เทศน์พระ

ทำเป็นรู้

๑๙ มิ.ย. ๒๕๕๙

 

ทำเป็นรู้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ เราเป็นนักบวช อีกเดือนหนึ่งเข้าพรรษาแล้วนะ จะเข้าพรรษาอยู่แล้ว ฉะนั้นผู้ที่จะเข้าพรรษาเขาหาที่จำพรรษาของเขาแล้ว เขาหาที่จำพรรษาของเขาเพราะอะไร เพราะเราต้องการแสวงหา เราก็ยังต้องการแสวงหา เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราจะต้องหาสิ่งที่ว่ามันตรงกับจริตนิสัย ถ้าตรงกับจริตนิสัยแล้วทำสิ่งใดแล้วมันจะตรงกับจริตนิสัยของตน มันยอมรับ ถ้าไม่ตรงกับจริตนิสัยนี่มันขวาง มันขวางไปทั่ว ถ้ามันขวางไปทั่วนะ สิ่งนั้นไม่มีประโยชน์กับเราและสถานที่นั้น และมันเป็นความจริงๆ ต้องเป็นอย่างนั้นนะ

ถ้าเรายังแสวงหาอยู่ แสวงหาเพื่อสัจธรรมเพื่อความจริงของเรา เห็นไหม จะเข้าพรรษา ฉะนั้นจะเข้าพรรษาแล้วนี่ เราจะต้องตื่นตัวๆ ขวนขวายนะ หาที่ เราอยู่กับครูบาอาจารย์ เห็นไหม ก่อนเข้าพรรษาต้องเตรียมฟืน ต้องเตรียมไม้กวาด ต้องเตรียมต่างๆ เตรียมไว้ทำไม เตรียมไว้ตีตาดในพรรษา ๓ เดือน ๓ เดือนนี่เขาไม่ให้ขยับเลยนะ ๓ เดือนก็ต่างคนต่างตั้งใจ ต่างคนต่างจะภาวนา ถ้าภาวนาอย่างใด เราภาวนาให้มันได้คุณสมบัติของเราขึ้นมา ให้เป็นคุณประโยชน์กับเรา ถ้าเราจะปฏิบัติ เห็นไหม เขาเตรียมพร้อมตลอด

นี่ก็เหมือนกัน อีก ๑ เดือนจะเข้าพรรษาแล้ว จะต้องหาที่จำพรรษากัน แล้วต้องแบ่งปันกันไปเพื่อหาที่สะดวกสบายของการประพฤติปฏิบัติ มันสะดวกสบายกับการประพฤติปฏิบัติไง นี่ไง คือหัวใจไง ที่เราบวชมาๆ เราบวชมาเพื่อสิ่งใด เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราศรัทธานะ คนเราศรัทธามีความเชื่อนี่มันหวังผลทั้งนั้น ที่เราบวชมาเราหวังผลนะ เราหวังพ้นจากทุกข์

ถ้าเราหวังพ้นจากทุกข์ขึ้นน่ะ การกระทำของเรามันสมกับสัจธรรมอย่างนั้นไหม ถ้ามันสมกับสัจธรรมอย่างนั้นน่ะเราเทียบไปสิ เราเทียบไปในสมัยพุทธกาล สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สอนเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางเอง ขวนขวายกันๆ นะ เวลาเราฟังธรรมของครูบาอาจารย์ที่เราไปทำข้อวัตร ท่านจะให้กำลังใจ ท่านจะให้คติ ถ้าท่านให้คติขึ้นมา เวลาเราฟังธรรมขึ้นมาเราก็สดชื่น

นี่วันสองวันไปใจมันด้านอีกแล้ว พอใจมันด้านขึ้นมามันไม่มีสิ่งใดชโลมหัวใจของเราเลย ถ้ามีสิ่งใดชโลมหัวใจของเรา เห็นไหม เราเป็นผู้ที่กำลังแสวงหา เรายังเป็นผู้ที่ศึกษา ถ้าศึกษานี่มันเปิดรับน่ะ เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์นะ ท่านบอกว่า หูไม่ใช่หูไม้ไผ่ ตาก็ไม่ใช่ตาไม้ไผ่ หูไม่ใช่หูกระทะ ตาเรา เห็นไหม ตาเรามีจิตมีวิญญาณ เรารับรู้ได้ ตาเราๆ ก็รับรู้ได้ หูของเรานี่เราฟัง เห็นไหม สิ่งกระทบนี่เรารับรู้ได้

ที่เรายังศึกษาอยู่ๆ เห็นไหม ถ้าศึกษาอยู่เราพยายามค้นคว้าของเรา ถ้าค้นคว้าของเราเพื่อใคร การกระทำของเราเพื่อเราทั้งนั้นนะ เพราะทิฏฐิมานะมันจะสูงจรดฟ้า ถ้าสูงจรดฟ้าขึ้นมา ถ้ามันมีสิ่งที่มันลงใจ ถ้าจิตใจมันลงใจนะ ลงใจสิ่งใดมันฟังแล้วมันเป็นธรรมมันชื่นใจ ถ้าชื่นใจแล้วนี่มันมีการกระทำไง

แต่ถ้าจิตใจมันด้าน ถ้าจิตใจมันด้านมันต่อต้าน ถ้ามันต่อต้านขึ้นมาแล้วมันไม่มีประโยชน์กับใครเลยน่ะ ไม่มีประโยชน์กับผู้แสดงด้วย และไม่มีประโยชน์กับผู้ที่ฟังด้วย มันไม่มีประโยชน์กับใครทั้งสิ้น แต่ถ้ามันตรงจริตตรงนิสัย มันเปิดหมดนะ ทั้งหู ทั้งตา ทั้งหัวใจนี่เปิดหมดเลย ถ้าเปิดหมดเลยขึ้นมา เรามีสิ่งใดในหัวใจของเรา ในหัวใจของเรามันมีสิ่งใดที่มันเป็นความสกปรกโสโครก เราแสวงหาอยู่ๆ ไง ขณะเราฟังธรรมๆ เห็นไหม ธรรมะของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าชุบมือเปิบๆ เลย เหมือนสำรับ ยกมาตั้งให้ต่อหน้าเลย เรายังกินกันไม่เป็น แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานี่ ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านค้นคว้าๆ

