เทศน์บนศาลา

มนุษย์วุฒิภาวะ

๒๗ มี.ค. ๒๕๔๑

 

มนุษย์วุฒิภาวะ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เกิดมาเป็นมนุษย์นี้แสนประเสริฐ มนุษย์ที่ประเสริฐ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราเกิดมา เกิดมาเป็นคนก่อน เกิดมาเป็นคน เป็นมนุษย์ แต่กว่าจะเกิดได้ เห็นไหม อริยทรัพย์ มนุษย์สมบัติเป็นอริยทรัพย์ ถ้าเกิดมาไม่พบพระพุทธศาสนาก็ต่างคนต่างเกิดมาแล้วก็ตายไป ใช้ชีวิตทางโลก เกิดมาแล้วก็ตายไป ได้สร้างคุณงามความดีของตัวไว้ขนาดไหนมันก็เป็นสมบัติที่จะต้องเกิดตายเกิดตายๆ ต่อไป

ไม่มีงานชนิดใดที่ทำแล้วเสร็จสิ้น งานสร้างสม งานสะสม งานภพงานชาติ งานเกิด งานตาย งานต่อๆ ไป จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน เป็นมหาราชขนาดไหนก็ต้องตายไป ทิ้งไว้แต่รอยไง ร่องรอยที่แค่ให้ประวัติศาสตร์จารึกไว้เท่านั้นเอง แล้วเราก็ชื่นชมกัน อันนั้นเป็นโลก เห็นไหม

พระพุทธศาสนาไง พระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชแสวงหาโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงวางหลักศาสนาไว้ ถึงได้เริ่มรู้จักว่าคนนี้เกิดมาจากอะไร

เราเกิดมาชาตินี้ก็ว่ามีเฉพาะชาตินี้ ตายแล้วก็ตายเปล่า ตายแล้วตายสูญ...แต่ตายไปแล้วมันไม่สูญ ถ้าสูญ เอาอะไรมาเกิด สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ จิตปฏิสนธินี่ตัวสำคัญ ตัวจิตปฏิสนธิพอเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ลืมไง คนเราเคยเป็นโรคเคยเจ็บ เวลาหายเจ็บแล้วมันลืมหมด แต่เวลาเจ็บปวดอยู่นี่มันจะคิดว่าเมื่อไหร่มันจะหายสักที เมื่อไหร่โรคร้ายจากร่างกายเราจะหายไป มันจะสิ้นสุดสักที เห็นไหม เวลาอยู่ในความทุกข์ มันก็รู้จักระวังตัว เวลาไข้มันหายแล้วมันก็ลืมตัว

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเกิดขึ้นมา เวลาเป็นเด็กเป็นน้อยมันก็อยากจะหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับมัน พอมันเป็นวัยรุ่นมันโตขึ้นมามันก็ลืมตัว เวลาใกล้จะตายขึ้นมา ก็โอ้โฮ! คอตกจะตายอีกแล้ว แล้วก็ตายไป แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า คนเกิดนี้เกิดมาจากกรรมดีด้วย ไม่ได้เกิดมาจากกรรมชั่ว เกิดมาจากกรรมชั่ว มันจะเกิดมา เกิดมาทุกข์ๆ ยากๆ แต่เกิดยิ่งกว่ากรรมชั่ว มันไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ด้วย

อบายภูมิ ๔ ที่อยู่ของจิตที่ทำความไม่ดีไว้ สัตว์เดรัจฉาน ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานลงไป ถึงจะเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ในสัตว์เดรัจฉานนั้นก็ยังมีบุญกุศล ทำกรรมไม่ดีแล้วทำไมเกิดมามีบุญกุศลล่ะ? กรรมทำไม่ดีของเขานั่นน่ะ แต่บุญกุศลก็หมายถึงว่ามันไม่เสมอกันในหมู่สัตว์นั้น กรรมจำแนกให้สัตว์เกิดต่างกัน เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานเหมือนกันก็ต่างกัน เกิดมาเป็นคนก็ต่างกัน กรรมจำแนกสัตว์ต่างๆ

กมฺมพนฺธุ กรรมที่เป็นเผ่าพันธุ์ กมฺมโยนิ กมฺมปฏิสรโณ เห็นไหม การเกิดมา เกิดมีกรรมพามาเกิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ถึงประเสริฐไง ประเสริฐที่ว่าเกิดมาแล้วพบพุทธศาสนาด้วย เพราะมนุษย์มีปัญญา เราได้ศักยภาพของมนุษย์มา เราได้ภพของมนุษย์มา แต่หัวใจมันเป็นมนุษย์ไหม

หัวใจนี่เราได้เป็นมนุษย์มา แต่เราไม่ได้เป็นมนุษย์อย่างที่เราเกิดมาเป็นภพของมนุษย์ไง พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสออกไป แยกออกไป จำแนกออกไปอีก เห็นไหม มนุสสเปโต มนุษย์เปรต มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์เดรัจฉาน มนุสสเทโว เป็นมนุษย์เทวดา มนุสโสสิ มนุษย์ สภาพของมนุษย์ มนุษย์เปรต กายเป็นมนุษย์ นี่กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างกัน ทำแต่สิ่งที่เป็นอย่างนั้น เปรตทำอย่างไร สิ่งที่คิดมีแต่ทางใฝ่ต่ำ มนุสสเทโว เป็นเทวดา มนุษย์ที่เป็นเทวดา ตั้งใจทำคุณงามความดีตลอด ตั้งใจทำคุณงามความดี อย่างเทวดาเขามีอะไรกัน มนุสสเทโว คือว่าตัวเองหัวใจประเสริฐไง หัวใจประเสริฐมันก็อยู่ในความสุข ในความสุขที่ว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ในความทุกข์ของการเป็นศักยภาพของมนุษย์

มนุสสติรัจฉาโน ไม่ต้องว่าเลยล่ะ เป็นอย่างนั้นหมด เป็นแบบเดรัจฉานเลย ทำแต่กรรมชั่ว ทำลายแต่คนอื่น ทำแต่ความรังแกเขาทั่วบ้านทั่วเมือง มนุสโสสิ มนุษย์ที่เป็นมนุษย์ ศักยภาพของมนุษย์ไง พบพระพุทธศาสนา แล้วทำไปจะให้สภาพของมนุษย์นี้เป็นประโยชน์ในปัจจุบันนี้ไง ในปัจจุบันที่เป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา

เป็นมนุษย์ เราเป็นมนุษย์ เราถึงเข้าพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้มีทาน มีศีล มีภาวนา มีทานนี่การเจือจาน เพราะอะไร เพราะมันจะทำให้เราพ้นออกไป พ้นออกไปหมายถึงว่าพ้นออกไปจากกงขังของกิเลสไง กงขังของวัฏฏะที่เกิดตาย เกิดตาย ที่เราไม่รู้เรื่องเลย ที่ว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็ภูมิอกภูมิใจไง แล้วเวลาเราตายไป เพราะเราก็รู้ว่าเราตายไป แต่ก็สงสัยว่าตายสูญหรือตายมี ตายไม่สูญ ตายไปพร้อมกับกรรม ถ้าคนทำความดีไว้มาก แล้วตายไปไม่ได้ทำสิ่งที่เป็นกรรมดีเจือจานไปไป ไม่เสียเปล่าหรือ

แล้วที่ว่า มนุสสติรัจฉาโน ทำแต่ทำลายคนอื่น แล้วมันจะตายไปโดยที่ไม่มีสิ่งที่ว่าเป็นความเบียดเบียนเขาไว้ ทำลายเขาไว้ มันจะไม่ได้รับผลสิ่งที่มันทำหรือ? ต้องได้ทำไป เห็นไหม ถึงว่าไม่ได้ตายสูญ ตายไปพร้อมกับกรรมที่เป็นเผ่าพันธุ์

มนุษย์เป็นมนุสโสสินี้มันรู้สึกตัว ไม่ลืมตัวลืมตนไง ไม่ลืมว่าเราเกิดมานี่ได้มนุษย์สมบัติแล้วจะต้องทำศักยภาพในชาติปัจจุบันนี้ให้ออกไป ให้มีเครื่องดำเนิน ให้มีที่พึ่งพาอาศัย ให้เป็นผู้ที่เกิดเป็นชาวพุทธแล้วเชื่อธรรมะของพระพุทธเจ้า มีสิ่งที่ประเสริฐ มีแก้วสารพัดนึก มีรัตนตรัยที่จะทำให้เรานี้แปรสภาพเลย

เรามีแก้วสารพัดนึกอยู่แล้ว แต่เรานึกไม่ออก เรานึกไม่ได้ เห็นไหม ตำราสอนไว้ เราถึงว่าเรามาถือศีล เรามาถือเพศของนักบวช เรามาบวชเป็นพระ เราได้สภาพของพระมา เราได้สภาพของผู้ปฏิบัติมา นั่นก็เป็น เกิดจิตที่ว่าปฏิสนธิเกิดมาเป็นมนุษย์ก็อยู่ในสภาพของมนุษย์ มนุษย์แล้วได้ออกจากเนกขัมมะบารมีอีก ออกจากโลก พรหมจรรย์ไง ชีวิตทางโลกมีศีล ๕ ศีล ๕ นี่ อยู่แบบศีล ๕ เพราะกิเลสนี่มันน้ำล้นฝั่ง

ความคิดของเราไม่มีที่สิ้นสุด ถึงว่ามนุษย์เป็นมนุสสติรัจฉาโน มนุสสเปโต มนุสโสสิ มนุษย์เทวดานี่ มันเป็นที่หัวใจ มันเป็นที่ความคิดอันนั้น เป็นที่สันดาน เป็นที่สิ่งที่ออกมาทำให้บังคับบัญชา เป็นจุดเริ่มต้นของการดำริ มนุษย์เป็นมนุษย์อะไร ฉะนั้น มันถึงว่ากิเลสนี่เป็นน้ำล้นฝัง ความเป็นน้ำล้นฝั่งนี่เราไม่ไว้ใจสิ่งนั้น

