เทศน์พระ

รู้เขารู้เรา

๑๖ ก.ย. ๒๕๕๙

 

รู้เขารู้เรา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ เราฟังธรรมะเพื่อสานนะ เพื่อผลบุญกุศลตกค้างในใจน่ะ ในใจของเรา เห็นไหม ดูสิ เวลาพระโพธิสัตว์เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ท่านถึงทำคุณงามความดีของท่าน หมั่นสร้างอำนาจวาสนาในใจของท่านนะ เวลาท่านมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลามีปัญหาสิ่งใดท่านวินิจฉัยของท่านไง วินิจฉัยของท่าน ทำสิ่งใดไปแล้วนี่ ท่านทำสิ่งใดไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสัจจะ เพื่อความจริงอันนั้น

อันนี้ก็เหมือนกันนะ เราฟังธรรมๆ เราทำคุณงามความดี เห็นไหม บุญกุศล บาปอกุศลผู้ทำๆ จิตนั้นมันสัมผัสไง ดูกาลเวลาสิ ดูนาฬิกามันหมุนของมันไป เวลามันชำรุด มันเสียหาย เขาโยนทิ้ง โยนทิ้งแล้วมันก็จบ มันเป็นวัตถุนะ มันไม่มีอะไรเป็นผลของมันไง แต่จิตใจของเราน่ะ จิตใจของเรา เห็นไหม มันมีภวาสวะ มีภพ มีความรู้สึกอันนี้ ความรู้สึกอันนี้ทำคุณงามความดีอย่างไง มันเกิดจากตรงนี้ไง เกิดจากภวาสวะ ภวาสวะคือจิตของเรา จิตของเรามันเป็นสมุฏฐาน เป็นต้นเหตุ เห็นไหม มันเป็นนามธรรม

สิ่งที่นามธรรมๆ โลกบอกนามธรรมมันจับต้องไม่ได้ แต่ในธรรมะๆ สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่นามธรรมคือความรู้สึกอันนี้ มันกลับคงที่คงทนถาวรนะ นี่หลวงตาท่านพูด เห็นไหม “จิตไม่เคยตาย จิตไม่เคยตาย” จิตมันไม่เคยตาย มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะในสถานะอะไรล่ะ มาเกิดเป็นสภาพอะไร นี่ในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตมันเกิดเป็นอะไร แต่ในทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์อย่างไงๆ ก็พิสูจน์ได้โดยเวลาภาวนานี่ไง พิสูจน์ได้โดยหัวใจไง พิสูจน์ได้เวลาจิตที่มันรู้เห็นตามความจริงเข้าไปอันนั้น มันรู้เห็นตามความเป็นจริง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้เห็นตามความเป็นจริง เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสสติญาณนะ มันมีตรงนั้นมา มันยันมา ดูสิ พระสมัยพุทธกาลนะ เวลาภาวนาขึ้นมาแล้วนี่เป็นพระอรหันต์โดยง่าย บางองค์กระเสือกกระสนมา บางองค์ภาวนาแล้วนี่มันมีเภทภัยไป ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมเป็นเช่นนั้น ทำไมเป็นเช่นนั้น มันไม่ได้เป็นเฉพาะชาตินี้ มันเป็นมาตั้งแต่ต้น มันเคยเป็นอย่างนี้มาแล้วกี่ภพกี่ชาติ ชาติเดี๋ยวนี้มันค่อยเป็นมาซ้ำอีกๆ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ นี่ไงที่ว่าเป็นนามธรรมๆ ไง

สิ่งที่เป็นนามธรรมนี่ นี่ฟังธรรมๆ ฟังธรรมให้สิ่งใดมันตกผลึกในหัวใจเราบ้าง ให้มันมีเหตุมีผลไง ให้มันเป็นประเด็นขึ้นมาในใจเราไง ถ้าเป็นประเด็นในใจเรานี่ มันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เห็นไหม มันไม่เหลวไหล มันไม่เหลวไหลไปตามอารมณ์ความรู้สึกของเราไง ถ้ามันเหลวไหลไปตามอารมณ์ความรู้สึกไปแล้วนี่ มันเหลวไหลไปๆ แล้วมันเหลืออะไรไว้ล่ะ เหลือไว้สิ่งที่เป็นบาดหมางกันไง บาดหมางหัวใจกันไง ฉะนั้นถ้าเราไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นความบาดหมาง เราก็มีน้ำใจต่อกันๆ เห็นไหม

นี่อำนวยความสะดวกให้กัน เราเปิดทางให้กัน เปิดทางให้กันแล้วนี่สิ่งใดที่มันชอบไม่ชอบมันเป็นจริตนิสัยของคน ถ้าจริตนิสัยของคนเราก็ยกให้เขาไปๆ เรารักษาใจของเราไว้ ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ถ้าฟังธรรมเพื่อเหตุนี้มันมีวุฒิภาวะขึ้นมาไง คือเป็นผู้ใหญ่ รู้เขา รู้เรา คำว่า “รู้เขา รู้เรา” เห็นไหม รู้เขารู้เราในซุนวู เห็นไหม รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง ไม่รู้อะไรเลย ทำสิ่งใดผิดพลาดไปหมด แล้วคำว่าจะรู้เขาๆ รู้เขาอย่างไง ไม่รู้เลย รู้เขาไม่ได้ๆ เพราะอะไรล่ะ เพราะเราไม่รู้เราไง

ถ้ามันรู้เราๆ รู้อะไร ก็รู้หัวใจของเรานี่ไง ถ้ารู้หัวใจของเรา ที่มันสกปรกโสมมขึ้นไป ถ้าไม่รู้ใจเรานะ สิ่งนั้นน่ะมันเกิดทิฏฐิมานะ เหยียบย่ำเขาไปทั่วๆ คิดว่าจะเหยียบย่ำเขาไปจะให้เขายอมรับเรา โดยที่ความที่เราก็ยังไม่รู้จักเรา ไม่รู้จักเพราะอะไร ไม่รู้จักเพราะอารมณ์มันครอบงำไง ไม่รู้จักเพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง มันครอบงำหัวใจนี่ไง แล้วมันก็ฉุดกระชากไปแสดงออกโดยความไม่รู้ตัวไง ความไม่รู้ตัวแต่รู้ด้วยทิฏฐิมานะ รู้ด้วยความเห็นอันนั้น รู้ด้วยความเหยียบย่ำ ด้วยความเอาชนะคะคานกัน นี่ไงไม่รู้เรา

ถ้าไม่รู้เราก็ไม่รู้เขา จะรู้เขาได้อย่างไงเพราะเราไม่รู้จักเราน่ะ เรายังไม่รู้จักอารมณ์มันเกิดอย่างไง มันตั้งอยู่อย่างไง แล้วมันตอบสนองๆ แล้วมันเหยียบย่ำหัวใจอย่างไง แล้วมันถ่ายขี้รดแล้วมันไปเหลืออะไร ถ้าเป็นคนหยาบก็เหลือแต่ความสะใจ แต่ถ้าเป็นคนที่ละเอียดเหลือแต่ความเสียใจ มันเสียใจ เสียใจว่าเราหลงไปในอารมณ์เราเอง เราเสียใจที่เราโดนอารมณ์เราฉุดกระชากไป เสียใจๆ เสียใจต่อผู้ที่มีวุฒิภาวะที่เป็นสัมมาทิฏฐิ