เวลาเราศึกษาประวัติหลวงปู่มั่นน่าเห็นใจมาก เวลาหลวงปู่เสาร์ท่านพาออกประพฤติปฏิบัติเอง เวลามันติดขัดขึ้นไปก็ไปหาครูบาอาจารย์ของตน พอครูบาอาจารย์ของตนบอกว่า “ท่านมีปัญญามาก ท่านต้องค้นคว้าเอง” นี่ฟังเข้าไปแล้วมันหงายท้องไหม

เราก็หวังพึ่งครูบาอาจารย์ใช่ไหม เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันมีสิ่งใดที่ขัดข้องหมองใจ เราก็หวังให้ครูบาอาจารย์ช่วยปลอบประโลมเรา แต่ครูบาอาจารย์ของเรา นี่ท่านมีปัญญามากท่านต้องค้นคว้าเอง ต้องค้นคว้าเอง การค้นคว้าเอง การแสวงหาเองๆ เห็นไหม ถ้าเรายังศึกษาอยู่เราแสวงหาอยู่ เราพยายามศึกษาของเรา พยายามปฏิบัติของเรานะ ให้จิตใจของเรามันเป็นจริงขึ้นมา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านแสวงหาของท่าน ท่านมีความทุกข์ความยากของท่าน แล้วท่านประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นมาจนท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน ท่านจะมีคุณธรรมในใจของท่าน ท่านใช้ชีวิตของท่านเป็นชีวิตที่เป็นแบบอย่าง ชีวิตแบบอย่างของท่าน ถ้าชีวิตแบบอย่างของท่านน่ะ เราศึกษาแล้วนี่มันเป็นคติในหัวใจของเราได้เลย ถ้าเป็นคติในหัวใจของเราได้เลยเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันจะทุกข์จะยากน่ะขี้เล็บ ไร้สาระ!

เพราะว่าท่านทุ่มเทมากกว่าเรากี่เท่า ท่านแสวงหามากี่เท่า แล้วไอ้ของเรานี่ มีสำรับอยู่ตรงหน้าด้วย มีสำรับอยู่ตรงหน้า เห็นไหม ดูสิ เราจะแสวงหา จะแสวงหาสินค้าสิ่งใดก็แล้วแต่ เห็นไหม เรามีแคตตาล็อก เราก็ค้นคว้าของเรา ปริยัติ ศึกษาของเรา แล้วเราแสวงหาสินค้าสิ่งนั้น เราไปเจอสินค้าสิ่งนั้นแล้วนี่ เราจะซื้อสินค้าชิ้นนั้นมาเพื่อประโยชน์กับเราหรือไม่

นี่ก็เหมือนกัน ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญานี่เราก็ศึกษามาเป็นแคตตาล็อกทั้งนั้น แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านมีสินค้าให้เลย ทำอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ ศีล สมาธิ ปัญญาปฏิบัติไปต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างอื่นไป ถ้าไม่อาจารย์ผิดก็ลูกศิษย์ผิด ต้องมีผิดอยู่คนหนึ่ง

ฉะนั้น ถ้าเวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านแสดงธรรมของท่าน เห็นไหม มีครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ นี่เราถึงภูมิใจๆ เราเกิดมาในกึ่งกลางพระพุทธศาสนา หลวงตาท่านเล่าให้ฟังประจำ เจ้าคุณจูมฯ ท่านเป็นอุปัชฌาย์ ท่านบวชพระเยอะแยะไปหมดเลย เป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้น ท่านจับมาคุยกัน จับมาสนทนาธรรมกัน นี่มันเป็นการตรวจสอบๆ น่ะ มันเป็นการตรวจสอบ เห็นไหม ธรรมะมันเป็นการตรวจสอบกันได้ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันตรวจสอบกันได้ทั้งนั้นนะ คนเป็นจริงๆ นะ เวลามันฟังธรรมแล้วมัน เออ เข้ากันได้ ถ้ามันเข้ากันไม่ได้อันนั้นต้องผิดคนหนึ่ง เห็นไหม นั้นเป็นเพราะอะไร นั้นเพราะว่าจิตใจท่านเป็นธรรมนะ เพราะจิตใจท่านเป็นธรรมท่านถึงเป็นอุปัชฌาย์ ท่านบวชลูกศิษย์ลูกหาของท่านเข้ามา แล้วท่านก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นด้วย ท่านเคารพอุปัชฌาย์หลวงปู่มั่น ถึงเวลาท่านก็ไปกราบไปบูชาหลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านกำลังศึกษาอยู่ นี่ผู้ที่ไม่เป็นๆ มันก็ต้องพยายามของเราไง ถ้ามันยังไม่เป็นขึ้นมา

ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาแล้วนะ มันเป็นจริงขึ้นมา คนเป็น คนที่มันเป็นนะ เป็นอย่างนี้มันทำสิ่งใดมันทำได้ง่ายดายทั้งนั้นถ้าคนเป็น ถ้าคนไม่เป็น เห็นไหม เรามันไม่เป็น ถ้าไม่เป็นเราก็พยายามแสวงหา มีการกระทำของเรา มันจะทุกข์มันจะยาก มันทุกข์ยากอยู่แล้วล่ะ เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา เราดูชาวไร่ชาวนาสิ ชีวิตเขาทั้งชีวิตนะ เวลาชาวนาเขานะ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เขาทำของเขา เขาทำเพื่ออะไร เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเขา

ไอ้เรานี่เราจะพ้นจากทุกข์ๆ มันต้องบากบั่นยิ่งกว่านั้น ความบากบั่นยิ่งกว่านั้น เราไม่ต้องไปทำไร่ไถนา เราจะไถหัวใจน่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา หาใจให้เจอแล้วถากแล้วไถมัน ปลูกพุทธะขึ้นมา ทำความจริงขึ้นมาในใจ ถ้ามันทำความจริงขึ้นมาในใจ เราทำของเราสิ ทางจงกรมก็มี นั่งสมาธิภาวนาก็มี สิ่งสภาวะแวดล้อม นี่เราเป็นนักปฏิบัติด้วยกัน เราไม่ได้ปฏิบัติด้วยกัน เวลาทำข้อวัตร การทำข้อวัตรมันเป็นการผ่อนคลาย เวลาคนประพฤติปฏิบัติทั้งวันๆ เห็นไหม มันจับจด มันกดดันตัวเอง พอกดดันตัวเอง ถึงเวลา เห็นไหม บ่ายโมงฉันน้ำร้อน ฉันน้ำร้อนเสร็จแล้วเรามีข้อวัตรเราก็ทำของเรา