เราเป็นชาวพุทธ เราพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาถึงสอนไง สอนให้มีทาน มีการไม่เห็นแก่ตัว การให้ไม่มีการเห็นแก่ตัว ไม่มีการกว้านออกมา โลกทั้งโลกนี้ต้องเป็นของเรา ในจักรวาลนี้ต้องเป็นของเรา เราจะยึดครองให้หมด นี่ความยึดมั่นถือมั่นของกิเลส มันร้ายมาก ถึงทำไม่ได้มันก็คิด พอความคิดอันนี้อยู่ในหัวใจ ความคิดเห็นแก่ตัวออกมา พระพุทธเจ้าถึงสอนให้มีการสละออกด้วยการให้ทาน เห็นไหม ให้ทานออกมา

ดูอย่างสัตว์ มันไม่เคยให้กัน มันมีแต่แย่งกัน ฉีกเนื้อกินกันเลย เวลาสัตว์มันไม่มีการให้ทาน แต่เราถ้าจิตมันก็คิดจะให้อยู่ แต่ความตระหนี่ในหัวใจ ถึงต้องมีทานเพราะเราเชื่อพุทธศาสนา มีทาน มีศีล ครอบคลุมเข้ามา ในความเป็นอยู่ของโลก โลกนี้เป็นของคู่ โลกนี้ต้องมีการสืบต่อ โลกนี้ไม่มีการบุบสลายไง เห็นไหม มันยุบทีหนึ่ง มันก็ไปเจริญที่หนึ่ง ความเป็นอยู่ของโลกไง ความเป็นไปของโลก เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่ว่าการสืบต่อ

ฉะนั้น ถึงว่าผู้ที่ครองโลกอยู่ถึงไม่มีศีล ๕ มีศีล ๕ นี่เป็นของอยู่ทางโลก แต่เราจะให้สูงขึ้นไป มนุสโสสิที่ไม่ลืมตัวลืมตน ที่ไม่ลืมตัวลืมตนถึงได้เพิ่มขึ้นไป ที่ว่ามีศีลของมนุษย์ ที่ทางโลกเขามีกันแค่ศีล ๕ เราก็มีศีล ๘ เนกขัมมะ เรามีศีล ๑๐ เรามีศีล ๒๒๗ เรามีศีล ๒๔,๐๐๐ เราถึงจะมีศีล อธิศีล อธิจิตเลย อธิศีล อธิจิต จิตนั้นที่ออกให้ยกขึ้นประเสริฐ

เราอยากประพฤติปฏิบัติ เราอยากให้จิตนี้มีความสงบ เราอยากจะมีความเป็นไป เราก็ต้องศึกษา เห็นไหม พระบวช อุปัชฌาย์สอน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่เวลาพระบวช งานที่เป็นสิ่งที่ประเสริฐ งานที่ค้นคว้าออกมาที่จะเป็นงาน แต่โลกเจริญ ตอนนี้โลกเจริญในการหาข้อมูล เราศึกษา เราเรียนมาขนาดไหน เราศึกษามา ศึกษามา เราออกมาจากการประพฤติปฏิบัติ เราจะเริ่มประพฤติปฏิบัติเราก็ต้องใคร่ครวญก่อน เราศึกษาก่อน การศึกษานั้นเป็นปริยัติ การศึกษาในตำราต่างๆ ในคำที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ทั้งหมดเป็นปริยัติทั้งหมดเลย

ความเป็นปริยัติ เราก็คิดคำนวณไปตามปริยัตินั้น แล้วเราปฏิบัติ เราก็ว่าต้องปฏิบัติต่อ เพราะในตำราที่ปฏิบัตินั้นสอนไว้ ในปริยัตินั้นจะสอนไว้อยู่แล้ว ในปริยัติบอกไว้เลยว่าต้องมีปริยัติ ต้องมีปฏิบัติ แล้วก็ต้องมีปฏิเวธ เห็นไหม เพราะว่าในการศึกษา ในตำราที่ศึกษาก็บอกไว้โต้งๆ ฉะนั้นเวลามาประพฤติปฏิบัติ เพราะเราเรียนปริยัติมาแล้ว คำสอนพระพุทธเจ้าสอนไว้ จินตนาการทั้งหมด เราก็จำมาหมดแล้ว แล้วเรามาใคร่ครวญที่จะเป็นสมาธิ เราพยายามบังคับให้ความเป็นไป กำหนดจิตที่ว่าเป็นตัณหาเป็นกิเลสที่มันล้นฝั่งนี่ให้มันเข้ามา

สิ่งใดมีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องมีการบุบสลาย สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา เห็นไหม ความเป็นอนิจจังมันต้องมีอยู่ พอเรามานั่งสมาธิ เราเริ่มปฏิบัติกันนี่ เราเริ่มปฏิบัติ ในเมื่อมันปริยัติอยู่ มันมีจิตเดิมแท้ที่หมองไปด้วยกิเลสอยู่นี้เป็นต้นทุนอยู่ การคำนึงคำนวณมันจะคำนึงคำนวณไป ความคำนึงคำนวณ เห็นไหม ความหมายไปด้วยความคิดดั้งเดิมของเรา จิตมันก็จะเป็นไปตามความคิดคำนวณของตัว

ความคิด ความจินตนาการของตัวที่มันเป็นไปน่ะ มันเป็นไป มันจะรวมลงตามความคิดตามความเป็นไป ถึงจะเป็นความสมาธิก็จริง ถึงจะเป็นวิปัสสนาก็เถอะ ความคิดอันนี้มันหมุนออกเข้าไปนี่มันหมุนเข้าไป แล้วมันก็จะปล่อย หลอกตัวเองให้ปล่อยวางตามที่ว่า เพราะเราศึกษาปริยัติมาแล้วว่าต้องวิปัสสนาแล้วจะปล่อยวาง หรือกำหนดสมาธิควบคุมเข้าไปแล้วมันจะรวมลงเป็นสมาธิ เราถึงพยายามจะกำหนดพุทโธๆ เพื่อจะให้จางลงๆ ให้จิตนี้สงบตัวลง

มันเป็นการจินตนาการ เป็นการที่ว่าเราคำนึงคำนวณทั้งหมดเลย การคำนึงคำนวณนี่เป็นผลไหม? เป็น เพราะเรารู้สึกของเราเองใช่ไหม เราปฏิบัติอยู่นี่มันเป็นความรู้สึกของเราทั้งหมด แล้วเราดั้นด้นหรือตามปริยัติไปทั้งหมด มันเป็นไหม มันเป็นความรู้สึกของเราหรือเปล่า? เป็น

เหมือนกับบริษัทนะ เหมือนกับห้างร้านใหญ่ๆ นี่ เวลาเขาทำกิจการของเขาขึ้นไป การค้าการขายหรือการทำธุรกิจ ถ้าได้ผลเป็นกำไรมา อันนั้นเป็นตามความเป็นจริง แต่ในปัจจุบันนี้ ในขณะนี้ เวลาค่าเงินลอยตัวออกไป ค่าเงินลอยตัวออกไป ขาดทุนทางบัญชีไง พอขาดทุนทางบัญชีอย่างมหาศาลเลย ขาดทุนทางบัญชีนี่ขาดทุนตรงไหน? ก็ขาดทุนเพราะว่าค่าแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ แต่มันยังไม่ได้การขาดทุนจริงเพราะยังไม่ได้มีการซื้อขายเกิดขึ้น การคิดการคำนึงการคำนวณก็เหมือนกัน มันขาดทุนกำไรทางบัญชี มันขาดทุนกำไรไง คือว่ามันขาดทุนหรือมันกำไร มันเป็นจินตนาการ มันยังไม่ถึงใช่ไหม จะว่าไม่มีเลย? มี แต่มันมีทางบัญชีไง มันไม่ใช่เนื้อหาสาระที่ว่าเรามีซื้อขายกันในครั้งคราวนั้นขึ้นมาถึงจะเป็นผลกำไรหรือเป็นผลบวกขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน สมาธิหรือปัญญาในการใคร่ครวญมันใคร่ครวญออกไป มันไม่เป็นตามความเป็นจริง ถ้ามันเป็นตามความเป็นจริงนี้มันเป็นปัจจัตตัง จิตนี้ต้องเป็นขณะจิตที่เป็นปัจจัตตัง จิตจะเป็นสมาธิ จะเป็นสมาธิเกินไป ไม่ใช่ว่าคาดหมายว่าเป็นสมาธิ ปล่อยวางอย่างนั้นๆ มีวิตก มีวิจาร มีปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ ผมเป็นหรือยังครับ...นี่มันถามตัวเองขึ้นมานะ ตัวเองถามตัวเองขึ้นมาว่าต้องเป็นอย่างนั้น เพราะปริยัติว่าไว้อย่างนั้น

มีปีติ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ แต่ความจริง ๕ อันนี้ มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ มันเป็นอาการรวมในอารมณ์นั้น แล้วเรามาแบ่งแยกออกมาเวลาเราออกมาพูดเป็นวิชาการ วิชาการเราอธิบายออกไปได้ แต่เราจะย้อนกลับเข้ามาในความรู้สึกเดิมของตัว ย้อนกลับมาในความรู้สึกเดิมของตัว ความรู้สึกที่มันเป็นไปในหัวใจนั่นน่ะ นี่การขาดทุนหรือการกำไรทางบัญชีมันเป็นผลเพราะเราปฏิบัติ แล้วมันไม่ได้ผลจริงไง