แต่ถ้ามันเป็นการสะใจต่อผู้ที่เป็นพาลชน พาลชนนะมันสะใจว่าทำเขาแล้ว ดีแล้วพอใจแล้วไง นี่ไงไม่รู้จักเรา ถ้าไม่รู้จักเราก็ไม่รู้จักเขา นี่ที่เขามาๆ เป็นอย่างไง ดูสิ เห็นไหมในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เกลียดความทุกข์ปรารถนาความสุขทั้งนั้น ในบรรดาสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย รักชีวิตของตนทั้งนั้น ในบรรดาสรรพสิ่งที่มีชีวิต เห็นไหม ปรารถนาแต่คุณงามความดีทั้งนั้น แต่คุณงามความดีของใคร คุณงามความดีของคนที่วุฒิภาวะที่ต่ำต้อยก็คุณงามความดีของเขา ด้วยมุมมองของเขา แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีสติมีปัญญาของเขา เห็นไหม คุณงามความดีของเขา คุณงามความดีเป็นนามธรรมไง คุณงามความดีของเขานี่ นักพรตๆ

นักพรตนักบวช เห็นไหม นักบวชไม่มีสมบัติของตน สมบัติของนักบวชก็คืออริยทรัพย์ สมบัติของนักบวช เห็นไหม มีคุณธรรมในใจ นี่สมบัติของนักบวช ศีล ศีลธรรมเป็นสมบัติของนักบวชนักพรต แต่ไม่มีสมบัติสิ่งใดๆ เลย นี่ไง สิ่งที่จิตใจที่มีวุฒิภาวะที่ละเอียดขึ้นมา สิ่งที่เป็นสมบัติของเราเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมที่เราจับต้องในใจของเราที่เรารู้ในใจของเรา แต่คนอื่นรู้กับเราไม่ได้ไง ดูสมบัติทางโลก เห็นไหม เขามีทรัพย์สิน เขามีสมบัติเท่าไร เขาร่ำรวย เขามีทรัพย์สินมาก แต่ทรัพย์สินอย่างนั้นมันเป็นทรัพย์สินของประจำโลกไง แร่ธาตุๆ มันก็อยู่กับโลกนี่ ใครมีสติปัญญานี่ก็ไปแสวงหามา แล้วเป็นลิขสิทธิ์ของเราๆ แต่เวลาซื้อขายกันไปแล้วก็เปลี่ยนสิทธิ์กันไป มันก็เป็นของของใคร มันเป็นสมบัติสาธารณะเลย มันไม่มีสิ่งใดเป็นจริงเป็นจังเลย

แต่บาปกรรมนี่ บาปกรรมแย่งชิงกันไม่ได้นะ กรรมของใครเป็นกรรมของคนนั้นนะ คุณงามความดีของใครก็เป็นคุณงามความดีของคนนั้น เวลาจิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม ความสงบในใจนั้นมันเป็นสมบัติของใครล่ะ มันก็เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก กับใจดวงนั้นใช่ไหม ถ้าใจดวงนั้นเขามีสติปัญญาของเขา เขารักษาใจของเขา เขามีปัญญาของเขา มันก็เป็นสมบัติของคนๆ นั้นใช่ไหม แล้วสมบัติอย่างนั้นมันเกิดขึ้นมาจากไหนน่ะ สมบัติอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาก็เกิดขึ้นจากวุฒิภาวะของจิตที่มันมีวุฒิภาวะที่มันละเอียดขึ้นมา มันถึงแสวงหาสิ่งนี้ มันถึงรักษาสมบัติสิ่งนี้

ถ้ารักษาสมบัติสิ่งนี้ เห็นไหม นี่รู้เรา ถ้ามันจะรู้เราได้ๆ รู้เราได้ด้วยสติด้วยปัญญาของเรา “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ถ้ารู้เรา ถ้ารู้เรา เราก็รู้เขาได้ รู้เขานะ นี่รู้เขารู้เราขึ้นมา เห็นไหม รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง นี่พูดถึงทางยุทธวิธีนะ แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ เป็นธรรม เห็นไหม นี่ถ้าเป็นธรรมมันเป็นสัจธรรม มันเป็นสัจจะความจริง ความจริงในอริยสัจ ถ้าความจริงในอริยสัจมันเกิดมาจากอะไรล่ะ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตนี้มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ แต่จิตคนพาลๆ คนหยาบช้านี่มันไม่มีอริยสัจ มันไม่มีความจริง มันเป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึกไง มันเป็นสัญญาอารมณ์ เห็นไหม แต่ถ้าสัญญาอารมณ์ ถ้ามันเป็นความจริงๆ เห็นไหม ทุกข์ควรกำหนด ถ้าทุกข์ควรกำหนดทุกข์มันเป็นอย่างไง ความพอใจ สิ่งที่ทนไม่ได้ อะไรที่มันทนไม่ได้คือทุกข์ ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ อย่างเช่น เห็นไหม นั่งอยู่นาน นอนนาน เราต้องนั่งขยับเปลี่ยนอิริยาบถโดยสัญชาตญาณๆ จนเป็นความคุ้นชินกับมัน จนเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย

แต่ถ้าคนมีสติมีปัญญา สิ่งนั้นนะทุกข์ควรกำหนดๆ เห็นไหม เรากำหนดที่เรามานั่งสมาธิ เรามาเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนากันนี่ ก็เพราะเพื่อกำหนดรู้ กำหนดรู้ในทุกข์ แต่กำหนดรู้ในทุกข์นี่มันก็เป็นการดัดจริตซะ ดัดจริตไปหมด รู้ตัวทั่วพร้อมๆ มันไม่เกิดเลยน่ะ มันไม่มี เลย ไม่รู้จักทุกข์ไง เอ้า ก็ทุกข์มันไม่มี มันว่าง มันสบาย นี่ไงมันดัดจริตไปก่อนไง เพราะมันดัดจริตมันเลยไม่ได้รู้อะไรเลยไง

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ของเรา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำความสงบของใจเข้ามา นี่ถ้ามันเห็นจริงๆ เห็นไหม เวลาที่ว่าทุกข์คือการทนอยู่ไม่ได้ เรานั่งอยู่จน ๗ ชั่วโมง ๘ ชั่วโมงทนอยู่ได้ไหม เรานอนอยู่โดยไม่ลุกกันเลยมันทนอยู่ได้ไหม ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ สรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง คือมันไม่มีสิ่งใดคงที่ไง มันไม่มีสิ่งใดคงที่ตายตัวหรอก มันไม่มี มันไม่มีหรอก ความเข้าใจของเรานี่มันอยากจะปรารถนาความสุข อยากจะสมความปรารถนาโดยความปรารถนาของตนให้มันสมบูรณ์ของมัน แล้วมันมีอยู่ที่ไหน มันไม่มี ถ้ามันไม่มีน่ะ ทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ ทุกข์คือสิ่งที่เราทนอยู่ไม่ได้ สิ่งที่มันต้องแปรปรวน นี่มันคือทุกข์

แล้วเราอยากไปหาทุกข์กัน แล้วบอกว่า ทุกอย่างบนโลกนี้สต๊าฟหมดเลย คงที่ตายตัวหมด ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นการฝืนความจริงไง นี่มันเป็นการฝืนความจริง คือเป็นการดัดจริตไง แต่ที่ไม่ดัดจริต รู้เขารู้เรา ถ้ามันจะรู้เขาได้มันต้องรู้เราก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ตัวทั่วพร้อม รู้หมดทุกสิ่งทุกอย่างโลกนอกโลกใน