เวลามันเหลือเฟือ ๒๔ ชั่วโมงนะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ ๒๔ ชั่วโมง ท่านจะให้เราปฏิบัติหมด เห็นไหม ทางของฆราวาสเป็นทางคับแคบ เขาต้องทำหน้าที่การงานของเขา เขาต้องทำอาชีพของเขา ทำหน้าที่การงานขึ้นมาเพื่อความมั่นคงในชีวิตของเขา ถึงเวลาแล้วเขาต้องมีเวลาปฏิบัติช่วงที่ว่าเขามีเวลาว่างของเขา ไอ้ของเรานี่เวลาเราบวชมาแล้วๆ ถ้าเป็นพระศึกษาเขาก็ศึกษาของเขา ถ้าศึกษาของเขา แต่เราเป็นพระปฏิบัติ ถ้าเป็นพระปฏิบัติ ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ถ้าเป็นธรรมนี่ท่านจะเปิดให้เรา ๒๔ ชั่วโมง การประพฤติ ๒๔ ชั่วโมง ใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่คนๆ นั้นอาจจะมีคุณธรรมขึ้นมา ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมามันตรวจสอบอาจารย์ได้

สำนักปฏิบัติปลอมๆ เวลาคุยน่ะ เรารักลูกศิษย์ๆ แต่มันไม่มีเวลาให้ลูกศิษย์ภาวนาก็แล้วกันน่ะ มีงานมีการอะไรวุ่นวายกันไปหมดน่ะ มีกิจนิมนต์ มีร้อยแปดพันเก้า แล้วเอาเวลาที่ไหนมาประพฤติปฏิบัติ นั่นเหรอสำนักปฏิบัติ สำนักปฏิบัติของเขานี่สำนักปฏิบัติมันคืออะไร ธุดงควัตร ๑๓ นี่แหละ พระธุดงค์คือธุดงควัตร ๑๓ นี่ไม่ต้องวัตรอย่างอื่น วัตร ข้อวัตรธุดงค์วัตรนี่ ถ้าธุดงควัตร เห็นไหม ฉันในอาสนะเป็นวัตร บิณฑบาตเป็นวัตร ทุกอย่างเป็นวัตร นี่พระกรรมฐาน เพราะมันไม่มีโรงครัว ไม่มีการมาส่งเสีย ไม่มีการมาสุงสิง ไม่มีการมาออดอ้อน นั่นสำนักปฏิบัติเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วครูบาอาจารย์ท่านยังกันเวลาให้ด้วย

แต่นี่ของเรา เห็นไหม อยู่ป่าอยู่เขา เราดูแลทั้งนั้นน่ะ เวลา ๒๔ ชั่วโมงเหลือเฟือ มีพระเคยมาอยู่กับเรา มาอยู่กับพระสงบนะทุกอย่างดีหมดเลย เสียอย่างเดียวนะ เวลาว่างมากเกินไป เวลา ๒๔ ชั่วโมงมันมากเกินไป โอ้โฮ เขาพูดด้วยความภูมิใจของเขานะ แต่เราฟังแล้วเศร้าใจมาก เศร้าใจมากว่าการมาปฏิบัตินี่ ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาท่านแสวงหาสิ่งนี้ ท่านแสวงหาเวลาของท่านที่จะได้บำรุงฟื้นฟูหัวใจของตน นี่ผู้ไม่เป็นเขาก็ต้องฝึกฝนของเขา แล้วผู้ที่ไม่เป็น เห็นไหม แต่เวลาครูบาอาจารย์เรานะ นี่ผู้เป็น เห็นไหม

ทำเหมือนเป็น ทำเหมือนเป็นไง แต่ทำเหมือนเป็นนะ เวลามันแสดงออกมาแล้วนี่ด้วยความไม่จริงไม่จังในหัวใจของตน ทำเหมือนเป็นๆ เวลาแสดงออกขึ้นมานี่มันแสดงออกมาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง มันไม่ได้เป็นความจริง เห็นไหม

แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านทำเหมือนไม่เป็น ครูบาอาจารย์ท่านทำเหมือนไม่เป็นนะ ท่านไม่เป็น ท่านทำเหมือนเซอะๆ ซะๆ นะ แต่ในใจท่านรู้น่ะ เวลาคนที่เขาเป็นของเขานะ เขาแสดงกิริยาจะเงอะๆ งะๆ เซอะๆ ซะๆ เขาพร้อมนะ สติเขามี ปัญญาเขามี เขารู้ทันนะ เขารู้ทันน่ะรู้ทันอะไร “อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า” พระอริยเจ้านิ่งอยู่นี่เพราะอะไร เวลามันกระเพื่อม นั่นนะเห็นไหม เวลามันกระเพื่อมนะมันเสวยอารมณ์ สติมันกระเพื่อมไปพร้อมๆ สติเป็นอัตโนมัติ สติเป็นร้อยแปดว่ากันไป ไอ้นั้นมันเป็นทฤษฎี เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ถ้าเขานิ่งอยู่เพราะอะไร เพราะมันพูดไปไม่มีประโยชน์น่ะ มันพูดไปมันโดนย่ำยีน่ะ ใครเอาธรรมะไปให้ปุถุชนย่ำยี ธรรมะในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทิ้งพระราชวังมาเป็นเรื่องของโลกธรรม ๘ เวลาไปค้นคว้าอยู่ ๖ ปีนะทุกข์ยากอยู่ขนาดนั้น เวลาธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เรากราบธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอยู่ พระถามว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร เรากราบธรรมๆ กราบสัจธรรมอันนั้น สัจธรรมอันนั้นอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่มีสัจธรรมอันนั้น ธรรมอันนั้นเหนือโลก ยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมนะ ท่านจะเอาธรรมอย่างนั้นมาให้ไอ้พวกนั้นย่ำยีเหรอ พูดออกไปให้มันย่ำยีใช่ไหม นี่ท่านไม่พูด ท่านรู้แล้วท่านก็เก็บไว้ในใจของท่าน แล้วทำเซอะๆ ซะๆ ทำเงอะๆ งะๆ