ถ้ามันเป็นผลจริง มนุสโสสิ มนุษย์ที่ยกระดับตัวเองขึ้น มนุษย์ที่เป็นมนุษย์ ใจที่มันไม่เป็นตามความเป็นจริง มันเป็นไปตามทางขาดทุนทางบัญชี มันได้ผลทางบัญชีเท่านั้นเอง เราตื่นเต้นไปทางบัญชีนั้น แต่มันไม่ได้เป็นเงินแท้ๆ ขึ้นมา มันไม่ได้เป็นผลจริง ถ้าเราไปตามที่ว่าเป็นปริยัติ แล้วเป็นปฏิบัติ แล้วเป็นปฏิเวธ ต้องให้เป็นตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงของจิตที่มันเป็นไป แล้วต้องกำหนดใจ ถึงว่าเป็นมัชฌิมาปฏิปทาไง

มัชฌิมาปฏิปทา ที่จิตนั้นเป็นตามความเป็นจริงในขณะนั้น แต่ไม่ให้คาดออกไปข้างหน้า ต้องคราดต้องไถลงไปที่หัวใจ ถึงไม่ไปตื่นออกไปข้างนอกไง เป็นมนุสสเทโว เป็นมนุษย์เทวดา ตัวเองก็เลินเล่อ ว่าฉันนี้ประเสริฐแล้ว ฉันทำความดีพอแล้ว ฉันทำความดีอย่างนั้น มันก็ไปตามนั้น ถึงว่าไม่มัชฌิมาอีกล่ะ มนุสโสสินี่สิ ต้องให้เป็นปัจจุบันนี้ ให้กลับมาที่ว่าทำจิตให้สงบให้เข้าไปหาตัวเราเอง บุญกุศลเป็นบุญกุศล อันนั้นเป็นอดีตอนาคต เห็นไหม เป็นอดีตกับเป็นอนาคต

แต่ถ้าปัจจุบันอยู่เดี๋ยวนี้ กิเลสเกิดขึ้นที่ใจเดี๋ยวนี้ หัวใจไม่สงบ หัวใจยังฟุ้งซ่านอยู่ เพราะว่าจิตไม่สงบอยู่เดี๋ยวนี้ ถ้ามันจะสงบ มันจะสงบเดี๋ยวนี้ เห็นไหม เป็นปัจจุบัน เป็นปัจจัตตัง เป็นมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาในท่ามกลางหัวใจ มัชฌิมาในทางปฏิบัติ แต่เราเป็นมัชฌิมาจากภายนอกไง การประพฤติปฏิบัติจะเข้มไปๆ...ไม่เข้ม การประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าพอดีทั้งหมด

ธุดงควัตร ๑๓ ยังต้องเอามาขนาบไว้ด้วย ธุดงควัตร ๑๓ ไม่บังคับให้ทำ แต่เปิดช่องไว้สำหรับว่า ถ้ามัชฌิมาปฏิปทาเราก็ว่ามัชฌิมาปฏิปทากันตรงนั้นไง แม้แต่ว่าตามธรรมวินัยก็เป็นมัชฌิมาปฏิปทาอยู่แล้ว ตามข้อบังคับ ทีนี้ตามข้อบังคับ กิเลสที่มันแก่กล้า กิเลสที่มันศึกษาปริยัติมานี่มันจะหาทางออก หาทางออกว่าปฏิบัติอย่างนี้ ตามคำสอนอย่างนี้ จะได้ผลอย่างนี้ๆๆ ขาดทุนกำไรทางบัญชีทั้งนั้นเลย ถ้าเราปฏิบัติตามคำสอน ปฏิบัติอย่างนั้นต้องปฏิบัติให้เข้าหลักเข้าเกณฑ์ ก็ยังไม่ลงสมาธิ ยังไม่เป็นขึ้นมา สมาธิยังไม่เป็นขึ้นมา หรือวิปัสสนาไม่เป็นผลขึ้นมา ถึงต้องมีธุดงควัตรซ้ำเข้าไปไง เป็นวินัยในวินัยเพื่อให้เราออกจากการที่ว่ากิเลสตามน้ำในการปฏิบัติเรามาไง เราจะไม่หลงดีใจกับตัวเลขทางบัญชีว่าขาดทุนหรือกำไร เราจะดูความเป็นไปท่ามกลางหัวใจว่าเป็นจริงตามนั้นไหม ละขาดได้ตามความเป็นจริงอันนั้นหรือเปล่า

การวิปัสสนา เห็นไหม จิตสงบ ถ้ามีวาสนาจะพิจารณากาย ถ้าไม่มีวาสนา จิตสงบแล้วมีความสุขมาก ปล่อยให้สงบ ฟังนะ ถ้าจิตสงบ ปล่อยให้สงบลงไป ไม่ถอนขึ้นมา ไม่ดึงขึ้นมา เวลาจิตมันจะสงบลงไปนี่มีความตื่นเต้น มีความตกใจ มันจะดึงจิตนั้นขึ้นมา ปล่อยไปตามความเป็นจริง ให้ได้พักเต็มที่เลย พอพักเต็มที่ ถอนออกมาจะเห็นภาพ จะเห็นกาย จะเป็นกายใดก็แล้วแต่เราก็วิปัสสนา คือว่าพิจารณาให้มันเป็นของที่ไม่เที่ยง เพราะความเป็นจริงมันไม่เที่ยงอยู่แล้ว ความเป็นจริงนี้ร่างกายต้องแปรสภาพ ต้องบุบสลายไปเป็นธรรมดา แต่กิเลสมันยึดเกาะไว้ว่าต้องเป็นของเรา เห็นไหม

มนุสโสสิ มนุษย์เป็นมนุษย์ กายเป็นเราเพราะเราได้กายเราถือว่าเป็นเราไง ความเป็นเรานี่ไม่ต้องมีใครบอก มันอยู่จิตใต้สำนึก มันเกาะจิตโดยความเป็นจริงอยู่แล้ว ถึงจะบอกว่ากายนี้ไม่ใช่เรา วิปัสสนาครั้งแรกหรือครั้งใหม่ๆ มันก็วิปัสสนาไป เพราะว่าเห็นว่าเป็นพระพุทธเจ้าบอก มันเป็นผลของผู้อื่น มันเป็นผลทางบัญชีว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้นไง แต่มันยังไม่เป็นผลจริงกับหัวใจดวงที่วิปัสสนาตามความเป็นจริง พูดถึงว่าต้องปล่อยให้พัก จิตที่จะสงบลงไปนี้มันจะได้ฐาน จะได้กำลังมา คนที่มีกำลัง คนที่เป็นผู้ใหญ่ทำงาน งานนั้นจะเต็มไม้เต็มมือ คนที่เป็นเด็ก หยิบฉวยอาจจะหลุดมือไปทั้งนั้น เพราะเด็กสติสัมปชัญญะไม่ดีเหมือนผู้ใหญ่ จิตนี้สงบ จิตนี้พักลงไป มันจะเป็นวุฒิภาวะของใจให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาไง

วุฒิภาวะนี้มีฐานยืน เป็นความมั่นคง นั้นถึงจะพิจารณาตามความเป็นจริงจะรู้เท่าได้ แต่ถ้าวิปัสสนาแบบเด็กๆ มันเป็นความรู้เป็นไม่ได้ เพราะมันทำจับจด ความทำจับจด มันก็รวมลงตามความจับจด ตามที่กิเลสล้นฝั่งมันหลอกไว้ข้างหน้า มันถึงเป็นผลกำไรหรือขาดทุนทางบัญชีเท่านั้น แล้วเราก็คาดหมายเพราะกิเลสมันเป็นเรา มันต้องเห็นแก่ตัว มันต้องเข้าข้างตัวเอง มันถึงว่าเป็นแบบนั้นไง มันถึงไม่เป็นสมาธิจริง

สมาธิจริงตามเนื้อหาสาระของมนุสโสสิ จนรวมลง ไม่มีการพลั้งเผลอ จะมีความสุขที่แปลกประหลาดจากโลก แปลกประหลาดจากความเป็นไปที่เราเคยพบเห็นมาทั้งนั้น ความพบเห็นสิ่งใดๆ ในโลกนี้ที่เราเคยสัมผัสเคยแตะต้องมา จะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้เด็ดขาด ถ้ามีแบบนี้ธรรมไม่เหนือโลก ธรรมเหนือโลกเพราะธรรมมีความสุขเหนือโลก ธรรมมีเหตุผลเหนือโลก ถึงจะทิ้งสละโลกนี้ไว้ได้ตามความเป็นจริง

ฉะนั้น ถึงว่า ถ้าจิตสงบ จิตมันจะรวมลงเป็นสมาธิตามความเป็นจริง ที่ไม่ใช่ว่าเป็นทางบัญชี มันจะสัมผัสนิ่งลงไปๆ สติจะพร้อมมาก ถ้าออกจากสมาธิมามันจะประหลาดไง ประหลาดว่าทำไมมันรู้ขนาดนั้น รู้ว่าจิตนี้เข้าฐานของตัวเอง มีสติพร้อมเข้าไปตลอด มีความสุข มีความมหัศจรรย์ มีความตื่นเต้น แล้วมันสงบลงไป สงบลงไปนะ จนถึงฐีติจิต จนถึงฐานของจิตได้เลย

มันจะพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไง เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ควรแก่การงานที่จะยกขึ้นวิปัสสนา การวิปัสสนา การทำงาน การเดินมรรคอริยสัจจัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพบทางอันเอกอันนี้ แล้วใช้ทางอันเอกอันนี้เป็นประโยชน์กับท่าน เป็นประโยชน์ถึงกับว่า วิปัสสนาถึงจะชำระอวิชชาได้ไง แล้วก็วางทางอันเอกอันนี้ไว้ให้เราที่เป็นพุทธชิโนรส เป็นศากยบุตร บุตรของพระพุทธเจ้าได้เดินตามไง ได้ดำเนินตาม เพราะจิตมีความสงบ นั่นน่ะถึงจะออกมาตรงนี้ได้

ถึงว่ามันเป็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นตามทางบัญชี ไม่ใช่เป็นการมั่นหมาย ไม่ใช่ว่าเป็นการจดจำมาแล้วมาใช้ประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นมันเป็นไปทางบัญชีเท่านั้น มันยังไม่ได้เป็นตามความเป็นจริง มันยังไม่มีอะไรแน่นอน แล้วทางบัญชีก็คือทางบัญชี แต่ตามความเป็นจริงนี้มันชำระวุฒิภาวะ พัฒนาใจ จากมนุสโสสิขึ้นมา พิจารณากายจนปล่อยวางหมดนะ ตามความเป็นจริงสมุจเฉทปหานนะ สมุจเฉทปหานกายนี้หลุดออกไป จิตนี้หลุดออกมา ทุกข์แยกออกไป นี่กายหลุดออกจากจิตไปเลย

เห็นไหม วิปัสสนาอยู่นี่หลุดออกไปได้อย่างไร วิปัสสนาอยู่ก็จิตนี้วิปัสสนา มันเดินงานที่ชอบ เห็นไหม ความดำริลงที่กาย สตินี้พร้อม ความเพียรพร้อม งานพร้อม หมุนเข้ามาที่กาย จิตนี้สลัดออกไป กายนี้หลุดออกไปจากใจ ความทุกข์ระหว่างกายกับใจ ไม่มี จิตนี้หลุดออก ออกมาอีกต่างหาก รวมลงสงบ รวมลงมีความสุขเวิ้งว้างไปหมด เวิ้งว้างไปเลยนะ เวิ้งว้างมาก มีความสุข นิ่งอยู่นาน จนถอนออกมา ถอนออกมาจากไม่ใช่มนุสโสสิแล้ว เป็นมนุษย์เพิ่มขึ้นไปเป็นอริยมนุษย์

ความเวิ้งว้างอันนี้ ความรู้ตามความเป็นจริงตามเนื้อหาสาระของธรรม สมุจเฉทปหานตามความเป็นจริง ตามใจดวงนั้นเป็นไปตามความเป็นจริง ไม่ใช่ขาดทุนกำไรทางบัญชี เพราะบัญชีเป็นบัญชีที่ไม่ใช่ใจ เนื้อหาสาระของงาน งานคือธรรมตัวนี้ไง พอมันสละออกไป ถึงบอกว่าสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส อันนั้นเป็นบัญชีใหม่ เป็นบัญชีธรรม เป็นบัญชีที่ได้ตรวจสอบแล้ว ที่ว่าผู้ตรวจสอบบัญชีรับรอง ธรรมะรับรองไง ความรับรองอันนั้นมันเป็นผลขึ้นมาจากการวิปัสสนาด้วยมรรคอริยสัจจังจนแตกออกต่างหาก จิตนี้เป็นคุณค่าของทุนสำรอง ทุนสำรองที่อยู่ภายในต่างหาก แล้วออกมาเป็นผลกำไรข้างนอก แล้วออกมาเป็นการรับรองของผู้ตรวจสอบ ธรรมะตรวจสอบว่าสักกายทิฏฐิ

จากมนุษย์ปกติที่เห็นกายเป็นเรา เราเป็นกาย ความสุขอันนั้นต่างหาก แต่ความเห็นว่ากายเป็นเราไม่ใช่กัน เหมือนกับเราใส่เสื้อผ้าอยู่ แล้วเสื้อผ้านี้มันสกปรกมาก เราถอดออก แล้วเราจะเอาเสื้อผ้านั้นมาใส่อีก เราจะรู้สึกว่าเราขยะแขยงไหม ถ้าเสื้อผ้านั้นเลอะไปด้วยมูตรด้วยคูถนะ เหม็นตลอดเลย เราจะเอาเสื้อผ้านั้นมาใส่ไหม ความเห็นของการที่เราสละกายออกไปนี่มันมีความเห็นอย่างนั้นน่ะว่ากายไม่ใช่เรา แต่ไม่เหมือนเสื้อผ้าที่เอามาใส่ มันอยู่ด้วยกัน แต่ความเห็นไม่ใช่อันเดิม ความเห็นที่ว่ากายเป็นเรา เราเป็นมนุษย์ นี่ไม่ใช่ ความเห็นว่ากายเป็นกาย เราเป็นเรา นี่ความเห็นต่างไป ความเห็นที่ต่างไปคือวุฒิภาวะของอริยเจ้าชั้นหนึ่ง แต่ยังเป็นมนุษย์อยู่ เป็นวุฒิภาวะของมนุษย์ที่พิจารณากายจนกายนี้ออกไปจากความยึดมั่นถือมั่นของใจตามความเป็นจริง ตามเนื้อหาสาระจริงที่ธรรมะพระพุทธเจ้าประทานให้กับใจดวงนั้น ใจดวงที่พิจารณาถึงตรงนี้ไง ใจพิจารณาถึงจริง ปล่อยจริง ตามความเป็นจริง

แต่สังโยชน์ ๓ ตัวที่ว่า สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส อันนั้นเป็นผลของวิปัสสนาอันนี้ ถึงจะพูดไม่พูดไม่สำคัญ สิ่งนั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือดวงใจที่เนื้อหาสาระของธรรมตามเนื้อหาของธรรม เนื้อหาของความคิด วิปัสสนาอันนั้น ไม่ใช่ทางบัญชี ทางบัญชีอยู่ข้างนอก เพราะทางบัญชี ความเข้าใจตามทางบัญชีมันหมุนเข้ามาเอง มันกว้านมาเอง มันหมายไปเอง มันอธิบายออกไปเอง มันไม่ใช่ความสุขจริงตัวนี้ มันไม่สละออกตามความเป็นจริงตัวนี้

มนุษย์พัฒนาขึ้นไปไง ใจออกไปอีกอย่างหนึ่ง ถึงจะอยู่ด้วยกันระหว่างกายกับใจมันก็เก้อๆ เขินๆ เก้อๆ เขินๆ จากมนุษย์ธรรมดานะ มนุษย์ธรรมดานี่มันสงวนนักสงวนหนา มันหวงนักหวงหนาเรื่องของกาย แต่ผู้พิจารณากายแล้ว รู้ตามความเป็นจริง แต่ต้องอาศัยกันไป ความอาศัยกันไปนี่ เพราะรู้อยู่แล้วว่าไอ้บัญชีส่วนบัญชี ไอ้ความเป็นจริงส่วนความเป็นจริง มันก็ขวนขวาย การขวนขวาย การขวนขวายการทำใจให้สงบ เพราะจิตที่มันพัฒนาขึ้นมาถึงชุดนี้แล้ว มันจะเข้าถึงความสงบอยู่โดยพื้นฐาน

ความสงบโดยพื้นฐาน ฟังสิ จิตนี้จะปล่อยวางตามความพื้นฐาน เพราะจิตนี้ควบคุมได้ง่ายแล้ว จากที่ว่าเป็นผู้ใหญ่ ที่ว่าจิตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ไม่ใช่จิตเด็กๆ แต่จิตผู้ใหญ่นี้ก็เป็นจิตผู้ใหญ่ที่เคยการงาน เคยทำงานรู้ระบบราชการ รู้ระบบงาน คนที่รู้ระบบงานจะทำงานได้ด้วยความคล่องตัว จิตที่เคยวิปัสสนามาได้ขั้นตอน จะทำงานด้วยความคล่องตัวขึ้น ความคล่องตัวขึ้นนี่ก็การขวนขวายขึ้นมา เพราะต้องการทำให้ตัวเองยกวุฒิภาวะเพิ่มขึ้น

การยกวุฒิภาวะเพิ่มขึ้นก็ต้องตั้งใจ จิตนี้ก็จะกำหนดเข้ามา กำหนดเข้ามาว่าเราเป็นมนุสโสสิที่จะพัฒนาตัวเอง ไม่หลงระเริงไปข้างนอกไง ถึงว่าเป็นพรหมจรรย์ เป็นโพธิญาณ เป็นที่ความหมายออกไป สูงขึ้นไป ถ้าความหมายสูงขึ้น วกเข้ามา จะสูงขึ้นที่ตรงไหนล่ะ สิ่งใดๆ ในโลกนี้ก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องแปรสภาพทั้งหมด สิ่งที่ไปยึดหมายเขา สิ่งที่ไปหมายข้างนอก หัวใจที่ไปหมาย...

