่นี่ แต่คนไข้มันกำลังจะตาย ไม่มีภูมิคุ้มกันอะไรทั้งสิ้น เลวลง เลวลง เลวลงทุกวัน ไม่เห็นมันมีอะไรดีขึ้นเลย ถ้ามันดีขึ้น เห็นไหม การอยู่ของเรา การดำรงชีวิตของเรา ถ้าเรามีสติมีปัญญาขึ้นมา เรารักษาของเรา ร่างกายมันจะไม่ฟื้นฟูขึ้นมาได้ยังไง ร่างกายของคนมันฟื้นฟูขึ้นมาได้ แล้วถ้าฟื้นฟูขึ้นมาได้โรคภัยไข้เจ็บมันต้องหายได้

นี่ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันทำจริงทำจังของมันขึ้นมา มันฟื้นฟูได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลมันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมา มันฟื้นฟูของมันขึ้นมา แล้วฟื้นฟูขึ้นมา เห็นไหม เนี่ยปุถุชน กัลยาณปุถุชน ตรงนี้ทางเข้านี่สำคัญ ทางเข้านี่ยังหากันไม่เจอ แล้วยังง่วงงุนงุ่มง่ามกันอยู่อย่างนั้น หาทางเข้ากันไม่ได้ ถ้าหาทางเข้าได้ มันเข้าได้แล้วเป็นกัลยาณชน จิตสงบแล้วเราระลึกถึงเห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นสติปัฏฐาน ๔ ก็บอกไม่ต้องการเห็นสติปัฏฐาน ๔ ต้องการเห็นกิเลส ก็กิเลสมันตัวเป็นยังไง อ้างกันว่ากิเลสๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่าเป็นกิเลส ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติว่ากิเลสมันเป็นธรรมล่ะ ก็อยากจะหาธรรมกันอีก เวลากิเลสๆ น่ะมันเป็นชื่อ เวลาเป็นชื่อมันเป็นนามธรรม แล้วจะไปหามันที่ไหน

สังโยชน์ ๓ สังโยชน์ ๓ มันอยู่ที่ไหน สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสมันอยู่ที่ไหน สีลัพพตปรามาสมันไม่ลูบไม่คลำเพราะจิตเรามันผ่องแผ้ว ถ้าจิตมันเศร้าหมองจิตมันไม่รู้ว่ามันลูบหรือไม่ลูบ มันไม่ลูบก็คือลูบ มันลูบตั้งแต่ไม่รู้ตัวนั่นแล้ว สีลัพพตปรามาสเพราะมันไม่รู้ตัว มันจะไม่ลูบได้ยังไง ถ้ามันสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉาแล้ว ถ้ามันไม่มีสีลัพพตปรามาส ไม่สีลัพพตปรามาสเพราะมันรู้แจ้ง เราเดินไปน่ะกองไฟอยู่ข้างหน้าเราจะผ่ากองไฟไปไหม กองไฟมันขวางอยู่ข้างหน้าเราก็หลบไง เราไม่ผ่ากองไฟไปเพราะกองไฟมันร้อน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบมันผ่องแผ้วขึ้นมาแล้ว มันไม่ทำสิ่งใดทั้งสิ้น มันจะไปสีลัพพตปรามาสตรงไหน มันไม่เป็นสีลัพพตปรามาสอยู่แล้ว นี่ไงแล้วมันอยู่ไหน แต่ทุกคนก็บอกว่าฉันอยากจะรู้ ฉันอยากจะเป็น อยากจะเป็นนั่นล่ะตัวมันเป็นอยู่แล้ว เป็นอะไร เป็นไม่รู้ ถ้ารู้เป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์มันเกิดขึ้นมาในใจ เห็นไหม เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ฟังธรรมๆ มันตอกย้ำหัวใจอันนี้ ถ้าตอกย้ำหัวใจอันนี้ เห็นไหม ต้นเหตุๆ อย่าให้เป็นแบบเขา อย่าให้เป็นแบบนั้น เป็นแบบนั้นเพราะอะไร เพราะต้นเหตุ

ต้นเหตุคือใจ ต้นเหตุคืออวิชชา พญามารในใจมันครอบงำมา แต่มันด้วยมารยาสาไถย อยู่มาโดยมารยาสาไถย อ้างหมู่ อ้างคณะ อ้างครูบาอาจารย์บังไว้ แต่ตัวเองเลวอย่างกับหมา เพราะมันเลวอย่างกับหมามันถึงได้ทำ ทำอย่างขนาดนั้น มันทำได้ขนาดนั้นเพราะคิดว่ามันทำลายด้วยตัวมัน เวลามันทำลายตัวมัน แต่เวลาจะแก้ไขมันอ้างคนอื่น อ้างครูบาอาจารย์ อ้างคณะสงฆ์ เวลาอ้างๆ คณะสงฆ์ แต่ทำคนมันทำ คนคนเดียวมันทำ แต่เวลามันจะป้องกันมัน มันอ้างคณะสงฆ์ อ้างคนอื่นทั้งนั้น แต่ตัวมันทำ นี่ต้นเหตุ ต้นเหตุเพราะเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจอันนั้น ในใจอันนั้นมันชั่วร้าย ความชั่วร้ายอันนั้นมันทำออกมามันถึงสะเทือนกันไป แล้วมันก็สะเทือนคณะสงฆ์