เวลาผู้เป็นเขาทำเหมือนไม่เป็น ไอ้เราไม่เป็นทำเหมือนเป็นไง ทำเหมือนว่าจะเป็นๆ มันแสดงออกไปมันไม่มีสิ่งใดเป็นจริงเป็นจังเลย ถ้าไม่มีสิ่งใดเป็นจริงเป็นจัง เพราะสิ่งที่ไม่เป็น ไม่เป็นเกิดความสงสัยไหม เรามีความสงสัยไหมถ้าว่าเราไม่เป็น ถ้าไม่เป็นพูดออกไปมันก็สงสัยทั้งนั้นน่ะ ถ้าสงสัยแล้วนี่ ๑ สงสัย พอสงสัยแล้วทำอะไรแล้วมันก็ไม่มีผล ถ้าไม่มีผลแล้วออกไปมันเป็นอย่างไร ทำเหมือนเป็นๆ มันเลยไม่เป็นไง

ผู้ที่มีคุณธรรมท่านทำเป็น ท่านทำเป็น แต่ท่านเห็นคุณค่าของมัน ท่านถึงไม่เอามันออกมาย่ำยีไง เวลาหลวงตาท่านไปไหนท่านบอกเลย “ในย่ามของท่านนะมีนิวเคลียร์นิวตรอน แต่เอาออกมาใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีประโยชน์” ๑. ไม่มีประโยชน์ ๒. ไม่จำเป็นต้องใช้ ๓. มันมีคุณค่า มันมีคุณค่าๆ เพราะอะไร เพราะเราแสวงหาสิ่งนี้มา สิ่งที่แสวงหามาใช้ชีวิตทุ่มเททั้งชีวิต พอทุ่มเททั้งชีวิตแล้วต้องเป็นสัมมาทิฏฐิด้วย ทุ่มเททั้งชีวิตต้องเป็นมหาสติ ต้องเป็นสัมมาสติ ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ต้องเป็นสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา ต้องเป็นสัมมาถูกต้องดีงาม พอถูกต้องดีงามแล้วประพฤติปฏิบัติไปล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน

จิตถ้าสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนานี่มันต้องใช้ปัญญาขนาดไหน ปัญญาที่พิจารณาไปแล้ว นี่เห็นไหม เวลามันรู้เท่าขึ้นไปนะ ความรู้เท่าของมัน เห็นไหม แล้วถ้ามันก็ปล่อยวางของมัน มันปล่อยวางที่ยังไม่สมดุลของมัน ถ้ายังไม่สมดุลของมัน เห็นไหม เวลามันเสื่อม เวลามันตีกลับมา มันตีกลับมามันจะรู้เลยว่าจิตใจของเราที่มันพิจารณาไปแล้วนี่ มันมีสิ่งใดที่ไปทิ่มแทงในใจของเรา

ท่านมีวุฒิภาวะ ท่านรู้ถึงความละเอียดรอบคอบของการประพฤติปฏิบัติ ท่านเห็นการกระทำ การได้สร้างสติ ได้สร้างปัญญา ได้มีการกระทำ เห็นไหม เขาว่าโครงสร้างๆ ก็มันของปลอมนะสิ ถ้าเป็นของจริงๆ ก็เป็นมรรคสิ ถ้าเป็นมรรค มรรคมันเกิดขึ้นมาอย่างไร มรรคที่มันเกิดขึ้นมาแล้วนี่ มันจับผลัดจับผลู ที่มันไม่เป็นจริงขึ้นมานี่ ที่มันปล่อยวางๆ ปล่อยวางแต่มันไม่จบน่ะ

ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาท่านจะเห็นการกระทำของมัน เห็นการกระทำของกิเลส เห็นการกระทำของความเป็นไป ฉะนั้นกว่าจะได้สิ่งนั้นมา ฉะนั้นเวลาการกระทำ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันเป็นความสมดุลของใจอันนั้นไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านสนทนาธรรมน่ะ โดยการกำกับของเจ้าคุณจูมฯ นี่ ท่านจะนัดให้พระไปเจอกันในงานในกิจกรรมต่างๆ ในกิจของสงฆ์ แล้วก็ให้พระไปสนทนาธรรม เพราะท่านก็แสวงหา ท่านก็ต้องการ

เวลาหลวงตาท่านชื่นชมๆ นั่นนะเป็นอุปัชฌาย์ของเรา เจ้าคุณจูมธรรมเจดีย์เป็นอุปัชฌาย์ของหลวงตาท่านก็ชื่นชม ท่านเคารพเพราะเป็นอุปัชฌาย์ของท่าน ก็เป็นพ่อของท่าน คำว่าพ่อของท่านไอ้นั้นมันเป็นพ่อในธรรมวินัยไง ในการบวชไง ในน้ำใจของท่าน ท่านคุ้มครอง ท่านดูแล ท่านพยายามรักษาด้วยน้ำใจของท่าน

แต่เวลาเป็นเรื่องของธรรม เรื่องของธรรมมันเป็นเรื่องอำนาจวาสนาบารมีเฉพาะใจ ใจดวงใดมีกำลังมีอำนาจวาสนามีการกระทำ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา ท่านถึงเคารพกันไง เวลาเคารพกันเขาเคารพกันด้วยคุณธรรม เคารพกันด้วยธรรมวินัย นี่ธรรมวินัย เห็นไหม ก็ยกย่องเป็นอุปัชฌาย์นี่เคารพกันด้วยธรรมวินัย แต่ถ้าเคารพด้วยคุณธรรม เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านเล่า ว่าเจ้าคุณจูมฯ นี่บอกว่า “เอ่อ เวลาไปไหนๆ มหาก็ต้องเดือดร้อนเพราะเรา คราวนี้มหาไปเถอะ ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะเราอีกแล้ว นี่ให้มหาตามสบายของมหาเลย”