...นี้เป็นอนิจจังทั้งหมด เพราะจิตนี้รู้เท่าความเป็นนั้น รู้เท่าว่าโลกนี้มันจะเป็นอนิจจัง แต่มันลืมมองดูที่ตัวมันด้วยว่าเป็นสิ่งที่ไปหมายเขาไง สิ่งที่หัวใจนี้ไปหมายเขาข้างนอกไง เห็นว่าข้างนอกเป็นอนิจจัง แต่ใจที่ไปหมายเขาไม่อนิจจังหรือ แต่จะเห็นย้อนกลับมา ความย้อนกลับมา เวลาฟังธรรมนี่ก็ว่าต้องย้อนกลับ ต้องอยากย้อนกลับเข้าใจอยู่ แต่เวลาตามความเป็นจริงมันไม่ยอมย้อนกลับหรอก เพราะพลังงานขับเคลื่อนจากภายในมันจะดันออกอยู่ตลอดเวลา แล้วมันก็จะต้องคำนวณทางบัญชีมาตลอด เพราะพื้นฐานความคิด พื้นฐานของการศึกษา พื้นฐานของการเปรียบเทียบ

การเปรียบเทียบต้องอาศัยบัญชี ต้องอาศัยคำนวณ ต้องอาศัยทุกอย่าง แล้วกิเลสที่มันอยู่ในหัวใจนี่มันก็อาศัยตรงนี้หลอกไปตลอด การประพฤติหรือการปฏิบัติถึงมีแง่บวกและแง่ลบตลอด เราทำงานสิ่งใดก็ต้องมีถูกและผิดเป็นเครื่องดำเนิน เครื่องที่ว่าเป็นผลงานที่ขวางหน้าเราไปทั้งนั้นเลย การทำงานไปจะมีถูกและผิดไปข้างหน้าตลอด การวิปัสสนา การประพฤติปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน มันจะมีถูกมีผิด เห็นไหม ถึงบอกว่าการคิดคำนวณทางบัญชีมันก็ใช้ประโยชน์ได้ ใช้ประโยชน์ได้เป็นเครื่องดำเนิน แต่มันไม่ใช่ผลตามความเป็นจริง ฉะนั้น ถึงว่าปริยัติมีผลตรงนั้นไง มีผลต่อการเทียบเคียงไง

การเทียบเคียงนั้นเราไม่ใช่เทียบเคียงแล้วยึดมั่น ต้องเทียบเคียงเพื่อตรวจสอบใจ เทียบเคียงตรวจสอบว่า อันนี้คำที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ที่เป็นปริยัติวางไว้นี่ เราปฏิบัติ เราคำนวณแล้วมันเป็นจริงตามนั้นไหม ถ้าเป็นจริงตามนั้นมันต้องอยู่มั่นคง แต่สิ่งนี้จะไม่มั่นคง เพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้น หรือสิ่งที่เปรียบเทียบมันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา อย่างเช่นว่าอากาศร้อนหรืออากาศหนาวนี่ มันไม่มีอุณหภูมิอันไหนที่เป็นสิ่งที่พอใจของบุคคลแต่ละบุคคล แต่ละบุคคลนั้นจะมีความชอบหรือความไม่ชอบต่างกัน

เวลาวิปัสสนาเข้าไป ตรงนี้ก็เหมือนกัน อารมณ์นี้จะแปรปรวนต่างกันตลอด มีความต่างให้เราตรวจสอบ เราสัมผัสได้ตลอดเลย พอจิตมันมีสติ จิตที่มันมีพื้นฐานอยู่แล้วนี่มันจะตรวจสอบตรงนี้แล้วหมุนเข้ามา แล้วพิจารณากายซ้ำไง พิจารณากายซ้ำ เพราะกายมันมีหยาบมีละเอียดเข้าไป กายเป็นชั้นๆ เข้าไปนี่ การพิจารณาซ้ำเข้าไปๆ จากที่ว่ากายนี้ไม่ใช่เรา ทีแรกพิจารณากายจนเห็นตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เราจริงๆ แต่ความเกาะเกี่ยว ความเกาะเกี่ยวภายใน วุฒิภาวะของใจที่ต่างกัน

ที่ว่าสังโยชน์ ๓ ตัวนี่มันมีพื้นฐานอยู่แล้ว มันเข้าใจตามความเป็นจริงตลอด ขณะที่มันทิ้งกายไปแล้วนะ ที่มันเข้าใจว่ากายนี้ไม่ใช่เราแล้วนะ ยกขึ้นมานี่ พิจารณากายซ้ำเข้าไปเพื่ออะไร? ก็เพราะใจมันยังติดอยู่ ใจมันยังติดอยู่ในอุปาทานของกายไง เพราะติดอุปาทานของกาย เพราะมันมีเชื้ออยู่ พิจารณากายซ้ำ ซ้ำเข้าไปนี่มันจะแตกออก

จากที่ว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา หลุดออกไป ทุกข์ไม่ใช่เรา จิตสงบตัวลง จิตออกมาจากกาย จากทุกข์ทั้งหมดเลย แต่กระแสของความรู้สึก กระแสของใจที่มีกิเลส มันเกาะเกี่ยวด้วยความอุปาทาน มันยังมีที่รองรับไง การพิจารณากายออกไป โดยวิปัสสนาญาณนะ เพ่ง วิปัสสนาแยกออก เอาน้ำให้ไฟเผา ให้มันละลายออกไป ให้มันแปรสภาพออก มันจะแปรให้เห็นๆ นะ อย่างเช่นเรายกกายขึ้นมา ถ้าพิจารณากายอยู่นี่ ให้กายเป็นน้ำ น้ำ พรึ่บ! เป็นดิน ดิน พรึ่บ! มันจะแปรออกไป หรือจับต้องก็ได้ หรือว่ายกขึ้นมาด้วยปัญญา เห็นไหม ว่าในกายเรานี่มีดิน มีน้ำ มีลม มีไฟ ธาตุ ๔ รวมเราแล้วเป็นก้อนเรา พิจารณาตามความเป็นจริงด้วยวิปัสสนาญาณ ซ้ำแล้วซ้ำเล่านะ

วิปัสสนาไม่ใช่ว่าจดๆ จ่อๆ การจดการจ่อนั้นเป็นเรื่องของการมักง่าย ไม่ใช่เรื่องในวงปฏิบัติ ในวงปฏิบัติต้องมีความเข้มแข็ง ต้องมีความมานะ ต้องมีความอดทน ต้องมีการจริงจัง ธรรมะนี่เป็นของจริง จะเข้ากับคนจริง การวิปัสสนาจริง การทำตามความเป็นจริง จะได้ผลจริง ไม่ใช่ได้ผลทางบัญชีที่ว่า วิปัสสนาแล้วมันปล่อย

มันปล่อย วิปัสสนาไปเรื่อยๆ นี่ ถึงเวลาปัญญาหมุนขึ้นมานี่มันจะปล่อย แต่มันไม่ปล่อยขาด แล้วอย่าชะล่าใจ ต้องจดตัวเลขเลยว่าขณะนี้เราจะได้กำไรขาดทุนเท่านั้น แล้วก็พอใจ เห็นไหม อันนี้คือการหลอกของกิเลสส่วนหนึ่ง กิเลสที่ไปดักอยู่ข้างหน้าไง ความคาดการหมายอันนี้จะทำให้หลงทาง

เราจะคำนวณ ตรวจสอบเข้ามา ตรวจสอบเข้ามา เพราะตัวนี้จะมาเป็นตัวดักหน้าอยู่ พิจารณาซ้ำเข้าไปๆ จนมันแตกตามความเป็นจริง แล้วมันปล่อยวางนะ ปล่อยหมด วิปัสสนาจนสมุจเฉทปหานนะ ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ธาตุ ๔ นี้แยกออกจากกัน พื้นฐานที่รองรับใจไว้ พื้นฐานที่ให้ใจเกาะเกี่ยว พื้นฐานที่อุปาทานของใจเกาะไว้ไง บัดนี้โดนทำลายด้วยมรรคอริยสัจจัง แตกออก พรึ่บ! จิตนี้หลุดออกไป ทำลายฐานที่จิตพักอยู่ จิตนี้ไม่มีที่ยืน จิตนี้โล่ง จิตนี้ปล่อย จิตนี้เป็นจิต สละออกทั้งหมด เวิ้งว้างหมดเลย วุฒิภาวะของมนุษย์เพิ่มขึ้นไป เพิ่มขึ้นไป

วุฒิภาวะใจนี้พื้นฐานสูงขึ้นไป สูงขึ้นไปทางบัญชีก็ สักกายทิฏฐิ วิฉิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะปฏิฆะอ่อนลง บัญชียังอยู่ใน ๓ แต่ความอ่อนลง แต่ภาวะของใจต่างกัน วุฒิภาวะ สังโยชน์ ๓ ตัวนั้น เห็นกายเก้อๆ เขินๆ เห็นไหม กายนี้ไม่ใช่เรา เรานี้ไม่ใช่กาย แต่วุฒิภาวะอันนี้ มันหลุดออกไปเลย เวิ้งว้างไปเลย ไม่ใช่ว่ากายนี้ของเรา เราของกายนะ มันหลุดราบเป็นหน้ากลอง ไม่รับรู้ระหว่างกายแบ่งแยก ไม่แบ่งแยกว่าเป็นเขาเป็นเรา เป็นหญิงเป็นชาย มันไม่รับรู้เลย มันปล่อยออกหมด มันไม่มีอุปาทานในสิ่งนี้เลย เหมือนกับว่าสละออกหมดเป็นอวกาศ ส่วนหนึ่งเป็นอวกาศของจิตไง จิตนี้สละ ไม่มีพื้นฐานที่รองรับเลย สุขมาก มีความสุข เดินนี้ตัวลอย ลอยไปเลยนะ มนุสโสสินี่แหละ แต่ลอยเวิ้งว้างไป เวิ้งว้างในความรู้สึก แต่ร่างกายก็เดินอยู่บนดินนี่แหละ แต่ความรู้สึกมันเดินเหมือนกับไม่ได้เดิน มันเหมือนเลื่อนลอยตลอดเลย

นั่นล่ะมนุษย์ มนุษย์ที่พบพุทธศาสนาที่เดินตามพระพุทธเจ้า เดินตามมรรคอริยสัจจังมา นี่ตามเนื้อธรรม ธรรมะเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทตามความเป็นจริง จากความวิริยอุตสาหะของหัวใจไง งานวิปัสสนา งานทำความเพียร งานการชำระกิเลส งานต่อสู้ ที่ว่างานอันเอกของมนุษย์ ชนะสิ่งใดในโลก ชนะหมื่นชนะแสน ไม่ประเสริฐเท่ากับชนะตน ชนะตนจนเวิ้งว้างนะ จนเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐขึ้นไปเรื่อยๆ