โลกนอกก็คือโลกในวัฏฏะนี้ไง ความเป็นไปของโลกนี่โลกนอก โลกในๆ โลกในก็โลกกิเลสไง โลกในก็จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง ถ้ามันชำระล้างนี่โลกใน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบทั้งโลกนอกและโลกใน ตรัสรู้เองโดยชอบ เห็นไหม เพราะเข้าใจว่านั้นหมดน่ะ มองทุกอย่างสรรพสิ่งทุกอย่างมันเข้าใจได้หมด มันเห็นตามความเป็นจริงหมด ถ้าเห็นตามความเป็นจริงหมด เห็นไหม เทศนาว่าการขึ้นมา เวลาพระที่ปฏิบัติขึ้นมาติดขัดสิ่งใดก็ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้เองโดยชอบไง

แต่ในโลกสมมุติเรานี้ไง สมมุติบัญญัติๆ รู้โดยดัดจริตไง เวลาศึกษามานี่ศึกษามาเพื่อความรู้ ศึกษามาเพื่อความรู้ๆ นี่เป็นสุตมยปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะ ไม่ขัดไม่แย้งกัน การศึกษานี่โลกมีเจริญๆ ก็เจริญจากการศึกษา แต่ศึกษาแล้วมันต้องปฏิบัติขึ้นมาให้ทำงานเป็น การทำงานเป็นคือภาคปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติไปแล้วมันเกิดปฏิเวธะ ปฏิเวธะนี่มันรู้แจ้งๆ ถ้ารู้แจ้งอย่างนี้มันก็เป็นความจริง เห็นไหม ไม่ดัดจริต รู้เองโดยชอบ โดยตามสติปัญญาของตน รู้โดยการกระทำของตน รู้โดยสัจจะความจริง

จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตนี้มันได้กระบวนการของมัน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค กระบวนการของอริยสัจ เห็นไหม อริยสัจเป็นสัจจะความจริง จิตมันต้องกลั่นออกมา ถ้าจิตมันกลั่นออกมา มันรู้จริงทำจริงออกมาแล้วนี่มันจะเป็นความจริง มันจะรู้รอบขอบชิด มันจะรู้เราทั้งหมดเลย รู้เราทุกข์ อ๋อ ทุกข์ก็เป็นอย่างนี้ สมุทัยควรละ สมุทัยคือตัณหาความทะยานอยากไง อยากให้ทุกข์หาย อยากจะรู้จักธรรม อยาก นี่ทุกข์ควรกำหนดก็กำหนดไม่เป็น เวลามันจะสมุทัยควรละๆ มันก็ไม่รู้จะละอย่างไง หันซ้าย หันขวา หันรีหันขวาง มันไม่รู้ว่าจะละอย่างไง มันขัดข้องไปหมดเลย ความจริงจากภายใน ถ้ามันรู้ในไม่ได้ ในเรารู้ไม่ได้แล้วมันจะละอย่างไงล่ะ ถ้ามันละไม่ได้ ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ทุกข์ก็กำหนดไม่ได้ เวลาจะละก็ละไม่เป็น ถ้าละไม่เป็นน่ะ แต่ศึกษามามากนะ ศึกษามามากก็เกิดจินตนาการไง จินตนาการกันไป ไม่รู้เรา เพราะไม่รู้เรา มืดบอด มันก็ไม่รู้เขา

ถ้ามันรู้เขาขึ้นได้ รู้เขา เห็นไหม ดูสิในสัปปายะ ๔ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นภัยของมันนะ เห็นภัยคืออะไรนะ ดูสิ ยักษ์ตัวใหญ่ เห็นไหม กาลเวลา มืดกับสว่างกลืนกินสรรพสิ่งทั้งหมดในโลกนี้ สรรพสิ่งทั้งหลาย กาลเวลากินหมดเลย แล้วกินหมดเลย แล้วกาลเวลามันก็เป็นสสาร เป็นแร่ธาตุ ที่ตัวมันเองไม่มีผลตกค้างในตัวของมัน แต่มันจะมีผลตกค้างจากจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้ไง

นี่ยักษ์ใหญ่มันกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด กาลเวลากลืนกินไปหมด เห็นไหม เวลาเรามาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานี่ทำอย่างไงให้เป็นวิวัฏฏะ คือพ้นออกไปจากกาลเวลา พ้นออกไปจากการหมุนเวียน พ้นออกไปจากผลของวัฏฏะ เราเกิดมาจากผลของวัฏฏะ แต่เห็นภัยในวัฏสงสาร ภัยในวัฏสงสาร เห็นไหม ทำไมถึงเห็น เห็นเพราะศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ จากโลกนอกโลกในทำลายทั้งหมดอวิชชา ออกจากวัฏฏะๆ ออกจากวัฏฏะไปแล้วนี่ไม่หมุนไปในวัฏฏะ ท่านถึงชี้นำๆ บอกเรานี้ไง

ถ้าชี้นำเรา เห็นไหม ท่านถึงให้ประพฤติปฏิบัติให้รู้แจ้งจากภายใน ถ้าให้รู้แจ้งจากภายในแล้วการปฏิบัติแล้วรู้แจ้งรู้แจ้งอย่างไง เพราะการปฏิบัติจากภายใน เราเริ่มจากการปฏิบัติขึ้นมานี่เราไม่มีความรู้ เราไม่มีเหตุผลๆ เราก็ต้องมีการศึกษา ศึกษาของเรานี่ เห็นไหม เราศึกษาในวัฒนธรรมประเพณีมันมีการกระทำอยู่แล้ว เราคุ้นชินกับมันเพราะเราเกิดเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาท่ามกลางของครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ เราก็เห็นร่องเห็นรอย เราเห็นแต่เรายังไม่รู้รายละเอียด เราไม่รู้จักการกระทำ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราก็มาบวชพระ

เวลาบวชขึ้นมา เห็นไหม อุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ๆ จริงตามสมมุติไง จริงตามสมมุติบวชมาแล้วเป็นพระมีศีล ๒๒๗ เหมือนกัน ลงอุโบสถเหมือนกัน ทำสามัคคีอุโบสถร่วมกัน มันสมบูรณ์มันไม่เป็นโมฆะ มันไม่เป็นโมฆียะ มันไม่เป็นความล้มเหลว มันเป็นความจริงความจังขึ้นมา เพราะเราและอุปัชฌาย์อาจารย์เราบวชมาสมบูรณ์ในความเป็นพระ ถ้าบวชสมบูรณ์ในความเป็นพระขึ้นมา นี่มีความสมบูรณ์

ศึกษาตรงนั้นนะนี่ภาคปริยัติ บวชมาแล้วมีครูบาอาจารย์ของเราแล้ว เห็นไหม ให้ประพฤติปฏิบัติ เราก็จะประพฤติปฏิบัติของเราไง พอจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันก็เป็นชุมชุนเป็นหมู่สงฆ์ มันก็มีเรามีเขา เห็นไหม รู้เขาๆ ถ้าเขาก็น้ำใจของเขา สัปปายะ ๔ๆ เราเห็นใจต่อกัน เรานะ เราทุกคนเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน ต้องหายใจเหมือนกัน ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน คำว่าเหมือนกันๆ แต่ความชอบๆ ความถนัดของคนมันอาจจะแตกต่างกันบ้าง แตกต่างกันบ้างเราก็มีน้ำใจต่อกัน เห็นไหม รู้เขา รู้เขาเพราะอะไร รู้เขาเพราะเห็นเราใจนี่ไง