เพราะตอนนั้นท่านก็ยังแสวงหาของท่าน ท่านยังขวนขวายของท่าน แต่เวลาท่านปฏิบัติจบแล้ว เวลามาแสดงธรรมๆ นี่สิ่งที่มันมีธรรมๆ ทำเหมือนไม่เป็น ทำเงอะๆ งะๆ เซอะๆ ซะๆ แต่มีจริง ทำเหมือนเป็นไง ทำเหมือนเป็นแต่มันไม่เป็น มันไม่เป็นกิริยาแสดงออกไป มันไม่เป็นทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันไม่เป็นขึ้นไป เห็นไหม เพราะคนแสดงมันก็เป็นการแสดงออกที่ไม่ถูกต้องดีงามอยู่แล้ว

เพราะตัวเองสงสัย คำว่าสงสัย ดูสิ เราทำสิ่งใดด้วยความสงสัย เหมือนคนที่ไม่มีวิชาการ ไม่มีวิชาชีพสิ่งนั้น แล้วไปทำสิ่งนั้นนะผิดหมดน่ะ เพราะเราไม่รู้ แต่ถ้าคนรู้ เห็นไหม มันเป็นขั้นเป็นตอนของมัน ตั้งแต่เบาไปหาหนัก ทางวิชาชีพของเรา เราทำของเราขึ้นไป เห็นไหม มันเป็นขั้นเป็นตอนของมัน ถ้าทำเป็นขั้นเป็นตอนของมันแล้ว ทำจบสิ้นกระบวนการของมันแล้วนี่ ผลงานของมันก็ต้องสัมฤทธิ์ผลของมัน นี่เพราะเขาเป็น เขาทำตามสเต็ปของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ทำเหมือนเป็นๆ แต่มันไม่เป็นน่ะ แต่ถ้ามันเป็นจริง เห็นไหม มันเป็นจริงมันต้องมีคุณธรรมในใจ มันเป็นจริงมันต้องมีสัจจะ ถ้ามีสัจจะมีความซื่อสัตย์ต่อธรรมอันนั้น มันถึงสุดยอด ถ้าเรายังศึกษาค้นคว้าอยู่นี่เรามีธรรมของเรา ทุกคนเป็นอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็มาอย่างนี้ ท่านก็เริ่มตั้งแต่เก็บเล็กผสมน้อย เริ่มเก็บเล็กผสมน้อยนะ

เวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเป็นพระอะไร ครูบาอาจารย์ท่านพูดบอกว่า หลวงปู่มั่นท่านไม่เคยแสดงตนว่าท่านเป็นพระอรหันต์เลย แต่เวลาหลวงตาอยู่กับท่านน่ะ ท่านบอกว่า หลวงปู่มั่นท่านเก็บเล็กผสมน้อย คำว่าเก็บเล็กผสมน้อยขึ้นไปนี่ เพราะอะไร เพราะชีวิตแบบอย่างไง เวลาชีวิตแบบอย่าง เห็นไหม เวลาแสดงธรรมๆ ให้คนอื่นฟัง แล้วเวลาคนอื่นเขามองน่ะว่าผู้แสดงธรรมนั้นเป็นหลักเป็นเกณฑ์หรือไม่ ถ้าเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ท่านถึงต้องพยายามของท่าน

ทั้งๆ ที่ว่าท่านเองท่านเป็นพระอรหันต์ คำว่าพระอรหันต์สติวินัย สติวินัยไม่มีอาบัติ อาบัติไม่มีหรอก อาบัติเป็นสมมุติ แต่สำหรับพวกเราผู้แสวงหานี่สำคัญนะ ไม่สมมุติหรอก จริงๆ กรรมมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเราทำผิดทำพลาด เห็นไหม ดูเจ้าหน้าที่ตำรวจๆ เป็นผู้ทำผิดเสียเองเขาต้องโดนวินัย ต้องโดนลงโทษตามกฎหมาย จะต้องออกจากวิชาชีพของตน

เราเป็นพระ เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลามันผิด เห็นไหม มันผิดธรรมวินัยมันเป็นอาบัติ เป็นอาบัติมันมีกรรมทั้งนั้นนะ บอกว่าไม่มีกรรมๆ มันอยู่ที่ครูบาอาจารย์ของเราไง ถ้าครูบาอาจารย์ของเรา ดูสิ หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอะไร แต่ท่านเก็บเล็กผสมน้อย ท่านเก็บเล็กผสมน้อยเพื่อประโยชน์กับไอ้พวกผู้ที่แสวงหา พวกเราพวกแสวงหานี่เราต้องหาที่ลงใจ หาที่เราเคารพ หาที่เราไว้ใจ ถ้ามันไว้ใจนี่

ท่านแสดงธรรมมานี่มันไม่เปิดหัวใจรับฟัง มันไม่เปิดหัวใจรับฟังมันก็ไม่เป็นประโยชน์ไง ท่านถึงเสียสละของท่าน ท่านไม่ได้ทำเพื่ออยากดัง อยากใหญ่ อยากอวด อยากอะไรทั้งสิ้น ท่านเป็นจริง ถ้าไอ้พวกไม่เป็นนั่นนะ มันอยากอวดอยากแสดงออกน่ะพวกไม่เป็น ไอ้พวกเป็นนะเขาทำเพื่อประโยชน์ เห็นไหม ฉะนั้นถ้าเป็นสติวินัยนั่นเป็นความจริง แต่ถ้าอย่างเรานี่ถ้าสมมุติแล้วนะ ไอ้นั้นมันเป็นกิริยา พอกิริยานี่มันไม่มีผลกับใจดวงนั้น

แต่ของเรานี่มี เราเป็นพระ เป็นผู้แสวงหา ถ้าเป็นผู้แสวงหา เห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เวลาชาวบ้านเขาน่ะ เห็นพระเห็นเจ้าบอกว่าท่านเป็นผู้ทรงศีลๆ ผู้บวชแล้วมีศีล ๒๒๗ ศีล ๒๒๗ นั้นคือกติกาบังคับห้ามทำ ห้ามก้าวล่วง ๒๒๗ แต่ในวินัย เห็นไหม ๒๑,๐๐๐ ข้อนี้ห้ามก้าวล่วง ก้าวล่วงเป็นกรรมทั้งนั้น ทำผิดเป็นกรรมทั้งนั้น ถ้าเป็นกรรมขึ้นมานะ การกระทำนั้น