เห็นไหม เวิ้งว้างมีความสุข มีความสุขต้องอาศัยความสุขตามความเป็นจริง ไม่ใช่อาศัยความสุขตามบัญชี เพราะอาศัยความสุขตามบัญชีจะทำให้ตัวเองหลงออกไปกระแสนี้ไง กิเลสที่มาเนื่องมันจะดึงให้เราเนิ่นช้าไง มันจะมีความสุขอยู่ใหญ่ แล้วออกมาตรวจสอบ ถ้าสิ่งที่เป็นบัญชีเราเอามาตรวจสอบใจ ตรวจสอบใจว่าใจนี้ควรจะทำถึงไหน

ดูสิ ดูตลาด ดูความเป็นไปของโลก มันไม่มีอะไรที่ว่าจะคงทน เราจะนอนใจอยู่ได้ เห็นไหม ดูวัฏฏะ ขณะนี้หัวใจกำลังมุมานะในการประพฤติปฏิบัติ มุมานะในมรรคในผล เห็นผลเห็นประโยชน์แล้วมันมีความอุ่นใจมีความพอใจ เพราะว่าตลาดมันยังเช้าอยู่ไง กำลังคึกคัก กำลังมีความเป็นไปได้ กำลังว่าเราจะทำอะไรออกไปนี่เราจะได้กำไรขาดทุน เห็นไหม ตลาดยังดีมากเลย ตลาดไม่ใช่ตลาดที่วาย ตลาดที่กำลังเป็นตลาดขาขึ้น

พอตลาดขาขึ้นมันก็ต้องมีการขวนขวายสิ ต้องขวนขวาย ย้อนกลับเข้ามาดูสิ ไอ้ที่ว่าเวิ้งว้าง ใจที่เวิ้งว้าง ที่เป็นมนุษย์ประเสริฐ หัวใจวุฒิภาวะที่สูงขึ้นมานี่มันประเสริฐ มันประเสริฐแล้วเราจะนอนใจหรือ เราจะหายใจ เราจะอยู่ค้ำฟ้า เราจะไม่มีวันตายเชียวหรือ เราจะไม่มีการเสียโอกาสในการที่ว่าเราจะยกภาวะให้ตัวเราเองสูงขึ้นไปอีกหรือ เห็นไหม ก็ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาดูไง สิ่งที่เป็นความเวิ้งว้างมันเวิ้งว้างตรงไหน

สิ่งนี้งานในการประพฤติปฏิบัติ เราจะเข้าใจว่าในการต่อสู้ชำระกิเลสอันนั้นประเสริฐ อันนั้นเยี่ยม แล้วจะไปชำระที่ไหนที่กิเลสนั่นน่ะ กิเลสมันอยู่ตรงไหนจะเข้าไปทุบมัน จะเข้าไปทำลายมัน...เราหากิเลสไม่เจอต่างหากล่ะ ทีนี้การขุดคุ้ย การจะขุดคุ้ย การหาการค้นคว้าไง การค้นคว้าหาต้นตอของผู้ที่ทำลายเรา ผู้ที่ทำลายเรานะ ผู้ที่ทำลายโอกาสของเรา ผู้ที่ทำลายให้เราไม่เป็นคนที่ประเสริฐขึ้นไป คืออะไร นี่การขุดคุ้ยเข้ามาตรงนั้น การขุดคุ้ยเข้ามาไง ก็คือความนอนใจของเรา คือความที่มันปิดกั้นในความรู้สึกของเรานั่นน่ะ

มันว่าหาไม่ได้ เรามีทำมาแค่นี้ เราเป็นคนดีแล้ว มันจะทำเรานอนใจไง ดูสิ ทางโลกเขาไม่มีใครทำได้เสมือนเรา เรานี่เป็นคนเก่ง เรานี่เป็นคนประเสริฐกว่าคนอื่น เราจะรีบไปไหน เราควรจะนอนตายที่นี่ก่อน นั่นถ้ามันพูด มันพูดตามความเป็นจริงนะ แต่ไม่พูดอย่างนี้หรอก มันจะพูดให้เราเชื่อไง ที่พูดนี่จะให้เรานอนตายอยู่ก่อน เพราะคนที่รู้ทันมันไง มันจะให้นอนตายที่นี่ ยังเป็นเหยื่อของมันต่อไปไง

พอจิตมันสงบ ตัวพื้นฐานที่มันเวิ้งว้างอยู่แล้วนี่มันมีความสุขอยู่แล้วส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่ว่ามันจะขวนขวายออกไป มันหาไม่เจอนะ ช่วงที่หาไม่เจอนี่มันก็หมุนไปเรื่อยๆ อยู่ไปวันๆ หนึ่ง แต่ถ้าเราหักกลับมา หักกลับมาต้องหักด้วยความจริง ต้องหักด้วยความมุมานะ เพราะหัวใจพิจารณาสิ่งที่เป็นนามธรรม ถึงจะเป็นกายก็เป็นกายนามธรรม เป็นกายในกาย เพื่อพิจารณากายในกายนั่นล่ะ พอจับต้องตัวนี้ได้ เห็นกายตัวนี้ ความเห็นกายตัวนี้มันจะตื่นเต้นมาก

สิ่งที่เราทำงานมานะ ว่าการพิจารณากายมันเป็นกายหยาบๆ เรายังพิจารณาเกือบเป็นเกือบตาย สิ่งที่เป็นกายนามธรรมกว่าจะจับต้องได้ การจับต้องได้ก็เหมือนที่เราเคยประสบผลงานมาตลอด เราดีใจมาตลอด แต่ผลงานอันนี้มันเป็นผลงานแบบภายใน เป็นผลงานที่ว่าในตู้เซฟ เป็นผลงานแบบเพชรน้ำเอก ความตื่นเต้น ความดีใจนะ มันจะตื่นเต้นมาก

เราเคยมีเงินล้าน เขาให้มา ๒ ล้าน แล้วเราไปเจอเช็คใบนี้แสนแสนล้านนี่ เพราะเราเข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าเงินล้านนี่มีคุณค่าขนาดไหน แล้วเช็คใบนี้เบิกได้ถึงแสนแสนล้านในทางบัญชี เห็นไหม มันจะตื่นเต้นมาก เพราะเราได้ต้นขั้วเช็คใบนี้ เรามีโอกาสได้เบิก การเจอกาย การเจอกิเลสช่วงนี้มันจะมีความตื่นเต้นมาก เจอกายที่เป็นนามธรรมนี่ เห็นไหม เรามีเช็คใบหนึ่งแสนแสนล้าน เราเจอกายแล้วเราต้องวิปัสสนานี่ ก็อันนั้นน่ะ เช็คใบนี้จะเป็นเช็คจริงหรือเช็คปลอม จะเบิกเงินได้หรือเบิกไม่ได้ บัญชีนี้จะได้หรือไม่ได้ จะขาดทุนจะกำไรมันก็เขียนไปในแสนแสนล้านนั้น แสนแสนล้านมันก็ทำให้เราแค่ตื่นเต้น

เปรียบหมายให้เรามีคุณค่าไง ความต่างของเงินหนึ่งล้านกับเงินแสนล้านไง ความต่างของการพิจารณากายนอกกับความต่างของเจอต้นขั้วการพิจารณากายในไง ความต่างที่ว่าเป็นความสุขที่แบบว่างานขุดคุ้ย ถ้าเราปฏิบัติมันจะไม่เข้าใจนะว่าไอ้กายนอกที่จับต้องพิจารณานี่มันก็เป็นกายนอก ก็ต้องจับต้องง่ายๆ อยู่แล้ว ก็เห็นก็รู้กัน ทำไมไอ้กายในมันจะประเสริฐขนาดไหน

มันประเสริฐตรงความต่างหนึ่งล้านกับแสนแสนล้านตัวนี้แหละ มันจะตื่นเต้น มันจะมีความสุข มันโอ๋ย! เป็นผลงานไง เป็นผลงานที่ว่าเมื่อก่อนเราฝากให้เลขา ฝากให้ฝ่ายบัญชีมันทำบัญชี แต่คราวนี้ไอ้เลขามันโกงมาตลอด มันทำบัญชีปลอมมาให้เราตลอด แล้วเราเป็นคนทำบัญชีเอง เราจับต้องบัญชีตัวนี้แล้วต่อไปนี้ไม่มีใครโกงเราไง ถ้าเราทำบัญชีนี้ตามความเป็นจริง เราจะได้ผลธรรมที่ตามความเป็นจริง ไม่ต้องให้ใครมาหลอกอีกไง มันตื่นเต้นตรงนี้ ตื่นเต้นมากๆ แล้วก็ต้องต่อสู้ไง

พิจารณากายใน เพราะกายในนี้เป็นกายของกาม ความโอฆะ ความข้องอยู่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เห็นไหม ความโลภก็โลภในอะไร? โลภในทุกๆ อย่างเพื่อมันจะมาเสวยกาม ความโลภในกาม ความโกรธ โกรธเพราะไม่ได้สนใจตามกามที่ตนมั่นหมาย ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ตรงกายตัวนี้ ตัวที่ว่าเป็นแสนๆ ล้านตัวนี้ไง