ที่เรามาๆ เราก็มาเพราะเหตุนี้ ทุกคนมาเพราะเรามีเป้าหมายนะ เรามีเป้าหมายนะ เราอยากเห็นตัวเราเอง เราอยากเห็นจิตของเรา เราอยากเห็นจิตของเราให้มันสงบขึ้นมา ถ้าจิตสงบแล้วนี่จิตได้เห็นสติปัฏฐานตามความเป็นจริง เราจะใช้ปัญญาของเราวิเคราะห์วิจัยของเรา เราจะวิจัยของเราขึ้นมา ให้เราเกิดภาวนามยปัญญา เกิดปัญญาขึ้นมาไง

นี่จิตที่จะกลั่นออกมาจากอริยสัจๆ ก็กลั่นออกมาจากสติปัฏฐาน ๔ นี้ไง ถ้ากลั่นออกมาจากสติปัฏฐาน ๔ ด้วยกาย ด้วยเวทนา ด้วยจิต ด้วยธรรม เห็นไหม ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา แล้วถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา ปัญญาภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้น เราใช้วิเคราะห์วิจัยของเราด้วยปัญญาของเรา เห็นไหม นี่สัมโพชฌงค์ๆ วิเคราะห์วิจัยธรรมะไง ถ้าวิเคราะห์วิจัยธรรมะมันเป็นสัจธรรม เห็นไหม ถ้ามันเป็นสัจธรรมนี่ ทุกคนก็ปรารถนาๆ อย่างนี้ทั้งนั้นน่ะ

เราก็ปรารถนา ทุกคนก็ปรารถนา รู้เขารู้เรานี่เห็นอกเห็นใจกัน นี่น้ำใจของเขา เขาเองเขาก็ขวนขวายเขามา ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบ ทุกคนมีสิทธิตามความเป็นมนุษย์ของทุกๆ คน แล้วทุกคนๆ มีสติปัญญา เห็นไหม แต่ละคนก็แตกต่างกันไปๆ รู้เขาๆ รู้เขาก็ด้วยมีน้ำใจต่อเขา เรามีน้ำใจต่อกัน มีน้ำใจต่อกัน รู้เขา เห็นไหม เพราะทุกคนปรารถนาเหมือนกัน ทุกคนมีเป้าหมายเหมือนกัน

แต่! แต่ความรู้สึกนึกคิดของคนมันแตกต่างกัน เราจะไปควบคุม จะเป็นบรรทัดฐานๆ ก็อยู่ในศีลนี้แหละ อยู่ในศีล ถ้าไม่ผิดศีล ถ้าเขาไม่ผิดศีลของเขา เขาไม่ทำสิ่งใดมันก็ไม่มีความรังเกียจไง คนเราจะรังเกียจรังงอนกันก็ด้วยศีลด้วยธรรมนี่แหละ ด้วยความอยู่ด้วยกัน ศีลแตกต่างกันมีความเห็นแตกต่างกัน เห็นไหม มันก็เข้าทิฏฐิมานะที่แตกต่างกัน ทิฏฐิมานะที่เสมอกัน ที่ใกล้เคียงกัน เห็นไหม ความเป็นอยู่ของหมู่สงฆ์ เห็นไหม นี่รู้เขาๆ ถ้ารู้เขาๆ ถ้ามันรู้เราซะอย่างเดียวนี่มันจะรู้เขา แต่มันรู้เขารู้เราน่ะ การประพฤติปฏิบัติมันก็สะดวกราบรื่นขึ้น การสะดวกราบรื่นขึ้นสะดวกเพื่ออะไรล่ะ

ความประพฤติปฏิบัตินะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้มันไม่มีตายๆ มันเวียนว่ายตายเกิดมากี่ภพกี่ชาติ ถ้าเราใคร่ครวญในธรรมะไง ถ้าจิตเราศึกษาธรรมะแล้วเราใคร่ครวญอยู่ในธรรมะ แล้วเราอยู่กับสัจธรรมอย่างนี้ มันสังเวชนะ สังเวชมากๆ เราเกิดมานี่มันเป็นชาติเป็นตระกูลนะ ถ้าเราเป็นผู้ที่รับผิดชอบมีความรักมีความผูกพันกับสิ่งใด แล้วความรักความผูกพันต้องพลัดพรากจากเราไปโดยกะทันหันนี่ คนๆ นั้นอาจถึงเสียสตินะ เสียสติเพราะอะไร เพราะเขาทำใจของเขาไม่ได้ เวลาสิ่งใดที่เขารักเขาสงวนของเขา แล้วเสียหายไปนี่ บางคนนี่เห็นไหม ถ้าจริตนิสัย คำว่าจริตนิสัยเพราะจิตใจเขาอ่อนแอ พอเขาอ่อนแอก็ต่อต้าน เขาต่อต้านนะ เขาต่อต้านสังคม เขาประชดสังคม เขาทำให้ชีวิตเขาเสียหายไปเลย มันสังเวชๆ เพราะว่าจิตใจเขาอ่อนแอ เขารับภาวะอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าเขารับภาวะอย่างนั้นไม่ได้นะ เขามีปัญหาของเขานะ

นี่พูดถึงรู้เขาไง มันเห็นใจต่อกันๆ ความทุกข์ความยากมันมีมาเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ เขาก็ทุกข์เขาก็ยากของเขามา ไอ้เราก็ทุกข์เราก็ยากของเรามา เวลาความทุกข์ความยาก เห็นไหม ความทุกข์ความยากเพราะจิตใจที่มันมีปัญหาขึ้นมามันก็ยอมรับ มันก็ว่าสิ่งนั้นเป็นความทุกข์ความยากของเรา แต่จิตใจที่คนเขามีกำลังของเขานะ ไอ้เรื่องนี้เป็นของเล็กน้อยมาก คำว่าเป็นของเล็กน้อยนะ มันมองข้ามๆ มันก็ทำของมันได้ขึ้นมา เห็นไหม นี่รู้เขาๆ ถ้าเห็นน้ำใจต่อเขานี่ เห็นใจต่อเขานี่ นี่ไงถ้ารู้เขา ดูสิ ในสังคมปฏิบัตินั้นมันก็สะดวกใช่ไหม ในสังคมนั้นมันก็ไม่กระทบกระเทือนกันใช่ไหม ถ้ามันไม่กระเทือน รู้เขา คนจะรู้เขานี่มันต้องรู้เราก่อนไง แต่ถ้ามันไม่รู้เรานี่ มันจะรู้เขาได้อย่างไงน่ะ มันไม่มีน้ำใจใดๆ ต่อกันเลยเหรอ

เราเกิดมา เห็นไหม ดูสิ ดูเวลาญาติโยมเขามาทำบุญกุศลของเขา เขาให้สิ่งที่เป็นวัตถุ มันเป็นอามิส แล้วเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ให้ธรรมเป็นทานๆ เป็นการให้ที่ประเสริฐที่สุด “ให้ธรรมเป็นทาน” ให้ธรรมเป็นทานก็ให้วิชาการความรู้นี่ไง เทศนาว่าการนี่ให้ธรรมเป็นทานๆ ดูสิ เขาถึงพิมพ์หนังสือกัน แจกกันน่ะ ให้ธรรมเป็นทานคือให้ทางวิชาการกัน ให้เขาฉลาดขึ้นมา สิ่งที่ฉลาดขึ้นมานี่ให้ทานที่สูงสุด