ดูสิ เจ้าหน้าที่รัฐนะทำความผิด เขามีโทษ ๒ ชั้น ๓ ชั้น ไอ้เรานี่เราเป็นพระ เราเป็นผู้ประกาศตนให้ประชาชนเขาเคารพบูชา ถ้าเคารพบูชานะ ถ้าทำผิดศีลๆ มันก็มีเวรมีกรรมทั้งนั้น ถ้ามีเวรมีกรรมทั้งนั้น นี่ไง มันถึงบอกว่า ถ้าพูดถึงว่าผู้ที่แสดงว่าเป็นสติวินัย เขาพ้นของเขาไปแล้ว ถ้าเขาแสดงของเขา เขาทำของเขา ถ้าไม่เป็นจริง เขามีกรรม

ไอ้ของเราๆ จะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะเอาจริงของเรา ถ้าเอาจริงของเรา เราจะต้องเดินตาม เดินตามเห็นไหม ต้องเคารพ หลวงตาท่านพูด “ไม่เหยียบหัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม” เวลาเหยียบหัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ธรรมวินัยๆ เป็นศาสดาของเรา เวลาก้าวล่วงๆ การแสดงธรรม แสดงธรรมๆ ก็ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ด้วยความเคารพบูชาไม่มีในหัวใจ

แต่ของเรานี่ ถ้าเรามีความเคารพบูชาในหัวใจของเรา เราจะก้าวล่วงไม่ได้ เราต้องอยู่ในหลักในเกณฑ์ ในหลักในเกณฑ์แล้ว เห็นไหม ฉะนั้นเวลาที่ว่าเวลาประพฤติปฏิบัติ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เวลาศีล ๘ ศีล ๑๐ เห็นไหม เวลาเขาปฏิบัติขึ้นไปสมาธิเขาลงได้ยังไง เวลาเกิดปัญญาๆ อย่างไร เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านบอกว่าศีลไม่พอๆ ดูอย่างเราสิ เห็นไหม เราบวชมาเราเป็นพระเหมือนกัน คนบวชมาจากอุปัชฌาย์นี่เป็นสมมุติสงฆ์เหมือนกันหมดเลย แต่เวลาเราประกาศตนว่าเป็นพระป่าๆ พระปฏิบัติ

นี่ธุดงควัตร ธุดงควัตรเป็นศีลในศีลไง ศีลในศีล ธุดงค์นี้เป็นเครื่องขัดเกลา ขัดเกลากิเลสเพราะกิเลสมันอยากสะดวกอยากสบาย อยากพอใจของมันทั้งนั้น เราก็มีข้อบังคับๆ ว่าให้ทำได้เท่านี้ๆ เห็นไหม มีข้อบังคับของเรา มันขัดเกลาๆ แต่มันไม่ได้ฆ่ากิเลสไง แต่มันขัดเกลามันกีดขวาง มันไม่ให้กิเลสมันแสดงตัวได้เต็มที่ มันมีข้อบังคับมันไว้ๆ ฉะนั้นข้อบังคับมันไว้ เราจะประพฤติปฏิบัติเราก็ต้องมีสติปัญญาของเรา แล้วเวลานั่งสมาธิภาวนามันจะเข้ามาแล้ว

คนที่เขาว่าศีลเขาไม่พอๆ เขาทำประพฤติปฏิบัติแล้วนี่เขาไม่ได้ผลของเขา เพราะศีลเขาไม่เหมือนเรา เราศีล ๒๒๗ แถมเป็นพระปฏิบัติอีกต่างหาก พระปฏิบัติอีกต่างหาก เห็นไหม เวลาทำสมาธิมันไม่ลง เช็คกลับมาเลย ผิดอะไรบ้าง อะไรทำให้มันกีดขวาง มันตรวจสอบทั้งนั้นนะ เราตรวจสอบเราเองไง ถ้าเราตรวจสอบเราเอง เห็นไหม นี่ไง เวลาทางโลกเขาปฏิบัติกัน เขาห่วงหาอาทรว่าศีลเขาไม่เหมือนเรา พวกเราเป็นผู้ทรงศีล เขาเคารพบูชาเพราะว่าเราศีล ๒๒๗ ยิ่งเป็นพระปฏิบัติด้วย พระธุดงค์ด้วย นี่ไว้เนื้อเชื่อใจ

แล้วเราเป็นจริงไหม นี่ไง ถ้าเราเป็นจริงขึ้นมา เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วประพฤติปฏิบัติ เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม เราไม่ใช่เหยียบย่ำไปๆ นี่พูดถึงว่าถ้าพูดถึงสติวินัย จะบอกว่าการทำผิด การกระทำ กรรมดี เห็นไหม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำคุณงามความดีทั้งหมดจะเป็นคุณงามความดีขึ้นมา เป็นบาทเป็นฐานในการประพฤติปฏิบัติ ใครทำความชั่ว ความชั่วนะมันหมักหมมไว้ไง ไว้แต่พวกที่มี ๒ อารมณ์ เห็นไหม เวลานั้นก็ปิดบังไว้ ต่อหน้านี่ก็พฤติกรรมของเราอย่างหนึ่ง แต่เวลาพูดๆ ไปอีกอย่างหนึ่ง แน่ะ เพราะทำไม่เป็น เพราะมันไม่รู้