ฉะนั้นเรื่องคณะสงฆ์ คณะสงฆ์ เห็นไหม ดูสิ ศาสนทายาท ธรรมทายาท ถ้าธรรมทายาทมันจะเป็นธรรมทายาทได้มันจะต้องมีหลักมีเกณฑ์ การที่มีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม เราบวชมาแล้ว บวชเป็นพระเป็นเจ้ามา แล้วบวชแล้วเราพยายามทำของเรา ไอ้เรื่องจริตนิสัยนั้นเรื่องหนึ่ง จริตนิสัยเป็นส่วนจริตนิสัย แต่ แต่มันแก้ได้ อย่าอ้างว่าจริตนิสัยแล้วไม่ทำอะไรเลย จริตนิสัยต่อเมื่อ ต่อเมื่อสิ้นกิเลสแล้ว ถ้าจริตนิสัยยังไงเราถึงคล้อยตาม แต่เริ่มต้นมันมีสัตย์ ตั้งเลย ตั้งสัจจะ อย่างนี้ไม่ทำ อย่างนี้ห้าม ไอ้นี่ห้ามคนอื่นแต่กูทำ เวลาคนอื่นกูห้ามนะ แต่กูจะทำ แล้วมันเป็นไปได้ยังไง

แต่ถ้ามันเวลาห้ามก็ต้องห้ามหมด ห้ามตั้งแต่ตัวเราเป็นต้นไป เวลาหลวงตาท่านเทศนาว่าการนะ ท่านบอกว่าเวลาท่านแสดงธรรมๆ เพื่อเราด้วย เพื่อตัวท่านด้วย เวลาท่านเทศน์ ท่านเทศน์ถึงตัวท่านด้วย คือท่านก็ต้องอยู่ในวงของพระทั้งหมด แต่ในเมื่อท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านข้ามมาเป็นชั้นเป็นตอน เป็นชั้นเป็นตอน ท่านได้ประพฤติปฏิบัติมาได้มรรคได้ผลเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เพราะอันนั้นมันถึงเทศน์ได้ คนที่เทศน์ได้มันต้องรู้จังหวะจะโคน รู้กำลังหนักกำลังเบาของกิเลสกับของธรรม เวลากิเลสมันหนักมันหนาขึ้นมา

ดูสิ เวลาคนที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ เวลาประพฤติปฏิบัติไปหลุดไปเลยน่ะ นั่นน่ะ กิเลสมันฉุดกระชากไปถึงขนาดนั้น แล้วเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถ้าจิตมันดี จิตมันสงบร่มเย็น เห็นไหม แล้วมันเห็นสติปัฏฐาน ๔ มันออกพิจารณาของมัน โอ๊ย มันมีความสุขนะ มรรคผลนี่มันเหมือนกับจะหยิบจะคว้าเอา คนเรานะ ดูสิ มรรคผลที่มันจะหยิบจะคว้าเอา ใครบ้างไม่ปลื้มใจ ใครบ้างไม่สุขใจ แต่สุขใจนั่นล่ะมันจะประมาทแล้วล่ะ ถ้ามันจะสุขใจ มันจะพอใจ มรรคผลเราจะหยิบจะฉวยเอาอย่างนี้ มันอยู่ใกล้มือเราเลย แต่มันก็ยังไม่ได้ มันจะหยิบจะฉวย แต่ยังฉวยไม่ได้ จะ จะ จะ มันจะหยิบจะฉวย แต่มันฉวยไม่ได้

ฉะนั้นมันจะหยิบจะฉวยมันก็ต้องตั้งสติ มันก็ต้องเข้มข้นขึ้น ระวังตัวเองดีมากขึ้น คนที่จะหยิบจะฉวยแล้วทำไมมันฉวยไม่ได้ล่ะ ถ้ามันฉวยไม่ได้แสดงว่ามันไม่พอไง แสดงว่าการพิจารณาของเรามันยังไม่ละเอียดพอไง สมาธิเรายังไม่แน่นหนาพอใช่ไหม เราก็ต้องทำของเราให้ดีขึ้นๆ ไปสิ ความดีขึ้น เห็นไหม ระหว่างกิเลสกับธรรมไง ครูบาอาจารย์ที่ท่านจะพูดจะจาได้เนี่ยเพราะท่านผ่านมาเป็นชั้นเป็นตอนไง เวลากิเลสมันรุนแรงเราโดนมันบี้ เราทุกข์ยากขนาดไหน เวลาเราฟื้นฟูขึ้นมาจิตใจเราดีขึ้นมา เรารู้อารมณ์เราเป็นยังไง เรามีความสุขแค่ไหน แล้วมรรคผลจะหยิบจะฉวยแล้วฉวยไม่ได้สักทีเนี่ยมันเป็นเพราะอะไร เพราะมันเป็นตทังคปาน ทำแล้วทำเล่ามันทำไมไม่ได้ผล ไม่ได้ผลเราก็กลับมาเข้มข้นของเรา กลับมาดูแลของเรา เพราะถ้ามันทำอยู่อย่างนี้ มันก็จะเป็นแบบนี้

ถ้าเราเติมศีล สมาธิ ปัญญาให้มากขึ้น เราเติมความเพียรของเราให้มากขึ้น เราเติมความขยันหมั่นเพียร เติมความวิริยะอุตสาหะขึ้น นี่ไง เราเติมๆๆ ขึ้นไป ความเติมขึ้นไปเหมือนน้ำ น้ำเราเติมมากขึ้นขนาดไหนจำนวนน้ำก็ต้องมีมากขึ้น ศีล สมาธิ ปัญญาของเรา ถ้ามันมีมากขึ้นเราทำของเราดีขึ้น มันก็ต้องดีขึ้น ครูบาอาจารย์ท่านผ่านของท่านมาท่านรู้ ท่านถึงพูดได้ ไอ้นี่มันไม่มี พอมันไม่มีขึ้นมา เห็นไหม แล้วก็ต้นเหตุๆ ในใจมันเลว จะบอกว่าในใจมันเหี้ย เพราะมันเหี้ย มันถึงทำตัวมันเหี้ย แล้วมันก็ทำลายหมู่คณะ เอวัง