ไอ้นี่เราเป็นนักบวชด้วยกัน รู้เขารู้เรา ถ้ารู้เขารู้เรา เราเปิดช่องให้เขาๆ เรามีน้ำใจต่อกันไง ใครประพฤติปฏิบัติ ใครมีธุระปะปัง เห็นไหม เราจะไหว้วานกัน ให้รับผิดชอบต่อกันเพราะอะไร พระก็มาจากคน คนก็มีปัจจัยเครื่องอาศัย พระก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วพระเราบวชมาแล้วมันมีข้อวัตรปฏิบัติใช่ไหม ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมานี่ กิจกรรม เห็นไหม กิจของสงฆ์ ๆ ไง นี่ในศาลา ในโรงธรรม ในวัด ในกุฏิ ในส้วม ทุกอย่างมันมีวัตรปฏิบัติหมด

ถ้าวัตรปฏิบัติหมด เห็นไหม เราไหว้วานกันๆ ถ้าหน้าที่ของใคร ใครมีความจำเป็นรับผิดชอบขึ้นมานี่ เราไหว้วานกันๆ นี่มันมีน้ำใจต่อกันๆ สิ่งใดมันก็สะดวกไปหมด เรามีน้ำใจต่อกันไง แต่ถ้ามันไม่มีน้ำใจต่อกันมันเป็นประเด็นขึ้นมาทั้งนั้น มันเป็นประเด็นที่เราจะเอามาให้มันกระทบกระเทือนกันได้ทั้งนั้น แล้วเราไปทำทำไม เราโง่หรือเราฉลาด อ้าว ก็เรามาหาอะไรล่ะ ทุกคนปรารถนาความสุขเกลียดความทุกข์ทั้งนั้นนะ ทุกคนไม่ต้องการความขัดแย้ง ทุกคนไม่ต้องการความกระทบกระเทือนทั้งนั้น ทุกคนต้องการความราบรื่นในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ เราอยากมีสติ เราอยากมีคำบริกรรม คำบริกรรมเราอยากให้ละเอียดขึ้นไป เราอยากให้จิตเราลงสู่สมาธิๆ แล้วเราอยากให้จิตของเราค้นคว้าหาสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้าใครเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริงแล้วเราก็จะวิปัสสนาของเรา ถ้าวิปัสสนาของเราแล้วเราเกิดปัญญาของเรา เห็นไหม ถ้าเรามีปัญญาของเรานี่ ธรรมะขึ้นมาแล้วนี่มันจะเกิดปัญญา ความตกผลึกในใจนี่ เห็นไหม

สิ่งที่ไม่มีชีวิตๆ นี่นาฬิกาเวลามันตายไปแล้วเขาเอาไปโยนทิ้ง เวลาคนมันตายไปแล้ว นี่เอาร่างกายไปเผา แต่หัวใจมันไม่ตาย มันไม่มีการตายที่สมบูรณ์ไง มันตายเพราะหมดวาระ มันเป็นการสิ้นสุดชีวิตนี้ สิ้นสุดภพนี้ แต่ไปเกิดภพใหม่ ถ้าเกิดภพใหม่ขึ้นมานี่ ถ้าทำคุณงามความดีขนาดไหน มันก็เกิดขึ้นมา มันก็มีปัญญามากขึ้น ถ้ามันมีปัญญามากขึ้นมันก็สงวนรักษาชีวิตของมันมากขึ้น แต่ถ้าคนเกิดมา เห็นไหม เกิดมาด้วยความทุกข์ความยาก นี่มันเกิดมาเพราะหนี หนีจากนรกอเวจีมา

เวลาคนเราทำบาปอกุศล เห็นไหม เทวทัตทำลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดในขุมนรกอเวจีต่ำสุดเลย แล้วเวลาหมดเวรหมดกรรมก็ผ่อนขึ้นมาเป็นชั้นๆ ขึ้นมา พอเป็นชั้นๆ ขึ้นมายังไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์นี่ หนีมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ก็มาเกิดทุกข์ๆ ยากๆ เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่ ถ้าในภพที่เรามาจากที่ทุกข์ที่ยากมันมาด้วยความขาดแคลนทั้งนั้น แต่ถ้ามา เห็นไหม ดูสิ มาจากพวกสวรรค์มาจากสิ่งที่สมบูรณ์มา พอมาเกิดเป็นมนุษย์นะ จิตใจนุ่มนวล จิตใจนี่ร่มเย็น

นี่มันมาแตกต่างกัน แล้วมันแตกต่างกัน มันมาเกิดในสถานะของมนุษย์มา มันเกิดร่วมกันน่ะ พอเกิดร่วมกันจิตใจมันก็แตกต่างกัน ความเห็นทิฏฐิมันก็แตกต่างกัน เห็นไหม ถ้าความเห็นที่แตกต่างกันนี่ เวลาที่จิตมันสงบแล้วมันจะค้นคว้าหาความจริงนี่ ถ้าจิตมันไม่สงบขึ้นมามันไม่มีวุฒิภาวะ มันจะรับรองอะไรได้

แต่ถ้ามันรับรองสิ่งใดได้มันเป็นประโยชน์ เห็นไหม นี่รู้เขารู้เรา ถ้ารู้เขาขึ้นมานี่มันรู้เราแล้วมันจะเห็นใจเขา แล้วจะรักษาได้ จะดูแลได้ จะเป็นคุณงามความดีไง เราทำคุณงามความดีต่อกัน เวลาเราจะต้องจากกันไป เห็นไหม มันระลึกถึงๆ ที่เคยอยู่ด้วยกัน เคยที่สัมผัสกันมา มันระลึกถึงกันด้วยความระลึกถึงนะ แต่ถ้ามันมีความบาดหมางกันมา มันมีความกระทบกระเทือนกันมา เวลามาระลึกถึงมันไม่อยากระลึกถึงเลย ต่างคนต่างไม่หันหน้าเข้าหากันเลย

นี่พูดถึงว่า ถ้าไม่รู้เรา ไม่รู้เราเราก็ไม่รู้ถึงสัจจะความจริง ไม่รู้ถึงวัฏฏะ เราทำสิ่งใดเราก็ทำด้วยอารมณ์ของเราไง แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เห็นไหม เราทำสิ่งใดเราทำเพื่อประโยชน์ เขาจะรู้ไม่รู้เป็นเรื่องของเขา เขาจะรู้หรือไม่รู้มันเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราทำคุณงามความดีบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อคุณธรรมในหัวใจของเราไง เรามีเป้าหมายของเรา มีเป้าหมายของเราคือเราจะทำขึ้นมาให้เกิดสมบัติของเรา สมบัติของเราคือศีล คือสมาธิ คือปัญญาของเรา คือสัจธรรม คือศีลคือธรรมในหัวใจของเรา เราทำของเรา เรารักษาของเรา เราดูแลของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ใครเขาจะทำสิ่งใดมันเรื่องของเขา

แต่! แต่กิเลสมันไม่ยอม กิเลสนะทุกคนจะบอกว่า อยากจะให้ทุกอย่างดีแล้วเราก็จะทำคุณงามความดีด้วย เวลาจะทำคุณงามความดี กิเลสมันต่อต้านทั้งนั้น นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี เขาก็ทำกันอย่างนั้น เราก็เลยไม่อยากทำ ไม่อยากทำเพราะจิตใจมันอ่อนแอไง ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมามันทำได้ทั้งนั้น มันทำได้ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ท่านทำเพื่อลูกศิษย์ลูกหา ท่านทำของท่านได้ทั้งนั้น ท่านทำเพื่อประโยชน์ไง ประโยชน์กับสังคม เขาจะรู้ไม่รู้มันเรื่องของเขา มันเรื่องของเขา