แต่ถ้าผู้ที่เขาเป็น เห็นไหม เขาเป็นเขาเก็บของเขาไว้ เขาเก็บของเขาไว้เพราะว่าธรรมเหนือโลก ธรรมเหนือโลก มันเหนือสัจจะ เหนือการคาดหมาย เหนือตรรกะทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเข้าถึงได้ จะเข้าถึงได้ต่อเมื่อผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วตามเป็นจริงเท่านั้น แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงอย่างนั้น เวลาประพฤติปฏิบัตินี่มันต้องมีฐานไง มันต้องมีบาทมีฐานรองรับขึ้นไป ถ้ามีบาทมีฐานรองรับขึ้นไป ตั้งแต่จริตนิสัย ตั้งแต่อำนาจวาสนา ตั้งแต่เวลาเราบวชแล้วนี่ เรามีเป้าหมายขนาดไหน ถ้ามีเป้าหมายแล้วนี่ เราจงใจของเรา เราตั้งใจของเรา เราทำให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาๆ

เวลาทางโลกเขานี่เขาบอกว่า มัชฌิมาปฏิปทา มันก็อยู่ที่ความคิดของคนว่าแค่ไหนมันมัชฌิมาปฏิปทาไง ผู้ที่มีความเข้มแข็งนะ มัชฌิมาของเขามันก็สมบูรณ์ของเขา ไอ้ผู้อ่อนแอไปเห็นอย่างนั้นก็ตกอกตกใจ เห็นไหม แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นไปนี่ เขามีบาทฐานของเขา เขามีการกระทำของเขา เขาได้ผ่านวิกฤตกิจกรรมอย่างนั้นมา เขาผ่านวิกฤตการณ์อย่างนั้นมา มันเรื่องไร้สาระ มันจะเข้มแข็งมันจะจริงจังขึ้นมาก็ต่อเมื่อเวลาเรามีสติ เรามีสมาธิ มีปัญญาของเราขึ้นมา แล้วถ้ามันมีสติ มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมานี่มันเป็นมรรค เป็นมรรคขึ้นมานี่มันจะขุดคุ้ยหากิเลส การขุดคุ้ยหากิเลสนะ

วิธีการขุดคุ้ยหากิเลสเพื่อเอาตัวกิเลสมาพิจารณา เพื่อเอาสัจธรรมขึ้นไปชำระล้างมัน เวลาเราขุดคุ้ย เราแสวงหานี่มันสะเทือน เพราะกิเลสมันอยู่กับเรา แต่ไม่มีใครเคยเห็นมัน แต่ถ้าเวลาเราขุดคุ้ยหากิเลสมันได้กิเลสแล้ว เห็นไหม มันฝึกหัดใช้ปัญญาไปๆ มันมีไง มันมีงานน่ะ มันมีงานมันมีเหตุมีผลของมัน แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นไปนะ เราไม่มีงานของเรา ไม่มีเหตุมีผลอะไรของเรา นึกเอา คาดเอา ฟังเอา ฟังเขาว่า ใครไม่เคยได้ยิน ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการมันอัดเทปไว้ทั้งนั้นน่ะ ใครๆ ก็ได้ยินมาทั้งนั้นน่ะ ใครๆ เขาก็จำได้ ใครๆ ก็พูดได้ พูดคำเดียวกันเหมือนกัน แต่ไม่เหมือน

นี่เพราะมันทำไม่เป็น ทำไม่ได้ ถ้ามันทำเป็นทำได้ขึ้นมา เห็นไหม เพราะว่า พระไตรปิฎกมันมีอยู่ในคอมพิวเตอร์นะ แล้วเรากดก็ได้ เราศึกษาอย่างไรก็ได้ เราทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เราศึกษาแล้วเรากดมาแล้วนี่สิ่งนี้มันเป็นภาคปริยัติ เป็นภาคการศึกษา มันไม่ปิดกั้นใครหรอก ประชาธิปไตยๆ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ มันเป็นสิทธิ์ มันเป็นสิทธิ์ของคน คนมีสิทธิ์ทุกคน แล้วมีสิทธิ์ค้นคว้า แล้วมีสิทธิ์ที่จะพิจารณา มีสิทธิ์นึกคิดทั้งนั้นนะ แต่มันเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ

ถ้ามันไม่เป็นจริงมันเพราะเหตุใด ถ้ามันเป็นเพราะเหตุใดแล้วเราก็ย้อนกลับมา เพราะอะไร เพราะเราจะทำเพื่อเรา เราจะทำเพื่อหัวใจดวงนี้ เพราะหัวใจดวงนี้มันทุกข์มันยากใช่ไหม ที่เรามาบวชกันนี่เพราะอะไร เป้าหมายของเขาบวชอะไร บวชมา ดูสิ โลกเขาบวชกันทั้งนั้นแหละ พระนี่เป็นแสนๆ ทั้งนั้นนะ แต่บวชมาแล้วนี่เอาจริงเอาจังขนาดไหน ดูสิ ในวงการปฏิบัติเรานี่ เวลามาปฏิบัติปฏิญาณตนว่าเป็นนักปฏิบัติทั้งนั้นเลย

แล้วมันเอาจริงเอาจังขนาดไหนน่ะ มันได้ผลมามากน้อยแค่ไหน ถ้ามันได้ผลมามากน้อยแค่ไหน นั่นนะมันเป็นเครื่องยืนยัน เป็นเครื่องยืนยันในการปฏิบัติไง เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโกกับใจดวงใดล่ะ ก็ใจดวงใดที่แสวงหาอยู่นั่นน่ะ ดวงที่ประพฤติปฏิบัตินั่นนะ แต่นี่หาใจของตนไม่เจอ ถ้าหาใจของตนไม่เจอก็ทำสมาธิไม่เป็น คนที่หาใจของตนเจอคือทำสมาธิได้ ถ้าทำสมาธิได้ เห็นไหม นั่นนะคือหัวใจ ถ้าได้สมาธิแล้วนี่พออยู่พอกิน

ถ้าพออยู่พอกิน เริ่มต้นจากจุดนี่ จิตเป็นสัมมาสมาธิแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าจิตมันไม่สงบมันไม่เป็นสมาธิขึ้นมานะ สิ่งที่นึกที่คิดเป็นตรรกะทั้งหมด ใครจะนึกไม่ได้ เดี๋ยวนี้เขาใช้เซ็นเซอร์ ใช้รับรู้ความร้อน มันรับรู้ได้ทั้งนั้นน่ะ ทางวิทยาศาสตร์เขายังคิดได้เลย เห็นไหม เวลาแสงน้อยลงมันรับรู้ของมัน มันเปิดของมัน แล้วนี้มันก็รับรู้ของมันโดยวิทยาศาสตร์ โดยพลังงาน แล้วมันมีชีวิตไหม มันสุขมันทุกข์ไหม ประกอบมันขึ้นมาเป็นชิ้นงาน ใช้สอยไปแล้วมันเสื่อมสภาพแล้วก็ทิ้งมันไป มันร้องไห้ไหม มันเสียใจด้วยหรือเปล่า ไม่มีเลย มีแต่เจ้าของผู้คิดมันนั่นแหละไปคร่ำครวญเอง มันไม่มีชีวิตไง แต่เจ้าของมันมีชีวิต