การพิจารณากายตัวนี้ถึงจะต้องรุนแรงมาก เพราะเป็นการข้ามโอฆะ เป็นการพลิกจากกายที่ว่าบุบสลาย ที่ว่าใจออกมานั้น ใจเวิ้งว้างออกมาจากกายนั้น มันเป็นเพราะหลุดออกมาจากกาย แต่ยังต้องเกิดซ้ำเกิดซาก แต่ข้ามโอฆะนี้จะไม่เกิดอีก ฉะนั้น การพิจารณากายตัวนี้ถึงความละเอียด หลุมพราง หรือการย่นย่อ หรือการทำบัญชีตัวเลขให้เราหลงทาง จะทำให้เราต้องตรวจสอบแบบละเอียดมาก ไว้ใจใครไม่ได้เลย จะไว้ใจแผนกบัญชีที่ทำให้เราไม่ได้ เพราะมันขยับออกเป็นสติปัญญา อันนี้เป็นมหาสติเป็นมหาปัญญา

การใคร่ครวญระดับมหาสติมหาปัญญาต้องเราเป็นผู้ฝึกฝนตัวเราขึ้นมาจนถึงกับเป็นผู้มีมหาสติมหาปัญญา มันเป็นบัญชีเรือนแสนที่เราจะต้องคำนวณเอง ถึงว่าเป็นแสนๆ ล้าน จากเงินล้านเดียวไง การวิปัสสนาอันนี้ถึงมีการหลอกลวง มีการปั้นแต่งตัวเลขทั้งหมดให้เราหลงทางไปจนหมด ตัวเลขนี้ควรจะเป็นอย่างนั้น ตัวเลขนี้ควรจะเป็นอย่างนี้ เหมือนกัน การพิจารณากาย พิจารณาแล้วมันจะรวมลง มันจะแยกออก ให้เราหลงทาง มันจะมีข้อมูลป้อนเข้ามาให้หลงตลอด

การทำตัวเลขอย่างนี้คือว่า เหมือนการพิจารณาอย่างนี้ๆๆ เป็นทางบัญชีไง นี่วิปัสสนาขึ้นไปข้างบนจะเห็นความหลอกของกิเลส ใครว่ากิเลสมันอ่อน ใครว่าการเจอแล้ว เจอเช็คแล้วนี่จะเบิกเงินได้...เบิกยาก เบิกยากมากๆ เพราะว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ เราจะเข้าธนาคารธรรมไหนก็แล้วแต่ เขาจะผลักๆ เพราะเขาต้องการเงินเอาไว้หมุนเวียนในธนาคารเขา หมุนเวียนในธนาคารของกิเลส กิเลสมันไม่ต้องการให้หลุดพ้นจากอำนาจของมัน กิเลสที่อยู่ในหัวใจของแต่ละดวงๆ มันจะดึงไว้ มันจะเปลี่ยน มันจะทำลาย มันจะทำให้เช็คนั้นมีปัญหา

การวิปัสสนาก็เหมือนกัน จะรุนแรง จะต้องใคร่ครวญ จะต้องพยายามตั้งสติอย่างมั่นคง แล้วใคร่ครวญตามความเป็นจริงตรงนี้ ตามความเป็นจริงไง ตัวเลขก็ตรง เช็คก็ถูกต้อง เงินในธนาคารก็มี ผู้เบิกมีสิทธิตามความเป็นจริง มันก็ต้องเบิกได้สิ วิปัสสนาตามความเป็นจริง มัชฌิมาปฏิปทาท่ามกลางของหัวใจ ของหัวใจนะ เพราะขันธ์ ๕ เพราะโอฆะ เพราะโลภ โกรธ หลง มันเกิดจากสัญญา เกิดจากการอคติ เกิดจากปฏิฆะ เกิดจากการผูกไว้ เกิดจากการโน้มดึงเข้ามา

เห็นไหม ตัวเลขพร้อม เงินมีพร้อม เงินมีอยู่แล้ว ธรรมะมีอยู่ตลอดเวลา แต่เราเข้าไม่ถึงเท่านั้นเอง ธนาคารมีอยู่ตลอดเวลา แต่เราเข้าไม่ถึง เพราะใครเข้าไปถึงแล้วมันไปเบิกออกมาแล้วพ้นจากอำนาจของกิเลสไง กิเลสถึงจะต้องผลักไส ต้องทำให้เปลี่ยนแปลงข้อมูลให้หลงทางไปตลอด เราทำถูกต้องตามมัชฌิมาปฏิปทาไง มัชฌิมา วางโปะลงไปไป เปิดออกไป เช็คออกไป ต้องกดเงินไหลออกมา

มัชฌิมา สมุจเฉทปหาน ธนาคารนั้น ครืน! ธนาคารนั้น เพราะโดนเบิกหมดธนาคาร ธนาคารนั้นต้องล้มลง บัญชีนั้นปิดไป ต้องตามความเป็นจริงของธรรม ธรรมนั้นถึงจะประสิทธิ์ประสาทออกไปตามความเป็นจริงของมรรคอริยสัจจัง งานชอบในการชอบโอฆะอันนั้นไง

สมุจเฉทปหาน เวิ้งว้างนะ คราวนี้ยิ่งกว่าเวิ้งว้าง เวิ้งว้างเมื่อกี้เวิ้งว้างแบบไม่ยอมรับรู้ระหว่างเป็นธาตุเป็นขันธ์นะ เวิ้งว้างเฉยๆ แต่คราวนี้เวิ้งว้างแบบหนึ่งเดียวไง เวิ้งว้างมาก่อน เพราะขันธ์ ๕ ใจกับกายแยกออกจากกัน นี่วุฒิภาวะของมนุษย์ไง มนุษย์ที่ว่ามีบัญชีกามราคะปฏิฆะอ่อนลง กับสังโยชน์ ๓ ตัว กับวุฒิภาวะของผู้ที่ว่าละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ เพิ่มขึ้นมาเป็น ๕ บัญชีเพิ่มขึ้นมาอีก ๕ บัญชีตามธรรมแท้นะ ไม่ใช่บัญชีตัวเลข เวิ้งว้างออกไปเลย ออกไปจากความผูกโกรธ ออกไปจากความมั่นหมายของทางโลก คำพูดทางโลกไม่มี ใจนี้ออกเป็นหนึ่งเดียว ใจนี้เป็นตัวพลังงานเฉยๆ แล้ว ไม่ใช่ตัวพลังงานที่ว่าเป็นขันธ์ ๕ เป็นสังขารไง ความคิด ความปรุง ความแต่งไม่มี

ความไม่มีความคิด ไม่มีความปรุงไม่มีความแต่ง มันจะเอาอะไรมาเสริม เสริมจากไอ้เชื้อที่ว่าสัญญาออกมา ตัวสัญญาคือข้อมูลเดิม จากมั่นหมายว่าจะกี่ชาติๆ ก็แล้วแต่ แล้วพอข้อมูลนี้หลุดออกมา งัดออกมาขึ้นมาจากหัวใจ สังขารก็ปรุง พอปรุงไปมันก็เกิดเป็นการผูก การผูกโกรธ การจำ กรรมที่มันสะสมกันมา เห็นไหม ไอ้ตัวนี้ ตัวขันธ์ ๕ ที่ว่ามันมีอยู่นี่มันหลุดออกหมด หลุดออกหมดเหลือตัวพลังงานเฉยๆ พลังงานที่ว่าสัญญาไม่มี สัญญาไม่ออก สัญญาเรารู้ทัน รู้เท่าสัญญา รู้เท่าสังขาร รู้เท่าทุกอย่างหมด ความรู้เท่าในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ถึงจะมีอยู่ อยู่กับใจที่ขาดออกไปแล้วแต่ขาดมี ถ้าขาดมี ความรู้เท่า ความรู้เท่ามันจะไปหลงตรงไหน ความไม่หลงสังขารของตัวเอง ความไม่หลงตามสัญญาที่มันแวบขึ้นมา แล้วมันจะเอาปฏิฆะมาจากไหน มันจะเอาความผูกโกรธ มันจะเอากามราคะมาจากไหน

ความไม่มีกามราคะ ความไม่มีปฏิฆะ มันก็ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง เห็นไหม นางตัณหา นางอรดี ลูกของพญามารโดนชำระล้างแล้ว หัวใจโล่งโถงไปหมด หัวใจโล่งโถง ไม่เกิดอีกในกามภพ

วุฒิภาวะของมนุษย์ มนุษย์วุฒิภาวะนี้ประเสริฐ ประเสริฐตามพ้นจากการเกิดในกามภพ หัวใจว่าง ว่างหมด ว่างแบบมีเจ้าของไง ว่างแบบว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันคลุมอยู่ ว่างแบบไม่รู้จักตัวตน ว่างแบบพ้นจากกาม แต่ไม่สามารถพ้นจากอวิชชาได้ พ้นจากโลภ พ้นจากโกรธ พ้นจากหลง แต่ไม่พ้นจากความไม่รู้อวิชชา นี่ประเสริฐ มนุษย์ที่ประเสริฐ วุฒิภาวะของมนุษย์เพิ่มขึ้นไปไง วุฒิภาวะของมนุษย์ จิตดวงนั้น มนุษย์ผู้นี้เป็นผู้สร้างบุญกุศลมา มนุษย์ผู้นี้เป็นผู้มีวาสนา มนุษย์ผู้นี้เป็นมนุษย์ผู้ปฏิบัติต่อไป ปฏิบัติต่อไปนะ มนุษย์ผู้นี้ปฏิบัติต่อไป จะมีความเวิ้งว้างอยู่ อันนี้อยู่นาน ผู้ปฏิบัติจะติดตรงนี้ จะเวิ้งว้างไปเรื่อย เพราะความเวิ้งว้างนี้มันเป็นความเวิ้งว้างที่ไม่มีขันธ์ ๕ มันไม่มีสิ่งเปรียบเทียบ