นี่ไง การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราจะรู้ไม่รู้นี่เราจะไปปฏิเสธได้ไหม เวลาเราเกิดเป็นปัญญาชน เห็นไหม มันมีจริงหรือเปล่า นรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า ทุกคนถามเลย นรก สวรรค์มีจริงหรือเปล่า มีจริงไม่มีจริงก็มาเกิดเป็นมึงนั่นแหละ ถ้ามันไม่มีจริงมันไม่คิดอย่างนี้หรอก ก็ความคิดนี่แหละ ความคิดจริตนิสัยนั่นมันมาจากนั่น มันมาจากนั่นมันถึงมาเป็นแบบนี้ แต่ถ้าคนเขามาสวรรค์เขามาจากคุณงามความดีนะ เขามาดีกว่านี้อีก เขามาแล้ว เห็นไหม จิตใจคนที่เป็นธรรมๆ โอ๋ เขาเสียสละได้มหาศาล เขาทำของเขาได้ แล้วไม่ได้ทำของเขาด้วยความโดนบีบบังคับนะ เขาทำของเขาด้วยความชื่นใจ เขาทำของเขาด้วยความพอใจของเขา เขาทำของเขาด้วยความเต็มใจของเขา เพราะหัวใจของเขามันยิ่งใหญ่

แต่ถ้าส่วนจิตใจของคนมันไม่ยิ่งใหญ่ เห็นไหม ทำอะไรไม่ได้เลยๆ นี่มันมาจากไหนน่ะ แล้วบอกว่านรกสวรรค์มีหรือเปล่า ภพชาติมันมีหรือเปล่า มันมีอย่างนี้ไง ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นคนแก่ คนเกิด คนเจ็บ คนตาย นั่นท่านถึงถามว่า เราต้องเป็นอย่างนี้เหรอ ไอ้เราไปงานศพ เห็นไหม เขาเวียน ๓ รอบ นี่วัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เขาทำให้เห็นๆ น่ะ เขาทำเพราะประเพณีวัฒนธรรมไง ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ

ในทางตะวันตกนะเขาแปลกใจ แปลกใจว่าในทางตะวันออกเวลาคนตายอะไรต่างๆ ทำไมไม่เศร้าโศกเหมือนเขา ทำไมไม่ตีโพยตีพายแบบเขา เพราะศาสนาสอนไง เพราะธรรมชาติมันสอนไง ธรรมชาติเขาบอกไว้แล้วไง แต่เวลาธรรมชาติสอนนะ ธรรมชาติสอน ศาสนาสอน ถ้าธรรมชาติการถือผีไง การถือผี ความเชื่อผี ด้วยจิตวิญญาณเขาก็เชื่อของเขาอยู่แล้ว เรื่องศาสนาผี แล้วเวลาพุทธศาสนามานี่ พุทธศาสนามานี่มันมีธรรมะ มันมีอริยสัจมีสัจจะความจริง

ดังนั้นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธออย่าเสียใจไปเลย อย่าคร่ำครวญไปเลย อย่าทุกข์ยากไปเลย ให้ทำคุณงามความดี” การทำคุณงามความดีแล้วอุทิศส่วนกุศลนี่ นี่ไง เพราะทำคุณงามความดีอุทิศส่วนกุศลคนเป็นเท่านั้นถึงอุทิศส่วนกุศลได้ คนตายอุทิศส่วนกุศลไม่ได้ สสารสิ่งที่ไม่มีชีวิตมันไม่มีน้ำใจที่ให้ต่อกัน

ดูสัตว์สิ สัตว์มันแย่งมันชิงกันมันกัดกัน มันให้โอกาสใคร แต่มนุษย์ เห็นไหม เราทำคุณงามความดีแล้วนี่ ในคุณธรรมของเรานี่ เราอุทิศส่วนกุศลนี่ให้กัน ความรู้สึกนึกคิดมันถึงกัน ความอาลัยอาวรณ์ เห็นไหม ความระลึกถึงกันน่ะๆ จิตที่ระลึกถึงกันนะ มันเป็นความจริงนะ มันเป็นความจริงที่มันมีอยู่แล้วไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมาสอนไง เพราะของมันมีอยู่แล้วไง ถ้าไม่มีไปรษณีย์เอ็งจะส่งของให้ใครล่ะ มันต้องมีไปรษณีย์ใช่ไหม เราถึงไปฝากไปรษณีย์ได้ใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกันข้อเท็จจริงในการอุทิศส่วนกุศล ความรู้สึกมันมีของมันอยู่แล้วใช่ไหม แต่คนไม่เข้าใจคนไม่รู้ก็ไปทำอย่างอื่น เห็นไหม ไปทำในทางอื่น เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลารู้แล้วก็ให้ทำอย่างนี้ไง ทำอย่างนี้เพื่อให้ระลึกถึงกัน ฉะนั้นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ให้ทำคุณงามความดีแล้วระลึกถึงกัน อย่าคร่ำครวญ อย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ คำว่า อย่าคร่ำครวญ อย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ เพราะการคร่ำครวญ และการเสียใจการร้องไห้นี่มันเป็นความทุกข์ๆ เพราะความทุกข์อันนี้มันไปกีดขวางไง มันไปขัดแย้งกับข้อเท็จจริงไง เพราะตามข้อเท็จจริงพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ต้องตกไง คนเราเกิดแล้วต้องตายไง คนเกิดมานะถ้ามีบุญกุศล เขาได้บุญกุศล ทำคุณงามความดีส่งเสริมเขา เขาก็จะมีความสุขเพราะเขาทำของเขามา

เวลาคนที่เกิดมามีความทุกข์ความยากของเขานี่ เขาเกิดมานี่ก็บาปอกุศลส่งเสริมเขา มาตอบสนองเขา แล้วถ้าในปัจจุบันนี้สิ่งนั้นถ้าคนที่จิตใจเข้มแข็ง เห็นไหม สิ่งที่ตอบสนองมามันก็ตอบสนองมาเฉยๆ แต่เขาไม่เดือดร้อนไปด้วย เพราะเขาไม่เดือดร้อนไปด้วย เห็นไหม เพราะเขามีคุณธรรมในใจ สิ่งนั้นมันก็ไม่มีผลกับใจของเขา แต่ไอ้คนที่ดูอยู่ข้างนอกดูแล้วเจ็บปวดแทนไง แต่เขาไม่มีผลกระทบของเขา เพราะจิตใจเขามีคุณธรรมในหัวใจของเขา นี่ไงถ้าเกิดในชาติปัจจุบัน ธรรมะๆ เป็นปัจจุบันนี่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงปัจจุบัน เรามาแก้กันที่ปัจจุบันไง

ฉะนั้นสิ่งที่เราเป็นมานี่ที่ภพชาตินี้หรือเปล่า วัฏฏะมันมีหรือเปล่า ไอ้สิ่งนั้นน่ะมันมีมาเป็นจริตเป็นนิสัย มันเป็นพันธุกรรมของจิต ๆ นั้นคำว่าพันธุกรรมของจิตมันตัดแต่งมาด้วยบุญด้วยกุศล มันตัดแต่งมาด้วยบาปอกุศลที่มันทำของมันมา ถ้าทำของมันมาแล้วนี่ ในชาติปัจจุบันถ้าเรามีสติมีปัญญาเราจะรื้อค้นตรงนี้ไง นี่ไงถ้ารื้อค้นตรงนี้ มันจะเข้ามาถึงรู้เราแล้ว ถ้ารู้เราแล้ว เราจะไม่ให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมาชักใย

เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันชักใย พอมันแสดงออกไป ไอ้คนที่มีคุณธรรมนะ ครูบาอาจารย์ เห็นไหม ในทางจิตวิทยาตาเป็นหน้าต่างของใจ มันคิดอะไรหัวใจมันแสดงออก ตาเป็นหน้าต่างของใจ ไอ้นี่กิริยาการประพฤติ ทางจิตวิทยาเขารู้ได้ อยากได้ อยากดี อยากเด่นโดยที่กดขี่เขา โดยที่การกระทำทางอ้อม โดยสื่อโดยภาษากาย ภาษากายเขารู้เขาเห็นของเขา แต่ไอ้เรายังไม่รู้เลยน่ะ เพราะไม่รู้เรา เพราะเราไม่รู้เรา เราแสดงสิ่งใดออกไป

ฉะนั้นทีนี้เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านมีธรรมๆ เห็นไหม ภาษกายๆ ท่านแสดงออก ภาษากายแสดงออกมันก็โดยสัญชาตญาณ แต่ใจจะคิดอย่างนั้นหรือเปล่า เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่เขามีความปรารถนาจะน้อมนำให้คนที่ปฏิบัติมีแนวทาง เขาก็แสดงออกนั้นคือภาษากายเหมือนกัน ภาษากายก็คือภาษากายคือภาษาธรรมชาติ แต่ว่ากิเลสในใจๆ มันปรารถนาลาภสักการะ มันปรารถนาให้คนสรรเสริญเหรอ แต่ถ้ามันไม่รู้เรานะ ที่มันแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวรู้ตนนะ เขาดูออก พอเขาดูออกแล้วนี่มันเป็นที่น่ารังเกียจ

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านแสดงออกเหมือนกัน แต่การแสดงออกแบบนั้นนะ แต่ท่านไม่มีความปรารถนา มันการแสดงออกๆ เพื่อจิตใจดวงหนึ่ง เห็นไหม จิตใจดวงที่สูงกว่าชักจิตใจดวงที่ต่ำกว่าให้ขึ้นมา นี่วิธีการๆ ดูสิ หนทางมรรคโคทางอันเอก ตามทางเดินของจิต จิตมันต้องผ่านไปทางนั้น ถ้าจิตมันผ่านไปทางนั้น ผ่านไปโดยสัจจะข้อเท็จจริง กลับผ่านไปโดยมารยาสาไถย ไม่รู้สึกตัวๆ มันไม่รู้จักตนนะ มันเป็นมารยาสาไถย แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ นะ มันไม่มีมารยาสาไถย มันเป็นข้อเท็จจริง ฉะนั้นมันถึงไม่มีเวรมีกรรมไง

ถ้าไม่มีเวรมีกรรมมันไม่มีเวรมีกรรมเพราะสัจจะความจริงอันนั้น นี่พูดถึงว่ารู้เรา รู้เราก็รู้เขา ถ้ารู้เขานี่เราจะพูดถึงสังคมไง เราจะพูดถึงสังฆะถึงความเป็นไปของหมู่สงฆ์ ถ้าหมู่สงฆ์มันเป็นจริงๆ นะ สิ่งที่มันเกิดขึ้นนะมันเป็นจริตนิสัย มันเป็นจริตมันไม่ใช่อริยสัจ มันไม่ใช่ความจริง เรามาหาความจริงกันต่างหาก ถ้าเรามาหาความจริงสิ่งนั้นมันเป็นนิสัยของคน มันเป็นวาสนาของคน เห็นไหม สันดานๆ น่ะ สันดานนะแก้ไขไม่ได้ แต่กิเลสคือความตัณหาทะยานอยาก เสร็จแล้วมันก็แสดงออกอย่างนั้น การแสดงออกส่วนการแสดงออก

การแสดงออกถ้ามันไม่มีกิเลสนะ มันรับได้หมด ถ้าไม่มีกิเลส ถ้าเป็นของครูบาอาจารย์นะท่านไม่มี แล้วมันเหมือนแต่มันไม่ใช่ มันเหมือนกับเด็กๆ เห็นไหม เด็กๆ นะ มันไร้เดียงสา ความว่าไร้เดียงสาคือสติปัญญาของเขาไม่เท่าทันตัวเขา เวลาเด็กๆ มันพูดอะไรมันเป็นการท่องจำ มันจำคำพูดมาแต่เนื้อหาสาระมันจะเข้าใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่มันพูดออกมาด้วยความไร้เดียงสา มันฟังแล้วมันไร้เดียงสานะ คำว่าไร้เดียงสาคือเขาไม่มีการหลอกลวงไง มันไร้เดียงสา

แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ นะ มันไม่ใช่ไร้เดียงสาๆ มันรู้เท่าหมด มันมีปัญญาสูงส่ง แต่การพูดอย่างนั้น เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่มีกิเลสในใจนี่ มันเหมือนกับไร้เดียงสา คือมันสะอาดบริสุทธิ์ไง เหมือนเด็กๆ ที่เขาว่าไม่ต้องการ เด็กๆ มันต้องการอะไร มันต้องการการชื่นชมจากผู้ใหญ่หน่อยหนึ่งแล้วมันแสดงออกนั่นน่ะ มันไร้เดียงสาดูแล้วมันน่ารักนะ แต่ผู้ใหญ่แสดงออกมานี่มันไม่น่ารักเลย แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่ว่าเวลาพระอรหันต์นะเหมือนไร้เดียงสา นี่เขาว่าพระอรหันต์คือการแสดงออกที่ไร้เดียงสา คือไม่มี โอ้โฮ อย่างนั้นเลยเหรอ

พระอรหันต์สติสมบูรณ์พร้อมนะ รู้พร้อม ปัญญาพร้อม แต่มันไม่มีกิเลสไง มันไม่มีตัณหาความทะยานอยาก คืออยากได้ อยากดี อยากเด่น มันไม่มี ความไม่มีนั่นนะการแสดงออกเหมือนไร้เดียงสา ไร้เดียงสาอะไรรู้เหรอ ไร้เดียงสาไปใกล้ๆ สิ กระเด็นเลย ไร้เดียงสา มันจะไร้เดียงสามาจากไหน คำว่าไร้เดียงสา ทีนี้เวลาทางโลกเราได้ยินมามีพระหลายองค์พูดมาก บอกว่าพระอรหันต์แสดงออกเหมือนเด็กไร้เดียงสา ห๊ะ โอ้ ปฏิบัติมาจนโง่เลยเนาะ ปฏิบัติมาจนไร้เดียงสา ปฏิบัติมาเพื่อฉลาด ไม่ได้ปฏิบัติมาเพื่อโง่ แต่จิตใจมันสะอาดเอง พอจิตใจมันสะอาดมันไม่มีมารยาสาไถย แต่การแสดงออกนะมันเหมือนกับไร้เดียงสา เขาเลยบอกว่าพระอรหันต์ โอ๋ย แสดงออกเหมือนกับไร้เดียงสาเลย อ้าว แสดงว่าไม่รู้อะไรเลยเนาะ ไปตามธรรมชาติไม่รู้เหนือรู้ใต้เลย แต่รู้