นี่ก็เหมือนกัน เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ ถ้าจิตไม่สงบขึ้นมานะ ใครเป็นเจ้าของมัน หัวใจดวงนี้ที่มันทุกข์มันยาก เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ตัวมันเป็นอย่างไง ถ้าจิตมันสงบแล้ว เห็นไหม มันรับรู้ตัวของตัวมันได้ยังไง ฝึกหัด ถ้าเราอยู่ระหว่างการศึกษาๆ เราต้องค้นคว้าของเรา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด วันคืนล่วงไปๆ

นี่พรรษาที่ผ่านมาก็ผ่านมาแล้ว อีกเดือนหน้าจะเข้าพรรษาอีกแล้ว แล้วเข้าพรรษาแล้วนี่ เดี๋ยวก็ออกพรรษาอีกแล้ว พรรษาก็มากขึ้นๆ พระบวชใหม่ก็ “หลวงปู่ หลวงปู่” มันจะมากราบมาไหว้ แล้วจะเอาอะไรไปสอนมัน จะเอาอะไรเป็นแบบอย่าง จะใช้ชีวิตแบบฉันใช่ไหม ชีวิตแบบฉันนี่ เห็นไหม เร่ร่อนๆ อยู่อย่างนี้ใช่ไหม ชีวิตที่เร่ร่อนกับชีวิตที่ออกวิเวกแตกต่างกัน ชีวิตที่เร่ร่อนก็เร่ร่อนกันไปตามกระแสสังคม ถ้าสังคมมันฟูขึ้นมามันก็เฉิดฉายกันขึ้นมา ถ้าสังคมเขาไม่ยอมรับก็เปลี่ยนแปลงไป

แต่ถ้าเป็นวิเวกเขาไปอยู่ในความสงบสงัด เพราะจิตมันสงบสงัด จิตมันยอมรับ จิตมันยอมรับสภาพแบบนั้น ความคิดเกิดจากจิต สังคมเกิดจากมนุษย์ มนุษย์ทุกข์ทั้งนั้น มนุษย์ที่แสวงหาเขามีแต่ความทุกข์ใจของเขา เขาจะหาคุณธรรมในใจของเขา เขาแสวงหาหัวใจของเขา ด้วยความรู้ความเข้าใจของเขา เขาก็แสวงหาได้เท่านั้น

เราเป็นนักรบ เราเป็นศากยบุตร เราเป็นนักปฏิบัติ ถ้าเราอยู่ในความสงบสงัดของเราได้ เห็นไหม นี่ของจริงไง ของจริงมันอยู่ตรงนี้ ของจริงมันอยู่ในที่สงบสงัด อยู่ในวิหารธรรม ในความสุขของมัน ถ้าเป็นความจริงอย่างนี้ นี่ความจริง ถ้าความจริงเห็นไหม ออกวิเวกๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นหัวใจที่มันมีสติมีปัญญา ที่รักษาหัวใจของตนได้ แต่ไปตามกระแสสังคมๆ อย่างนั้นนะ เห็นไหม ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด สุดท้ายแล้วก็ต้องตายไป ครูบาอาจารย์ท่านแสดงธรรมนะ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น นี่หลวงปู่มั่นท่านพูด

เวลาหลวงตาท่านแสดงธรรม เห็นไหม แม้แต่คนแสดงก็ต้องตายไป มันไม่มีใครค้ำฟ้าหรอก มันไม่มีใครอยู่ได้หรอก แต่เวลาท่านพูดของท่าน เห็นไหม ในปัจจุบันที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านบอกเลย มีอยู่ ๒ องค์ มีท่านกับหลวงปู่เจี๊ยะเอาหัวค้ำฟ้าไว้ๆ ทำไมมี ๒ องค์ล่ะ แล้วองค์อื่นๆ ล่ะ ท่านพูดประจำว่า “นี่มีอยู่ ๒ องค์ที่เอาหัวค้ำฟ้าไว้ มีเรากับท่านเจี๊ยะ” มีท่านกับหลวงปู่เจี๊ยะเอาหัวค้ำฟ้าไว้ นี่คำพูดของท่านมันมีเกร็ดไง มันมีเกร็ดมีการบอกสื่อ สื่อความหมายอะไรต่างๆ ไว้เยอะแยะเลย แต่ใครจะคิด ใครจะรู้ ใครจะเข้าใจ นั้นมันก็เป็นวุฒิภาวะ

ถ้าไม่เป็นมันก็ไม่รู้ ถ้าไม่เป็นฟังแล้วมันก็แล้วกันไป แต่ถ้าเป็นนะมันฟังแล้วมันสะเทือน มันสะเทือนใจไง สะเทือนใจ มันพูดถึงความรู้สึก มันพูดถึงความรู้สึกของท่าน ความรู้สึกของโลก ความรู้สึกของคุณธรรม สิ่งที่ศึกษามาสิ่งที่ค้นคว้ามาน่ะมันมีสิ่งใด เห็นไหม เอาหัวค้ำฟ้าไว้ก็เป็นหลักไง เป็นหลักอยู่ในวงกรรมฐานไง

วงกรรมฐานที่มีหลักมีเกณฑ์ มีหลักมีเกณฑ์นะ เหมือนผู้ชำนาญการทางหมอทางการ แพทย์ เห็นไหม เวลาหมอบ้านนอก เวลาเขามีคนไข้ เขาส่งต่อๆ นั่นนะเพราะว่าอะไร เพราะว่า หนึ่ง หนึ่งเขาไม่ถึงมั้ง จบ เอวัง