สิ่งที่เปรียบเทียบ เป็นความคิด ความปรุง ความแต่ง เห็นไหม ความปรุง ความแต่ง วันนี้มันแต่งดี พรุ่งนี้มันแต่งไปอีกอย่างหนึ่งนี่ มันไม่มีเปรียบเทียบว่าอันนี้เอาอะไรมาแต่ง แต่ถ้าก่อนนั้น ความแต่งนี่ วันนี้เราอยากให้สีเขียว พรุ่งนี้อยากให้เป็นสีเหลือง ความสีเหลืองสีเขียวก็ต่างกันแล้ว ความสีที่แตกต่างนี่เราควรจะฉุกใจ เอะใจว่า เอ๊ะ! ทำไมสังขารมันปรุงไม่เหมือนกัน เพราะสังขารที่มีกิเลสนี่มันปรุงไม่เหมือนกัน มันถึงปรุงแต่ละวัน มันปรุงความชอบไม่เหมือนกัน มันถึงว่าน่าลังเลสงสัย

แต่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันไม่ใช่สังขาร อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันเกิดขึ้นพร้อมกัน มันไม่สามารถเปรียบเทียบได้ไง มันถึงไม่ย้อนกลับมาดูตัว ความไม่ย้อนกลับของ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ความไม่ย้อนกลับของตัวปฏิจจสมุปบาท

นี่การขุดคุ้ยค้นเขี่ยหากิเลส ว่างานการประพฤติปฏิบัติ งานการขุดค้น งานการหาจำเลย งานการหาต้นตอของตัวเริ่มต้นของพลังงาน การค้นหางานที่ว่าเจอแสนแสนล้านนั่นน่ะ กับเจอหนึ่งล้าน งานอันนี้เจอทั้งประเทศ งบประมาณของประเทศมีเท่าไร มันเป็นกี่ล้านล้าน งบประมาณของประเทศนั่นน่ะ เพราะมันจะทำลายถึงอวิชชา ถึงประเทศของเรา ประเทศของผู้ที่เป็นมนุษย์ไง

วุฒิภาวะของมนุษย์ มนุษย์คนหนึ่งมันโลกๆ หนึ่ง โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือบุคคลไง คนก็คือหนึ่งโลก เพราะเราไปยึดหมายโลก ผู้ปฏิบัติก็หนึ่งประเทศไง ถือว่าเป็นงบประมาณของประเทศเลย จากเราเจอเช็คใบหนึ่งนี่เป็นแสนๆ ล้าน กับเงินหนึ่งล้าน กับงบประมาณของประเทศประเทศหนึ่งที่จิตดวงนี้มีสิทธิเบิก จิตดวงนี้มีสิทธิด้านงบประมาณทั้งงบประมาณนั้นเลย ความจะหาตัวนั้น ตัวสำนักงบประมาณของกิเลส ตัวสำนัก ตัวหัวใจนั่นน่ะ การขุดคุ้ยตัวนี้ การย้อนกลับหาตัวนี้ การขุดคุ้ยไง การจะเข้าไปถึงสำนักงบประมาณตัวนั้นเลย

เพราะสำนักงบประมาณนี้เป็นศูนย์รวมของเงินทั้งหมดที่จะต้องมาเบิกจ่ายกันตรงนั้น เป็นศูนย์รวมของกิเลส เป็นศูนย์รวมของอวิชชาไง แต่เราไปดูกันที่ธนาคารใช่ไหมว่าเงินต้องมาเบิกที่ธนาคาร เบิกที่ธนาคารเพราะธนาคารนั้นต้องออกมาจากไหน? ออกมาจากสำนักงบประมาณ สำนักที่ว่าแบ่งแยกตัวเลขเป็นบัญชีมา เป็นบัญชีมานะ เพราะมีบัญชี เห็นไหม มีขาดทุน-กำไรทางบัญชีไง นี่ก็เหมือนกัน จะย้อนกลับเข้าไปที่นั่นเลย การเข้าไปถึงสำนักงบประมาณ ใครมีสิทธิ์ ผู้ที่จะถึงสำนักงบประมาณต้องเป็นรัฐบาลใช่ไหมถึงจะมีสิทธิเบิกจ่ายเงินอันนั้น

อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นเจ้าของภพชาติ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นเจ้าของภพชาติที่ต้องให้เกิดให้ตาย เราเข้าไปถึงตัวภพตัวชาติตัวนั้น ตัวที่จะให้เกิดชาติไหนๆ ตัวที่ให้เกิดเป็นภพเป็นชาติตัวนั้น ตัวนั้นเป็นเจ้าของสำนักงาน เป็นเจ้าของงบประมาณ เราเข้าไม่ถึงตัวนั้น การเข้าถึงตัวนั้น การเข้าไปรัฐบาล การเข้าไปถึงจุดของอวิชชา เราจะเข้าไป ถึงเข้า นี่การขุดคุ้ยค้นเขี่ยถึงจุดนั้นเราค่อยเป็นรัฐบาล เราบริหารทั้งหมด แล้วเราจะประเสริฐขนาดไหน เราเข้าไปถึงจุดของอวิชชา เราจะประเสริฐขนาดไหน

พอเข้าถึงนะ ความสุข เรานี่มีอำนาจ เพราะเรากำลังจะพลิกคว่ำทำลายรัฐบาลนั้นเลย ทำลายอวิชชาเลย ถึงมีความสุขมหาศาล ความสุขอันนี้ไง ความสุขการขุดค้นพบทั้งนั้นนะ ฉะนั้น ขุดคุ้ยถึงพบแล้ว เจอแล้วไง อยู่ในอำนาจแล้ว สิ่งที่อยู่ในอำนาจของเรา เรามีอำนาจแล้ว พลิกพั๊บ! เพราะเป็นรัฐบาล รัฐบาลสามารถสั่งการได้ การเข้าไปเจอสำนักงบประมาณ เราสั่งสำนักงบประมาณปิด ปิดบัญชี การขาดทุน-กำไรทางบัญชีไม่มี ประเทศนี้เลิก ไม่เกิดอีกเลย

เห็นไหม วุฒิภาวะของมนุษย์ มนุษย์ที่สามารถเข้าไปถึงจุดเริ่มต้นของปฏิสนธิจิต แล้วทำลายตัวเองทั้งหมดเลย ก็เป็นมนุษย์คนเดิม เป็นมนุษย์ปกติ เป็นมนุษย์ที่เหนือมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่เป็นลูกศิษย์ตถาคตไง เป็นมนุษย์นะ มนุษย์ที่ว่า ลูกศิษย์ตถาคตเดินตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดินตามนะ เดินตามไป ทำตามความเป็นจริง ทำตามเนื้อหาสาระ ไม่ใช่ทำตามบัญชี ทำตามบัญชีที่ว่าศึกษาเล่าเรียนมาแล้วก็จดจารึกกัน ฉันได้บัญชีเท่านั้นๆ

บัญชีตัวเลขก็คือบัญชีตัวเลข ตามความเป็นจริงที่หัวใจเข้าไปสัมผัส ตามความเป็นจริงที่หัวใจเข้าสัมผัส หัวใจเข้าไปเป็นตามความเป็นจริง เป็นมนุษย์เหมือนกัน เป็นมนุษย์ที่ประพฤติปฏิบัติ มนุษย์ที่ขวนขวายจนตัวเองสิ้นจากงานการประพฤติปฏิบัติ

งานทางโลกใดๆ งานทางโลกที่ทำกันอยู่ต้องทำไป เกิดตายๆ ทำอยู่ตลอด เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่รอด เพราะปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย แต่งานทางธรรมไง เป็นมนุษย์ทำ มนุษย์เต็มหัวใจ มนุษย์ที่ว่าประเสริฐ ประเสริฐจริงๆ หัวใจวุฒิภาวะที่ล้นเปี่ยมไปด้วยความสุข ล้นเปี่ยมเพราะไม่มีกิเลสตัวใดมาเป็นเจ้านาย ไม่มีกิเลสตัวใดมาชำระ มาบังคับขู่เข็ญอีกเลย ไม่มีนะ อย่าว่าแต่ขันธ์ ความคิด ความปรุง ความแต่งเลย แม้แต่ความไม่รู้เท่าความคิดตัวเองยังไม่มี

ความรู้เท่าความคิด ความคิดเริ่มต้น รู้เท่าถึงความนั้น ไม่ใช่สังขารนะ รู้เท่าถึงอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ นี่ถึงเป็นตัวรู้ พระพุทธเจ้าถึงเย้ยมารไง ความดำริคือการเริ่มต้น เห็นไหม ความเริ่มต้น “มารเอย เธอจะเกิดไม่ได้อีกแล้ว เพราะเราเห็นความดำริของเจ้า เจ้าเกิดจากความดำริอันนี้เอง” นี่สิ้นสุด ปิดฉากเลย หมด เป็นมนุษย์ที่ว่าสิ้นจากการไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว งานการไม่มีไง

งานทางธรรมถึงว่าเป็นงานที่ทำแล้วสิ้นสุด เป็นงานที่ประเสริฐ พวกเราประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์ พวกเราประพฤติปฏิบัติเพื่อจะให้เรามีความสุขอันประเสริฐไง ไม่ใช่ว่าความสุขทางโลกที่เขามีกัน

ความทุกข์ของเรา ออกอยู่ป่าอยู่เขา ออกมาจากโลก ออกมาจากที่ว่าเขามีความสุขกัน เพื่อจะมาประพฤติปฏิบัติ ให้อยู่ในอำนาจนะ ให้กิเลสมันไม่มีเครื่องส่งเสริมไง เห็นไหม ถึงบอกว่า เวลาออกมา ถึงว่าเรามีความทุกข์ เราไม่เหมือนเขา แต่เวลามันให้ผลออกมาสิ...(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)