นี่พูดถึงว่า เขาบอกว่าเหมือนกับไร้เดียงสา ไม่ใช่! สมบูรณ์พร้อม แต่มันเป็นการแสดงออกแบบนั้น นี่พูดถึงถ้ารู้เราแล้วนี่ ถ้ารู้เราแล้วแสดงออกแบบนั้น มันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ไง เพียงแต่ว่าๆ พวกเรานี่มันจะมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน มองแล้วมันซาบซึ้งหรือไม่ซาบซึ้ง เข้าใจหรือไม่เข้าใจ ถ้าเป็นความเข้าใจเพราะเวลาเรามาบวชเป็นพระ เห็นไหม สิ่งที่สำคัญที่สุดนะ การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เป้าหมายมันอยู่ที่นั่นเลยละ เพราะเป้าหมายที่นั่นมันเกิดจากอะไรล่ะ เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญาคือมรรค เกิดจากมรรคเกิดจากผล เกิดจากการกระทำ ถ้าเกิดจากการกระทำนี่ การกระทำของเรานี่ ที่ว่าจากศีล สมาธิ ปัญญามันจะเข้าสู่ที่ไหน มันเข้าสู่ใจ ใจมันเข้าไปเพื่ออะไร เข้าไปเพื่อสำรอกอวิชชา ถ้าสำรอกอวิชชา พญามารในใจอันนั้น นี่ไงจริงๆ แล้วเป้าหมายมันอยู่ที่นี่ เราอย่าเบี่ยงเบน เราอย่าพลาดเป้าสิ เราอย่าพลาดเป้านะ นี่ทำหวังโน่นหวังนี่ หวังคาดไปข้างนอกหมดเลย เป้าหมายมันเบี่ยงเบนหมดเลย

พอเป้าหมายเบี่ยงเบนนี่ แล้วมันจะรู้เราได้อย่างไง ถ้าไม่รู้เรามันก็ไม่รู้เขา เพราะไม่รู้เรามันก็พลาดจากเป้า พอเราพลาดจากเป้าเราก็เหยียบคนอื่น เหยียบเขาไปทั่ว เพราะเราต้องการเป้าอย่างนั้นไง เราต้องการเป้า เห็นไหม มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศไง ต้องการให้คนนับหน้าถือตาไง ต้องการให้คนเคารพนบนอบไง แล้วทำไมเราถือหัวใจเราไม่ได้ เราเคารพหัวใจเราไม่ได้ เราเคารพความสงบระงับในใจเราไม่ได้ เราไม่เคารพคุณธรรมในใจของเราไม่ได้ แล้วใครจะเคารพล่ะ ใครจะเคารพ

แต่ถ้าเรารู้ของเรา เห็นไหม เรารู้ของเรานี่เราไม่มีสิ่งใด แล้วพอเรารู้ของเรา รู้ตัวรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมด จบแล้ว สิ่งอื่นไม่มีค่า สิ่งที่มีคุณธรรมขึ้นมาในใจนะ นี่ที่ว่าธรรมเหนือโลกๆ เหนือโลกจริงๆ เหนือโลก เหนือวัฏฏะ เหนือทุกๆ อย่าง ทีนี้เหนือทุกๆ อย่างแล้วนี่ ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านอยู่ดำรงชีวิตอยู่นี่ ท่านดำรงชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์ ถ้าเพื่อประโยชน์แล้วนี่ ทีนี้สังคมมันก็ต้องมีใช่ไหม สังคม เห็นไหม กะล่อนปลิ้นปล้อนไปทั้งนั้น แล้วกะล่อนปลิ้นปล้อนกันไป แล้วทำอย่างไงเพื่อให้มันจบ

ฉะนั้นเวลาสังคมเขาไว้วางใจ เขาไว้วางใจผู้ที่มีศีลมีธรรม ถ้าไว้วางใจผู้มีศีลมีธรรมมันเป็นที่ไว้วางใจ ใครๆ ก็เข้าไปหาผลประโยชน์ตรงที่ไว้วางใจนั้นนะ แล้วถ้าตรงนี้ไว้วางใจขึ้นมาแล้ว ตรงนั้นนะมันเป็นแหล่งที่เกิดประโยชน์ ฉะนั้นสิ่งที่เราทำแล้วนี่ ถ้ามันเป็นจริงมันจะเกิดประโยชน์ก็ให้มันเป็นประโยชน์กับโลก ให้มันเป็นประโยชน์กับในทางศาสนา ให้มันเป็นประโยชน์กับน้ำใจของคน ถ้ามันเป็นประโยชน์นะ

เราเกิดมานะ โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก ทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจมีทุกข์ยากในใจทั้งนั้นนะ ใครเกิดมาแล้วกระเสือกกระสนขึ้นมาพอเพื่อดำรงชีวิตอยู่ เพื่อรักษาชีวิตของตน แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติพยายามทำคุณงามความดีของเรา ทำความจริงให้เกิดขึ้นไง รู้เขารู้เรา จบนะ แต่เพราะไม่รู้เรานี่ก็เลยรู้เขาไม่ได้ รู้เขาไม่ได้ก็วุ่นวายกันไปหมด

แต่ถ้าเรารู้เราแล้วๆ เห็นไหม โลกเขาจะขับเคลื่อนไปขนาดไหน จะเกิดภาวะสังคมรุนแรงขนาดไหน นี่เรารู้เท่าทันเราทั้งหมด เราสงบเย็นได้ แล้วถึงเวลาแล้วนี่ มีการต้องฟื้นฟูขึ้นมา เราสามารถจะฟื้นฟูได้ เราสามารถจะทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุขได้ แต่ถ้าเราตื่นเต้นไปกับเขา เวลาเกิดปัญหาขึ้นมาหมดเลย แล้วใครจะมาฟื้นฟูขึ้นมาล่ะ มันไม่มีไง มันไม่มีเพราะเราไปตื่นเต้นกับสังคมไง โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ แล้วเราก็หวั่นไหวไปกับเขา อยู่กับเขา

แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ รู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของเรา มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรมีค่าสักอย่าง สิ่งที่มีค่าที่สุดคือความรู้สึกเรานี่ ไอ้ความรู้สึกอันนี้ ไอ้ชีวิตที่มันต้องมีอยู่นี่มีค่าที่สุด เพียงแต่มีค่าที่สุดแล้วนี่มันโดนกิเลสครอบงำอยู่เลยกลายเป็นทุกข์ที่สุด แต่ถ้าเราทำของเราขึ้นมานี่ สิ่งที่ความรู้สึกอันนี้ที่จิตใจมันมีค่าที่สุด แล้วถ้ามีคุณธรรมขึ้นมาแล้ว เห็นไหม สิ่งนี้มีค่าที่สุด เวลามันเคลื่อนออกจากร่างนี้ไป ร่างกายนี่ไปทิ้งทั้งนั้นนะ ทุกคนรังเกียจหมด เหม็นเน่า แต่ถ้ามีชีวิตอยู่ เห็นไหม คนก็ยังพึ่งพากันได้ไง

สิ่งที่มีค่าที่สุดอยู่ที่นี่ แล้วเรามาบวชมาเรียนกัน เรามาประพฤติปฏิบัติกัน เราก็หาจิตของเราไง แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้สมบูรณ์ขึ้นมา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ศีล สมาธิ ปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราเป็นพระ เรานักปฏิบัติขึ้นมา เราก็ต้องปฏิบัติของเราขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา นั่นนะสัจจะความจริงในใจของเราเกิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดรู้แจ้งทั้งโลกนอกและโลกใน ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมาเรารู้จริงขึ้นมา เราจะรู้เรื่องของเรา แล้วเราก็จะรู้เรื่องของเขา แล้วเราอยู่กับสังคมโดยไม่กระทบกระเทือนกัน เอวัง